ผลต่างระหว่างรุ่นของ "ประเทศรัสเซีย"
ไม่มีความย่อการแก้ไข ป้ายระบุ: การแก้ไขแบบเห็นภาพ แก้ไขจากอุปกรณ์เคลื่อนที่ แก้ไขจากเว็บสำหรับอุปกรณ์เคลื่อนที่ |
ย้อนกลับไปรุ่นที่ 8781433 โดย Tvcccpด้วยสจห. ป้ายระบุ: ทำกลับ |
||
บรรทัด 81: | บรรทัด 81: | ||
}} |
}} |
||
''' |
'''รัสเซีย''' ({{lang-en|Russia}}; {{lang-ru|Росси́я}}, {{IPA-ru|rɐˈsʲijə|pron|Ru-Россия.ogg}}) มีชื่ออย่างเป็นทางการว่า '''สหพันธรัฐรัสเซีย''' ({{lang-en|Russian Federation}}; {{lang-rus|Росси́йская Федера́ция|p=rɐˈsʲijskəjə fʲɪdʲɪˈratsɨjə|a=Ru-Rossiyskaya Federatsiya.ogg}})<ref>"ชื่อสหพันธรัฐรัสเซียและรัสเซียจักเสมอกัน". {{cite web|title=The Constitution of the Russian Federation|work= (Article 1)|url=http://www.constitution.ru/en/10003000-02.htm|accessdate=25 June 2009}}</ref> เป็นประเทศใน[[ยูเรเชีย]]เหนือ และเป็นประเทศใหญ่ที่สุดในโลก กว่า 10,000,000 ตารางกิโลเมตร ครอบคลุมพื้นที่ที่สามารถอยู่อาศัยของโลกถึงหนึ่งในแปด รัสเซียยังเป็น[[รายชื่อประเทศเรียงตามจำนวนประชากร|ชาติมีประชากรมากที่สุดอันดับที่ 9 ของโลก]] โดยมีประชากร 143 ล้านคน<ref name="2010Census">{{ru-pop-ref|2010Census}}</ref><ref name=britannica>{{cite web|url=http://www.britannica.com/EBchecked/topic/513251/Russia|title=Russia|publisher=Encyclopædia Britannica|accessdate=31 January 2008}}</ref> รัสเซียปกครองด้วยระบอบ[[สหพันธรัฐ|สหพันธ์]]สาธารณรัฐ[[ระบบกึ่งประธานาธิบดี|กึ่งประธานาธิบดี]] ประกอบด้วย 83 [[เขตการปกครองของสหพันธรัฐรัสเซีย|เขตการปกครอง]] ไล่จากตะวันตกเฉียงเหนือถึงตะวันออกเฉียงใต้ รัสเซียมีพรมแดนติดกับ[[นอร์เวย์]] [[ฟินแลนด์]] [[เอสโตเนีย]] [[ลัตเวีย]] [[ลิทัวเนีย]] และ[[โปแลนด์]] (ทั้งสองผ่าน[[มณฑลคาลินินกราด]]) [[เบลารุส]] [[ยูเครน]] [[จอร์เจีย]] [[อาเซอร์ไบจาน]] [[คาซัคสถาน]] [[จีน]] [[มองโกเลีย]]และ[[เกาหลีเหนือ]] นอกจากนี้ยังมีพรมแดนทางทะเลติดกับ[[ญี่ปุ่น]]โดยทะเลโอฮอตสค์ และ[[สหรัฐอเมริกา]]โดย[[ช่องแคบแบริง]] อาณาเขตของรัสเซียกินเอเชียเหนือทั้งหมดและ 40% ของยุโรป แผ่ข้ามเก้า[[เขตเวลา]]และมีสิ่งแวดล้อมและธรณีสัณฐานหลากหลาย รัสเซียมีปริมาณทรัพยากรแร่ธาตุและพลังงานสำรองใหญ่ที่สุดของโลก<ref>{{cite web|url=http://www.unesco.ru/en/?module=pages&action=view&id=1|title=Commission of the Russian Federation for UNESCO: Panorama of Russia|publisher=Unesco.ru|accessdate=29 October 2010}}</ref> และเป็นผู้ผลิต[[ก๊าซธรรมชาติ]]อันดับหนึ่งของโลก<ref name=cia-gas>{{cite web|url=https://www.cia.gov/library/publications/the-world-factbook/rankorder/2249rank.html|title=Country Comparison :: Natural gas – production|work=CIA World Factbook|accessdate=3 February 2014}}</ref> เช่นเดียวกับผู้ผลิตน้ำมันอันดับหนึ่งทั่วโลก<ref name=iea-oil>{{cite web|url=http://omrpublic.iea.org/omrarchive/18jan12sup.pdf|title=International Energy Agency – Oil Market Report|archive-url=https://web.archive.org/web/20120518015934/http://omrpublic.iea.org/omrarchive/18jan12sup.pdf|date=18 January 2012|archive-date=18 May 2012|access-date=11 November 2019}}</ref> รัสเซียมีป่าไม้สำรองใหญ่ที่สุดในโลกและทะเลสาบในรัสเซียบรรจุ[[น้ำจืด]]ประมาณหนึ่งในสี่ของโลก<ref name=loc>{{cite web|author=Library of Congress|title=Topography and drainage|url=http://countrystudies.us/russia/23.htm|accessdate=26 December 2007}}</ref> |
||
ประวัติศาสตร์ของชาติเริ่มขึ้นด้วยชาวสลาฟตะวันออก ผู้ถือกำเนิดขึ้นเป็นกลุ่มที่โดดเด่นได้ในยุโรประหว่างคริสต์ศตวรรษที่ 3 ถึงที่ 8<ref name=autogenerated1>{{cite web|url=http://www.britannica.com/EBchecked/topic/513251/Russia/38597/The-Indo-European-group?anchor=ref422350|title=Russia|publisher=Encyclopædia Britannica|accessdate=31 January 2008}}</ref> รัฐ[[จักรวรรดิเคียฟรุส|รุส]]ใน[[สมัยกลาง]] ซึ่งก่อตั้งและปกครองโดยอภิชนนักรบ[[วารันเจียน]]และผู้สืบเชื้อสาย เกิดขึ้นในคริสต์ศตวรรษที่ 9 ใน พ.ศ. 1531 มีการรับศาสนาคริสต์[[นิกายออร์โธด็อกซ์]]จาก[[จักรวรรดิไบแซนไทน์]]<ref name=Curtis/> เริ่มต้นการประสมวัฒนธรรมไบแซนไทน์และสลาฟซึ่งนิยามวัฒนธรรมรัสเซียเป็นเวลาอีกสหัสวรรษหน้า<ref name=Curtis>{{cite web|others=Excerpted from Glenn E. Curtis (ed.)|title=Russia: A Country Study: Kievan Rus' and Mongol Periods|publisher=Washington, DC: Federal Research Division of the Library of Congress|year=1998|url=http://www.shsu.edu/~his_ncp/Kievan.html|accessdate=20 July 2007}}</ref> ท้ายที่สุด รุสล่มสลายเป็นรัฐขนาดเล็กหลายรัฐ พื้นที่ส่วนใหญ่ของรุสถูกพิชิตโดยการรุกรานของมองโกล และกลายเป็นรัฐบรรณาการของ[[โกลเดนฮอร์ด]]เร่ร่อน<ref>{{cite book|title=The Mongol empire: its rise and legacy|author1=[[:en:Michael Prawdin|Michael Prawdin]]|author2=Gérard Chaliand|date=2005|pages=512-550}}</ref> อาณาจักรแกรนด์ดยุคแห่งมอสโกค่อย ๆ รวม[[ราชรัฐ]]รัสเซียในละแวก ได้รับเอกราชจากโกลเดนฮอร์ด และมาครอบงำมรดกทางวัฒนธรรมและการเมืองของเคียฟรุส จนคริสต์ศตวรรษที่ 18 รัสเซียได้ขยายอาณาเขตออกไปอย่างกว้างขวางผ่านการพิชิตดินแดน การผนวก และการสำรวจเป็นของ[[จักรวรรดิรัสเซีย]] นับเป็นจักรวรรดิใหญ่ที่สุดอันดับสามในประวัติศาสตร์ แผ่จากโปแลนด์ใน[[ยุโรป]]จรด[[อะแลสกา]]ใน[[อเมริกาเหนือ]]<ref>{{cite journal|author=Rein Taagepera|authorlink=:en:Rein Taagepera|title=Expansion and Contraction Patterns of Large Polities: Context for Russia|journal=[[:en:International Studies Quarterly|International Studies Quarterly]]|volume=41|issue=3|pages=475–504|date=September 1997|doi=10.1111/0020-8833.00053}}</ref><ref>Peter Turchin, Thomas D. Hall and Jonathan M. Adams, "[http://jwsr.ucr.edu/archive/vol12/number2/pdf/jwsr-v12n2-tah.pdf East-West Orientation of Historical Empires]", ''Journal of World-Systems Research'' Vol. 12 (no. 2), pp. 219–229 (2006).</ref> |
