รายชื่อแหล่งมรดกโลกในประเทศอินเดีย
หน้าตา
องค์การการศึกษา วิทยาศาสตร์ และวัฒนธรรมแห่งสหประชาชาติ (ยูเนสโก) ได้ขึ้นทะเบียนแหล่งมรดกโลกของประเทศอินเดียทั้งสิ้น 43 รายการ[1] ประกอบด้วยมรดกโลกทางวัฒนธรรม 35 รายการ มรดกโลกทางธรรมชาติ 7 รายการ และมรดกโลกแบบผสมอีก 1 รายการ
ที่ตั้ง
[แก้]สถานที่ที่ได้ขึ้นทะเบียนเป็นมรดกโลก
[แก้]แหล่งมรดกโลกทางวัฒนธรรม
[แก้]- *หมายเหตุ: ระบุชื่อสถานที่ตามที่ขึ้นทะเบียนในบัญชีมรดกโลก
สถานที่ | ภาพ | ที่ตั้ง | ประเภท | พื้นที่ ha (acre) |
ปี (พ.ศ./ค.ศ.) | หมายเหตุ | อ้างอิง |
---|---|---|---|---|---|---|---|
ป้อมอาครา | รัฐอุตตรประเทศ | วัฒนธรรม: (iii) |
2526/1983 | ป้อมปราการขนาดใหญ่ในเมืองอาคราซึ่งสร้างในคริสต์ศตวรรษที่ 16 เพื่อเป็นที่ประทับของจักรพรรดิราชวงศ์โมกุลประกอบไปด้วยตำหนักต่างๆ และมัสยิดที่ออกแบบด้วยสถาปัตยกรรมเฉพาะที่ที่เกิดจากการผสมผสานจากสถาปัตยกรรมฮินดู อิสลาม ตุรกี เปอร์เซีย เรียกว่าสถาปัตยกรรมโมกุล | [2] | ||
ถ้ำอชันตา | ![]() |
รัฐมหาราษฏระ | วัฒนธรรม: (i), (ii), (iii), (iv) |
2526/1983 | กลุ่มวัดถ้ำพระพุทธศาสนาที่เก่าแก่ที่สุดในโลก สร้างขึ้นในช่วงศตวรรษที่ 2 ก่อนคริสตกาล ก่อนจะต่อเติมอีกครั้งในช่วงคริสต์ศตวรรษที่ 5 ถึง 6 ภายในถ้ำจำนวน 30 ถ้ำเต็มไปด้วยงานแกะสลักหิน เป็นองค์เจดีย์ เป็นพระพุทธรูป และภาพจิตรกรรมฝาผนังถ้ำ เล่าเรื่องราวต่าง ๆ ในพุทธประวัติและชาดก | [3] | |
ถ้ำเอลโลรา | รัฐมหาราษฏระ | วัฒนธรรม: (i), (iii), (vi) |
2526/1983 | หมู่ศาสนสถานที่สร้างเป็นวิหารเจาะหินเข้าไปในภูเขาจำนวนนับร้อย ประกอบด้วยงานศิลปะและโบราณสถานของศาสนาฮินดู, ศาสนาพุทธ และศาสนาไชนะ อายุราวปี 600–1,000 ปี สร้างขึ้นในจักรวรรดิราษฏรกูฏ (สำหรับวิหารพุทธและฮินดู) และจักรวรรดิยาทวะ (วิหารไชนะ) สนับสนุนการก่อสร้างโดยกษัตริย์ ขุนนาง และผู้ค้าขายที่มั่งคั่งในแต่ละยุคสมัย | [4] | ||
ทัชมาฮาล | ![]() |
รัฐอุตตรประเทศ | วัฒนธรรม: (i) |
2526/1983 | อาคารฝังศพทำด้วยหินอ่อนสีขาวในเมืองอาครา สร้างขึ้นในคริสต์ศตวรรษที่ 17 โดยจักรพรรดิโมกุลนามว่าจักรพรรดิชาห์ชะฮันเพื่อตั้งศพของพระสนมเอก มุมตาช มหัล ตัวสุสานออกแบบสถาปัตยกรรมโมกุล ประกอบด้วยอาคารสุสาน มัสยิด เรือนรับรอง และสวนเปอร์เซีย | [5] | |
กลุ่มโบราณสถานแห่งมหาพลิปุรัม | ![]() |
รัฐทมิฬนาฑู | วัฒนธรรม: (i), (ii), (iii), (vi) |
2527/1984 | กลุ่มโบราณสถานที่สร้างขึ้นในช่วงคริสต์ศตวรรษที่ 3 ถึง 9 เป็นอดีตเมืองหลวงจักรวรรดิปัลลวะ ประกอบไปด้วยโบสถ์พราหมณ์ (โฆยิล) ทั้งวิหารที่เจาะเข้าไปในถ้ำและวิหารที่สร้างเป็นอาคาร รวมไปถึงงานแกะสลักหินอันงดงาม | [6] | |
เทวาลัยพระอาทิตย์ โกณารัก | ![]() |
รัฐโอฑิศา | วัฒนธรรม: (i), (iii), (vi) |
2527/1984 | มนเทียรบูชาพระสูรยะที่สร้างขึ้นในคริสต์ศตวรรษที่ 13 เป็นอาคารสถาปัตยกรรมคาลิงกะตอนปลายที่ยังคงเหลือร่องรอยงานศิลปะ ประติมานวิทยา และการแกะสลักที่วิจิตรตระการตา | [7] | |
โบสถ์และคอนแวนต์แห่งกัว | ![]() |
กัว | วัฒนธรรม: (ii), (iv), (vi) |
