ข้ามไปเนื้อหา

ดอนัลด์ ทรัมป์

จากวิกิพีเดีย สารานุกรมเสรี
(เปลี่ยนทางจาก Donald Trump)
ดอนัลด์ ทรัมป์
ทรัมป์ใน ค.ศ. 2025
ประธานาธิบดีสหรัฐ คนที่ 45 และ 47
เริ่มดำรงตำแหน่ง
20 มกราคม ค.ศ. 2025
(2 เดือน 7 วัน)
รองประธานาธิบดีเจดี แวนซ์
ก่อนหน้าโจ ไบเดิน
ดำรงตำแหน่ง
20 มกราคม ค.ศ. 2017 – 20 มกราคม ค.ศ. 2021
(4 ปี)
รองประธานาธิบดีไมก์ เพนซ์
ก่อนหน้าบารัก โอบามา
ถัดไปโจ ไบเดิน
ข้อมูลส่วนบุคคล
เกิด
ดอนัลด์ จอห์น ทรัมป์

(1946-06-14) 14 มิถุนายน ค.ศ. 1946 (78 ปี)
ควีนส์ นครนิวยอร์ก สหรัฐ
พรรคการเมืองริพับลิกัน (1987–1999, 2009–2011, 2012–ปัจจุบัน)
การเข้าร่วม
พรรคการเมืองอื่น
คู่สมรส
บุตร
ความสัมพันธ์ตระกูลทรัมป์
ศิษย์เก่ามหาวิทยาลัยเพนซิลเวเนีย (วท.บ.)
อาชีพ
รางวัลรายการทั้งหมด
ลายมือชื่อDonald J Trump stylized autograph, in ink
เว็บไซต์

ดอนัลด์ จอห์น ทรัมป์ (อังกฤษ: Donald John Trump, ออกเสียง: /trʌmp/; เกิด 14 มิถุนายน ค.ศ. 1946) เป็นนักการเมือง ผู้มีชื่อเสียงทางสื่อ และนักธุรกิจชาวอเมริกัน ดำรงตำแหน่งประธานาธิบดีสหรัฐคนที่ 45 ตั้งแต่ปี 2017 ถึง 2021[1] และปัจจุบันดำรงตำแหน่งประธานาธิบดีคนที่ 47 เป็นสมัยที่สองตั้งแต่เดือนมกราคม ค.ศ. 2025[2] ในฐานะสมาชิกพรรคริพับลิกัน ทรัมป์ยังเป็นประธานเจ้าหน้าที่บริหารของเดอะทรัมป์ ออร์แกไนเซชั่น ผู้พัฒนาอสังหาริมทรัพย์ในสหรัฐ และเป็นผู้ก่อตั้งทรัมป์เอนเตอร์เทนเมนต์ รีสอร์ตที่มีกิจการกาสิโนและโรงแรมทั่วโลก[3]

ทรัมป์เกิดและเติบโตในนครนิวยอร์ก เขาได้รับอิทธิพลจากบิดาในการเป็นนักอสังหาริมทรัพย์[4] เมื่อจบการศึกษาด้านเศรษฐศาสตร์จากมหาวิทยาลัยเพนซิลเวเนียในปี 1968 ทรัมป์เข้าร่วมเดอะทรัมป์ ออร์แกไนเซชั่นซึ่งเป็นหนึ่งในธุรกิจหลักของครอบครัว ควบคู่ไปกับการดำเนินงานทรัมป์ทาวเวอร์ในนิวยอร์ก และขยายธุรกิจสู่อุตสาหกรรมการบิน และกาสิโน[5] ก่อนจะประสบภาวะล้มละลาย เขาก่อสร้างทรัมป์เวิลด์ทาวเวอร์ อาคารที่พักอาศัยขนาดใหญ่ และถือครองกรรมสิทธิ์ในทรัมป์อินเตอร์แนชชันแนลโฮเตลแอนด์ทาวเวอร์ และพื้นที่อสังหาริมทรัพย์จำนวนมากในแมนแฮตตัน[6] ทรัมป์ยังเป็นเจ้าของกิจการการประกวดนางงามจักรวาล และผู้อำนวยการสร้างและดำเนินรายการเรียลลิตีโชว์ The Apprentice ระหว่างปี 2004–2015 ทรัมป์ยึดอาชีพทางธุรกิจหลายปีก่อนจะประกาศลงสมัครเลือกตั้งในปี 2015[7] ทรัมป์ชนะการเลือกตั้ง ค.ศ. 2016 เหนือฮิลลารี คลินตัน จากพรรคเดโมแครต ด้วยวัย 70 ปี ทรัมป์จึงเป็นบุคคลอายุมากที่สุดในขณะนั้น และมีทรัพย์สินมากที่สุดที่ดำรงตำแหน่งประธานาธิบดี และยังเป็นบุคคลแรกที่ไม่เคยรับราชการทหารหรือข้าราชการมาก่อน ทรัมป์กล่าวข้อความเท็จหรือชักจูงให้เข้าใจผิดบ่อยครั้งทั้งก่อนและระหว่างดำรงตำแหน่ง รวมถึงการส่งเสริมทฤษฎีสมคบคิดอย่างกว้างขวางในระดับที่ไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อนในการเมืองสหรัฐ ข้อคิดเห็นและอุดมการณ์ส่วนใหญ่ของเขาได้รับการวิจารณ์ว่าเป็นชาตินิยม อีกทั้งยังแสดงการเหยียดเชื้อชาติและอคติต่อสตรี[8][9][10]

แนวนโยบายของทรัมป์เน้นการเจราความสัมพันธ์สหรัฐ–จีนและความตกลงการค้าเสรีใหม่ เช่น นาฟตาและความตกลงหุ้นส่วนเศรษฐกิจภาคพื้นแปซิฟิก การบังคับใช้กฎหมายการเข้าเมืองอย่างแข็งขัน รวมทั้ง "การตรวจสอบภูมิหลังเต็มที่" ของผู้อพยพเข้าเมืองชาวมุสลิม และการขยายกำแพงชายแดนสหรัฐเม็กซิโก ริเริ่มนโยบายแยกครอบครัวผู้อพยพ จุดยืนอื่นของเขาได้แก่การมุ่งอิสระทางพลังงานขณะที่ค้านข้อบังคับการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศอื่น เช่น แผนพลังงานสะอาดและความตกลงปารีส, ปฏิรูปกิจการทหารผ่านศึก, การแทนที่รัฐบัญญัติคุ้มครองผู้ป่วยและการบริบาลที่เสียได้, การยกเลิกมาตรฐานการศึกษาคอมมอนคอร์, การลงทุนโครงสร้างพื้นฐาน, การลดความยุ่งยากของประมวลกฎหมายภาษี ลงนามในพระราชบัญญัติลดหย่อนภาษีและการจ้างงาน และแต่งตั้งผู้พิพากษาศาลสูงสุด ทรัมป์กำหนดภาษีนำเข้าต่อบริษัทที่จ้างงานนอกประเทศทำให้เกิดสงครามการค้ากับจีน เขาส่งเสริมแนวนโยบายต่างประเทศที่ไม่แทรกแซงเสียส่วนใหญ่ และเพิ่มรายจ่ายทางด้านกลาโหม และรับรองเยรูซาเลมเป็นเมืองหลวงของอิสราเอล รวมถึงการถอนกำลังทหารออกจากซีเรีย เขาพบ คิม จ็อง-อึน ผู้นำเกาหลีเหนือโดยปราศจากการบรรลุข้อตกลงการปลดอาวุธนิวเคลียร์ เขาถูกวิจารณ์ในกรณีตอบสนองต่อการระบาดของโควิด-19 ล่าช้า

ภายหลังทรัมป์ปลดเจมส์ โคมีย์ ผู้อำนวยการสำนักงา่นสอบสวนกลางในปี 2017 กระทรวงยุติธรรมแต่งตั้งโรเบิร์ต มอลเลอร์เป็นที่ปรึกษาพิเศษในการสืบสวน และหาความเชื่อมโยงระหว่างการรณรงค์หาเสียงของทรัมป์และรัฐบาลรัสเซียในการแทรกแซงการเลือกตั้งปี 2016 ผลการสอบสวนระบุว่าทรัมป์ส่งเสริมการแทรกแซงการเลือกตั้งดังกล่าวจริง แต่ไม่พบหลักฐานเพียงพอเพื่อตั้งข้อหา ทรัมป์ยังร้องขอให้ยูเครนสอบสวนโจ ไบเดิน คู่แข่งทางการเมืองของเขาในเดือนกรกฎาคม 2019 เป็นเหตุให้สภาผู้แทนราษฎลงมติให้ถอดถอนทรัมป์ออกจากตำแหน่งฐานละเมิดอำนาจและขัดขวางรัฐสภา แต่วุฒิสภาลงคะแนนเสียงว่าทรัมป์ไม่มีความผิดทั้งสองข้อหาในเดือนกุมภาพันธ์ ค.ศ. 2020 ภายหลังการดำรงตำแหน่งสมัยแรก ทรัมป์ได้รับการจัดอันดับในฐานะหนึ่งในประธานาธิบดีที่แย่ที่สุดในประวัติศาสตร์[11][12]

ทรัมป์พ่ายการเลือกตั้ง ค.ศ. 2020 ให้แก่ไบเดิน แต่ปฏิเสธการยอมรับผลเลือกตั้ง[13] โดยอ้างถึงการโกงเลือกตั้งในหลายพื้นที่ เขามีส่วนในการปลุกระดมเหตุจลาจล ณ รัฐสภาสหรัฐ เดือนมกราคม ค.ศ. 2021 นำไปสู่การยื่นถอดถอนจากตำแหน่งเป็นครั้งที่สอง ทรัมป์จึงกลายเป็นประธานาธิบดีคนแรกที่ถูกยื่นถอดถอนถึงสองครั้ง เขาก่อตั้งทรัมป์ มีเดีย แอนด์ เทคโนโลยี กรุ๊ป บริษัทสื่อและเทคโนโลยีในปี 2021 ต่อมา ในเดือนพฤศจิกายน ค.ศ. 2022 เขาประกาศลงชิงตำแหน่งในการเลือกตั้ง ค.ศ. 2024[14] ทรัมป์เผชิญข้อพิพาททางกฎหมายตั้งแต่ช่วงดำรงตำแหน่งจนถึงการหาเสียงสมัยที่สอง ในปี 2023 เขาถูกตั้งข้อหาล่วงละเมิดทางเพศอดีตคอลัมนิสต์ชาวอเมริกัน ตามด้วยข้อหาฉ้อโกงด้วยการปลอมแปลงบันทึกทางธุรกิจในปี 2024 ส่งผลให้เขาเป็นประธานาธิบดีคนแรกที่ถูกตั้งข้อหาทางอาญา[15][16] ทรัมป์รอดชีวิตจากเหตุลอบสังหารในรัฐเพนซิลเวเนียในเดือนกรกฎาคม 2024[17]

ทรัมป์มีชัยเหนือกมลา แฮร์ริส ในปี 2024 และกลายเป็นประธานาธิบดีสหรัฐคนที่สองที่ชนะการเลือกตั้งสองสมัยแบบไม่ต่อเนื่องกัน คดีอาญาซึ่งอยู่ระหว่างกระบวนการไต่สวนได้ถูกยกฟ้องโดยกระทรวงยุติธรรม ทรัมป์ลงนามในคำสั่งอภัยโทษแก่ผู้ก่อจลาจลปี 2021 และเนรเทศผู้อพยพเข้าประเทศ รวมทั้งถอนสหรัฐออกจากความตกลงปารีส[18][19] เขาริเริ่มแผนปรับลดขนาดรัฐบาล[20] และการยึดครองฉนวนกาซา[21] การออกคำสั่งที่ท้าทายกฎหมายก่อให้เกิดการฟ้องร้องหลายสิบคดี

ประวัติ

[แก้]

ครอบครัวและการศึกษา

[แก้]

ดอนัลด์ จอห์น ทรัมป์ เกิดเมื่อวันที่ 14 มิถุนายน ค.ศ. 1945 ในโรงพยาบาลจาเมกาในควีนส์ของนครนิวยอร์ก เป็นบุตรคนที่ 4 ของเฟรด ทรัมป์ และแมรี แอนน์ แมคลอยด์ ทรัมป์ เขามีเชื้อสายเยอรมันและสกอตแลนด์ ทรัมป์เติบโตมาพร้อมกับพี่น้องอย่าง แมรีแอนน์, เฟรด จูเนียร์, เอลิซาเบธ และโรเบิร์ต น้องชายคนสุดท้ายในคฤหาสน์ย่านควีนส์ของจาเมกาเอสเตทส์ บิดาของเขามอบเงินให้บุตรทุกคน ๆ ละประมาณ 20,000 ดอลลาร์สหรัฐต่อปี หรือเทียบเท่ากับ 265,000 ดอลลาร์ในปี 2024 ทรัมป์จึงกลายเป็นเศรษฐีตั้งแต่อายุแปดปี ทั้งบิดามารดา รวมถึงบรรพุบรุษของทรัมป์เกิดในยุโรป โดยทั้งคุณปู่ คุณย่า คุณตา และคุณยายเป็นผู้อพยพมายังคาลล์ชตัดท์ เยอรมนี บิดาของทรัมป์เป็นนักอสังหาริมทรัพย์ซึ่งเกิดในควีนส์[22][23] ส่วนมารดาอพยพเข้านิวยอร์กในวันเกิดของเธอจากเกาะเลวิส สกอตแลนด์ [24] ทั้งคู่พบกันในนิวยอร์กและตกลงแต่งงานกันในปี 1936 และอพยพไปยังควีนส์[24][25]

จอห์น เค ทรัมป์ ลุงของทรัมป์ เป็นอาจารย์ในสถาบันเทคโนโลยีแมสซาชูเซตส์ระหว่าง ค.ศ. 1936–1973 มีส่วนคิดค้นเรดาร์ให้กับฝ่ายสัมพันธมิตรในช่วงสงครามโลกครั้งที่สอง และคิดค้นเครื่องเอ็กซเรย์เพื่อช่วยผู้ป่วยโรคมะเร็ง ในปี 1943 สำนักงานสอบสวนกลางมีคำสั่งให้จอห์น ทรัมป์ ตรวจสอบกระดาษและอุปกรณ์ของนิโคลา เทสลา เมื่อครั้งที่นิโคลาเสียชีวิตในห้องของเขาที่โรงแรมนิวยอร์กเกอร์[26] เฟดริก ทรัมป์ ปู่ของทรัมป์ เปิดร้านอาหารในซีแอตเทิลและครอนไลค์ (แคนาดา)[27] ครอบครัวทรัมป์แรกเริ่มนับถือนิกายลูเทอแรน แต่พ่อแม่ของทรัมป์นับถือนิกายคริสตจักรปฏิรูป[28] ครอบครัวทรัมป์แรกเริ่มสะกดชื่อสกุลว่า Drumpf แต่ถูกเปลี่ยนเป็น Trumps ในช่วงสงครามสามสิบปี ช่วงคริสต์ศตวรรษที่ 17[29] ทรัมป์กล่าวเขารู้สึกภูมิใจสำหรับการมีเชื้อสายจากเยอรมัน และเคยเป็นผู้นำขบวนพาเหรดออร์เคสตราปี 1999 German-American Steuben Parade นครนิวยอร์ก[30]

ดอนัลด์ ทรัมป์ ขณะกำลังเข้าเรียนที่โรงเรียนนายร้อยนิวยอร์ก ช่วงฤดูใบไม้ผลิ 1964

ทรัมป์จบการศึกษาจากโรงเรียน The Kew-Forest School ในวัย 13 เขาสมัครโรงเรียนนายร้อยนิวยอร์ก[31] ที่คอร์นวอลล์ ทรัมป์ศึกษาที่มหาวิทยาลัยฟอร์ดัมในเดอะบร็องซ์ เป็นเวลาสองปี หลังจากนั้นในเดือนสิงหาคม 1964 ทรัมป์ย้ายไปศึกษาที่มหาวิทยาลัยเพนซิลเวเนียในฟิลาเดลเฟีย ซึ่งเป็นมหาวิทยาลัยที่สอนเกี่ยวกับอสังหาริมทรัพย์แห่งแรก ๆ ในสหรัฐ[32][33] ในขณะนั้น เขาทำงานในบริษัทของครอบครัวอย่าง Elizabeth Trump & Son โดยชื่อบริษัทตั้งจากชื่อย่าของทรัมป์ เขาจบการศึกษาจากฟิลาเดลเฟียในเดือนพฤษภาคม ค.ศ. 1968 ได้รับปริญญาวิทยาศาสตรบัณฑิตด้านเศรษฐกิจ[33][34][35] ทรัมป์ไม่ได้เกณฑ์ทหารในช่วงสงครามเวียดนาม[36] เขาได้รับการผ่อนผัน 4 ครั้ง[37] ในปี 1966 เขาได้รับการตรวจสอบทางการแพทย์ซึ่งมีความสำคัญที่จะทำให้เขาสามารถบรรจุเป็นทหารเกณฑ์ปี 1968 ได้รับการตัดสินโดยคณะกรรมการท้องถิ่นซึ่งมีมติให้ผ่อนผันในเดือนตุลาคม 1968[38] ในบทสัมภาษณ์ชีวประวัติปี 2015 เขาให้เหตุผลว่าได้ใบผ่อนผันจากแพทย์เนื่องจากมีอาการปวดส้นเท้า[38].[39]

การสมรส

[แก้]

 ดอนัลด์ ทรัมป์ สมรสกับอีวานา เซลนิชโควา นางแบบชาวเช็กเกียในปี 1977[40] ทั้งสองมีบุตรด้วยกัน 3 คน ได้แก่ ดอนัลด์ ทรัมป์ จูเนียร์, อิวานกา ทรัมป์, และ อีริก ทรัมป์ ซึ่งต่อมาทั้ง 3 คนก็ได้มรดกจากผู้เป็นพ่อด้วยตำแหน่งรองประธานบริษัททรัมป์ออร์กาไนเซชันที่ซึ่งทรัมป์เป็นประธานบริหารมาอย่างยาวนาน ทรัมป์และอีวานาหย่าขาดในปี 1990 และต่อมาในปี 1993 ทรัมป์ได้สมรสครั้งที่สองกับมาร์ลา เมเปิลส์ และมีบุตร 1 คนคือ ทิฟฟานี ซึ่งตั้งชื่อตามร้านเพชรชื่อดังอย่างทิฟฟานีแอนด์โค ก่อนที่ทั้งสองจะแยกกันอยู่ในปี 1997 และหย่าขาดในปี 1999

  ทรัมป์หมั้นกับเมลาเนีย คเนาส์ นางแบบชาวสโลเวเนียในปี 2004 และเข้าพิธีสมรสในปี 2005 ก่อนที่เมลาเนียจะได้รับสัญชาติอเมริกันในปี 2006 และในเดือนมีนาคมปีเดียวกันนั้นเอง เมลาเนียได้ให้กำเนิดบุตรชายนามว่า บาร์รอน ทรัมป์[41] ซึ่งตั้งชื่อตามนามปากกาของทรัมป์ เมลาเนียได้ก้าวขึ้นสู่ตำแหน่งสุภาพสตรีหมายเลขหนึ่งสหรัฐ เมื่อวันที่ 20 มกราคม ค.ศ. 2017 ภายหลังการสาบานตนเข้ารับตำแหน่งของทรัมป์[42]

อาชีพทางธุรกิจ

[แก้]

อสังหาริมทรัพย์

[แก้]

ทรัมป์เริ่มต้นอาชีพทางธุรกิจอย่างเต็มตัวใน ค.ศ. 1968 เขาได้รับการปลูกฝังและแรงบันดาลใจที่ดีจากผู้เป็นพ่อในการเป็นนักอสังหาริมทรัพย์ ทรัมป์เริ่มงานที่บริษัทของพ่อซึ่งเป็นเจ้าของธุรกิจห้องเช่าสำหรับชนชั้นกลางในชานเมืองรอบนครนิวยอร์ก[43][44] สามปีให้หลัง เขาได้รับการแต่งตั้งจากผู้เป็นพ่อให้ดำรงตำแหน่งประธานบริษัทเดอะทรัมป์ ออร์แกไนเซชั่นในวัย 25 ปี ในช่วงเวลานั้นทรัมป์มีผู้ช่วยอย่างรอย โคห์น ทำหน้าที่เปรียบเสมือนที่ปรึกษา และทนายความส่วนตัวระหว่างทศวรรษ 1970–1980[45] โคห์นมีบทบาทสำคัญในการสนับสนุนทรัมป์ยื่นฟ้องรัฐบาลสหรัฐในปี 1973 เป็นเงินกว่า 100 ล้านดอลลาร์ (เทียบเท่ากับจำนวนเงิน 686 ล้านดอลลาร์ในปี 2023) ซึ่งกล่าวหาว่าการถือครองกรรมสิทธิ์ในทรัพย์สินของทรัมป์มีพฤติกรรมเลือกปฏิบัติทางเชื้อชาติ คดีความดังกล่าวยุติลงสิ้นเชิงภายหลังทรัมป์ยินยอมลงนามในกฎหมายการแบ่งแยกที่ดินและทรัพย์สิน โคห์นยังเป็นตัวตั้งตัวตีในการช่วยเหลือทรัมป์ในกิจกรรมทางธุรกิจ รวมถึงการมีสายสัมพันธ์อันดีกับสหภาพแรงงานด้านการก่อสร้าง และเป็นผู้แนะนำให้ทรัมป์รู้จักกับโรเจอร์ สโตนส์ เพื่อรับมือกับรัฐบาลกลาง[46]

ทรัมป์ในปี 1985 ถ่ายคู่กับแบบจำลองหนึ่งในโครงการอสังหาริมทรัพย์ซึ่งถูกยกเลิกในเวลาต่อมา[47]

