ฟาโรห์อเมเนมเฮตที่ 3
ฟาโรห์อเมเนมเฮตที่ 3 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|
อัมเมเนเมสที่ 3, อเมเรส, ลามาเรส, โมเอริส | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
รูปสลักของฟาโรห์อเมเนมเฮตที่ 3 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
ฟาโรห์ | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
รัชกาล | 40 + x ตามบันทึกพระนามแห่งตูริน แต่อย่างน้อยที่สุด 45 ปี ในช่วงศตวรรษที่ 18 -19 ก่อนคริสตกาล[1] | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
ก่อนหน้า | เซนุสเรตที่ 3 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
ถัดไป | อเมเนมเฮตที่ 4 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
| |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คู่เสกสมรส | อาอัต, เคเนเมตเนเฟอร์เฮดเจตที่ 3, เฮเทปติ (?) | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
พระราชบุตร | เนเฟรูพทาห์, อเมเนมเฮตที่ 4 (อาจจะ), โซเบคเนเฟรู (อาจจะ), ฮาธอร์โฮเทป (?), นับโฮเทป (?), ซิตฮาธอร์ (?) | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
พระราชบิดา | เซนุสเรตที่ 3 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
สุสาน | พีระมิดที่ฮาวารา | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
อนุสรณ์สถาน | พีระมิดที่ดาห์ชูร์ | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
ราชวงศ์ | ราชวงศ์ที่สิบสองแห่งอียิปต์ |
อเมเนมเฮตที่ 3 (อียิปต์โบราณ: Ỉmn-m-hꜣt) หรือที่รู้จักในพระนาม อเมเนมฮัตที่ 3 เป็นฟาโรห์แห่งอียิปต์โบราณพระองค์ที่หกจากราชวงศ์ที่สิบสองในช่วงสมัยราชอาณาจักรกลาง โดยฟาโรห์เซนุสเรตที่ 3 ซึ่งเป็นพระราชบิดาของพระองค์ ได้ครองพระราชบัลลังก์ในฐานะผู้สำเร็จราชการร่วมกับพระองค์เป็นระยะเวลายี่สิบปี ในรัชสมัยของพระองค์ พระราชอาณาจักรอียิปต์ได้รุ่งเรืองถึงจุดสูงสุดทางด้านวัฒนธรรมและเศรษฐกิจในช่วงสมัยราชอาณาจักรกลาง
พระราโชบายทางการทหารและการภายในพระราชอาณาจักรที่ที่เข้มงวดรุนแรงของฟาโรห์เซนุสเรตที่ 3 ซึ่งได้ปราบปรามในดินแดนนิวเบียอีกครั้งและแย่งชิงอำนาจจากบรรดาผู้ปกครองท้องถิ่น ซึ่งส่งต่อให้ฟาโรห์อเมเนมเฮตที่ 3 ขึ้นปกครองอียิปต์ในช่วงที่มีเสถียรภาพและสงบสุข พระองค์ได้ทรงนำความพยายามของพระองค์ไปสู่แผนการก่อสร้างที่ยิ่งใหญ่ โดยเน้นที่โอเอซิสแห่งไฟยุมโดยเฉพาะ ที่นี่พระองค์ได้ทรงอุทิศวิหารแด่กับเทพโซเบค และวิหารน้อยถวายแด่เทพีเรเนนูเทต ทรงโปรดให้สร้างรูปสลักขนาดมหึมาสองรูปของพระองค์ในเบียห์มู และทรงมีส่วนสนับสนุนในการขุดทะเลสาบโมเอริส พระองค์โปรดให้สร้างสร้างพีระมิดสองแห่งของพระองค์ที่ดาห์ชูร์และฮาวารา พระองค์จึงกลายเป็นฟาโรห์พระองค์แรกตั้งแต่รัชสมัยฟาโรห์สเนฟรูจากราชวงศ์ที่สี่ที่ได้ทรงโปรดให้สร้างพีระมิดมากกว่าหนึ่งแห่ง ใกล้กับพีระมิดในฮาวาราของพระองค์คือ พีระมิดแห่งเนเฟรูพทาห์ ซึ่งเป็นพระราชธิดาของพระองค์ และการได้มาซึ่งทรัพยากรสำหรับแผนการก่อสร้าง พระองค์ได้ใช้ประโยชน์จากเหมืองหินในอียิปต์ อัญมณีเทอร์ควอยซ์และแร่ทองแดงจากคาบสมุทรไซนาย เหมืองที่ยังใช้ประโยชน์อื่น ๆ รวมถึงเหมืองหินชีสต์ที่วาดิ ฮัมมามัต แร่อเมทิสต์จากเหมืองในวาดิ เอล-ฮูดิ หินปูนชั้นดีจากเหมืองในทูรา หินอลาบาสเตอร์จากเหมืองในฮัตนุบ หินแกรนิตสีแดงจากเหมืองในอัสวาน และหินไดโอไรต์จากเหมืองในนิวเบีย คลังจารึกขนาดใหญ่เป็นหลักฐานยืนยันถึงการทำกิจกรรมที่สถานที่เหล่านี้ โดยเฉพาะอย่างยิ่งที่เซราบิต เอล-คาดิม มีหลักฐานการเคลื่อนไหวทางทหารเพียงเล็กน้อยในรัชสมัยของพระองค์ แม้ว่าจะมีหลักฐานเพียงเล็กน้อยที่คุมมาในปีที่ 9 ของพระองค์ พระองค์ยังส่งคณะเดินทางไปยังดินแดนพุนต์อีกจำนวนหนึ่ง
