ข้ามไปเนื้อหา

อิหร่านสมัยกอญัร

จากวิกิพีเดีย สารานุกรมเสรี
(เปลี่ยนทางจาก อิหร่านกอญัร)
รักขิตประเทศอิหร่าน

ممالک محروسه ایران (เปอร์เซีย)
มะมาเลกมะห์รูเซห์ เย อีราน
1789–1925
ธงชาติอิหร่านสมัยกอญัร
ธงชาติ (1907–1933)
ตราแผ่นดินของอิหร่านสมัยกอญัร
ตราแผ่นดิน
'เพลงชาติ(1873–1909)
แซลอแมทีเยชอฮ์
(สรรเสริญพระเจ้าชาห์)

(1909–1925)
สรรเสริญอริยรัฐอิหร่าน
'
แผนที่อิหร่านสมัยกอญัรในศตวรรษที่ 19
แผนที่อิหร่านสมัยกอญัรในศตวรรษที่ 19
สถานะจักรวรรดิ
เมืองหลวงเตหะราน
ภาษาทั่วไป
ศาสนา
อิสลามชีอะฮ์ (ส่วนใหญ่)
การปกครอง
กษัตริย์ 
• 1789–1797 (องค์แรก)
อะฆา มุฮัมมัด ชาห์
• 1909–1925 (สุดท้าย)
อะห์หมัด ชาห์
หัวหน้ารัฐบาล 
• 1795–1801 (คนแรก)
ฮัจจี เอบรอฮีม ชีราซี
• 1923–1925 (คนสุดท้าย)
เรซา ปาห์ลาวี
ประวัติศาสตร์ 
• สถาปนา
1789
5 สิงหาคม 1906
• ราชวงศ์ถูกถอดถอน
31 ตุลาคม 1925
สกุลเงินโทมัน (1789–1825)
กีรอัน (1825–1925)[6]
ก่อนหน้า
ถัดไป
Zand dynasty
Kingdom of Kartli-Kakheti
อิหร่านสมัยอัฟชาร์
อิหร่านสมัยปาห์ลาวี

อิหร่านสมัยกอญัร (Qajar Iran) หรือ จักรวรรดิกอญัร หรือชื่ออย่างเป็นทางการคือ รักขิตประเทศอิหร่าน (ممالک محروسهٔ ایران) หรืออีกนามหนึ่งว่า อริยรัฐอิหร่าน (دولت عِلیّهٔ ایران) หมายถึงประเทศอิหร่านในช่วงที่ปกครองโดยราชวงศ์กอญัรระหว่างปี 1785–1925

ราชวงศ์กอญัรถูกสถาปนาโดยพระเจ้าอะฆา มุฮัมมัด ชาห์ กอญัร ผู้นำชนเผ่ากอญัรซึ่งมีเชื้อสายเติร์ก เมืองหลวงในยุคกอญัรถูกย้ายมายังเตหะราน ซึ่งยังคงเป็นเมืองหลวงของอิหร่านมาจนถึงปัจจุบัน ราชวงศ์กอญัรพยายามรวมชาติให้เป็นปึกแผ่น แต่ต่อมาต้องเผชิญแรงกดดันจากจักรวรรดิรัสเซียและบริเตนอย่างต่อเนื่อง ตลอดคริสต์ศตวรรษที่ 19 อิหร่านสูญเสียดินแดนหลายส่วนให้แก่รัสเซียจากสงครามคอเคซัส และต้องยอมรับข้อตกลงที่เสียเปรียบทางการค้าและอธิปไตย ราชสำนักกอญัรยังเผชิญกับความเสื่อมถอยภายใน เช่น การทุจริต ความไร้ประสิทธิภาพของระบบราชการ และการลุกฮือของชนชั้นต่าง ๆ