ระหว่าง ค.ศ. 1991–2009 ทรัมป์ยื่นฟ้องตามบทที่ 11 ของประมวลกฎหมายล้มละลายของสหรัฐอเมริกา เพื่อคุ้มครองการล้มละลายในธุรกิจ 6 แห่งอันประกอบไปด้วย โรงแรมพลาซาในแมนแฮตตัน, กาสิโนแอตแลนติกซิตีในรัฐนิวเจอร์ซีย์ และทรัมป์เอนเตอร์เทนเมนต์รีสอร์ต[48][49]

ใน ค.ศ. 1992 ทรัมป์พร้อมด้วยพี่น้องและญาติอย่าง แมรีแอนน์ เอลิซาเบธ และโรเบิร์ต รวมทั้งลูกพี่ลูกน้องของเขา จอห์น ดับเบิลยู วอลเตอร์ ซึ่งต่างถือหุ้นในสัดส่วน 20 เปอร์เซ็นต์ ได้ร่วมกันก่อตั้งบริษัท All County Building Supply & Maintenance Cor อย่างไรก็ดี บริษัทดังกล่าวไม่มีสำนักงานอย่างเป็นทางการ และถูกกล่าวหาจากรัฐว่าเป็นเพียงบริษัทเล็ก ๆ ที่มีผลประโยชน์ทับซ้อนในการจ่ายค่าตอบแทนนายหน้าที่ให้บริการจัดหาอุปกรณ์ต่าง ๆ ให้แก่ห้องเช่าของทรัมป์ และมีการเรียกเก็บค่าตอบแทนไปยัง Trump Management โดยมีมาร์กอัป (ส่วนต่างราคา) สูงถึง 20–50 เปอร์เซ็นต์ขึ้นไป ผู้เกี่ยวข้องยังร่วมแบ่งปันรายได้ที่เกิดจากมาร์กอัปดังกล่าว โดยต้นทุนที่เพิ่มขึ้นถูกนำมาใช้ดำเนินการทำเรื่องขออนุมัติจากรัฐในการเพิ่มค่าเช่าห้องพักซึ่งเป็นค่าเช่าคงที่[50] ภาพนตร์เรื่อง The Apprentice (2024) เป็นภาพยนตร์ดรามาชีวประวัติซึ่งเจาะลึกอาชีพด้านอสังหาริมทรัพย์ของทรัมป์ในช่วงทศวรรษ 1970 และ 1980 รวมถึงความสัมพันธ์ของเขาและโคห์น[51][52]

แมนแฮตตันและชิคาโก

[แก้]

ทรัมป์ดึงดูดความสนใจจากสาธารณชนใน ค.ศ. 1978 ด้วยการเปิดตัวกิจการแห่งแรกในแมนแฮตตัน คือการปรับปรุงโรงแรมขนาดใหญ่อย่างโรงแรมคอมโมดอร์ที่ถูกทิ้งร้าง และอยู่ใกล้กับสถานีรถไฟแกรนด์เซ็นทรัล[53] การจัดหาเงินทุนได้รับการอำนวยความสะดวกโดยการลดภาษีทรัพย์สินในเมืองมูลค่ากว่า 400 ล้านดอลลาร์ที่พ่อของเขาจัดเตรียมไว้ ร่วมกับการอนุมัติสินเชื่อธนาคารเพื่อการก่อสร้างมูลค่ากว่า 70 ล้านดอลลาร์จากเครือไฮแอท โรงแรมได้รับการบูรณะและเปิดให้บริการอีกครั้งในปี 1980 ในชื่อ Hyatt Grand Central New York ในปีเดียวกันนั้น เขาได้รับสิทธิ์ในการพัฒนาทรัมป์ทาวเวอร์ ซึ่งเป็นตึกระฟ้าแบบผสมผสานในย่านมิดทาวน์แมนฮัตตัน[54] อาคารแห่งนี้ถูกใช้เป็นที่ตั้งของสำนักงานใหญ่ทรัมป์คอร์ปอเรชัน และเป็นที่พักอาศัยหลักของทรัมป์จนถึงปี 2019[55] ใน ค.ศ. 1988 ทรัมป์เข้าซื้อโรงแรมพลาซาด้วยเงินกู้จากกลุ่มธนาคาร 16 แห่ง[56] และได้ยื่นขอความคุ้มครองจากการล้มละลายใน ค.ศ. 1992 แผนการปรับโครงสร้างองค์กรได้รับการอนุมัติในอีกหนึ่งเดือนต่อมา โดยธนาคารจะถือกรรมสิทธิ์ในการเข้าควบคุมทรัพย์สิน[57]

ต่อมาในปี 1995 ทรัมป์ผิดนัดชำระเงินกู้จากธนาคารมูลค่ากว่า 3 พันล้านดอลลาร์ และผู้ให้กู้ได้ยึดโรงแรมพลาซาพร้อมทรัพย์สินอื่น ๆ ส่วนใหญ่ของเขาซึ่งถือเป็น "การปรับโครงสร้างครั้งใหญ่ที่น่าอับอาย" ซึ่งทำให้เขาสามารถหลีกเลี่ยงการล้มละลายส่วนบุคคลได้[58][59] ในปี 1996 ทรัมป์ได้ซื้อและปรับปรุงตึกระฟ้าสูง 71 ชั้นที่ว่างส่วนใหญ่ ณ 40 วอลล์สตรีต และต่อมาได้เปลี่ยนชื่อเป็นอาคารทรัมป์ ในช่วงต้นทศวรรษ 1990 เขาได้รับสิทธิ์ในการพัฒนาพื้นที่ 70 เอเคอร์ในย่านลินคอล์นสแควร์ใกล้แม่น้ำฮัดสัน อย่างไรก็ดี สืบเนื่องจากปัญหาทางการเงินในช่วงเวลานี้ซึ่งเขาต้องดิ้นรนต่อสู้กับหนี้มหาศาลจากกิจการอื่น ๆ ในปี 1994 เขาจึงขายกรรมสิทธิ์ส่วนใหญ่ให้กับนักลงทุนชาวเอเชียซึ่งเป็นผู้สนับสนุนเงินทุนในการดำเนินโครงการที่ริเวอร์ไซด์เซาท์ให้แล้วเสร็จ[60] โครงการก่อสร้างสำคัญครั้งสุดท้ายของทรัมป์คือโรงแรมทรัมป์อินเตอร์เนชั่นแนลโฮเทลแอนด์ทาวเวอร์ ความสูง 92 ชั้นตั้งอยู่ในชิคาโก และเปิดตัวในปี 2008 อย่างไรก็ตาม ในปี 2024 ทรัมป์ถูกตรวจสอบกรณีปลอมแปลงบันทึกทางธุรกิจ และฉ้อโกงภาษีที่เกี่ยวข้องกับการรับค่าตอบแทนโดยไม่ลงบัญชีนานถึง 15 ปี[61]

กาสิโนแอตแลนติกซิตี และ ธุรกิจสายการบิน

[แก้]
The entrance of the Trump Taj Mahal, a casino in Atlantic City. It has motifs evocative of the Taj Mahal in India.
ทรัมป์ ทัชมาฮาล โรงแรมและกาสิโนในแอตแลนติกซิตี รัฐนิวเจอร์ซีย์

ใน ค.ศ. 1984 ทรัมป์เปิดตัว ทรัมป์พลาซา โฮเทล แอนด์ กาสิโน ด้วยความอนุเคราะห์ทางการเงินและการจัดการจากเครือฮอลิเดย์ อินน์[62] อย่างไรก็ดี ธุรกิจดังกล่าวไม่สามารถสร้างผลกำไร และทรัมป์ตัดสินใจจ่ายเงินกว่า 70 ล้านดอลลาร์ให้แก่ฮอลิเดย์ อินน์ เพื่อถือครองกรรมสิทธิ์เด็ดขาด ในปี 1985 เขาซื้อกิจการโรงแรม Atlantic City Hilton ที่ยังไม่เปิดให้บริหาร และเปลี่ยนชื่อเป็น Trump Castle[63] กิจการกาสิโนทั้งสองแห่งยื่นฟ้องตามบทที่ 11 ของประมวลกฎหมายเพื่อคุ้มครองการล้มละลายในปี 1992[64] ทรัมป์ยื่นซื้อกิจการแห่งที่สามในแอตแลนติกซิตีใน ค.ศ. 1988 นั่นคือ ทรัมป์ ทัชมาฮาล ได้รับการสนับสนุนทางการเงินด้วยพันธบัตรมูลค่า 675 ล้านดอลลาร์ และเสร็จสิ้นด้วยมูลค่า 1.1 พันล้านดอลลาร์ เปิดดำเนินการในเดือนเมษายน ค.ศ. 1990 เขายื่นฟ้องเพื่อคุ้มครองการล้มละลายอีกครั้ง ในช่วงเวลานี้ทรัมป์ยังมีธุรกิจในอุตสาหกรรมการบิน โดยเป็นเจ้าของสายการบิน Trump Shuttle เปิดดำเนินการในวันที่ 8 มิถุนายน ปี 1989[65] อย่างไรก็ตาม เพื่อเป็นการลดภาระหนี้สินส่วนตัวจำนวนกว่า 900 ล้านดอลลาร์ ทรัมป์จำต้องขายสายการบินดังกล่าว พร้อมกับเรือยอทช์ส่วนตัวซึ่งใช้สำหรับกิจการกาสิโน รวมถึงธุรกิจอื่น ๆ[66] ต่อมาในปี 1995 ทรัมป์ได้ก่อตั้ง Trump Hotels & Casino Resorts (THCR) ซึ่งถือกรรมสิทธิ์ใน Trump Plaza[67] ทรัมป์ประสบภาวะล้มละลายในปี 2004 และ 2009 ส่งผลให้เขาถือหุ้นกิจการดังกล่าวเหลือเพียง 10% เขายังดำรงตำแหน่งประธานจนถึง ค.ศ. 2009[68]

คลับส่วนตัว

[แก้]

ในปี 1985 ทรัมป์ได้เข้าซื้อที่ดินในมาร์-อา-ลาโกในปาล์มบีช รัฐฟลอริดา[69] ก่อนที่ในปี 1995 เขาได้เปลี่ยนที่ดินดังกล่าวเป็นคลับส่วนตัวโดยมีค่าธรรมเนียมแรกเริ่มและค่าธรรมเนียมรายปี เขายังคงใช้สถานที่นี้เป็นที่พักอาศัยส่วนตัวต่อไป เขาได้ประกาศให้คลับแห่งนี้เป็นที่อยู่อาศัยหลักของเขาใน ค.ศ. 2019[70] เขาเริ่มสร้างและซื้อสนามกอล์ฟในปี 1999 และเป็นเจ้าของสนามกอล์ฟ 17 แห่งในปี 2016[71]

เริ่มงานการเมือง

[แก้]

ทรัมป์เริ่มแสดงทรรศนะด้านการเมืองครั้งแรกใน ค.ศ. 1987 โดยลงโฆษณาในหนังสือพิมพ์ 3 ฉบับ[72] เนื้อความว่าด้วยความคิดเห็นต่อนโยบายต่างประเทศของสหรัฐ และวิธีจัดการการขาดดุลงบประมาณของรัฐบาลกลาง[73] ในปีต่อมา เขาเข้าพบลี แอตวอเตอร์ ที่ปรึกษาทางการเมืองและนักยุทธศาสตร์นโยบายของพรรครีพับลิกันในขณะนั้น เพื่อร้องขอการพิจารณาให้เป็นผู้สมัครชิงตำแหน่งรองประธานาธิบดีของจอร์จ เอช. ดับเบิลยู. บุช โดยบุชกล่าวว่าคำขอดังกล่าวนั้น "แปลกและน่าเหลือเชื่อ"[74] และด้วยบุคลิกภาพอันโผงผาง กอปรกับการพูดจาฉะฉาน ตรงไปตรงมา ทำให้ทรัมป์เป็นที่สนใจโดยสื่อ และได้รับการคาดหมายว่าจะเป็นผู้มีบทบาททางการเมืองของประเทศในอนาคต

ทรัมป์ลงสมัครชิงตำแหน่งประธานาธิบดีในนามพรรคปฏิรูปแห่งสหรัฐอเมริกา ค.ศ. 2000 ก่อนจะถอนตัวในเดือนกุมภาพันธ์[75][76][77] ในปี 2011 เป็นที่คาดการณ์ในวงกว้างว่าทรัมป์จะลงสมัครชิงตำแหน่งผู้แทนพรรครีพับลิกันในการเลือกตั้ง ค.ศ. 2012 เพื่อแข่งกับบารัก โอบามา โดยปรากฏตัวครั้งแรกในการประชุม Conservative Political Action Conference ในเดือนกุมภาพันธ์ และกล่าวสุนทรพจน์สำหรับการเลือกตั้งขั้นต้น[78][79] อย่างไรก็ตาม ทรัมป์ยุติข่าวลือต่าง ๆ ด้วยการประกาศไม่ลงสมัครต่อในเดือนพฤษภาคม

การดำรงตำแหน่งประธานาธิบดีสมัยแรก (ค.ศ. 2017–2021)

[แก้]
ทรัมป์ขณะหาเสียง ณ รัฐแอริโซนา มีนาคม 2016

ทรัมป์ประกาศเจตนารมณ์ในการลงสมัครเลือกตั้งในเดือนมิถุนายน 2015[80][81] และได้รับการประกาศให้เป็นผู้ได้รับการเสนอชื่อจากพรรครีพับลิกันในเดือนพฤษภาคม 2016[82] ข้อความที่ใช้ในการหาเสียงของเขามักจะคลุมเครือและมีลักษณะชี้นำ[83] และคำกล่าวของเขาถูกบันทึกว่า "เป็นเท็จ" หลายครั้งซึ่งไม่เกิดขึ้นมาก่อนในการหาเสียงครั้งใด ๆ[84][85] ทรัมป์ยังใช้วาทกรรมในการโจมตีสื่ออย่างตรงไปตรงมา และกล้าวอ้างถึงอคติในการเสนอข่าวของสื่อ ในช่วงนี้ คู่แข่งจากเดโมแครตอย่างฮิลลารี คลินตันมีคะแนนนำทรัมป์ตลอดหลายเดือน ทว่าเมื่อเข้าสู่ต้นเดือนกรกฎาคม ช่องว่างในการนำกลับลดลงอย่างมีนัยสำคัญ[86] ในกลางเดือนกรกฎาคม ค.ศ. 2016 ทรัมป์ประกาศให้ไมก์ เพนซ์ ผู้ว่าการรัฐอินดีแอนา เป็นผู้ชิงตำแหน่งรองฯ[87]

ในระหว่างการหาเสียง มีรายงานว่าทรัมป์รายงานมูลค่าสินทรัพย์ที่มีมูลค่าสูงกว่า 1.4 พันล้านดอลลาร์ และมีหนี้สินคงค้างอย่างน้อย 315 ล้านดอลลาร์แต่เขาไม่ได้เปิดเผยรายละเอียดในการชำระภาษี ซึ่งขัดแย้งกับแนวปฏิบัติของผู้สมัครทุกรายตั้งแต่ปี 1976 แม้เขาจะให้คำมั่นในปี 2014 และ 2015 ที่จะทำเช่นนั้นหากเขาลงสมัครรับเลือกตั้ง นางคลินตันนำประเด็นนี้เป็นข้อโจมตีเขาในการดีเบตทั้งสามครั้ง[88][89] ในขณะที่ทรัมป์แก้ต่างว่า การชำระภาษีของเขาอยู่ระหว่างการตรวจสอบ ภายการต่อสู้คดีอันยาวนานในชั้นศาล การเปิดเผยการคืนภาษีและบันทึกอื่น ๆ ของเขาซึ่งมอบให้กับอัยการแมนฮัตตันเพื่อการสอบสวนทางอาญา รวมถึงการอุทธรณ์สองครั้งของทรัมป์ต่อศาลฎีกา ในเดือนกุมภาพันธ์ 2021 ศาลสูงสุดอนุญาตให้เปิดเผยบันทึกดังกล่าวแก่อัยการเพื่อให้คณะลูกขุนใหญ่ตรวจสอบ[90][91] ต่อมาในเดือนตุลาคม 2016 เนื้อความในเอกสารบางส่วนซึ่งทรัมป์ยื่นต่อรัฐบาลกลางในปี 1995 ได้รั่วไหลไปยังเดอะนิวยอร์กไทมส์ อันเป็นที่มาในการเปิดเผยข้อมูลว่า ทรัมป์ประกาศว่าธุรกิจของเขาขาดทุนกว่า 916 ล้านดอลลาร์ในปีนั้น ซึ่งอาจทำให้เขาได้รับการยกเว้นการชำระภาษีเป็นเวลาถึง 18 ปี[92]

แม้โพลแทบทุกสำนักต่างรายงานว่า ทรัมป์มีแนวโน้มสูงที่จะแพ้การเลือกตั้ง อย่างไรก็ตาม ทรัมป์ชนะการเลือกตั้งเมื่อวันที่ 8 พฤศจิกายน ค.ศ. 2016 ภายใต้คอนเซ็ปต์ "Make America Great Again" [93] ส่งผลให้ในวัย 70 ปี ทรัมป์เป็นบุคคลอายุมากที่สุด และมีทรัพย์สินมากที่สุดที่ดำรงตำแหน่งประธานาธิบดี เป็นบุคคลแรกที่ไม่เคยรับราชการทหารหรือข้าราชการมาก่อน และเป็นบุคคลที่สี่ที่ได้รับเลือกตั้งโดยไม่ได้คะแนนเสียงของผู้มีสิทธิเลือกตั้งข้างมากด้วยคะแนนเสียง 63 ล้านเสียง[94] โดยเพนซ์ได้รับตำแหน่งรองประธานาธิบดี ทรัมป์เอาชนะได้ถึง 30 รัฐ รวมถึงรัฐสำคัญอย่างมิชิแกน, เพนซิลเวเนีย และวิสคอนซินซึ่งล้วนแต่เป็นฐานเสียงของเดโมแครตนับตั้งแต่ทศวรรษ 1990 ชัยชนะของทรัมป์จุดชนวนการประท้วงในเมืองใหญ่ของสหรัฐฯ[95][96]

นโยบาย

[แก้]

100 วันแรก

[แก้]

ทรัมป์ประกาศถอนสหรัฐออกจาก TPP (ข้อตกลงการค้าในภาคพื้นแปซิฟิก) ซึ่งปัจจุบันมีสมาชิก 12 ประเทศซึ่งคิดเป็นร้อยละ 40 ของเศรษฐกิจโลกทั้งหมด โดยทรัมป์ต้องการให้สหรัฐเป็นมหาอำนาจเพียงหนึ่งเดียวที่ไม่จำเป็นต้องอิงกับใครในการพัฒนาเศรษฐกิจ[97] และให้คำมั่นจะสร้างงานให้ชาวอเมริกันอย่างมั่นคงอีกครั้ง เขายืนยันว่าตัวเลขประชาชนผู้ตกงานตลอดระยะเวลาหลายปีที่ผ่านมาในสหรัฐจะต้องลดลงอย่างมีนัยสำคัญ โดยมีหลักการคือทำเพื่ออเมริกาให้กลับมาเป็นที่หนึ่งอีกครั้ง ทรัมป์และทีมงานจะปรับแก้กฎหมายและสร้างงานให้แก่อเมริกันชนอีกครั้ง ไม่ว่าจะเป็นอุตสาหกรรมการผลิตเหล็ก, รถยนต์ ไปจนถึงยารักษาโรค เป็นต้น ทรัมป์ต้องการให้เกิดกระบวนการผลิตและนวัตกรรมใหม่ ๆ ซึ่งจะช่วยให้เกิดการจ้างงานที่มากขึ้นแก่คนอเมริกัน นอกจากนี้ ทรัมป์ยังได้เพิ่มงบประมาณทางการทหารมากขึ้นถึง 10% จากรัฐบาลโอบามา[98] ต่อมาเมื่อ วันที่ 3 เมษายน ค.ศ. 2017 ฌอน สไปเซอร์ โฆษกทำเนียบขาว ประกาศว่าทรัมป์จะบริจาคเงินเดือนทั้งหมดในช่วงไตรมาสแรกกว่า 78,333 ดอลลาร์ให้กับหน่วยงานอุทยานแห่งชาติเพื่อพัฒนาในฐานะที่เป็นแหล่งท่องเที่ยวระดับโลก ในด้านการต่างประเทศในช่วง 3 เดือนแรกของการดำรงตำแหน่ง ทรัมป์ออกมาเรียกร้องให้คณะมนตรีความมั่นคงแห่งสหประชาชาติต้องกำหนดมาตรการคว่ำบาตรเกาหลีเหนือที่แข็งกร้าวมากขึ้น ภายหลังจากเกาหลีเหนือยังคงเดินหน้าทดสอบอาวุธนิวเคลียร์และขีปนาวุธ รวมทั้งทำการออกคำสั่งยิงจรวดโจมตีฐานทัพอากาศในเมืองฮอมของซีเรีย เพื่อตอบโต้การใช้อาวุธเคมีโจมตีเขตพลเรือน

เศรษฐกิจและสังคม

[แก้]

ทรัมป์ประกาศอย่างชัดเจนก่อนการเลือกตั้งว่าเขาจะปฏิรูปนโยบายต่าง ๆ ที่บารัค โอบามาทำไว้ และบริหารประเทศภายใต้คอนเซ็ปต์ "Make America Great Again" ซึ่งเป็นนโยบายที่ โรนัลด์ เรแกน อดีตประธานาธิบดีคนที่ 40 เคยใช้หาเสียง[99] ตลอดระยะเวลา 4 ปี เขาให้ความสำคัญกับนโยบายด้านเศรษฐกิจมาก[100] โดยมีการปรับภาษีให้เท่าเทียมกัน และมีการลดหย่อนภาษีลงอย่างทั่วถึง โดยรวมถึงการลดค่าใช่จ่ายในการเลี้ยงบุตรและค่ารักษาพยาบาลทั่วไป ด้วยวัตถุประสงค์เพื่อลดจำนวนคนว่างงานลงให้มากที่สุด นอกจากนี้ ทรัมป์ยังให้ความใส่ใจกับนโยบายด้านการควบคุมผู้อพยพเข้าประเทศ[101][102][103] เขาต้องการผลักดันกฎหมายแรงงานให้ชาวอเมริกันมีสิทธิ์มากกว่าชาวต่างชาติในสหรัฐ ซึ่งจะเป็นการรับประกันเรื่องความปลอดภัยของชาวอเมริกัน รวมถึงการประกันรายได้การมีงานที่ดีรองรับโดยคำถึงถึงสิทธิ์ของคนอเมริกันเป็นอันดับแรก และเขาได้มีการเพิ่มมาตรการตรวจคนเข้าเมืองที่เข้มงวดเพื่อป้องกันการก่อการร้าย โดยต้องการลดจำนวนผู้อพยพจากพรมแดนเม็กซิโกและแถบลาตินอเมริกาให้มากที่สุด[104] เขาและภรรยามีการลงพื้นที่เยี่ยมประชาชนที่ได้รับความเดือดร้อนในหลายรัฐ

