ดไวต์ ดี. ไอเซนฮาวร์

จากวิกิพีเดีย สารานุกรมเสรี
ดไวต์ ดี. ไอเซนฮาวร์
ประธานาธิบดีสหรัฐอเมริกา คนที่ 34
ดำรงตำแหน่ง
20 มกราคม ค.ศ. 1953 – 20 มกราคม ค.ศ. 1961
(8 ปี 0 วัน)
รองประธานาธิบดี ริชาร์ด นิกสัน
ก่อนหน้า แฮร์รี เอส. ทรูแมน
ถัดไป จอห์น เอฟ. เคนเนดี
ข้อมูลส่วนบุคคล
เกิด 14 ตุลาคม ค.ศ. 1890(1890-10-14)
เมืองเดนิสัน, รัฐเท็กซัส
เสียชีวิต 28 มีนาคม ค.ศ. 1969(1969-03-28) (78 ปี)
วอชิงตัน ดี.ซี.
พรรค พรรครีพับลิกัน
คู่สมรส มามี เดาด์ ไอเซนฮาวร์
ลายมือชื่อ Dwight Eisenhower Signature.svg

จอมพล ดไวต์ เดวิด ไอก์ ไอเซนฮาวร์ (อังกฤษ: Dwight David "Ike" Eisenhower; 14 ตุลาคม ค.ศ. 1890 − 28 มีนาคม ค.ศ. 1969) เป็นชาวอเมริกันที่ดำรงตำแหน่งพลเอกแห่งกองทัพและรัฐบุรุษที่ทำหน้าที่เป็นประธานาธิบดีแห่งสหรัฐ คนที่ 34 ตั้งแต่ค.ศ. 1953 ถึง 1961 ในช่วงสงครามโลกครั้งที่สอง เขาได้เป็นนายพลระดับห้าดาวในกองทัพสหรัฐและทำหน้าที่เป็นผู้บัญชาการทหารสูงสุดแห่งกำลังรบนอกประเทศฝ่ายสัมพันธมิตรในทวีปยุโรป เขาได้รับผิดชอบในการวางแผนและควบคุมดูแลในการบุกครองแอฟริกาเหนือในปฏิบัติการคบเพลิง ใน ค.ศ. 1942-43 และประสบความสำเร็จในการบุกครองฝรั่งเศสและเยอรมนีใน ค.ศ. 1944−45 จากแนวรบด้านตะวันตก

การเกิดของเดวิด ดไวต์ ไอเซนฮาวร์ที่เมืองเดนิสัน รัฐเท็กซัส เขาได้ถูกรับเลี้ยงดูในรัฐแคนซัสในครอบครัวขนาดใหญ่ของเชื้อสายชาวดัตช์จากเพนซิลเวเนียส่วนใหญ่ ครอบครัวของเขามีพื้นฐานทางศาสนาที่เคร่งครัด แม่ของเขาตั้งแต่เกิดมานับถือนิกายลูเธอรัน เมื่อได้สมรสที่ River Brethren และต่อมาได้กลายเป็นพยานพระยะโฮวา อย่างไรก็ตาม, ไอเซนฮาวร์นั้นไม่ได้ถูกจัดให้อยู่ในศาสนานิกายใดๆ จนกระทั่ง ค.ศ. 1952 เขาได้อ้างถึงการย้ายถิ่นฐานอย่างต่อเนืองในช่วงการงานอาชีพทางทหารของเขาเป็นเหตุผลเดียว[1] เขาได้จบการศึกษาจากโรงเรียนนายร้อยทหารบกเวสต์พอยต์ใน ค.ศ. 1915 และต่อมาก็ได้สมรสกับนางมามี เดาด์ ซึ่งได้มีลูกชายสองคน ในช่วงสงครามโลกครั้งที่หนึ่ง เขาได้ปฏิเสธคำขอให้ไปทำหน้าที่ในสมรภูมิทวีปยุโรปและแทนที่จะสั่งการหน่วยที่ได้รับการฝึกฝนให้เป็นพลขับรถถัง หลังสงคราม เขาได้ทำหน้าที่ภายใต้นายพลต่างๆและได้รับการเลื่อนยศเป็นพลจัตวาใน ค.ศ. 1941 ภายหลังจากที่สหรัฐได้เข้าสู่สงครามโลกครั้งที่สอง ไอเซนฮาวร์ได้ควบคุมในการบุกครองที่ประสบความสำเร็จที่แอฟริกาเหนือและเกาะซิซิลี ก่อนที่จะควบคุมดูแลการบุกครองฝรั่งเศสและเยอรมนี ภายหลังสงคราม ไอเซนฮาวร์ได้ทำหน้าที่เป็นเสนาธิการกองทัพบกและรับบทบาทเป็นอธิการบดีของมหาวิทยาลัยโคลัมเบีย ใน ค.ศ. 1951-52 เขาได้ทำหน้าที่เป็นผู้บัญชาการทหารสูงสุดแห่งองค์กรนาโตคนแรก