สมัยกอญัรถือเป็นช่วงเริ่มต้นของความพยายามในการปฏิรูปประเทศ อิหร่านมีการพิมพ์หนังสือพิมพ์ จัดตั้งโรงเรียนแบบใหม่ และมีขบวนการเรียกร้องรัฐธรรมนูญ จนนำไปสู่ การปฏิวัติรัฐธรรมนูญอิหร่าน (1905–1911) ที่บีบให้ราชสำนักยอมก่อตั้งรัฐสภา ในที่สุด ราชวงศ์กอญัรถูกโค่นล้มโดย เรซา ข่าน ซึ่งต่อมาได้สถาปนาราชวงศ์ปาห์ลาวีในปี 1925

การสถาปนา

[แก้]

บรรพบุรุษของราชวงศ์คือชนเผ่ากอญัรที่เคยรับราชการในกองทัพของราชวงศ์ซาฟาวิด[7] หลังการล่มสลายของราชวงศ์ซาฟาวีในปี 1736 อิหร่านตกอยู่ในสภาพไร้ศูนย์กลางอำนาจกลาง มีสงครามภายในระหว่างขุนศึกหลายฝ่าย เช่นชนเผ่าอัฟชาร์ และชนเผ่าซันฎ์

ผู้นำคนสำคัญที่วางรากฐานราชวงศ์กอญัรคือ อะฆา มุฮัมมัด ผู้เป็นข่านของตระกูลหนึ่งในชนเผ่ากอญัร เขาได้รับการเลี้ยงดูในราชสำนักซาฟาวิดตอนปลาย และมีชื่อเสียงด้านความเด็ดขาดและความสามารถทางทหาร แม้จะถูกตอนตั้งแต่เยาว์วัยเพื่อป้องกันการแย่งอำนาจ แต่เขากลับเติบโตเป็นผู้นำที่แข็งแกร่ง[8] ซึ่งหลังจากราชวงศ์ซันฎ์อ่อนแอ เขาเริ่มรวบรวมดินแดนและจัดตั้งศูนย์กลางอำนาจใหม่ โดยอาศัยกำลังทหารและการวางอำนาจเชิงเครือญาติ เมื่อสามารถปราบปรามศัตรูทางเหนือและใต้ได้สำเร็จ เขาจึงประกาศสถาปนาตนเองเป็นชาห์แห่งอิหร่านในปี 1789 และทำพิธีราชาภิเษกที่เตหะรานในปี 1796 นับเป็นจุดเริ่มต้นของราชวงศ์กอญัร[9]

ราชวงศ์กอญัรพยายามฟื้นฟูโครงสร้างรัฐของอิหร่านหลังยุคความวุ่นวาย โดยวางรากฐานระบบราชการ การเก็บภาษี และความสัมพันธ์ระหว่างแคว้นต่าง ๆ ภายใต้แนวคิด "มะมาเลกมะห์รูเซห์ เย อีราน" (รักขิตประเทศอิหร่าน) ซึ่งเน้นว่าราชสำนักมีบทบาทเป็นผู้อารักขารัฐมากกว่าผู้ปกครองแบบเบ็ดเสร็จ[10] พระเจ้าอะฆา มุฮัมมัด ชาห์ มีเป้าหมายที่ชัดเจนในการฟื้นฟูดินแดนเก่าของภายใต้ราชวงศ์ซาฟาวิด โดยเฉพาะจอร์เจีย ซึ่งเป็นดินแดนยุทธศาสตร์ในคอเคซัส

การบุกยึดจอร์เจียและแถบคอเคซัส

[แก้]

