ผลต่างระหว่างรุ่นของ "จักรพรรดินโปเลียนที่ 1"
ล แทนที่ "ดันต์ซิก" → "ดันท์ซิช" ด้วยสจห. |
พสิษฐ์ พรมดี (คุย | ส่วนร่วม) |
||
บรรทัด 193: | บรรทัด 193: | ||
|ธงพระยศ = Imperial Standard of Napoléon I.svg |
|ธงพระยศ = Imperial Standard of Napoléon I.svg |
||
|ธงประจำพระองค์ = |
|ธงประจำพระองค์ = |
||
|การทูล = |
|การทูล = ยัว อิมพีเรียล มาเจสตี |
||
|การแทนตน = |
|การแทนตน = |
||
|การขานรับ = |
|การขานรับ = |
||
บรรทัด 201: | บรรทัด 201: | ||
{{กล่องข้อมูล พระยศ |
{{กล่องข้อมูล พระยศ |
||
|พระนาม = พระเจ้านโปเลียนแห่งอิตาลี |
|พระนาม = พระเจ้านโปเลียนแห่งอิตาลี |
||
|ตราแผ่นดิน = Coat of |
|ตราแผ่นดิน = Coat of Arms of the Kingdom of Italy (1805-1814).svg |
||
|ธงประจำพระองค์ = |
|ธงประจำพระองค์ = |
||
|การทูล = |
|การทูล = ยัว มาเอสตา |
||
|การแทนตน = |
|การแทนตน = |
||
|การขานรับ = |
|การขานรับ = |
รุ่นแก้ไขเมื่อ 18:02, 20 พฤศจิกายน 2561
นโปเลียน โบนาปาร์ต (ฝรั่งเศส: Napoléon Bonaparte) เป็นนายพลในช่วงการปฏิวัติฝรั่งเศส ดำรงตำแหน่งกงสุลเอกของฝรั่งเศส ตั้งแต่ปลายปี ค.ศ. 1799 และได้กลายเป็นจักรพรรดิแห่งฝรั่งเศสระหว่างปี ค.ศ. 1804 ถึง 1814 ภายใต้พระนามว่า จักรพรรดินโปเลียนที่ 1 ทรงมีชัยและปกครองดินแดนส่วนใหญ่ของทวีปยุโรป และได้แต่งตั้งให้แม่ทัพและพี่น้องของเขาขึ้นครองบัลลังก์ในรัฐและอาณาจักรในยุโรปหลายแห่งด้วยกัน เช่น ราชอาณาจักรสเปน, ราชอาณาจักรเนเปิลส์, ราชอาณาจักรอิตาลี, ราชอาณาจักรฮอลแลนด์ (เนเธอร์แลนด์), ราชอาณาจักรสวีเดน
วัยเยาว์และการรับราชการทหาร
นโปเลียนเกิดที่เมืองอาฌักซีโยหรืออายัชโช ในภาษาอิตาลี บนเกาะคอร์ซิกา เมื่อวันที่ 15 สิงหาคม ค.ศ. 1769 ซึ่งเป็นเวลาเพียง 1 ปี ภายหลังจากที่ฝรั่งเศสได้ซื้อเกาะนี้ไปจาก สาธารณรัฐเจนัว ค.ศ. 1768 [2] ครอบครัวของเขาเป็นหนึ่งในตระกูลผู้ดีจำนวนน้อยนิดบนเกาะคอร์ซิก้า บิดาของเขาชื่อชาร์ลส์ มาเรีย โบนาปาร์ตหรือ คาร์โล มาเรีย บัวนาปาร์เต (สำเนียงอิตาลี) ได้จัดการให้เขาได้เข้ารับการศึกษาที่ประเทศฝรั่งเศส ที่เขาได้เข้าไปตั้งรกรากตั้งแต่อายุ 9 ขวบ[3][4]
ในตอนแรกเขาถูกมองว่าเป็นชาวต่างชาติคนหนึ่ง[5][6]ภายหลังการศึกษาในโรงเรียนนายร้อยทหาร ที่เมืองโอเติง บรีแอนน์ และ โรงเรียนทหารแห่งกรุงปารีส เขาก็ได้เข้าร่วมกองพลปืนใหญ่ ภายใต้กองกำลังของลาแฟร์ ที่เมืองโอซ็อนน์ เขาได้รับการแต่งตั้งเป็นร้อยตรีที่เมืองวาล็องซ์ ในปีค.ศ. 1787 ด้วยอารมณ์ที่ซ่อนเร้น ออกแนว โรแมนติก ในงานที่เขาเขียน ความอยากรู้อยากเห็นไม่มีที่สิ้นสุด บวกกับความทรงจำที่เป็นเลิศ ในปี ค.ศ. 1789 นโปเลียนหนุ่มมีความถนัดทางใช้สติปัญญามากกว่าทางใช้กำลัง[7]
เมื่อการปฏิวัติฝรั่งเศสประทุขึ้นในปี ค.ศ. 1789 ร้อยโทโบนาปาร์ตได้อยู่ในเหตุการณ์ที่กรุงปารีส โดยเป็นฝ่ายสังเกตการณ์ เขาได้เฝ้าดูประชาชนบุกพระราชวังตุยเลอรีด้วยความขยะแขยง นโปเลียนเดินทางกลับมายังเกาะคอร์ซิกา[8] ที่ซึ่งการสู้รบระหว่างฝ่ายต่างๆ เริ่มขึ้นอีกครั้ง (โดยมีทางฝ่ายของปาสกาล เปาลี สนับสนุนระบอบกษัตริย์ และทางตระกูลโบนาปาร์ตสนับสนุนการปฏิวัติ) นโปเลียนได้รับเลือกให้เป็นหัวหน้าของกองกำลังป้องกันตนเองแห่งชาติ ในปี ค.ศ. 1792 โดยการแย่งเอากองกำลังจากคณะกรรมาธิการของรัฐมาส่วนหนึ่ง แต่การประหารกษัตริย์ได้ทำให้เกิดการต่อต้านของฝ่ายอิสระ สงครามกลางเมืองได้ประทุขึ้น และตระกูลของนโปเลียนต้องหลบหนีออกจากเกาะคอร์ซิกา มายังประเทศฝรั่งเศส
โบนาปาร์ตสนับสนุนการปฏิวัติ และได้ถูกส่งตัวไปรับตำแหน่งนายร้อยในกองพลปืนใหญ่ ที่ศูนย์บัญชาการเมืองตูลอง (Toulon) ในปี ค.ศ. 1793 ซึ่งต่อมาได้ถูกมอบให้อังกฤษปกครอง แผนการที่นโปเลียนมอบให้ฌาคส์ ฟร็องซัวส์ ดูก็องมิเย ทำให้สามารถยึดเมืองตูลองคืนมาจากกองทัพกลุ่มสนับสนุนระบอบกษัตริย์และพวกอังกฤษได้ มิตรภาพระหว่างเขาพวกฌากอแบ็งทำให้เขาถูกจับในช่วงสั้นๆภายหลังการสิ้นอำนาจของรอแบ็สปีแยร์ ในวันที่ 27 กรกฎาคม ค.ศ. 1794
หลังจากได้รับอิสรภาพ เขาก็ต้องเผชิญกับช่วงเวลาที่ปราศจากผู้บังคับบัญชาอย่างเป็นทางการ และต่อมาปอล บาร์ราส์ ได้อนุญาตให้เขาบดขยี้กลุ่มผู้สนับสนุนราชวงศ์ที่ลุกฮือที่เมืองว็องเดแมร์ เพื่อต่อต้านสมัชชาแห่งชาติ ในปี ค.ศ. 1795 ในโอกาสนี้เอง โบนาปาร์ตได้มีนายทหารหนุ่มชื่อฌออากีม มูว์รา เป็นผู้ใต้บังคับบัญชา ปฏิบัติการประสบผลสำเร็จด้วยการยิงปืนใหญ่เข้าสลายกลุ่มสนับสนุนราชวงศ์ที่เมืองซังต์โรช์
โบนาปาร์ตมีจิตใจผ่องใส สามารถซึมซับความรู้ทางการทหาร รวมถึงยุทธวิธีในสมัยของเขา มาประยุกต์ให้เข้ากับสถานการณ์จริง เมื่อดำรงตำแหน่งเป็นเจ้าหน้าที่ในกองพลปืนใหญ่ เขาได้คิดค้นการใช้ปืนใหญ่แห่งกริโบวาลเป็นกองทัพเคลื่อนที่ ใช้หนุนกองทหารเดินเท้าอีกทีหนึ่ง
ปฏิบัติการในอิตาลี
เพื่อเป็นรางวัล ที่สามารถการนำกองพลปืนใหญ่ปราบกบฏฝ่ายฝักใฝ่กษัตริย์ได้ นโปเลียนได้รับการแต่งตั้ง ให้ดำรงตำแหน่งแม่ทัพแห่งกองกำลังอิตาลี เพื่อยึดอิตาลีกลับคืนมาจากจักรวรรดิโรมันอันศักดิ์สิทธิ์ (ออสเตรีย-เยอรมัน) กองกำลังของเขาขาดแคลน ทั้งยุทโธปกรณ์และเสบียงคลัง ซึ่งแม้เขาจะอดมื้อกินมื้อ และแต่งตัวซอมซ่อ แต่ก็ได้ฝึกฝนนายทหารในบังคับบัญชาด้วยความขะมักเขม้น และสามารถนำทัพเข้าปะทะกับกองกำลังของจักรวรรดิโรมันอันศักดิ์สิทธิ์ที่มีจำนวนมากกว่า และมียุทโธปกรณ์พร้อมกว่าได้ ในการรบหลายต่อหลายครั้ง ในสมรภูมิที่เมือง มองเตอโนต โลดี หรือ อาร์โกล มีนโปเลียนเป็นผู้นำทัพด้วยตนเอง การรบท่ามกลางห่ากระสุนทำให้ มุยร็อง เพื่อนและผู้ช่วยของเขาเสียชีวิต นโปเลียนเป็นนายทหารฝีมือฉกาจ ผู้ซึ่ง อยู่ทุกหนทุกแห่งและมองเห็นทุกอย่าง ว่องไวดุจสายฟ้าแลบและโจมตีดุจสายฟ้าฟาด เขาเป็นที่เคารพนับถือของผู้ใต้บังคับบัญชา ด้วยความสามารถในการบัญชาการ ความกล้าหาญและความเลือดเย็น ในบรรดานายทหารหลายนายที่แวดล้อมเขา นโปเลียนได้มองเห็นความสามารถของนายทหารนิรนามคนหนึ่ง ชื่อลาน
