พระเจ้าบรมวงศ์เธอ กรมหมื่นพิไชยมหินทโรดม
พระเจ้าบรมวงศ์เธอ กรมหมื่นพิไชยมหินทโรดม | |
---|---|
![]() | |
อธิบดีกรมเพาะปลูก | |
ภรรยา | ชายา หม่อมเจ้าวรรณวิลัย เพ็ญพัฒน์ หม่อม หม่อมเทียม คชเสนี |
พระบุตร | หม่อมเจ้าชายไม่มีพระนาม พรรณเพ็ญแข กฤดากร หม่อมเจ้าเผ่าเพ็ญพัฒน์ เพ็ญพัฒน์ |
ราชวงศ์ | จักรี |
พระบิดา | พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว |
พระมารดา | เจ้าจอมมารดามรกฎ ในรัชกาลที่ 5 |
ประสูติ | 13 กันยายน พ.ศ. 2425 |
สิ้นพระชนม์ | 11 พฤศจิกายน พ.ศ. 2452 |
พระเจ้าบรมวงศ์เธอ กรมหมื่นพิไชยมหินทโรดม พระนามเดิม พระองค์เจ้าเพ็ญพัฒนพงศ์ ทรงเป็นอธิบดีกรมเพาะปลูก ต้นราชสกุลเพ็ญพัฒน[1] เป็นผู้นิพนธ์เพลงลาวดำเนินเกวียน หรือลาวดวงเดือน
เนื้อหา
พระประวัติ[แก้]
พระองค์เจ้าเพ็ญพัฒนพงศ์ เป็นพระราชโอรสพระองค์ที่ 38 ในพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว อันประสูติแต่เจ้าจอมมารดามรกฎ ในรัชกาลที่ 5 ธิดาของเจ้าพระยามหินทรศักดิ์ธำรง (เพ็ง เพ็ญกุล) ประสูติเมื่อวันที่ 13 กันยายน พ.ศ. 2425 เสด็จไปศึกษาทางด้านเกษตรศาสตร์จากประเทศอังกฤษ สำเร็จการศึกษาเมื่อ พ.ศ. 2446 ขณะพระชันษา 20 ปี กลับมารับราชการเป็นผู้ช่วยปลัดทูลฉลองกระทรวงเกษตราธิการ[2]
ในปี พ.ศ. 2445 พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว มีพระราชวินิจฉัยให้อุดหนุนการทำไหมและทอผ้าของประเทศ โดยได้ว่าจ้าง ดร.คาเมทาโร่ โทยาม่า จากมหาวิทยาลัยโตเกียว ทดลองเลี้ยงไหมตามแบบฉบับของญี่ปุ่น สอนและฝึกอบรมนักเรียนไทยในวิชาการเลี้ยงและการทำไหม พร้อมกับสร้างสวนหม่อนและสถานีเลี้ยงไหมขึ้นที่ตำบลศาลาแดง กรุงเทพ ทรงจัดตั้งกองช่างไหมขึ้นในกระทรวงเกษตราธิการ ต่อมา วันที่ 30 กันยายน พ.ศ. 2446 กระทรวงเกษตราธิการได้รวมกองการผลิต, กองการเลี้ยงสัตว์ และกองช่างไหม ตั้งขึ้นเป็น "กรมช่างไหม" โดยมี พระองค์เจ้าเพ็ญพัฒนพงษ์ เป็นอธิบดีกรมช่างไหมพระองค์แรก
งานหลักของกรมช่างไหม คือ การดำเนินงานตามโครงการของสถานีทดลองเลี้ยงไหม เริ่มด้วยการก่อตั้งโรงเรียนสอนการทำไหมขึ้นในพระราชวังดุสิต เมื่อเดือนพฤศจิกายน พ.ศ. 2446 และเปิดโรงเรียนสอนการทำไหมขึ้นที่ปทุมวัน เรียกว่า "โรงเรียนกรมช่างไหม" เมื่อวันที่ 16 มกราคม พ.ศ. 2447 โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อสร้างผู้เชี่ยวชาญ ศึกษาวิจัย และฝึกพนักงานคนไทยขึ้นแทนคนญี่ปุ่น ในเวลาต่อมาโรงเรียนแห่งนี้ได้พัฒนาเป็นมหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์