ประวัติศาสตร์ของชาติเริ่มขึ้นด้วยชาวสลาฟตะวันออก ผู้ถือกำเนิดขึ้นเป็นกลุ่มที่โดดเด่นได้ในยุโรประหว่างคริสต์ศตวรรษที่ 3 ถึงที่ 8<ref name=autogenerated1>{{cite web|url=http://www.britannica.com/EBchecked/topic/513251/Russia/38597/The-Indo-European-group?anchor=ref422350|title=Russia|publisher=Encyclopædia Britannica|accessdate=31 January 2008}}</ref> รัฐ[[จักรวรรดิเคียฟรุส|รุส]]ใน[[สมัยกลาง]] ซึ่งก่อตั้งและปกครองโดยอภิชนนักรบ[[วารันเจียน]]และผู้สืบเชื้อสาย เกิดขึ้นในคริสต์ศตวรรษที่ 9 ใน พ.ศ. 1531 มีการรับศาสนาคริสต์[[นิกายออร์โธด็อกซ์]]จาก[[จักรวรรดิไบแซนไทน์]]<ref name=Curtis/> เริ่มต้นการประสมวัฒนธรรมไบแซนไทน์และสลาฟซึ่งนิยามวัฒนธรรมรัสเซียเป็นเวลาอีกสหัสวรรษหน้า<ref name=Curtis>{{cite web|others=Excerpted from Glenn E. Curtis (ed.)|title=Russia: A Country Study: Kievan Rus' and Mongol Periods|publisher=Washington, DC: Federal Research Division of the Library of Congress|year=1998|url=http://www.shsu.edu/~his_ncp/Kievan.html|accessdate=20 July 2007}}</ref> ท้ายที่สุด รุสล่มสลายเป็นรัฐขนาดเล็กหลายรัฐ พื้นที่ส่วนใหญ่ของรุสถูกพิชิตโดยการรุกรานของมองโกล และกลายเป็นรัฐบรรณาการของ[[โกลเดนฮอร์ด]]เร่ร่อน<ref>{{cite book|title=The Mongol empire: its rise and legacy|author1=[[:en:Michael Prawdin|Michael Prawdin]]|author2=Gérard Chaliand|date=2005|pages=512-550}}</ref> อาณาจักรแกรนด์ดยุคแห่งมอสโกค่อย ๆ รวม[[ราชรัฐ]]รัสเซียในละแวก ได้รับเอกราชจากโกลเดนฮอร์ด และมาครอบงำมรดกทางวัฒนธรรมและการเมืองของเคียฟรุส จนคริสต์ศตวรรษที่ 18 รัสเซียได้ขยายอาณาเขตออกไปอย่างกว้างขวางผ่านการพิชิตดินแดน การผนวก และการสำรวจเป็นของ[[จักรวรรดิรัสเซีย]] นับเป็นจักรวรรดิใหญ่ที่สุดอันดับสามในประวัติศาสตร์ แผ่จากโปแลนด์ใน[[ยุโรป]]จรด[[อะแลสกา]]ใน[[อเมริกาเหนือ]]<ref>{{cite journal|author=Rein Taagepera|authorlink=:en:Rein Taagepera|title=Expansion and Contraction Patterns of Large Polities: Context for Russia|journal=[[:en:International Studies Quarterly|International Studies Quarterly]]|volume=41|issue=3|pages=475–504|date=September 1997|doi=10.1111/0020-8833.00053}}</ref><ref>Peter Turchin, Thomas D. Hall and Jonathan M. Adams, "[http://jwsr.ucr.edu/archive/vol12/number2/pdf/jwsr-v12n2-tah.pdf East-West Orientation of Historical Empires]", ''Journal of World-Systems Research'' Vol. 12 (no. 2), pp. 219–229 (2006).</ref> |
รุ่นแก้ไขเมื่อ 00:43, 6 เมษายน 2563
ลิงก์ข้ามภาษาในบทความนี้ มีไว้ให้ผู้อ่านและผู้ร่วมแก้ไขบทความศึกษาเพิ่มเติมโดยสะดวก เนื่องจากวิกิพีเดียภาษาไทยยังไม่มีบทความดังกล่าว กระนั้น ควรรีบสร้างเป็นบทความโดยเร็วที่สุด |
สหพันธรัฐรัสเซีย Росси́йская Федера́ция (รัสเซีย) | |
---|---|
ประเทศรัสเซีย (สีเขียวเข้ม) | |
เมืองหลวง และเมืองใหญ่สุด | มอสโก |
ภาษาราชการ | ภาษารัสเซีย |
การปกครอง | สหพันธ์สาธารณรัฐกึ่งประธานาธิบดี |
วลาดีมีร์ ปูติน | |
มีฮาอิล มีชุสติน | |
• ประธานสภาสหพันธ์ | วาเลนตินา มัตวิเยนโก |
• ประธานสภาดูมา | เซียร์เกย์ นารึชกิน |
ก่อตั้ง | |
พ.ศ. 1405 | |
พ.ศ. 1425 | |
พ.ศ. 1712 | |
พ.ศ. 1826 | |
16 มกราคม พ.ศ. 2090 | |
22 ตุลาคม พ.ศ. 2264 | |
7 พฤศจิกายน พ.ศ. 2460 | |
10 ธันวาคม พ.ศ. 2465 | |
• สหพันธรัฐรัสเซีย | 25 ธันวาคม พ.ศ. 2534 |
พื้นที่ | |
• รวม | 17,075,200[1] ตารางกิโลเมตร (6,592,800 ตารางไมล์) (1) |
13[2] (รวมทั้งหนองน้ำ) | |
ประชากร | |
• 2018 ประมาณ | 144,526,636 [3] (ไมรวมไครเมีย) [4] (9) |
8.4 ต่อตารางกิโลเมตร (21.8 ต่อตารางไมล์) (217) | |
จีดีพี (อำนาจซื้อ) | 2560 (ประมาณ) |
• รวม | $ 4.000 ล้านล้าน[5] |
• ต่อหัว | $ 27,899[5] |
จีดีพี (ราคาตลาด) | 2560 (ประมาณ) |
• รวม | $ 1.469 ล้านล้าน[5] |
• ต่อหัว | $ 10,248[5] |
จีนี (2558) | 37.7[6] ข้อผิดพลาด: ค่าจีนีไม่ถูกต้อง |
เอชดีไอ (2559) | 0.804[7] ข้อผิดพลาด: ค่า HDI ไม่ถูกต้อง · อันดับที่ 49 |
สกุลเงิน |
|
เขตเวลา | UTC+2 ถึง +12 |
รหัสโทรศัพท์ | 7 |
โดเมนบนสุด |
รัสเซีย (อังกฤษ: Russia; รัสเซีย: Росси́я, ออกเสียง: [rɐˈsʲijə] ( ฟังเสียง)) มีชื่ออย่างเป็นทางการว่า สหพันธรัฐรัสเซีย (อังกฤษ: Russian Federation; รัสเซีย: Росси́йская Федера́ция, สัทอักษรสากล: [rɐˈsʲijskəjə fʲɪdʲɪˈratsɨjə] ( ฟังเสียง))[10] เป็นประเทศในยูเรเชียเหนือ และเป็นประเทศใหญ่ที่สุดในโลก กว่า 10,000,000 ตารางกิโลเมตร ครอบคลุมพื้นที่ที่สามารถอยู่อาศัยของโลกถึงหนึ่งในแปด รัสเซียยังเป็นชาติมีประชากรมากที่สุดอันดับที่ 9 ของโลก โดยมีประชากร 143 ล้านคน[11][12] รัสเซียปกครองด้วยระบอบสหพันธ์สาธารณรัฐกึ่งประธานาธิบดี ประกอบด้วย 83 เขตการปกครอง ไล่จากตะวันตกเฉียงเหนือถึงตะวันออกเฉียงใต้ รัสเซียมีพรมแดนติดกับนอร์เวย์ ฟินแลนด์ เอสโตเนีย ลัตเวีย ลิทัวเนีย และโปแลนด์ (ทั้งสองผ่านมณฑลคาลินินกราด) เบลารุส ยูเครน จอร์เจีย อาเซอร์ไบจาน คาซัคสถาน จีน มองโกเลียและเกาหลีเหนือ นอกจากนี้ยังมีพรมแดนทางทะเลติดกับญี่ปุ่นโดยทะเลโอฮอตสค์ และสหรัฐอเมริกาโดยช่องแคบแบริง อาณาเขตของรัสเซียกินเอเชียเหนือทั้งหมดและ 40% ของยุโรป แผ่ข้ามเก้าเขตเวลาและมีสิ่งแวดล้อมและธรณีสัณฐานหลากหลาย รัสเซียมีปริมาณทรัพยากรแร่ธาตุและพลังงานสำรองใหญ่ที่สุดของโลก[13] และเป็นผู้ผลิตก๊าซธรรมชาติอันดับหนึ่งของโลก[14] เช่นเดียวกับผู้ผลิตน้ำมันอันดับหนึ่งทั่วโลก[15] รัสเซียมีป่าไม้สำรองใหญ่ที่สุดในโลกและทะเลสาบในรัสเซียบรรจุน้ำจืดประมาณหนึ่งในสี่ของโลก[16]
ประวัติศาสตร์ของชาติเริ่มขึ้นด้วยชาวสลาฟตะวันออก ผู้ถือกำเนิดขึ้นเป็นกลุ่มที่โดดเด่นได้ในยุโรประหว่างคริสต์ศตวรรษที่ 3 ถึงที่ 8[17] รัฐรุสในสมัยกลาง ซึ่งก่อตั้งและปกครองโดยอภิชนนักรบวารันเจียนและผู้สืบเชื้อสาย เกิดขึ้นในคริสต์ศตวรรษที่ 9 ใน พ.ศ. 1531 มีการรับศาสนาคริสต์นิกายออร์โธด็อกซ์จากจักรวรรดิไบแซนไทน์[18] เริ่มต้นการประสมวัฒนธรรมไบแซนไทน์และสลาฟซึ่งนิยามวัฒนธรรมรัสเซียเป็นเวลาอีกสหัสวรรษหน้า[18] ท้ายที่สุด รุสล่มสลายเป็นรัฐขนาดเล็กหลายรัฐ พื้นที่ส่วนใหญ่ของรุสถูกพิชิตโดยการรุกรานของมองโกล และกลายเป็นรัฐบรรณาการของโกลเดนฮอร์ดเร่ร่อน[19] อาณาจักรแกรนด์ดยุคแห่งมอสโกค่อย ๆ รวมราชรัฐรัสเซียในละแวก ได้รับเอกราชจากโกลเดนฮอร์ด และมาครอบงำมรดกทางวัฒนธรรมและการเมืองของเคียฟรุส จนคริสต์ศตวรรษที่ 18 รัสเซียได้ขยายอาณาเขตออกไปอย่างกว้างขวางผ่านการพิชิตดินแดน การผนวก และการสำรวจเป็นของจักรวรรดิรัสเซีย นับเป็นจักรวรรดิใหญ่ที่สุดอันดับสามในประวัติศาสตร์ แผ่จากโปแลนด์ในยุโรปจรดอะแลสกาในอเมริกาเหนือ[20][21]
หลังการปฏิวัติรัสเซีย รัสเซียกลายมาเป็นสาธารณรัฐใหญ่ที่สุดและผู้นำในสหภาพโซเวียต เป็นรัฐสังคมนิยมมีรัฐธรรมนูญแห่งแรกของโลกและอภิมหาอำนาจที่ได้การยอมรับ[22] ซึ่งมีบทบาทสำคัญในชัยชนะของฝ่ายสัมพันธมิตรในสงครามโลกครั้งที่สอง[23][24] สมัยโซเวียตได้ประสบความสำเร็จทางเทคโนโลยีที่สำคัญที่สุดของคริสต์ศตรวรรษที่ 20 รวมทั้งการส่งมนุษย์คนแรกขึ้นสู่อวกาศ สหพันธรัฐรัสเซียก่อตั้งขึ้นหลังการล่มสลายของสหภาพโซเวียตใน พ.ศ. 2534 แต่ได้รับการยอมรับสถานะเป็นนิติบุคคลที่สืบทอดจากสหภาพโซเวียต[25]
รัสเซียมีเศรษฐกิจขนาดใหญ่ที่สุดอันดับที่ 11 ของโลกโดยจีดีพีมูลค่าตลาด หรือใหญ่ที่สุดอันดับที่ 6 โดยความเท่าเทียมกันของอำนาจซื้อ โดยมีงบประมาณทางทหารมากที่สุดอันดับที่ 5 ของโลก ศูนย์วิจัยเศรษฐกิจธุรกิจจัดอันดับรัสเซียเป็นเศรษฐกิจใหญ่ที่สุดอันดับที่ 9 ของโลกใน พ.ศ. 2554 ขึ้นจากอันดับที่ 10 ใน พ.ศ. 2553 รัสเซียเป็นหนึ่งในห้ารัฐอาวุธนิวเคลียร์ที่ได้รับการรับรองและครอบครองคลังแสงอาวุธอานุภาพทำลายล้างสูงใหญ่ที่สุดในโลก[26] รัสเซียเป็นมหาอำนาจและสมาชิกถาวรของคณะมนตรีความมั่นคงแห่งสหประชาชาติ สมาชิก จี 20 สภายุโรปและความร่วมมือทางเศรษฐกิจเอเชีย-แปซิฟิก องค์การความร่วมมือเซี่ยงไฮ้ สหภาพเศรษฐกิจยูเรเชีย องค์การว่าด้วยความมั่นคงและความร่วมมือในยุโรป องค์การการค้าโลก และเป็นสมาชิกผู้นำเครือจักรภพรัฐเอกราช อดีตสมาชิกกลุ่ม 7
