ข้ามไปเนื้อหา

พระบาทสมเด็จพระนโรดม สีหนุ

จากวิกิพีเดีย สารานุกรมเสรี
พระบาทสมเด็จพระนโรดม สีหนุ
พระมหาวีรกษัตริย์
พระบรมฉายาลักษณ์ใน ค.ศ. 1948
พระมหากษัตริย์กัมพูชา (ครั้งแรก)
ครองราชย์ ครั้งที่ 124 เมษายน 1941 – 2 มีนาคม 1955
ราชาภิเษก3 พฤษภาคม 1941
ก่อนหน้าพระบาทสมเด็จพระสีสุวัตถิ์ มุนีวงศ์
ถัดไปพระบาทสมเด็จพระนโรดม สุรามฤต
ผู้ว่าอินโดจีน
ดูรายชื่อ
  • ลียง ทรีเบาดูว์
    จอร์เจส เกาตีเยร์
    มานากิ ทาคาโนบุ
    เอ็ดเวิร์ด เมอร์รีย์
    พอล ฮาร์ท
    รอเมน เปนาวีย์
    ลียง พิกนง
    ฌ็อง เดอ เรย์มองด์
    อีฟ ดีโก
    ฌ็อง ริสเตรุสซี
ประมุขแห่งราชอาณาจักรกัมพูชา
ดำรงตำแหน่ง20 มิถุนายน 1960 – 18 มีนาคม 1970
ก่อนหน้าจวบ แฮล (รักษาการประมุข)
ถัดไปเจง เฮง (รักษาการประมุข)
ลอน นอล (ประธานาธิบดี)
นายกรัฐมนตรี
ประมุขแห่งกัมพูชาประชาธิปไตย
ดำรงตำแหน่ง17 เมษายน 1975 – 2 เมษายน 1976
ก่อนหน้าสัก สุตสคาน
ถัดไปเขียว สัมพัน
นายกรัฐมนตรีแปน นุต
พระมหากษัตริย์กัมพูชา (ครั้งที่สอง)
ครองราชย์24 กันยายน 1993 – 6 ตุลาคม 2004
ก่อนหน้าไม่มี; ฟื้นฟูระบอบกษัตริย์
ถัดไปพระนโรดม สีหมุนี
นายกรัฐมนตรี
พระราชสมภพ(1922-10-31)31 ตุลาคม 1922
พนมเปญ ราชอาณาจักรกัมพูชา อินโดจีนของฝรั่งเศส
สวรรคต15 ตุลาคม ค.ศ. 2012(2012-10-15) (89 ปี)
ปักกิ่ง ประเทศจีน
ถวายพระเพลิง4 กุมภาพันธ์ ค.ศ. 2013
ลานพระเมรุ
บรรจุพระอัฐิวัดพระแก้วมรกต
พระภรรยาเจ้าพระองค์เจ้าสีสุวัตถิ์ พงสานมุนี (สมรส 1942; หย่า 1951)
พระองค์เจ้าสีสุวัตถิ์ มุนีเกสร (สมรส 1944; เสียชีวิต 1946)
สมเด็จพระราชกนิษฐานโรดม นรลักษมิ์ (สมรส 1955; หย่า 1968)
พระมหาวีรกษัตรีย์นโรดม มุนีนาถ สีหนุ พระวรราชมารดา (สมรส 1955)
พระสนมพัต กันฮอล (สมรส 1942; หย่า 1946)
มะนีวัน พานีวง (สมรส 1949; หย่า 1955)
พระราชบุตร
รายละเอียด
14 พระองค์
พระนามเต็ม
พระกรุณา พระบาทสมเด็จพระนโรดม สีหนุ พระมหาวีรกษัตริย์ พระวรราชบิดาเอกราช บูรณภาพดินแดน และความเป็นเอกภาพแห่งชาติเขมร
พระรัชกาลนาม
พระกรุณา พระบาทสมเด็จพระนโรดม สีหนุ ราชหริวงศ์ อุภโตสุชาติ วิสุทธิวงศ์ อัคคมหาบุรุษรัตน์ นิกโรดม ธัมมิกมหาราชาธิราช บรมนาถ บรมบพิตร พระเจ้ากรุงกัมพูชาธิบดี
พระนามเดิม
นักองราชวงศ์นโรดม สีหนุ
พระสมัญญานาม
พระกรุณา พระบรมรัตนโกศ
ราชวงศ์ตรอซ็อกผแอม
ราชสกุลนโรดม
พระราชบิดาพระบาทสมเด็จพระนโรดม สุรามฤต
พระราชมารดาสมเด็จพระมหากษัตริยานี สีสุวัตถิ์ มุนีวงศ์ กุสุมะ นารีรัตน์ สิรีวัฒนา
ศาสนาพุทธเถรวาท
อาชีพนักดนตรี ผู้กำกับภาพยนตร์ นักการเมือง
ลายพระอภิไธย
พรรคการเมืองสังคมราษฎรนิยม (ค.ศ. 1955–1970)
ฟุนซินเปก (ค.ศ. 1981–1991)