2529/1986 | ภายในเขตอดีตเมืองหลวงรัฐอาณานิคมโปรตุเกสในอินเดียประกอบไปด้วยโบสถ์และคอนแวนต์ที่ถูกสร้างเพื่อเป็นแหล่งศึกษาศาสนาและศาสนสถานของคณะนักบวชคาทอลิกและชาวโปรตุเกสที่เข้ามาทำการค้าที่กัว ในช่วงกลางคริสต์ศตวรรษที่ 16 เมืองแห่งนี้ยังเป็นศูนย์กลางการเผยแพร่คริสต์ศาสนาของดินแดนตะวันออก | [8] | |
ฟเตหปุระสีกรี | ![]() |
รัฐอุตตรประเทศ | วัฒนธรรม: (ii), (iii), (vi) |
2529/1986 | อดีตเมืองหลวงจักรวรรดิโมกุลระหว่างปี ค.ศ. 1571 ถึง 1585 ภายในตัวเมืองมีการออกแบบอาคารสถาปัตยกรรมโมกุลและวางผังเมือง ประกอบไปด้วยกำแพงเมืองรอบด้าน พระราชวัง ตำหนัก ฮาเร็ม ศาล มัสยิด และอาคารสาธารณูปโภคต่าง ๆ โดยได้อิทธิพลมาจากสถาปัตยกรรมเปอร์เซียและอาหรับ | [9] | |
กลุ่มโบราณสถานแห่งฮัมปี | ![]() |
รัฐกรณาฏกะ | วัฒนธรรม: (i), (iii), (iv) |
2529/1986 | อดีตเมืองหลวงจักรวรรดิวิชัยนคร ในช่วงคริสต์ศตวรรษที่ 14 เมืองแห่งนี้มีความเจริญรุ่งเรืองสูงสุดในเขตอินเดียตอนใต้ ประกอบไปด้วยป้อมปราการ, หมู่อาคารหลวงและศาสนสถาน, เทวาลัย, ศาล, หอที่มีเสา, มณฑป, อนุสาวรีย์, ตลาดรวมไปถึงระบบการจัดการน้ำที่ยังคงหลงเหลือในสภาพดี | [10] | |
กลุ่มโบราณสถานแห่งขชุราโห | รัฐมัธยประเทศ | วัฒนธรรม: (i), (iii) |
2529/1986 | กลุ่มมนเทียรจำนวน 25 แห่งที่ถูกสร้างขึ้นเพื่อบูชาเทพในศาสนาฮินดูกับศาสนาไชนะ มีความโดดเด่นในเรื่องการแกะสลักศิลปะเชิงกามารมณ์ที่เก่าแก่มาตั้งแต่ช่วงคริสต์ศตวรรษที่ 10 ถึง 11 รวมไปถึงการออกแบบศาสนสถานที่อิงตามความเชื่อของทั้งสองศาสนา | [11] | ||
ถ้ำเอลิแฟนตา | ![]() |
รัฐมหาราษฏระ | วัฒนธรรม: (i), (iii) |
2530/1987 | หมู่ถ้ำที่เป็นเทวสถานในศาสนาฮินดูที่สร้างขึ้นเพื่อบูชาพระศิวะเป็นหลัก ภายในหมู่ถ้ำเป็นรูปปั้นแกะสลักเข้าไปในหิน ประกอบด้วยโบสถ์พราหมณ์ลัทธิไศวะ 5 แห่งที่มีการแกะสลักพระศิวะในรูปต่าง ๆ รวมไปถึงเทพปกรณัมในลัทธิไศวนิกาย | [12] | |
มหาเทวสถานที่มีชีวิตแห่งโจฬะ | ![]() |
รัฐทมิฬนาฑู | วัฒนธรรม: (ii), (iii) |
2530/1987 | เทวสถานฮินดูที่สร้างขึ้นในสมัยจักรวรรดิโจฬะ หรือราวคริสต์ศตวรรษที่ 11 ถึง 12 ประกอบด้วย พฤหทีศวรมนเทียร (ตันชาวุร), คงไคโกนทะโจฬปุรัมมนเทียร และไอรวเตสวรมนเทียร | [13] | |
กลุ่มโบราณสถานแห่งปัฏฏทกัล | ![]() |
รัฐกรณาฏกะ | วัฒนธรรม: (iii), (iv) |
2530/1987 | หมู่เทวสถานในศาสนาฮินดูและไชนะสร้างขึ้นในคริสต์ศตวรรษที่ 7 และ 8 ช่วงราชวงศ์จาลุกยะด้วยสถาปัตยกรรมปทามี-จาลุกยะซึ่งพบเห็นมากในเขตลุ่มน้ำมาลประภา ถูกสร้างขึ้นเพื่อบูชาพระศิวะ รวมถึงปรากฏลักษณะเทววิทยาและตำนานแบบลัทธิไวษณพและลัทธิศักติ | [14] | |
กลุ่มพุทธสถานที่สาญจี | ![]() |
รัฐมัธยประเทศ | วัฒนธรรม: (i), (ii), (iii), (iv), (vi) |
2532/1989 | สถูปหินซึ่งสร้างโดยคำสั่งของพระเจ้าอโศกมหาราชในช่วงพุทธศตวรรษที่ 3 หรือในสมัยราชวงศ์โมริยะ สร้างขึ้นเพื่อเป็นการให้เกียรติและที่เก็บรักษาพระบรมสารีริกธาตุ รอบ ๆ สถูปมีการตกแต่งศิลปะอินเดียโบราณที่เป็นอิทธิพลในการก่อสร้างสถูปศาสนาพุทธในดินแดนต่าง ๆ | [15] | |
หลุมฝังพระบรมศพของจักรพรรดิหุมายูง เดลี | ![]() |
เดลี | วัฒนธรรม: (ii), (iv) |