ประธานาธิบดีทรัมป์พร้อมด้วยสุภาพสตรีหมายเลขหนึ่ง และวุฒิสมาชิก จอห์น คอร์นีย์ ขณะไปเยี่ยมผู้รอดชีวิตจากเหตุกราดยิงที่ เอล ปาโช ค.ศ. 2019

ทรัมป์ไม่เห็นด้วยกับการบังคับใช้กฎหมายการควบคุมอาวุธปืนโดยทั่วไป[105] แม้ว่ามุมมองของเขาจะเปลี่ยนไปบ้างหลังจากเกิดเหตุกราดยิงกันหลายครั้ง[106] ทรัมป์กล่าวว่าเขาจะเสนอกฎหมายเพื่อลดความรุนแรงในการใช้ปืน แต่ต่อมาได้ถูกยกเลิกในเดือนพฤศจิกายนปี 2019 ฝ่ายบริหารของทรัมป์ได้แสดงจุดยืนต่อต้านการใช้กัญชา โดยเพิกถอนนโยบายของโอบามาในยุคที่ให้ความคุ้มครองสำหรับรัฐทีอนุญาตให้กัญชาเป็นสิ่งถูกกฎหมายโดยกำหนดโทษถึงประหารชีวิต ทรัมป์อนุมัติการให้มีการประหารชีวิตโดยรัฐบาลกลางครั้งแรกในรอบหลายปี ภายใต้การบริหารประเทศของทรัมป์ รัฐบาลกลางประหารชีวิตนักโทษเด็ดขาดรวม 13 ราย มากที่สุดในรอบ 56 ปี ในปี 2017 ทรัมป์กล่าวว่าเขาสนับสนุนการใช้วิธีการทรมานด้วยการสอบสวนโดยเจ้าหน้าที่ตำรวจและเป็นสิ่งที่พึงกระทำได้ตามกฎหมาย แต่ได้ถูกคัดค้านโดยเจมส์ แมตทิส รัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม

ใน ค.ศ. 2018 ทรัมป์ปฏิเสธการลงนามในร่างกฎหมายการจัดสรรใด ๆ จากสภาคองเกรส หากแต่จะจัดสรรเงินจำนวน 5.6 พันล้านดอลลาร์สำหรับการพัฒนากำแพงชายแดน ส่งผลให้รัฐบาลกลางปิดตัวลงบางส่วนเป็นเวลากว่า 35 วัน ตั้งแต่เดือนธันวาคม ค.ศ. 2018 ถึงมกราคม 2019 ถือเป็นการปิดตัวที่ยาวนานที่สุดในประวัติศาสตร์สหรัฐ[107] พนักงานรัฐประมาณ 800,000 รายถูกเลิกจ้างหรือต้องทำงานโดยไม่ได้รับค่าตอบแทน[108] ทรัมป์และสภาคองเกรสยุติการปิดระบบด้วยการอนุมัติเงินทุนชั่วคราวเพื่อชดเชยการจ่ายเงินล่าช้าแก่เจ้าหน้าที่ของรัฐ[109] การปิดระบบส่งผลให้เศรษฐกิจสูญเสียประมาณ 3 พันล้านดอลลาร์[110] ตามข้อมูลของสำนักงานงบประมาณรัฐสภา ประมาณครึ่งหนึ่งของผู้ตอบแบบสอบถามกล่าวโทษทรัมป์ที่เป็นต้นเหตุของการปิดระบบ และคะแนนนิยมของทรัมป์ลดลงอย่างมากจากเหตุการณ์ดังกล่าว[111] รัฐบาลทรัมป์ได้รับเสียงชื่นชมในการขจัดปัญหาการว่างงาน พบว่ามีอัตราการจ้างงานเพิ่มสูงขึ้นอย่างมีนัยสำคัญหลายล้านราย[112]

ประกันสุขภาพและการศึกษา

[แก้]

เจตนารมณ์ที่ชัดเจนที่สุดของทรัมป์อีกประการหนึ่งตั้งแต่ช่วงรณรงค์หาเสียงคือการยกเลิกประกันสุขภาพโอบามา แคร์ [113] เนื่องจากเขาเล็งเห็นว่ามันไม่ก่อให้เกิดประโยชน์ใด ๆ กับประชาชนในระดับกลางและระดับล่าง[114] ทั้งยังเป็นการเพิ่มภาระในการเสียภาษีฟุ่มเฟือยที่มากขึ้นอีกด้วย เขาได้มีนโยบายในการเปลี่ยนไปใช้ระบบการซื้อประกันสุขภาพในราคาที่ถูกลงและยังครอบคลุมสิทธิการรักษาเมื่อเดินทางข้ามรัฐได้อีกด้วย ในส่วนของนโยบายด้านการศึกษา ทรัมป์ต้องการสร้างความมั่นใจว่าสหรัฐมีระบบการศึกษาที่ดีที่สุดในโลก เขามีการผลักดันการพัฒนาด้านการศึกษาทางสายอาชีพมากขึ้น เพื่อเป็นการสร้างภูมิคุ้มกันชีวิตให้เยาวชนได้เรียนรู้ด้วยตนเองและสามารถพึ่งพาตนเองได้[115]

การต่างประเทศ

[แก้]

ตลอดระยะเวลาการดำรงตำแหน่งของทรัมป์ สหรัฐได้ตั้งคำถามต่อความสำคัญขององค์การระหว่างประเทศ และดำเนินนโยบายการค้าและการทหารซึ่งสอดคล้องของกับสโลแกน America First ที่คำนึงถึงผลประโยชน์แห่งชาติของสหรัฐ​เป็นอันดับหนึ่งซึ่งในบางครั้งได้เพิ่มความตึงเครียดในความสัมพันธ์ระหว่างประเทศมากขึ้น เขาได้ประกาศอย่างแข็งกร้าวในการกล้าที่จะเผชิญหน้ากับจีนและเกาหลีเหนือในฐานะประเทศคู่แข่งและผู้เป็นภัยคุกคามทางความมั่นคง ทรัมป์เน้นการใช้นโยบายแบบเอกาภาคีนิยม หรือ "Unilateralism" คือให้อเมริกาลุยเดี่ยว ‘Go It Alone’ ไม่จำเป็นต้องอิงกับพันธมิตรชาติใดเป็นพิเศษซึ่งตรงข้ามกับไบเดินอย่างสิ้นเชิง[116] (เดโมแครตเน้นการใช้เครื่องมือพหุภาคีระหว่างประเทศและใช้พันธมิตรเป็นเครื่องมือช่วยในการบริหารงานด้านการต่างประเทศ) ยิ่งไปกว่านั้น ในสมัยการบริหารโดยโอบามา เขาจัดทำข้อตกลงอาวุธนิวเคลียร์กับอิหร่านในปี 2015 ซึ่งทรัมป์ได้ทำการฉีกข้อตกลงดังกล่าวทำให้เกิดวิกฤตอิหร่านขึ้นอีกครั้งในช่วงปลายของการดำรงตำแหน่ง[117]

ทรัมป์ และ คิม จอง-อึน ในการประชุมครั้งแรก ณ โรงแรมคาเปลลา เกาะเซนโตซา สาธารณรัฐสิงคโปร์ มิถุนายน ค.ศ. 2018

ในปี 2017 เมื่อการพัฒนาอาวุธนิวเคลียร์ของเกาหลีเหนือเป็นภัยคุกคามมากขึ้นเรื่อย ๆ ทรัมป์ได้ยกระดับคำสั่งเตือนว่าเกาหลีเหนือจะต้องรับผิดชอบในสิ่งที่กำลังทำ และเท่ากับเป็นการประกาศตัวเป็นศัตรูต่อสหรัฐและชาวโลก ในปลายปี 2017 ทรัมป์ประกาศว่าเขาต้องการให้เกาหลีเหนือ "เลิกใช้นิวเคลียร์โดยสมบูรณ์" และติดต่อกับคิม จอง-อึนเพื่อยุติแผนการดังกล่าว ในห้วงเวลาแห่งความตึงเครียดนี้ ทรัมป์และคิมได้แลกเปลี่ยนจดหมายกันอย่างน้อย 27 ฉบับซึ่งทั้งสองคนอธิบายถึงมิตรภาพส่วนตัวที่อบอุ่นและมีแนวโน้มทีจะดีขึ้น โดยคิมได้ยื่นข้อเสนอที่จะพบกับทรัมป์ 3 ครั้ง[118] ได้แก่: ที่สิงคโปร์ในปี 2018 ในฮานอยในปี 2019 และในเขตปลอดทหารเกาหลีภายในปี 2019 โดยทรัมป์ได้กลายเป็นประธานาธิบดีสหรัฐคนแรกที่ได้พบกับผู้นำเกาหลีเหนือและได้เดินทางมาเกาหลีเหนือ[119] ทรัมป์ยังยกเลิกการคว่ำบาตรบางส่วนที่มีต่อเกาหลีเหนือ อย่างไรก็ตาม เกาหลีเหนือมิได้ยุติการพัฒนานิวเคลียร์แต่อย่างใด และการเจรจาในเดือนตุลาคม 2019 ก็ยุติลง

ทรัมป์และปูตินในการประชุมสุดยอด G20 ที่เมืองโอซากะ ปี 2019

ในขณะที่ความสัมพันธ์กับรัสเซียไม่ตึงเครียดเท่าเกาหลีเหนือ ทรัมป์มักชื่นชมวลาดิเมียร์ ปูติน[120] แต่ก็มีการต่อต้านการกระทำบางอย่างของรัสเซีย โดยฝ่ายบริหารของทรัมป์ยกเลิกการคว่ำบาตรของสหรัฐที่บังคับใช้กับรัสเซียหลังจากการผนวกไครเมียในปี 2014 และสนับสนุนให้รัสเซียกลับเข้าสู่การเป็นสมาชิกกลุ่ม 7[121] และภายหลังจากที่เขาได้พบกับปูตินในการประชุมสุดยอดผู้นำที่เฮลซิงกิเมื่อเดือนกรกฎาคม 2018 ทรัมป์ได้วิพากษ์วิจารณ์สมาชิกพรรคการเมืองทั้งทางฝั่งริพับลิกันและเดโมแครตในการปฏิเสธการแทรกแซงของรัสเซียในการเลือกตั้งประธานาธิบดีปี 2016 แทนที่จะยอมรับการพิสูจน์เหตุการณ์ดังกล่าวของหน่วยข่าวกรองสหรัฐว่ารัสเซียได้ทำการแทรกแซงการเลือกตั้งดังกล่าวจริง

รัฐบาลทรัมป์ให้การสนับสนุนการแทรกแซงของซาอุดีอาระเบียในสงครามกลางเมืองเยเมนอย่างเปิดเผย เขาลงนามในข้อตกลงมูลค่า 110 พันล้านดอลลาร์สหรัฐเพื่อขายอาวุธให้แก่ซาอุดีอาระเบียใน ค.ศ. 2017[122] ภายหลังเหตุโจมตีโรงงานผลิตน้ำมันของซาอุดีอาระเบียเมื่อ ค.ศ. 2019 สหรัฐ และซาอุดีอาระเบียร่วมกันประนามการกระทำดังกล่าวโดยเชื่อกันว่าอิหร่านเป็นผู้อยู่เบื้องหลัง ทรัมป์อนุมัติการส่งกองกำลังสหรัฐเพิ่มเติมกว่า 3,000 นาย ซึ่งรวมถึงฝูงบินขับไล่ไปยังซาอุดีอาระเบีย และสหรัฐอาหรับเอมิเรตส์ด้วยเหตุผลด้านความมั่นคง

ในขณะที่ความสัมพันธ์กับอิหร่านเต็มไปด้วยความตึงเครียด ทรัมป์มีคำสั่งให้สหรัฐถอนตัวจากแผนปฏิบัติการเบ็ดเสร็จร่วม ข้อตกลงเพื่อสันติซึ่งยกเลิกการคว่ำบาตรทางเศรษฐกิจส่วนใหญ่ต่ออิหร่านแลกกับข้อจำกัดในโครงการอาวุธนิวเคลียร์ของอิหร่าน ทรัมป์และกระทรวงการต่างประเทศสหรัฐใช้ส่วนหนึ่งของข้อตกลงดังกล่าวกดดันให้สหประชาชาติกลับมาพิจารณามาตรการคว่ำบาตรต่ออิหร่านอีกครั้ง นักวิเคราะห์ทางการเมืองแสดงทรรศนะว่าการถอนตัวดังกล่าว ส่งผลให้อิหร่านอ้างความชอบธรรมในการกลับมาพัฒนาโครงการอาุวธนิวเคลียร์อีกครั้ง[123] ทรัมป์มีบัญชาให้สหรัฐปฏิบัติการในเหตุโจมตีทางอากาศที่ท่าอากาศยานนานาชาติแบกแดด นำมาซึ่งการเสียชีวิตของนายพลกอเซม โซเลย์มอนี และและอะบู มะฮ์ดี อัลมุฮันดิสซึ่งสร้างความโกรธแค้นแก่อิหร่าน หนึ่งสัปดาห์ต่อมา อิหร่านตอบโต้ด้วยการใช้ขีปนาวุธโจมตีฐานทัพอากาศสหรัฐสองแห่งในอิรัก[124]

ทรัมป์กล่าวโจมตีจีนอย่างเปิดเผย โดยกล่าวว่าจีนเอาเปรียบสหรัฐทางการค้าอย่างไม่เป็นธรรม การเพิ่มจำนวนภาษีศุลกาการมหาศาลนำไปสู่สงครามการค้าจีน–สหรัฐ ได้รับการวิจารณ์ในวงกว้างว่าเป็นความผิดพลาดใหญ่หลวง[125] รวมถึงมาตรการคว่ำบาตรห้ามนำเข้าสินค้าจากหัวเว่ยฐานให้การสนับสนุนอิหร่าน[126] รวมถึงเพิ่มข้อจำกัดทางการตรวจลงตราต่อนักวิชาการและนักศึกษาจีนจำนวนมาก[127] ทรัมป์ยกย่องสี จิ้นผิง ผู้นำพรรคคอมมิวนิสต์จีน[128] ซึ่งเป็นผลมาจากการเจรจาสงครามการค้า หลังจากชื่นชมจีนในการจัดการกับการระบาดของโควิด-19 ในช่วงแรก ท่าทีของทรัมป์เปลี่ยนไป และเริ่มวิพากษ์วิจารณ์การรับมือดังกล่าวตั้งแต่เดือนมีนาคม ค.ศ. 2020 ทรัมป์แสดงจุดยืนต่อต้านการลงโทษจีนสำหรับการละเมิดสิทธิมนุษยชนต่อชนกลุ่มน้อยในภูมิภาคซินเจียง เนื่องจากเกรงว่าจะกระทบต่อการเจรจาการค้า[129] ในเดือนกรกฎาคม ค.ศ. 2020 ฝ่ายบริหารของทรัมป์บังคับใช้มาตรการคว่ำบาตร และข้อจำกัดด้านการตรวจลงตราต่อเจ้าหน้าที่อาวุโสของจีน เพื่อตอบสนองต่อการขยายค่ายกักกันที่ควบคุมชนกลุ่มน้อยชาวอุยกูร์มากกว่าหนึ่งล้านคน

รัฐบาลทรัมป์สนับสนุนเบนจามิน เนทันยาฮู นายกรัฐมนตรีอิสราเอล โดยรับรองเยรูซาเลมเป็นเมืองหลวง และสนับสนุนอธิปไตยของอิสราเอลเหนือที่ราบสูงกอราน นำไปสู่การประณามจากนานาชาติรวมทั้งจากสมัชชาใหญ่แห่งสหประชาชาติ, สหภาพยุโรป และสันนิบาตอาหรับ[130] ในปี 2020 ทำเนียบขาวเป็นเจ้าภาพการลงนามข้อตกลงชื่อ Abraham Accords ระหว่างอิสราเอล, สหรัฐอาหรับเอมิเรตส์ และบาห์เรน เพื่อกระชับความสัมพันธ์ระหว่างประเทศ

ทรัมป์มีคำสั่งให้โจมตีด้วยขีปนาวุธในภูมิภาคอัสซาดในซีเรีย เพื่อตอบโต้การโจมตีเคมีที่คอนชัยคูน ค.ศ. 2020 และการโจมตีเคมีที่ดูมาในปีต่อมาตามลำดับ[131] ในเดือนธันวาคม ค.ศ. 2018 ทรัมป์ประกาศว่า "เรามีชัยเหนือรัฐอิสลามแล้ว" ซึ่งขัดแย้งกับการประเมินของกระทรวงกลาโหม และมีคำสั่งถอนทหารออกจากซีเรีย[132] ในวันต่อมา พลเอกเจมส์ แมตทิส ประกาศลาออกเพื่อต่อต้านการกระทำดังกล่าว โดยกล่าวว่าการตัดสินใจของทรัมป์ว่าเป็นการละทิ้งพันธมิตรชาวเคิร์ดของสหรัฐที่มีบทบาทสำคัญในการต่อสู้กับไอซิส (รัฐอิสลาม) ในเดือนตุลาคม 2019 หลังจากการหารือกับเรเจป ไตยิป แอร์โดอัน ประธานาธิบดีตุรกี ทหารจากกองทัพบกสหรัฐในซีเรียตอนเหนือก็ถูกถอนออกจากพื้นที่ และตุรกีได้บุกโจมตีตอนเหนือซีเรียโดยโจมตีและขับไล่ชาวเคิร์ดที่เป็นพันธมิตรกับสหรัฐ[133] ในเดือนนั้น สภาผู้แทนราษฎรมีมติเอกฉันท์ด้วยคะแนนเสียง 354–60 เสียง ประณามการที่ทรัมป์ถอนทหารสหรัฐออกจากซีเรียในฐาน "ละทิ้งพันธมิตรสหรัฐ และเป็นบ่อนทำลายการต่อสู้กับ ISIS และก่อให้เกิดหายนะด้านมนุษยธรรม"

การจัดสรรบุคลากร

[แก้]

ฝ่ายบริหารในรัฐบาลทรัมป์มีอัตราการหมุนเวียนสูงโดยเฉพาะเจ้าหน้าที่ซึ่งปฏิบัติงาน ณ ทำเนียบขาว ข้อมูลระบุว่ามีเจ้าหน้าที่กว่าร้อยละ 34 ลาออกหรือถูกไล่ออกเมื่อสิ้นสุดปีแรกในการดำรงตำแหน่งของทรัมป์ เมื่อต้นเดือนกรกฎาคม ค.ศ. 2018 ผู้ช่วยอาวุโสของฝ่ายบริหารกว่าร้อยละ 61 ลาออกจากตำแหน่งรวมถึงเจ้าหน้าที่ 141 คนจากฝ่ายบริหารทั่วไปซึ่งลาออกในปีที่แล้วซึ่งตัวเลขทั้งสองรายการถือเป็นสถิติสูงสุดของผู้ดำรงตำแหน่งประธานาธิบดีในช่วงสองปีแรก ในจำนวนนี้รวมถึงผู้ดำรงตำแหน่งสำคัญอย่างไมเคิล ฟลินน์ อดีตที่ปรึกษาด้านความมั่นคงแห่งชาติซึ่งดำรงตำแหน่งเพียง 25 วัน และเลขาธิการสื่อมวลชนอย่างฌอน สไปเซอร์ ทรัมป์เป็นที่วิจารณ์จากการดูหมิ่นและแสดงความเห็นต่อเจ้าหน้าที่ระดับสูงเหล่านี้อย่างตรงไปตรงมาในที่สาธารณะ โดยใช้คำพูดเสียดสีรุนแรง เช่น ไร้ความสามารถและโง่[134]

มีผู้ดำรงตำแหน่งหัวหน้าเจ้าหน้าที่ทำเนียบขาวหรือผู้ช่วยประธานาธิบดีสี่รายในรัฐบาลทรัมป์ หัวหน้าคนแรกอย่าง ไรนซ์ พรีบัส ดำรงตำแหน่งเพียง 7 เดือนก่อนจะถูกแทนที่ด้วยพลเอก จอห์น เอฟ. เคลลี ซึ่งประกาศลาออกในเดือนธันวาคม ค.ศ. 2018 จากความไม่พอใจกรณีการถูกลดบทบาทและได้รับการดูหมิ่นจากทรัมป์[135] มิค มัลเวนีย์ อดีตผู้อำนวยการสำนักงานบริหารและงบประมาณ (OMB) เข้ามารับตำแหน่งต่อ และถูกแทนที่โดยมาร์ก มีโดวส์ เดือนมีนาคม ค.ศ. 2020 นอกจากนี้ ทรัมป์ยังสูญเสียสมาชิกคณะรัฐมนตรีเดิมไปถึง 3 รายจากทั้งหมด 15 คนภายในปีแรกของการรับตำแหน่ง[136] ทอม ไพรซ์ รัฐมนตรีกระทรวงสาธารณสุขถูกบังคับให้ลาออกในเดือนกันยายน ค.ศ. 2017 จากกรณีการใช้เครื่องบินส่วนตัว และเครื่องบินของกองทัพมากเกินความจำเป็น[137]