ภายหลังจากการเสด็จสวรรคตของชาห์นาเดอร์ อาณาจักร Kartli และ Kakheti ได้ปลดแอกจากการปกครองของชาวอิหร่าน และรวมตัวเป็นราชอาณาจักร Kartli-Kakheti ภายใต้การปกครองของกษัตริย์นาม Heraclius II (Erekle II) ในปี 1762 ซึ่งระหว่างปี 1747 ถึง 1795 Erekle สามารถรักษาเอกราชไว้ได้ตลอดยุคของราชวงศ์แซนด์ เนื่องจากเกิดความวุ่นวายภายในอิหร่าน[11] ต่อมาในปี 1783 Heraclius ได้นำอาณาจักรของพระองค์เข้าเป็นรัฐในอารักขาของจักรวรรดิรัสเซียโดยสนธิสัญญา Georgievsk ในช่วงทศวรรษท้ายๆของศตวรรษที่ 18 จอร์เจียได้กลายเป็นตัวแปรสำคัญของความสัมพันธ์ระหว่างรัสเซียและอิหร่าน ไม่เหมือนในรัชสมัยของปีเตอร์มหาราช แคทเธอรีนมหาราชินี ผู้ปกครองรัสเซียในเวลาต่อมา มองจอร์เจียเป็นจุดยุทธศาสตร์สำหรับนโยบายในภูมิภาคคอเคซัสของพระนาง และใช้จอร์เจียเป็นฐานปฏิบัติการต่อต้านอิหร่านและจักรวรรดิออตโตมัน[12] ซึ่งทั้งคู่เป็นคู่แข่งทางภูมิรัฐศาสตร์ที่มีชายแดนติดต่อกับรัสเซียโดยตรง ยิ่งไปกว่านั้น เป็นแนวคิดที่ดีหากจะมีท่าเรือเพิ่มบนชายฝั่งจอร์เจียซึ่งติดต่อทะเลดำ[13] กองทหารรักษาการณ์ของรัสเซียจำนวนสองกองพัน พร้อมด้วยปืนใหญ่สี่กระบอก ยาตราเข้าสู่เมืองทบิลีซีในปี 1784[11] แต่ก็ได้ถอนทัพออก เนื่องจากการประท้วงอย่างรุนแรงของชาวจอร์เจียน เมื่อรัสเซียก่อสงครามต่อจักรวรรดิออตโตมันในปี 1787 ก็ได้เริ่มบุกจากแนวหน้าที่อื่น[11]

การปฏิวัติรัฐธรรมนูญ

[แก้]

การล่มสลายของราชวงศ์

[แก้]

อ้างอิง

[แก้]
  1. Homa Katouzian, State and Society in Iran: The Eclipse of the Qajars and the Emergence of the Pahlavis, published by I. B. Tauris, 2006. pg 327: "In post-Islamic times, the mother-tongue of Iran's rulers was often Turkic, but Persian was almost invariably the cultural and administrative language."
  2. Katouzian 2007, p. 128.
  3. "Ardabil Becomes a Province: Center-Periphery Relations in Iran", H. E. Chehabi, International Journal of Middle East Studies, Vol. 29, No. 2 (May, 1997), 235; "Azeri Turkish was widely spoken at the two courts in addition to Persian, and Mozaffareddin Shah (r. 1896–1907) spoke Persian with an Azeri Turkish accent."
  4. Javadi & Burrill 1988, pp. 251–255.
  5. Donzel, Emeri "van" (1994). Islamic Desk Reference. BRILL. ISBN 90-04-09738-4. p. 285-286
  6. علی‌اصغر شمیم، ایران در دوره سلطنت قاجار، ته‍ران‌: انتشارات علمی، ۱۳۷۱، ص ۲۸۷
  7. Amanat, Abbas. Iran: A Modern History. Yale University Press, 2017, p. 145.
  8. Lambton, Ann K. S. Qajar Persia: Eleven Studies. I.B. Tauris, 1987, pp. 10–12.
  9. Perry, John R. “Agha Mohammad Khan Qajar.” Encyclopaedia Iranica, Vol. I, Fasc. 6, 1984.
  10. Floor, Willem. Titles and Emoluments in Safavid Iran. Mage Publishers, 2008, pp. 238–240.
  11. 11.0 11.1 11.2 Fisher et al. 1991, p. 328.
  12. Mikaberidze 2011, p. 327.
  13. Fisher et al. 1991, p. 327.

แหล่งข้อมูลอื่น

[แก้]