นิรุกติศาสตร์
ชื่อ รัสเซีย นั้นสืบทอดมาจาก รุส' (สลาฟตะวันออกเก่า: Рѹсь) ซึ่งเป็นรัฐยุคกลางที่มีประชากรส่วนใหญ่เป็นชาวสลาฟตะวันออก อย่างไรก็ตามชื่อ รัสเซีย มีความสำคัญในประวัติศาสตร์ในช่วงต่อมาและประเทศมักถูกเรียกโดยผู้ตั้งถิ่นฐานว่า รัสกายา เซมลียา (รัสเซีย: Русская Земля, russkaja zemlja) ซึ่งสามารถแปลได้ว่า ดินแดนรัสเซีย หรือ ดินแดนแห่งรุส เพื่อที่จะแยกแยะความแตกต่างของรัฐนี้กับรัฐอื่น ๆ ที่สืบทอดต่อมา จึงถูกนักประวัติศาสตร์สมัยใหม่กำหนดเรียกว่า เคียฟสกายา รุส' (รัสเซีย: Ки́евская Русь, Kievskaya Rus’) ชื่อรุสนั้นมาจากชาวรุส' ต้นยุคกลาง ซึ่งเป็นพ่อค้าและนักรบจากเผ่าสวีเดส (อังกฤษ: Swedes; นอร์สโบราณ: svíar / suar)[27][28] อพยพย้ายถิ่นข้ามทะเลบอลติก และตั้งรัฐที่มีศูนย์กลางอยู่ที่ โนฟโกรอด (รัสเซีย: Новгород) ซึ่งต่อมาได้เปลี่ยนเป็น เคียฟสกายา รุส'
ภาษาละตินเก่าของชื่อ รุส' คือ รูทีเนีย (ละติน: Ruthenia) ส่วนใหญ่หมายถึงพื้นที่ภูมิภาคตะวันตกและภาคใต้ซึ่งชาวรุส' อาศัยอยู่ติดกับแคว้นคาทอลิกในยุโรป ชื่อปัจจุบันของประเทศ โรสซิยา (รัสเซีย: Россия, Rossija) มาจากชื่อในภาษากรีกยุคไบเซนไทน์ของรุส' (กรีกยุคกลาง: Ρωσσία) ซึ่งสะกด โรเซีย (กรีก: Ρωσία, Rosía) ในภาษากรีกสมัยใหม่[29]
คำเรียกพลเมืองของรัสเซียคือ รัสเซียน (อังกฤษ: Russians) ในภาษาอังกฤษ[30] และ โรสซิยาเนีย (รัสเซีย: россияне) ในภาษารัสเซีย
ภูมิศาสตร์
ดินแดนอันกว้างใหญ่ของสหพันธรัฐรัสเซียครอบคลุมพื้นที่แถบตะวันออกเฉียงเหนือเหนือของทวีปยูเรเชีย จุดที่ห่างไกลกันที่สุดของรัสเซีย ซึ่งได้แก่ชายแดนที่ติดต่อกับโปแลนด์และหมู่เกาะคูริล มีระยะห่างถึง 8,000 กิโลเมตร ทำให้รัสเซียมีถึง 11 เขตเวลา[31] รัสเซียมีเขตป่าสงวนที่ใหญ่ที่สุดในโลก[32] และถูกเรียกว่าเป็น "ปอดของยุโรป"[33] เพราะปริมาณคาร์บอนไดออกไซด์ที่ดูดซึมนั้นเป็นรองเพียงแค่ป่าดิบชื้นแอมะซอนเท่านั้น[33] รัสเซียมีทางออกสู่มหาสมุทรถึงสามแห่ง ได้แก่มหาสมุทรแอตแลนติก อาร์กติก และแปซิฟิก จึงทำให้รัสเซียเป็นประเทศที่มีบทบาทสำคัญต่ออุปทานของสินค้าประมงในโลก[34]
พื้นที่ส่วนใหญ่ของรัสเซียเป็นที่ราบกว้างใหญ่ ทางตอนใต้ส่วนใหญ่เป็นที่ราบสเตปป์ มีป่าไม้มากทางตอนเหนือ และมีพื้นที่แบบทุนดราตามชายฝั่งทางเหนือ เทือกเขาจะอยู่ตามชายแดนทางใต้ เช่นเทือกเขาคอเคซัส ซึ่งมียอดเขาเอลบรุส ที่มีความสูง 5,642 เมตรและเป็นจุดสูงสุดของรัสเซียและยุโรป หรือเทือกเขาอัลไต และทางตะวันออก เช่นเทือกเขาเวอร์โฮยันสค์ หรือภูเขาไฟในแหลมคัมชัตคา เทือกเขาอูรัลทางตะวันตกวางตัวเหนือใต้และเป็นเขตแดนทางธรรมชาติของทวีปเอเชียและทวีปยุโรป
รัสเซียมีชายฝั่งที่ยาวถึง 37,000 กิโลเมตร ตามแนวมหาสมุทรอาร์กติก มหาสมุทรแปซิฟิก ทะเลบอลติก ทะเลอะซอฟ ทะเลดำ และทะเลแคสเปียน[35] นอกจากนั้น รัสเซียยังมีทางออกสู่ทะเลแบเร็นตส์ ทะเลขาว ทะเลคารา ทะเลลัปเตฟ ทะเลไซบีเรียตะวันออก ทะเลชุกชี ทะเลเบริง ทะเลโอค็อตสค์ และทะเลญี่ปุ่น เกาะและหมู่เกาะที่สำคัญได้แก่ หมู่เกาะโนวายาเซมเลีย หมู่เกาะฟรัสซ์โยเซฟแลนด์ หมู่เกาะเซเวอร์นายาเซมเลีย หมู่เกาะนิวไซบีเรีย เกาะแวรงเกล เกาะคูริล และเกาะซาคาลิน เกาะดีโอมีด (ซึ่งเกาะหนึ่งปกครองโดยรัสเซีย ส่วนอีกเกาะปกครองโดยสหรัฐอเมริกา) อยู่ห่างกันเพียง 3 กิโลเมตร และเกาะคุนาชิร์ก็อยู่ห่างจากฮกไกโดเพียงประมาณ 20 กิโลเมตร
ประวัติศาสตร์
ยุคเริ่มแรก
ชาวสลาฟตะวันออกเป็นชนชาติแรกที่เข้ามาตั้งถื่นฐานในรัสเซียบริเวณแม่น้ำนีเปอร์และแม่น้ำวอลกาทางตอนใต้ของประเทศ ส่วนทางตอนเหนือชนชาติสแกนดิเนเวียและไวกิ้งที่รู้จักกันในนามวารันเจียน ได้ตั้งถิ่นฐานบริเวณแม่น้ำเนวา และทะเลสาบลาโดกา ทำการติดต่อค้าขายกับชาวสลาฟ แต่แล้วในปี ค.ศ. 880 กษัตริย์แห่งวาแรนเจียนนามรูลิค ก็เข้ามายึดเมืองเคียฟของชาวสลาฟและตั้งเคียฟเป็นเมืองหลวง โดยผนวกดินแดนทางเหนือกับใต้เข้าด้วยกันแล้วขนานนามว่า เคียฟรุส (Kievan Rus') และสถาปนาราชวงศ์รูริคขึ้น
ในปี ค.ศ. 978 เจ้าชายวลาดีมีร์ โมโนมัค ขึ้นครองราชย์และทรงนำศาสนาคริสต์นิกายออร์ทอดอกซ์แห่งจักรวรรดิไบแซนไทน์เข้าสู่รัสเซีย ซึ่งต่อมามีบทบาทและอิทธิพลอย่างสูงต่อศิลปะ สถาปัตยกรรมและวัฒนธรรมของประเทศ ในช่วงศตวรรษที่ 11 เคียฟเป็นนครหลวง ศูนย์รวมของอำนาจกษัตริย์และเป็นศูนย์กลางของคริสตจักรออร์ทอดอกซ์ ในขณะที่เมืองอื่น ๆ ก็มีประชากรก่อตั้งขึ้นมาเช่นกัน จากหลักฐานทางประวัติศาสตร์ได้กล่าวอ้างถึงมอสโกครั้งแรกในปี ค.ศ. 1147 ว่าเจ้าชายยูริ ดอลโกรูกี มกุฎราชกุมารแห่งนครเคียฟ มีรับสั่งให้สร้างป้อมปราการไม้หรือ "เครมลิน" (Kremlin) ขึ้นที่เนินเขาโบโรวิตสกายา ริมแม่น้ำมอสควา และตั้งชื่อเมืองว่า "มอสโก" (Moscow)
อาณาจักรมัสโควี
ต่อมาในต้นคริสต์ศตวรรษที่ 13 กองทัพมองโกลนำโดยบาตูข่านเข้ารุกรานรัสเซียและยึดเมืองเคียฟได้สำเร็จ หลังจากนั้นรัสเซียก็ถูกตัดขาดจากโลกภายนอก โดยถูกควบคุมทางการเมือง การปกครอง และยังต้องจ่ายภาษีให้กับชาวมองโกล กษัตริย์และพระราชาคณะจึงย้ายศูนย์กลางอำนาจขึ้นมาทางตอนเหนือ
ในปี 1328 พระเจ้าอีวานที่ 1 ได้รับการสถาปนาขึ้นเป็นกษัตริย์ พระองค์ทรงมีฉายาว่าอีวานถุงเงิน เนื่องจากทรงเก็บส่วยและเครื่องบรรณาการเพื่อส่งให้แก่ชาวมองโกล และในยุคนี้เองที่กษัตริย์ได้ย้ายที่ประทับมาที่มอสโก ต่อมาในยุคของพระเจ้าอีวานที่ 2 (ค.ศ. 1353-1359) ชาวมองโกลเริ่มเสื่อมอำนาจ เจ้าชายดมิตรี โอรสแห่งพระเจ้าอีวานที่ 2 ทรงขับไล่มองโกลได้สำเร็จในการรบที่คูลีโคโวบนฝั่งแม่น้ำดอน ต่อมาในปี 1380 พระองค์ทรงได้รับการสถาปนาเป็น ดมีตรี ดอนสกอย (ดมีตรีแห่งแม่น้ำดอน) ได้รวมเมืองวลาดิมีร์และซุลดัล อันเป็นเมืองสำคัญของอาณาจักรมัสโควี และยังได้บูรณะเครมลินเป็นกำแพงหินขาวแทนไม้โอ๊ก มอสโกจึงมีอีกชื่อเรียกว่า เมืองกำแพงหินขาว ในยุคนั้น แต่เพียงไม่นานพวกตาตาร์ก็กลับมาทำลายเครมลินจนพินาศ รัสเซียต้องเป็นเมืองขึ้นของตาตาร์อีกครั้งหนึ่งในปี 1382
จนเข้าสู่สมัยของพระเจ้าอีวานที่ 3 หรือพระเจ้าอีวานมหาราช (ค.ศ. 1462-1505) พระองค์ทรงอภิเษกกับหลานสาวของจักรพรรดิองค์ก่อนแห่งไบแซนไทน์ในปี 1472 และรับอินทรีสองเศียรเป็นสัญลักษณ์ของรัสเซีย ในยุคของพระองค์ได้รวบรวมดินแดนให้กลับเป็นปึกแผ่นอีกครั้ง ในปี ค.ศ. 1480 ทรงขับไล่กองกำลังตาตาร์ออกจากรัสเซียจนหมดสิ้น ปิดฉากสองศตวรรษภายใต้การปกครองของมองโกล ทรงบูรณะเครมลินให้เป็นหอคอยสูงและโบสถ์งดงามไว้ภายในเครมลิน นับเป็นยุคแห่งความรุ่งเรืองของรัสเซีย
ปี 1574 พระเจ้าอีวานที่ 4 (1533-1584) หลานของพระเจ้าอีวานมหาราช ได้รับการสถาปนาเป็นพระเจ้าซาร์องค์แรก (ซาร์ มาจากคำว่า ซีซาร์ ผู้ครองอำนาจแห่งจักรวรรดิโรมันและไบแซนไทน์) [36] พระองค์ทรงปกครองอาณาจักรด้วยความเหี้ยมโหด ปราศจากความเมตตา ว่ากันว่ามีรับสั่งให้ควักลูกตาสถาปนิกผู้ออกแบบสร้างมหาวิหารเซนต์บาซิล เพื่อมิให้สร้างสิ่งก่อสร้างที่งดงามเช่นนี้ได้ที่ใดอีก ด้วยเหตุนี้พระองค์จึงถูกขนานนามว่า อีวานผู้โหดเหี้ยม ต่อมาเมื่อหมดยุคของพระองค์ในปี ค.ศ. 1584 มอสโกก็ประสบปัญหาทางการเมืองและเศรษฐกิจอย่างรุนแรง มีการแย่งชิงราชบัลลังก์ระหว่างราชวงศ์รูริค และโรมานอฟ ในที่สุดสมัชชาแห่งชาติและพระราชาคณะแห่งคริสตจักรออร์ทอดอกซ์ก็มีมติเลือก มีฮาอิล โรมานอฟ ขึ้นเป็นซาร์พระองค์แรกแห่งราชวงศ์โรมานอฟ