ทรัมป์ยังมีการตอบสนองต่อการแต่งตั้งผู้ดำรงตำแหน่งระดับสองในฝ่ายบริหารที่ล่าช้า โดยให้เหตุผลว่าหลายตำแหน่งไม่มีความจำเป็นต่อการบริหาร จากข้อมูลในเดือนตุลาคม ค.ศ. 2017 พบว่าผู้ดำรงตำแหน่งย่อยในคณะรัฐมนตรีกว่า 100 ตำแหน่งยังไม่ได้รับการเสนอชื่อ นอกจากนี้ มีผู้ได้รับการเสนอชื่อในตำแหน่งระดับสูงเพียง 433 รายจากตำแหนงว่าง 706 ตำแหน่ง

การรับมือกับไวรัสโคโรนา

[แก้]

ในเดือนธันวาคม 2019 ไวรัสโคโรนาได้แพร่ระบาดขึ้นในอู่ฮั่น และแพร่กระจายทั่วโลกภายในไม่กี่สัปดาห์[138] ผู้ติดเชื้อรายแรกได้รับการยืนยันในสหรัฐเมื่อวันที่ 20 มกราคม ค.ศ. 2020[139] การระบาดได้รับการประกาศทางการว่าเป็นภาวะฉุกเฉินด้านสาธารณสุขโดย Alex Azar รัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุขและการบริการมนุษย์ เมื่อวันที่ 31 มกราคม 2020 ในเดือนต่อมา ทรัมป์กล่าวต่อสาธารณชนว่าการระบาดในสหรัฐร้ายแรงน้อยกว่าไข้หวัดใหญ่และอยู่ภายใต้การควบคุม ในขณะเดียวกันเขากลับกล่าวยอมรับสิ่งที่ตรงกันข้ามออกมาในการสนทนาส่วนตัวกับ บ็อบ วูดวาร์ด ในเดือนมีนาคม โดยทรัมป์บอกกับวูดวาร์ดว่าเขาจำเป็นต้องให้สัมภาษณ์ในเชิงบวกเพื่อไม่ให้ประชาชนตื่นตระหนก ต่อมาเมื่อวันที่ 13 ธันวาคม ค.ศ. 2020 การจัดส่งวัคซีนโควิด-19 ของไฟเซอร์ และไบออนเทคล็อตแรกได้เดินทางถึงสหรัฐ และถูกส่งไปยัง 50 รัฐทั่วประเทศ

พ้นจากตำแหน่ง

[แก้]
ผลการเลือกตั้งทางการในปี 2020 ซึ่งทรัมป์แพ้ไบเดนไปด้วยคะแนน Electoral Vote 232–306

ทรัมป์ประสบกับความยากลำบากในการหาเสียงเลือกตั้งสมัยที่สอง[140] โพลทุกสำนักต่างรายงานว่าเขามีคะแนนตามหลังไบเดินมากถึง 10 จุด คะแนนความนิยมของเขายิ่งลดน้อยลงในช่วงใกล้วันเลือกตั้ง โดยเฉพาะการแพร่ระบาดของไวรัสโคโรนา และความรุนแรงจากการประท้วงในประเทศทวีความรุนแรงมากขึ้นเรื่อย ๆ อดีตเจ้าหน้าที่ในตำแหน่งสำคัญของทำเนียบขาว และคณะรัฐมนตรีต่างทยอยออกมาพูดถึงทรัมป์ในแง่ลบ และสมาชิกพรรคแทบทุกคนต่างถอดใจว่าเขาจะแพ้การเลือกตั้ง

ทรัมป์แพ้การเลือกตั้งในเดือนพฤศจิกายน 2020 ส่งผลให้เขาเป็นประธานาธิบดีคนที่ 6 ที่ไม่สามารถเอาชนะการเลือกตั้งได้เป็นสมัยที่สอง (และคนแรกในรอบ 28 ปีต่อจากจอร์จ เอช. ดับเบิลยู. บุช)[141] โดยผลสำรวจพบว่า ทรัมป์ล้มเหลวในการรับมือโควิด-19[142] และไม่สามารถสร้างความเชื่อมั่นในด้านสิทธิมนุษยชน และการเหยียดผิวจากกรณีการเสียชีวิตของจอร์จ ฟลอยด์[143] รวมทั้งการประกาศสงครามการค้า, การตั้งกำแพงภาษีกับจีน และอีกหลายประเทศได้ส่งผลให้เกิดวิกฤตเศรษฐกิจลามไปทั้งโลก[144] ในขณะที่ประชาชนกว่า 74 ล้านเสียง ที่ยังคงเชื่อมั่นเขาเนื่องมาจากความมั่นใจในนโยบายทางเศรษฐกิจและการปราบปรามผู้ลักลอบเข้าเมือง รวมทั้งการแก้ปัญหาการว่างงาน รัฐจอร์เจียได้ประกาศนับคะแนนใหม่ในขณะที่ไบเดินมีคะแนนนำทรัมป์ 14,000 คะแนน ท้ายที่สุดไบเดินเอาชนะได้ในรัฐนี้ โดยในช่วงแรกของการนับคะแนนทั่วประเทศทรัมป์มีคะแนนนำไบเดิน แต่เมื่อนับบัตรเลือกตั้งทางไปรษณีย์ คะแนนของไบเดินก็ตีตื้นขึ้นมาและเอาชนะไปได้หลายรัฐ[145] ไบเดินยังถือเป็นประธานาธิบดีที่ได้รับคะแนนมหาชนสูงที่สุดในประวัติศาสตร์ 81 ล้านเสียง[146]

ดำรงตำแหน่งสมัยที่สอง (ค.ศ. 2025–ปัจจุบัน)

[แก้]

การหาเสียง

[แก้]
ทรัมป์ขณะหาเสียงในเมืองฟีนิกซ์ (รัฐแอริโซนา) 6 มิถุนายน ค.ศ. 2024

ทรัมป์ประกาศลงสมัครเลือกตั้งอีกครั้งเมื่อวันที่ 15 พฤศจิกายน ค.ศ. 2022 พร้อมกับจัดตั้งกองทุนสนับสนุนการเลือกตั้ง[147] ในเดือนธันวาคม ค.ศ. 2023 ศาลสูงสดแห่งรัฐโคโลราโดได้ตัดสินให้ทรัมป์ถูกตัดสิทธิ์การเลือกตั้งขั้นต้นของพรรคริพับลิกัน เนื่องจากการสนับสนุน และยุยงเหตุโจมตีรัฐสภาเมื่อวันที่ 6 มกราคม ค.ศ. 2021 ต่อมา ในเดือนมีนาคม ค.ศ. 2024 ศาลสูงสุดสหรัฐรับรองคุณสมบัติให้แก่ทรัมป์อีกครั้ง โดยตัดสินว่าศาลแห่งรัฐโคโลราโดขาดอำนาจในการบังคับใช้มาตรา 3 จากการแก้ไขเพิ่มเติมครั้งที่ 14 ซึ่งห้ามผู้ก่อความไม่สงบจากการดำรงตำแหน่งของรัฐบาลกลาง[148]

ทรัมป์มีการใช้วาทกรรมที่รุนแรงมากขึ้นในการหาเสียงครั้งนี้เทียบกับครั้งที่ผ่านมา[149][150] เขาวิจารณ์ความล้มเหลวในการบริหารของไบเดิน และมุ่งเป้าโจมตีผู้สมัครจากเดโมแครตซึ่งก็คือกมลา แฮร์ริส ในฐานะรองประธานาธิบดีคนปัจจุบันซึ่งมีส่วนทำให้การบริหารประเทศล้มเหลว ทรัมป์กล่าวว่าเขาจะติดอาวุธให้แก่เจ้าหน้าที่กระทรวงยุติธรรมและเอฟบีไอเพื่อต่อต้านฝ่ายตรงข้ามทางการเมืองของเขา รวมถึงสนับสนุนการใช้กำลังทหารติดตามนักการเมืองจากพรรคเดโมแครตซึ่งมีจุดยืนทางการเมืองตรงข้าม ทรัมป์ใช้ถ้อยคำต่อต้านผู้อพยพเข้าเมืองที่รุนแรง และลดทอนความเป็นมนุษย์มากกว่าในช่วงที่เขาดำรงตำแหน่งประธานาธิบดี การยอมรับและสนับสนุนลัทธิหัวรุนแรงฝ่ายขวาจัดของเขา และการใช้วาทศิลป์ที่รุนแรงมากขึ้นต่อศัตรูทางการเมืองได้รับการอธิบายโดยนักประวัติศาสตร์และนักวิชาการว่าเป็นประชานิยม และเผด็จการฟาสซิสต์ซึ่งไม่เคยเกิดขึ้นในการหาเสียงของประธานาธิบดีคนใดมาก่อน[151] ทรัมป์แสดงเจตนาในการปฏิวัตินโยบายการอพยพเข้าเมืองอย่างผิดกฎหมายซึ่งเกิดขึ้นในรัฐบาลของไบเดิน โดยใช้คำพูดเปรียบเปรยถึงผู้อพยพเหล่านี้มีส่วนสำคัญในการก่ออาชญากรรมในสหรัฐ

ภาพประชาชนผู้สนับสนุนพรรคริพับลิกันในการหาเสียงปี 2024

ประชาชนและผู้ติดตามจำนวนหนึ่งแสดงความกังวลต่ออายุที่มากขึ้นและปัญหาทางสุขภาพของทรัมป์ เขายังยืนกรานปฏิเสธการยอมรับผลการเลือกตั้งครั้งที่แล้ว และยังเชื่อว่ามีการโกงเลือกตั้งอย่างเปิดเผย และจะไม่ยอมรับความพ่ายแพ้ในการเลือกตั้งครั้งนี้ ต่อมา เมื่อวันที่ 13 กรกฎาคม ค.ศ. 2024 ทรัมป์รอดชีวิตจากเหตุลอบสังหารในขณะหาเสียงในรัฐเพนซิลเวเนีย ในขณะที่ผู้ก่อเหตุได้ถูกวิสามัญโดยเจ้าหน้าที่ ประธานาธิบดีไบเดินออกมาประณามการกระทำดังกล่าว และกล่าวว่าสหรัฐไม่มีพื้นที่สำหรับความรุนแรงหรือการปฏิบัติต่อผู้เห็นต่างด้วยกำลังและการประทุษร้าย[152] สองวันต่อมา ในการประชุมสามัญของริพับลิกัน พรรคมีมติเสนอชื่อทรัมป์พร้อมด้วยวุฒิสภาชิกอย่าง เจดี แวนซ์ เป็นผู้สมัครชิงตำแหน่งประธานาธิบดีและรองประธานาธิบดีอย่างเป็นทางการ ทรัมป์กล่าวกับผู้ฟังในขณะหาเสียงถึงความพยายามลอบสังหารเขาเมื่อเร็ว ๆ นี้ และกล่าวหาฝ่ายตรงข้ามว่าพยายามขัดขวางความพยายามของเขา การชุมนุมครั้งนี้มีผู้มีชื่อเสียงได้รับเชิญหลายคน ซึ่งล้วนสะท้อนความรู้สึกที่ว่าการเลือกตั้งครั้งนี้มีความสำคัญต่ออนาคตของประเทศ ในขณะที่การสืบสวนเรื่องภัยคุกคามต่อทรัมป์ยังคงดำเนินต่อไป[153]

การหาเสียงครั้งนี้ได้รับการสนับสนุนจากอีลอน มัสก์ นักธุรกิจชื่อดัง โดยมัสก์มีชื่อเป็นผู้บริจาคให้แก่แคมเปญหาเสียงของทรัมป์สูงสุดเป็นอันดับสองเมื่อสิ้นปี 2023 มัสก์สนับสนุนแนวคิดของทรัมป์ในการบอกกับประชาชนว่าแดโมแครตคือภัยต่อความมั่นคงของชาติ[154][155] ทีมงานของทรัมป์เน้นลงพื้นที่ใน 7 รัฐสำคัฐซึ่งล้วนแต่เป็นรัฐสมรภูมิหรือรัฐที่มีแนวโน้มว่าผลการเลือกตั้งอาจผันผวน อันประกอบไปด้วย แอริโซนา, วิสคอสซิน, มิชิแกน, เพนซิลเวเนีย, เนวาดา, นอร์ทแคโรไลนา และฟลอริดา แม้โพลหลายสำนักจะรายงานไปในทิศทางเดียวกันว่าทรัมป์มีคะแนนตามหลังในรัฐดังกล่าวเล็กน้อย

ได้รับชัยชนะ

[แก้]

ทรัมป์คว้าชัยเหนือกมลา แฮร์ริส ในการเลือกตั้งทั่วไปวันที่ 5 พฤศจิกายน ค.ศ. 2024 ผลการเลือกตั้งอย่างเป็นทางการพบว่าทรัมป์เอาชนะได้ถึง 30 รัฐซึ่งรวมถึง 7 รัฐสมรภูมิสำคัญ[156] นอกจากนี้ เขายังรักษาฐานเสียงในรัฐอนุรักษ์นิยมได้ทุกรัฐในภูมิภาคตอนกลางและตอนเหนือ โดยได้รับชัยชนะขาดลอยในหลายรัฐ เช่น ไวโอมิง, ยูทาห์, โอคลาโฮมา, ลุยเซียนา และอาร์คันซอ เขายังได้รับเสียงสนับสนุนในรัฐแคลิฟอร์เนีย และนิวยอร์กซึ่งเป็นฐานเสียงหลักของเดโมแคตรมาเกือบหนึ่งศตวรรษด้วยคะแนนเกือบ 5 ล้าน และ 3.5 ล้านคะแนนตามลำดับ ด้วยวัย 78 ปีในวันเลือกตั้ง เขาจึงเป็นว่าที่ประธานาธิบดีสหรัฐที่อายุมากที่สุดในประวัติศาสตร์ ทรัมป์ประกาศชัยชนะอย่างไม่เป็นทางการในช่วงดึกตามเวลาท้องถิ่น ณ เวสต์ปาล์มบีช รัฐฟลอริดา โดยเจดี แวนซ์ จะดำรงตำแหน่งรองประธานาธิบดีคนที่ 50 ทั้งคู่มีกำหนดเข้าพิธีสาบานตนในวันที่ 20 มกราคม ค.ศ. 2025[157]

ทรัมป์ถือเป็นประธานาธิบดีคนที่สองที่ดำรงตำแหน่งสองสมัยแบบไม่ต่อเนื่องกัน นับตั้งแต่โกรเวอร์ คลีฟแลนด์ ชนะการเลือกตั้งใน ค.ศ. 1892 เขายังกลายเป็นผู้สมัครคนแรกในรอบกว่า 20 ปีจากพรรครีพับลิกันที่ชนะคะแนนมหาชน (Popular Vote) ซึ่งเขาล้มเหลวมาสองครั้งก่อนหน้านี้ในการเลือกตั้ง ค.ศ. 2016 และ 2020 ในครั้งนี้เขาได้รับคะแนนมหาชนเกือบ 75 ล้านเสียง

นโยบาย

[แก้]

ทรัมป์ประกาศอย่างแข็งกร้าวตั้งแต่ก่อนหาเสียงว่าจะกลับมาฟื้นฟูประเทศภายใต้นโยบาย "Make America Great Again" อีกครั้ง โดยเฉพาะการปราบปราบผู้ลักลอบอพยพเข้าเมืองอย่างผิดกฎหมาย และการตั้งกำแพงภาษีเพื่อลดการถูกเอาเปรียบทางการค้าอย่างไม่เป็นธรรมจากชาติมหาอำนาจด้วยกัน

เศรษฐกิจและสังคม

[แก้]
ทรัมป์ลงนามในคำสั่งด้านการบริหารในวันแรกที่เข้ารับตำแหน่ง 20 มกราคม ค.ศ. 2025 ณ แคปิตอล วันอะรีนา วอชิงตัน ดี.ซี.

ทรัมป์เข้ามาสานต่อการพัฒนาเศรษฐกิจจากฝ่ายบริหารของไบเดิน ซึ่งมีรายงานว่าอัตราการว่างงานและเงินเฟ้อลดลงอย่างมีนัยสำคัญตลอด 4 ปี[158][159][160] สถาบันนโยบายเศรษฐกิจและนิวยอร์กไทมส์รายงานว่า "เศรษฐกิจของประเทศอยู่ในสภาวะที่ดีที่สุดยิ่งกว่าการส่งมอบงานให้แก่ประธานาธิบดีคนใด ๆ ก็ตาม นับตั้งแต่จอร์จ ดับเบิลยู. บุช เข้ารับตำแหน่งต่อจากบิล คลินตันใน ค.ศ. 2001"[161][162]

ในวันแรกของการดำรงตำแหน่ง ทรัมป์ออกมาตรการโดยมุ่งเป้าไปที่การอพยพเข้าเมืองอย่างผิดกฎหมาย เขามีคำสั่งให้เจ้าหน้าที่ตำรวจตระเวนชายแดนส่งตัวผู้อพยพข้ามชายแดนโดยผิดกฎหมาย รวมถึงการปิดการใช้งานแอปพลิเคชัน CBP One ที่ใช้ในการกำหนดเวลาการข้ามชายแดนให้คงอยู่ในเม็กซิโกต่อ ทรัมป์ยังกลับมาสานต่อนโยบายในการส่งทหารไปยังชายแดนทางตอนใต้ของสหรัฐ และสร้างกำแพงชายแดนขึ้นมาใหม่[163][164][165] ทรัมป์ประกาศใช้มาตรการเนรเทศผู้ลักลอบอพยพจำนวนมาก โดยสำนักงานตรวจคนเข้าเมืองและการบังคับใช้กฎหมายศุลกากร (ICE) รายงานว่า มีผู้ถูกจับกุมมากกว่า 1,000 รายต่อวันในช่วงสัปดาห์แรกที่ทรัมป์ดำรงตำแหน่ง ทรัมป์ยังมีเป้าหมายในการจับกุมผู้กระทำผิดกว่า 1,200 ถึง 1,500 รายต่อวันในช่วงแรก นอกจากนี้ ยังมีการเร่งถอดถอนผู้ขอลี้ภัยที่ไม่ปฏิบัติตามข้อกำหนดอีกด้วย[166][167][168]

ในเดือนกุมภาพันธ์ ค.ศ. 2025 ฝ่ายบริหารของทรัมป์ดำเนินการเชิงรุกต่อนโยบาย "อุดมการณ์ทางเพศ" อย่างแข็งกร้าว โดยกำหนดว่า การระบุเพศสภาพในหนังสือเดินทางและเอกสารราชการจะมีเพียงสองเพศเท่านั้น ทรัมป์ให้คำนิยามต่อคำสั่งดังกล่าวว่าเป็น "การปกป้องสตรีจากอุดมการณ์ทางเพศอันสุดโต่ง" คำสั่งนี้ยังครอบคลุมถึงการใช้คำว่า "เพศ (Sex)" แทนคำว่า "เพศสภาพ (Gender)" ในเอกสารราชการทั้งหมด ทรัมป์ยังยุติการสนับสนุนการคุ้มครองทางเพศสภาพแก่บุคคลที่มีอายุต่ำกว่า 19 ปี และห้ามสตรีข้ามเพศสมัครเข้าร่วมกองทัพ หรือลงแข่งขันกีฬาทุกรายการที่ได้รับการสนับสนุนโดยรัฐบาลกลาง[169]

การต่างประเทศ

[แก้]

แม้จะยังไม่เข้าพิธีสาบานตน ทว่าในวันที่ 12 พฤศจิกายน ค.ศ. 2024 ทรัมป์เริ่มต้นนโยบายต่างประเทศด้วยการแต่งตั้งทูตสหรัฐประจำประเทศอิสราเอล รวมทั้งแต่งตั้งสตีฟ วิตคอฟฟ์ ในฐานะผู้แทนพิเศษประจำภูมิภาคตะวันออกกลางเพื่อกำกับดูแลนโยบายตามบัญชาของประธานาธิบดี นอกจากนี้ บีบีซียังรายงานว่า ทรัมป์แต่งตั้งพีท เฮกเซธ และมาร์โก รูบิโอ ดำรงตำแหน่งรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศคนต่อไปตามลำดับ[170][171]

อิสราเอล – ปาเลสไตน์
[แก้]
ทรัมป์และเบนจามิน เนทันยาฮู นายกรัฐมนตรีอิสราเอล ในเดือนกุมภาพันธ์ ค.ศ. 2025

ในเดือนมกราคม ค.ศ. 2025 รัฐบาลทรัมป์มีบทบาทสำคัญในการเป็นตัวกลางเจรจาเพื่อการพักรบในสงครามอิสราเอล–ฮะมาส ร่วมกับรัฐบาลไบเดินซึ่งประกาศเจตนารมณ์ดังกล่าวหนึ่งวันก่อนพิธีสาบานตนของทรัมป์[172][173] ทรัมป์กลับมาสานต่อนโยบายต่อต้านการก่อการร้ายด้วยการประกาศขึ้นบัญชีกลุ่มกบฏฮูตี หรือชื่อเดิมว่า อันซาร์ อัลเลาะห์ ให้กลับมามีสถานะเป็น “องค์กรก่อการร้ายต่างชาติ” อีกครั้งเมื่อวันที่ 22 มกราคม ค.ศ. 2025 ตามถ้อยแถลงของทำเนียบขาว[174][175] ต่อมาเมื่อวันที่ 4 กุมภาพันธ์ ค.ศ. 2025 ทรัมป์ประกาศว่าสหรัฐจะยึดครองฉนวนกาซา และอาจหมายถึงการเนรเทศผู้อาศัยชาวปาเลสไตน์นับล้านคนออกจากดินแดนนี้ การประกาศนี้นำไปสู่การวิจารณ์จากนานาชาติอย่างกว้างขวางอีกครั้ง เนื่องจากอาจเป็นชนวนเหตุไปสู่ความขัดแย้งในภูมิภาคตะวันออกกลาง[176] ทรัมป์ยังลงนามในคำสั่งการคว่ำบาตรศาลอาญาระหว่างประเทศโดยอ้างถึงการกระทำการอันมิชอบด้วยกฎหมาย ภายหลังออกหมายจับเบนจามิน เนทันยาฮู ในข้อกล่าวหาก่ออาชญากรรมสงครามในฉนวนกาซา[177]