ตลอดการสู้รบในช่วงเวลานั้น ภาพวาดกองบัญชาการของนโปเลียนในสมัยนั้น ได้แสดงให้เห็นว่า นโปเลียนได้ใช้ระบบสื่อสารทางไกล ระบบแรกของโลกที่เรียกว่าโทรเลขที่คิดค้นโดยโกลด ชาปป์ (เช่นเดียวกับกองบัญชาการรบอื่น ๆ ในสมัยนั้น) นโปเลียนได้ทำให้จักรวรรดิโรมันอันศักดิ์สิทธิ์ ซึ่งบัญชาการโดยดยุกคาร์ล ดยุกแห่งเทเชิน จำเป็นต้องลงนามในสนธิสัญญาที่เสียเปรียบ ที่มีชื่อว่าสนธิสัญญากัมโป-ฟอร์มิโอ ว่าด้วยเรื่องการให้ฝรั่งเศสเข้าครองเบลเยียม และยืดพรมแดนไปติดแม่น้ำไรน์ ส่วนจักรวรรดิโรมันอันศักดิ์สิทธิ์ได้ถือครองแคว้นเวเนโต
เหตุการณ์ที่ราชอาณาจักรอิตาลีนี้เอง ที่ทำให้นโปเลียนได้ตระหนักถึงพลังอำนาจของตน รวมทั้งสถานการณ์ที่เขาเป็นต่อ เขาเป็นจ้าวแห่งสนามรบเช่นเดียวกับในทุก ๆ ที่ นครมิลานเกิดสภาพคล้าย ๆ กับพระราชวังเล็ก ๆ รายล้อมนายพลนโปเลียน ถึงแม้ว่าเขาจะเป็นผู้กุมชะตาชีวิตของบรรดาเศรษฐีชาวอิตาลีเอาไว้ และได้เปรียบคู่ต่อสู้อยู่มาก แต่เขาก็ยังห่างไกล กับคณะกรรมาธิการรัฐ ที่มีอำนาจบริหารจัดการประเทศ ในปี ค.ศ. 1797 ด้วยแผนการของนายพลโอเฌโร นโปเลียนได้จัดการทางการเมืองบางอย่างที่ทำให้เหล่าเชื้อพระวงศ์ที่ยังคงมีอำนาจในกรุงปารีสแตกฉานซ่านเซ็น และสามารถรักษาสาธารณรัฐของพวกฌากอแบ็งเอาไว้ได้
ปฏิบัติการในอียิปต์
ในปี ค.ศ. 1798 สมัชชาการปฏิวัติแห่งชาติฝรั่งเศส ได้กังวลต่อกระแสความนิยมที่ประชาชนมีต่อนโปเลียนที่เพิ่มสูงขึ้น จึงได้บัญชาการให้เขานำทัพบุกอียิปต์ โดยอ้างว่าฝรั่งเศสต้องการเข้าครองครองดินแดนตะวันออกใกล้ และตะวันออกกลางเพื่อตัดเส้นทางลำเลียงของอังกฤษไปยังอินเดีย เนื่องด้วยนโปเลียนชื่นชมยุคแสงสว่างอยู่แล้ว เขาจึงได้ตัดสินใจนำคณะนักวิทยาศาสตร์หลากหลายสาขาร่วมทัพไปกับเขาด้วย และจัดตั้งสถาบันอียิปต์ศึกษาขึ้น หนึ่งในเจ้าหน้าที่หนุ่มผู้ชาญฉลาดที่ร่วมเดินทางไปกับเขา ชื่อปิแอร์-ฟร็องซัวส์-ซาวิเย บูชาร์ด ได้ค้นพบศิลาจารึกแห่งโรเซตตา ที่ทำให้นักอียิปตวิทยา ฌอง-ฟรองซัวส์ ฌองโปลิยง สามารถถอดรหัสไฮโรกลิฟ ได้ในเวลาต่อมา
หลังจากที่มีชัยในการรบที่ มองต์ ตาบอร์ (ฝรั่งเศสต้องการยึดเมืองในอียิปต์คืนจึงรบกับตุรกีที่มีอังกฤษหนุนหลัง) เมื่อวันที่ 16 เมษายน ค.ศ. 1799 การเดินทัพต่อไปยังซีเรียของนโปเลียนต้องชะงักเนื่องจากการระบาดของกาฬโรค อันเป็นเหตุให้มีประชาชนล้มตายเป็นจำนวนมาก นโปเลียนได้เข้าจัดการช่วยเหลือผู้ติดเชื้อกาฬโรคที่เมืองจาฟฟาเท่าที่สามารถทำได้
เมื่อวันที่ 21 กรกฎาคม ค.ศ. 1798 นโปเลียนมีชัยต่อกองกำลังมาเมลุก (ทาสรับใช้กาหลิบของจักรวรรดิออตโตมัน) ในการรบที่พีระมิด ในสงครามเอ็มบาเบห์ ทำให้ชื่อของเขาขจรขจายไปไกล แต่การพ่ายแพ้ของเขากลับไม่เป็นที่กล่าวถึง เมื่อวันที่ 1-2 สิงหาคม ค.ศ. 1798 ทัพเรือของฝรั่งเศสที่นำโดยนโปเลียนถูกกองเรือของโฮราชิโอ เนลสัน (ของอังกฤษ) ทำลายเกือบย่อยยับในการรบที่อ่าวอาบูกีร์
สถานการณ์ระหว่างนโปเลียนกับสมัชชาแห่งชาติดีขึ้น ทำให้เขาสละตำแหน่งผู้บัญชาการกองทัพอียิปต์ให้กับฌอง-บัพติส เกลฺแบร์ และเดินทางกลับฝรั่งเศส ตลอดเส้นทางกลับกรุงปารีส นโปเลียนได้รับเสียงโห่ร้องชื่นชมจากประชาชนในฐานะวีรบุรุษ ส่วนฌอง-บัพติส เกลฺแบร์ ต้องพ่ายการรบเมื่อวันที่ 31 สิงหาคม ค.ศ. 1801 หลังจากเสียนายทหารไปกว่า 13,500 นาย ซึ่งส่วนใหญ่เป็นเหยื่อของโรคระบาด
ก่อรัฐประหาร
เมื่อนายพลนโปเลียนเดินทางกลับมาถึงกรุงปารีส เขาได้เข้าพบปะสนทนากับชาร์ล มอริส เดอ ตาแลร็อง-เปรีกอร์ รัฐมนตรีการต่างประเทศ นักการเมืองผู้มีประสบการณ์ และผู้รู้เกมการเมืองเป็นอย่างดี เขาได้ช่วยเตรียมการก่อรัฐประหาร โค่นล้มคณะดีแร็กตัวร์ ซึ่งเป็นฝ่ายบริหารที่กำลังอ่อนแอและประชาชนเกลียดชัง โดยการโน้มน้าวผู้แทนราษฎรเลือกรัฐบาลใหม่ บีบให้หัวหน้าคณะรัฐบาลเดิมลาออก แล้วเลือกหัวหน้ารัฐบาลใหม่เข้ามาแทน ประกอบด้วยบุคคลสามคนที่ปราศจากมลทิน อันได้แก่ แอมานุแอล โฌแซ็ฟ ซีเยแย็ส, รอเฌ ดูว์โก (สมาชิกคณะดีแร็กตัวร์สองในจำนวนทั้งหมดห้าคน) และนโปเลียน ผู้ซึ่งได้รับความไว้วางใจ ให้มาเป็นส่วนหนึ่งของแผนการ นับตั้งแต่เขายอมไปออกรบที่อียิปต์ และกลับมาในฐานะวีรบุรุษ วัตถุประสงค์ของการก่อรัฐประหารครั้งนี้ก็เพื่อสร้างความมั่นใจให้ฝ่ายปฏิรูปหัวก้าวหน้า (ที่ต้องการรัฐบาลที่มาจากการเลือกตั้ง ซึ่งตรงข้ามกับพวกจาโคบังที่ยึดติดกับระบอบกษัตริย์) ว่าจะยังรักษาความมั่งคั่งไว้ได้ต่อไป และนโปเลียนที่เชื่อในระบอบสาธารณรัฐยอมก็เสี่ยงกับแผนการดังกล่าว เพราะมีกระแสจะนำพระเจ้าหลุยส์ที่ 18 มาขึ้นครองราชย์และฟื้นฟูระบอบกษัตริย์ ซึ่งหมายความว่าการปฏิวัติฝรั่งเศสที่ผ่านมานั้นไร้ผล
หลังจากที่ฝ่ายปฏิรูปหัวก้าวหน้าสามารถโน้มน้าวให้สภาสูงเห็นชอบกับการล้มล้างคณะดีแร็กตัวร์ได้แล้ว แผนการของการก่อรัฐประหารเมื่อวันที่ 18 เดือนบรูว์แมร์ ค.ศ. 1799 (ตามระบบปฏิทินของสาธารณรัฐฝรั่งเศส) ประกอบด้วยขั้นตอนดังต่อไปนี้ นโปเลียนจะดำรงตำแหน่งผู้บัญชาการทหารสูงสุด เพื่อรักษาความสงบในกรุงปารีสและในรัฐสภา จากนั้นจึงจัดการโยกย้ายที่ทำการรัฐสภาไปยังพระราชวังแซ็ง-กลู บริเวณชานเมืองปารีส เพื่อไม่ให้เกิดการจลาจลในกรุงปารีสขณะก่อรัฐประหาร และสามารถควบคุมสถานการณ์ได้ โดยอ้างเหตุผลว่าลัทธิฌากอแบ็งกำลังเสี่ยงต่อภัยคุกคามถึงขั้นถูกล้มล้างได้ ซึ่งในความเป็นจริงก็เป็นเช่นนั้น นับตั้งแต่ค.ศ. 1789 เป็นต้นมา รัฐสภาก็ถูกประชาชนชาวปารีสคุกคามมาโดยตลอด
เหตุการณ์สำคัญเกิดขึ้นในวันที่ 19 เดือนบรูว์แมร์ ที่พระราชวังแซ็ง-กลู ฝ่ายปฏิรูปหัวก้าวหน้าได้เตรียมการเกลี้ยกล่อมให้คณะดีแร็กตัวร์ห้าคน ยกขบวนลาออกจากรัฐสภาแห่งชาติ รวมทั้งให้สภาห้าร้อยเลือกรัฐบาลใหม่ แต่แผนการดำเนินไปอย่างล่าช้าเนื่องจากแนวคิดนี้ไม่ได้รับฉันทามติจากทุกฝ่าย โดยเฉพาะพวกฌากอแบ็งสองคนไม่ยอมลาออก นโปเลียนเฝ้ารอและตัดสินใจเข้าแทรกแซงในที่สุด