2536/1993 | สุสานหลวงที่บรรจุพระบรมศพของจักรพรรดิหุมายูงแห่งจักรวรรดิโมกุล บุคคลผู้นำวัฒนธรรมเปอร์เซียเข้ามาเผยแพร่ในราชสำนักโมกุล ตัวสุสานถูกออกแบบให้เป็นสถาปัตยกรรมเปอร์เซียที่เน้นการวาดลวดลายเรขาคณิต และการออกแบบสวนเปอร์เซียรวมไปถึงกลุ่มสุสานขุนนาง โรงพักม้า และมัสยิด | [16] | |
กุตุบมีนาร์และโบราณสถาน เดลี | ![]() |
เดลี | วัฒนธรรม: (iv) |
2536/1993 | หมู่อนุสรณ์สถานและอาคารจากสมัยรัฐสุลต่านเดลีในช่วงคริสต์ศตวรรษที่ 14 ประกอบไปด้วยหออะษานกุตุบมีนาร์ มัสยิดกุบบัต-อุล-อิสลาม ประตูอาไลดาร์วาซา โรงเรียนสอนศาสนา หลุมฝังศพ ตำหนักฤดูร้อนของจักรพรรดิ และโลหะสตมภ์ | [17] | |
ทางรถไฟสายภูเขาแห่งอินเดีย | ![]() |
วัฒนธรรม: (ii), (iv) |
88.99 ha; พื้นที่กันชน 644.88 ha | 2542/1999 | กลุ่มเส้นทางรถไฟที่ถูกสร้างขึ้นในช่วงที่อินเดียยังคงเป็นรัฐอาณานิคมของอังกฤษราวปลายคริสต์ศตวรรษที่ 19 ถึงต้นคริสต์ศตวรรษที่ 20 โดยเป็นเส้นทางที่ปลายทางเป็นเมืองบนภูเขาสูงชันเพื่อเชื่อมต่อเส้นทางคมนาคมสำหรับการค้าขาย ประกอบด้วย 1. ทางรถไฟสายหิมาลัยดาร์จีลิง 2. ทางรถไฟสายกาลกา–ศิมลา และ 3. ทางรถไฟสายภูเขานีลคีรี | [18] | |
กลุ่มวัดมหาโพธิที่พุทธคยา | ![]() |
รัฐพิหาร | วัฒนธรรม: (i), (ii), (iii), (iv), (vi) |
2545/2002 | พุทธสังเวชนียสถานที่สำคัญที่สุดและเป็นสถานที่ศักดิ์สิทธิ์ที่สุดของชาวพุทธทั่วโลกในฐานะจุดเริ่มต้นของพระพุทธศาสนา โดยเป็นสถานที่ที่เจ้าชายสิทธัตถะตรัสรู้พระอนุตตรสัมมาสัมโพธิญาณเป็นสมเด็จพระบรมศาสดาสัมมาสัมพุทธเจ้าใต้ต้นพระศรีมหาโพธิ์เมื่อ 2,500 ปีก่อน | [19] | |
เพิงหินภีมเพฏกา | ![]() |
รัฐมัธยประเทศ | วัฒนธรรม: (iii), (v) |
2546/2003 | ร่องรอยจิตรกรรมถ้ำซึ่งเป็นหลักฐานถึงการมีอยู่ของมนุษย์ที่เก่าแก่ที่สุดในอินเดียช่วงยุคพาเลโอลิธิกถึงเมโซลิธิก มีอายุราว 100,000 ถึง 10,000 ปี | [20] | |
อุทยานโบราณคดีจัมปาเนร์-ปาวาครห์ | รัฐคุชราต | วัฒนธรรม: (iii), (v), (v), (vi) |
2547/2004 | อดีตเมืองในช่วงจักรวรรดิจาวทา ก่อตั้งในคริสต์ศตวรรษที่ 8 โดยราชาวันราช จาวทา ภายในเขตเมืองประกอบด้วยโบราณสถานที่มีตั้งแต่วัง, ประตูเมือง, ซุ้มประตู, สุสาน ที่อยู่อาศัย, สิ่งก่อสร้างเพื่อการเกษตร และสิ่งก่อสร้างทางชลประทาน เช่น ชลาคารกับเขื่อน ที่มีอายุตั้งแต่คริสต์ศตวรรษที่ 8 ถึง 14 รวมไปถึงโบสถ์พราหมณ์และมัสยิดที่เปลี่ยนผ่านจากวัฒนธรรมและสถาปัตยกรรมฮินดูไปสู่วัฒนธรรมและสถาปัตยกรรมอิสลามในปลายคริสต์ศตวรรษที่ 15 ถึงต้นคริสต์ศตวรรษที่ 16 | [21] | ||
สถานีปลายทางฉัตรปติศิวาชี (สถานีปลายทางวิกตอเรียเดิม) | ![]() |
รัฐมหาราษฏระ | วัฒนธรรม: (ii), (iv) |
2547/2004 | สถานีรถไฟปลายทางในนครมุมไบซึ่งสร้างขึ้นเมื่อปี ค.ศ. 1878 และเสร็จในปี ค.ศ. 1887 ในปีที่สิริราชสมบัติครบ 50 ปีของพระนางเจ้าวิคตอเรีย ออกแบบตัวอาคารด้วยรูปแบบสถาปัตยกรรมอิตาเลียนกอธิกผสมผสานกับสถาปัตยกรรมอินเดีย สามารถรองรับรถไฟทั้งขบวนชานเมืองและขบวนทางไกล รวมไปถึงเป็นสำนักงานในการดูแลเครือข่ายเส้นทางรถไฟในเขตตอนกลางของประเทศ | [22] | |
ป้อมแดง | ![]() |
เดลี | วัฒนธรรม: (ii), (iii), (vi) |