พระบาทสมเด็จพระนโรดม สีหนุ (เขมร: នរោត្ដម សីហនុ; นโรตฺฎม สีหนุ ออกเสียง โนโรด็อม สีหนุ[1]) พระมหากษัตริย์รัชกาลที่ 112 แห่งชนชาติกัมพูชา เป็นผู้นำสูงสุดของกัมพูชาอย่างแท้จริงตั้งแต่ได้รับเอกราชปี 1953 จนกระทั่งถูกรัฐสภาถอดถอนในปี 1970

พระองค์ถือเป็นผู้นำที่มีความซับซ้อนที่สุดคนหนึ่งของเอเชียอาคเนย์ พระองค์สร้างความเป็นหนึ่งเดียวของคนในชาติในช่วงที่กัมพูชากำลังแสวงหาเอกราชจากฝรั่งเศส พระองค์เชื่อมโยงขนบขอมกับกระแสชาตินิยม ทำให้สถาบันกษัตริย์กลายเป็นศูนย์กลางที่ประชาชนยึดถือเพื่อนำไปสู่การได้รับเอกราช การได้รับเอกราชในปี 1953 ผ่านการเจรจาอย่างเป็นขั้นเป็นตอน มิใช่ผ่านการใช้กำลังเหมือนหลายประเทศ แสดงถึงทักษะทางการเมืองและการทูตที่โดดเด่น

แต่ความสำเร็จดังกล่าวทำให้พระองค์เริ่มเชื่อมั่นในตัวเองสูงเกินไป ถึงขั้นมองว่าตนคือผู้เดียวที่สามารถนำพาและปกป้องประเทศ แต่ตำแหน่งกษัตริย์ภายใต้รัฐธรรมนูญก็จำกัดให้ต้องวางองค์อยู่เหนือการเมือง ด้วยเหตุนี้ในปี 1955 พระองค์จึงสละราชสมบัติให้พระราชบิดา ได้รับพระยศใหม่เป็น สมเด็จพระอุปโยราช (นิยมเรียกว่าสมเด็จสีหนุ) แล้วก่อตั้งพรรคสังคมราษฎรนิยม ได้รับที่นั่งเกือบทั้งหมดในสภาผู้แทนราษฎรและขึ้นเป็นนายกรัฐมนตรี

ตั้งแต่ปี 1953 สมเด็จสีหนุดำเนินนโยบายปราบขบวนการฝ่ายซ้าย มีการกวาดล้างปัญญาชนแนวสังคมนิยมและการควบคุมสื่อและการศึกษา กลุ่มนักศึกษาที่จบจากยุโรปซึ่งได้รับอิทธิพลจากลัทธิคอมมิวนิสต์ต่างต้องหลบหนี นโยบายเข้มข้นขึ้นหลังปี 1957 มีการปิดหนังสือพิมพ์ มีการจับกุม ข่มขู่ อุ้มหาย จนฝ่ายซ้ายไม่กล้าลงสมัครเลือกตั้ง สนามการเมืองเหลือแต่ฝ่ายขวา ส่งผลให้ขบวนการฝ่ายซ้ายต้องหันไปเคลื่อนไหวใต้ดิน จนเริ่มก่อตัวเป็นเขมรแดง[2]