เขาได้นำกำลังทหารกลุ่มเล็กๆเข้าไปในห้องประชุมสภาห้าร้อยที่กำลังถกเถียงกันอย่างเผ็ดร้อน และได้พยายามพูดโน้มน้าวให้สภาดังกล่าวยอมรับการโค่นล้มคณะดีแร็กตัวร์แต่ไม่มีผู้แทนคนใดยอมรับฟัง จากการกระทำอุกอาจของนโปเลียนดังกล่าวทำให้มีผู้เสนอญัตติให้ประกาศนโปเลียนเป็นบุคคลนอกกฎหมาย ซึ่งจะทำให้นโปเลียนหลุดจากตำแหน่งทั้งหมด แต่สถานการณ์กลับตาลปัตรเมื่อมีผู้พยายามลอบแทงนโปเลียนในห้องประชุมสภา ฝ่ายได้เปรียบกลายเป็นฝ่ายนโปเลียนและลูว์เซียง โบนาปาร์ต น้องชายของนโปเลียนผู้ซึ่งเป็นผู้กุมบังเหียนของสภาห้าร้อยเอาไว้ ลูว์เซียงต้องการช่วยนโปเลียนจากสถานการณ์คับขัน จึงจัดการให้มีผู้ลอบแทงนโปเลียนเพื่อหาความชอบธรรมให้กองทัพเข้าแทรกแซง ภาพของผู้แทนที่โผล่มาจากทางหน้าต่างเพื่อลอบแทงนโปเลียนแพร่กระจายไปทั่ว นโปเลียนเป็นผู้ได้เปรียบในสถานการณ์นี้อย่างมาก เขาอ้างว่าถูกสมาชิกรัฐสภาใส่ร้ายว่าจะก่อรัฐประหารและเกือบจะถูกลอบสังหาร ทำให้นายพลฌออากีม มูว์รามีข้ออ้างนำกองทัพเข้าล้อมรัฐสภาที่พระราชวังแซ็ง-กลู และก่อรัฐประหารได้สำเร็จในที่สุด
แม้จะก่อรัฐประหารสำเร็จ แต่นโปเลียนก็ยังยึดติดกับรูปแบบการปกครองโดยกระบวนการทางกฎหมายอยู่ ในคืนวันที่ 19 เดือนบรูว์แมร์ หลังก่อรัฐประหารสำเร็จ คณะผู้แทนยังคงอยู่ที่พระราชวังแซ็ง-กลู เพื่อลงมติเสนอรายชื่อคณะกรรมาธิการสองชุดในการเตรียมร่างรัฐธรรมนูญใหม่ แสดงให้เห็นได้ว่า นโปเลียนต้องการผลักดันให้มีระบอบการปกครอง ที่กิจการต่าง ๆ ของรัฐผ่านการลงมติจากคณะผู้แทนราษฎร
วันที่ 20 เดือนบรูว์แมร์ |กงสุลสามคนได้รับการแต่งตั้งให้บริหารประเทศ ได้แก่ นโปเลียน, แอมานุแอล โฌแซ็ฟ ซีเยแย็ส และรอเฌ ดูว์โก นับเป็นจุดเริ่มต้นระบบการปกครองโดยคณะกงสุล นโปเลียนได้ประกาศว่า "สาธารณชนเอ๋ย...การปฏิวัติตามวิถีหลักการที่ได้เริ่มขึ้นมานั้น ได้สิ้นสุดลงแล้ว!"' [9] ระบอบกงสุลได้ถูกจัดตั้งขึ้น เป็นระบอบการปกครองที่อำนาจเบ็ดเสร็จอยู่ในมือกงสุลสามคน ซึ่งอันที่จริงแล้ว มีเพียงกงสุลเอกเท่านั้นที่กุมอำนาจไว้อย่างแท้จริง ฝรั่งเศสเตรียมเข้าสู่ยุคใหม่ที่ประชาชนในชาติจะต้องฝากชะตาไว้ในมือของจักรพรรดิ
จากกงสุลเอกกลายเป็นจักรพรรดิ
นโปเลียนได้เริ่มการปฏิรูปนับตั้งแต่ระยะเริ่มแรกของการปกครองในระบอบกงสุล ไม่ว่าจะเป็นเรื่องของการศึกษา กระบวนการยุติธรรม การคลัง และระบบราชการ ประมวลกฎหมายแพ่งที่ฌ็อง-ฌัก-เรฌิส เดอ ก็องบาเซแร็สเป็นผู้เรียบเรียงขึ้นนั้น เป็นที่รู้จักในนามของกฎหมายนโปเลียน แห่งปี ค.ศ. 1804 และยังมีผลบังคับใช้ในประเทศต่าง ๆ ทั่วโลกในปัจจุบัน อย่างไรก็ดี กฎหมายแพ่งดังกล่าวนั้นมีรากฐานมาจาก กฎหมายในหมวดต่าง ๆ รวมถึงขนบธรรมเนียมหลากหลายจากระบอบปกครองในสมัยโบราณ ซึ่งนโปเลียนได้รวบรวมขึ้นใหม่
ผลงานทางราชการของนโปเลียนมีต่อเนื่องมาจนกระทั่งถึงปี ค.ศ. 1814 เขาได้จัดตั้งโรงเรียนมัธยม ธนาคารแห่งชาติฝรั่งเศส ระบบเงินฟรังก์แฌร์มินาล ที่ว่าการอำเภอ สภาที่ปรึกษาของรัฐ ริเริ่มการรังวัดพื้นที่ทั่วอาณาจักรฝรั่งเศส และจัดตั้งสมาคมเครื่องราชอิสริยาภรณ์แห่งชาติ (L'ordre national de la Légion d'honneur)
ในปีค.ศ. 1800 นโปเลียนได้นำทัพบุกออสเตรียและยึดครองได้สำเร็จ ทำให้ออสเตรียที่พ่ายต่อทัพของนโปเลียนที่สมรภูมิเมืองมาเร็งโก และต่อทัพของฌ็อง วิคตอร์ มารี โมโรที่เมืองโฮเฮนลินเดอร์ ต้องยอมลงนามในสนธิสัญญาลูเนวิลล์ ในวันที่ 9 กุมภาพันธ์ ค.ศ. 1801 ซึ่งทำให้อังกฤษยอมลงนามในสนธิสัญญาสงบศึกอาเมียงในเดือนมีนาคม ค.ศ. 1801 ในกาลต่อมา ถ้าหากแม้อำนาจของนโปเลียนถูกสั่นคลอนภายหลังก่อรัฐประหาร ชัยชนะในสมรภูมิที่เมืองมาเร็งโกก็ทำให้สถานการณ์ของนโปเลียนแข็งแกร่งขึ้นเป็นอันมาก
เขาได้ส่งทหาร 70,000 นายไปยังเมืองแซงต์-โดมังก์ (ชื่อของเฮติที่อยู่ภายใต้การปกครองของฝรั่งเศสในสมัยนั้น) ภายใต้การบังคับบัญชาของนาลพล ชาลล์ เลอแคลฺ เพื่อฟื้นฟูอำนาจของฝรั่งเศส หลังจากประสบความสำเร็จมาพอสมควร โดยเฉพาะจากการจับตูแซงต์ ลูแวร์ตูร์ (ผู้ซึ่งเสียชีวิตที่ฟอร์ เดอ จัวย์ ที่อำเภอดูบส์ วันที่ 7 เมษายน ค.ศ. 1803) กองทัพของเขาก็ถูกทำลายโดยการระบาดของไข้เหลือง เมื่อเห็นดังนี้ นโปเลียนจึงยอมขายรัฐลุยเซียนา ให้กับสหรัฐอเมริกา ดินแดนขนาดใหญ่ทางตอนเหนือของทวีปอเมริกาเหนือ
เมื่อวันที่ 24 ธันวาคม ค.ศ. 1800 (วันคริสต์มาสอีฟ) ได้มีการลอบวางระเบิดนโปเลียนที่ถนนซังต์-นิเคส ในกรุงปารีส ขณะที่ขบวนรถม้าของเขากำลังมุ่งหน้าไปโรงโอเปร่า รถม้าของกงสุลเอกได้ควบผ่านพ้นจุดเกิดเหตุไปอย่างรวดเร็ว ระเบิดเกิดปะทุขึ้นช้ากว่าที่คาดทำให้กระจกรถม้าแตกกระจายเท่านั้น แต่สถานที่เกิดเหตุที่กลายเป็นซากปรักหักพังเต็มไปด้วยความโกลาหล มีผู้เสียชีวิตกว่าสิบคน โฌแซ็ฟ ฟูเช ซึ่งดำรงตำแหน่งรัฐมนตรีมหาดไทยในสมัยนั้น ได้พิสูจน์ว่าอาชญากรรมดังกล่าวเป็นฝีมือกลุ่มฝักใฝ่กษัตริย์ ในขณะที่นโปเลียนเชื่อว่าเป็นฝีมือของพวกฌากอแบ็ง การประหารดยุกแห่งอิงไฮน์เป็นหนึ่งในผลพวงตามมา
ในปี ค.ศ. 1802 นโปเลียนได้รื้อฟื้นระบบทาสในอาณานิคมขึ้นอีกตามคำขอของภริยา อันได้แก่นางโฌเซฟีน เดอ โบอาร์แน (ชาวเบเก จากหมู่เกาะ มาร์ตีนีก) การฟื้นฟูดังกล่าวทำให้ระบบเศรษฐกิจที่ล้มเหลวของอาณานิคมโพ้นทะเลทางตะวันออกของมหาสมุทรอินเดียกระเตื้องขึ้น ต้องรอถึงปี ค.ศ. 1848 กว่าความพยายามในการเลิกทาสอย่างเด็ดขาดจะประสบความสำเร็จ
หลังจากที่นโปเลียนได้ขยายอิทธิพลไปถึงสวิส ที่ได้จัดตั้งสถาบันกระจายอำนาจในปัจจุบัน และไปยังเยอรมนี กรณีพิพาทของมอลตาก็เป็นข้ออ้างให้อังกฤษประกาศสงครามกับฝรั่งเศสอีกครั้งในปี ค.ศ. 1803 รวมทั้งหนุนหลังฝ่ายฝักใฝ่ระบอบกษัตริย์ที่ต่อต้านนโปเลียน นโปเลียนได้ตอบโต้ด้วยแนวคิดในการบุกอังกฤษ และเพื่อข่มขวัญฝ่ายฝักใฝ่กษัตริย์ที่อาจจะกำลังลอบวางแผนโค่นล้มเขาอยู่ กงสุลเอกได้สั่งประหารดยุกแห่งอิงไฮน์ เจ้าชายแห่งราชวงศ์บูร์บง
การประหารเกิดขึ้นที่เมืองแวงแซนน์ชานกรุงปารีส ภายหลังการไต่สวนที่ถูกจัดฉากให้ดูเป็นไปตามกระบวนการ (ซึ่งก็พบว่าเจ้าชายไม่มีความผิด) มีเพียงอังกฤษเท่านั้นที่ทักท้วง ส่วนรัสเซียและออสเตรียนั้น สงวนท่าทีไม่ยอมทัดทาน ทำให้เกิดเสียงเล่าลือเกี่ยวกับนโปเลียนว่าเป็น รอแบ็สปีแยร์บนหลังม้า (ที่เกาะเซนต์เฮเลนา นโปเลียนยอมรับความผิดนี้ แม้ว่าตาแลร็องจะมีส่วนพัวพันด้วยก็ตาม) หลังจากได้ก่อความผิดนี้ต่อสาธารณรัฐ และเพื่อไม่ให้กงสุลเอกขึ้นชื่อว่าก่อคดีสังหารบุคคลในราชวงศ์ซ้ำซ้อน นโปเลียนจึงได้สถาปนาตนเองขึ้นเป็นจักรพรรดิเมื่อวันที่ 2 ธันวาคม ค.ศ. 1804