แคนาดา – เม็กซิโก
[แก้]

ในวันที่ 21 มกราคม ค.ศ. 2025 ทรัมป์กล่าวว่ารัฐบาลของเขาอาจเรียกเก็บภาษีนำเข้าจากแคนาดาและเม็กซิโกในอัตราสูงถึง 25% โดยจะมีผลตั้งแต่วันที่ 1 กุมภาพันธ์ ในขณะที่แคนาดาและเม็กซิโกดังกล่าวยังมีท่าทีเรียบเฉยต่อคำขู่ดังกล่าว[178] การประกาศดังกล่าวสร้างความวิตกให้แก่ชาติมหาอำนาจว่าอาจนำไปสู่สงครามการค้า ต่อมาในเดือนกุมภาพันธ์ ทรัมป์มีคำสั่งให้เปลี่ยนชื่ออ่าวเม็กซิโก (Gulf of Mexico) เป็น Gulf of America[179] ในวันที่ 3 มีนาคม ค.ศ. 2025 ทรัมป์ออกคำสั่งเดินหน้าเก็บภาษีนำเข้าจากแคนาดาและเม็กซิโกในอัตรา 25% และปิดโอกาสในการเจรจาต่อรอง โดยจะมีผลบังคับใช้ตั้งแต่วันที่ 4 มีนาคม 2025[180]

ยูเครน
[แก้]

เป็นที่ประจักษ์ตั้งแต่ช่วงหาเสียงว่า หนึ่งในโยบายเร่งด่วนด้านการต่างประเทศของทรัมป์คือการยุติความขัดแย้งในสงครามรัสเซีย–ยูเครน ซึ่งยืดเยื้อมากว่าหนึ่งทศวรรษ ภายหลังการหารือร่วมกับกลุ่มติดต่อด้านกลาโหมยูเครน เมื่อวันที่ 12 กุมภาพันธ์ ค.ศ. 2025 พีต เฮกเซท รัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหมระบุว่า การหวนคืนสู่เขตแดนของยูเครนช่วงก่อนปี 2014 ถือเป็นวัตถุประสงค์ที่ดู "ไม่เป็นจริง" ในข้อตกลงสันติภาพที่ทรัมป์ต้องการเจรจา พร้อมเสริมว่าความพยายามใด ๆ ที่จะยึดดินแดนคืนทั้งหมด “มีแต่จะทำให้สงครามยืดเยื้อ และก่อให้เกิดความทุกข์ทรมานมากขึ้น” เฮกเซทยังกล่าวอีกว่า "ประธานาธิบดีคาดหวังว่าชาติในยุโรปจะให้ความช่วยเหลือทางการเงิน และการทหารแก่ยูเครนมากขึ้น" ในขณะที่สหรัฐฯ มุ่งเน้นไปที่ความมั่นคงของตนเองและความท้าทายจากจีน โดยจะไม่มีการส่งกองกำลังไปยังยูเครน[181][182]

ในวันต่อมา ทรัมป์ให้สัมภาษณ์ว่ามีการหารือทางโทรศัพท์ร่วมกับประธานาธิบดีปูตินเป็นการส่วนตัว และผลของการสนทนานั้น "ยาวนานและน่าพึงพอใจ" ทั้งสองฝ่ายเห็นพ้องต้องกันให้รัสเซียยุติการโจมตี รวมทั้งหารือกำหนดการในการไปเยือนระหว่างสองประเทศ ในขณะที่ประธานาธิบดี วอลอดือมือร์ แซแลนสกึย เผยว่าตนเองหารือร่วมกับทรัมป์เช่นกัน โดยกล่าวว่า "เรา (ยูเครน) กำลังร่วมมือกับสหรัฐฯ ดำเนินการขั้นตอนต่อไปเพื่อยับยั้งการรุกรานของรัสเซีย อันเป็นหลักประกันสันติภาพที่ยั่งยืนและเชื่อถือได้" แซแลนสกึยยังมีแผนเข้าพบรองประธานาธิบดีสหรัฐอย่างเจดี แวนซ์ และมาร์โก รูบิโอ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศในการประชุมความมั่นคงแห่งมิวนิก แม้ทรัมป์จะแสดงจุดยืนชัดเจนในการพิทักษ์แซแลนสกึยและยูเครนให้อยู่ในกระบวนการสันติภาพ อย่างไรก็ดี ทรัมป์กล่าวว่า "เมื่อถึงจุดหนึ่ง คุณ (ยูเครน) จำเป็นต้องมีการเลือกตั้ง" และอ้างว่าคะแนนนิยมในตัวแซแลนสกึยจากผลสำรวจไม่น่าพึงพอใจนัก[183] ทีมบริหารของทรัมป์มีกำหนดหารือร่วมกับผู้แทนรัสเซียเพื่อหาข้อยุติ ณ ซาอุดีอาระเบีย[184]

ต่อมาเมื่อวันที่ 28 กุมภาพันธ์ 2025 ทรัมป์และแซแลนสกึยมีกำหนดแถลงข่าวร่วมกัน ณ ทำเนียบขาว โดยผู้นำยูเครนร้องขอคำมั่นด้านความมั่นคงที่ชัดเจนจากสหรัฐ ก่อนที่การเจรจาจะยุติลงสิ้นเชิงเมื่อทั้งสองฝ่ายปะทะคารมอย่างดุเดือดต่อหน้าสื่อ ทรัมป์กล่าวว่าผู้นำยูเครนมีท่าทีแข็งกร้าวและยังไม่พร้อมสำหรับสันติภาพ และกำลังเดิมพันชีวิตผู้คนนับล้านกับสงครามโลกครั้งที่สาม[185] นอกจากนี้ เจดี แวนซ์ ยังระบุว่า แซแลนสกึยขาดความเคารพต่อสหรัฐโดยตนมองว่าการเจรจาทางการทูตเป็นวิธีที่ดีกว่า และยังแนะให้แซแลนสกึยกล่าวขอบคุณสหรัฐในความพยายามช่วยเหลือยูเครน ในขณะที่แซแลนสกึยโต้แย้งว่าไม่สามารถเชื่อถือผู้นำรัสเซียอย่างปูตินได้ และยืนกรานไม่ร่วมเจรจาใด ๆ กับรัสเซียจนกว่าจะมีหลักประกันความปลอดภัยที่ชัดเจน การเจรจายุติลงก่อนกำหนด และแซแลนสกึยเดินทางออกจากทำเนียบขาวโดยปราศจากการลงนามข้อตกลงการเข้าถึงแร่หายากซึ่งเป็นข้อแลกเปลี่ยนเพื่อขอความช่วยเหลือทางทหารจากสหรัฐ[186][187] ทรัมป์มีคำสั่งระงับความช่วยเหลือทางทหารแก่ยูเครนในวันที่ 3 มีนาคม 2025[188]

สิ่งแวดล้อม

[แก้]

ในวันแรกที่เข้ารับตำแหน่ง ทรัมป์ลงนามเพื่อเริ่มต้นกระบวนการนำสหรัฐถอนตัวจากความตกลงปารีส ซึ่งมีเป้าหมายหลักคือการควบคุมอุณหภูมิโลกในระยะยาวไม่ให้สูงเกิน 1.5 องศาเซลเซียส การลงนามดังกล่าวนำมาซึ่งเสียงวิจารณ์ในวงกว้างจากประเทศสมาชิกเกือบ 200 ประเทศ[189] ทรัมป์ลงนามในคำสั่งแต่งตั้งผู้ทำการแนะนำสมาชิกรัฐสภาในด้านด้านน้ำมัน ก๊าซ และเคมีให้แก่สำนักงานปกป้องสิ่งแวดล้อม (EPA) เพื่อยกเลิกกฎระเบียบด้านสภาพภูมิอากาศและการควบคุมมลพิษ เขาประกาศภาวะฉุกเฉินด้านพลังงานแห่งชาติ ส่งผลให้สหรัฐสามารถระงับกฎระเบียบด้านสิ่งแวดล้อมบางประการ รวมถึงการอนุมัติโครงการพลังงานได้เร็วขึ้น และยังผลักดันการพัฒนาแหล่งพลังงานหมุนเวียนในภูมิภาคต่าง ๆ[190][191][192]

การจัดสรรบุคลากร

[แก้]

เมื่อวันที่ 12 พฤศจิกายน ค.ศ. 2024 ทรัมป์แต่งตั้งอีลอน มัสก์ และวิเวก รามสวามี เข้ารับตำแหน่งผู้ดูแลกระทรวงประสิทธิภาพรัฐบาลซึ่งก่อตั้งขึ้นใหม่ โดยเป็นหน่วยงานที่ไม่ขึ้นตรงต่อรัฐบาล[193] ต่อมา เมื่อวันที่ 14 พฤศจิกายน ทรัมป์เสนอชื่อโรเบิร์ต เอฟ.เคนเนดี จูเนียร์ รับตำแหน่งรัฐมนตรีว่าการกระทรวงสุขภาพและบริการมนุษย์สหรัฐ นำมาซึ่งกระแสวิจารณ์และการต่อต้านจากสมาชิกพรรคเนื่องจากจุดยืนการต่อต้านวัคซีนของนายโรเบิร์ต[194][195] นอกจากนี้ ทรัมป์ยังแต่งตั้งแคโรไลน์ เลวิตต์ ดำรงตำแหน่งโฆษกหญิงประจำทำเนียบขาว โดยเลวิตต์มีบทบาทสำคัญในฐานะผู้ช่วยรณรงค์หาเสียงของทรัมป์ตั้งแต่การเลือกตั้งสมัยแรก และเป็นอดีตผู้อำนวยการด้านการสื่อสารของพรรคริพับลิกัน และเธอจะเป็นโฆษกประจำทำเนียบขาวที่อายุน้อยที่สุดในประวัติศาสตร์[196]

ในวันที่ 3 กุมภาพันธ์ ค.ศ. 2025 ทรัมป์ประกาศให้มัสก์มีตำแหน่งเป็นเจ้าหน้าที่พิเศษของรัฐ[197] ในฐานะผู้ดูแลกระทรวงประสิทธิภาพรัฐบาลซึ่งมีอำนาจในการเข้าถึงหน่วยงานจากรัฐบาลกลางหลายแห่ง รวมถึงระบบการชำระเงินมูลค่ากว่า 5 ล้านล้านดอลลาร์ของกระทรวงการคลัง[198] อำนาจในการกำหนดขอบข่าย และตรวจสอบประสิทธิภาพการบริหารงานของหน่วยงานอื่น อาทิ สำนักงานฝ่ายบริหารงานบุคคลสหรัฐ, สำนักบริหารงานบริการทั่วไป และ สำนักงานบริหารธุรกิจขนาดเล็ก[199] ในวันที่ 22 กุมภาพันธ์ 2025 ทรัมป์มีคำสั่งปลดพลอากาศเอก ชาร์ลส์ คิว. บราวน์ จากตำแหน่งประธานคณะเสนาธิการร่วม และเสนอชื่อจอห์น แดเนียล เคน ดำรงตำแหน่งแทน[200]

สื่อสังคม

[แก้]

ทรัมป์ถือเป็นหนึ่งในบุคคลระดับโลกที่มีชื่อเสียงในด้านการใช้โซเชียลมีเดีย[201] โดยเขามีผู้ติดตามจำนวนมากนับตั้งแต่สมัครบัญชีทวิตเตอร์ใน ค.ศ. 2009 และมีจำนวนผู้ติดตามสูงถึง 90 ล้านคนทั่วโลก โดยตลอดระยะเวลา 12 ปี เขาทำการโพสต์ในทวิตเตอร์ไปถึง 57,000 ครั้ง โดยเป็นการโพสต์ในระหว่างที่เขาดำรงตำแหน่ง 25,000 ครั้ง[202] เขายังชื่นชอบการติดต่อสื่อสารผ่าน เฟซบุ๊ก โดยมักใช้เป็นพื้นที่ส่วนตัวในการแสดงความคิดเห็นทางการเมือง โจมตีคู่แข่งทางการเมืองฝ่ายตรงข้ามตั้งแต่ก่อนเข้าดำรงตำแหน่ง เช่น บารัก โอบามา และโจ ไบเดิน รวมถึง แนนซี เพโลซี ประธานสภาผู้แทนราษฎรสหรัฐ ผู้ซึ่งเป็นไม้เบื่อไม้เมากับทรัมป์มาตลอดตั้งแต่เข้าดำรงตำแหน่งในช่วงแรก[203] บัญชีเฟซบุ๊กของทรัมป์ถูกระงับในเดือนมกราคม 2021[204]

งานอื่น

[แก้]

ใน ค.ศ. 2004 ทรัมป์เป็นผู้ร่วมก่อตั้งมหาวิทยาลัยทรัมป์ ณ เมืองนิวยอร์ก บริษัทที่ขายด้านอสังหาริมทรัพย์ในราคาสูงถึง 35,000 ดอลลาร์[205] อย่างไรก็ตาม บริษัทมีการเปลี่ยนชื่อเป็น Trump Entrepreneur Initiative ในปี 2010 เนื่องจากการใช้ชื่อ "University" โดยที่บริษัทดังกล่าวไม่มีสถานะเป็นสถานศึกษาถือว่าขัดต่อกฎหมายรัฐ นำมาซึ่งการฟ้องร้องต่อบริษัทโดยรัฐนิวยอร์กในข้อหาการให้ข้อมูลอันเป็นเท็จต่อสาธารณะและเข้าข่ายฉ้อโกงผู้บริโภค รวมถึงการฟ้องร้องโดยรัฐบาลกลางในข้อหาให้ข้อมูลเท็จและสร้างความเข้าใจผิดแก่นักศึกษา ไม่นานหลังจากชนะเลือกตั้งใน ค.ศ. 2016 ทรัมป์ยอมจ่ายเงินจำนวน 25 ล้านดอลลาร์เพื่อยุติการฟ้องร้องดังกล่าว

ทรัมป์ร่วมก่อตั้งมูลนิธิ ดอนัลด์ เจ. ทรัมป์ มูลนิธิเอกชนที่ก่อตั้งขึ้นเมื่อ ค.ศ. 1988[206] ตั้งแต่ ค.ศ. 1987–2006 ทรัมป์บริจาคเงินให้กับมูลนิธิของเขาจำนวน 5.4 ล้านดอลลาร์ หลังจากบริจาคเงินทั้งหมด 65,000 ดอลลาร์สหรัฐในปี 2007 ถึง 2008 เขายุติการบริจาคเงินส่วนบุคคลใด ๆ ให้กับองค์กรการกุศลซึ่งได้รับเงินสนับสนุนหลายล้านดอลลาร์จากกองทุนอื่น ๆ ในปี 2016 หนังสือพิมพ์เดอะวอชิงตันโพสต์รายงานว่าองค์กรการกุศลดังกล่าวได้กระทำการละเมิดกฎหมายและจริยธรรมที่อาจเกิดขึ้นหลายประการ รวมถึงการถูกกล่าวหาว่าเป็นการจัดการตนเองและการหลีกเลี่ยงภาษี นอกจากนี้ ในปี 2016 อัยการสูงสุดของนิวยอร์กได้ตัดสินให้มูลนิธิดังกล่าวฝ่าฝืนกฎหมายรัฐ สำหรับการเรี่ยไรเงินบริจาคโดยไม่ผ่านการตรวจสอบภายนอกประจำปี และสั่งให้ยุติกิจกรรมระดมทุนในนิวยอร์กทันที ทีมงานของทรัมป์ประกาศยุติการเคลื่อนไหวของมูลนิธิในเดือนธันวาคม ค.ศ. 2016[207] ในเดือนมิถุนายน ค.ศ. 2018 สำนักงานอัยการสูงสุดแห่งนิวยอร์กได้ยื่นฟ้องคดีแพ่งต่อมูลนิธิของทรัมป์ และบุตรทุกคนที่บรรลุนิติภาวะ โดยเรียกร้องค่าสินไหมทดแทน 2.8 ล้านดอลลาร์และกำหนดบทลงโทษเพิ่มเติม[208] มูลนิธิภายใต้ความดูแลของเขายุติบทบาทสิ้นเชิงในเดือนธันวาคม ค.ศ. 2018 รวมถึงยุติการเบิกจ่ายทรัพย์สินให้แก่องค์การการกุศลอื่น ๆ ในเดือนพฤศจิกายน ค.ศ. 2019 ผู้พิพากษาแห่งรัฐนิวยอร์กมีคำสั่งให้ทรัมป์จ่ายเงินชดเชยจำนวน 2 ล้านดอลลาร์ให้กลุ่มองค์กรการกุศลที่ใช้เงินของมูลนิธิในทางที่ผิด ส่วนหนึ่งเพื่อเป็นเงินทุนในการรณรงค์หาเสียงชิงตำแหน่งประธานาธิบดี[209][210]

ในช่วงทศวรรษ 1980 ธนาคารมากกว่า 70 แห่งให้เงินกู้ยืมแก่ทรัมป์เป็นจำนวนเงินสูงถึง 4 พันล้านดอลลาร์ หลังจากการล้มละลายของบริษัทของเขาในต้นทศวรรษ 1990 ธนาคารรายใหญ่ส่วนใหญ่ ยกเว้นดอยซ์แบงก์ปฏิเสธที่จะอนุมัติการกู้ยืมแก่เขา หลังเหตุการณ์โจมตีรัฐสภาเมื่อวันที่ 6 มกราคม ธนาคารได้ตัดสินใจที่จะไม่ดำเนินกิจกรรมทางการเงินใด ๆ กับทรัมป์หรือบริษัทของเขาอีก[211] ยูเอสเอทูเดย์ รายงานว่าทรัมป์และธุรกิจของเขามีส่วนเกี่ยวข้องในการดำเนินคดีทางกฎหมายของรัฐและรัฐบาลกลางมากกว่า 4,000 ครั้ง[212]

ทรัมป์ยังมีส่วนร่วมในวงการมวยปล้ำ โดยในปี 2013 ดับเบิลยูดับเบิลยูอีได้บรรจุชื่อทรัมป์เข้าสู่หอเกียรติยศในหมวด Celebrity (ผู้มีชื่อเสียงที่ได้รับการจดจำและมีความสัมพันธ์ที่ยาวนานกับสมาคม)[213] ทรัมป์ได้รับเชิญให้ปรากฏตัวในเรสเซิลเมเนียครั้งที่ 23 เมื่อวันที่ 1 เมษายน ค.ศ. 2007

ทรัมป์ยังเป็นที่จดจำในฐานะนักเขียนกำบัง โดยมีผลงานเขียนหนังสือ 19 เล่ม[214] เล่มแรกคือ Trump: The Art of the Deal (ค.ศ. 1987) มียอดขายอันดับหนึ่งโดยอันดับหนังสือขายดีเดอะนิวยอร์กไทมส์ แม้ทรัมป์จะได้รับเครดิตในฐานะผู้เขียนร่วม แต่เนื้อหาเกือบทั้งหมดนั้นเขียนโดยโทนี ชวาร์ตซ์ หนังสือเล่มนี้ทำให้ทรัมป์มีชื่อเสียงในฐานะ "สัญลักษณ์ของผู้ประกอบการที่ประสบความสำเร็จ"[215]

ความสัมพันธ์กับสื่อ

[แก้]
ทรัมป์ขณะให้สัมภาษณ์กับสื่อ ณ ทำเนียบขาวในปี 2017

ทรัมป์มีชื่อเสียงในด้านการให้สัมภาษณ์ผ่านสื่อมาตลอดหลายปี โดยเฉพาะเมื่อครั้งดำรงตำแหน่งตั้งแต่ปี 2016 เขามีความสัมพันธ์ในแง่ที่เรียกว่า "ทั้งรักทั้งเกลียด" (Love - Hate relationship) กับสื่อต่าง ๆ ทั้งในและต่างประเทศ[216] เขามักเรียกสื่อที่เขียนข่าวโจมตีเขาในแง่ลบว่าเป็นสื่อจอมลวงโลก (Fake News Media) และกล่าวว่าสื่อเหล่านี้เป็นศัตรูต่อประชาชนรวมทั้งประเทศชาติ ในฐานะประธานาธิบดีทรัมป์เปิดเผยต่อสาธารณะชนอย่างตรงไปตรงมาเกี่ยวกับการเพิกถอนหนังสือรับรองของนักข่าวที่เขามองว่าเป็นการวิพากษ์วิจารณ์ในเชิงไม่สร้างสรรค์[217] ทีมกฎหมายของเขาทำการเพิกถอนบัตรประจำตัวของผู้สื่อข่าวประจำทำเนียบขาว 2 คน ซึ่งได้รับเสียงวิจารณ์ถึงความเหมาะสมในการกระทำดังกล่าว บ่อยครั้งที่ทรัมป์ถูกโจมตีว่ามักใช้วาจาข่มขู่ผู้สื่อข่าว ในช่วงต้นปี 2020 ทีมแคมเปญหาเสียงของทรัมป์ฟ้องร้องหนังสือพิมพ์เดอะนิวยอร์กไทมส์ เดอะวอชิงตันโพสต์ และ ซีเอ็นเอ็นในข้อหาหมิ่นประมาท ก่อนที่คดีดังกล่าวจะถูกยกฟ้อง

ภาพลักษณ์ต่อสาธารณชน

[แก้]