โดยสรุปแล้ว ฟาโรห์อเมเนมเฮตที่ 3 ทรงครองราชย์เป็นเวลาอย่างน้อย 45 ปี ถึงแม้ว่าบันทึกปาปิรุสที่กล่าวถึงปีที่ 46 ก็น่าจะเป็นของรัชสมัยของพระองค์เช่นกัน ในช่วงสิ้นรัชสมัยของพระองค์ พระองค์ทรงแต่งตั้งฟาโรห์อเมเนมเฮตที่ 4 ขึ้นเป็นผู้สำเร็จราชการร่วม ตามที่บันทึกไว้ในจารึกจากเซมนาในนิวเบีย ซึ่งปีที่ 1 ของฟาโรห์อเมเนมเฮตที่ 4 เท่ากับปีที่ 44 หรือปีที่ 46–48 ของฟาโรห์อเมเนมเฮตที่ 3 เวลาต่อมาฟาโรห์โซเบคเนเฟรูได้ทรงสืบทอดพระราชบัลลังก์ต่อจากฟาโรห์อเมนเนมเฮตที่ 4 ในฐานะผู้ปกครองพระองค์สุดท้ายของราชวงศ์ที่สิบสองแห่งอียิปต์
พระราชวงศ์
[แก้]ฟาโรห์อเมเนมเฮตที่ 3 เป็นพระราชโอรสของฟาโรห์เซนุสเรตที่ 3 ซึ่งเป็นผู้ปกครองก่อนหน้าพระองค์[4] พระองค์มีพระภคินีและพระขนิษฐาหลายพระองค์คือ เจ้าหญิงเมเนต, เจ้าหญิงเมเรเรต, เจ้าหญิงเซเนตเซเนบติซิ, เจ้าหญิงซิตฮาธอร์ และเจ้าหญิงคเนเมต-[5] ที่ทราบพระนามเพียงบางส่วน พระองค์มีพระมเหสีสองพระองค์ที่เป็นที่ทราบ คือ พระนางอาอัต และพระนางเคเนเมตเฟอร์เฮดเจต ซึ่งทั้งสองพระองค์ถูกฝังอยู่ในพีระมิดแห่งอเมเนมเฮตที่ 3 ที่ดาห์ชูร์[6][7] เฮเทปติ ซึ่งเป็นพระราชมารดาของฟาโรห์อเมเนมเฮตที่ 4 ซึ่งอาจจะเป็นพระมเหสีอีกหนึ่งพระองค์[8] พระองค์มีพระราชธิดาหนึ่งพระองค์พระนามว่า เนเฟรูพทาห์ ซึ่งดูเหมือนจะทรงถูกเตรียมพร้อมเป็นอย่างดีในฐานะองค์รัชทายาท เนื่องจากพระนามของพระองค์ถูกใส่ไว้ในคาร์ทูช เดิมทีพระองค์ถูกฝังอยู่ที่พีระมิดแห่งที่สองของฟาโรห์อเมเนมเฮตที่ 3 ในฮาวารา แต่ในที่สุดก็พระศพก็ถูกย้ายไปที่พีระมิดของพระองค์เอง[9] พระราชโอรส-ธิดาทั้งสองพระองค์ในฟาโรห์อเมเนมเฮตที่ 3 ซึ่งก็ทรงได้ขึ้นครองราชย์เป็นฟาโรห์ คือ ฟาโรห์อเมเนมเฮตที่ 4 ผู้เป็นพระราชโอรส และฟาโรห์โซเบคเนเฟรู[10] ผู้เป็นพระราชธิดา แต่ก็มีความเห็นที่ว่า ฟาโรห์อเมเนมเฮตที่ 4 อาจจะเป็นพระราชนัดดาแทน[11] หลักฐานการฝังพระศพของเจ้าหญิงอีกสามพระองค์คือ เจ้าหญิงฮาธอร์โฮเทป, เจ้าหญิงนับโฮเทป และเจ้าหญิงซิตฮาธอร์ ที่ในพีระมิดแห่งดาห์ชูร์ แต่ไม่แน่ชัดว่าเจ้าหญิงเหล่านี้เป็นพระราชธิดาในฟาโรห์อเมเนมเฮตที่ 3 หรือไม่ เนื่องจากพีระมิดแห่งนี้ใช้สำหรับฝังพระศพของเชื้อพระวงศ์ตลอดราชวงศ์ที่สิบสามแห่งอียิปต์[12]
รัชสมัย
[แก้]ในปีที่ 20 แห่งการครองราชย์ของฟาโรห์เซนุสเรตที่ 3 พระองค์ทรงได้แต่งตั้งฟาโรห์อเมเนมเฮตที่ 3 ผู้เป็นพระราชโอรส ขึ้นเป็นผู้สำเร็จราชการร่วม[13] และดูเหมือนว่าการสำเร็จราชการร่วมครั้งนี้จะมีขึ้นจากตัวชี้วัดหลายประการ ถึงแม้ว่านักวิชาการบางคนจะไม่เห็นด้วยและบางคน กลับโต้แย้งในการครองราชย์เพียงพระองค์เดียวสำหรับฟาโรห์ทั้งสองพระองค์[14] ในอีกยี่สิบปีต่อมา ฟาโรห์เซนุสเรตที่ 3 และฟาโรห์อเมเนมเฮตที่ 3 ได้ครองพระราชบัลลังก์ร่วมกัน โดยฟาโรห์อเมเนมเฮตที่ 3 ได้ขึ้นเป็นกษัตริย์เช่นกัน[15][4][16] ซึ่งสันนิษฐานได้ว่า ฟาโรห์อเมเนมเฮตที่ 3 เข้ามามีบทบาทหลักในปีที่ 19 ของฟาโรห์เซนุสเรตที่ 3 และเป็นปีที่ 1 ของ พระองค์[16][15] การครองราชย์ของพระองค์เป็นเวลาอย่างน้อย 45 ปี แม้ว่าจะมีเศษบันทึกปาปิรัสจากเอล-ลาฮูนที่กล่าวถึง 'ปีที่ 46 เดือน 1 แห่งอาเคต วันที่ 22' ซึ่งน่าจะเป็นวันที่พระองค์ยังปกครองอยู่เช่นกัน[15][17] และภายในชามจากเกาะแอลเลเฟนไทน์ที่ได้บันทึกว่า ปีที่ 46 เดือนสามแห่งเพเรต ซึ่งเป็นระยะเวลาสูงสุดเท่าที่ทราบ คอร์เนลิอุส ฟอน พิลกริม นักไอยคุปต์วิทยาได้สนับสนุน แต่ถูกปฏิเสธโดยนักไอยคุปย์วิทยา โวลแฟรม กราเจ็ตสกี ซึ่งจัดให้อยู่ช่วงสมัยราชอาณาจักรกลางตอนต้น[18] ในรัชสมัยที่ 30 ของพระองค์ พระองค์ทรงเฉลิมฉลองเทศกาลเซดตามที่กล่าวไว้ในจารึกหลายฉบับ[19] รัชสมัยของพระองค์ได้สิ้นสุดลงหลังจากการสำเร็จราชการร่วมกับฟาโรห์อเมเนมเฮตที่ 4 ผู้เป็นพระราชโอรสเพียงระยะเวลาสั้น ๆ[15][20] มีหลักฐานสนับสนุนในส่วนนี้มาจากจารึกที่เซมนา ซึ่งปีที่ 1 แห่งการครองราชย์ของฟาโรห์อเมเนมเฮตที่ 4 เท่ากับปีที่ 44 หรือบางทีอาจจะปีที่ 46–48 ของฟาโรห์อเมเนมเฮตที่ 3[15][21][22]