ถ้าจะว่ากันไปแล้ว จักรวรรดิฝรั่งเศสเกิดขึ้นจากคำขอของวุฒิสภา นักประวัติศาสตร์สตีเฟน อิงลุนด์เชื่อในแนวความคิดที่ว่า การสถาปนาตนขึ้นเป็นจักรพรรดิของนโปเลียนนั้นเป็นไปเพื่อปกป้องสาธารณรัฐ หากนโปเลียนถูกโค่น กลุ่มคนต่างๆ จะล่มสลายไปกับเขาด้วย จักรพรรดิได้กลายมาเป็นสถาบัน ตอกย้ำความยั่งยืนของความเชื่อในการปกครองระบอบสาธารณรัฐ หากนโปเลียนตาย นั่นคือการสูญเสียผู้สืบทอดตำแหน่งที่มีหน้าที่ปกป้องประเทศจากความโกลาหล และนั่นหมายถึงความสูญเสียของสิ่งที่ได้มาจากการปฏิวัติฝรั่งเศส (ความเสมอภาค อิสรภาพ และ ความยุติธรรม) การที่เงินเหรียญของทางการฝรั่งเศสจารึกคำว่า จักรพรรดินโปเลียน - สาธารณรัฐฝรั่งเศส นั้น มิใช่คำพูดเสียดสีแต่อย่างใด
การปกครองของสาธารณรัฐฝรั่งเศส ได้กลายมาเป็นระบอบจักรวรรดินิยม ในภายหลังเท่านั้น เพื่อปกป้องสิ่งที่ได้มาจากการปฏิวัติฝรั่งเศส
ราชาภิเษก
พิธีขึ้นครองราชย์ของนโปเลียนมีขึ้น ภายใต้พระเนตรของสมเด็จพระสันตะปาปา ที่ไม่ได้รับเกียรติให้สวมมงกุฎให้นโปเลียน แต่ถูกลดบทบาทให้แค่มาร่วมอำนวยพรแก่จักรพรรดิฝรั่งเศสเท่านั้น แต่ก็นับเป็นโอกาสดีในการกระชับความสัมพันธ์ระหว่างฝรั่งเศสกับวาติกัน การลงนามของกงสุลเอกในปี ค.ศ. 1801 นั้น มีเนื้อหายอมรับว่าคริสต์ศาสนานิกายโรมันคาทอลิก เป็นศาสนาของชาวฝรั่งเศสส่วนใหญ่ แต่ไม่ใช่ศาสนาประจำชาติ นับแต่นั้นเป็นต้นมา นักบวชจะต้องอยู่ในความควบคุมของรัฐ ในการฟื้นฟูนิกายโรมันคาทอลิก ทำให้เกิดความกังขาว่า เป็นไปได้หรือที่จะเกิดการฟื้นฟูนิกายโรมันคาทอลิก ภายในระยะเวลาไม่ถึงสิบปีหลังจากที่หลวงยึดทรัพย์สินของโบสถ์ นโปเลียนสงวนท่าทีต่อหน้าสมเด็จพระสันตะปาปา เขาออกไปต้อนรับพระสันตะปาปาที่ป่าฟงแตนโบล โดยขี่ม้าไปและสวมชุดล่าสัตว์ ทำให้ฉากการพบปะดังกล่าวมีลักษณะเหมือนการพบกันโดยบังเอิญ และเช่นเดียวกัน ในปี ค.ศ. 1804 จักรพรรดิมิได้เป็นผู้เดินทางไปประกอบพิธีขึ้นครองราชย์ที่กรุงโรมตามที่จักรพรรดิเยอรมันเคยกระทำ แต่เป็นพระสันตะปาปาที่ถูกเชิญมายังกรุงปารีสราวกับว่าเป็นนักบวชที่เดินทางมาแสวงบุญ
เราจะเห็นได้ว่า การที่นโปเลียนเข้าหาศาสนจักรนั้น เป็นไปเพื่อผลประโยชน์เฉพาะอย่าง (สร้างสัมพันธ์ระหว่างคาทอลิกกับฝรั่งเศส และทำให้จักรพรรดิมีฐานะเทียบเท่ากับกษัตริย์อย่างถูกต้อง) และเมื่อพระสันตะปาปามีท่าทีกระด้างกระเดื่องต่อคำสั่งของนโปเลียน เขาก็ไม่รอช้าที่จะขังพระสันตะปาปาไว้ในพระราชวังฟงแตนโบล
จักรวรรดิเรืองอำนาจ
ในปี ค.ศ. 1804 ยังไม่ถึงเวลาแห่งการออกรบครั้งใหญ่เพื่อยึดครองดินแดน และจักรพรรดินโปเลียนที่ 1 ซึ่งยึดติดกับแนวความคิดว่า สันติภาพอย่างถาวรจะมีได้ ต่อเมื่อปราบสหราชอาณาจักรลงได้เท่านั้น ได้ร่วมกับพลเรือเอกลาตุชเชอ-เตรวิลล์ (ผู้ซึ่งเสียชีวิตก่อนจะกระทำการสำเร็จ) วางแผนรุกรานเกาะอังกฤษ ซึ่งเป็นแผนที่ล้มเหลวอย่างสิ้นเชิง จากการรบที่ยุทธนาวีทราฟัลการ์ กองเรือผสมฝรั่งเศส-สเปนที่บัญชาการโดยพลเรือโท วีลเนิฟว์ ถูกพลเรือโท ลอร์ด เนลสัน แห่งราชนาวีอังกฤษตีจนแตกพ่าย ทำให้สหราชอาณาจักร กลายเป็นมหาอำนาจทางทะเล นับแต่นั้นจวบจนในอีกหนึ่งศตวรรษต่อมา
ในปีเดียวกันนั้นเอง (ค.ศ. 1805) ได้มีการประสานมิตรครั้งที่สามในยุโรปขึ้นเพื่อต่อต้านจักรพรรดินโปเลียนที่ 1 ทำให้จักรพรรดิผู้ซึ่งกำลังบัญชาการ จากเมืองบูลอญในฝรั่งเศส เพื่อเตรียมการบุกบริเตนใหญ่ ต้องเผชิญกับสงคราม ซึ่งเกิดขึ้นในอีกฟากหนึ่งของทวีปยุโรปอย่างกะทันหัน จักรพรรดินโปเลียนที่ 1 ได้รับสั่งให้ตั้งรับโดยทันที โดยบังคับให้นำทัพใหญ่ออกเดินเท้า และสัญญาว่าจะนำชัยชนะ ต่อพวกออสเตรียและรัสเซียมาให้จากยุทธการที่เอาสเทอร์ลิทซ์ ที่ได้ชื่อว่าเป็น"สงครามสามจักรพรรดิ"
ในปี ค.ศ. 1806 สงครามประสานมิตรครั้งที่สี่ได้เริ่มต้นขึ้น ปรัสเซียได้ก่อเหตุพิพาทครั้งใหม่ โดยพระเจ้าฟรีดริช วิลเฮล์มที่ 3 แห่งปรัสเซีย ตัดสินพระทัยที่จะทำสงครามกับกองทัพฝรั่งเศสโดยลำพัง ตามตำนานเล่าว่า คาร์ล ฟอน เคลาเซวิทซ์ นักคิดทางการทหารได้เสนอแผนการรบที่ชาญฉลาด ซึ่งเป็นแผนการที่จักรพรรดินโปเลียนที่ 1 ยังชื่นชม ในความรวดเร็วของการนำแนวคิดเรื่อง "จิตวิญญาณแห่งโลก" ของเฮเกิลมาใช้ แต่แผนรบดังกล่าวไม่ได้รับการอนุมัติจากฝ่ายบัญชาการของกองทัพปรัสเซีย อย่างไรก็ดีกองทัพใหญ่ ลากองด์ อาเม ของนโปเลียนมีความได้เปรียบมาก เพราะตั้งอยู่ในพื้นที่ใกล้ชายแดนปรัสเซีย พระเจ้านโปเลียนจึงทรงลงมือโจมตีก่อน และได้รับชัยชนะอย่างใหญ่หลวงในสงครามสองสมรภูมิ คือการรบที่สมรภูมิเจนา-โอเออสเต็ดท์ โดยกองทัพหลวงของจักรพรรดินโปเลียนที่ 1 สามารถกวาดล้างกองทัพปรัสเซีย ที่การรบในสมรภูมิเจนา (Battle of Jena)ได้ในวันที่ 14 ตุลาคม ในขณะที่นายพลหลุยส์-นีกอลา ดาวูตีทัพใหญ่ของดยุกแห่งเบราน์ชไวก์แตกพ่ายไปในสมภูมิที่เมืองโอเออสเต็ดท์ แม้ว่าทัพหลวงของปรัสเซียจะมีจำนวนทหารเหนือกว่ากองทัพฝรั่งเศสที่นำโดยนายพลหลุยส์-นีกอลา มากก็ตาม ดยุกแห่งเบราน์ชไวก์บาดเจ็บสาหัสในที่รบ ทหารของปรัสเซียที่แตกมาจากสมรภูมิที่เจนาทะลักเข้ามาสู่สมรภูมิที่โอเออสเต็ดท์ นำไปสู่ความเสียขวัญและความพ่ายแพ้อย่างเด็ดขาด นายพลดาวูจึงได้รับการแต่งตั้งจากจักรพรรดินโปเลียนที่ 1 ให้เป็น ดยุกแห่งโอเออสเต็ดท์ เพราะความชอบในครั้งนี้
แต่จักรพรรดินโปเลียนที่ 1 ยังไม่หยุดแค่นั้น ในปีถัดมาพระองค์ได้ทรงเดินทัพข้ามโปแลนด์ โดยทรงสถาปนาดัชชีวอร์ซอขึ้นและให้พันธมิตรของฝรั่งเศสปกครอง จากนั้นพระเจ้านโปเลียนได้ยกกองทัพขึ้นเหนือเพื่อเผชิญหน้ากับกองทัพรัสเซีย พระเจ้านโปเลียนรบชนะกองทัพรัสเซียที่สมรภูมิฟรีดแลนด์ในวันที่ 14 มิถุนายน ค.ศ. 1807 ทางฝ่ายรัสเซียต้องขอยอมสงบศึก และนำไปสู่การลงนามในสนธิสัญญาเมืองทิลสิทในเดือนกรกฎาคม ค.ศ. 1807 กับจักรพรรดิอเล็กซานเดอร์ที่ 1 แห่งรัสเซีย อันเป็นสนธิสัญญาว่าด้วยการแบ่งดินแดนยุโรปกันระหว่างฝรั่งเศสและรัสเซีย สองมหาอำนาจในขณะนั้น เพื่อเป็นการข่มขวัญศัตรู (ฝรั่งเศสครองยุโรปตะวันตก และรัสเซียครองยุโรปตะวันออก โดยมีโปแลนด์อยู่ตรงกลาง)