กรมหมื่นพิไชยมหินทโรดม ทรงสนพระทัยดนตรีไทย โปรดให้มีวงปี่พาทย์วงหนึ่ง เรียกกันว่า "วงพระองค์เพ็ญ" พระองค์ยังทรงเล่นดนตรีได้หลายชนิด และทรงเป็นนักแต่งเพลงที่สามารถ เมื่อครั้งเสด็จกลับจากประเทศอังกฤษ กรมหมื่นพิไชยมหินทโรดมได้เสด็จไปนครเชียงใหม่ เมื่อ พ.ศ. 2446 ทรงชอบพอกับเจ้าชมชื่น ณ เชียงใหม่ พระธิดาใน เจ้าราชสัมพันธวงศ์ (ธรรมลังกา ณ เชียงใหม่) กับเจ้าคำย่น ณ เชียงใหม่ ได้โปรดให้ข้าหลวงใหญ่มณฑลพายัพเป็นเฒ่าแก่เจรจาสู่ขอ แต่ได้รับการทัดทาน ไม่มีโอกาสที่จะได้สมรสกัน ทำให้พระองค์โศกเศร้ามาก และได้ทรงพระนิพนธ์เพลงลาวดำเนินเกวียน (หรือลาวดวงเดือน) ขึ้น เมื่อใดที่ทรงระลึกถึงเจ้าหญิงชมชื่นก็จะทรงดนตรีเพลงนี้มาตลอดพระชนมชีพ
วังที่ประทับของกรมหมื่นพิไชยมหินทโรดม เป็นบ้านของเจ้าพระยามหินทรศักดิ์ธำรง (เพ็ง เพ็ญกุล) บิดาของเจ้าจอมมารดามรกฎ มีชื่อเรียกว่าวังท่าเตียน (เรียกชื่อตามสถานที่ตั้งวัง เช่นเดียวกับวังท่าเตียนหรือวังจักรพงษ์ของพระเจ้าวรวงศ์เธอ พระองค์เจ้าจุลจักรพงษ์) มีโรงละครอยู่โรงหนึ่ง ในสมัยนั้นเรียกกันว่า ปรินส์เทียเตอร์
วันที่ 16 พฤศจิกายน พ.ศ. 2451 ได้รับสถาปนาเป็นพระเจ้าลูกยาเธอ กรมหมื่นพิไชยมหินทโรดม ทรงศักดินา 15000[3]
สิ้นพระชนม์[แก้]
พระเจ้าลูกยาเธอ กรมหมื่นพิไชยมหินทโรดม ประชวรวัณโรคภายในมานาน แม้พระบิดาจะพระราชทานหมอหลวงมาถวายการรักษา พระอาการก็ยังทรงและทรุดจนสิ้นพระชนม์เมื่อวันที่ 11 พฤศจิกายน พ.ศ. 2452 เวลา 16.08 น. พระชันษา 28 ปี ในคืนนั้นพระบรมวงศานุวงศ์มีสมเด็จพระบรมราชินีนาถและสมเด็จพระบรมโอรสาธิราช ตลอดทั้งเสนาบดีสรงน้ำพระศพ เจ้าพนักงานเชิญพระศพลงในพระลอง ประดิษฐานบนแว่นฟ้า 2 ชั้น ประกอบพระโกศมณฑปใหญ่ แวดล้อมด้วยเครื่องสูง 9 องค์ พระสงฆ์มีหม่อมเจ้าพระศีลวราลังการ (เนตร) เป็นประธานสวดสดับปกรณ์[4]
พระโอรส-ธิดา[แก้]
พระเจ้าบรมวงศ์เธอ กรมหมื่นพิไชยมหินทโรดม มีพระโอรสธิดา 3 พระองค์ ได้แก่[5]
- หม่อมเจ้าชายไม่มีพระนาม ประสูติวันที่ 25 สิงหาคม พ.ศ. 2447 สิ้นชีพิตักษัยเมื่อพระชันษา 11 วัน
มีพระธิดา 1 พระองค์กับหม่อมเจ้าหญิงวรรณวิลัย เพ็ญพัฒน์ (ราชสกุลเดิม : กฤดากร) (1 ตุลาคม 2431 - 20 ธันวาคม 2476) พระธิดาในพระเจ้าบรมวงศ์เธอ กรมพระนเรศรวรฤทธิ์ เสกสมรสเมื่อวันที่ 30 ตุลาคม พ.ศ. 2446[6][7]
- หม่อมเจ้าหญิงพรรณเพ็ญแข เพ็ญพัฒน์ (11 กันยายน 2448 - 1 กรกฎาคม 2517) ทรงลาออกจากฐานันดรศักดิ์แห่งราชวงศ์เพื่อทำการเสกสมรสกับหม่อมราชวงศ์บรรลือศักดิ์ กฤดากร โอรสในพระวรวงศ์เธอ พระองค์เจ้าจรูญศักดิ์กฤดากร