ฟาโรห์ทั้งพระองค์ได้ทรงปกครองอียิปต์ในช่วงเวลายุคทองของสมัยราชอาณาจักรกลาง ฟาโรห์เซนุสเรตที่ 3 ได้ทรงดำเนินการปฏิบัติการทางทหารเชิงรุก เพื่อยับยั้งการบุกรุกจากชนเผ่าในนิวเบีย[4][23] การดำเนินการทางทหารนี้ดำเนินมาเป็นเวลาหลายปีและสร้างความรุนแรงต่อชนพื้นเมือง รวมถึงการสังหารบุรุษ การกดขี่สตรีและเด็ก และการเผาไร่นา[24] นอกจากนี้ พระองค์ยังทรงส่งคณะเดินทางทางทหารไปยังซีเรีย-ปาเลสไตน์ ซึ่งเป็นศัตรูของอียิปต์ตั้งแต่รัชสมัยของฟาโรห์เซนุสเรตที่ 1[23][25] พระราโชบายภายในของพระองค์มุ่งเป้าไปที่การเพิ่มอำนาจของผู้ปกครองระดับท้องถิ่น โดยถ่ายโอนอำนาจกลับไปยังฟาโรห์[26][4] และเป็นที่ถกเถียงกันอยู่ว่า พระองค์รงรื้อระบบการปกครองแบบมีผู้ปกครองท้องถิ่นหรือไม่[25] นอกจากนี้ พระองค์ยังเป็นต้นแบบของตัวละครในตำนาน เซซอสทริส ที่รจนาขึ้นโดย มาเนโท และเฮโรโดตัส[27][24] จากผลของพระราโชบายการบริหารและการทหารของฟาโรห์เซนุสเรตที่ 3 ส่งผลให้ฟาโรห์อเมเนมเฮตที่ 3 ทรงได้ขึ้นปกครองพระราชอาณาจักรอียิปต์ที่สงบสุขและมั่นคง[4]
พระราชอาณาจักรกลางได้เจริญรุ่งเรืองที่ขีดสุดทางด้านวัฒนธรรมและเศรษฐกิจภายใต้ปกครองของฟาโรห์อเมเนมเฮตที่ 3 [20][28][29] การใช้ประโยชน์จากเหมืองหินในอียิปต์และอัญมณีเทอร์ควอยซ์และแร่ทองแดงในคาบสมุทรไซนายถึงจุดสูงสุดในช่วงรัชสมัยของพระองค์[20] จารึกข้อความมากกว่า 50 ฉบับถูกจารึกไว้ที่เซราบิต เอล-คาดิม, วาดิ มักฮารา และวาดิ นาสบ์[20][30] ซึ่งได้มีการตั้งถิ่นฐานใกล้ถาวรก่อตัวขึ้นรอบตัวเหมืองหินเหล่านั้น[20][31] เหมืองหินที่วาดิ ฮัมมามัต (หินซีสต์), วาดิ เอล-ฮูดิ (แร่อเมทิสต์), ทูรา (หินปูน), ฮัตนุบ (หินอลาบาสเตอร์), อัสวาน (หินแกรนิตสีแดง) และนิวเบีย (หินไดโอไรต์) ทั้งหมดก็ได้ถูกประโยชน์เช่นกัน[20][32][33] ทั้งหมดนี้แสดงให้เห็นถึงการมีแผนการก่อสร้างที่ยิ่งใหญ่ โดยเฉพาะอย่างยิ่งในการพัฒนาในไฟยุม[20][31] แผนการก่อสร้างของพระองค์รวมถึงพระบรมราชานุเสาวรีย์ในคาตานา, เทล เอล-ยาฮูดัยยา, บูบาสติส[4] การขยายวิหารแห่งเทพีฮาธอร์ที่เซราบิต เอล-คาดิม และวิหารแห่งเทพพทาห์ในเมมฟิส การก่อสร้างวิหารในกูบัน (Quban) และการเสริมกำลังป้อมปราการที่เซมนา[20][28] จากเกาะแอลเลเฟนไทน์มีชิ้นส่วนของจารึกอาคารซึ่งมีอายุย้อนไปถึงถึงปีที่ 44 แห่งการครองราชย์ของพระองค์ พบจารึกที่คล้ายกันที่เมืองเอลกับ การค้นพบอีกอย่างหนึ่งที่เกาะแอลเลเฟนไทน์คือทับหลังประตูจากราชวงศ์ที่สิบเอ็ดแห่งอียิปต์ ซึ่งที่นั่นฟาโรห์อเมเนมเฮตที่ 3 ได้เพิ่มคำจารึกลงช่วงปีที่ 34[34] แห่งการครองราชย์ของพระองค์ อย่างไรก็ตาม ไม่มีพื้นที่ใดที่ได้รับความสนใจมากเท่ากับโอเอซิสแห่งไฟยุม ซึ่งฟาโรห์อเมเนมเฮตที่ 3 มีความเกี่ยวข้องมากที่สุด[20][4]
ในโอเอซิสแห่งไฟยุม พระองค์ได้ทรงโปรดให้สร้างวิหารขนาดใหญ่ที่อุทิศให้แด่เทพโซเบคที่คิมาน-ฟาราส[28][29] พระองค์โปรดให้สร้างวิหารน้อยเพื่ออุทิศให้แด่เทพีเรเนนูเทตที่เมดิเนต มาดิ[20] ในเบียห์มู พระองค์ทรงโปรดให้สร้างสิ่งก่อสร้างขนาดใหญ่ด้วยรูปสลักพระองค์หินควอตซ์ขนาดมหึมาสูง 12 ม. (39 ฟุต) สองรูป[35][31][4] และทะเลสาบโมเอริส ซึ่งพระองค์ได้รับยืนยันว่าพระองค์เป็นผู้ทรงโปรดให้ขุดขึ้น ถึงแม้ว่าฟาโรห์เซนุสเรตที่ 3 จะทรงเป็นผู้ดำเนินการการก่อสร้างนี้มากน้อยเพียงใดนั้นยังไม่เป็นที่ทราบแน่ชัด[31][4] แต่ฟาโรห์เซนุสเรตที่ 3 ได้ทรงเฝ้าจับตาดูระดับน้ำท่วมของแม่น้ำไนล์อย่างใกล้ชิด ดังแสดงให้เห็นโดยจารึกที่คุมมาและเซมนา โดยระดับแม่น้ำไนล์สูงสุดอยู่ในปีที่ 30 แห่งการครองราชย์ของพระองค์ที่ 5.1 ม. (17 ฟุต) แต่ตามมาด้วยการลดลงอย่างมากจนวัดได้ 0.5 ม. (1.6 ฟุต) ในปีที่ 40 แห่งการครองราชย์ของพระองค์[32] ผลงานที่ยืนยงที่สุดของพระองค์คือ พีระมิดสองแห่งที่พระองค์โปรดให้สร้างขึ้นสำหรับพระองค์เอง[20] ซึ่งเป็นฟาโรห์พระองค์ตั้งแต่รัชสมัยฟาโรห์สเนฟรูจากราชวงศ์ที่สี่ที่สร้างพีระมิดมากกว่าหนึ่งแห่ง[36] พีระมิดของพระองค์ตั้งอยู่ที่ดาห์ชูร์และฮาวารา[20][37]
-
จารึกโดยฟาโรห์อเมเนมเฮตที่ 3 ในวิหารน้อยแห่งเทพีเรเนนูเทต
-
รูปสลักหินปูนรูปสิงโตนอนราลที่วิหารในเมดิเนต มาดิ
พีระมิด
[แก้]พีระมิดแห่งดาห์ชูร์