จักรพรรดินโปเลียนที่ 1 ผู้ซึ่งได้รับการศึกษาจากโรงเรียนและครูบาอาจารย์ในระบอบเก่า ต่อมาได้ดำรงตำแหน่งนายทหารในกองทัพหลวง ได้ทำลายกฎเกณฑ์ดั้งเดิมทางการทหารอย่างสิ้นเชิง ด้วยการไม่ริเริ่มสงครามที่กินเวลานานกว่าหนึ่งศตวรรษในการรบด้วยพลทหาร 30 ถึง 50,000 นาย แต่มองหาการรบที่สามารถเผด็จศึกได้อย่างเด็ดขาด ใช้ทหารกว่า 100,000 นายหากจำเป็น นั่นคือจักรพรรดินโปเลียนที่ 1 ไม่ต้องการจะเป็นผู้นำในสมรภูมิเท่านั้น แต่ต้องการจะบดขยี้ศัตรูอีกด้วย
ในปี ค.ศ. 1808 จักรพรรดินโปเลียนที่ 1 ได้ทรงสร้างระบบศักดินาของจักรวรรดิฝรั่งเศสให้แก่กลุ่มชนชั้นสูงที่แวดล้อมพระองค์ ไม่นานต่อมา บรรดานายพันและนายพลของจักรพรรดินโปเลียนที่ 1 ต่างได้รับฐานันดรเป็นท่านเคานต์แห่งจักรวรรดิ เจ้าชายแห่งเนอชาแตล ดยุกแห่งโอเออสเต็ดท์ ดยุกแห่งมองต์เบลโล ดยุกแห่งดันท์ซิช ดยุกแห่งเอลชิงเกน กษัตริย์แห่งเนเปิลส์ ฯลฯ
จากกรุงอัมสเตอร์ดัมถึงกรุงโรม จักรวรรดิของจักรพรรดินโปเลียนที่ 1 มีประชากรรวมทั้งสิ้นกว่า 70 ล้านคน โดยมีเพียง 30 ล้านคนเท่านั้นที่เป็นชาวฝรั่งเศส
ปฏิบัติการที่คาบสมุทรไอบีเรีย ออสเตรีย และรัสเซีย
เนื่องด้วยแนวคิดของอังกฤษที่จะกีดกันเรือสินค้าฝรั่งเศส จักรพรรดินโปเลียนที่ 1 เลยพยายามจะบังคับให้เกิดการกีดกันภาคพื้นทวีป โดยมีวัตถุประสงค์จะหยุดยั้งกิจกรรมทางการพาณิชย์ของอุตสาหกรรมอังกฤษ โปรตุเกส อันเป็นประเทศพันธมิตรของอังกฤษมาเป็นเวลาช้านาน ปฏิเสธที่จะลงนามในสนธิสัญญานี้ จักรพรรดินโปเลียนที่ 1 จึงทรงขอความช่วยเหลือจากสเปนในการบุกโปรตุเกส ในที่สุดพระองค์ก็ได้รุกรานประเทศสเปน และตั้งโฌแซ็ฟ โบนาปาร์ต พี่ชายขึ้นเป็นกษัตริย์ปกครองที่นั่น และโปรตุเกสก็ถูกจักรพรรดินโปเลียนที่ 1 รุกรานเช่นกันในปี ค.ศ. 1807 ประชากรส่วนหนึ่งของสเปนที่คลั่งใคล้ในกลุ่มนักบวชได้ลุกฮือขึ้นต่อต้านชาวฝรั่งเศส ในไม่ช้า กองพลทหารราบฝีมือเยี่ยมของอังกฤษ บัญชาการโดยว่าที่ดยุกแห่งเวลลิงตัน (อาร์เธอร์ เวลสลีย์) ก็ได้เคลื่อนทัพสู่สเปน โดยผ่านโปรตุเกสในปี ค.ศ. 1808 และด้วยความช่วยเหลือของกลุ่มผู้รักชาติชาวสเปน ก็ได้ผลักดันกองทัพฝรั่งเศสออกจากคาบสมุทรไอบีเรีย ในขณะที่กองทหารที่ฝีมือดีที่สุดของฝรั่งเศสกำลังปฏิบัติภารกิจอยู่ในสเปน ออสเตรียก็ได้บุกฝรั่งเศสอีกครั้งจากแถบเยอรมนี และถูกปราบลงอย่างราบคาบในยุทธการวากร็อง จอมพลลานส์ เพื่อนและผู้ร่วมรบเคียงบ่าเคียงไหล่ของจักรพรรดิจักรพรรดินโปเลียนที่ 1 ได้ถึงแก่กรรมที่เมืองเอสลิง
หลังจากที่ซาร์อเล็กซานเดอร์ที่ 1 แห่งรัสเซีย ได้รับการหนุนหลังจากชนชั้นสูงในรัสเซียที่เข้าข้างฝ่ายอังกฤษ ก็ได้ปฏิเสธที่จะร่วมมือกับจักรพรรดินโปเลียนที่ 1 ในการโจมตีสหราชอาณาจักร จักรพรรดินโปเลียนที่ 1 ซึ่งเชื่อว่าไม่มีทางหลีกเลี่ยงสงครามกับอังกฤษได้ ได้กรีฑาทัพบุกรัสเซียในปี ค.ศ. 1812 กองทัพใหญ่ของจักรพรรดินโปเลียนที่ 1 ประกอบด้วยกองทัพพันธมิตรอิตาลี เยอรมนี และออสเตรียมีขนาดมหึมา มีทหารกว่า 600,000 นายที่ร่วมเดินทัพข้าม แม่น้ำนีเมน
พวกรัสเซียที่บัญชาการโดยจอมพล มีฮาอิล คูตูซอฟ ได้ใช้ยุทธวิธี scorched earth โดยถอยร่นให้ทัพฝรั่งเศสรุกเข้ามาให้รัสเซีย การรบที่มอสโกเมื่อวันที่ 12 กันยายน ไม่มีผู้ใดแพ้ชนะ แม้ว่าพวกรัสเซียจะเป็นฝ่ายทิ้งชัยภูมิ แต่ทั้งสองฝ่ายก็เสียทหารไปในจำนวนเท่า ๆ กัน
วันรุ่งขึ้นหลังจากกองทัพฝรั่งเศสเคลื่อนทัพเข้ากรุงมอสโก ก็พบว่ามอสโกกลายเป็นเมืองร้าง เมื่อฝรั่งเศสตายใจ พวกรัสเซียได้จุดไฟเผากรุงมอสโกในทันที ทำให้จักพรรดินโปเลียนที่ 1 ต้องถอยทัพ ฤดูหนาวอันโหดร้าย กำลังจะมาเยือนดินแดนแถบรัสเซียในอีกเพียงไม่กี่วัน จักรพรรดินโปเลียนที่ 1 ที่คาดว่าจะมีความเคลื่อนไหวจากซาร์ซาร์ได้ชะลอการถอยทัพไปจนถึงนาทีสุดท้าย
กองทัพฝรั่งเศสได้ถอยทัพอย่างทุลักทุเลไปทางเยอรมนี ในช่วงฤดูหนาวของรัสเซีย ผ่านดินแดนที่เคยเป็นทางผ่านตอนขามาและถูกโจมตีเสียย่อยยับ ในจำนวนทหารเกือบ 500,000 นายที่เข้าร่วมรบ มีเพียงหมื่นกว่านายที่สามารถข้ามแม่น้ำเบเรซินากลับมาได้ แถมยังถูกกองทัพรัสเซียดักโจมตี กองทัพใหญ่ของจักพรรดินโปเลียนที่ 1 ต้องถึงกาลล่มสลายเนื่องด้วยไม่รู้จักพื้นที่ดีพอ
หลังจากที่ได้ใจจากข่าวความพ่ายแพ้ของฝรั่งเศสในรัสเซีย กษัตริย์ยุโรปหลายพระองค์ได้แปรภักดิ์จากฝ่ายจักพรรดินโปเลียนที่ 1 และยกทัพมารบกับฝรั่งเศส จักรพรรดินโปเลียนที่ 1 ซึ่งถูกคนในกองทัพของพระองค์เองทรยศ ได้พบกับความพ่ายแพ้อย่างสิ้นเชิงที่ยุทธการที่ไลพ์ซิจ หรือที่รู้จักในนามของ สงครามประสานมิตรครั้งที่หก ซึ่งกองทัพฝรั่งเศส 200,000 นายปะทะกับกองทัพพันธมิตร 500,000 นาย (รัสเซีย ออสเตรีย เยอรมนี สวีเดน) จอมพลโจเซฟ แอนโทนี โปเนียโตวสกี เจ้าชายแห่งโปแลนด์และพระราชนัดดาของราชาองค์สุดท้ายของโปแลนด์ ได้สิ้นพระชนม์ลงในการรบครั้งนี้ หลังจากพยายามนำทหารของพระองค์ข้ามแม่น้ำเอลสเตอร์ มีผู้บาดเจ็บและเสียชีวิตรวมทั้งสิ้น 100,000 คน
ความพ่ายแพ้ในฝรั่งเศส
ในปี ค.ศ. 1814 สหราชอาณาจักร, รัสเซีย, ปรัสเซีย และออสเตรีย ได้ร่วมเป็นพันธมิตร แม้ว่าจักรพรรดินโปเลียนที่ 1จะมีชัยอย่างไม่น่าเชื่อในการรบที่ ฌองโปแบร์ และมองต์มิไรล์ ด้วยการนำทัพทหารใหม่ขาดประสบการณ์ (กองทัพมารี หลุยส์ ที่ตั้งชื่อตามอาร์คดัชเชสมารี หลุยส์แห่งออสเตรีย พระมเหสีในจักรพรรดินโปเลียนที่ 1) กรุงปารีสถูกตีแตกเมื่อวันที่ 31 มีนาคม และเหล่าจอมพลได้บังคับให้จักรพรรดินโปเลียนที่ 1 สละราชบัลลังก์
จักรพรรดินโปเลียนที่ 1 ทรงคิดว่าฝ่ายพันธมิตรจะแยกเขาออกจากจักรพรรดินี และนโปเลียนที่ 2 กษัตริย์แห่งโรม พระโอรสของพระองค์ ดังนั้น ในคืนวันที่ 12 และเช้าวันที่ 13 เมษายน จักรพรรดินโปเลียนที่ 1 ได้เสวยยาพิษไปในปริมาณที่จะปลิดชีพพระองค์เองได้ นั่นคือ ฝิ่นผสมกับน้ำเล็กน้อย มีคนบอกพระองค์ว่าส่วนผสมดังกล่าวมีพิษมากพอที่จะฆ่าคนได้ถึงสองคน
พระองค์เลือกที่จะฆ่าตัวตายด้วยวิธีนี้เพราะเชื่อว่าศพของพระองค์จะต้องถูกประจานให้คนฝรั่งเศสดู พระองค์ต้องการให้ข้าราชบริพารของพระองค์จำพระพักตร์ที่เรียบเฉยได้ เช่นเดียวกับที่เคยเห็นพระองค์ในสมรภูมิ
หลังจากผ่านพ้นเวลาเที่ยงคืนมาอย่างทุกข์ทรมาน จักรพรรดิก็บ่นว่าส่วนผสมฝิ่นของพระองค์ออกฤทธิ์ช้าไป
พระองค์ได้ประกาศต่ออาร์มองด์ ออกุสตัง ลุยส์ เดอ โกลังกูร์ ว่า "เราตายด้วยความทุกข์ทรมาน เราทุกข์ที่มีรัฐธรรมนูญที่ยืดชีวิตออกไปและทำให้ข้าจบชีพลงช้ากว่าเดิม!"