ใน ค.ศ. 1952 ไอเซนฮาวร์ได้เข้าการแข่งขันชิงตำแหน่งประธานาธิบดีในฐานะที่เป็นคนของพรรครีพันลิกันเพื่อสกัดกั้นนโยบายต่างประเทศที่ไม่ฝักใฝ่ฝ่ายใดของวุฒิสมาชิก Robert A. Taft ที่ต่อต้านองค์กรนาโตและต้องการที่จะไม่ยุ่งเกี่ยวพันกับต่างประเทศ เขาได้รับชัยชนะในการเลือกตั้งและชัยชนะที่สำคัญในการเลือกตั้งใน ค.ศ. 1956 ตั้งสองครั้งที่เอาชนะ Adlai Stevenson II เขาได้กลายเป็นคนของพรรครีพันลิกันคนแรกที่สามารถเอาชนะมาได้นับตั้งแต่เฮอร์เบิร์ต ฮูเวอร์ ใน ค.ศ. 1928 เป้าหมายหลักของไอเซนฮาวร์ในสำนักงาน อันได้แก่ การแผ่ขยายอิทธิพล​ของสหภาพโซเวียต และลดการขาดดุลรัฐบาลกลาง ใน ค.ศ. 1953 เขาได้ข่มขู่ว่าจะใช้อาวุธนิวเคลียร์จนกว่าจีนจะยินยอมในข้อตกลงสันติภาพในสงครามเกาหลี ซึ่งจีนเห็นด้วยและการสงบศึกนั้นที่ยังคงมีผลอยู่ นโยบายการมองใหม่ของเขาในการยับยั้งนิวเคลียร์ซึ่งได้จัดลำดับความสำคัญของอาวุธนิวเคลียร์ที่ราคาไม่แพงในขณะที่ได้ตัดงบประมาณจากกองพลของกองทัพบกที่มีราคาแพง เขายังคงถือนโยบายของแฮร์รี เอส. ทรูแมนจากการรับรองว่า สาธารณรัฐจีนในฐานะที่เป็นรัฐบาลที่ถูกต้องตามกฎหมายของประเทศจีนและเขาได้รับการอนุมัติจากรัฐสภาของ Formosa Resolution การปกครองของเขาได้ให้ความช่วยเหลือที่สำคัญในการช่วยให้ฝรั่งเศสต่อสู้กับคอมมิวนิสต์เวียดนามในสงครามอินโดจีนครั้งที่หนึ่ง หลังจากที่ฝรั่งเศสได้ถอนตัวออกไป เขาได้ให้การสนับสนุนทางการเงินที่เข้มแข็งให้กับรัฐใหม่ของเวียดนามใต้ เขาได้สนับสนุนการก่อรัฐประหารของทหารท้องถิ่นที่ต่อต้านกับรัฐบาลในอิหร่านและกัวเตมาลา ในช่วงวิกฤตการณ์คลองสุเอซ ใน ค.ศ. 1956 ไอเซนฮาวร์ได้กล่าวประณามอิสราเอล อังกฤษ และฝรั่งเศสที่ได้บุกครองอียิปต์ และเขาได้บังคับให้พวกเขาถอนตัว นอกจากนี้เขายังได้กล่าวประณามการบุกครองของโซเวียตในช่วงการปฏิวัติฮังการี ค.ศ. 1956 แต่ก็ไม่ได้ทำอะไรเลย ในช่วงวิกฤตการณ์ซีเรีย เขาได้อนุมัติแผนของซีไอเอ-เอ็มไอ6 เพื่อดำเนินเหตุการณ์ชายแดนปลอมที่เป็นข้ออ้างสำหรับการบุกครองโดยประเทศเพื่อนบ้านทางตะวันตกที่สนับสนุนของซีเรีย[2] ภายหลังจากสหภาพโซเวียตได้เปิดตัว สปุตนิก ใน ค.ศ.1957 ไอเซนฮาวร์ได้อนุมัติให้จัดตั้งองค์กรนาซา ซึ่งนำไปสู่การแข่งขันอวกาศ เขาได้ส่งทหาร 15,000 นายในช่วงวิกฤตการณ์เลบานอน ค.ศ. 1958 เมื่อใกล้ถึงสิ้นสุดของวาระ ความพยายามของเขาในการจัดตั้งการประชุมสุดยอดกับสหภาพโซเวียตที่พังทลายลง เมื่อเครื่องบินสายลับของสหรัฐถูกยิงตกเหนือน่านฟ้ารัสเซีย เขาได้อนุมัติในการบุกครองอ่าวหมู ซึ่งได้ทิ้งให้แก่ผู้รับช่วงต่อจากเขา จอห์น เอฟ. เคนเนดี เพื่อดำเนินต่อไป[3]