[แก้]งานก่อสร้างพีระมิดที่ดาห์ชูร์ หรือ 'พีระมิดดำ' (อียิปต์โบราณ: Sḫm Ỉmn-m-hꜣt 'อเมเนมเฮต ผู้ทรงแข็งแกร่ง'[38] หรือ Nfr Ỉmn-m-hꜣt 'อเมเนมเฮต ผู้ทรงสิริโฉม'[39]/'สมบูรณ์พร้อมแห่งอเมเนมเฮต'[40]) ได้เริ่มขึ้นในปีแรกแห่งรัชสมัยฟาโรห์อเมเนมเฮตที่ 3[38][41] แกนพีระมิดสร้างด้วยอิฐโคลนทั้งหมดและทำให้มั่นคงแข็งแรงผ่านการสร้างแกนขั้นบันไดแทนที่จะเป็นโครงหิน[42][41] โครงสร้างดังกล่าวถูกหุ้มด้วยหินปูนจากทูราสีขาวละเอียดหนา 5 ม. (16 ฟุต; 9.5 ลูกบาศก์) โดยยึดเข้าด้วยกันด้วยหมุดไม้[42] พีระมิดมีความยาวฐาน 105 เมตร (344 ฟุต; 200 ลูกบาศก์) ซึ่งเอียงไปทางยอดที่ระหว่าง 54°30′ ถึง 57°15′50″ ถึงความสูง 75 เมตร (246 ฟุต; 143 ลูกบาศก์) มีปริมาตรรวม 274,625 ลบ.ม. (9,698,300 ลบ.ฟุต)[43][44] จุดสุดยอดของโครงสร้างได้รับการสวมมงกุฎพีระมิดด้วยหินแกรนิตสีเทาสูง 1.3 ม. (4.3 ฟุต)[45] ปัจจุบันนี้อยู่ในพิพิธภัณฑ์อียิปต์ในกรุงไคโร หมายเลข เจอี 35133[46] พีระมิดมีแถบข้อความอักษรอียิปต์โบราณอยู่ทั้งสี่ด้าน[47] การที่พระนามของเทพอามุนถูกลบออกไปแล้วนั้นเป็นผลจากฟาโรห์อาเคนอาเตน เมื่อครั้งตอนที่พระองค์ทรงปฏิรูปศาสนาอียิปต์โบราณ[46]
ด้านหน้าของพีระมิดมีวิหารฝังพระศพที่มีการออกแบบเรียบง่ายประกอบด้วยโถงถวายและลานเสาแบบเปิด รอบ ๆ มีกำแพงอิฐโคลนสองด้านล้อมรอบ จากวัดฝังพระศพมีทางเดินเปิดที่มีกำแพงอิฐโคลนนำไปสู่วิหารอีกแห่งหนึ่ง[48] ด้านล่างพีระมิดได้มีกาีสร้างโครงสร้างพื้นฐานที่มีทางเดินและห้องต่างๆ ที่สลับซับซ้อน โดยมีห้องฝังพระศพสำหรับฟาโรห์และพระราชินีสองพระองค์[49][46] พระราชินีทั้งสองพระองค์คือ พระนางอาอัต และพระราชินีไม่ทราบพระนามถูกฝังไว้ที่นี่ และส่วนที่เหลือก็ถูกนำออกจากห้องฝังพระศพแล้ว[50][47] แต่พระศพฟาโรห์ไม่ได้ถูกฝังที่นี่[51] ไม่นานหลังจากที่โครงสร้างเสริมพีระมิดสร้างเสร็จราวปีที่ 15 ของรัชสมัยฟาโรห์อเมเนมเฮตที่ 3 โครงสร้างพื้นฐานเริ่มที่จะหักโดยมีรอยแตกปรากฏขึ้นภายใน อันเป็นผลมาจากการซึมของน้ำใต้ดิน[51][52] มีความพยายามอย่างเร่งด่วนเพื่อป้องกันการพังทลายของโครงสร้าง ซึ่งประสบความสำเร็จ แต่ในขณะที่ฟาโรห์สเนเฟรูตัดสินใจที่จะโปรดให้สร้างพีระมิดโค้งงอของพระองค์ ฟาโรห์อเมเนมเฮตที่ 3 ก็ทรงเลือกที่จะโปรดให้สร้างพีระมิดหลังใหม่เช่นกัน[52]
พีระมิดแห่งฮาวารา
[แก้]พีระมิดแห่งที่สองตั้งอยู่ฮาวารา (อียิปต์โบราณ: ไม่แน่ชัด, อาจจะเป็น ꜥnḫ Ỉmn-m-hꜣt 'อเมเนมเฮต ผู้ทรงมีพระชนม์ชีพ')[52] ในโอเอซิสแห่งไฟยุม[53] พีระมิดมีแกนที่สร้างด้วยอิฐโคลนทั้งหมดหุ้มด้วยหินปูนจากทูราสีขาวละเอียด[54][52] พีระมิดมีความยาวฐานระหว่าง 102 ม. (335 ฟุต; 195 ลูกบาศก์) และ 105 ม. (344 ฟุต; 200 ลูกบาศก์) โดยมีความเอียงที่ตื้นกว่าระหว่าง 48° ถึง 52° จนถึงความสูงสูงสุด 58 ม. (190 ฟุต; 111 ลูกบาศก์) มีปริมาตรรวม 200,158 ลบ.ม. (7,068,500 ลูกบาศก์ฟุต)[43][44] มุมเอียงที่ตื้นขึ้นเป็นขั้นตอนหนึ่งเพื่อป้องกันการถล่มและหลีกเลี่ยงการเกิดความล้มเหลวซ้ำเหมือนที่ดาห์ชูร์[52] ภายในโครงสร้างย่อย ช่างก่อสร้างได้ใช้มาตรการป้องกันเพิ่มเติม เช่น ปูหลุมในห้องด้วยหินปูน[55] ห้องฝังพระศพถูกสกัดจากบล็อกหินควอตซ์บล็อกเดียวขนาด 7 ม. (23 ฟุต) x 2.5 ม. (8.2 ฟุต) x 1.83 ม. (6.0 ฟุต) และหนักกว่า 100 ตัน (ราว 110 ตัน)[55][52]
ก่อนที่พีระมิดจะวางวิหารฝังพระศพ ซึ่งได้รับการระบุว่าเป็น 'เขาวงกต' ซึ่งนักเดินทาง อย่างเช่น เฮโรโดตัสและสตราโบ ได้กล่าวถึงและเป็นรากฐานสำหรับ 'เขาวงกตแห่งไมนอส' [56][52] วิหารได้ถูกทำลายในสมัยโบราณและสามารถสร้างขึ้นใหม่ได้เพียงบางส่วนเท่านั้น[56][52] แผนผังอาคารครอบคลุมพื้นที่ประมาณ 28,000 ตร.ม. (300,000 ตารางฟุต) ตามบันทึกของสตราโบ วิหารนี้มีห้องมากเท่ากับเขตปกครองในอียิปต์[57] ขณะที่เฮโรโดตัสเขียนเกี่ยวกับการนำ 'จากลานสนามไปสู่ห้องต่างๆ[52] รูปสลักหินปูนของเททพโซเบคและเทพีฮาธอร์อีกรูปก็ถูกค้นพบที่นี่[57] เช่นเดียวกับศาลเทพเจ้าที่ทำจากหินแกรนิตสองแห่งซึ่งแต่ละแห่งมีรูปสลักของฟาโรห์อเมเนมเฮตที่ 3 จำนวนสองรูป[52] กำแพงล้อมรอบทิศเหนือ-ทิศใต้ล้อมรอบพื้นที่ทั้งหมด[57] ซึ่งวัดได้ 385 ม. (1,263 ฟุต) x 158 ม. (518 ฟุต)[52] ทางเดินหลวงได้รับการระบุอยู่ใกล้กับมุมตะวันตกเฉียงใต้ของพีระมิด แต่ยังไม่ได้มีการตรวจสอบทั้งวิหารและทางเดินหลวง[58]