จักรวรรดิรัสเซีย
ค.ศ. 1613-1917 พระเจ้าปีเตอร์ที่ 1 มหาราช (ค.ศ. 1682-1725) ทรงเป็นกษัตริย์ที่มีบทบาทสำคัญที่สุดในหน้าประวัติศาสตร์รัสเซีย พระองค์ขึ้นครองราชย์ตั้งแต่พระชนมายุ 10 ชันษา พร้อมกับพระเจ้าอีวานที่ 5 (เป็นกษัตริย์บัลลังก์คู่) จนในปี 1696 เมื่อพระเจ้าอีวานที่ 5 สิ้นพระชนม์ พระเจ้าปีเตอร์ที่ 1 มหาราช จึงมีพระราชอำนาจโดยแท้จริง ในยุคของพระองค์ทรงขยายอาณาเขตรัสเซียออกไปทางตะวันออกถึงวลาดีวอสตอค และทรงใช้นโยบายสู้ตะวันตก ทรงนำรัสเซียเข้าสู่ยุคใหม่ โดยในปี ค.ศ. 1712 ทรงย้ายเมืองหลวงจากมอสโกมาที่เซนต์ปีเตอร์สเบิร์ก และเป็นครั้งแรกที่มีการจัดตั้งกองทหารราชนาวีขึ้นในรัสเซีย ทั้งยังทรงนำช่างฝีมือจากฝรั่งเศส อิตาลี เยอรมนี และสวิตเซอร์แลนด์ มาสร้างวิหารและพระราชวังที่งดงามอีกมากมาย และทรงนำพาจักรวรรดิรัสเซียให้เป็นที่รู้จักเกรียงไกรในสังคมโลก ถัดจากพระเจ้าปีเตอร์มหาราชยังมีซาร์และซารีนาอีกหลายพระองค์ที่สืบราชบัลลังก์ ทว่าผู้ที่สร้างความเจริญเฟื่องฟูให้กับรัสเซียสูงสุด ได้แก่ พระนางเจ้าแคทเธอรีนที่ 2 (ค.ศ. 1762-1796) พระนางได้รับการยกย่องให้เป็นราชินี ด้วยทรงเชี่ยวชาญด้านการปกครองอย่างมาก กระนั้นพระนางก็มีชื่อเสียงด้านลบด้วยพระนางมีคู่เสน่หามากมาย
ผู้สืบราชวงศ์องค์ต่อมาคือ พระเจ้าพอลที่ 1 (ค.ศ. 1796-1801) พระราชโอรสของพระนางเจ้าแคทเทอรีน ทรงครองราชย์อยู่เพียงระยะสั้น จากนั้นพระเจ้าอเล็กซานเดอร์ที่ 1 (1801- 1825) พระราชโอรสสืบพระราชบัลลังก์ต่อ ในปี 1812 ทรงทำศึกชนะจักรพรรดินโปเลียนแห่งฝรั่งเศส แต่แล้วในช่วงปลายรัชกาล เกิดกระแสการเปลี่ยนแปลงการปกครองสู่ระบบรัฐสภา ปี 1825 เกิดกบฏต่อต้านราชวงศ์ขึ้นในเดือนธันวาคม เรียก กบฏธันวาคม (Decembrist Movement) แต่พระเจ้าซาร์นิโคลัสที่ 1 (ค.ศ. 1825-1855) ก็ทรงปราบกลุ่มผู้ต่อต้านไว้ได้ พอมาในสมัยพระเจ้าอเล็กซานเดอร์ที่ 2 (ค.ศ. 1855-1881) พระองค์ทรงมีฉายาว่า Tzar Liberator (ซาร์ผู้ปลดปล่อย) เนื่องจากพระองค์ทรงปลดปล่อยทาสติดที่ดิน (Serf) หลายล้านคนให้พ้นจากการเป็นทาส แต่พระองค์ถูกลอบปลงพระชนม์ที่นครเซนต์ปีเตอร์สเบิร์กในปี 1881 ทิ้งไว้เพียงอนุสรณ์สถานที่สร้างอุทิศแด่พระองค์ ณ จุดที่ถูกลอบปลงพระชนม์ ซาร์องค์ต่อมาคือ อเล็กซานเดอร์ที่ 3 (ค.ศ. 1881-1894) จนถึงซาร์องค์สุดท้ายแห่งราชวงศ์โรมานอฟ พระเจ้าซาร์นิโคลัสที่ 2 (1894-1917) ความเหลื่อมล้ำกันทางชนชั้น และความยากจน ก่อให้เกิดการปฏิวัติเป็นครั้งแรกโดยกรรมการชาวนาในวันที่ 22 มกราคม ค.ศ. 1905 [36] ซึ่งมีผู้ถูกยิงเสียชีวิตเป็นจำนวนมาก เรียกเหตุการณ์ครั้งนั้นว่า วันอาทิตย์เลือด Bloody Sunday และสุดท้ายคือการปฏิวัติเดือนกุมภาพันธ์ ค.ศ. 1917 กระนั้นชนวนที่ทำให้ราชวงศ์โรมานอฟและระบอบซาร์ถึงกาลอวสานก็มีปัจจัยอื่นเช่นกัน
สมัยสหภาพโซเวียต
การตัดสินใจเขาร่วมสงครามโลกครั้งที่ 1 ของซาร์นิโคลัสที่ 2 นั้นนำมาซึ่งความสูญเสียอย่างใหญ่หลวง ทั้งชีวิตของทหารและชาวรัสเซียนับล้านที่เมื่อรัสเซียเป็นฝ่ายพ่ายแพ้ การจลาจลเกิดขึ้นทั่วเมือง ในที่สุดปี 1917 จึงเกิดการปฏิวัติล้มล้างระบบซาร์ พระเจ้านิโคลัสที่ 2 สละราชสมบัติ มีการจัดตั้งคณะรัฐบาลเฉพาะกิจเคอเรนสกีขึ้นบริหารประเทศ แต่พรรคบอลเชวิค (Bolshevik) นำโดยวลาดีมีร์ เลนินก็ทำการปฏิวัติยึดอำนาจการบริหารประเทศไว้ได้ โดยการเปลี่ยนแปลงการปกครองสู่ระบอบคอมมิวนิสต์ พร้อมทั้งประกาศให้ประเทศเป็น สหภาพสาธารณรัฐสังคมนิยมโซเวียต (Union of Soviet Socialist Repubilcs หรือ USSR)
ปี ค.ศ. 1918 ย้ายเมืองหลวงและฐานอำนาจกลับสู่มอสโก กระนั้นก็ยังมีผู้ไม่พอใจกับสภาพแร้นแค้น การขาดสิทธิเสรีภาพ จึงทำให้เกิดสงครามกลางเมืองขึ้นหลายต่อหลายครั้ง เลนินถึงแก่อสัญกรรมในปี 1924 โจเซฟ สตาลิน (1924-1953) ขึ้นบริหารประเทศแทนด้วยความเผด็จการ และกวาดล้างทุกคนผู้ที่มีความคิดต่อต้าน เขาเปิดการพัฒนาประเทศสู่อุตสาหกรรมสมัยใหม่ จนเทียบเคียงสหรัฐอเมริกา แต่ปัญหาความอดอยาก ที่เรื้อรังมานานก็ยากเกินเยียวยา และยิ่งเลวร้ายเมื่อฮิตเลอร์สั่งล้อมมอสโกไว้ โดยเฉพาะที่เซนต์ปีเตอร์สเบิร์กถูกปิดล้อมไว้นานถึง 900 วันในช่วงสงครามโลกครั้งที่ 2 ที่ชาวรัสเซียเรียกสงครามครั้งนั้นว่า มหาสงครามของผู้รักชาติ (The Great Patriotic War) กระนั้นสตาลินก็มีบทบาทในการพิชิตนาซีเยอรมันในสงครามโลกครั้งที่ 2 (ค.ศ. 1941-1945) นี้ไว้ได้
ปี ค.ศ. 1955 นีกีตา ครุชชอฟ ขึ้นดำรงตำแหน่งผู้นำโดยมีแนวคิดในการบริหารประเทศที่เน้นการอยู่ร่วมกัน มีการก่อสร้างสิ่งปลูกสร้างขนาดใหญ่ให้เป็นที่อยู่อาศัยของประชาชน ผ่อนคลายความเข้มงวดให้น้อยกว่าสมัยสตาลิน รวมถึงเปิดเครมลินเป็นพิพิธภัณฑ์ให้ประชาชนได้เข้าชมอีกด้วย ปี 1964 ครุชชอฟลาออกจากตำแหน่งเลขาธิการพรรคแทน เบรจเนฟแผ่อิทธิพลไปถึงจีน คิวบา และอัฟกานิสถาน เพิ่มความเครียดไปทั่วโลก เขาจึงนำนโยบายต่างประเทศที่รู้จักกันอย่างกว้างขวางในชื่อ การผ่อนคลายความตึงเครียด มาใช้โดยปี1980 มอสโกได้เป็นเจ้าภาพในการจัดการแข่งขันกีฬาโอลิมปิก ครั้งที่ 22
ปี ค.ศ. 1985 มิฮาอิล กอร์บาชอฟขึ้นดำรงตำแหน่งเลขาธิการพรรคคอมิวนิสต์ เขาเป็นผู้นำการปฏิรูปโครงสร้างการเมือง เศรษฐกิจ และสังคมที่เรียกว่า เปเรสตรอยคา (Perestroyka) โดยนำพาประเทศเข้าสู่ระบบทุนนิยม มีการเพิ่มประสิทธิภาพการผลิต และพัฒนาฝีมือแรงงานรวมถึงเสนอนโยบายเปิดกว้างกลัสนอสต์ (Glasnost) คือให้เสรีภาพในการแสดงความคิดเห็นและเปิดเผยข้อมูลข่าวสารต่อสาธารณชน มีการติดต่อด้านการค้ากับตะวันตก รวมถึงถอนกำลังออกจากยุโรปตะวันออกและอัฟกานิสถานและยังได้เข้าร่วมกับองค์การนาโต หรือองค์การสนธิสัญญาแอตแลนติกเหนือ ในปี ค.ศ. 1990 กอร์บาชอฟได้รับรางวัลโนเบลสาขาสันติภาพ รวมถึงได้รับยกย่องจากนิตยสารไทม์เป็นบุรุษแห่งทศวรรษ (Man of the Decade) กระนั้นปัญหาขาดแคลนสินค้าอุปโภคบริโภค และความล้าหลังทางการผลิตที่สั่งสมมานานก็ทำให้นโยบายเปเรสตรอยกาล้มเหลว ความนิยมในกอร์บาชอฟเริ่มตกลง ต่อมาเกิดรัฐประหารขึ้นในเดือนสิงหาคม 1991 โดยกลุ่มคอมมิวนิสต์หัวเก่าที่ไม่ต้องการการเปลี่ยนแปลงสู่ตลาดเสรี แต่บอริส เยลต์ซิน ก็สามารถกู้สถานการณ์เอาไว้ได้ กอร์บาชอฟจึงสิ้นคะแนนนิยมอย่างแท้จริง เขาประกาศลาออกจากตำแหน่ง รวมถึงประกาศยกเลิกพรรคคอมมิวนิสต์ต่อหน้ามหาชน พร้อมด้วยการก้าวขึ้นเป็นผู้นำของเยลต์ชิน สหภาพโซเวียตจึงล่มสลาย สาธารณรัฐต่างๆ ทั้ง 15 สาธารณรัฐแยกตัวเป็นอิสระ รวมทั้งสาธารณรัฐรัสเซีย (Russian SFSR) ภายใต้ชื่อใหม่ว่า สหพันธรัฐรัสเซีย
สหพันธรัฐรัสเซีย