ดไวต์ ดี. ไอเซนฮาวร์ และภริยา กับ พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช และสมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ กำลังพูดคุยกัน ในปีพ.ศ. 2503

ในด้านภายในประเทศ, ไอเซนฮาวร์เป็นนักอนุรักษนิยมค่อนข้างปานกลางที่ยังคงสานต่อหน่วยงานโครงการสัญญาใหม่ และขยายความมั่นคงทางสังคม เขาได้แอบต่อต้าน Joseph McCarthy และมีส่วนทำให้การสิ้นสุดของ McCarthyism โดยอ้างสิทธิ์การบริหารประเทศอย่างเปิดเผย ไอเซนฮาวร์ได้ลงนามกฎหมายสิทธิพลเมือง ค.ศ. 1957 และส่งกองกำลังทหารของกองทัพเพื่อบังคับคำสั่งศาลรัฐบาลกลางที่รวมตัวกันที่โรงเรียนใน Little Rock, Arkansas โครงการขนาดใหญ่ของเขาคือ ระบบทางหลวงระหว่างรัฐ เขาได้ให้ความสำคัญในการจัดตั้งการศึกษาวิทยาศาสตร์ที่เข้มแข็งผ่านด้วยกฎหมายการศึกษาด้านการป้องกันประเทศ ข้อตกลงสองข้อของไอเซนฮาวร์ได้แสดงให้เห็นถึงความมั่นคั่งทางเศรษฐกิจที่แพร่หลายซึ่งยกเว้นเพียงแค่ภาวะเศรษฐกิจที่ถดถอย ใน ค.ศ. 1958 ในคำกล่าวสุนทรพจน์การอำลาต่อประเทศของเขา ไอเซนฮาวร์ได้แสดงถึงความวิตกกังวลเกี่ยวกับอันตรายของการใช้งบประมาณทางทหารจำนวนมาก การใช้งบประมาณดุลการค้าโดยเฉพาะอย่างยิ่ง และสัญญาของรัฐบาลที่ต่อโรงงานการผลิตทางทหารของภาคเอกชน เขาได้รับการโหวตให้เป็นชายที่ได้รับการยกย่องมากที่สุดถึงสิบสองครั้งของ Gallup และได้รับความนิยมอย่างกว้างขวางทั้งภายในและนอกสำนักงาน การประเมินผลทางประวัติศาสตร์ของตำแหน่งประธานาธิบดีของเขาทำให้เขาอยู่เหนือชั้นของประธานาธิบดหรัฐ

ดไวต์ ดี ไอเซนฮาวร์ได้ถึงแก่อสัญกรรมด้วยภาวะหัวใจล้มเหลว เมื่อวันที่ 28 มีนาคม ค.ศ. 1969 รวมอายุได้ 78 ปี

เครื่องอิสริยาภรณ์[แก้]