ตั้งแต่ปี 1960 สงครามเวียดนามทวีความรุนแรง สมเด็จสีหนุใช้กลยุทธ์วางตัวเป็นกลาง โดยยอมรับความช่วยเหลือทางเศรษฐกิจจากทั้งสหรัฐและจีน ต่อมาสีหนุประเมินว่าเวียดนามเหนือมีโอกาสชนะสูง จึงเลิกร่วมมือและเลิกรับเงินจากสหรัฐในปี 1963 แล้วเพิ่มสัมพันธ์กับจีนและโซเวียต โดยยอมให้เวียดนามเหนือใช้แผ่นดินกัมพูชาเป็นเส้นทางลำเลียงอาวุธ แลกกับความช่วยเหลือทางเศรษฐกิจจากค่ายคอมมิวนิสต์และคำมั่นว่าจะไม่รุกรานกัมพูชา แต่แม้ว่าสีหนุประเมินผลลัพธ์ของสงครามเวียดนามได้ถูกต้อง แต่ในขั้นนี้ กองกำลังเวียดกงกลับไม่ใช้กัมพูชาเป็นแค่เส้นทางลำเลียงอาวุธ แต่ถึงขั้นตั้งฐานปฏิบัติการในพื้นที่ชายแดนในอาณาเขตกัมพูชา ทำให้ชาวกัมพูชาในชุมชนเมืองไม่พอใจและเดินขบวนต่อต้านเวียดนามเหนือ สถานการณ์ทำให้สีหนุค่อยๆสูญเสียอิทธิพลในสภาซึ่งเต็มไปด้วยฝ่ายขวา ท้ายที่สุดในปี 1970 ขณะที่สีหนุเยือนฝรั่งเศสก็ถูกสภาลงมติถอดถอน กัมพูชาตกอยู่ใต้อำนาจของลอน นอล ซึ่งสนับสนุนสหรัฐ

สมเด็จสีหนุไม่ต้องการจบชีวิตทางการเมืองเช่นนี้ จึงตั้งรัฐบาลพลัดถิ่นที่ปักกิ่ง ยอมร่วมมือกับจีนคอมมิวนิสต์ซึ่งอุ้มชูเขมรแดง จากนั้นจึงเริ่มทำกิจกรรมกับเขมรแดง อดีตกษัตริย์ผู้มีบารมีสามารถดึงดูดผู้คนมากมายเข้าร่วมกับเขมรแดง จนพัฒนาจากกองโจรขนาดเล็กเป็นกองกำลังขนาดใหญ่[3] จนกระทั่งเขมรแดงยึดพนมเปญในปี 1975 สีหนุก็เดินทางกลับกัมพูชาในฐานะประมุขแห่งรัฐในเชิงสัญลักษณ์ แต่อำนาจที่แท้จริงอยู่ในมือพล พต ซึ่งก่อการฆ่าล้างเผ่าพันธุ์ผู้คนนับล้าน สมเด็จสีหนุรักษาชีวิตไว้ได้เพราะอิทธิพลของจีน สี่ปีต่อมาเมื่อเวียดนามเข้ายึดพนมเปญและโค่นเขมรแดง สีหนุถูกปล่อยตัวออกนอกประเทศ เขากลายเป็นผู้นำพลัดถิ่นอีกครั้งและใช้ชีวิตที่ต่างประเทศกว่าสิบปี โดยจีนและเกาหลีเหนือยังคงให้การสนับสนุนเขาอย่างต่อเนื่อง ต่อมาหลังมีสนธิสัญญาสันติภาพปารีส 1991 เขาได้กลับกัมพูชาในฐานะผู้นำที่ทุกฝ่ายยอมรับ

สำหรับชาวกัมพูชาส่วนใหญ่ การกลับมาของสีหนุถือเป็นการกลับมาของพ่อหลวงแห่งแผ่นดินที่พวกเขายังจดจำในฐานะกษัตริย์ผู้นำพาเอกราชในปี 1953 การต้อนรับอย่างล้นหลามสะท้อนว่าฐานะทางสัญลักษณ์ของพระองค์ยังไม่เสื่อมสลาย แม้จะเผชิญกลียุคนับสองทศวรรษ แต่สายตาของชาวตะวันตกกลับมองว่าสีหนุเป็นผู้เดินหมากทางการเมืองผิดพลาด สีหนุพยายามแก้ต่างว่าหลังจากปี 1970 เขาเป็นเพียงอดีตผู้นำไร้อำนาจที่ถูกตัดขาดจากกลไกของรัฐ และการจับมือกับจีนและเขมรแดงเป็นทางเลือกเดียวที่เหลืออยู่ หากไม่ทำเช่นนั้น พระองค์และครอบครัวคงถูกทิ้งจากเวทีโลก สีหนุยังอ้างว่าตนไม่เคยคาดคิดว่าเขมรแดงจะก่อเหตุร้ายแรงเช่นนั้น[4]