2550/2007 | ป้อมปราการภายในเขตเมืองเก่าเดลี และยังเป็นที่ประทับของจักรพรรดิแห่งราชวงศ์โมกุลของเมืองหลวงแห่งใหม่หลังจากย้ายมาจากเมืองอาคราในศตวรรษที่ 17 ออกแบบสถาปัตยกรรมที่ผสมผสานระหว่างโมกุลกับเปอร์เซีย ตัวป้อมล้อมรอบด้วยกำแพงสีแดงและประตูป้อมที่ตกแต่งอย่างสวยงาม ภายในประกอบไปด้วยศาลา ตำหนัก โรงอาบน้ำ มัสยิด หอประชุมและปสาน | [23] | |
ชันตรมันตระ ชัยปุระ | ![]() |
รัฐราชสถาน | วัฒนธรรม: (iii), (vi) |
2553/2010 | แหล่งศึกษาค้นคว้าดาราศาสตร์ที่ถูกสร้างขึ้นโดยราชาราชปุต สไว ชัย สิงห์ ที่สอง ผู้ก่อตั้งนครชัยปุระ ประกอบไปด้วยกลุ่มหอคอยดูดาว ปฎิทินดวงดาว และนาฬิกาแดดอันเป็นหลักฐานการศึกษาทางด้านดาราศาสตร์และแนวความคิดจักรวาลวิทยาในคริสต์ศตวรรษที่ 18 | [24] | |
ป้อมเนินแห่งราชสถาน | ![]() |
รัฐราชสถาน | วัฒนธรรม: (ii), (iii) |
2556/2013 | ป้อมปราการโบราณที่สร้างตามภูมิประเทศเขาของรัฐราชสถานในช่วงคริสต์ศตวรรษที่ 8 ถึง 18 โดยกลุ่มราชปุตจากอาณาจักรต่าง ๆ ประกอบด้วย 1. ป้อมจิตโตร์ 2. ป้อมกุมภาลครห์ 3. ป้อมรันตัมบอร์ 4. ป้อมคาโครน 5. ป้อมอาเมร์ และ 6. ป้อมไชสัลเมร์ | [25] | |
รานี-กี-วาว (บ่อน้ำขั้นบันไดของพระราชินี) ที่ปาฏัณ รัฐคุชราต | ![]() |
รัฐคุชราต | วัฒนธรรม: (i), (iv) |
2557/2014 | บ่อน้ำขั้นบันไดในรัฐคุชราตอันเป็นผลงานการออกแบบด้วยสถาปัตยกรรมมรู-คุรชรในสมัยจักรวรรดิจลุกยะ ถูกสร้างขึ้นเพื่อระลึกถึงกษัตริย์ภีมะที่หนึ่งโดยราชินีอุทยมตี ใช้เวลาก่อสร้างนานถึง 20 ปี ภายในบ่อน้ำมีการตกแต่งลายฉลุ รูปปั้นเหล่าเทพในศาสนาฮินดูและนางอัปสร | [26] | |
แหล่งโบราณคดีนาลันทามหาวิหาร (มหาวิทยาลัยนาลันทา) ที่นาลันทา พิหาร | ![]() |
รัฐพิหาร | วัฒนธรรม: (iv), (vi) |
2559/2016 | อดีตมหาวิทยาลัยทางด้านการศึกษาพระพุทธศาสนาในสมัยอาณาจักรมคธ และเป็นศูนย์กลางในการเผยแพร่พระพุทธศาสนามาเป็นเวลากว่า 800 ปี โดยเฉพาะในสมัยคุปตะหรือราวคริสต์ศตวรรษที่ 3-6 ซึ่งถือได้ว่าเป็นยุคทองทางด้านวิชาการและศาสนา จึงมีการศึกษาหลากหลายแขนงในเขตนาลันทา ทั้งวรรณคดี พระไตรปิฎก ปรัชญา วิทยาศาสตร์ รวมไปถึงแนวคิดทางศาสนาฮินดู | [27] | |
งานสถาปัตยกรรมของเลอกอร์บูซีเย คุณูปการอันโดดเด่นต่อขบวนการสมัยใหม่ (ร่วมกับญี่ปุ่น เบลเยียม ฝรั่งเศส เยอรมนี สวิตเซอร์แลนด์ และอาร์เจนตินา) |
![]() |
จัณฑีครห์ | วัฒนธรรม: (i) (ii) (vi) |
2559/2016 | สถานที่ที่ขึ้นทะเบียนได้แก่ จัณฑีครห์แคปิตอลคอมเพลกซ์ ศูนย์ราชการที่มีการออกแบบสถาปัตยกรรมสมัยใหม่โดยเลอ กอร์บูซีเยในเมืองจัณฑีครห์ เมืองที่ถูกสร้างขึ้นมาเพื่อเป็นเมืองหลวงของรัฐปัญจาบและรัฐหรยาณา โดยมีวางผังเมืองและก่อสร้างสถานที่ราชการที่มีสถาปัตยกรรมแปลกตาในช่วงต้นคริสต์ทศวรรษ 1950 อันเป็นช่วงที่อินเดียเพิ่งได้รับเอกราช ประกอบด้วยอาคารสภานิติบัญญัติ อาคารสำนักเลขาธิการ อาคารศาลสูง และกลุ่มอนุสาวรีย์ภายในศูนย์ราชการ | [28] | |
นครประวัติศาสตร์อัห์มดาบาด | ![]() |
รัฐคุชราต | วัฒนธรรม: (ii) (v) |
535.7; พื้นที่กันชน 395 | 2560/2017 | เมืองอะห์มดาบาดถือเป็นเมืองเก่าแก่มาตั้งแต่คริสต์ศตวรรษที่ 15 และเคยเป็นเมืองหลวงของรัฐสุลต่านคุชราตจนถึงช่วงปลายคริสต์ศตวรรษที่ 16 ก่อนจะกลายมาเป็นเมืองหลวงของรัฐคุชราตในปัจจุบัน ด้วยชัยภูมิของเมืองที่ตั้งอยู่ริมแม่น้ำสาพรมตี จึงมีการก่อสร้างป้อมปราการล้อมรอบเมืองประกอบด้วยประตูเมืองแปดประตูที่เป็นรูปแบบศิลปะอิสลาม ภายในตัวป้อมมีอาคารที่มีรูปแบบสถาปัตยกรรมที่ผสมผสานหลากหลายวัฒนธรรม จนเป็นเอกลักษณ์เฉพาะถิ่นของเมืองแห่งนี้ | [29] |