จากผลสำรวจโดย "C-Span" ในปี 2021 นักประวัติศาสตร์บางกลุ่มจัดอันดับให้ทรัมป์เป็นประธานาธิบดีที่แย่ที่สุดเป็นอันดับสี่ในการเมืองสหรัฐ เขาได้รับคะแนนต่ำสุดในหัวข้อความเป็นผู้นำทั้งอำนาจทางศีลธรรมและทักษะการบริหาร ในขณะที่ผลสำรวจของสถาบันวิจัยวิทยาลัยเซียนาจัดอันดับให้ทรัมป์อยู่ในอันดับ 43 จากประธานาธิบดีจำนวน 45 คน รวมถึงได้รับการจัดอันดับในกลุ่มท้าย ๆ ในอีกหลายประเภท รวมถึงการจัดอันดับโดยสมาคมวิชาชีพนักรัฐศาสตร์แห่งสหรัฐอเมริกา อย่างไรก็ตาม การจัดอันดับดังกล่าวได้รับการวิจารณ์ในด้านความเป็นกลาง ซึ่งคะแนนทั้งหมดอาจมาจากผลสำรวจจากประชาชนเพียงบางกลุ่มและไม่สามารถสะท้อนความนิยมในภาพรวมทั้งประเทศ

ทรัมป์เป็นประธานาธิบดีคนเดียวที่ไม่เคยได้รับคะแนนเสียงในการอนุมัติ (คะแนนความเชื่อถือในฐานะประธานาธิบดี) ถึงร้อยละ 50 ในการสำรวจความคิดเห็นของ Gallup ซึ่งมีขึ้นในปี 1938 คะแนนของเขาแสดงให้เห็นช่องว่างระหว่างพรรคริพับลิกันที่สูงเป็นประวัติการณ์กว่าร้อยละ 88 และร้อยละ 7 ในบรรดาสมาชิกพรรคเดโมแครตจนถึงเดือนกันยายน 2020[218] ภายหลังการดำรงตำแหน่งครบวาระ คะแนนนิยมของทรัมป์อยู่ระหว่าง 29 ถึง 34 เปอร์เซ็นต์ซึ่งต่ำที่สุดในบรรดาประธานาธิบดีทุกคนนับตั้งแต่เริ่มระบบการเลือกตั้งสมัยใหม่ และมีคะแนนเฉลี่ยต่ำสุดเป็นประวัติการณ์ที่ 41 เปอร์เซ็นต์ตลอดการดำรงตำแหน่งของเขา[219]

อย่างไรก็ตาม ทรัมป์ก็ยังเป็นที่นิยมอยู่บ้างในประชากรหลายล้านคน จากผลสำรวจชาวอเมริกันในหัวข้อชายที่เป็นที่นิมยมที่สุดในสหรัฐพบว่า ทรัมป์มีคะแนนเป็นอันดับสองรองจากบารัก โอบามา ในปี 2017 และ 2018 และเป็นอันดับหนึ่งร่วมกับโอบามาในปีต่อมา ก่อนจะได้รับคะแนนอันดับหนึ่งในปี 2020[220][221] นับตั้งแต่ Gallup ทำผลสำรวจในปี 1948 ทรัมป์เป็นประธานาธิบดีคนแรกที่ไม่ได้คะแนนนิยมอันดับหนึ่งในปีแรกของการดำรงตำแหน่ง[222] จากผลสำรวจในอีก 134 ประเทศยังชี้ให้เห็นอีกว่าทรัมป์เป็นที่ยอมรับเฉพาะในกลุ่มประเทศที่ไม่ใช่ประชาธิปไตยเท่านั้น โดยจำนวน 29 ประเทศระบุว่าเขาเป็นที่ชื่นชอบมากกว่าโอบามา[223] คะแนนนิยมของเขายังลดลงอย่างมากในบรรดาประเทศพันธมิตรหลักของสหรัฐ และกลุ่มผู้นำของประเทศมหาอำนาจกลุ่ม 7 เมื่อเทียบกับประธานาธิบดีคนก่อนหน้า คะแนนนิยมของทรัมป์ตกต่ำและใกล้เคียงกับคะแนนในช่วงสองปีสุดท้ายของจอร์จ ดับเบิลยู. บุช ในช่วงกลางปี 2020 จากผลสำรวจของสำนักวิจัยพิว พบว่าคะแนนความน่าเชื่อถือของเขาน้อยกว่าสี จิ้นผิง และ วลาดีมีร์ ปูติน[224]

ทรัมป์เป็นที่วิจารณ์ถึงการกล่าวข้อความเท็จจำนวนมาก ทั้งก่อนและระหว่างดำรงตำแหน่งประธานาธิบดี[225] ซึ่งได้รับการยอมรับว่าเป็นอัตลักษณ์ทางการเมืองของเขาอย่างหนึ่ง[226] คำให้การที่เป็นเท็จและก่อให้เกิดการเข้าใจผิดของทรัมป์ได้รับการบันทึกไว้โดยผู้ตรวจสอบข้อเท็จจริงหลายครั้ง (Fact-checking) ซึ่งรวมถึงสื่อหลักอย่างเดอะวอชิงตันโพสต์ ซึ่งรวบรวมคำกล่าวที่เป็นเท็จหรือทำให้เข้าใจผิดได้ 30,573 รายการตลอดระยะเวลาสี่ปีในตำแหน่งของเขา อัตราดังกล่าวเพิ่มจำนวนขึ้นเรื่อย ๆ โดยเฉลี่ยมากถึง 6 รายการต่อวันในช่วงปีแรกของการดำรงตำแหน่ง และ 39 รายการต่อวันในปีสุดท้าย แม้ในบรรดาข้อความดังกล่าวอาจไม่ส่งผลกระทบใด ๆ เช่น การกล่าวอ้างว่ามีผู้สนับสนุนออกมาต้อนรับเขามากเป็นประวัติการณ์ในระหว่างการรณรงค์หาเสียง แต่อีกหลายข้อความก็นำมาซึ่งความเสียหายในวงกว้าง เช่น การให้ข้อมูลเท็จกรณีการระบาดทั่วของโควิด-19 ซึ่งเขาถูกกกล่าวหาว่าบิดเบือนข้อเท็จจริง[227] ทำให้การตอบสนองล่าช้าและมีผู้เสียชีวิตจำนวนมาก

การโจมตีวิธีการลงคะแนนบัตรเลือกตั้งล่วงหน้าทางไปรษณีย์ในการเลือกตั้ง 2020 ส่งผลให้คะแนนนิยมของเขาต่ำลง สื่อแสดงความกังวลเพิ่มเติมว่าการใช้วาทกรรทของเขาอาจนำสู่ความขัดแย้งในวงกว้างและสร้างความเกลียดชังมากขึ้น ผู้ต้องหาจำนวนมากถูกสอบสวนหรือดำเนินคดีในข้อหากระทำความรุนแรงและปลุกปั่นอาชญากรรมในระหว่างการดำรงตำแหน่งของทรัมป์ รวมถึงผู้เข้าร่วมเหตุการณ์โจมตีรัฐสภาเมื่อวันที่ 6 มกราคม ค.ศ. 2021 โดยบางส่วนอ้างถึงวาทกรรมของทรัมป์ในการโต้แย้งว่าพวกเขาไม่สมควรถูกตำหนิหรือควรได้รับการลดโทษ

การแสดงความเห็นหรือวาทกรรมในหลายบริบทของทรัมป์ถูกมองเป็นการเหยียดเชื้อชาติ[228][229] การศึกษาและการสำรวจหลายรายการพบว่าทัศนคติเหยียดเชื้อชาติดังกล่าว กระตุ้นให้ทรัมป์ก้าวขึ้นมามีอิทธิพลทางการเมือง และมีความสำคัญมากกว่าปัจจัยทางเศรษฐกิจในการพิจารณาความจงรักภักดีของผู้มีสิทธิเลือกตั้งของทรัมป์[230] ในขณะที่อาการกลัวอิสลามและการเหยียดเชื้อชาติเป็นตัวบ่งชี้ทัศนคติของกลุ่มผู้สนับสนุนทรัมป์อย่างมีนัยสำคัญ[231] ในปี 1975 เขาได้ยุติคดีฟ้องร้องของกระทรวงยุติธรรม โดยกล่าวหาว่ามีการเลือกปฏิบัติเกี่ยวกับที่อยู่อาศัยต่อผู้เช่าซึ่งเป็นประชากรผิวดำ นอกจากนี้ เขายังถูกกล่าวหาว่าเจตนาเหยียดเชื้อชาติโดยแสดงความเห็นว่ากลุ่มวัยรุ่นผิวดำ และวัยรุ่นชาวลาตินมีความผิดฐานข่มขืนกระทำชำเราสตรีผิวขาวในคดีนักวิ่งจ๊อกกิ้งที่เซ็นทรัลพาร์คเมื่อปี 1989 แม้ว่าพวกเขาจะพ้นผิดจากหลักฐานดีเอ็นเอในปี 2002 ก็ตาม

ชีวิตส่วนตัว

[แก้]

สุขภาพ

[แก้]

ทรัมป์ระบุว่าตนเองไม่ดื่มแอลกอฮอล์หรือสูบบุหรี่ และไม่ยุ่งเกี่ยวกับยาเสพติดทุกประเภท[232] เขานอนเพียง 4–5 ชั่วโมงต่อวัน[233][234] ทรัมป์เรียกการเล่นกอล์ฟว่าเป็น "การออกกำลังกายหลัก" ของเขา แต่โดยปกติแล้วจะไม่เดินในสนามมากนัก[235] เขาถือว่าการออกกำลังกายเป็นการสิ้นเปลืองพลังงานเพราะเขาเชื่อว่าร่างกาย "เปรียบเหมือนแบตเตอรี่ที่มีพลังงานจำกัด" ซึ่งอาจหมดไปจากการออกกำลังกาย ในระหว่างการรณรงค์หาเสียงปี 2015 ทีมงานของทรัมป์ได้เผยแพร่จดหมายจากแฮโรลด์ บอร์นสไตน์ อายุรแพทย์โรคระบบทางเดินอาหารซึ่งเป็นที่รู้จักในฐานะแพทย์ส่วนตัวของทรัมป์ ใจความว่า "ทรัมป์เป็นบุคคลที่สุขภาพดีที่สุด เท่าที่เคยได้รับเลือกให้ดำรงตำแหน่งประธานาธิบดี" [236] อย่างไรก็ดี มีการเปิดเผยในปี 2018 ว่าทรัมป์เป็นผู้กำหนดเนื้อความในจดหมายดังกล่าวเอง นอกจากนี้ บอร์นสไตน์ยังระบุว่าเจ้าหน้าที่ของทรัมป์จำนวนสามรายได้ยึดบันทึกทางการแพทย์ของเขาในเดือนกุมภาพันธ์ ค.ศ. 2017[237]

ทรัมป์โปรดปรานอาหารจานด่วนอย่างเคเอฟซี, พิซซา, แมคโดนัลด์ และชอบทานสเต็กรวมถึงไอศกรีม[238][239][240]

ศาสนา

[แก้]

ทรัมป์กล่าวว่าเขาเคยเป็นทั้งเพรสไบทีเรียน และโปรเตสแตนต์[241][242] แม้ว่าในปี 2020 เขาจะเริ่มระบุว่าตนเองไม่สังกัดนิกายใด[243]

ทรัพย์สิน

[แก้]

ทรัมป์ถือได้ว่าเป็นหนึ่งในบุคคลที่มีฐานะร่ำรวยมากที่สุดของสหรัฐ[4] เขาเริ่มสร้างเนื่อสร้างตัวจากธุรกิจที่ได้รับมรดกตกทอดมาจากรุ่นพ่อ[244] และได้ขยายกิจการไปยังหลายพื้นที่ทั่วโลก เช่น กาสิโน โรงแรม ที่พักอาศัย คอนโดมิเนียม[245] อีกทั้งยังเป็นประธานเจ้าหน้าที่บริหารของบริษัททรัมป์ออร์กาไนเซชัน ผู้พัฒนาอสังหาริมทรัพย์ในสหรัฐ[4] ในปี 2018 เดอะนิวยอร์กไทมส์รายงานชีวประวัติและข้อมูลความร่ำรวยของทรัมป์ว่าทรัมป์มีความมั่งคั่งกว่า 3,100 ล้านเหรียญสหรัฐ ไม่รวมอสังหาริมทรัพย์และสิ่งปลูกสร้างอื่น ๆ ทั้งนี้ ความมั่งคั่งของทรัมป์ยังคงมีความคลุมเคลือ โดยเขาเคยเคยเปิดเผยว่ามีทรัพย์สินมากกว่า 1 หมื่นล้านดอลลาร์[246] ในขณะที่บลูมเบิร์กประเมินว่าเขามีทรัพย์สิน 3 พันล้านดอลลาร์ และนิตยสารฟอร์จูนประเมินว่าเขามีทรัพย์สิน 3.9 พันล้านดอลลาร์[247]

ทรัมป์ทาวเวอร์ ตึกระฟ้าหรูหราย่านแมนแฮตตันในนิวยอร์กถือเป็นกิจการหลักที่สร้างรายได้มหาศาลให้แก่ทรัมป์

อย่างไรก็ตาม จากผลกระทบการแพร่ระบาดของโควิด 19 ทรัมป์เปิดเผยว่าธุรกิจของตนได้รับความเสียหายจากการล็อกดาวน์ โดยรายได้จากโรงแรมในเครือของทรัมป์ทั้งในวอชิงตันและลาสเวกัสลดลงกว่าครึ่งหนึ่ง รวมถึงธุรกิจกีฬากอล์ฟ ทำให้รายได้โดยรวมของเขาลดลงจนเหลืออยู่ที่ประมาณ 273-308 ล้านดอลลาร์ ในการเปิดเผยข้อมูลทางการเงินครั้งสุดท้ายในฐานะประธานาธิบดี ทรัมป์ได้ลงรายละเอียดความเสียหายที่เกิดจากโควิด-19 ในตอนที่ธุรกิจท่องเที่ยวมากมายได้รับผลกระทบ โดยสมัยที่เป็นผู้นำสหรัฐทรัมป์ได้ต่อต้านนโยบายที่จะชะลอการแพร่ระบาดผ่านการใส่หน้ากากอนามัยและยืนยันว่าสามารถเดินทางท่องเที่ยวในประเทศได้อย่างปลอดภัย ข้อมูลการเงินที่ครอบคลุมตลอดทั้งปี 2020 จนถึง 20 วันแรกของปี 2021 ชี้ให้เห็นว่า รายได้จากโรงแรมทรัมป์ในวอชิงตัน ลดลงเหลือ 15.1 ล้านดอลลาร์จากเดิม 40.5 ล้านดอลลาร์เมื่อปีก่อนหน้า[248] ขณะที่สาขาลาสเวกัส ยอดขายที่เกี่ยวข้องกับโรงแรมลดลงเหลือ 9.2 ล้านดอลลาร์ จากเดิม 23.3 ล้านดอลลาร์ในปีก่อนหน้า นอกจากนี้ กอล์ฟรีสอร์ตที่เมืองไมแอมี ซึ่งเป็นธุรกิจสำคัญอีกแห่งของทรัมป์ ก็มีรายได้ลดลงเหลือ 44 ล้านดอลลาร์ จากเดิม 77 ล้านดอลลาร์ในปีก่อนหน้า ขณะที่สนามกอล์ฟทั้งในอังกฤษและไอร์แลนด์ก็มีรายได้ลดลงประมาณ 2 ใน 3 ของที่เคยทำได้ในปีก่อนหน้า โดยข้อมูลจากการจัดอันดับมหาเศรษฐีของบลูมเบิร์ก พบว่า ทรัพย์สินของทรัมป์ลดลงราว 700 ล้านเหรียญสหรัฐ หรือราว 21,525 ล้านบาท เหลือ 2,300 ล้านเหรียญสหรัฐ หรือ 70,725 ล้านบาทหลังก้าวลงจากตำแหน่ง[4]

วัฒนธรรมร่วมสมัย

[แก้]

ทรัมป์เป็นหนึ่งในบุคคลสำคัญของโลกที่ปรากฎตัวในสื่อล้อเลียนทางโทรทัศน์และเพลงจำนวนมาก ชื่อของเขาปรากฎในเนื้อเพลงหลายร้อยเพลงระหว่างปี 1989 ถึง 2015 แม้จะส่งผลในเชิงบวกต่อการทำธุรกิจของเขาในช่วงก่อนลงเล่นการเมือง ทว่าได้ส่งผลเชิงลบในช่วงที่เขาดำรงตำแหน่งผู้นำประเทศ[249]