บอริส เยลต์ซินได้รับเลือกตั้งเป็นประธานาธิบดีรัสเซียเมื่อเดือนมิถุนายน พ.ศ. 2534 ในการเลือกตั้งประธานาธิบดีโดยตรงครั้งแรกในประวัติศาสตร์รัสเซีย ระหว่างและหลังการล่มสลายของสหภาพโซเวียต ได้มีการปฏิรูปอย่างกว้างขวาง รวมทั้งการแปรรูปรัฐวิสาหกิจ ตลอดจนการเปิดเสรีตลาดและการค้า[37] และยังมีการเปลี่ยนแปลงลึกซึ้งตามแนวทาง "ช็อกบำบัด" (shock therapy) ดังที่สหรัฐอเมริกาและกองทุนการเงินระหว่างประเทศแนะนำ[38] ซึ่งทั้งหมดนี้ได้ส่งผลให้เกิดวิกฤตการณ์เศรษฐกิจครั้งใหญ่ ซึ่งรัสเซียมีจีดีพีและปริมาณการผลิตภาคอุตสาหกรรมลดลงถึง 50% ระหว่าง พ.ศ. 2533-2538[39]
การแปรรูปรัฐวิสาหกิจส่วนใหญ่ได้โอนการควบคุมวิสาหกิจจากหน่วยงานของรัฐ ไปเป็นของปัจเจกบุคคลซึ่งมีความเชื่อมโยงภายในในระบบรัฐบาล นักธุรกิจที่ร่ำรวยขึ้นมาใหม่หลายคนได้นำเงินสดและสินทรัพย์นับพัน ๆ ล้านออกนอกประเทศในการโยกย้ายทุนขนานใหญ่[40] ภาวะตกต่ำของรัฐและเศรษฐกิจนำไปสู่การล่มสลายของบริการสังคม อัตราการเกิดตกฮวบ ขณะที่อัตราการตายพุ่งทะยาน ประชาชนหลายล้านคนอยู่ในภาวะยาจน จากระดับความยากจน 1.5% ในปลายยุคโซเวียต เป็น 39-49% ราวกลาง พ.ศ. 2536[41] คริสต์ทศวรรษ 1990 ได้เกิดการฉ้อราษฎร์บังหลวงและความไม่มีกฎหมายสุดขีด การเพิ่มขึ้นของแก๊งอาชญากรและอาชญากรรมรุนแรง[42]
คริสต์ทศวรรษ 1990 รัสเซียได้เผชิญกับความขัดแย้งด้วยอาวุธในคอเคซัสเหนือ ทั้งการสู้รบประรายด้านชาติพันธุ์ท้องถิ่นและการก่อการกบฏของกลุ่มอิสลามแบ่งแยกดินแดน นับตั้งแต่กลุ่มแบ่งแยกดินแดนเชเชนได้ประกาศเอราชในต้นคริสต์ทศวรรษ 1990 ก็ได้เกิดสงครามกองโจรขึ้นเป็นระยะ ๆ ระหว่างกลุ่มกบฏกับกองทัพรัสเซีย กลุ่มแบ่งแยกดินแดนได้โจมตีก่อการร้ายต่อพลเรือน ที่มีชื่อเสีงที่สุด คือ วิกฤตการณ์ตัวประกันโรงละครมอสโก และการล้อมโรงเรียนเบสลัน ซึ่งเป็นเหตุให้มีผู้เสียชีวิตหลายร้อยศพและเรียกความสนใจจากทั่วโลก
รัสเซียยอมรับความรับผิดชอบในการจัดการหนี้สินภายนอกของสหภาพโซเวียต แม้ประชากรรัสเซียจะมีเพียงครึ่งหนึ่งของประชากรสหภาพโซเวียตเมื่อสหภาพล่มสลายไปนั้น[43] การขาดดุลงบประมาณอย่างสูงเป็นเหตุของวิกฤตการณ์การเงินรัสเซีย พ.ศ. 2541[44] และยิ่งทำให้จีดีพีลดลงไปอีก[37]
วันที่ 31 ธันวาคม พ.ศ. 2542 ประธานาธิบดีเยลต์ซินลาออก ส่งมอบตำแหน่งต่อให้กับนายกรัฐมนตรีที่เพิ่งแต่งตั้งใหม่ วลาดีมีร์ ปูติน ผู้ชนะการเลือกตั้งประธานาธิบดี พ.ศ. 2543 ปูตินปราบปรามการก่อกบฏเชเชน แม้ความรุนแรงเป็นพัก ๆ ยังเกิดขึ้นทั่วคอเคซัสเหนือ ราคาน้ำมันที่อยู่ในระดับสูงและการเริ่มต้นนโยบายเงินตราอ่อนค่า ตามมาด้วยอุปสงค์ภายในประเทศที่เพิ่มขึ้น การบริโภคและการลงทุนได้ช่วยทำให้เศรษฐกิจเติบโตในอัตราร้อยละ 7 ต่อปีระหว่างปี พ.ศ. 2541-2551 ซึ่งได้พัฒนาคุณภาพชีวิตและเพิ่มอิทธิพลของรัสเซียในเวทีโลก[45] แม้การปฏิรูปหลายอย่างที่ปูตินดำเนินการระหว่างดำรงตำแหน่งประธานาธิบดี โดยทั่วไปมักถูกชาติตะวันตกวิจารณ์ว่าไม่เป็นประชาธิปไตย[46] แต่ความเป็นผู้นำของปูตินเหนือการฟื้นฟูความสงบเรียบร้อย เสถียรภาพและความก้าวหน้าได้ทำให้เขาเป็นที่นิยมอย่างกว้างขวางในรัสเซีย[47]
วันที่ 2 มีนาคม พ.ศ. 2551 ดมิทรี เมดเวเดฟได้รับเลือกตั้งเป็นประธานาธิบดีรัสเซีย ขณะที่ปูตินเป็นนายกรัฐมนตรี ปูตินกลับมาดำรงตำแหน่งประธานาธิบดีอีกครั้งหลังการเลือกตั้งประธานาธิบดี พ.ศ. 2555 และเมดเวเดฟได้รับแต่งตั้งเป็นนายกรัฐมนตรี
ในห้วงวิกฤตการณ์ไครเมีย พ.ศ. 2557 รัสเซียได้ผนวกสาธารณรัฐไครเมีย ซึ่งเกิดจากการรวมกันของสาธารณรัฐปกครองตนเองไครเมียและนครเซวัสโตปอลตามการลงประชามติ
การเมืองการปกครอง
หลังจากวิกฤติทางการเมืองในปี 1993 รัสเซียมีการออกรัฐธรรมนูญใหม่ ซึ่งได้รับการยอมรับโดยประชามติในวันที่ 12 ธันวาคม 1993 และเริ่มใช้ตั้งแต่วันที่ 25 ธันวาคม ตามรัฐธรรมนูญฉบับนี้ รัสเซียเป็นสหพันธรัฐซึ่งมีประธานาธิบดีเป็นประมุข[48] และ นายกรัฐมนตรีเป็นหัวหน้ารัฐบาล โดยรัฐบาลเป็นผู้มีอำนาจบริหาร[49] ประธานาธิบดีคนปัจจุบันคือนายวลาดีมีร์ ปูติน
ส่วนนี้รอเพิ่มเติมข้อมูล คุณสามารถช่วยเพิ่มข้อมูลส่วนนี้ได้ |
กระทรวง
ลำดับที่ | ชื่อกระทรวงภาษาไทย | ชื่อกระทรวงภาษาอังกฤษ |
---|---|---|
1 | กระทรวงกิจการภายใน | Ministry of Internal Affairs |
2 | กระทรวงป้องกันพลเรือน เหตุการณ์ฉุกเฉิน และการจัดการผลกระทบจากภัยพิบัติธรรมชาติ |
Ministry for Civil Defence, Emergencies and Elimination of Consequences of Natural Disasters * |
3 | กระทรวงการต่างประเทศ | Ministry of Foreign Affairs |
4 | กระทรวงกลาโหม | Ministry of Defense |
5 | กระทรวงยุติธรรม | Ministry of Justice |
6 | กระทรวงสาธารณสุข | Ministry of Health |
7 | กระทรวงวัฒนธรรม | Ministry of Culture |
8 | กระทรวงศึกษาธิการและวิทยาศาสตร์ | Ministry of Education and Science |
9 | กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม | Ministry of Natural Resources and Environment |
10 | กระทรวงอุตสาหกรรมและการค้า | Ministry of Industry and Trade |
11 | กระทรวงการพัฒนาพื้นที่รัสเซียตะวันออกไกล | Ministry for Development of Russian Far East |
12 | กระทรวงการสื่อสารและสื่อมวลชน | Ministry of Communications and Mass Media |
13 | กระทรวงเกษตร | Ministry of Agriculture |
14 | กระทรวงกีฬา | Ministry of Sport |
15 | กระทรวงการก่อสร้าง การเคหะและสาธารณูปโภค | Ministry of Construction, Housing and Utilities |
16 | กระทรวงคมนาคม | Ministry of Transport |
17 | กระทรวงแรงงานและสวัสดิการสังคม | Ministry of Labour and Social Affairs |
18 | กระทรวงการคลัง | Ministry of Finance |
19 | กระทรวงการพัฒนาเศรษฐกิจ | Ministry of Economic Development |
20 | กระทรวงพลังงาน | Ministry of Energy |
* มีชื่อเรียกโดยย่อว่า Ministry of Emergency Situations หรือกระทรวงสถานการณ์ฉุกเฉิน
การแบ่งเขตการปกครอง
ประเทศรัสเซียแบ่งเขตการปกครองออกเป็น
- 46 แคว้น (Provinces - oblast)
- 22 สาธารณรัฐ (Republics - respublika )
- 9 ดินแดน (Territories - kraya )
- 4 เขตปกครองตนเอง (Autonomous districts - avtonomnyye okruga)
- 1 แคว้นปกครองตนเอง (Autonomous oblast - avtonomnaya oblast )
- 3 นครสหพันธ์ (Federal cities - federalnyye goroda ) คือ มอสโก เซนต์ปีเตอร์สเบิร์ก และเซวัสโตปอล
กองทัพ
กองทัพรัสเซียแบ่งออกเป็นกองกำลังทางบก กองทัพเรือและกองทัพอากาศ นอกจากนี้ยังมีสาขาช่วยรบ (arm of service) อิสระอีกสามสาขา ได้แก่ กองกำลังขีปนาวุธยุทธศาสตร์ กองกำลังป้องกันห้วงอากาศ-อวกาศ และหน่วยส่งทางอากาศ ในปี 2549 กองทัพรัสเซียมีกำลังพลประจำการ 1.037 ล้านนาย[50] ซึ่งบังคับเกณฑ์ให้พลเมืองชายอายุระหว่าง 18–27 ปีทุกคนรับราชการในกองทัพเป็นเวลาหนึ่งปี[45]
ประเทศรัสเซียมีคลังอาวุธนิวเคลียร์ใหญ่ที่สุดในโลก และมีกองเรือดำน้ำขีปนาวุธใหญ่ที่สุดเป็นอันดับสอง และเป็นประเทศเดียวนอกจากสหรัฐอเมริกาที่มีกองกำลังเครื่องบินทิ้งระเบิดยุทธศาสตร์สมัยใหม่[26][51] กองกำลังรถถังของรัสเซียใหญ่ที่สุดในโลก และกองทัพเรือผิวน้ำและกองทัพอากาศใหญ่เป็นอันดับต้น ๆ ของโลก
ประเทศรัสเซียมีอุตสาหกรรมอาวุธขนาดใหญ่และผลิตในประเทศทั้งหมด โดยผลิตยุทโธปกรณ์ส่วนใหญ่เองโดยมีการนำเข้าอาวุธไม่กี่ชนิด ประเทศรัสเซียเป็นผู้ผลิตอาวุธรายใหญ่ที่สุดของโลกมาตั้งแต่ปี 2544 โดยมีการขายอาวุธคิดเป็นราว 30% ของทั่วโลก[52] และมีการส่งออกไปประมาณ 80 ประเทศ[53]