กลุ่มอาคารกอทิกวิกตอเรียและอลังการศิลป์แห่งมุมไบ | ![]() |
นครมุมไบ | วัฒนธรรม: (ii) (iv) |
66.34; พื้นที่กันชน 378.78 | 2561/2018 | ในช่วงคริสต์ศตวรรษที่ 19 มีการก่อสร้างอาคารสถาปัตยกรรมฟื้นฟูกอธิคหลายแห่งในเมือมุมไบ โดยในบางอาคารมีการผสมผสานศิลปะอินเดียกับสถาปัตยกรรมฟื้นฟูกอธิค ประกอบไปด้วยสถานที่ราชการ วิทยาลัย ธนาคาร พิพิธภัณฑ์ รวมไปถึงมหาวิทยาลัยมุมไบและฉัตรปตี ศิวาจี มหาราช วัสตุสังครหาลัย ต่อมาในช่วงต้นคริสต์ศตวรรษที่ 20 ก่อนเรียกร้องเอกราชจากอังกฤษ มีการออกแบบอาคารศิลปะแบบอาร์ตเดโคหลายแห่งในเมืองมุมไบ โดยเฉพาะบริเวณโอวัล ไมดานและมารีน่าไดร์ฟซึ่งเป็นย่านมั่งมีของเมืองมุมไบในตอนนั้น | [30] |
เมืองชัยปุระ ราชสถาน | ![]() |
รัฐราชสถาน | วัฒนธรรม: (ii) (iv) (vi) |
710; พื้นที่กันชน 2,205 | 2562/2019 | ชัยปุระถือเป็นเมืองสำคัญของอินเดียในฐานะเมืองหลวงและเมืองที่ใหญ่ที่สุดในรัฐราชสถาน ก่อตั้งโดยมหาราชาสวาอี ชัยสิงห์ที่ 2 ในปี ค.ศ. 1727 เมืองแห่งนี้มีการวางผังเมืองโดยทำถนนเป็นตารางแบบชัดเจนซึ่งแตกต่างจากเมืองอื่นๆ ในอนุทวีปอินเดียโดยใช้หลักการคณิตศาสตร์ รวมไปถึงการก่อสร้างพระราชวัง ถนน จัตุรัส กำแพงเมืองและประตูเมืองที่อิงตามตำราหลักสถาปัตยกรรมโบราณของอินเดีย | [31] |
กากติยารุทเรศวรมนเทียร (รามัปปามนเทียร) เตลังคานา | ![]() |
รัฐเตลังคานา | วัฒนธรรม: (i) (iii) |
5.93; พื้นที่กันชน 66.27 | 2564/2021 | ศิวาลัยหรือเทวาลัยที่บูชาพระศิวะแห่งเดียวในอินเดียที่ใช้ชื่อผู้ออกแบบเทวาลัยแห่งนี้เป็นชื่อเทวาลัย ก่อสร้างขึ้นในคริสต์ศตวรรษที่ 13 โดยใช้หินทรายแดงก่อเป็นฐานและตัวอาคาร ส่วนเสาค้ำจุนตัวอาคารเทวาลัยเป็นหินบะซอลต์อุดมไปด้วยแร่ธาตุที่ถูกแกะสลักลวดลายเป็นสัตว์ในเทพปรนัมและเหล่าสตรีที่กำลังร้องเล่นเต้นรำ นับเป็นผลงานสถาปัตยกรรมกัตติยะที่สมบูรณ์ที่สุดแม้จะผ่านภัยธรรมชาติและสงครามมาหลายครั้ง | [32] |
โธฬาวีรา นครอารยธรรมฮารัปปา | รัฐคุชราต | วัฒนธรรม: (iii) (iv) |
103; พื้นที่กันชน 4,865 | 2564/2021 | หนึ่งในอดีตเมืองใหญ่หลายๆ เมืองในช่วงที่อารยธรรมลุ่มแม่น้ำสินธุรุ่งเรือง ในปี ค.ศ.1968 มีการสำรวจทางโบราณคดีพบว่าอดีตเมืองแห่งนี้มีผู้คนอาศัยอยู่ในช่วง 2,650 ปีก่อนคริสตกาลก่อนที่จำนวนประชากรจะลดลงและเพิ่มขึ้นมาอีกครั้งในช่วง 1,450 ปีก่อนคริสตกาล อันเป็นหลักฐานชัดเจนในช่วงยุคสมัยสำริดของอินเดีย ภายในเขตโบราณสถานยังประกอบไปด้วยกำแพงเมืองล้อมรอบ สุสาน ระบบจัดการน้ำ และมีหลักฐานว่าอดีตเมืองแห่งนี้มีการติดต่อค้าขายกับเมืองอื่นๆ | [33] | |
ศานตินิเกตัน | ![]() |
รัฐเบงกอลตะวันตก | วัฒนธรรม: (iv) (vi) |
36; พื้นที่กันชน 537.73 | 2566/2023 | อาศรมที่ก่อตั้งโดยนักปราชญ์เทเวนทรนาถ ฐากุรในปี ค.ศ.1863 อันเป็นสถานพำนักของเขาที่ได้รับแรงบันดาลใจมาจากเดอะคริสตัลพาลิซในกรุงลอนดอน และกลายมาเป็นสถานศึกษาในอุดมคติเพื่อเพิ่มพูนคุณภาพชีวิตและสังคมในเขตชนบทรัฐเบงกอลตะวันตกโดยพัฒนาจิตใจและสติปัญญาเพื่อให้เข้าใจวิถีโลกและพัฒนาสังคม ในปี ค.ศ.1951 รัฐบาลอินเดียได้ยกระดับพื้นที่ของศานตินิเกตันเป็นมหาวิทยาลัยท้องถิ่น | [34] |