อ้างอิง

[แก้]
  1. "Donald Trump". Biography (ภาษาอังกฤษแบบอเมริกัน).
  2. Samuels, Brett (2024-11-06). "Donald Trump wins presidency, Kamala Harris loses in tight election". The Hill (ภาษาอังกฤษแบบอเมริกัน).
  3. "The Trump Organization | Luxury Real Estate Portfolio". www.trump.com (ภาษาอังกฤษ).
  4. 4.0 4.1 4.2 4.3 "Donald (John) Trump biography". biography.com. คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 2009-01-08. สืบค้นเมื่อ 2008-07-06.
  5. "The Art of the Greater Fool: How the Shuttle Business Got Grounded". The Washington Post. คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 2008-06-12. สืบค้นเมื่อ 2008-05-22.
  6. "What is Trump Worth?". Forbes. เก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 2012-12-08. สืบค้นเมื่อ 2008-07-04.
  7. "The day Trump ran for president (and what people predicted)" (ภาษาอังกฤษแบบบริติช). 2019-06-15. สืบค้นเมื่อ 2025-02-14.
  8. Luscombe, Richard (2024-11-01). "Threats, racism, misogyny: Trump's disturbing final week of campaigning". The Guardian (ภาษาอังกฤษแบบบริติช). ISSN 0261-3077. สืบค้นเมื่อ 2025-02-14.
  9. "Kamala Harris already faces racism and sexism from Trump and Republicans : Consider This from NPR". NPR (ภาษาอังกฤษ). สืบค้นเมื่อ 2025-02-14.
  10. Montanaro, Domenico (2024-08-11). "162 lies and distortions in a news conference. NPR fact-checks former President Trump". NPR (ภาษาอังกฤษ). สืบค้นเมื่อ 2025-02-14.
  11. Institute, Siena College Research. "American Presidents: Greatest and Worst" (ภาษาอังกฤษแบบอเมริกัน).
  12. Sheehey, Maeve. "Trump debuts at 41st in C-SPAN presidential rankings". POLITICO (ภาษาอังกฤษ).
  13. Fowler, Stephen (2020-11-22). "Trump Requests Georgia Recount, Meaning 5 Million Votes Will Be Tabulated A 3rd Time". NPR (ภาษาอังกฤษ). สืบค้นเมื่อ 2022-12-26.
  14. "เลือกตั้งสหรัฐฯ 2024 : โดนัลด์ ทรัมป์ ประกาศชิงประธานาธิบดีสหรัฐฯ ในวันที่กำลังเสียเปรียบ". BBC News ไทย. 2022-11-16.
  15. "Donald Trump pictured in New York court as he pleads not guilty to 34 felony counts". Sky News (ภาษาอังกฤษ).
  16. Valle, Jeremy Herb,Kara Scannell,Lauren del (2023-04-04). "Donald Trump pleads not guilty to 34 felony counts of falsifying business records | CNN Politics". CNN (ภาษาอังกฤษ).
  17. "Trump injured but 'fine' after attempted assassination at rally, shooter and one attendee are dead". AP News (ภาษาอังกฤษ). 2024-07-13.
  18. "Trump vows to quit Paris climate pact and 'drill, baby, drill'". www.bbc.com (ภาษาอังกฤษแบบบริติช). 2025-01-21. สืบค้นเมื่อ 2025-02-14.
  19. "All the executive orders Trump has signed so far". The Guardian (ภาษาอังกฤษแบบบริติช). 2025-01-30. ISSN 0261-3077. สืบค้นเมื่อ 2025-02-03.
  20. "Trump says the federal workforce is too big. Here's what to know about its size. - CBS News". www.cbsnews.com (ภาษาอังกฤษแบบอเมริกัน). 2025-02-14. สืบค้นเมื่อ 2025-02-14.
  21. "Trump says the U.S. will 'own' Gaza — what that could mean for the Middle East : Consider This from NPR". NPR (ภาษาอังกฤษ). สืบค้นเมื่อ 2025-02-13.
  22. Blair, Gwenda (August 24, 2015). "The Man Who Made Trump Who He Is". Politico. สืบค้นเมื่อ July 24, 2016.
  23. "Mary MacLeod Trump Philanthropist, 88". The New York Times (Obituary). August 9, 2000. สืบค้นเมื่อ May 12, 2016.
  24. 24.0 24.1 Pilon, Mary (June 24, 2016). "Donald Trump's Immigrant Mother". The New Yorker.
  25. McGrane, Sally (April 29, 2016). "The Ancestral German Home of the Trumps". The New Yorker.
  26. Davidson, Amy (April 8, 2016). "Donald Trump's Nuclear Uncle". The New Yorker. สืบค้นเมื่อ July 24, 2016.
  27. "Donald Trump's grandfather ran Canadian brothel during gold rush". CBC News. September 19, 2015. สืบค้นเมื่อ December 10, 2015.
  28. Blair, Gwenda (2001). The Trumps: Three Generations of Builders and a Presidential Candidate (1st ed.). Simon & Schuster. pp. 28–29, 453; ISBN 9780743210799.
  29. Blair, Gwenda (2001). The Trumps: Three Generations That Built an Empire. New York: Simon & Schuster. p. 26. ISBN 978-0-7432-1079-9.
  30. Frates, Chris (August 24, 2015). "Donald Trump's Immigrant Wives". CNN. สืบค้นเมื่อ September 3, 2015.
  31. Strauss, Valerie (July 17, 2015). "Yes, Donald Trump really went to an Ivy League school". The Washington Post. สืบค้นเมื่อ February 27, 2016.
  32. Blair, Gwenda (2005). Donald Trump: Master Apprentice. Simon and Schuster. pp. 16–. ISBN 978-0-7432-7510-1.
  33. 33.0 33.1 Viser, Matt (August 28, 2015). "Even in college, Donald Trump was brash". Boston Globe.
  34. "The Best Known Brand Name in Real Estate". The Wharton School. Spring 2007. คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 2017-04-12. สืบค้นเมื่อ 2017-02-26.
  35. "Two Hundred and Twelfth Commencement for the Conferring of Degrees" (PDF). University of Pennsylvania. May 20, 1968. คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิม (PDF)เมื่อ July 19, 2016. {{cite web}}: ไม่รู้จักพารามิเตอร์ |deadurl= ถูกละเว้น แนะนำ (|url-status=) (help)
  36. Montopoli, Brian (April 29, 2011). "Donald Trump avoided Vietnam with deferments, records show". CBS News. สืบค้นเมื่อ July 17, 2015.
  37. Lee, Kurtis (August 4, 2016). "How deferments protected Donald Trump from serving in Vietnam". Los Angeles Times. ISSN 0458-3035. สืบค้นเมื่อ August 4, 2016.
  38. 38.0 38.1 Whitlock, Craig (July 21, 2015). "Questions linger about Trump's draft deferments during Vietnam War". The Washington Post.
  39. Barbaro, Michael (September 8, 2015). "Donald Trump Likens His Schooling to Military Service in Book" – โดยทาง NYTimes.com.
  40. https://www.townandcountrymag.com/trump-family-news/
  41. "Donald J. Trump". The White House (ภาษาอังกฤษแบบอเมริกัน). คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 2021-05-19. สืบค้นเมื่อ 2021-05-24.
  42. https://www.businessinsider.com/trump-family-history-from-immigrants-to-americas-first-family-2020-6
  43. Mahler, Jonathan; Eder, Steve (2016-08-27). "'No Vacancies' for Blacks: How Donald Trump Got His Start, and Was First Accused of Bias". The New York Times (ภาษาอังกฤษแบบอเมริกัน). ISSN 0362-4331. สืบค้นเมื่อ 2025-02-14.
  44. Rich, Frank (2018-04-29). "Frank Rich: Roy Cohn, Donald Trump, and the New York Cesspool That Created Them". Intelligencer (ภาษาอังกฤษ). สืบค้นเมื่อ 2025-02-14.
  45. Mahler, Jonathan; Flegenheimer, Matt (2016-06-20). "What Donald Trump Learned From Joseph McCarthy's Right-Hand Man". The New York Times (ภาษาอังกฤษแบบอเมริกัน). ISSN 0362-4331. สืบค้นเมื่อ 2025-02-14.
  46. Brenner, Marie (2017-06-28). "How Donald Trump and Roy Cohn's Ruthless Symbiosis Changed America". Vanity Fair (ภาษาอังกฤษแบบอเมริกัน). สืบค้นเมื่อ 2025-02-14.
  47. Handy, Bruce (April 1, 2019). "Trump Once Proposed Building a Castle on Madison Avenue". The Atlantic. สืบค้นเมื่อ July 28, 2024.
  48. Qiu, Linda. "Donald Trump's six bankruptcies, detailed". @politifact (ภาษาอังกฤษแบบอเมริกัน). สืบค้นเมื่อ 2025-02-14.
  49. "Trump Bankruptcy Math Doesn't Add Up". NBC News (ภาษาอังกฤษ). 2016-06-24. สืบค้นเมื่อ 2025-02-14.
  50. Barstow, David; Craig, Susanne; Buettner, Russ (2018-10-02). "Trump Engaged in Suspect Tax Schemes as He Reaped Riches From His Father". The New York Times (ภาษาอังกฤษแบบอเมริกัน). ISSN 0362-4331. สืบค้นเมื่อ 2025-02-14.
  51. Horton, Adrian (2024-10-05). "'I'm fine with people bashing us': inside the controversial Trump biopic". The Observer (ภาษาอังกฤษแบบบริติช). ISSN 0029-7712. สืบค้นเมื่อ 2025-02-14.
  52. Galuppo, Mia (2024-09-04). "'The Apprentice' Producers Explain Why They Need a Kickstarter Campaign". The Hollywood Reporter (ภาษาอังกฤษแบบอเมริกัน). สืบค้นเมื่อ 2025-02-14.
  53. Nevius, James (2019-04-03). "The winding history of Trump's first major NYC real estate project". Curbed NY (ภาษาอังกฤษ). สืบค้นเมื่อ 2025-02-14.
  54. Geist, William E. (1984-04-08). "THE EXPANDING EMPIRE OF DONALD TRUMP". The New York Times (ภาษาอังกฤษแบบอเมริกัน). ISSN 0362-4331. สืบค้นเมื่อ 2025-02-14.
  55. Haberman, Maggie (2019-10-31). "Trump, Lifelong New Yorker, Declares Himself a Resident of Florida". The New York Times (ภาษาอังกฤษแบบอเมริกัน). ISSN 0362-4331. สืบค้นเมื่อ 2025-02-14.
  56. "COMPANY NEWS; Trump Revises Plaza Loan". The New York Times (ภาษาอังกฤษแบบอเมริกัน). 1992-11-04. ISSN 0362-4331. สืบค้นเมื่อ 2025-02-14.
  57. Reuters (1992-12-12). "COMPANY NEWS; TRUMP'S PLAZA HOTEL BANKRUPTCY PLAN APPROVED". The New York Times (ภาษาอังกฤษแบบอเมริกัน). ISSN 0362-4331. สืบค้นเมื่อ 2025-02-14.
  58. Segal, David (2016-01-16). "What Donald Trump's Plaza Deal Reveals About His White House Bid". The New York Times (ภาษาอังกฤษแบบอเมริกัน). ISSN 0362-4331. สืบค้นเมื่อ 2025-02-14.
  59. Gilpin, David Stout With Kenneth N. (1995-04-12). "Trump Is Selling Plaza Hotel To Saudi and Asian Investors". The New York Times (ภาษาอังกฤษแบบอเมริกัน). ISSN 0362-4331. สืบค้นเมื่อ 2025-02-14.
  60. Bagli, Charles V. (2005-06-01). "Trump Group Selling West Side Parcel for $1.8 Billion". The New York Times (ภาษาอังกฤษแบบอเมริกัน). ISSN 0362-4331. สืบค้นเมื่อ 2025-02-14.
  61. Buettner, Paul Kiel,Russ (2024-05-11). "IRS Audit of Trump Could Cost Former President More Than $100 Million". ProPublica (ภาษาอังกฤษ). สืบค้นเมื่อ 2025-02-14.
  62. McQuade, Dan (2015-08-16). "The Truth About the Rise and Fall of Donald Trump's Atlantic City Empire". Philadelphia Magazine (ภาษาอังกฤษแบบอเมริกัน). สืบค้นเมื่อ 2025-02-14.
  63. Saxon, Wolfgang (1985-04-28). "TRUMP BUYS HILTON'S HOTEL IN ATLANTIC CITY". The New York Times (ภาษาอังกฤษแบบอเมริกัน). ISSN 0362-4331. สืบค้นเมื่อ 2025-02-14.
  64. "Trump's Castle and Plaza file for bankruptcy - UPI Archives". UPI (ภาษาอังกฤษ). สืบค้นเมื่อ 2025-02-14.
  65. Smith, Oliver (2020-10-01). "Trump Shuttle: Looking back at Donald Trump's failed, forgotten airline". The Sydney Morning Herald (ภาษาอังกฤษ). สืบค้นเมื่อ 2025-02-14.
  66. O'Connor, Clare. "Fourth Time's A Charm: How Donald Trump Made Bankruptcy Work For Him". Forbes (ภาษาอังกฤษ). สืบค้นเมื่อ 2025-02-14.
  67. Norris, Floyd (1995-06-07). "Trump Plaza Casino Stock Trades Today on Big Board". The New York Times (ภาษาอังกฤษแบบอเมริกัน). ISSN 0362-4331. สืบค้นเมื่อ 2025-02-14.
  68. Tully, Shawn. "How Donald Trump Made Millions Off His Biggest Business Failure". Fortune (ภาษาอังกฤษ). สืบค้นเมื่อ 2025-02-14.
  69. Peterson-Withorn, Chase. "Donald Trump Has Gained More Than $100 Million On Mar-a-Lago". Forbes (ภาษาอังกฤษ). สืบค้นเมื่อ 2025-02-14.
  70. "A History of Mar-a-Lago, Donald Trump's Palm Beach Home". Town & Country (ภาษาอังกฤษแบบอเมริกัน). 2025-01-20. สืบค้นเมื่อ 2025-02-14.
  71. Garcia, Ahiza (2016-12-29). "Trump's 17 golf courses: Everything you need to know | CNN Business". CNN (ภาษาอังกฤษ). สืบค้นเมื่อ 2025-02-14.
  72. Oreskes, Michael (1987-09-02). "TRUMP GIVES A VAGUE HINT OF CANDIDACY". The New York Times (ภาษาอังกฤษแบบอเมริกัน). ISSN 0362-4331. สืบค้นเมื่อ 2025-02-14.
  73. Butterfield, Fox (1987-11-18). "Trump Urged To Head Gala Of Democrats". The New York Times (ภาษาอังกฤษแบบอเมริกัน). ISSN 0362-4331. สืบค้นเมื่อ 2025-02-14.
  74. Gass, Nick (2015-11-06). "George W. Bush 'surprised' by dad's criticism, author says". POLITICO (ภาษาอังกฤษ). สืบค้นเมื่อ 2025-02-14.
  75. "Donald Trump Ran For President in 2000 in Several Reform Party Presidential Primaries |" (ภาษาอังกฤษแบบอเมริกัน). 2011-12-25. สืบค้นเมื่อ 2025-02-14.
  76. "The Last Time Trump Wrecked a Party". The Daily Beast (ภาษาอังกฤษ). 2016-07-18. สืบค้นเมื่อ 2025-02-14.
  77. "Reform Bid Said to Be a No-Go for Trump". archive.nytimes.com. สืบค้นเมื่อ 2025-02-14.
  78. MacAskill, Ewen (2011-05-16). "Donald Trump bows out of 2012 US presidential election race". The Guardian (ภาษาอังกฤษแบบบริติช). ISSN 0261-3077. สืบค้นเมื่อ 2025-02-14.
  79. "How CPAC Helped Launch Donald Trump's Political Career". HuffPost (ภาษาอังกฤษ). 2017-02-22. สืบค้นเมื่อ 2025-02-14.
  80. "The 10 best lines from Donald Trump's announcement speech". POLITICO (ภาษาอังกฤษ). 2015-06-16. สืบค้นเมื่อ 2025-02-14.
  81. Graham, David A. (2016-05-13). "The Lie of Trump's 'Self-Funding' Campaign". The Atlantic (ภาษาอังกฤษ). สืบค้นเมื่อ 2025-02-14.
  82. "Mister 1,237: North Dakota delegate puts Trump over the top". AP News (ภาษาอังกฤษ). 2016-05-26. สืบค้นเมื่อ 2025-02-14.
  83. McCammon, Sarah (2016-08-10). "Donald Trump's Controversial Speech Often Walks The Line". NPR (ภาษาอังกฤษ). สืบค้นเมื่อ 2025-02-14.
  84. FactCheck.org (2015-12-21). "The 'King of Whoppers': Donald Trump - FactCheck.org". FactCheck.org (ภาษาอังกฤษแบบอเมริกัน). เก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 2025-01-04. สืบค้นเมื่อ 2025-02-14.
  85. Qiu, Angie Drobnic Holan, Linda. "2015 Lie of the Year: Donald Trump's campaign misstatements". @politifact (ภาษาอังกฤษแบบอเมริกัน). สืบค้นเมื่อ 2025-02-14.
  86. "Poll: Clinton and Trump Now Tied as GOP Convention Kicks Off". NBC News (ภาษาอังกฤษ). 2016-07-19. สืบค้นเมื่อ 2025-02-14.
  87. Levingston, Ivan (2016-07-15). "Donald Trump officially names Mike Pence for VP". CNBC (ภาษาอังกฤษ). สืบค้นเมื่อ 2025-02-14.
  88. Rappeport, Alan (2016-05-11). "Donald Trump Breaks With Recent History by Not Releasing Tax Returns". First Draft (ภาษาอังกฤษ). สืบค้นเมื่อ 2025-02-14.
  89. Qiu, Linda. "Pence: Trump hasn't broken promise to release tax returns". @politifact (ภาษาอังกฤษแบบอเมริกัน). สืบค้นเมื่อ 2025-02-14.
  90. Vogue, Ariane de (2021-02-22). "Supreme Court allows release of Trump tax returns to NY prosecutor | CNN Politics". CNN (ภาษาอังกฤษ). สืบค้นเมื่อ 2025-02-14.
  91. "Supreme Court won't halt turnover of Trump's tax records". AP News (ภาษาอังกฤษ). 2021-02-22. สืบค้นเมื่อ 2025-02-14.
  92. Eder, Steve; Twohey, Megan (2016-10-10). "Donald Trump Acknowledges Not Paying Federal Income Taxes for Years". The New York Times (ภาษาอังกฤษแบบอเมริกัน). ISSN 0362-4331. สืบค้นเมื่อ 2025-02-14.
  93. "2016 presidential election results". edition.cnn.com (ภาษาอังกฤษ).
  94. "US election 2016 result: Trump beats Clinton to take White House". BBC News (ภาษาอังกฤษแบบบริติช). 2016-11-09. สืบค้นเมื่อ 2021-05-24.
  95. Yan, Max Blau,Euan McKirdy,Holly (2016-11-10). "Protesters target Trump buildings in massive street rallies | CNN Politics". CNN (ภาษาอังกฤษ). สืบค้นเมื่อ 2025-02-14.
  96. Mele, Christopher; Correal, Annie (2016-11-10). "'Not Our President': Protests Spread After Donald Trump's Election". The New York Times (ภาษาอังกฤษแบบอเมริกัน). ISSN 0362-4331. สืบค้นเมื่อ 2025-02-14.
  97. "Trump executive order pulls out of TPP trade deal". BBC News (ภาษาอังกฤษแบบบริติช). 2017-01-24. สืบค้นเมื่อ 2021-05-24.
  98. "สำเนาที่เก็บถาวร". คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 2021-05-17. สืบค้นเมื่อ 2021-05-17.
  99. "Reagan: 'Making America great' the first time — United States Studies Centre". www.ussc.edu.au.
  100. U.S, Full Bio Follow Linkedin Kimberly Amadeo is an expert on; Economies, World; investing; Analysis, With Over 20 Years of Experience in Economic; Balance, business strategy She is the President of the economic website World Money Watch As a writer for The; economy, Kimberly provides insight on the state of the present-day; Amadeo, as well as past events that have had a lasting impact Read The Balance's editorial policies Kimberly. "President Donald Trump's Economic Plans and Policies". The Balance (ภาษาอังกฤษ).
  101. "Immigration – The White House". trumpwhitehouse.archives.gov.
  102. Anderson, Stuart. "A Review Of Trump Immigration Policy". Forbes (ภาษาอังกฤษ).
  103. "President Trump's Executive Orders on Immigration and Refugees". The Center for Migration Studies of New York (CMS) (ภาษาอังกฤษแบบอเมริกัน). 2017-01-29.
  104. U.S, Full Bio Follow Linkedin Kimberly Amadeo is an expert on; Economies, World; investing; Analysis, With Over 20 Years of Experience in Economic; Amadeo, business strategy She is the President of the economic website World Money Watch Read The Balance's editorial policies Kimberly. "The Impact of Donald Trump's Immigration Policies". The Balance (ภาษาอังกฤษ).
  105. https://www.bbc.com/news/av/world-us-canada-41479161
  106. https://www.factcheck.org/2019/08/trumps-mixed-record-on-gun-control/
  107. Pramuk, Jacob (2019-01-25). "Trump signs bill to temporarily reopen government after longest shutdown in history". CNBC (ภาษาอังกฤษ).
  108. Fritze, John. "By the numbers: How the government shutdown is affecting the US". USA TODAY (ภาษาอังกฤษแบบอเมริกัน).
  109. Gambino, Lauren; Walters, Joanna (2019-01-26). "Trump signs bill to end $6bn shutdown and temporarily reopen government". The Guardian (ภาษาอังกฤษแบบบริติช). ISSN 0261-3077. สืบค้นเมื่อ 2024-11-09.
  110. Mui, Ylan (2019-01-28). "The government shutdown cost the economy $11 billion, including a permanent $3 billion loss, Congressional Budget Office says". CNBC (ภาษาอังกฤษ).
  111. Jr, Perry Bacon (2019-01-25). "Why Trump Blinked". FiveThirtyEight (ภาษาอังกฤษแบบอเมริกัน).
  112. "2017: A Year of Promises Fulfilled with a Strong Labor Market – The White House". trumpwhitehouse.archives.gov.
  113. https://www.npr.org/sections/health-shots/2019/10/14/768731628/trump-is-trying-hard-to-thwart-obamacare-hows-that-going
  114. "Trump says Obamacare must die. Biden says he'll make it into 'Bidencare.'". NBC News (ภาษาอังกฤษ).
  115. "Education Policy Ideas for President Trump". Education Strategy Group (ภาษาอังกฤษแบบอเมริกัน).
  116. Welle (www.dw.com), Deutsche. "US election: How Donald Trump has changed global foreign policy | DW | 24.10.2020". DW.COM (ภาษาอังกฤษแบบบริติช).
  117. https://theconversation.com/the-foreign-policy-legacy-that-donald-trump-leaves-joe-biden-148573
  118. "Trump-Kim Summit". AP NEWS.
  119. "Trump meets Kim Jong Un, steps into North Korea". NBC News (ภาษาอังกฤษ).
  120. https://www.bbc.com/news/world-us-canada-48797485
  121. "G7 leaders reject Russia's return after Trump summit invite". BBC News (ภาษาอังกฤษแบบบริติช). 2020-06-02. สืบค้นเมื่อ 2021-05-24.
  122. News, A. B. C. "Trump signs $110 billion arms deal with Saudi Arabia on 'a tremendous day'". ABC News (ภาษาอังกฤษ). {{cite web}}: |last= มีชื่อเรียกทั่วไป (help)
  123. https://www.npr.org/2023/05/30/1178919266/trump-abandoned-the-nuclear-deal-5-years-ago-could-the-u-s-stop-a-bomb-from-iran
  124. Hennigan, W. J. (2021-11-24). "U.S. General: Iran Is Nearly Able to Build a Nuclear Weapon". TIME (ภาษาอังกฤษ).
  125. "How China Won Trump's Trade War and Got Americans to Foot the Bill". Bloomberg.com (ภาษาอังกฤษ). 2021-01-11. สืบค้นเมื่อ 2024-11-09.
  126. Liedtke, Frank Bajak and Michael. "Huawei sanctions: Who gets hurt in dispute?". USA TODAY (ภาษาอังกฤษแบบอเมริกัน).
  127. Bloomberg (2019-06-04). "Trump's Next Trade War Target: Chinese Students in the U.S." TIME (ภาษาอังกฤษ).
  128. Bloomberg (2018-04-11). "Trump Praises China's Xi's Trade Speech, Easing Tariff Tensions". IndustryWeek (ภาษาอังกฤษ).
