อิหร่านสมัยกอญัร
รักขิตประเทศอิหร่าน | |||||||||||||
---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|
1789–1925 | |||||||||||||
![]() แผนที่อิหร่านสมัยกอญัรในศตวรรษที่ 19 | |||||||||||||
สถานะ | จักรวรรดิ | ||||||||||||
เมืองหลวง | เตหะราน | ||||||||||||
ภาษาทั่วไป | |||||||||||||
ศาสนา | อิสลามชีอะฮ์ (ส่วนใหญ่) | ||||||||||||
การปกครอง |
| ||||||||||||
กษัตริย์ | |||||||||||||
• 1789–1797 (องค์แรก) | อะฆา มุฮัมมัด ชาห์ | ||||||||||||
• 1909–1925 (สุดท้าย) | อะห์หมัด ชาห์ | ||||||||||||
หัวหน้ารัฐบาล | |||||||||||||
• 1795–1801 (คนแรก) | ฮัจจี เอบรอฮีม ชีราซี | ||||||||||||
• 1923–1925 (คนสุดท้าย) | เรซา ปาห์ลาวี | ||||||||||||
ประวัติศาสตร์ | |||||||||||||
• สถาปนา | 1789 | ||||||||||||
5 สิงหาคม 1906 | |||||||||||||
• ราชวงศ์ถูกถอดถอน | 31 ตุลาคม 1925 | ||||||||||||
สกุลเงิน | โทมัน (1789–1825) กีรอัน (1825–1925)[6] | ||||||||||||
|
อิหร่านสมัยกอญัร (Qajar Iran) หรือ จักรวรรดิกอญัร หรือชื่ออย่างเป็นทางการคือ รักขิตประเทศอิหร่าน (ممالک محروسهٔ ایران) หรืออีกนามหนึ่งว่า อริยรัฐอิหร่าน (دولت عِلیّهٔ ایران) หมายถึงประเทศอิหร่านในช่วงที่ปกครองโดยราชวงศ์กอญัรระหว่างปี 1785–1925
ราชวงศ์กอญัรถูกสถาปนาโดยพระเจ้าอะฆา มุฮัมมัด ชาห์ กอญัร ผู้นำชนเผ่ากอญัรซึ่งมีเชื้อสายเติร์ก เมืองหลวงในยุคกอญัรถูกย้ายมายังเตหะราน ซึ่งยังคงเป็นเมืองหลวงของอิหร่านมาจนถึงปัจจุบัน ราชวงศ์กอญัรพยายามรวมชาติให้เป็นปึกแผ่น แต่ต่อมาต้องเผชิญแรงกดดันจากจักรวรรดิรัสเซียและบริเตนอย่างต่อเนื่อง ตลอดคริสต์ศตวรรษที่ 19 อิหร่านสูญเสียดินแดนหลายส่วนให้แก่รัสเซียจากสงครามคอเคซัส และต้องยอมรับข้อตกลงที่เสียเปรียบทางการค้าและอธิปไตย ราชสำนักกอญัรยังเผชิญกับความเสื่อมถอยภายใน เช่น การทุจริต ความไร้ประสิทธิภาพของระบบราชการ และการลุกฮือของชนชั้นต่าง ๆ
สมัยกอญัรถือเป็นช่วงเริ่มต้นของความพยายามในการปฏิรูปประเทศ อิหร่านมีการพิมพ์หนังสือพิมพ์ จัดตั้งโรงเรียนแบบใหม่ และมีขบวนการเรียกร้องรัฐธรรมนูญ จนนำไปสู่ การปฏิวัติรัฐธรรมนูญอิหร่าน (1905–1911) ที่บีบให้ราชสำนักยอมก่อตั้งรัฐสภา ในที่สุด ราชวงศ์กอญัรถูกโค่นล้มโดย เรซา ข่าน ซึ่งต่อมาได้สถาปนาราชวงศ์ปาห์ลาวีในปี 1925
การสถาปนา
[แก้]![]() |
ประวัติศาสตร์อิหร่านแผ่นดินใหญ่ |
---|