เครื่องราชอิสริยาภรณ์ไทย[แก้]

พ.ศ. 2503 - Order of the Royal House of Chakri (Thailand) ribbon.svg เครื่องขัตติยราชอิสริยาภรณ์อันมีเกียรติคุณรุ่งเรืองยิ่งมหาจักรีบรมราชวงศ์

เครื่องอิสริยาภรณ์ต่างประเทศ[แก้]

- OrderVictoryRibbon.svg เครื่องอิสริยาภรณ์แห่งชัย

- ARG Order of the Liberator San Martin - Grand Cross BAR.png เครื่องอิสริยาภรณ์นายพลซาน มาร์ติน ผู้ปลดปล่อย ชั้นมหากางเขน

- AUT Honour for Services to the Republic of Austria - 2nd Class BAR.png เครื่องอิสริยาภรณ์กิตติคุณแห่งสาธารณรัฐออสเตรีย ชั้นมหาอิสริยาภรณ์ทองพร้อมสายสะพาย

- Grand Crest Ordre de Leopold.png เครื่องราชอิสริยาภรณ์เลออปอล ชั้นที่ 1

- BRA Order of the Southern Cross - Grand Cross BAR.png เครื่องอิสริยาภรณ์ดาวกางเขนใต้ ชั้นประถมาภรณ์

- CHL Order of Merit of Chile - Grand Cross BAR.png เครื่องอิสริยาภรณ์คุณธรรม ชั้นประถมาภรณ์

- Order of the Elephant Ribbon bar.svg เครื่องราชอิสริยาภรณ์ไอยรา

- Legion Honneur GC ribbon.svg เครื่องอิสริยาภรณ์เลฌียงดอเนอร์ ชั้นกร็อง-ครัว

- JPN Daikun'i kikkasho BAR.svg เครื่องราชอิสริยาภรณ์อันสูงส่งยิ่งดอกเบญจมาศ

- NLD Order of the Dutch Lion - Grand Cross BAR.png เครื่องราชอิสริยาภรณ์สิงโตเนเธอร์แลนด์ ชั้นประถมาภรณ์

- St Olavs Orden storkors stripe.svg เครื่องราชอิสริยาภรณ์นักบุญโอลาฟ ชั้นประถมาภรณ์

- PHL Order of Sikatuna - Grand Cross BAR.png เครื่องอิสริยาภรณ์ซิกาตูนา ชั้นชั้นสายสร้อย

- Order of the Bath UK ribbon.svg เครื่องราชอิสริยาภรณ์บาธ ชั้นประถมาภรณ์

- Order of Suvorov ribbon.png เครื่องอิสริยาภรณ์ซูโวรอฟ ชั้นที่ 1

อ้างอิง[แก้]

  1. "Study guide on Eisenhower and religion" (PDF). Eisenhower Presidential Library. p. 1. คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิม (PDF)เมื่อ 2017-01-30. สืบค้นเมื่อ August 16, 2017.
  2. Fenton, Ben (September 27, 2003). "Macmillan backed Syria assassination plot". The Guardian. สืบค้นเมื่อ March 7, 2018.
  3. Quirk, Robert E. (1993). Fidel Castro. p. 303 New York and London: W.W. Norton & Company. ISBN 978-0393034851.

แหล่งข้อมูลอื่น[แก้]

ก่อนหน้า ดไวต์ ดี. ไอเซนฮาวร์ ถัดไป
แฮร์รี เอส. ทรูแมน 2leftarrow.png Seal of the President of the United States.svg
ประธานาธิบดีแห่งสหรัฐอเมริกา คนที่ 34
(20 มกราคม พ.ศ. 2496 - 20 มกราคม พ.ศ. 2504)
2rightarrow.png จอห์น เอฟ. เคนเนดี
จอร์จ มาร์แชล 2leftarrow.png บุคคลแห่งปีของนิตยสารไทม์
(ค.ศ. 1944)
2rightarrow.png แฮร์รี เอส. ทรูแมน
ชาร์ลส์ เดอ โกลล์ 2leftarrow.png บุคคลแห่งปีของนิตยสารไทม์
(ค.ศ. 1959)
2rightarrow.png นักวิทยาศาสตร์อเมริกัน