- หม่อมหลวงเพ็ญศักดิ์ กฤดากร (12 ตุลาคม 2476 - ) สมรสกับ มยุรี สุขุม และ จุฑามาศ สุคนธา
- กฤษพงษ์ กฤดากร ณ อยุธยา
- หม่อมหลวงพรรณศิริ กฤดากร (15 กันยายน 2478 - ) สมรสกับ วัฒนา อัศวรักษ์
- ศิริวัฒนา อัศวรักษ์
- หม่อมหลวงธิดาเพ็ญ กฤดากร (30 ธันวาคม 2480 - ) สมรสกับ วัฒนา อัศวรักษ์ และ ศุภโยกต์ มาลิก
- นัดดาเพ็ญ อัศวรักษ์
- พันธ์เพ็ญ อัศวรักษ์
- นภาเพ็ญ กฤดากร (ใช้นามสกุลมารดา)
- ศศิภา กฤดากร (ใช้นามสกุลมารดา)
- หม่อมหลวงเพ็ญศักดิ์ กฤดากร (12 ตุลาคม 2476 - ) สมรสกับ มยุรี สุขุม และ จุฑามาศ สุคนธา
มีพระโอรสกับหม่อมเทียม คชเสนี (พฤศจิกายน 2433 - 24 เมษายน 2507) 1 พระองค์ คือ
- หม่อมเจ้าเผ่าเพ็ญพัฒน์ เพ็ญพัฒน์ (9 พฤษภาคม 2449 - 10 มกราคม 2503) สมรสกับหม่อมหลวงพอจิตร ปัทมสิงห์
- หม่อมราชวงศ์เพ็ญพิไชย เพ็ญพัฒน์ (2 มิถุนายน 2476 - ) สมรสกับ เชอร์ลีย์ แอนน์ วีเลอร์ สตรีชาวอังกฤษ และ เพ็ญสินี แก้วสถิต
- หม่อมหลวงสุธารัตน์ เพ็ญพัฒน์ (แฝด) สมรสกับ วีระชัย อุดมมานะ
- หม่อมหลวงวิไลรัตน์ เพ็ญพัฒน์ (แฝด) สมรสกับ ชัยรักษ์ นภาบริรักษ์
- หม่อมหลวงพิพัฒนไชย เพ็ญพัฒน์
- หม่อมหลวงรังสิภัทร เพ็ญพัฒน์
- หม่อมหลวงนันทิวัชร เพ็ญพัฒน์
- หม่อมราชวงศ์พัฒน์มหินทร์ เพ็ญพัฒน์ (16 มิถุนายน 2480 - 13 สิงหาคม 2523)
- หม่อมราชวงศ์เพ็ญพิไชย เพ็ญพัฒน์ (2 มิถุนายน 2476 - ) สมรสกับ เชอร์ลีย์ แอนน์ วีเลอร์ สตรีชาวอังกฤษ และ เพ็ญสินี แก้วสถิต
พระเกียรติยศ[แก้]
พระอิสริยยศ[แก้]
- พระเจ้าลูกยาเธอ พระองค์เจ้าเพ็ญพัฒนพงศ์ (13 กันยายน พ.ศ. 2425 - 16 พฤศจิกายน พ.ศ. 2451)
- พระเจ้าลูกยาเธอ กรมหมื่นพิไชยมหินทโรดม (16 พฤศจิกายน พ.ศ. 2451 - 23 ตุลาคม พ.ศ. 2453)
ภายหลังการสิ้นพระชนม์
- พระเจ้าน้องยาเธอ กรมหมื่นพิไชยมหินทโรดม (23 ตุลาคม พ.ศ. 2453 - 26 พฤศจิกายน พ.ศ. 2468)
- พระเจ้าพี่ยาเธอ กรมหมื่นพิไชยมหินทโรดม (26 พฤศจิกายน พ.ศ. 2468 - 10 กรกฎาคม พ.ศ. 2478)
- พระเจ้าบรมวงศ์เธอ กรมหมื่นพิไชยมหินทโรดม (10 กรกฎาคม พ.ศ. 2478 - ปัจจุบัน)
เครื่องราชอิสริยาภรณ์[แก้]
- พ.ศ. ไม่ปรากฏ -
เครื่องขัตติยราชอิสริยาภรณ์อันมีเกียรติคุณรุ่งเรืองยิ่งมหาจักรีบรมราชวงศ์ (ม.จ.ก.) (ฝ่ายหน้า)
- พ.ศ. ไม่ปรากฎ -
เครื่องราชอิสริยาภรณ์จุลจอมเกล้า ชั้นปฐมจุลจอมเกล้าวิเศษ (ป.จ.ว.) (ฝ่ายหน้า)
- พ.ศ. ไม่ปรากฏ -
เครื่องราชอิสริยาภรณ์อันเป็นที่เชิดชูยิ่งช้างเผือก ชั้น 1 ประถมาภรณ์ช้างเผือก (ป.ช.)