กลุ่มปูชนียสถานของชาวโหยสฬะ | ![]() |
รัฐกรณาฏกะ | วัฒนธรรม: (i), (ii), (iv) |
10.47; พื้นที่กันชน 195.87 | 2566/2023 | เทวาลัยรูปแบบสถาปัตยกรรมโหยสฬะของอินเดียตอนใต้ผสมผสานกับสถาปัตยกรรมดราวิเดียนของอินเดียตอนเหนือ ซึ่งก่อสร้างในช่วงคริสต์ศตวรรษที่ 12-13 หรือราวยุคกลางของสมัยจักรวรรดิโหยสฬะ ประกอบด้วย 1) จันนเกศวเทวาลัย 2) โหยสเฬสวรเทวาลัย และ 3) เกศวเทวาลัย เพื่อประกอบพิธีบูชาพระวิษณุและพระศิวะในลัทธิไวษณพและลัทธิไศวะ | [35] |
ไมดาม – ระบบเนินดินฝังศพของราชวงศ์อาหม | ![]() |
รัฐอัสสัม | วัฒนธรรม: (iii), (iv) |
95.02; พื้นที่กันชน 793.7 | 2567/2024 | [36] |
แหล่งมรดกโลกทางธรรมชาติ
[แก้]- *หมายเหตุ: ระบุชื่อสถานที่ตามที่ขึ้นทะเบียนในบัญชีมรดกโลก
สถานที่ | ภาพ | ที่ตั้ง | ประเภท | พื้นที่ ha (acre) |
ปี (พ.ศ./ค.ศ.) | หมายเหตุ | อ้างอิง |
---|---|---|---|---|---|---|---|
อุทยานแห่งชาติกาซีรังคา | ![]() |
รัฐอัสสัม | ธรรมชาติ: (ix), (x) |
2528/1985 | กาซีรังคาเป็นเขตอนุรักษ์ขนาดใหญ่ที่ตั้งอยู่ในเขตที่ราบลุ่มริมฝั่งแม่น้ำพรหมบุตร เป็นแหล่งที่อยู่อาศัยของแรดอินเดียที่มีจำนวนมากที่สุดในอินเดีย รวมไปถึงสัตว์หลากหลายชนิด เช่น เสือเบงกอล ควายป่า กวางบึง ช้างอินเดีย และพันธุ์นกอพยพทางตอนเหนือที่พบได้ในเขตพื้นที่ชุ่มน้ำของอุทยาน | [37] | |
เขตรักษาพันธุ์สัตว์ป่ามานสะ | ![]() |
รัฐอัสสัม | ธรรมชาติ: (vii), (ix), (x) |
2528/1985 | เขตอนุรักษ์ที่ตั้งริมฝั่งแม่น้ำมานสะอันเป็นแม่น้ำสาขาของแม่น้ำพรหมบุตร เป็นพื้นที่ที่มีความหลากหลายทางชีวภาพตั้งแต่พื้นที่ลุ่มน้ำ ทุ่งหญ้า ป่ากึ่งป่าดิบ ป่าผลัดใบ จึงเป็นแหล่งที่อยู่อาศัยของสัตว์ป่ามากมาย เช่น หมูป่าแคระ แรดอินเดีย ควายป่าเอเชีย นกฟลอริแคนเบงกอล เสือดาวอินเดีย รวมไปถึงพืชพันธุ์ที่พบได้ในเขตร้อนชื้น เช่น หว้า ชงโค กระโดน อินทนิล เพกา เป็นต้น | [38] | |
อุทยานแห่งชาติเกวลาเทวะ | ![]() |
รัฐราชสถาน | ธรรมชาติ: (x) |
2528/1985 | พื้นที่ชุ่มน้ำที่ในอดีตเคยเป็นแหล่งล่านกของเหล่ามหาราชา ก่อนจะถูกตั้งเป็นเขตอนุรักษ์ในปี ค.ศ.1976 และตั้งเป็นอุทยานแห่งชาติในปี ค.ศ.1982 เป็นแหล่งที่อยู่อาศัยของนกหลากหลายสายพันธุ์ ทั้งนกท้องถิ่น เช่น นกกาน้ำปากยาว นกปากห่าง นกกระทุง เป็ดคับแค และนกที่บินอพยพมาจากตอนเหนือในช่วงฤดูหนาว เช่น นกเป็ดน้ำยูเรเซียน ห่านหัวลาย นกกาน้ำใหญ่ นกกระเรียนไซบีเรียน รวมไปถึงเป็นแหล่งที่อยู่อาศัยของสัตว์ป่าท้องถิ่นในรัฐราชสถาน | [39] | |
อุทยานแห่งชาติสุนทรพน | ![]() |
รัฐเบงกอลตะวันตก | ธรรมชาติ: (ix), (x) |
2530/1987 | พื้นที่อนุรักษ์อันเป็นป่าชายเลนบริเวณดินดอนปากแม่น้ำคงคาและแม่น้ำพรหมบุตร เป็นป่าชายเลนที่มีความอุดมสมบูรณ์มากที่สุดโดยมีต้นโกงกางมากกว่า 70 สายพันธุ์ และเป็นแหล่งอนุรักษ์ของเสือโคร่งเบงกอลที่ขนาดใหญ่ที่สุดในอินเดีย รวมไปถึงเป็นแหล่งอนุบาลสัตว์ทะเล และเป็นที่อยู่อาศัยของเต่าทะเล โลมาน้ำจืด และนกหลากหลายสายพันธุ์ | [40] | |