อาการคลื่นเหียนอาเจียนของจักรพรรดินโปเลียนที่ 1 รุนแรงขึ้นทุกทีจนไม่อาจกลั้นอาเจียนไว้ได้อีกต่อมา จนกระทั่งอาเจียนออกมาอย่างรุนแรง พระองค์ทรงทุกข์ทรมานอย่างไม่สิ้นสุดจนกระทั่งนายแพทย์อีวองมาถึง จักรพรรดินโปเลียนที่ 1 ได้ทรงขอให้แพทย์ให้ยาพิษอีกขนานเพื่อจะได้สวรรคตเสียที แต่นายแพทย์ปฏิเสธโดยกราบทูลว่าเขาไม่ใช่ฆาตกรและเขาจะไม่ยอมทำในสิ่งที่ขัดต่อสามัญสำนึกของตนอย่างเด็ดขาด
ความทรมานของจักรพรรดิยังคงดำเนินต่อไป โกลังกูร์ ออกจากห้องและบอกให้ข้ารับใช้ส่วนพระองค์และข้าราชบริพารฝ่ายในเงียบเสียง จักรพรรดินโปเลียนที่ 1 เรียกโกลังกูร์และบอกว่าพระองค์ยอมตายเสียดีกว่ายอมลงนามในสนธิสัญญา
ยาพิษได้คลายฤทธิ์ลง และพระองค์ก็สามารถดำเนินกิจกรรมตามปกติได้ในที่สุด แต่ไม่มีใครทราบแน่ชัดว่าเหตุใดองค์จักรพรรดิจึงรอดชีวิตมาได้จากการกลืนฝิ่นเข้าไปในปริมาณขนาดนั้น ไม่กระเพาะของพระองค์ขย้อนออกมา ไม่ก็ยาพิษได้เสื่อมฤทธิ์ลงไปเอง
พระองค์ต้องไปลี้ภัยที่เกาะเอลบา ตามที่ระบุไว้ในสนธิสัญญาฟงเตนโบล ยังทรงดำรงพระยศเป็นจักรพรรดิ แต่ทรงปกครองได้เฉพาะบนเกาะเล็ก ๆ แห่งนี้เท่านั้น
คืนสู่อำนาจเป็นเวลาร้อยวัน
ที่ประเทศฝรั่งเศส พระเจ้าหลุยส์ที่ 18 ทรงขับจักรพรรดินโปเลียนที่ 2 และขึ้นครองราชย์แทน จักรพรรดินโปเลียนที่ 1 เป็นกังวลเกี่ยวกับชะตากรรมของพระมเหสี โดยเฉพาะอย่างยิ่งของพระโอรสของพระองค์ที่ตกอยู่ในเงื้อมมือของพวกออสเตรีย รัฐบาลฝรั่งเศสที่ฝักใฝ่ระบอบกษัตริย์ปฏิเสธจะจ่ายค่าเลี้ยงดูให้ตามสัญญาในที่สุด และมีข่าวลือว่าเขากำลังจะถูกส่งตัวไปยังเกาะเล็ก ๆ ทางตอนใต้ของมหาสมุทรแอตแลนติก
ดังนั้น จักรพรรดินโปเลียนที่ 1 ที่หลบหนีออกจากห้องขังบนเกาะเอลบา ได้ขึ้นสู่ฝั่งบนแผ่นดินฝรั่งเศสใกล้กับเมืองคานส์ เมื่อเดือนมีนาคม ค.ศ. 1815 กองทัพที่ถูกส่งไปจับกุมตัวเขากลับมาต่างโห่ร้องต้อนรับเยี่ยงวีรบุรุษตลอดเส้นทางจากชายฝั่งริเวียราฝรั่งเศส ขึ้นมายังเมืองลียอง ซึ่งเส้นทางดังกล่าวถูกเรียกว่า "ถนนสายจักรพรรดินโปเลียนที่ 1" ไปแล้ว จอมพลมิเชล ไนยผู้ซึ่งได้สาบานต่อหน้าพระเจ้าหลุยส์ที่ 18 ว่าจะนำจักรพรรดินโปเลียนที่ 1 กลับมาในกรงเหล็ก ก็รู้สึกโอนอ่อนเข้าหาฝ่ายจักรพรรดิเดิมของตน (หลังที่จักรพรรดินโปเลียนที่ 1 เดินอย่างอุกอาจเข้าไปประกาศต่อฝูงชนว่า "ทหารแห่งกองพล 5 เราคือจักรพรรดิของพวกเจ้า พวกเจ้าก็รู้จักเราดีอยู่แล้วมิใช่หรือ ถ้าหากมีใครในหมู่พวกเจ้าทั้งหลายมาเพื่อที่จะจับจักรพรรดิของเจ้า เราก็อยู่ที่นี่แล้ว") ทำให้เขากลายเป็นจอมพลคนเดียวที่ถูกจับกุมในข้อหาทรราชย์ หลังจากการฟื้นฟูระบอบกษัตริย์ครั้งที่สอง จักรพรรดินโปเลียนที่ 1 เดินทางถึงกรุงปารีสอย่างง่ายดาย ช่วงเวลา"คืนสู่อำนาจเป็นเวลาร้อยวัน" เริ่มต้นขึ้น แต่ความล้มเหลวก็เกิดขึ้นซ้ำรอย กองทัพของเขาพ่ายการรบกับอังกฤษและปรัสเซียที่ยุทธการวอเตอร์ลู ในเบลเยียม เมื่อวันที่ 18 มิถุนายน ค.ศ. 1815 จอมพลกรูชีไม่สามารถต้านทานกองทัพร่วมระหว่างอังกฤษและปรัสเซียได้ เนื่องจากเป็นทัพหลวงที่ยกมา
ถูกเนรเทศไปเกาะเซนต์เฮเลนา และกำเนิดของตำนาน
จักรพรรดินโปเลียนที่ 1 ทรงถูกขัง และถูกอังกฤษส่งตัวไปยังเกาะเซนต์เฮเลนา ตามบัญชาการของเซอร์ฮัดสัน โลว พร้อมกับนายทหารที่ยังจงรักภักดีบางส่วน รวมถึงเคานต์ลาส กาสด้วย จักรพรรดินโปเลียนที่ 1 ใช้เวลาบนเกาะเซนต์เฮเลนา อุทิศให้กับการเขียนบันทึกความทรงจำของพระองค์ ในช่วงครึ่งหลังของเดือนเมษายน ค.ศ. 1821 พระองค์ได้ทรงเขียนพินัยกรรม และหมายเหตุพินัยกรรมหลายฉบับด้วยพระองค์เอง รวมกว่าสี่สิบหน้าด้วยกัน คำพูดสุดท้ายของพระองค์ก่อนสิ้นใจได้แก่ "ฝรั่งเศส กองทัพ แม่ทัพ โฌเซฟีน" หรือจากที่บันทึกไว้ใน "จดหมายเหตุเกาะเซนต์เฮเลนา" คือ "...ศีรษะ...กองทัพ...พระเจ้าช่วย!"