- พ.ศ. 2451 -
เครื่องราชอิสริยาภรณ์อันมีเกียรติยศยิ่งมงกุฎไทย ชั้น 1 ประถมาภรณ์มงกุฎไทย (ป.ม.)[8]
เหรียญรัตนาภรณ์ รัชกาลที่ 5 (จ.ป.ร.1)
ราชตระกูล[แก้]
พระเจ้าบรมวงศ์เธอ กรมหมื่นพิไชยมหินทโรดม |
พระชนก: พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว |
พระอัยกาฝ่ายพระชนก: พระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว |
พระปัยกาฝ่ายพระชนก: พระบาทสมเด็จพระพุทธเลิศหล้านภาลัย |
พระปัยยิกาฝ่ายพระชนก: สมเด็จพระศรีสุริเยนทราบรมราชินี | |||
พระอัยยิกาฝ่ายพระชนก: สมเด็จพระเทพศิรินทราบรมราชินี |
พระปัยกาฝ่ายพระชนก: สมเด็จพระบรมราชมาตามหัยกาเธอ กรมหมื่นมาตยาพิทักษ์ | ||
พระปัยยิกาฝ่ายพระชนก: หม่อมน้อย | |||
พระชนนี: เจ้าจอมมารดามรกฎ ในรัชกาลที่ 5 |
พระอัยกาฝ่ายพระชนนี: เจ้าพระยามหินทรศักดิ์ธำรง (เพ็ง เพ็ญกุล) |
พระปัยกาฝ่ายพระชนนี: หลวงจินดาพิจิตร (ด้วง) | |
พระปัยยิกาฝ่ายพระชนนี: ไม่ทราบ | |||
พระอัยยิกาฝ่ายพระชนนี: ท่านผู้หญิงหุ่น เพ็ญกุล |
พระปัยกาฝ่ายพระชนนี: พระยานครอินทร์รามัญ | ||
พระปัยยิกาฝ่ายพระชนนี: ไม่ทราบ |
อ้างอิง[แก้]
- เชิงอรรถ
- ↑ "พระบรมราชโองการ ประกาศ พระราชทานนามสกุลสำหรับเชื้อพระวงศ์พระบรมราชวงศ์ชั้น ๕" (PDF). ราชกิจจานุเบกษา. 46 (0 ก): 24. 9 มิถุนายน 2472. สืบค้นเมื่อ 11 กันยายน 2561.
- ↑ ราชสกุลวงศ์, หน้า 91
- ↑ "พระบรมราชโองการ ประกาศ ตั้งกรมและเจ้าพระยา" (PDF). ราชกิจจานุเบกษา. 25 (35): 1003–1004. 29 พฤศจิกายน ร.ศ. 127. สืบค้นเมื่อ 11 กันยายน พ.ศ. 2561.
- ↑ "ข่าวสิ้นพระชนม์" (PDF). ราชกิจจานุเบกษา. 26 (0 ง): 1852–1853. 21 พฤศจิกายน ร.ศ. 128. สืบค้นเมื่อ 11 กันยายน พ.ศ. 2561.
- ↑ พระอนุวงศ์ชั้นหม่อมเจ้าในพระราชวงศ์จักรี, หน้า 259
- ↑ http://freepages.genealogy.rootsweb.com/~royalty/thailand/i672.html
- ↑ กิติวัฒนา (ไชยันต์) ปกมนตรี, หม่อมราชวงศ์. สายพระโลหิตในพระพุทธเจ้าหลวง. กรุงเทพฯ : ดีเอ็มดี, พ.ศ. 2551. 290 หน้า. ISBN 978-974-312-022-0
- ↑ พระราชทานเครื่องราชอิสริยาภรณ์
- บรรณานุกรม
- ศุภวัฒน์ เกษมศรี, หม่อมราชวงศ์ และรัชนี ทรัพย์วิจิตร. พระอนุวงศ์ชั้นหม่อมเจ้าในพระราชวงศ์จักรี. พิมพ์ครั้งที่ 3, กรุงเทพฯ : บรรณกิจ ๑๙๙๑, 2549. 360 หน้า. หน้า 259. ISBN 974-221-818-8
- สำนักวรรณกรรมและประวัติศาสตร์ กรมศิลปากร. ราชสกุลวงศ์. พิมพ์ครั้งที่ 14, กรุงเทพฯ : สำนักวรรณกรรมและประวัติศาสตร์ กรมศิลปากร, 2554. 296 หน้า. หน้า 91. ISBN 978-974-417-594-6
แหล่งข้อมูลอื่น[แก้]
|
|