อุทยานแห่งชาตินันทาเทวีและพนมบุปผา | รัฐอุตตราขัณฑ์ | ธรรมชาติ: (vii), (x) |
2531/1988 | พื้นที่โดยรอบของยอดเขานันทาเทวีซึ่งเป็นยอดเขาที่มีความสูงเป็นอันดับสองของอินเดียเป็นที่ตั้งของสองอุทยานแห่งชาติ ประกอบด้วย 1) อุทยานแห่งชาตินันทาเทวี อันเป็นแหล่งอุดมไปด้วยภูเขาสูงชันในเขตเทือกเขาหิมาลัยและเป็นแหล่งที่อยู่อาศัยของสัตว์ป่าท้องถิ่น เช่น เสือดาวหิมะ ค่างหนุมาน หมีควาย และ 2) อุทยานแห่งชาติพนมบุปผา ที่มีความโดดเด่นทางภูมิประเทศที่มีความสวยงามและแหล่งรวบรวมสายพันธุ์พืชและไม้ดอกกว่า 500 สายพันธุ์ ซึ่งบางสายพันธุ์พบได้เฉพาะในเขตอุทยานแห่งนี้เท่านั้น | [41] | ||
เทือกเขาฆาฏตะวันตก | ![]() |
รัฐเกรละ กรณาฏกะ ทมิฬนาฑู และมหาราษฏระ | ธรรมชาติ: (ix) (x) |
2555/2012 | เทือกเขาขนาดใหญ่ทางฝั่งตะวันตกของอินเดียที่เกิดขึ้นจากการยุบตัวของทวีปกอนด์วานาในช่วงปลายยุคจูแรสซิกจนถึงช่วงต้นยุคครีเทเชียส ถูกเรียกว่าเป็นผาใหญ่แห่งอินเดียที่พาดขนานไปกับชายฝั่งตะวันตกซึ่งติดกับทะเลอาหรับและที่ราบสูงเดกกัน พาดผ่านตั้งแต่รัฐคุชราต รัฐมหาราษฏระ รัฐกัว รัฐกรณาฏกะ รัฐเกรละ และรัฐทมิฬนาฑู เนื่องด้วยภูมิประเทศที่เป็นภูเขาสูงชันและป่าเขตร้อน จึงเป็นที่ตั้งของอุทยานแห่งชาติ เขตรักษาพันธุ์สัตว์ป่า และพื้นที่ป่าสงวนจำนวน 39 แห่งอันเป็นแหล่งที่อยู่อาศัยของสัตว์ป่าและพืชพรรณนานาชนิด | [42] | |
อุทยานแห่งชาติหิมาลัยใหญ่ | ![]() |
รัฐหิมาจัลประเทศ | ธรรมชาติ: (vii), (x) |
2557/2014 | แหล่งอนุรักษ์อันประกอบไปด้วยทุ่งหญ้าทุนดราและป่าสนที่อยู่สูงกว่าระดับน้ำทะเลระหว่าง 1,500-6,000 เมตร เป็นแหล่งรวบรวมพืชพรรณท้องถิ่นและแหล่งที่อยู่อาศัยของสัตว์ป่ามากมาย ประกอบไปด้วยสัตว์เลี้ยงลูกด้วยน้ำนม 31 ชนิด นก 181 ชนิด สัตว์เลื้อยคลาน 3 ชนิด สัตว์ครึ่งบกครึ่งน้ำ 9 ชนิด หนอนปล้อง 11 ชนิด หอย 17 ชนิด และแมลง 127 ชนิด | [43] |
แหล่งมรดกโลกแบบผสม
[แก้]- *หมายเหตุ: ระบุชื่อสถานที่ตามที่ขึ้นทะเบียนในบัญชีมรดกโลก
สถานที่ | ภาพ | ที่ตั้ง | ประเภท | พื้นที่ ha (acre) |
ปี (พ.ศ./ค.ศ.) | หมายเหตุ | อ้างอิง |
---|---|---|---|---|---|---|---|
อุทยานแห่งชาติคังเชนเซิงงา | ![]() |
รัฐสิกขิม | ผสม: (iii) (vi) (vii) (x) |
2559/2016 | อุทยานแห่งชาติคังเชนเซิงงาตั้งอยู่ในเขตบริเวณยอดเขาคังเชนเซิงงา หนึ่งในยอดเขาที่สูงเป็นอันดับสามของโลกในเขตเทือกเขาหิมาลัยและเป็นภูเขาศักดิ์สิทธิ์ตามความเชื่อศาสนาพุทธทิเบต รวมไปถึงความเชื่อท้องถิ่นต่างๆ ของชนเผ่าเล็บซาและชนเผ่าลิมบูในรัฐสิกขิม ภายในตัวอุทยานยังคงความสมบูรณ์ทางธรรมชาติไว้ ทั้งธารน้ำแข็ง ป่าเบญจพรรณเขตอบอุ่น และสัตว์หลากหลายชนิด โดยเฉพาะสัตว์ปีก เช่น ไก่ฟ้าสีเลือด แร้งสีน้ำตาลหิมาลัย แร้งเครา นกกระทาทิเบต เป็นต้น | [44] |
สถานที่ที่ได้ขึ้นบัญชีรายชื่อเบื้องต้น
[แก้]ประเทศอินเดียมีสถานที่ที่ได้รับขึ้นบัญชีรายชื่อเบื้องต้น (Tentative List) เพื่อพิจารณาเป็นมรดกโลกในอนาคตทั้งสิ้น 56 รายการ[1]
อ้างอิง
[แก้]- ↑ 1.0 1.1 "World Heritage Properties in India". UNESCO. สืบค้นเมื่อ 18 กันยายน 2023.
- ↑ "Agra Fort". UNESCO. สืบค้นเมื่อ 29 ตุลาคม 2015.