บรรพบุรุษของราชวงศ์คือชนเผ่ากอญัรที่เคยรับราชการในกองทัพของราชวงศ์ซาฟาวิด[7] หลังการล่มสลายของราชวงศ์ซาฟาวีในปี 1736 อิหร่านตกอยู่ในสภาพไร้ศูนย์กลางอำนาจกลาง มีสงครามภายในระหว่างขุนศึกหลายฝ่าย เช่นชนเผ่าอัฟชาร์ และชนเผ่าซันฎ์
ผู้นำคนสำคัญที่วางรากฐานราชวงศ์กอญัรคือ อะฆา มุฮัมมัด ผู้เป็นข่านของตระกูลหนึ่งในชนเผ่ากอญัร เขาได้รับการเลี้ยงดูในราชสำนักซาฟาวิดตอนปลาย และมีชื่อเสียงด้านความเด็ดขาดและความสามารถทางทหาร แม้จะถูกตอนตั้งแต่เยาว์วัยเพื่อป้องกันการแย่งอำนาจ แต่เขากลับเติบโตเป็นผู้นำที่แข็งแกร่ง[8] ซึ่งหลังจากราชวงศ์ซันฎ์อ่อนแอ เขาเริ่มรวบรวมดินแดนและจัดตั้งศูนย์กลางอำนาจใหม่ โดยอาศัยกำลังทหารและการวางอำนาจเชิงเครือญาติ เมื่อสามารถปราบปรามศัตรูทางเหนือและใต้ได้สำเร็จ เขาจึงประกาศสถาปนาตนเองเป็นชาห์แห่งอิหร่านในปี 1789 และทำพิธีราชาภิเษกที่เตหะรานในปี 1796 นับเป็นจุดเริ่มต้นของราชวงศ์กอญัร[9]
ราชวงศ์กอญัรพยายามฟื้นฟูโครงสร้างรัฐของอิหร่านหลังยุคความวุ่นวาย โดยวางรากฐานระบบราชการ การเก็บภาษี และความสัมพันธ์ระหว่างแคว้นต่าง ๆ ภายใต้แนวคิด "มะมาเลกมะห์รูเซห์ เย อีราน" (รักขิตประเทศอิหร่าน) ซึ่งเน้นว่าราชสำนักมีบทบาทเป็นผู้อารักขารัฐมากกว่าผู้ปกครองแบบเบ็ดเสร็จ[10] พระเจ้าอะฆา มุฮัมมัด ชาห์ มีเป้าหมายที่ชัดเจนในการฟื้นฟูดินแดนเก่าของภายใต้ราชวงศ์ซาฟาวิด โดยเฉพาะจอร์เจีย ซึ่งเป็นดินแดนยุทธศาสตร์ในคอเคซัส
การบุกยึดจอร์เจียและแถบคอเคซัส
[แก้]ภายหลังจากการเสด็จสวรรคตของชาห์นาเดอร์ อาณาจักร Kartli และ Kakheti ได้ปลดแอกจากการปกครองของชาวอิหร่าน และรวมตัวเป็นราชอาณาจักร Kartli-Kakheti ภายใต้การปกครองของกษัตริย์นาม Heraclius II (Erekle II) ในปี 1762 ซึ่งระหว่างปี 1747 ถึง 1795 Erekle สามารถรักษาเอกราชไว้ได้ตลอดยุคของราชวงศ์แซนด์ เนื่องจากเกิดความวุ่นวายภายในอิหร่าน[11] ต่อมาในปี 1783 Heraclius ได้นำอาณาจักรของพระองค์เข้าเป็นรัฐในอารักขาของจักรวรรดิรัสเซียโดยสนธิสัญญา Georgievsk ในช่วงทศวรรษท้ายๆของศตวรรษที่ 18 จอร์เจียได้กลายเป็นตัวแปรสำคัญของความสัมพันธ์ระหว่างรัสเซียและอิหร่าน ไม่เหมือนในรัชสมัยของปีเตอร์มหาราช แคทเธอรีนมหาราชินี ผู้ปกครองรัสเซียในเวลาต่อมา มองจอร์เจียเป็นจุดยุทธศาสตร์สำหรับนโยบายในภูมิภาคคอเคซัสของพระนาง