เนเฟรูพทาห์
[แก้]พีระมิดแห่งเนเฟรูพทาห์ถูกสร้างขึ้น 2 กม. (1.2 ไมล์) ไปทางทิศตะวันออกเฉียงใต้ของพีระมิดแห่งฮาวาราของฟาโรห์อเมเนมเฮตที่ 3 พีระมิดแห่งนี้ถูกขุดค้นโดยนากิบ ฟารัก และซากี อิสกันเดอร์ ในปี ค.ศ. 1956[59] โครงสร้างส่วนบนของพีระมิดใกล้จะสูญหายไปโดยสิ้นเชิง และพบว่าโครงสร้างพื้นฐานเต็มไปด้วยน้ำใต้ดิน แต่การฝังพระศพของพระองค์ก็ไม่ถูกรื้อค้น รวมทั้งโลงพระศพและอุปกรณ์ในพิธีพระศพของพระองค์[60]
การจัดคณะเดินทางไปต่างแดน
[แก้]คณะเดินทางทางทหาร
[แก้]มีหลักฐานน้อยมากที่เกี่ยวข้องการเดินทางทางทหารในช่วงรัชสมัยของฟาโรห์อเมเนมเฮตที่ 3 จารึกชิ้นหนึ่งได้บันทึกภารกิจเล็ก ๆ ในช่วงที่ 9 มันถูกพบในนิวเบียใกล้กับป้อมปราการคุมมา ซึ่งปรากฏข้อความขนาดสั้นรายงานว่า ภารกิจทางทหารได้รับชี้แนะจากปากของเนเคน ซามอนต์ ซึ่งระบุว่าเขาได้ออกเดินทางไปทางเหนือพร้อมกับกองทหารเล็ก ๆ และไม่มีใครเสียชีวิต เมื่อกลับมาทางใต้[61]
คาบสมุทรไซนาย
[แก้]กิจกรรมของฟาโรห์อเมเนมเฮตที่ 3 ในคาบสมุทรซีนายได้รับการยืนยันอย่างแน่ชัดว่า[20][30] ได้มีการออกเดินทางไปยังวาดิ มักฮารา ในปีที่ 2, 30 และ 41–43 โดยมีการเดินทางเพิ่มอีกหนึ่งครั้งในปีที่ 20 + x ที่ยังไม่ทราบ[62] วิหารแห่งเทพฮาธอร์ได้รับการตกแต่งระหว่างการเดินทางในปีที่ 2 ซึ่งเป็นการเดินทางเดียวที่มีการขุดทองแดง[63] จารึกที่เกี่ยวข้องซึ่งพบในอายน์ ซุคนา ชี้ให้เห็นว่า การเดินทางนี้เริ่มขึ้นที่เมืองเมมฟิสและอาจจะข้ามทะเลแดงไปยังคาบสมุทรไซนายโดยทางเรือ[64] การเดินทางครั้งเดียวในวาดิ นาสบ์ ได้รับการยืนยันในปีที่ 20 แห่งการครองราชย์ของพระองค์[65] ได้มีการเดินทางไปยังเซราบิต เอล-คาดิมมากถึง 18 ถึง 20 ครั้ง ซึ่งได้รับการยืนยันในรัชสมัยของฟาโรห์อเมเนมเฮตที่ 3[66] คือ ในปีที่ 2, 4–8, 13, 15, 20, 23, 25, 27, 30, 38, 40, 44, และอาจเป็นไปได้ในปีที่ 18, 29 และ 45 ปี ควบคู่ไปกับ 10 + x และ x + 17 ปี และมีจารึกมากมายที่ไม่สามารถระบุช่วงเวลาได้[67]
อียิปต์
[แก้]จารึกหนึ่งฉบับที่บันทึกขึ้นในปีที่ 43 แห่งรัชสมัยของฟาโรห์อเมเนมเฮตที่ 3 มาจากทูรา และหมายถึงการขุดหินปูนที่นั่นเพื่อสร้างวัดฝังพระศพ ไม่ว่าจะที่ดาห์ชูร์หรือฮาวารา[68] และจารึกมาจากเทือกเขาเกเบล เซอิต ซึ่งอยู่ห่างจากราส กาเรบไปทางทิศใต้ราว 50 กม. (31 ไมล์) บนชายฝั่งทะเลแดงแสดงกิจกรรมที่เหมืองกาเลนาที่นั่น จารึกที่ระบุเวลาเพียงบางส่วนที่บอกว่ามันถูกจารึกไว้ช่วงหลังปีที่ 10 แห่งการครองราชย์[69][70]
มีการบันทึกการเดินทางหลายครั้งไปยังวาดิ ฮัมมามัต ซึ่งเป็นแหล่งที่ขุดเจาะหิน[20][71] ช่วงเวลาดังกล่าวย้อนไปจนถึงปีที่ 2, 3, 19, 20 และ 33[71] จารึกสามชิ้นจากปีที่ 19 ได้บันทึกเกี่ยวกับทาสกรรมกรและทหารที่จ้างงาน และผลของความพยายามส่งผลให้มีการสร้างรูปสลักฟาโรห์อิริยาบถประทับนั่งสูง 2.6 ม. (8.5 ฟุต) จำนวน 10 รูป รูปสลักถูกส่งไปยังเขาวงกตที่ฮาวารา[68][72] มีการเดินทางไปยังวาดิ เอล-ฮูดิเพียงไม่กี่ครั้ง ซึ่งอยู่ทางทิศตะวันออกเฉียงใต้ของอัสวานที่ชายแดนทางใต้ของอียิปต์ซึ่งเป็นแหล่งขุดแร่อเมทิสต์ จารึกนี้มีอายุย้อนไปจนถึงปีที่ 1, 11, 20 และ 28[73][74][75] มีการเดินทางไปยังวาดิ อาบู อะกัก ซึ่งใกล้กับอัสวานในปีที่ 13[76]
นิวเบีย
[แก้]ทางตะวันตกเฉียงเหนือของอาบู ซิมเบล และทางตะวันตกของทะเลสาบนาสเซอร์ เป็นที่ตั้งของเหมืองหินเกเบล เอล-เอสร์ ในนิวเบียล่าง ซึงเป็นที่รู้จักกันดีว่าเป็นแหล่งของหินไดออไรต์สำหรับรูปสลักอิริยาบถประทับนั่งของฟาโรห์คาเฟรจำนวนหกรูป สถานที่ดังกล่าวยังเป็นแหล่งของหินไนส์และแร่รัตนชาติแคลเซโดนีในช่วงสมัยราชอาณาจักรกลางอีกด้วย[77] แหล่งขุดแร่แคลเซโดนี ยังเป็นที่รู้จักกันในนาม 'สันเขาจารึก' เนื่องจากเป็นสถานที่ซึ่งที่มีจารึกและการถวายเครื่องบูชาตามคำปฏิญาณ[78] จารึกเก้าชิ้นเหล่านี้มีอายุย้อนไปถึงรัชสมัยฟาโรห์อเมเนมเฮตที่ 3 โดยเฉพาะช่วงปีที่ 2 และ 4[79]
พุนต์