  129. "Trump held off sanctioning Chinese over Uighurs to pursue trade deal" (ภาษาอังกฤษแบบบริติช). 2020-06-22. สืบค้นเมื่อ 2024-11-09.
  130. "Outcry as Trump backs Israeli sovereignty over Golan Heights". euronews (ภาษาอังกฤษ). 2019-03-22.
  131. Joyce, Kathleen (2018-04-13). "US strikes Syria after suspected chemical attack by Assad regime". Fox News (ภาษาอังกฤษแบบอเมริกัน).
  132. Borger, Julian (2018-12-20). "Trump shocks allies and advisers with plan to pull US troops out of Syria". The Guardian (ภาษาอังกฤษแบบบริติช). ISSN 0261-3077. สืบค้นเมื่อ 2024-11-09.
  133. McKernan, Bethan; Borger, Julian; Sabbagh, Dan (2019-10-09). "Turkey unleashes airstrikes against Kurds in north-east Syria". The Guardian (ภาษาอังกฤษแบบบริติช). ISSN 0261-3077. สืบค้นเมื่อ 2024-11-09.
  134. Cillizza, Chris (2020-06-19). "Donald Trump makes terrible hires, according to Donald Trump | CNN Politics". CNN (ภาษาอังกฤษ).
  135. Collins, John Fritze, Courtney Subramanian and Michael. "Trump says former chief of staff Gen. John Kelly couldn't 'handle the pressure' of the job". USA TODAY (ภาษาอังกฤษแบบอเมริกัน).
  136. Jones-Rooy, Andrea (2017-11-29). "The Incredibly And Historically Unstable First Year Of Trump's Cabinet". FiveThirtyEight (ภาษาอังกฤษแบบอเมริกัน).
  137. "Tracking turnover in the Trump administration". Brookings (ภาษาอังกฤษแบบอเมริกัน).
  138. Editors, History com. "First confirmed case of COVID-19 found in U.S." HISTORY (ภาษาอังกฤษ). {{cite web}}: |last= มีชื่อเรียกทั่วไป (help)
  139. Taylor, Derrick Bryson (2021-03-17). "A Timeline of the Coronavirus Pandemic". The New York Times (ภาษาอังกฤษแบบอเมริกัน). ISSN 0362-4331. สืบค้นเมื่อ 2021-05-24.
  140. Hart, Roderick P. (2021-03-03). "Why Trump Lost and How? A Rhetorical Explanation". American Behavioral Scientist (ภาษาอังกฤษ): 0002764221996760. doi:10.1177/0002764221996760. ISSN 0002-7642.
  141. "George H. W. Bush". The White House (ภาษาอังกฤษแบบอเมริกัน).[ลิงก์เสีย]
  142. Westenfeld, Adrienne (2020-11-16). "Barack Obama Broke Down Every Way Donald Trump Failed to Handle COVID-19". Esquire (ภาษาอังกฤษแบบอเมริกัน).
  143. "George Floyd: What happened in the final moments of his life". BBC News (ภาษาอังกฤษแบบบริติช). 2020-07-16. สืบค้นเมื่อ 2021-05-24.
  144. https://claremontreviewofbooks.com/why-trump-lost/
  145. "2020 presidential election results". www.cnn.com (ภาษาอังกฤษ).
  146. https://www.nbcnews.com/think/opinion/trump-lost-2020-election-biden-could-he-win-2024-ncna1247805
  147. Schouten, Fredreka (2022-11-16). "Questions about Donald Trump's campaign money, answered | CNN Politics". CNN (ภาษาอังกฤษ).
  148. Levine, Sam (2024-03-04). "Trump was wrongly removed from Colorado ballot, US supreme court rules". The Guardian (ภาษาอังกฤษแบบบริติช). ISSN 0261-3077. สืบค้นเมื่อ 2024-11-09.
  149. Stone, Peter (2023-11-22). "'Openly authoritarian campaign': Trump's threats of revenge fuel alarm". The Guardian (ภาษาอังกฤษแบบบริติช). ISSN 0261-3077. สืบค้นเมื่อ 2024-11-09.
  150. "Trump's vow to only be a dictator on 'day one' follows growing worry over his authoritarian rhetoric". AP News (ภาษาอังกฤษ). 2023-12-08.
  151. Applebaum, Anne (2024-10-18). "Trump Is Speaking Like Hitler, Stalin, and Mussolini". The Atlantic (ภาษาอังกฤษ).
  152. "AP PHOTOS: Shooting at Trump rally in Pennsylvania". AP News (ภาษาอังกฤษ). 2024-07-14.
  153. Strauss, Daniel (2024-10-06). "Musk calls for people to register to vote | CNN Politics". CNN (ภาษาอังกฤษ).
  154. Mallinder, Lorraine. "The Elon Musk effect: How Donald Trump gained from billionaire's support". Al Jazeera (ภาษาอังกฤษ).
  155. "Elon Musk: How Trump's presidency could benefit the Tesla boss". www.bbc.com (ภาษาอังกฤษแบบบริติช).
  156. "Donald Trump projected to pull-off historic White House comeback". www.bbc.com (ภาษาอังกฤษแบบบริติช).
  157. "Donald Trump elected 47th US president". Al Jazeera (ภาษาอังกฤษ).
  158. "Trump inherits a strong economy by the numbers. What's his plan to lower prices?". NPR (ภาษาอังกฤษ). สืบค้นเมื่อ 2025-02-05.
  159. "Trump says he will 'demand' that interest rates come down, but it won't be that simple". AP News (ภาษาอังกฤษ). 2025-01-23. สืบค้นเมื่อ 2025-02-05.
  160. Terenzio, Kai Ryssdal, Sofia (2024-11-06). "Trump inherits a sturdy economy". Marketplace (ภาษาอังกฤษแบบอเมริกัน). สืบค้นเมื่อ 2025-02-05.
  161. Baker, Peter (2025-01-05). "Trump Sees the U.S. as a 'Disaster.' The Numbers Tell a Different Story". The New York Times (ภาษาอังกฤษแบบอเมริกัน). ISSN 0362-4331. สืบค้นเมื่อ 2025-02-05.
  162. "President-elect Trump is inheriting a historically strong economy". Economic Policy Institute (ภาษาอังกฤษแบบอเมริกัน). สืบค้นเมื่อ 2025-02-05.
  163. Montoya-Galvez, Camilo (2025-01-22). "U.S. border agents told to summarily deport migrants without granting asylum hearings under Trump edict - CBS News". www.cbsnews.com (ภาษาอังกฤษแบบอเมริกัน). สืบค้นเมื่อ 2025-02-05.
  164. Bustillo, Ximena (2025-01-20). "Trump signs sweeping actions on immigration and border security on Day 1". NPR (ภาษาอังกฤษ). สืบค้นเมื่อ 2025-02-05.
  165. Montoya-Galvez, Camilo (2025-01-28). "Trump's sweeping immigration crackdown targets some legal means to enter U.S., too - CBS News". www.cbsnews.com (ภาษาอังกฤษแบบอเมริกัน). สืบค้นเมื่อ 2025-02-05.
  166. Dorn, Sara. "Everything To Know About Trump's 'Mass Deportation' Plans: First Flights To Guantánamo Bay Underway, White House Says". Forbes (ภาษาอังกฤษ). สืบค้นเมื่อ 2025-02-05.
  167. Hackman, Michelle. "Trump Ramps Up Deportation Effort After Slow Start". WSJ (ภาษาอังกฤษแบบอเมริกัน). สืบค้นเมื่อ 2025-02-05.
  168. Gibson, Russell Contreras,Brittany (2025-01-21). "Trump's orders unleash sweeping limits on immigration, asylum". Axios (ภาษาอังกฤษ). สืบค้นเมื่อ 2025-02-05.
  169. "Trump's executive actions curbing transgender rights focus on 'gender ideology'". NPR (ภาษาอังกฤษ). สืบค้นเมื่อ 2025-02-10.
  170. Forrest, Jeremy Herb, Haley Britzky, Oren Liebermann, Kristen Holmes, Jack (2024-11-13). "Trump picks Fox News host and Army veteran Pete Hegseth to serve as secretary of defense | CNN Politics". CNN (ภาษาอังกฤษ).
  171. "Trump to name Marco Rubio as US Secretary of State: Report". www.aa.com.tr.
  172. Sanger, David E.; Shear, Michael D. (2025-01-15). "How the Cease-Fire Push Brought Together Biden and Trump's Teams". The New York Times (ภาษาอังกฤษแบบอเมริกัน). ISSN 0362-4331. สืบค้นเมื่อ 2025-01-23.
  173. Saenz, Kevin Liptak, Michael Williams, Nikki Carvajal, Alayna Treene, Arlette (2025-01-15). "How the Biden and Trump teams worked together to get the Gaza ceasefire and hostages deal done | CNN Politics". CNN (ภาษาอังกฤษ).
  174. "Trump redesignates Houthis as terror group, undoing Biden's previous reversal". The Jerusalem Post | JPost.com (ภาษาอังกฤษ). 2025-01-23.
  175. "'ทรัมป์' ประกาศให้กบฏฮูตีในเยเมนเป็น 'องค์กรก่อการร้ายต่างชาติ' อีกครั้ง". mgronline.com. 2025-01-23.
  176. Liptak, Kevin (2025-02-04). "Trump says US will 'take over' Gaza Strip and doesn't rule out using American troops | CNN Politics". CNN (ภาษาอังกฤษ). สืบค้นเมื่อ 2025-02-05.
  177. "Trump signs order sanctioning International Criminal Court". www.bbc.com (ภาษาอังกฤษแบบบริติช). 2025-02-07. สืบค้นเมื่อ 2025-02-07.
  178. Buchwald, Kayla Tausche, Kevin Liptak, David Goldman, Elisabeth (2025-01-21). "Trump threatens 25% tariffs on Mexico and Canada on Feb. 1, punting Day 1 pledge | CNN Business". CNN (ภาษาอังกฤษ).
  179. Goodwin, Grace Eliza. "Gulf of Mexico, or Gulf of America? Trump makes a call, but who follows?". Business Insider (ภาษาอังกฤษแบบอเมริกัน). สืบค้นเมื่อ 2025-02-13.
  180. "US tariffs on Canada and Mexico take effect, China Mexico and Canada retaliate". WVTM (ภาษาอังกฤษ). 2025-03-04. สืบค้นเมื่อ 2025-03-04.
  181. Erlanger, Steven (2025-02-12). "Hegseth Says Return to Ukraine's Prewar Borders Is 'Unrealistic'". The New York Times (ภาษาอังกฤษแบบอเมริกัน). ISSN 0362-4331. สืบค้นเมื่อ 2025-02-13.
  182. Sabbagh, Dan; Defence, Dan Sabbagh; editor, security (2025-02-12). "US no longer 'primarily focused' on Europe's security, says Pete Hegseth". The Guardian (ภาษาอังกฤษแบบบริติช). ISSN 0261-3077. สืบค้นเมื่อ 2025-02-13. {{cite news}}: |last3= มีชื่อเรียกทั่วไป (help)
  183. Barnes, Joe; Stringer, Connor (2025-02-12). "Trump and Putin start talks to end Ukraine war". The Telegraph (ภาษาอังกฤษแบบบริติช). ISSN 0307-1235. สืบค้นเมื่อ 2025-02-13.
  184. "Trump says US, Ukraine, Russia to meet in Saudi Arabia next week". www.aa.com.tr. สืบค้นเมื่อ 2025-02-16.
  185. "Donald Trump accuses Zelensky of 'gambling with World War Three'". www.bbc.com (ภาษาอังกฤษแบบบริติช). 2025-03-01. สืบค้นเมื่อ 2025-03-01.
  186. "Trump administration briefing: clash with Zelenskyy shakes Washington – and the world". The Guardian (ภาษาอังกฤษแบบบริติช). 2025-03-01. ISSN 0261-3077. สืบค้นเมื่อ 2025-03-01.
  187. "How the Trump-Zelensky talks collapsed in 10 fiery minutes". www.bbc.com (ภาษาอังกฤษแบบบริติช). 2025-02-28. สืบค้นเมื่อ 2025-03-01.
  188. "Trump pauses US Ukraine military aid after Zelenskyy White House spat". euronews (ภาษาอังกฤษ). 2025-03-04. สืบค้นเมื่อ 2025-03-04.
  189. Perez, Nate (2025-01-21). "Trump is withdrawing from the Paris Agreement (again), reversing U.S. climate policy". NPR (ภาษาอังกฤษ). สืบค้นเมื่อ 2025-01-23.
  190. "Trump Lifts Biden's Freeze On Liquefied Natural Gas Exports". Bloomberg.com (ภาษาอังกฤษ). 2025-01-21. สืบค้นเมื่อ 2025-02-05.
  191. Elliott, Rebecca F. (2025-01-27). "Oil Companies Embrace Trump, but Not 'Drill, Baby, Drill'". The New York Times (ภาษาอังกฤษแบบอเมริกัน). ISSN 0362-4331. สืบค้นเมื่อ 2025-02-05.
  192. Chemnick, Jean (2025-01-22). "Trump's environmental purge casts wide net". POLITICO (ภาษาอังกฤษ). สืบค้นเมื่อ 2025-02-05.
  193. Egan, Piper Hudspeth Blackburn, Tami Luhby, Aaron Pellish, Matt (2024-11-13). "Elon Musk and Vivek Ramaswamy will lead new 'Department of Government Efficiency' in Trump administration | CNN Politics". CNN (ภาษาอังกฤษ).
  194. Mangan, Dan (2024-11-14). "Trump picks vaccine skeptic RFK Jr. for Health and Human Services secretary". CNBC (ภาษาอังกฤษ).
  195. News, A. B. C. "Trump picks Robert F. Kennedy Jr. to head Department of Health and Human Services". ABC News (ภาษาอังกฤษ). {{cite web}}: |last= มีชื่อเรียกทั่วไป (help)
  196. Boromsuk, Surat (2024-11-16). ""ทรัมป์" เลือก "แคโรไลน์ เลวิตต์" เป็นโฆษกหญิงประจำทำเนียบขาว". สำนักข่าวไทย อสมท (ภาษาอังกฤษแบบอเมริกัน).
  197. "The White House says Elon Musk is a "special government employee." Here's what that means. - CBS News". www.cbsnews.com (ภาษาอังกฤษแบบอเมริกัน). 2025-02-06. สืบค้นเมื่อ 2025-02-12.
  198. Duehren, Andrew; Haberman, Maggie; Schleifer, Theodore; Rappeport, Alan (2025-02-01). "Elon Musk's Team Now Has Access to Treasury's Payments System". The New York Times (ภาษาอังกฤษแบบอเมริกัน). ISSN 0362-4331. สืบค้นเมื่อ 2025-02-12.
  199. Narea, Nicole (2025-02-05). "Elon Musk's secretive government IT takeover, explained". Vox (ภาษาอังกฤษแบบอเมริกัน). สืบค้นเมื่อ 2025-02-12.
  200. "Trump fires chairman of the Joint Chiefs of Staff and two other military officers". AP News (ภาษาอังกฤษ). 2025-02-22. สืบค้นเมื่อ 2025-02-23.
  201. https://www.theverge.com/2021/5/4/22419850/donald-trump-social-media-platform-ban-twitter-facebook
  202. https://www.bbc.com/news/technology-57018148
  203. https://www.bbc.com/news/av/world-us-canada-48386303
  204. https://www.nytimes.com/2021/05/05/technology/facebook-trump-ban-upheld.html
  205. Cohan, William D. (2013-12-03). "Big Hair on Campus: Did Donald Trump Defraud Thousands of Real-Estate Students?". Vanity Fair (ภาษาอังกฤษแบบอเมริกัน).
  206. Roberts, Andrea Suozzo, Alec Glassford, Ash Ngu, Brandon (2013-05-09). "Donald J Trump Foundation Inc - Nonprofit Explorer". ProPublica (ภาษาอังกฤษ).
  207. https://www.theguardian.com/us-news/2016/dec/24/trump-university-shut-down-conflict-of-interest
  208. Thomsen, Jacqueline (2018-06-15). "Five things to know about the lawsuit against the Trump Foundation". The Hill (ภาษาอังกฤษแบบอเมริกัน).
  209. "Judge orders Trump to pay $2m for misusing Trump Foundation funds" (ภาษาอังกฤษแบบบริติช). 2019-11-07. สืบค้นเมื่อ 2024-11-09.
  210. News, A. B. C. "President Donald Trump ordered to pay $2M to collection of nonprofits as part of civil lawsuit". ABC News (ภาษาอังกฤษ). {{cite web}}: |last= มีชื่อเรียกทั่วไป (help)
  211. Egan, Charles Riley,Matt (2021-01-12). "Deutsche Bank won't do any more business with Trump | CNN Business". CNN (ภาษาอังกฤษ).
  212. "USA TODAY Network: Dive into Donald Trump's thousands of lawsuits - USA TODAY". web.archive.org. 2018-04-17. คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 2018-04-17. สืบค้นเมื่อ 2024-11-09.{{cite web}}: CS1 maint: bot: original URL status unknown (ลิงก์)
  213. Murphy, Ryan. "Donald Trump announced for WWE Hall of Fame". WWE.
  214. "Trump just boasted about writing many books. His biographer's response has gone viral". The Independent (ภาษาอังกฤษ). 2018-07-04.
  215. Mayer, Jane (2016-07-18). "Donald Trump's Ghostwriter Tells All". The New Yorker (ภาษาอังกฤษแบบอเมริกัน). ISSN 0028-792X. สืบค้นเมื่อ 2024-11-09.
  216. https://www.pressgazette.co.uk/trump-vs-media-freedom-of-press-distrust/
  217. https://www.rutgers.edu/news/how-trump-shaped-media
  218. Inc, Gallup (2021-01-18). "Last Trump Job Approval 34%; Average Is Record-Low 41%". Gallup.com (ภาษาอังกฤษ).
  219. Enten, Harry (2021-01-16). "Analysis: Trump finishes with worst first term approval rating ever | CNN Politics". CNN (ภาษาอังกฤษ).
  220. Inc, Gallup (2006-12-28). "Most Admired Man and Woman". Gallup.com (ภาษาอังกฤษ).
  221. Budryk, Zack (2020-12-29). "Trump ends Obama's 12-year run as most admired man: Gallup". The Hill (ภาษาอังกฤษแบบอเมริกัน).
  222. Panetta, Grace. "Donald Trump and Barack Obama are tied for 2019's most admired man in the US". Business Insider (ภาษาอังกฤษแบบอเมริกัน).
  223. Datta, Monti (2019-09-16). "3 countries where Trump is popular". The Conversation (ภาษาอังกฤษแบบอเมริกัน).
  224. Mordecai, Richard Wike, Janell Fetterolf and Mara (2020-09-15). "U.S. Image Plummets Internationally as Most Say Country Has Handled Coronavirus Badly". Pew Research Center (ภาษาอังกฤษแบบอเมริกัน).
  225. "Scope of Trump's falsehoods unprecedented for a modern presidential candidate". Los Angeles Times (ภาษาอังกฤษแบบอเมริกัน). 2016-09-25.
  226. Glasser, Susan B. (2018-08-03). "It's True: Trump Is Lying More, and He's Doing It on Purpose". The New Yorker (ภาษาอังกฤษแบบอเมริกัน). ISSN 0028-792X. สืบค้นเมื่อ 2024-11-09.
  227. "Coronavirus: The human cost of virus misinformation" (ภาษาอังกฤษแบบบริติช). 2020-05-27. สืบค้นเมื่อ 2024-11-09.
  228. "Trump: 'I am the least racist person there is anywhere in the world' – video". The Guardian (ภาษาอังกฤษแบบบริติช). 2019-07-30. ISSN 0261-3077. สืบค้นเมื่อ 2024-11-09.
  229. "Donald Trump was accused of racism long before his presidency, despite what online posts claim". AP News (ภาษาอังกฤษ). 2023-07-28.
  230. Lopez, German (2017-12-15). "The past year of research has made it very clear: Trump won because of racial resentment". Vox (ภาษาอังกฤษแบบอเมริกัน).
  231. Lajevardi, Nazita; Oskooii, Kassra A. R. (2018). "Old-Fashioned Racism, Contemporary Islamophobia, and the Isolation of Muslim Americans in the Age of Trump". Journal of Race, Ethnicity, and Politics. 3 (1): 112–152. doi:10.1017/rep.2017.37.
  232. Nagourney, Adam (2020-10-30). "In Trump and Biden, a Choice of Teetotalers for President". The New York Times (ภาษาอังกฤษแบบอเมริกัน). ISSN 0362-4331. สืบค้นเมื่อ 2025-02-14.
  233. "Donald Trump sleeps 4-5 hours each night; he's not the only famous 'short sleeper' - National | Globalnews.ca". Global News (ภาษาอังกฤษแบบอเมริกัน). สืบค้นเมื่อ 2025-02-14.
  234. Almond, Douglas; Du, Xinming (2020-12). "Later bedtimes predict President Trump's performance". Economics Letters (ภาษาอังกฤษ). 197: 109590. doi:10.1016/j.econlet.2020.109590. ISSN 0165-1765. เก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 2025-01-21. สืบค้นเมื่อ 2025-02-14. {{cite journal}}: ตรวจสอบค่าวันที่ใน: |date= (help)
  235. Ballengee, Ryan (2018-07-14). "Donald Trump says he gets most of his exercise from golf, then uses cart at Turnberry". Golf News Net (ภาษาอังกฤษแบบอเมริกัน). สืบค้นเมื่อ 2025-02-14.
  236. III, Alex Marquardt,Lawrence Crook (2018-05-01). "Exclusive: Bornstein claims Trump dictated the glowing health letter | CNN Politics". CNN (ภาษาอังกฤษ). สืบค้นเมื่อ 2025-02-14.
  237. "Trump's doctor says Trump bodyguard 'raided' his office, took files". NBC News (ภาษาอังกฤษ). 2018-05-02. สืบค้นเมื่อ 2025-02-14.
  238. Daw, Mike (2025-01-20). "President Trump's bizarre diet (and how to eat like him in London)". The Standard (ภาษาอังกฤษ). สืบค้นเมื่อ 2025-02-14.
  239. "Donald Trump to gorge on his favourite junk food at the Super Bowl; here are the items on the menu". The Economic Times. 2025-02-06. ISSN 0013-0389. สืบค้นเมื่อ 2025-02-14.
  240. "What does Donald Trump eat in a day? The POTUS' relationship with fast food and a look into his all-American diet". Hindustan Times (ภาษาอังกฤษแบบอเมริกัน). 2024-11-06. เก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 2025-01-22. สืบค้นเมื่อ 2025-02-14.
  241. Campbell, Colin. "TRUMP: If I'm president, 'Christianity will have power' in the US". Business Insider (ภาษาอังกฤษแบบอเมริกัน). สืบค้นเมื่อ 2025-02-14.
  242. Engel, Pamela. "Trump on God: 'Hopefully I won't have to be asking for much forgiveness'". Business Insider (ภาษาอังกฤษแบบอเมริกัน). สืบค้นเมื่อ 2025-02-14.
  243. "Trump, confirmed a Presbyterian, now identifies as 'non-denominational Christian'". America Magazine (ภาษาอังกฤษ). 2020-10-24. สืบค้นเมื่อ 2025-02-14.
  244. https://edition.cnn.com/2021/04/07/politics/donald-trump-forbes-billionaires/index.html
  245. "Donald Trump's life story: From hotel developer to president". BBC News (ภาษาอังกฤษแบบบริติช). 2021-03-01. สืบค้นเมื่อ 2021-05-24.
  246. https://www.forbes.com/sites/danalexander/2020/09/28/yes-donald-trump-is-still-a-billionaire-that-makes-his-750-tax-payment-even-more-scandalous/?sh=22de81152885
  247. "Mary MacLeod Trump Philanthropist, 88". The New York Times (Obituary). August 9, 2000. สืบค้นเมื่อ May 12, 2016.
  248. "The Trump Organization | Luxury Real Estate Portfolio". www.trump.com (ภาษาอังกฤษ).
  249. McCann, Allison (July 14, 2016). "Hip-Hop Is Turning On Donald Trump". FiveThirtyEight. คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 2020-11-08. สืบค้นเมื่อ October 7, 2021.

ข้อมูลอ้างอิง

[แก้]

แม่แบบ:Cite whitelink


แหล่งข้อมูลอื่น

[แก้]
ก่อนหน้า ดอนัลด์ ทรัมป์ ถัดไป
บารัก โอบามา
ประธานาธิบดีสหรัฐ คนที่ 45
(20 มกราคม พ.ศ. 2560 – 20 มกราคม พ.ศ. 2564)
โจ ไบเดิน
โจ ไบเดิน
ประธานาธิบดีสหรัฐ คนที่ 47
(20 มกราคม พ.ศ. 2568 – ปัจจุบัน)
อยู่ในตำแหน่ง
อังเกลา แมร์เคิล บุคคลแห่งปีของนิตยสารไทม์
(พ.ศ. 2559)
กลุ่มเคลื่อนไหวต่อต้านการคุกคามทางเพศ