รายจ่ายทางทหารภาครัฐอย่างเป็นทางการในปี 2555 อยู่ที่ 90,700 ล้านดอลล่าร์สหรัฐ มากเป็นอันดับสามของโลก แม้แหล่งข้อมูลต่าง ๆ จะประเมินว่ารายจ่ายทางทหารของรัสเซียสูงกว่านี้มาก[54] ปัจจุบัน การพัฒนายุทโธปกรณ์ครั้งใหญ่มูลค่าราว 200,000 ล้านดอลล่าร์สหรัฐอยู่ระหว่างดำเนินการในช่วงปี 2549 ถึง 2558[55]
เศรษฐกิจ
เกษตรกรรม
ส่วนนี้รอเพิ่มเติมข้อมูล คุณสามารถช่วยเพิ่มข้อมูลส่วนนี้ได้ |
อุตสาหกรรม
ส่วนนี้รอเพิ่มเติมข้อมูล คุณสามารถช่วยเพิ่มข้อมูลส่วนนี้ได้ |
การพัฒนาทางเศรษฐกิจ
ส่วนนี้รอเพิ่มเติมข้อมูล คุณสามารถช่วยเพิ่มข้อมูลส่วนนี้ได้ |
รัสเซียสามารถฟื้นตัวจากวิกฤติทางการเงินในปี 1998 และมีการเติบโตทางเศรษฐกิจเฉลี่ยร้อยละ 7 ต่อปี เนื่องจากราคาน้ำมันที่สูงขึ้น การลงทุนจากต่างประเทศที่เพิ่มขึ้น การขยายตัวของการบริโภคในประเทศ และความมั่นคงทางการเมือง[35] ในปี 2007 รัสเซียมีจีดีพีใหญ่เป็นอันดับที่ 6 ของโลก[56] (มูลค่า 2.088 ล้านล้านดอลลาร์ เมื่อวัดด้วยความเท่าเทียมกันของอำนาจซื้อ[56]) ค่าแรงเฉลี่ยต่อเดือนในรัสเซียเพิ่มขึ้นจาก 80 ดอลลาร์ในปี 2000 เป็น 640 ดอลลาร์ในต้นปี 2008[57] ชาวรัสเซียที่ยากจนมีประมาณร้อยละ 14 ในปี 2007[58] ซึ่งลดลงอย่างมากจากร้อยละ 40 ในปี 1998 ซึ่งสถิติสูงสุดหลังสหภาพโซเวียตล่มสลาย[41] อัตราว่างงานในรัสเซียลดลงจากร้อยละ 12.4 ในปี 1999 เหลือร้อยละ 6 ในปี 2007[59][60] การที่ประชากรมีรายได้เพิ่มขึ้นนี้ทำให้ตลาดของชนชั้นกลางในรัสเซียขยายตัวหลายเท่า[61]
ระบบภาษีที่เข้าใจง่ายกว่าเดิมเริ่มบังคับใช้ตั้งแต่ปี 2001 ซึ่งทำให้ภาระต่อประชาชนลดลงในขณะที่รายได้ของรัฐเพิ่มขึ้น[62] รัสเซียใช้ระบบอัตราภาษีคงที่ที่ร้อยละ 13 กับภาษีเงินได้บุคคลธรรมดา และทำให้กลายเป็นประเทศที่มีระบบภาษีเงินได้บุคคลธรรมดาที่ดึงดูดผู้บริหารได้ดีเป็นอันดับสองรองจากสหรัฐอาหรับเอมิเรตส์ จากการสำรวจในปี 2007[63][64] งบประมาณของรัฐเกินดุลตั้งแต่ปี 2001 และจนถึงสิ้นปี 2007 มีงบประมาณเกินดุลมาร้อยละ 6 ของผลิตภัณฑ์มวลรวมภายในประเทศ รัสเซียใช้รายได้จากน้ำมันที่ได้รับผ่านกองทุนความมั่นคงของสหพันธรัฐรัสเซียในการจ่ายหนี้ซึ่งเกิดขึ้นในยุคโซเวียตคืนแก่ปารีสคลับและกองทุนการเงินระหว่างประเทศ รายได้จากการส่งออกน้ำมันยังสามารถทำให้รัสเซียมีเงินสำรองระหว่างประเทศเพิ่มจาก 1 หมื่น 2 พันล้านดอลลาร์สหรัฐในปี 1999 เป็น 5.97 แสนล้านดอลลาร์ในปี 2008 ซึ่งสูงเป็นอันดับสามของโลก[65] รัสเซียยังสามารถลดหนี้ต่างประเทศที่ก่อขึ้นในอดีตได้อย่างมาก[66]
อย่างไรก็ตาม การพัฒนาทางเศรษฐกิจของประเทศไม่เท่าเทียมกันในแต่ละภูมิภาค โดยเขตมอสโกเป็นเขตที่ส่งผลต่อผลิตภัณฑ์มวลรวมภายในประเทศมากที่สุด[67]
พลังงาน
ส่วนนี้รอเพิ่มเติมข้อมูล คุณสามารถช่วยเพิ่มข้อมูลส่วนนี้ได้ |
รัสเซียมีแหล่งทรัพยากรแก๊สธรรมชาติที่ใหญ่ที่สุดในโลก[69] มีแหล่งทรัพยากรถ่านหินใหญ่เป็นอันดับสองของโลก และมีแหล่งทรัพยากรน้ำมันที่ใหญ่เป็นอันดับแปดของโลก[70] รัสเซียเป็นประเทศที่ส่งออกแก๊สธรรมชาติมากเป็นอันดับหนึ่ง[71] และส่งออกน้ำมันมากเป็นอันดับสองของโลก[69] น้ำมัน แก๊สธรรมชาติ โลหะ และไม้ เป็นสินค้าส่งออกที่สำคัญและมีมูลค่ามากถึงร้อยละ 80 ของการส่งออกทั้งหมด[35][72]แต่หลังปี 2003 การส่งออกทรัพยากรธรรมชาติก็เริ่มลดความสำคัญลงเพราะตลาดภายในประเทศขยายตัวขึ้นอย่างมาก แม้ว่าราคาทรัพยากรด้านพลังงานจะสูงขึ้นมาก แต่น้ำมันและแก๊สธรรมชาติก็มีสัดส่วนเพียงร้อยละ 5.7 ของจีดีพี และรัฐบาลคาดการณ์ว่าสัดส่วนนี้จะลดลงเหลือร้อยละ 3.7 ภายในปี 2011[73] รัสเซียยังนับว่าเป็นประเทศที่มีการพัฒนาทางเศรษฐกิจได้ดีกว่าประเทศที่ร่ำรวยทรัพยากรอื่น ๆ[61] รัสเซียมีจำนวนประชากรที่จบการศึกษาระดับอุดมศึกษามากกว่าประเทศอื่นในทวีปยุโรป[74]
การท่องเที่ยว
ส่วนนี้รอเพิ่มเติมข้อมูล คุณสามารถช่วยเพิ่มข้อมูลส่วนนี้ได้ |
ประเทศรัสเซียมีสายการบินประจำชาติคือแอโรฟลอต (รัสเซีย: Аэрофло́т, อังกฤษ: Aeroflot) มีฐานบินหลักอยู่ที่ท่าอากาศยานนานาชาติเชเรเมเตียโว กรุงมอสโก
-
แอโรฟลอต แอร์บัส A320-200
โครงสร้างพื้นฐาน
ส่วนนี้รอเพิ่มเติมข้อมูล คุณสามารถช่วยเพิ่มข้อมูลส่วนนี้ได้ |
วิทยาศาสตร์ และ เทคโนโลยี
ส่วนนี้รอเพิ่มเติมข้อมูล คุณสามารถช่วยเพิ่มข้อมูลส่วนนี้ได้ |
การศึกษา
ส่วนนี้รอเพิ่มเติมข้อมูล คุณสามารถช่วยเพิ่มข้อมูลส่วนนี้ได้ |
ตั้งแต่ปี ค.ศ. 2007 รัฐบาลรัสเซียได้ขยายการศึกษาภาคบังคับจากเดิม 9 ปีเป็น 11 ปี กล่าวคือตั้งแต่ระดับมัธยมศึกษาไปถึงระดับอาชีวศึกษา โรงเรียนในรัสเซียจะแบ่งภาคเรียนออกเป็น 4 ภาคเรียน ซึ่งในแต่ละภาคเรียนจะมีวันหยุด 1-2 สัปดาห์
สาธารณสุข
ส่วนนี้รอเพิ่มเติมข้อมูล คุณสามารถช่วยเพิ่มข้อมูลส่วนนี้ได้ |
ประชากรศาสตร์
เมืองใหญ่สุด
เชื้อชาติ
สัดส่วนของเชื้อชาติ (ค.ศ. 2002)[77] | |
---|---|
ชาวรัสเซีย | 81.0% |
ตาตาร์ | 3.7% |
ชาวยูเครน | 1.4% |
บัศกีร์ | 1.1% |
ชูวาช | 1.0% |
เชเชน | 0.8% |
อื่น ๆ/ไม่ระบุ | 11.0% |
ประเทศรัสเซียมีประชากรประมาณ 144.3 ล้านคน (ค.ศ. 2016) จำนวนประชากรของรัสเซียมีแนวโน้มลดลงเรื่อย ๆ ตั้งแต่คริสต์ทศวรรษที่ 1990 ซึ่งเป็นผลจากอัตราการตายที่สูงและอัตราการเกิดที่ต่ำ ในขณะที่อัตราการเกิดในรัสเซียมีพอ ๆ กับประเทศยุโรปอื่น ๆ (อัตราการเกิด 11.3 คนต่อประชากร 1000 คนในปี 2007[79] เทียบกับอัตราเฉลี่ย 10.25 คนต่อประชากร 1000 คนของสหภาพยุโรป[80]) แต่ประชากรกลับลดลงเพราะอัตราการตายสูงกว่า (ในปี 2007 อัตราการตายของรัสเซียคือ 14.7 คนต่อประชากร 1000 คน[79] เมื่อเที่ยบกับอัตราเฉลี่ยของสหภาพยุโรป 10.39 คนต่อ 1000 คน[81]) ปัญหาประชากรที่ลดลงนี้ส่งผลกระทบต่อการพัฒนาทางเศรษฐกิจ[82] รัฐบาลจึงตั้งมาตรการต่าง ๆ ในการลดอัตราการตาย เพิ่มอัตราการเกิด พัฒนาสุขภาพของประชาชน[83] กระทรวงสาธารณสุขของรัสเซียคาดการณ์ว่าอัตราการตายและอัตราการเกิดจะปรับตัวจนเท่ากันภายในปี 2011[83]
รัสเซียมีพื้นที่มากที่สุดในโลก แต่เมื่อเทียบกับประชากรแล้ว ความหนาแน่นเพียงแค่ 40 เปอร์เซนต์เท่านั้น
ภาษา
กลุ่มชาติพันธุ์ 160 กลุ่มของรัสเซียมีภาษาพูดกว่า 100 ภาษา อ้างอิงจากการสำรวจสำมะโน พ.ศ. 2545 ประชากร 142.6 ล้านคนพูดภาษารัสเซียตามด้วยภาษาตาตาร์ 5.3 ล้านและภาษายูเครน 1.8 ล้านคน[84] ภาษารัสเซียเป็นภาษาราชการของประเทศเพียงภาษาเดียว แต่รัฐธรรมนูญให้สิทธิ์แก่สาธารณรัฐต่าง ๆ ในการสถาปนาภาษาประจำชาติของตนเองนอกเหนือจากภาษารัสเซีย[85]
แม้จะมีการแพร่กระจายในพื้นที่กว้าง แต่ภาษารัสเซียนั้นเป็นสำเนียงเดียวกันทั่วประเทศ รัสเซียเป็นภาษาที่แพร่หลายมากที่สุดในภูมิภาคยูเรเซียและเป็นภาษาสลาวิกที่พูดกันอย่างกว้างขวางที่สุด[86] ภาษารัสเซียอยู่ในตระกูลภาษาอินโด-ยูโรเปียนและเป็นหนึ่งในสมาชิกที่ยังมีผู้ใช้ภาษาของกลุ่มภาษาสลาวิกตะวันออก ภาษาอื่น ๆ ในกลุ่มได้แก่ภาษาเบลารุสและภาษายูเครน (และอาจรวมถึงภาษารูซิน Rusyn) ตัวอย่างภาษาเขียนของ ภาษาสลาวิกตะวันออกเก่า (รัสเซียเก่า) ได้รับการพิสูจน์ว่ามีการบันทึกเริ่มจากคริสต์ศตวรรษที่ 10 เป็นต้นมา[87]
รัสเซียเป็นภาษาที่ใช้มากเป็นอันดับสองบนอินเทอร์เน็ต ตามหลังภาษาอังกฤษ[88], เป็นหนึ่งในสองภาษาราชการบนสถานีอวกาศนานาชาติ[89] และเป็นหนึ่งในหกภาษาราชการของสหประชาชาติ[90]