[แก้]จารึกถูกค้นพบที่เมอร์ซา ซึ่งอยู่บนชายฝั่งทะเลแดงโดยโรซานนา พิเรลลี ในปี ค.ศ. 2005 ซึ่งมีรายละเอียดเกี่ยวกับการเดินทางไปยังพุนต์ ในรัชสมัยของฟาโรห์อเมเนมเฮตที่ 3 ได้มีการจัดคณะเดินทางโดยเซเนเบฟ เจ้าพนักงานราชสำนักชั้นในช่วงรัชสมัยของพระองค์ ซึ่งแบ่งออกเป็นสองคณะเดินทาง ซึ่งคณะเดินทางแรกนำโดยอเมนโฮเทป และได้มุ่งหน้าไปยังพุนต์ เพื่อหาซื้อเครื่องหอม และคณะเดินทางที่สองนำโดยเบเนสุ ซึ่งเดินทางไปยังเหมืองที่เรียกว่า เบีย-พุนต์ เพื่อจัดหาโลหะที่แปลกใหม่[80][81] มีการเดินทางทั้งหมดระหว่างสองถึงห้าครั้ง ซึ่งจัดขึ้นระหว่างรัชสมัยของฟาโรห์อเมเนมเฮตที่ 3[82] มีการค้นพบจารึกสองชิ้นจากเหมืองดังกล่าวมีการระบุช่วงเวลาและกิจกรรมที่นั่นในปีที่ 23 และ 41 แห่งการครองราชย์ของพระองค์[83]
การพัฒนาชลประทานในไฟยุม
[แก้]ในช่วงรัชสมัยของฟาโรห์อเมเนมเฮตที่ 3 พระองค์ยังคงดำเนินแผนพัฒนาที่ริเริ่มโดยฟาโรห์เซนุสเรตที่ 2 เพื่อเชื่อมโยงโอเอซิสแห่งไฟยุม กับบาห์ร ยูสเซฟ[84] แผนพัฒนานี้ได้มีการเวนคืนที่ดินบริเวณปลายน้ำริมทะเลสาบโมเอริส เพื่อพัฒนาพื้นที่ทางการเกษตร[85] หุบเขาที่ก่อตัวขึ้นตามธรรมชาติยาว 16 กม. (9.9 ไมล์) และกว้าง 1.5 กม. (0.93 ไมล์) ถูกตัดเป็นคลองเพื่อเชื่อมที่ราบลุ่มกับบาห์ร ยูสเซฟ คลองที่ถูกตัดนั้นมีความลึก 5 ม. (16 ฟุต) และให้ตลิ่งชันในอัตราส่วน 1:10 และความเอียงเฉลี่ย 0.01° ตลอดความยาวของคลอง[86] เป็นที่รู้จักกันในนามว่า เมอร์-เวอร์ หรือ คลองขนาดใหญ่[87] พื้นที่นี้ยังคงใช้งานต่อไปจนกระทั่งถึง 230 ปีก่อนคริสตกาล เมื่อแม่น้ำไนล์สาขาย่อยในบริเวณลาฮูนได้เหือดแห้งไป[88]
ประติมากรรม
[แก้]ฟาโรห์อเมเนมเฮตที่ 3 และฟาโรห์เซนุสเรตที่ 3 เป็นที่มีหลักฐานที่ดีที่สุดในช่วงสมัยราชอาณาจักรกลางด้วยจำนวนของรูปสลัก โดยมีรูปสลักประมาณ 80 รูปที่สามารถกำหนดผู้สร้างได้ ประติมากรรมของฟาโรห์อเมเนมเฮตที่ 3 ผู้เป็นผู้สืบทอดพระราชบัลลังก์จากฟาโรห์เซนุสเรตที่ 3[89] รูปสลักของพระองค์มีลักษณะที่เป็นธรรมชาติมากขึ้น ในขณะที่ยังคงรักษาภาพลักษณ์ในอุดมคติ[90] มีการใช้หินหลากหลายรูปแบบสำหรับประติมากรรมของฟาโรห์[91] มากกว่าที่ฟาโรห์พระองค์ใดมาก่อน นอกจากนี้ พระองค์ก่อเกิดประติมากรรมประเภทใหม่และการตีความใหม่ ซึ่งหลายชิ้นได้รับแรงบันดาลใจจากผลงานที่เก่ากว่ามาก[89] ลักษณะพระพักตร์กว้างสองประเภทสามารถระบุถึงฟาโรห์อเมเนมเฮตที่ 3 ได้:[92]
- รูปแบบการแสดงออก: พระพักตร์ของฟาโรห์แสดงให้เห็นกล้ามเนื้อ โครงสร้างกระดูก และร่องที่ใบหน้าชัดเจน เห็นได้ชัดว่ารูปแบบนี้ได้รับแรงบันดาลใจจากรูปปั้นของฟาโรห์เซนุสเรตที่ 3
- รูปแบบที่ทำให้เป็นมนุษย์: พระพักตร์ถูกทำให้เรียบง่ายขึ้นโดยไม่มีการริ้วและร่องหรือมีเพียงเล็กน้อย และมีไม่การเปลี่ยนแปลงที่ชัดเจนระหว่างคุณสมบัติต่างๆ โดยทั่วไปแล้วสิ่งเหล่านี้มีการแสดงออกที่นุ่มนวลและดูอ่อนเยาว์กว่า[92]
-
ประติมากรรมประเภทแสดงออกในโคเปนเฮเกน
-
ประติมากรรมประเภททำให้เป็นมนุษย์ในมิวนิก
-
รูปสลักส่วนหัวขนาดครึ่งของจริงจากหินไดโอไรต์ลายจุดจากพิพิธภัณฑ์โบราณคดีอียิปต์เพทรี, กรุงลอนดอน
-
ฟาโรห์อเมเนมเฮตที่ 3 ทรงแต่งกายด้วยหนังเสือดำจากพิพิธภัณฑ์อียิปต์ กรุงไคโร
-
รูปสลักหินแกรนิตจากพิพิธภัณฑ์ของสะสมศิลปะอียิปต์โบราณเฮอร์มิเทจ เซนต์ปีเตอร์สเบิร์ก
ข้าราชบริพารในรัชสมัย
[แก้]ราชมนตรีนามว่า เคติ (H̱ty) ซึ่งขึ้นมาทำหน้าที่ประมาณปีที่ 29 ในรัชสมัยของฟาโรห์อเมเนมเฮตที่ 3[93] ได้ปรากฏบนบันทึกกระดาษปาปิรุสจากเอล-ลาฮูน[94] ซึ่งเป็นบันทึกเอกสารทางธุรกิจที่เขียนโดยราชมนตรีในราชสำนัก เพื่อหารือเกี่ยวกับการจ่ายเงินของพี่น้องสองคนชื่อว่า ไอย์-เซเนบ (Ỉhy-snb) สำหรับการทำงานของพวกเขา[95] สมัยนั้น พี่ชายคนหนึ่งของไอย์-เซเนบนามว่า อังค์-เรน (ꜥnḫ-rn) ซึ่งเป็น 'ผู้ช่วยฝ่ายพระคลัง' แต่ต่อมาก็มีบันทึกปาปิรุสที่มีพินัยกรรมของเขาลงช่วงเวลาในปีที่ 44 ในรัชสมัยของฟาโรห์อเมเนมเฮตที่ 3 เขาได้กลายมาเป็น ' หัวหน้าฝ่ายงาน[96][97] บันทึกปาปรุสอย่างหลังนี้ได้ระบุไว้สองช่วงเวลาคือ ปีที่ 44, เดือนที่ 2 แห่งเชมู, วันที่ 13 และปีที่ 2, เดือนที่ 2 แห่งอาเคต, วันที่ 18[98] ช่วงเวลาหลังนั้นหมายถึงการครองราชย์ของฟาโรห์อเมเนมเฮตที่ 4 หรือฟาโรห์โซเบคเนเฟรู[99] ยังมีบันทึกอักษรเฮียราติกอีกชิ้นหนึ่งและรายการหินปูนที่ไอย์-เซเนบ และอังค์-เรน ปรากฏอยู่[100] พี่ชายอีกคนนามว่า ไอย์-เซเนบ วาห์ (Wꜣḥ) เป็นนักบวชแห่งวาบและเป็น 'หัวหน้าคณะนักบวชแห่งเซปดู เจ้าแห่งตะวันออก'[94][101]