และใช้จอร์เจียเป็นฐานปฏิบัติการต่อต้านอิหร่านและจักรวรรดิออตโตมัน[12] ซึ่งทั้งคู่เป็นคู่แข่งทางภูมิรัฐศาสตร์ที่มีชายแดนติดต่อกับรัสเซียโดยตรง ยิ่งไปกว่านั้น เป็นแนวคิดที่ดีหากจะมีท่าเรือเพิ่มบนชายฝั่งจอร์เจียซึ่งติดต่อทะเลดำ[13] กองทหารรักษาการณ์ของรัสเซียจำนวนสองกองพัน พร้อมด้วยปืนใหญ่สี่กระบอก ยาตราเข้าสู่เมืองทบิลีซีในปี 1784[11] แต่ก็ได้ถอนทัพออก เนื่องจากการประท้วงอย่างรุนแรงของชาวจอร์เจียน เมื่อรัสเซียก่อสงครามต่อจักรวรรดิออตโตมันในปี 1787 ก็ได้เริ่มบุกจากแนวหน้าที่อื่น[11]
![]() | ส่วนนี้รอเพิ่มเติมข้อมูล คุณสามารถช่วยเพิ่มข้อมูลส่วนนี้ได้ |
การปฏิวัติรัฐธรรมนูญ
[แก้]![]() | ส่วนนี้รอเพิ่มเติมข้อมูล คุณสามารถช่วยเพิ่มข้อมูลส่วนนี้ได้ |
การล่มสลายของราชวงศ์
[แก้]![]() | ส่วนนี้รอเพิ่มเติมข้อมูล คุณสามารถช่วยเพิ่มข้อมูลส่วนนี้ได้ |
อ้างอิง
[แก้]- ↑ Homa Katouzian, State and Society in Iran: The Eclipse of the Qajars and the Emergence of the Pahlavis, published by I. B. Tauris, 2006. pg 327: "In post-Islamic times, the mother-tongue of Iran's rulers was often Turkic, but Persian was almost invariably the cultural and administrative language."
- ↑ Katouzian 2007, p. 128.
- ↑ "Ardabil Becomes a Province: Center-Periphery Relations in Iran", H. E. Chehabi, International Journal of Middle East Studies, Vol. 29, No. 2 (May, 1997), 235; "Azeri Turkish was widely spoken at the two courts in addition to Persian, and Mozaffareddin Shah (r. 1896–1907) spoke Persian with an Azeri Turkish accent."
- ↑ Javadi & Burrill 1988, pp. 251–255.
- ↑ Donzel, Emeri "van" (1994). Islamic Desk Reference. BRILL. ISBN 90-04-09738-4. p. 285-286
- ↑ علیاصغر شمیم، ایران در دوره سلطنت قاجار، تهران: انتشارات علمی، ۱۳۷۱، ص ۲۸۷
- ↑ Amanat, Abbas. Iran: A Modern History. Yale University Press, 2017, p. 145.
- ↑ Lambton, Ann K. S. Qajar Persia: Eleven Studies. I.B. Tauris, 1987, pp. 10–12.
- ↑ Perry, John R. “Agha Mohammad Khan Qajar.” Encyclopaedia Iranica, Vol. I, Fasc. 6, 1984.
- ↑ Floor, Willem. Titles and Emoluments in Safavid Iran. Mage Publishers, 2008, pp. 238–240.
- ↑ 11.0 11.1 11.2 Fisher et al. 1991, p. 328.
- ↑ Mikaberidze 2011, p. 327.
- ↑ Fisher et al. 1991, p. 327.