35 ภาษาได้รับการยอมรับอย่างเป็นทางการโดยรัฐบาลท้องถิ่นในภูมิภาคต่าง ๆ ของรัสเซีย
ศาสนา
ส่วนนี้รอเพิ่มเติมข้อมูล คุณสามารถช่วยเพิ่มข้อมูลส่วนนี้ได้ |
ศาสนา ส่วนใหญ่นับถือคริสต์ศาสนานิกายออร์โธดอกซ์รัสเซีย (ร้อยละ 94) ที่เหลือนับถือศาสนาอิสลาม (ร้อยละ 5.5) คริสต์ศาสนานิกายโรมันคาทอลิก (ร้อยละ 0.8) และพุทธศาสนานิกายมหายาน (ร้อยละ 0.6)
กีฬา
เคยมีการจัดโอลิมปิกเช่นโอลิมปิกฤดูร้อน 1980ที่มอสโก โอลิมปิกฤดูหนาว 2014ที่โซชี และฟุตบอลโลก 2018
ส่วนนี้รอเพิ่มเติมข้อมูล คุณสามารถช่วยเพิ่มข้อมูลส่วนนี้ได้ |
วัฒนธรรม
วรรณกรรม
ส่วนนี้รอเพิ่มเติมข้อมูล คุณสามารถช่วยเพิ่มข้อมูลส่วนนี้ได้ |
สถาปัตยกรรม
ส่วนนี้รอเพิ่มเติมข้อมูล คุณสามารถช่วยเพิ่มข้อมูลส่วนนี้ได้ |
อาหาร
ส่วนนี้รอเพิ่มเติมข้อมูล คุณสามารถช่วยเพิ่มข้อมูลส่วนนี้ได้ |
ดนตรี และ นาฎศิลป์
ส่วนนี้รอเพิ่มเติมข้อมูล คุณสามารถช่วยเพิ่มข้อมูลส่วนนี้ได้ |
สื่อสารมวลชน
สถานีโทรทัศน์
ชื่อสถานี | เจ้าของ | เริ่มออกอากาศ | เว็บไซต์ |
---|---|---|---|
รัสเซีย-1 | บรรษัทกิจการวิทยุโทรทัศน์แห่งสหพันธรัฐรัสเซีย | 1991 | russia |
รัสเซีย-24 | บรรษัทกิจการวิทยุโทรทัศน์แห่งสหพันธรัฐรัสเซีย | 2006 | www |
รัสเซีย-k | บรรษัทกิจการวิทยุโทรทัศน์แห่งสหพันธรัฐรัสเซีย | 1997 | tvkultura |
Carousel | ช่องหนึ่งรัสเซีย และ บรรษัทกิจการวิทยุโทรทัศน์แห่งสหพันธรัฐรัสเซีย | 2010 | www |
TV Tsentr | Moscow Media (state-owned) | 1997 | tvc |
มอสค์กวา 24 | Moscow Media (state-owned) | 2011 | www |
เทเลคานัล ซเวซดา | กระทรวงกลาโหม | 2005 | tvzvezda |
รัสเซียทูเดย์ (ภาษาอังกฤษ) | ทีวี-โนวัสติ | 2005 | rt |
Rusiya Al-Yaum (Arabic version of RT) | TV-Novosti | 2007 | arabic |
Public Television of Russia | Russian government | 2013 | www |
MIR | 10 states from CIS | 1992 | mir24 |
สถานีโทรทัศน์ที่หนึ่ง | Russian government (51%), Roman Abramovich (24%), National Media Group (25%) | 1995 | www |
Spas TV | Russian Orthodox Church of the Moscow Patriarchate | 2006 |
วันหยุด
วันที่ | ชื่อ | ชื่อภาษาท้องถิ่น | ภาษารัสเซีย อักษรซีริลลิก | หมายเหตุ |
---|---|---|---|---|
1 มกราคม | วันปีใหม่ | Новый год (Novy god) | Новогодние каникулы (Novogodniye kanikuly) | |
7 มกราคม | วันคริสต์มาส | Rozhdestvo Khristovo | Рождество Христово | ตามนิกายออร์ทอดอกซ์ |
13 มกราคม | วันปีใหม่เดิมของรัสเซีย (Old-Calendar New Year) | Новый год по старому календарю | วันขึ้นปีใหม่ตามปฏิทินเก่า ซึ่งช้ากว่าปฏิทินเกรโกเรียนไป 13 วัน | |
23 กุมภาพันธ์ | วันพิทักษ์ปิตุภูมิ (Homeland Defender’s Day) | Den zashchitnika Otechestva | День Защитника Отечества | เพื่อรำลึกการก่อตั้ง กองทัพแดง ในเดือนกุมภาพันธ์ ค.ศ. 1918 เดิมรัสเซียเรียกวันนี้ว่า "วันกองทัพโซเวียตและกองทัพเรือ" (День Советской Армии и Военно-Морского Флота; Den' Sovyetskoy Armii i Voyenno-Morskogo flota) |
8 มีนาคม | วันสตรีสากล | Восьмое марта (Vosmoe marta) | Международный Женский День | วันหยุดสากลให้แก่ความเท่าเทียมทางเพศแก่สตรี |
1 พฤษภาคม | วันแรงงานสากล | Первое Мая (May Day) | День Солидарности Трудящихся ("International Day of Worker's Solidarity") | มีการฉลองอย่างเป็นทางการในวันที่ 1 และ 2 พฤษภาคม มีอีกชื่อหนึ่งว่า "วันแรงงานและเฉลิมฉลองเข้าสู่ฤดูใบไม้ผลิ" |
9 พฤษภาคม | วันแห่งชัยชนะ (Victory Day) | Den Pobedy | День Победы | วันสิ้นสุดของมหาสงครามของผู้รักชาติ ในสงครามโลกครั้งที่สอง |
12 มิถุนายน | วันประกาศอิสรภาพ (Independence Day) | День России (Den Rossii) | день независимости | เป็นวันที่ประธานาธิบดีบอริส เยลต์ซิน ประกาศแยกประเทศรัสเซียออกจากสหภาพโซเวียต เมื่อปี พ.ศ. 2534 |
4 พฤศจิกายน | วันเอกภาพแห่งมวลชน (People’s Unity Day) | Den narodnogo edinstva | День Народного единства | เป็นวันที่มีการรวมตัวกันของชาวมอสโกโดยไม่คำนึงถึงเชื้อชาติ ศาสนา และสถานะในสังคมเพื่อทำการต่อต้านการรุกรานของโปแลนด์ที่เข้ามาในปี ค.ศ. 1612 |
ส่วนวันอีดทั้งสองของศาสนาอิสลามเป็นวันหยุดของ สาธารณรัฐบัชคอร์โตสถาน สาธารณรัฐอินกุชเชเตีย สาธารณรัฐคาร์บาร์ดิโน-บัลกาเรีย ส่วนสาธารณรัฐบูเรียตียา และสาธารณรัฐคัลมืยคียา ก็ประกาศว่าวันวิสาขบูชาเป็นวันหยุดเช่นกัน
อ้างอิง
- ↑ Matt Rosenberg. "Biggest Countries The Twenty Largest Countries in Area in the World". About.com. สืบค้นเมื่อ October 20, 2016.
- ↑ "The Russian federation: general characteristics". Federal State Statistics Service. คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ July 28, 2011. สืบค้นเมื่อ April 5, 2008.
- ↑ 3.0 3.1 "ПРЕДВАРИТЕЛЬНАЯ ОЦЕНКА ЧИСЛЕННОСТИ ПОСТОЯННОГО НАСЕЛЕНИЯ на 1 января 2018 г. и в среднем за 2017 г." www.gks.ru. สืบค้นเมื่อ February 23, 2018.
- ↑ When including the Republic of Crimea and Sevastopol, the total population of Russia rises to 146,877,088.[3]
- ↑ 5.0 5.1 5.2 5.3 "Russia". www.imf.org.
- ↑ "Russia". World Bank.
- ↑ "Human Development Report 2016 – "Human Development for everyone"" (PDF). United Nations Development Programme. 2016. สืบค้นเมื่อ March 21, 2017.
- ↑ Steven Perlberg (11 December 2013). "Currency Geeks Rejoice, Russia Has A New Symbol For The Rouble". Business Insider. สืบค้นเมื่อ 11 November 2019.
- ↑ Howard Witt; Tribune Staff Writer (25 July 1993). "Russia's Older Rubles Suddenly Worthless". Chicago Tribune. สืบค้นเมื่อ 11 November 2019.
- ↑ "ชื่อสหพันธรัฐรัสเซียและรัสเซียจักเสมอกัน". "The Constitution of the Russian Federation". (Article 1). สืบค้นเมื่อ 25 June 2009.
- ↑ Russian Federal State Statistics Service (2011). "Всероссийская перепись населения 2010 года. Том 1" [2010 All-Russian Population Census, vol. 1]. Всероссийская перепись населения 2010 года (2010 All-Russia Population Census) (ภาษารัสเซีย). Federal State Statistics Service. สืบค้นเมื่อ June 29, 2012.
- ↑ "Russia". Encyclopædia Britannica. สืบค้นเมื่อ 31 January 2008.
- ↑ "Commission of the Russian Federation for UNESCO: Panorama of Russia". Unesco.ru. สืบค้นเมื่อ 29 October 2010.
- ↑ "Country Comparison :: Natural gas – production". CIA World Factbook. สืบค้นเมื่อ 3 February 2014.
- ↑ "International Energy Agency – Oil Market Report" (PDF). 18 January 2012. คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิม (PDF)เมื่อ 18 May 2012. สืบค้นเมื่อ 11 November 2019.
- ↑ Library of Congress. "Topography and drainage". สืบค้นเมื่อ 26 December 2007.
- ↑ "Russia". Encyclopædia Britannica. สืบค้นเมื่อ 31 January 2008.