คนุมโฮเทป (H̱nmw-ḥtp) เป็นข้าราชการที่ดำรงตำแหน่งอย่างน้อยสามทศวรรษตั้งแต่ปีที่ 1 แห่งรัชสมัยของฟาโรห์เซนุสเรตที่ 2 จนถึงรัชสมัยของฟาโรห์อเมเนมเฮตที่ 3[102] ในช่วงต้นรัชสมัยฟาโรห์เซนุสเรตที่ 2 เขามีตำแหน่งเป็นมหาดเล็ก แต่ในช่วงบั้นปลายของชีวิต เขามีตำแหน่งเป็นราชมนตรีและเจ้าพนักงานราชสำนักชั้นสูง[103] หลุมฝังศพของเขาในดาห์ชูร์ที่ยังเป็นหลักฐานยืนยันถึงตำแหน่งอื่นๆ อีกหลายตำแหน่ง รวมทั้ง "ข้าราชการระดับสูง" "ผู้ถือตราพระราชลัญจกร" "หัวหน้าคณะนักบวช" "เจ้าแห่งความลับ" และ "ผู้ดูแลนคร"[104][105]
ราชมนตรีอีกคนหนึ่งที่สามารถสืบทราบได้ในรัชสมัยคือ อเมนิ (Ỉmny)[106] อเมนิได้ปรากฏบนจารึกสองชิ้นจากอัสวาน[107] พบชิ้นแรกโดยฟลินเดอร์ส เพทรี บนถนนระหว่างฟิเลและ อัสวาน[108] และชิ้นที่สองพบโดยแฌ็ค เดอ มอร์แกง บนฝั่งขวาของแม่น้ำไนล์ระหว่างบาร์และอัสวาน[109] จารึกมีชื่อของสมาชิกในครอบครัวของเขา[110] รวมทั้งภรรยาของเขานามว่า เซโฮเทปอิบเร เนฮิ (Sḥtp-ỉb-rꜥ Nḥy) ผู้ที่ปรากฏบนจารึกในพิพิธภัณฑ์แห่งชาติโคเปนเฮเกนด้วย[111]
ผู้ดูแลพระคลังมหาสมบัตินามว่า อิเคอร์โนเฟรต (Y-ẖr-nfrt) ซึ่งขึ้นมาทำหน้าที่ในช่วงปีแรก ๆ ของรัชสมัยของฟาโรห์อเมเนมเฮตที่ 3[112] จากจารึกพิธีศพในพิพิธภัณฑ์อียิปต์ในกรุงไคโร[113] ข้าราชการคนนี้เป็นหนึ่งในผู้มีหลักฐานยืนยันที่ดีที่สุดในช่วงสมัยราชอาณาจักรกลาง แม้ว่าจะไม่ทราบเกี่ยวกับครอบครัวของเขาก็ตาม[112] จารึกพิธีศพของเขามีอายุย้อนไปถึงปีแรกของรัชสมัยของฟาโรห์อเมเนมเฮตที่ 3 และมีชื่อของเขาพร้อมกับชื่อตำแหน่งสามตำแหน่ง คือ 'ผู้ถือตราพระราชลัญจกรแห่งกษัตริย์อียิปต์ล่าง', 'พระสหายคนเดียวแห่งกษัตริย์' และ 'ผู้ดูแลพระคลังมหาสมบัติ'[114][115] ข่าวถูกกล่าวถึงในจารึกพิธีศพของ อเมนิ (Ỉmny) ผู้มีตำแหน่งเป็น 'เสนาธิการสำนักราชมนตรี' ส่วนหลังของจารึกเล่าถึงการเข้างานของอิเกอร์โนเฟรต และซาเซเทต (Sꜣ-sṯt) ในงานเลี้ยงฉลองที่อไบดอสตามพระราชโองการของฟาโรห์เซนุสเรตที่ 3 หลังจากการเดินการทางทหารต่อนิวเบียในปีที่ 19[116][117] และอเมนิยังถูกกล่าวถึงใน 'จารึกแห่งซาเซเทต' ซึ่งบันทึกช่วงเวลาปีแรกของรัชสมัยของฟาโรห์อเมเนมเฮตที่ 3 ซึ่งเขายังคงดำรงตำแหน่งเดิม[118][119] ซึ่งได้ระบุว่าซาเซเทตมีตำแหน่งเป็น 'เสนาธิการสำนักดูแลพระคลังฯ' บนจารึกนั้น[118]
สิ่งประดิษฐ์คิดค้น
[แก้]บันทึกปาปิรัสทางคณิตศาสตร์แห่งไรนด์ คิดว่าเขียนขึ้นในช่วงรัชสมัยของฟาโรห์อเมเนมเฮตที่ 3[120]
อ้างอิง
[แก้]- ↑ Schneider 2006, pp. 173–174.
- ↑ 2.0 2.1 2.2 2.3 2.4 Leprohon 2013, p. 59.
- ↑ 3.0 3.1 3.2 3.3 3.4 von Beckerath 1984, p. 199.
- ↑ 4.0 4.1 4.2 4.3 4.4 4.5 4.6 4.7 4.8 Leprohon 2001, p. 69
- ↑ Dodson & Hilton 2004, pp. 93 & 96–98.
- ↑ Dodson & Hilton 2004, p. 93, 95–96 & 99.
- ↑ Roth 2001, p. 440
- ↑ Grajetzki 2006, p. 58
- ↑ Dodson & Hilton 2004, p. 95.
- ↑ Dodson & Hilton 2004, pp. 93 & 95.
- ↑ Callender 2003, p. 158
- ↑ Dodson & Hilton 2004, pp. 92 & 95–98.
- ↑ Schneider 2006, pp. 172–173.
- ↑ Saladino Haney 2020, pp. 39–97.
- ↑ 15.0 15.1 15.2 15.3 15.4 Schneider 2006, p. 173.
- ↑ 16.0 16.1 Simpson 2001, p. 455.
- ↑ Griffith 1897, p. 40; Griffith 1898, p. Pl. XIV.
- ↑ Grajetzki 2006, p. 180.
- ↑ Grajetzki 2006, p. 60.
- ↑ 20.00 20.01 20.02 20.03 20.04 20.05 20.06 20.07 20.08 20.09 20.10 20.11 20.12 20.13 Grimal 1992, p. 170.
- ↑ Ryholt 1997, p. 212.
- ↑ Murnane 1977, pp. 12–13 & footnote. 55.
- ↑ 23.0 23.1 Grimal 1992, p. 168.