ในปีค.ศ. 1995 จดหมายเหตุของเคานต์ลุยส์ มาร์ชองด์ ข้ารับใช้ของจักรพรรดินโปเลียนที่ 1 ได้ถูกตีพิมพ์ เขาได้เขียนเล่าเหตุการณ์ ช่วงไม่กี่เดือนสุดท้ายก่อนจักรพรรดินโปเลียนที่ 1 จะสวรรคต และหลายคนเชื่อว่าพระองค์ถูกลอบวางยาพิษด้วยสารหนู ในปีค.ศ. 2001 ปาสคาล คินท์ แห่งสถาบันกฎหมายเมืองสทราซบูร์ได้ทำการพิสูจน์ทฤษฎีนี้ ด้วยการศึกษาหาระดับสารหนูในเส้นพระเกศา (ผม) ของจักรพรรดินโปเลียนที่ 1 ภายหลังจากที่พระองค์สวรรคต ซึ่งก็พบว่ามีสารหนูอยู่เกินกว่าระดับปกติ 7 ถึง 38 เท่า การวิเคราะห์ของนิตยสาร วิทยาศาสตร์และชีวิต ได้แสดงให้เห็นว่า สามารถพบสารหนูในระดับความเข้มข้นเท่ากันจากตัวอย่างที่เก็บได้มาจากปี ค.ศ. 1805, 1814 และ 1821 ดังนั้นจึงต้องกล่าวถึง ธรรมเนียมในสมัยนั้นที่นิยมสวมวิกผมพ่นทับด้วยแป้งผง ยิ่งไปกว่านั้น เราอาจเชื่อในการวิเคราะห์ของนักวิจัยชาวสวิสที่บอกว่า จักรพรรดินโปเลียนที่ 1 สวรรคตจากโรคมะเร็งในกระเพาะ แม้ว่าจักรพรรดิจะมีพระวรกายค่อนข้างเจ้าเนื้อก่อนสวรรคต (น้ำหนัก 75.5 ก.ก. ส่วนสูง 167 ซ.ม.) นักวิจัยยังได้สำรวจกางเกงที่จักรพรรดินโปเลียนที่ 1 สวมใส่ในสมัยนั้น และสามารถระบุได้ว่าพระองค์มีน้ำหนักลดลงถึง 11 ก.ก. ภายในเวลา 5 เดือนก่อนการสวรรคต สมมติฐานดังกล่าวเคยถูกกล่าวว่าไม่น่าจะเกิดขึ้นได้เนื่องจากจักรพรรดินโปเลียนที่ 1 มีพระวรกายใหญ่เกินกว่าที่จะเป็นคนป่วยด้วยโรคมะเร็ง
จักรพรรดินโปเลียนที่ 1 ได้ทรงขอให้ฝังพระศพของพระองค์ไว้ริมฝั่งแม่น้ำแซน แต่เมื่อพระองค์เสด็จสวรรคตในปีค.ศ. 1821 พระศพของพระองค์ได้ถูกปลงที่เกาะเซนต์เฮเลนา ในปีค.ศ. 1840 พระอัฐิได้ถูกนำกลับมายังประเทศฝรั่งเศสด้วยการต้อนรับอย่างสมพระเกียรติ และได้ถูกฝังไว้ที่ออแตลเดแซ็งวาลีดในกรุงปารีส โดยใส่ไว้ในโถที่ทำด้วยหินเนื้อดอก (อันเป็นของขวัญที่รัสเซียมอบให้แก่ฝรั่งเศส)
มุมมองร่วมสมัยที่มีต่อนโปเลียน
- ชัปตาล: นโปเลียนได้ใช้พระองค์เองเป็นจดหมายเหตุเพื่อทำสงครามกับศัตรู โดยเฉพาะอย่างยิ่งกับพวกอังกฤษ พระองค์ได้ทรงเขียนบันทึกทุกฉบับด้วยพระองค์เอง สำหรับให้ลงในหนังสือพิมพ์ le Moniteur เพื่อตอบโต้บทวิจารณ์ที่ขมขื่นและข้อกล่าวหาที่ไม่เป็นจริงที่ได้ถูกตีพิมพ์ไว้ในหนังสือพิมพ์อังกฤษ เมื่อพระองค์ได้ทรงตีพิมพ์บันทึกฉบับหนึ่ง พระองค์ทรงเชื่อว่าสามารถโน้มน้ามผู้อ่านได้แล้ว เราคงจำกันได้ว่าบันทึกส่วนใหญ่ไม่ใช่ต้นแบบที่ดีของงานเขียน หรือตัวอย่างที่ดีของวรรณกรรม แต่พระองค์ก็มิได้ทรงตีพิมพ์อะไรที่แสดงให้เห็นถึงบุคลิกของพระองค์ หรือความสามารถที่พระองค์มีเอาไว้เลย
ผลงานของนโปเลียน โบนาปาร์ต
ธรรมเนียมพระยศของ จักรพรรดินโปเลียนแห่งฝรั่งเศส | |
---|---|
พระราชลัญจกร | |
ธงประจำพระอิสริยยศ | |
การทูล | ยัว อิมพีเรียล มาเจสตี |
ธรรมเนียมพระยศของ พระเจ้านโปเลียนแห่งอิตาลี | |
---|---|
พระราชลัญจกร | |
การทูล | ยัว มาเอสตา |
ในช่วงที่ดำรงตำแหน่งกงสุลเอก
- 13 ธันวาคม ค.ศ. 1799 (วันที่ 22 เดือนฟรีแมร์ ปีที่ 8 ตามระบบปฏิทินของสาธารณรัฐฝรั่งเศส) มาตราที่ 52 ของรัฐธรรมนูญฝรั่งเศส สถาปนาคณะที่ปรึกษาแห่งรัฐฝรั่งเศส
- 13 ธันวาคม ค.ศ. 1799 (วันที่ 22 เดือนฟรีแมร์ ปีที่ 8) สถาปนาวุฒิสภาฝรั่งเศส
- 13 กุมภาพันธ์ ค.ศ. 1800 (วันที่ 24 เดือนปลูวิโอส ปีที่ 8) สถาปนาธนาคารแห่งชาติฝรั่งเศส
- 17 กุมภาพันธ์ ค.ศ. 1800 (วันที่ 28 เดือนปลูวิโอส ปีที่ 8) ก่อตั้งที่ทำการอำเภอ
- 8 เมษายน ค.ศ. 1802 (วันที่ 18 เดือนแจร์มินาล ปีที่ 10) ลงพระนามร่วมกับสมเด็จพระสันตปาปาปีอุสที่ 7 ในความตกลงว่าด้วยเรื่องศาสนาของประเทศ
- 1 พฤษภาคม ค.ศ. 1802 (วันที่ 11 เดือนฟลอเรอาล ปีที่ 10) กงสุลเอกโบนาปาร์ตได้สถาปนาโรงเรียนมัธยมในฝรั่งเศส
- 19 พฤษภาคม ค.ศ. 1802 (วันที่ 29 เดือนฟลอเรอาล ปีที่ 10) ได้สถาปนาสมาคมเครื่องราชอิศริยาภรณ์แห่งชาติ
- 24 ธันวาคม ค.ศ. 1802 ก่อตั้งหอการค้า 22 แห่ง
- 7 เมษายน ค.ศ. 1803 (วันที่ 17 เดือนแฌร์มินาล ปีที่ 11) ได้ริเริ่มระบบเงินฟรังก์แจร์มินาล
- 21 มีนาคม ค.ศ. 1804 (วันที่ 30 เดือนเวนโตส ปีที่ 12) ประมวลกฎหมายแพ่งได้เริ่มมีผลบังคับใช้
ในช่วงที่เป็นจักรพรรดิ
- 18 มีนาคม ค.ศ. 1806 (วันทื่ 21 เดือนแจร์มินาล ปีที่ 9) สถาปนาคณะที่ปรึกษาพรูดอม
- 10 พฤษภาคม ค.ศ. 1806 สถาปนามหาวิทยาลัยแห่งชาติฝรั่งเศสขึ้นเป็นแห่งแรก (ที่มีรูปแบบใกล้เคียงกับมหาวิทยาลัยในปัจจุบัน เนื่องจากมหาวิทยาลัยซอร์บอนน์ก่อตั้งขึ้นมาตั้งแต่ปี ค.ศ. 1257)
- ในปี ค.ศ. 1806 จักรพรรดินโปเลียนที่ 1 มีพระราชดำริให้สร้างประตูชัยขึ้นที่จตุรัสเดอเลตวล
- 9 กุมภาพันธ์ ค.ศ. 1807 ทรงรื้อฟื้นระบบศาลสูงของศาสนายิว (ทำให้ชาวยิวสามารถปรับตัวเข้ากับการพำนักอาศัยในจักรวรรดิฝรั่งเศสได้ง่ายขึ้น)
- 16 กันยายน ค.ศ. 1807 จักรพรรดินโปเลียนที่ 1 ทรงสถาปนาสำนักงานตรวจเงินแผ่นดินแห่งชาติฝรั่งเศสขึ้น
- ในปี ค.ศ. 1807 นโปเลียนได้มอบหมายให้ อเล็กซองเดรอ เธโอดอร์ บร็องจ์นิอาร์ รับผิดชอบในการก่อสร้างตลาดหุ้นฝรั่งเศสขึ้นในกาลต่อมา
- 17 มีนาคม ค.ศ. 1808 นโปเลียนมีพระราชดำริโปรดเกล้าให้สร้างระบบสอบไล่มาตรฐานขั้นมัธยมศึกษาแห่งชาติฝรั่งเศสขึ้น
- 12 มีนาคม ค.ศ. 1810 มีพระราชดำริโปรดเกล้าให้ตรากฎหมายอาญาแห่งชาติฝรั่งเศสขึ้น
ครอบครัว
การสมรสและโอรสธิดา
นโปเลียนสมรสสองครั้ง :
- เมื่อวันที่ 9 มีนาคม ค.ศ. 1796 (เมื่อครั้งยังเป็นนายพลก่อนออกปฏิบัติการในอียิปต์) ได้เข้าพิธีสมรสกับนางโฌเซฟีน เดอ โบอาร์แน แม่ม่ายลูกติดชาวฝรั่งเศสเชื้อสายเบเก จากหมู่เกาะมาร์ตีนีก ผู้ซึ่งต่อมาได้รับการแต่งตั้งให้เป็นจักรพรรดินีแห่งฝรั่งเศสในพิธีขึ้นครองราชย์ของนโปเลียน เนื่องจากนางมีอายุมากแล้วจึงไม่สามารถมีโอรสธิดาให้กับนโปเลียนได้ ซึ่งการที่องค์จักรพรรดิไร้ซึ่งผู้สืบทอดบัลลังก์ดังกล่าวถูกมองว่าเกี่ยวข้องโดยตรงกับความมั่นคงของจักรวรรดิ การสมรสครั้งนี้จึงจบลงด้วยการหย่าร้าง
- เมื่อวันที่ 11 มีนาคม ค.ศ. 1810 ได้เข้าพิธีอภิเษกสมรส (โดยฉันทะ) กับอาร์คดัชเชสมารี หลุยส์แห่งออสเตรีย เพื่อเป็นการสานสัมพันธไมตรีและหลีกเลี่ยงสงครามกับ อาร์คดัชเชสมารี หลุยส์ได้ให้กำเนิดพระราชโอรสหนึ่งพระองค์ ได้แก่ นโปเลียนที่ 2 ทรงได้รับการแต่งตั้งจากนโปเลียนให้ดำรงตำแหน่งกษัตริย์แห่งกรุงโรม ดยุกแห่งไรช์ชตาดท์ แต่เรามักจะเรียกพระองค์ว่านโปเลียนที่ 2 เสียมากกว่า แม้ว่าพระองค์จะไม่เคยขึ้นเป็นพระเจ้าแผ่นดินฝรั่งเศสอย่างแท้จริงเลยก็ตาม ถ้าจะว่ากันตามทฤษฎีแล้ว รัชสมัยของพระองค์กินระยะเวลาเพียง 15 วัน ระหว่างวันที่จักรพรรดินโปเลียนที่ 1 ถูกบังคับให้สละพระราชบัลลังก์ครั้งแรก จนกระทั่งมีการฟื้นฟูราชวงศ์บูร์บง พระฉายานามว่า เหยี่ยวน้อย นั้นมาจากบทกวีของวิคเตอร์ มารี อูโก ที่ประพันธ์ขึ้นในปี ค.ศ. 1852
นโปเลียนยังมีบุตรนอกสมรสอีกอย่างน้อยสองคน ซึ่งทั้งสองคนนั้นต่างก็มีทายาทสืบต่อมา:
- เคานต์ชาร์ล เลอง (ชาตะ ค.ศ. 1806 มรณะ ค.ศ. 1881) บุตรชายของนางแคทเทอรีน เอเลนอร์ เดอนูเอลล์ เดอ ลา เปลจเนอ (ชาตะ ค.ศ. 1787 มรณะ ค.ศ. 1868)