- ↑ "Ajanta Caves". UNESCO. สืบค้นเมื่อ 29 ตุลาคม 2015.
- ↑ "Ellora Caves". UNESCO. สืบค้นเมื่อ 29 ตุลาคม 2015.
- ↑ "Taj Mahal". UNESCO. สืบค้นเมื่อ 29 ตุลาคม 2015.
- ↑ "Group of Monuments at Mahabalipuram". UNESCO. สืบค้นเมื่อ 29 ตุลาคม 2015.
- ↑ "Sun Temple, Konârak". UNESCO. สืบค้นเมื่อ 29 ตุลาคม 2015.
- ↑ "Churches and Convents of Goa". UNESCO. สืบค้นเมื่อ 29 ตุลาคม 2015.
- ↑ "Fatehpur Sikri". UNESCO. สืบค้นเมื่อ 29 ตุลาคม 2015.
- ↑ "Group of Monuments at Hampi". UNESCO. สืบค้นเมื่อ 29 ตุลาคม 2015.
- ↑ "Khajuraho Group of Monuments". UNESCO. สืบค้นเมื่อ 29 ตุลาคม 2015.
- ↑ "Elephanta Caves". UNESCO. สืบค้นเมื่อ 29 ตุลาคม 2015.
- ↑ "Great Living Chola Temples". UNESCO. สืบค้นเมื่อ 29 ตุลาคม 2015.
- ↑ "Group of Monuments at Pattadakal". UNESCO. สืบค้นเมื่อ 29 ตุลาคม 2015.
- ↑ "Buddhist Monuments at Sanchi". UNESCO. สืบค้นเมื่อ 29 ตุลาคม 2015.
- ↑ "Humayun's Tomb, Delhi". UNESCO. สืบค้นเมื่อ 29 ตุลาคม 2015.
- ↑ "Qutb Minar and its Monuments, Delhi". UNESCO. สืบค้นเมื่อ 29 ตุลาคม 2015.
- ↑ "Mountain Railways of India". UNESCO. สืบค้นเมื่อ 29 ตุลาคม 2015.
- ↑ "Mahabodhi Temple Complex at Bodh Gaya". UNESCO. สืบค้นเมื่อ 29 ตุลาคม 2015.
- ↑ "Rock Shelters of Bhimbetka". UNESCO. สืบค้นเมื่อ 29 ตุลาคม 2015.
- ↑ "Champaner-Pavagadh Archaeological Park". UNESCO. สืบค้นเมื่อ 29 ตุลาคม 2015.
- ↑ "Chhatrapati Shivaji Terminus (formerly Victoria Terminus)". UNESCO. สืบค้นเมื่อ 29 ตุลาคม 2015.
- ↑ "Red Fort Complex". UNESCO. สืบค้นเมื่อ 29 ตุลาคม 2015.
- ↑ "The Jantar Mantar, Jaipur". UNESCO. สืบค้นเมื่อ 29 ตุลาคม 2015.
- ↑ "Hill Forts of Rajasthan". UNESCO. สืบค้นเมื่อ 29 ตุลาคม 2015.
- ↑ "Rani-ki-Vav (the Queen's Stepwell) at Patan, Gujarat". UNESCO. สืบค้นเมื่อ 29 ตุลาคม 2015.
- ↑ "Archaeological Site of Nalanda Mahavihara (Nalanda University) at Nalanda, Bihar". UNESCO. สืบค้นเมื่อ 16 กรกฎาคม 2016.
- ↑ "The Architectural Work of Le Corbusier, an Outstanding Contribution to the Modern Movement". UNESCO. สืบค้นเมื่อ 18 กรกฎาคม 2016.
- ↑ "Historic City of Ahmadabad". UNESCO. สืบค้นเมื่อ 9 กรกฎาคม 2017.
- ↑ "Victorian Gothic and Art Deco Ensembles of Mumbai". UNESCO. สืบค้นเมื่อ 1 กรกฎาคม 2018.
- ↑ "Jaipur City, Rajasthan". UNESCO. สืบค้นเมื่อ 9 กรกฎาคม 2019.
- ↑ "Kakatiya Rudreshwara (Ramappa) Temple, Telangana". UNESCO. สืบค้นเมื่อ 26 กรกฎาคม 2021.
- ↑ "Dholavira: a Harappan City". UNESCO. สืบค้นเมื่อ 28 กรกฎาคม 2021.
- ↑ "Santiniketan". UNESCO. สืบค้นเมื่อ 17 กันยายน 2023.
- ↑ "Sacred Ensembles of the Hoysalas". UNESCO. สืบค้นเมื่อ 18 กันยายน 2023.
- ↑ "Moidams – the Mound-Burial System of the Ahom Dynasty". UNESCO. สืบค้นเมื่อ 26 กรกฎาคม 2024.
- ↑ "Kaziranga National Park". UNESCO. สืบค้นเมื่อ 28 ตุลาคม 2015.
- ↑ "Manas Wildlife Sanctuary". UNESCO. สืบค้นเมื่อ 28 ตุลาคม 2015.
- ↑ "Keoladeo National Park". UNESCO. สืบค้นเมื่อ 28 ตุลาคม 2015.
- ↑ "Sundarbans National Park". UNESCO. สืบค้นเมื่อ 28 ตุลาคม 2015.
- ↑ "Nanda Devi and Valley of Flowers National Parks". UNESCO. สืบค้นเมื่อ 28 ตุลาคม 2015.
- ↑ "Western Ghats". UNESCO. สืบค้นเมื่อ 28 ตุลาคม 2015.
- ↑ "Great Himalayan National Park Conservation Area". UNESCO. สืบค้นเมื่อ 28 ตุลาคม 2015.
- ↑ "Kaziranga National Park". UNESCO. สืบค้นเมื่อ 17 กรกฎาคม 2016.