- ↑ 24.0 24.1 Callender 2003, p. 154.
- ↑ 25.0 25.1 Callender 2003, p. 155.
- ↑ Grimal 1992, p. 167.
- ↑ Grimal 1992, p. 166.
- ↑ 28.0 28.1 28.2 Callender 2003, p. 156.
- ↑ 29.0 29.1 Clayton 1994, p. 87.
- ↑ 30.0 30.1 Clayton 1994, pp. 87–88.
- ↑ 31.0 31.1 31.2 31.3 Callender 2003, pp. 156–157.
- ↑ 32.0 32.1 Callender 2003, p. 157.
- ↑ Leprohon 1999, p. 54.
- ↑ Grajetzki 2006, p. 59.
- ↑ Zecchi 2010, p. 38.
- ↑ Clayton 1994, p. 88.
- ↑ Callender 2003, pp. 157–158.
- ↑ 38.0 38.1 Verner 2001, p. 421
- ↑ Lehner 2008, p. 16.
- ↑ Allen 2008, p. 31.
- ↑ 41.0 41.1 Lehner 2008, p. 179.
- ↑ 42.0 42.1 Verner 2001, p. 422.
- ↑ 43.0 43.1 Verner 2001, p. 465.
- ↑ 44.0 44.1 Lehner 2008, p. 17.
- ↑ Verner 2001, pp. 422–423.
- ↑ 46.0 46.1 46.2 Verner 2001, p. 423.
- ↑ 47.0 47.1 Lehner 2008, p. 180.
- ↑ Verner 2001, pp. 424–426.
- ↑ Lehner 2008, pp. 179–180.
- ↑ Verner 2001, p. 424.
- ↑ 51.0 51.1 Verner 2001, p. 427.
- ↑ 52.00 52.01 52.02 52.03 52.04 52.05 52.06 52.07 52.08 52.09 52.10 Lehner 2008, p. 181.
- ↑ Verner 2001, pp. 427–428.
- ↑ Verner 2001, p. 428.
- ↑ 55.0 55.1 Verner 2001, p. 428.
- ↑ 56.0 56.1 Verner 2001, p. 430.
- ↑ 57.0 57.1 57.2 Verner 2001, p. 431.
- ↑ Verner 2001, pp. 431–432.
- ↑ Farag & Iskander 1971.
- ↑ Hölzl 1999, p. 437.
- ↑ Hintze & Reineke 1989, pp. 145–147.
- ↑ Gardiner, Peet & Černý 1955, pp. 66–71.
- ↑ Tallet 2002, pp. 371–372.
- ↑ Tallet 2002, p. 372.
- ↑ Gardiner, Peet & Černý 1955, p. 76.
- ↑ Mumford 1999, p. 882.
- ↑ Gardiner, Peet & Černý 1955, pp. 78–81, 90–121, 133–134, 141–143.
- ↑ 68.0 68.1 Uphill 2010, p. 46.
- ↑ Castel & Soukiassian 1985, pp. 285 & 288.
- ↑ Mahfouz 2008, p. 275, footnote 130.
- ↑ 71.0 71.1 Seyfried 1981, pp. 254–256.
- ↑ Couyat & Montet 1912, pp. 40–41 & 51.
- ↑ Shaw & Jameson 1993, p. 97.
- ↑ Seyfried 1981, pp. 105–116.
- ↑ Sadek 1980, pp. 41–43.
- ↑ Rothe, Miller & Rapp 2008, pp. 382–385 & 499.
- ↑ Shaw et al. 2010, pp. 293–294.
- ↑ Darnell & Manassa 2013, pp. 56–57.
- ↑ Darnell & Manassa 2013, p. 58.
- ↑ Mahfouz 2008, pp. 253, 259–261.
- ↑ Bard, Fattovich & Manzo 2013, p. 539.
- ↑ Bard, Fattovich & Manzo 2013, p. 537.
- ↑ Mahfouz 2008, pp. 253–255 & 273–274.
- ↑ Callender 2003, pp. 152–153 & 157.
- ↑ Callender 2003, p. 152.
- ↑ Chanson 2004, p. 544.
- ↑ Gorzo 1999, p. 429.
- ↑ Chanson 2004, pp. 545.
- ↑ 89.0 89.1 Connor 2015, p. 58.
- ↑ Connor 2015, pp. 58 & 60.
- ↑ Connor 2015, p. 59.
- ↑ 92.0 92.1 Connor 2015, pp. 60–62.
- ↑ Grajetzki 2009, p. 34.
- ↑ 94.0 94.1 Griffith 1897, p. 35.
- ↑ Griffith 1897, pp. 35–36.
- ↑ Griffith 1897, pp. 31 & 35.
- ↑ JGU n.d., Person PD 189.
- ↑ Griffith 1897, pp. 31–35; Griffith 1898, p. Plate XII
- ↑ Griffith 1897, p. 34.
- ↑ JGU n.d., Person PD 189.
- ↑ JGU n.d., Person wꜥb; ḥrj-sꜣ n spdw nb jꜣbtt jḥjj-snb/wꜣḥ.
- ↑ Allen 2008, pp. 29–31.
- ↑ Allen 2008, p. 29.
- ↑ Allen 2008, pp. 32.
- ↑ JGU n.d., Person DAE 161.
- ↑ de Meulenaere 1981, p. 78–79.
- ↑ JGU n.d., Person PD 116.
- ↑ Petrie 1888, p. Pl. VI, no. 137.
- ↑ de Morgan et al. 1894, pp. 29–31, no. 10.
- ↑ JGU n.d., Person PD 116.
- ↑ Thirion 1995, p. 174.
- ↑ 112.0 112.1 Tolba 2016, p. 135.
- ↑ Universität zu Köln 2021.
- ↑ Tolba 2016, pp. 138–139.
- ↑ JGU n.d., Person PD 27.
- ↑ MAH 2021.
- ↑ JGU n.d., Person PD 551.
- ↑ 118.0 118.1 Louvre 2021.
- ↑ JGU n.d., Person PD 94.
- ↑ Clagett 1989, p. 113.
ที่มา
[แก้]- "136780: Stele". Arachne. Universität zu Köln. 2021. สืบค้นเมื่อ September 13, 2021.
- Bard, Kathryn; Fattovich, Rodolfo; Manzo, Andrea (2013). "The ancient harbor at Mersa/Wadi Gawasis and how to get there: New evidence of Pharaonic seafaring expeditions in the Red Sea". ใน Förster, Frank; Riemer, Heiko (บ.ก.). Desert Road Archaeology in Ancient Egypt and Beyond. Cologne: Heinrich-Barth-Institut. pp. 533–557. ISBN 9783927688414.
- Callender, Gae (2003). "The Middle Kingdom Renaissance (c. 2055–1650 BC)". ใน Shaw, Ian (บ.ก.). The Oxford History of Ancient Egypt. Oxford: Oxford University Press. pp. 137–171. ISBN 978-0-19-815034-3.
- Chanson, Hubert (2004). Hydraulics of Open Channel Flow. Amsterdam: Elsevier/Butterworth-Heinemann. ISBN 9780750659789.* Clagett, Marshall (1989). Ancient Egyptian Science: A Source Book. Philadelphia: American Philosophical Society. ISBN 9780871691842.
แหล่งข้อมูลอื่น
[แก้]