- เคานต์ฟลอเรียน โจเซฟ โคโลนนา วาลูวสกา (ชาตะ 4 พฤษภาคม ค.ศ. 1810 มรณะ 27 ตุลาคม ค.ศ. 1868) บุตรชายของเค้าน์เตสมารี วาลูวสกา (ชาตะ ค.ศ. 1789 มรณะ ค.ศ. 1817)
และจากแหล่งข้อมูลที่ยังเป็นที่ถกเถียงกัน:
- เอมิลลี ลุยส์ มารี ฟร็องซวส โฌซฟีน เปลลาปรา บุตรสาวของฟร็องซัวส-มารี เลอรัว
- คาร์ล ยูจัง ฟอน มูห์ลเฟลด์ บุตรชายของวิคตอเรีย โครส์
- เอเลน นโปเลโอน โบนาปาร์ต บุตรสาวของเค้าน์เตสมองโตลอง
- จูลส์ บาร์เธเลมี-ซังต์-ติแลร์ (ชาตะ 19 สิงหาคม ค.ศ. 1805 มรณะ 24 พฤศจิกายน ค.ศ. 1895) โดยไม่ทราบว่ามารดาของเขาเป็นใคร
พี่น้องของนโปเลียน
- กาโรลีน โบนาปาร์ต
- เอลิซ่า โบนาปาร์ต
- เฌโรม โบนาปาร์ต
- โฌแซ็ฟ โบนาปาร์ต
- หลุยส์ โบนาปาร์ต
- ลูว์เซียง โบนาปาร์ต
- เปาลีน โบนาปาร์ต
หลานชาย-หญิง
- นโปเลียนที่ 3 (ชาร์ล หลุยส์ นโปเลียน โบนาปาร์ต) หลานชาย ได้ใช้โอกาสจากความมีชื่อเสียงของจักรพรรดินโปเลียนที่ 1 ทำให้เขาได้รับเลือกตั้งเป็นประธานาธิบดีแห่งฝรั่งเศส ในช่วงสาธารณรัฐฝรั่งเศสที่ 2 จากนั้นก็ได้ยึดอำนาจและก่อตั้งจักรวรรดิที่ 2 ขึ้น และเป็นจักรพรรดิปกครองฝรั่งเศสภายใต้พระนามว่านโปเลียนที่ 3 แห่งฝรั่งเศส ตลอดการครองราชย์ของพระองค์ ได้มีการประกาศใช้กฎหมายทางสังคมและกฎหมายสมัยใหม่จำนวนมาก พระองค์พ่ายแพ้สงครามและยอมมอบตัวให้กับปรัสเซียในปี ค.ศ. 1870 จากการรบที่สมรภูมิเซดาน
- ปีแยร์-นโปเลียน โบนาปาร์ต
- ชาร์ล ลูว์เซียง โบนาปาร์ต นักสัตววิทยา
เชื้อสายของนโปเลียนที่โด่งดัง
หนังสือชีวประวัติเกี่ยวกับนโปเลียน
- Jean Tulard, Napoléon ou le Mythe du Sauveur
- Jean Tulard (dir.) , Dictionnaire Napoléon
- Thierry Lentz (en collaboration) , Autour de l'empoisonnement de Napoléon, préfacé par Jean Tulard, Éd. Nouveau Monde, 2002
- Thierry Lentz, le Sacre de Napoléon, Éd. Nouveau Monde, 2003
- Thierry Lentz, Napoléon, Presses universitaires de France, coll. « Que sais-je ? », 2003
- André Suarès, Vues sur Napoléon, Grasset, 1933
- Adolphe Thiers, Histoire du Consulat et de l'Empire
- Chaptal, Mes souvenirs sur Napoléon
- François-René de Chateaubriand, Mémoires d'Outre-Tombe, livres XXIX à XXII
- Jacques Bainville, Napoléon, 1931
- Steven Englund, Napoléon « a political life », 2003
- Didier Le Gall, Napoléon et le Mémorial de Sainte-Hélène, Analyse d'un discours, Préface de Jean-Paul Bertaud, Editions Kimé, 2003.
- Maximilien Vox, Napoléon. Paris (France). Éditions du Seuil, collection Le temps qui court. 1959. 184 pages. Cote dewey : 923.1 N216v
- โตลสตอย, Guerre et Paix
- สต็องดาล, La Chartreuse de Parme
- ปาทริก ล็อมโบ, La Bataille
ภาพยนตร์เกี่ยวกับนโปเลียน
- พ.ศ. 2455 (ค.ศ. 1912) : นโปเลียน อำนวยการสร้างโดย Louis Feuillade (ฝรั่งเศส)
- พ.ศ. 2470 (ค.ศ. 1927) : นโปเลียน อำนวยการสร้างโดย Abel Gance นำแสดงโดย Albert Dieudonné (ฝรั่งเศส)
- พ.ศ. 2472 (ค.ศ. 1929) : ซังต์เตเลน (Napoleon auf St. Helena) อำนวยการสร้างโดย Lupu-Pick นำแสดงโดย Werner Krauss (ฝรั่งเศส)
- พ.ศ. 2477 (ค.ศ. 1934) : นโปเลียน โบนาปาร์ต อำนวยการสร้างโดย Abel Gance นำแสดงโดย Albert Dieudonné (นำภาพยนตร์ในปี ค.ศ. 1927 มาสร้างใหม่ มีเสียงประกอบ) (ฝรั่งเศส)
- พ.ศ. 2478 (ค.ศ. 1935) : Campo di maggio อำนวยการสร้างโดย Giovacchino Forzano นำแสดงโดย Corrado Racca (อิตาลี)
- พ.ศ. 2484 (ค.ศ. 1941) : นโปเลียน อำนวยการสร้างโดย Luis César Amadori (อาร์เจนตินา)
- พ.ศ. 2498 (ค.ศ. 1955) : นโปเลียน อำนวยการสร้างโดย Sacha Guitry นำแสดงโดย Daniel Gélin (ฝรั่งเศส)
- พ.ศ. 2503 (ค.ศ. 1960) : เอาชแตร์ลิทซ์ อำนวยการสร้างโดย Abel Gance นำแสดงโดย Pierre Mondy (ฝรั่งเศส)
- พ.ศ. 2513 (ค.ศ. 1970) : วอเตอร์ลู อำนวยการสร้างโดย Serge Bondartchouk นำแสดงโดย Rod Steiger (อิตาลี และ สหภาพโซเวียต)
- พ.ศ. 2514 (ค.ศ. 1971) : โบนาปาร์ตกับการปฏิวัติ อำนวยการสร้างโดย Abel Gance นำแสดงโดย Albert Dieudonné (นำมาสร้างใหม่จากภาคเดิมเมื่อปี ค.ศ. 1927 และ ค.ศ. 1934) (ละครโทรทํศน์ ออกอากาศในฝรั่งเศส)
- พ.ศ. 2532 (ค.ศ. 1989) :นโปเลียน อำนวยการสร้างโดย András Sólyom นำแสดงโดย Péter Rudolf (ละครโทรทํศน์ ออกอากาศในฮังการี)
- พ.ศ. 2533 (ค.ศ. 1990) : นโปเลียน อำนวยการสร้างโดย José Fonseca e Costa, Eberhard Itzenplitz, Pierre Lary, Janusz Majewski, Krzysztof Zanussi นำแสดงโดย Jean-François Stévenin (ภาพยนตร์โทรทัศน์ ออกอากาศในฝรั่งเศส โปแลนด์ เบลเยียม แคนาดา)
- พ.ศ. 2542 (ค.ศ. 1999) : Pan Tadeusz อำนวยการสร้างโดย Andrzej Wajda นำแสดงโดย Henryk Baranowski (โปแลนด์)
- พ.ศ. 2543 (ค.ศ. 2000) : นโปเลียน อำนวยการสร้างโดย Yves Simoneau นำแสดงโดย Christian Clavier (ละครโทรทัศน์ ออกอากาศในฝรั่งเศส เยอรมนี แคนาดา สหรัฐ และสหราชอาณาจักร)
แหล่งข้อมูลอื่น และ อ้างอิง
- ↑ E. Hales, "Napoleon and the Pope", (London:1962) pg 114
- ↑ McLynn 1998, p.6
- ↑ McLynn 1998, p.2
- ↑ Cronin 1994, p.20–21
- ↑ Cronin 1994, p.27
- ↑ Roberts 2001, p.xvi
- ↑ Asprey 2000, p.13
- ↑ McLynn 1998, p.55
- ↑ ต้นฉบับในภาษาฝรั่งเศส: "Citoyen,la Révolution est fixée aux principe qui l'avait commencée elle est finie!"
- เว็บไซต์ของมูลนิธินโปเลียน (ภาษาฝรั่งเศส)
- โบนาปาร์ต (นโปเลียนที่ 1) จากเว็บไซต์ insecula.com (ภาษาฝรั่งเศส)
- เว็บไซต์อุทิศให้นโปเลียน (ภาษาฝรั่งเศส)
- ความรุ่งเรืองและโศกนาฏกรรมของนโปเลียนจาก เว็บส่วนตัว (ภาษาฝรั่งเศส)
- แผนภูมิวงศาคณาญาติของตระกูลโบนาปาร์ต (ภาษาฝรั่งเศส)
- นโปเลียนกับชาวยิว (ภาษาฝรั่งเศส)
ดูเพิ่ม
ก่อนหน้า | จักรพรรดินโปเลียนที่ 1 | ถัดไป | ||
---|---|---|---|---|
สาธารณรัฐที่ 1 ลำดับก่อนหน้าโดย พระเจ้าหลุยส์ที่ 16 ในฐานะกษัตริย์ |
จักรพรรดิแห่งชาวฝรั่งเศส (18 พฤษภาคม 1804 – 11 เมษายน 1814) |
พระเจ้าหลุยส์ที่ 18 ในฐานะกษัตริย์ | ||
พระเจ้าหลุยส์ที่ 18 ในฐานะกษัตริย์ |
จักรพรรดิแห่งชาวฝรั่งเศส (สมัยร้อยวัน) (20 มีนาคม – 22 มิถุนายน 1815) |
นโปเลียนที่ 2 ไม่เสวยราชย์ พระเจ้าหลุยส์ที่ 18 ในฐานะกษัตริย์ | ||
จักรพรรดิคาร์ลที่ 5 แห่งโรมันอันศักดิ์สิทธิ์ | กษัตริย์แห่งอิตาลี (17 มีนาคม 1805 – 11 เมษายน 1814) |
พระเจ้าวิคเตอร์ เอ็มมานูเอลที่ 2 ราชอาณาจักรอิตาลียุคใหม่ |
- บุคคลที่เกิดในปี พ.ศ. 2312
- บุคคลที่เสียชีวิตในปี พ.ศ. 2364
- พระมหากษัตริย์ฝรั่งเศส
- พระมหากษัตริย์เยอรมนี
- ราชวงศ์โบนาปาร์ต
- พระมหากษัตริย์ที่ถูกปลงพระชนม์
- มหาราช
- พระมหากษัตริย์อิตาลี
- บุคคลในสงครามนโปเลียนชาวฝรั่งเศส
- บุคคลจากคอร์ซิกา
- เสียชีวิตจากมะเร็งกระเพาะอาหาร
- ชาวฝรั่งเศสเชื้อสายอิตาลี
- พระมหากษัตริย์ผู้ทรงสละราชบัลลังก์
- ผู้รอดชีวิตจากการลอบสังหาร
- บุคคลในการปฏิวัติฝรั่งเศส