- ↑ 18.0 18.1 "Russia: A Country Study: Kievan Rus' and Mongol Periods". Excerpted from Glenn E. Curtis (ed.). Washington, DC: Federal Research Division of the Library of Congress. 1998. สืบค้นเมื่อ 20 July 2007.
{{cite web}}
: CS1 maint: others (ลิงก์) - ↑ Michael Prawdin; Gérard Chaliand (2005). The Mongol empire: its rise and legacy. pp. 512–550.
- ↑ Rein Taagepera (September 1997). "Expansion and Contraction Patterns of Large Polities: Context for Russia". International Studies Quarterly. 41 (3): 475–504. doi:10.1111/0020-8833.00053.
- ↑ Peter Turchin, Thomas D. Hall and Jonathan M. Adams, "East-West Orientation of Historical Empires", Journal of World-Systems Research Vol. 12 (no. 2), pp. 219–229 (2006).
- ↑ Superpower politics: change in the United States and the Soviet Union Books.Google.com
- ↑ Weinberg, G.L. (1995). A World at Arms: A Global History of World War II. Cambridge University Press. p. 264. ISBN 0521558794.
- ↑ Rozhnov, Konstantin, Who won World War II?. BBC.
- ↑ "Country Profile: Russia". Foreign & Commonwealth Office of the United Kingdom. คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 16 October 2009. สืบค้นเมื่อ 27 December 2007.
- ↑ 26.0 26.1 "Status of Nuclear Powers and Their Nuclear Capabilities". Federation of American Scientists. สืบค้นเมื่อ 27 December 2007.
- ↑ "Online Etymology Dictionary". Etymonline.com. สืบค้นเมื่อ 2 November 2011.
- ↑ "Rus – definition of Rus by the Free Online Dictionary, Thesaurus and Encyclopedia". Thefreedictionary.com. สืบค้นเมื่อ 2 November 2011.
- ↑ Milner-Gulland, R. R. (1997). The Russians: The People of Europe. Blackwell Publishing. pp. 1–4. ISBN 978-0-631-21849-4. สืบค้นเมื่อ 15 December 2016.
- ↑ "Definition of Russian". Merriam-Webster. สืบค้นเมื่อ 21 September 2016.
- ↑ World Time Zone: Russia
- ↑ Library of Congress. "Topography and Drainage". สืบค้นเมื่อ 2007-12-26.
- ↑ 33.0 33.1 Walsh, Nick Paton. "It's Europe's lungs and home to many rare species. But to Russia it's £100bn of wood". Guardian (UK). สืบค้นเมื่อ 2009-01-17.
- ↑ Fish Industry of Russia — Production, Trade, Markets and Investment. Eurofish, Copenhagen, Denmark. August 2006. p. 211. สืบค้นเมื่อ 26 December 2007.
- ↑ 35.0 35.1 35.2 "The World Factbook: Russia". CIA. สืบค้นเมื่อ 2008-12-20.
- ↑ 36.0 36.1 นริศรา พลายมาศ. จักรวรรดิรัสเซียก่อนล่มสลายสู่คอมมิวนิสต์. สำนักพิมพ์ก้าวแรก. ISBN 9786167446875.
- ↑ 37.0 37.1 "Russian Federation" (PDF). Organisation for Economic Co-operation and Development (OECD). สืบค้นเมื่อ 24 February 2008.
- ↑ Sciolino, E. (21 December 1993). "U.S. is abandoning 'shock therapy' for the Russians". The New York Times. สืบค้นเมื่อ 20 January 2008.
- ↑ "Russia: Clawing Its Way Back to Life (international edition)". BusinessWeek. สืบค้นเมื่อ 27 December 2007.
- ↑ "Russia: Clawing Its Way Back to Life (international edition)". BusinessWeek. สืบค้นเมื่อ 27 December 2007.
- ↑ 41.0 41.1 Branko Milanovic (1998). Income, Inequality, and Poverty During the Transformation from Planned to Market Economy. The World Bank. pp. 186–189.
- ↑ Jason Bush (19 October 2006). "What's Behind Russia's Crime Wave?". BusinessWeek Journal.
- ↑ "Russia pays off USSR's entire debt, sets to become crediting country". Pravda.ru. สืบค้นเมื่อ 27 December 2007.
- ↑ Aslund A. "Russia's Capitalist Revolution" (PDF). สืบค้นเมื่อ 28 March 2008.
- ↑ 45.0 45.1 "The World Factbook". Central Intelligence Agency. สืบค้นเมื่อ 16 February 2019.
- ↑ Treisman, D. "Is Russia's Experiment with Democracy Over?". UCLA International Institute. สืบค้นเมื่อ 31 December 2007.
- ↑ Stone, N (4 December 2007). "No wonder they like Putin". The Times. UK. สืบค้นเมื่อ 31 December 2007.
- ↑ "The Constitution of the Russia Federation: Article 80". สืบค้นเมื่อ 9 January 2009.
- ↑ "The Constitution of the Russia Federation: Article 110". สืบค้นเมื่อ 9 January 2009.
- ↑ "Overview of the major Asian Powers" (PDF). International Institute for Strategic Studies: 31. สืบค้นเมื่อ 27 January 2008.
- ↑ Russia pilots proud of flights to foreign shores by David Nowak. The Associated Press, 15 September 2008
- ↑ "US drives world military spending to record high". Australian Broadcasting Corporation. คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 13 June 2006. สืบค้นเมื่อ 27 December 2007.
- ↑ "Russia arms exports could exceed $7 bln in 2007 – Ivanov". RIA Novosti. สืบค้นเมื่อ 27 January 2008.
- ↑ • Countries with the highest military spending in 2012 | Statistic
- ↑ Harding, Luke (9 February 2007). "Big rise in Russian military spending raises fears of new challenge to west". The Guardian. London. สืบค้นเมื่อ 6 January 2008.
- ↑ 56.0 56.1 "Gross domestic product 2007, PPP" (PDF). The World Bank. สืบค้นเมื่อ 2008-12-20.
- ↑ "Russians weigh an enigma with Putin's protégé". MSNBC. สืบค้นเมื่อ 2009-01-10.
- ↑ "Russia's economy under Vladimir Putin: achievements and failures". RIA Novosti. สืบค้นเมื่อ 2008-05-09.
- ↑ "Russia's unemployment rate down 10% in 2007 - report". RIA Novosti. สืบค้นเมื่อ 2008-05-09.
- ↑ "Russia — Unemployment rate (%)". indexmundi.com. สืบค้นเมื่อ 2008-05-09.
- ↑ 61.0 61.1 Jason Bush (2006-12-07). "Russia: How Long Can The Fun Last?". BusinessWeek. สืบค้นเมื่อ 2009-01-13.
- ↑ Tavernise, Sabrina (23 March 2002). "Russia Imposes Flat Tax on Income, and Its Coffers Swell". The New York Times. สืบค้นเมื่อ 2007-12-27.
- ↑ Rabushka, Alvin. "The Flat Tax at Work in Russia: Year Three". Hoover Institution. สืบค้นเมื่อ 2007-12-27.
- ↑ "Global personal taxation comparison survey – market rankings". Mercer (consulting firms). สืบค้นเมื่อ 2007-12-27.
- ↑ "International Reserves of the Russian Federation in 2008". The Central Bank of the Russian Federation. สืบค้นเมื่อ 2008-07-30.
- ↑ "Russia's foreign debt down 31.3% in Q3—finance ministry". RIA Novosti. สืบค้นเมื่อ 2007-12-27.
- ↑ "Gross regional product by federal subjects of the Russian Federation 1998–2006". Federal State Statistics Service. สืบค้นเมื่อ 2008-06-30. (รัสเซีย)
- ↑ The City Built on Oil: EU-Russia Summit Visits Siberia's Boomtown, Spiegel
- ↑ 69.0 69.1 "Russia Key facts: Energy". BBC News. สืบค้นเมื่อ 2008-12-21.
- ↑ "Rank Order - Oil - proved reserves". CIA. สืบค้นเมื่อ 2008-12-21.
- ↑ "Rank Order - Natural gas - exports". CIA. สืบค้นเมื่อ 2008-12-21.
- ↑ "Russia Factsheet". The Economist. 2008-12-16.
- ↑ "Russia fixed asset investment to reach $370 bln by 2010 - Kudrin". RIA Novosti. สืบค้นเมื่อ 2007-12-27.
- ↑ "CEE Biweekly (page 6)" (PDF). UNESCO Institute for Statistics, UniCredit New Europe Research Network. สืบค้นเมื่อ 2008-03-28.
- ↑ Cities with over 1 million population Rosstat
- ↑ Cities with population between 500,000 and 1 million Rosstat
- ↑ "Russian Census of 2002". 4.1. National composition of population. Federal State Statistics Service. สืบค้นเมื่อ 2008-01-16.
- ↑ "Demographics". Federal State Statistics Service. สืบค้นเมื่อ 2008-01-15.
- ↑ 79.0 79.1 "Demography". Federal State Statistics Service. สืบค้นเมื่อ 2008-03-05.
- ↑ The World Factbook. "Rank Order — Birth rate". Central Intelligence Agency. สืบค้นเมื่อ 2007-12-27.
- ↑ The World Factbook. "Rank Order — Death rate". Central Intelligence Agency. สืบค้นเมื่อ 2007-12-27.
- ↑ "The incredible shrinking people". The Economist. 2008-11-27.
- ↑ 83.0 83.1 "Russia's birth, mortality rates to equal by 2011 - ministry". RIA Novosti. สืบค้นเมื่อ 2008-02-10.
- ↑ "Russian Census of 2002". 4.3. Population by nationalities and knowledge of Russian; 4.4. Spreading of knowledge of languages (except Russian). Rosstat. คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 19 July 2011. สืบค้นเมื่อ 16 January 2008.
- ↑ "The Constitution of the Russian Federation". (Article 68, § 2). สืบค้นเมื่อ 27 December 2007.
- ↑ "Russian language". University of Toronto. คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 6 January 2007. สืบค้นเมื่อ 27 December 2007.
- ↑ "Russian Language History". Foreigntranslations.com. คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 27 July 2013. สืบค้นเมื่อ 4 May 2013.
- ↑ Matthias Gelbmann (19 March 2013). "Russian is now the second most used language on the web". W3Techs. Q-Success. สืบค้นเมื่อ 17 June 2013.
- ↑ "JAXA – My Long Mission in Space".
- ↑ Poser, Bill (5 May 2004). "The languages of the UN". Itre.cis.upenn.edu. สืบค้นเมื่อ 29 October 2010.
แหล่งข้อมูลอื่น
- วิกิมีเดียคอมมอนส์มีสื่อเกี่ยวกับ ประเทศรัสเซีย
- Wikimedia Atlas of Russia
- Geographic data related to Russia ที่ โอเพินสตรีตแมป
- ประเทศรัสเซีย ที่เว็บไซต์ Curlie
- Russia entry at The World Factbook
- Russia at UCB Libraries GovPubs
- Russia from the BBC News
- Russia at Encyclopædia Britannica
- รัฐบาล
- Official Russian governmental portal
- Chief of State and Cabinet Members
- Russian News Agency "Ria Novosti"
- Russian radio "Voice of Russia"
- อื่น ๆ
- Post-Soviet Problems from the Dean Peter Krogh Foreign Affairs Digital Archives
- Russia Beyond the Headlines International news project about Russia
- Way to Russia. An Introduction to Russia and Russian People
- Russia cities and regions guide
- Official Russia Travel Guide
- Russian Consulate
- Russia Beyond the Headlines International news project about Russia
- Moscow Russia Insider's Guide Moscow and Russia through Muscovite's eyes.
- เว็บไซต์ของสถานเอกอัครราชทูตไทย ณ กรุงมอสโก
- รูปภาพเกี่ยวกับประเทศรัสเซีย ที่ฟลิคเกอร์