พระองค์ทรงเป็น "ผู้ที่เคยดำรงตำแหน่งทางการเมืองมากมายที่สุดในโลก"[5][6][7][8] กล่าวคือ เป็นพระมหากษัตริย์ 2 สมัย เป็นประมุขแห่งรัฐที่มิใช่ในฐานะกษัตริย์ 2 สมัย ประธานาธิบดี 1 สมัย นายกรัฐมนตรี 2 สมัย และประมุขรัฐบาลพลัดถิ่นอีก 1 สมัย

พระราชประวัติ

[แก้]

พระบาทสมเด็จพระนโรดม สีหนุ เสด็จพระราชสมภพเมี่อวันที่ 31 ตุลาคม ค.ศ. 1922 ที่พระบรมราชวังจตุมุขสิริมงคล กรุงพนมเปญ มีพระยศแต่เดิมว่า นักองราชวงศ์นโรดม สีหนุ เป็นพระราชโอรสพระองค์แรกและพระองค์เดียวในพระบาทสมเด็จพระนโรดม สุรามฤต ที่พระราชสมภพแต่พระมหากษัตริยานีสีสุวัตถิ์มุนีวงศ์ กุสุมะนารีรัตน์เสรีวัฒนา มีพระอนุชาและขนิษฐาต่างมารดา ได้แก่ พระองค์เจ้านโรดม วิชรา, สมเด็จกรมขุนนโรดม สิริวุธ และ พระองค์เจ้านโรดม ปรียาโสภณ[9] ที่ประสูติแต่คุณเทพกัญญาโสภา (คิม อันยิป)[10]

พระองค์สืบเชื้อสายจากสองราชสกุล ได้แก่ ราชสกุลนโรดม กับ ราชสกุลสีสุวัตถิ์ สองราชสกุลที่ขัดแย้งกันในพระราชวงศ์ การที่พระองค์ทรงเป็นพระราชโอรสของพระบาทสมเด็จพระนโรดม สุรามฤต แห่งราชสกุลนโรดม และสมเด็จพระมหากษัตริยานีสีสุวัตถิ์ กุสุมะ นารีรัตน์ สิริวัฒนา แห่งราชสกุลสีสุวัตถิ์ นั้นทำให้พระองค์ทรงเป็นเสมือนผู้ไกล่เกลี่ยความขัดแย้งระหว่างสองราชสกุลให้ยุติลงและหันมาปรองดองกัน[11]

สมเด็จกรมพระนโรดม สุทธารส และพระองค์เจ้านโรดม พงางาม เจ้าปู่และเจ้าย่าของพระองค์ เป็นพระราชบุตรต่างมารดาในพระบาทสมเด็จพระนโรดม บรมรามเทวาวตาร โดยเจ้าปู่ สมเด็จกรมพระนโรดม สุทธารส ประสูติแต่คุณจอมเอี่ยมบุษบา สตรีชาวไทยจากสกุลอภัยวงศ์[12] ส่วนเจ้าย่า พระองค์เจ้านโรดม พงางาม ประสูติแต่เจ้าจอมมารดานวล[12] ดังนั้นพระองค์นับเป็นพระญาติชั้นที่ 2 ของพระนางเจ้าสุวัทนา พระวรราชเทวีในรัชกาลที่ 6 ซึ่งทรงอุบัติในสกุลอภัยวงศ์ และพระญาติชั้นที่ 3 ของสมเด็จพระเจ้าบรมวงศ์เธอ เจ้าฟ้าเพชรรัตนราชสุดา สิริโสภาพัณณวดี กรมพระนครปฐมบรมขัตติยานี มหาธีรราชธิดา พระราชธิดาในในรัชกาลที่ 6 ผ่านทางคุณจอมเอี่ยมบุษบา ผู้เป็นทวดของพระองค์[13][14]

ส่วนเจ้าตาคือ พระบาทสมเด็จพระสีสุวัตถิ์ มุนีวงศ์ กษัตริย์รัชกาลก่อนหน้า ซึ่งเป็นพระราชโอรสในพระบาทสมเด็จพระสีสุวัตถิ์ ส่วนพระอัยยิกาฝ่ายพระชนนีคือ นักองมจะ นโรดม กาญจนวิมาน นรลักขณเทวี พระราชนัดดาในพระบาทสมเด็จพระนโรดม พรหมบริรักษ์[15]

กษัตริย์ใต้อำนาจฝรั่งเศส

[แก้]

เหตุแห่งการครองราชย์

[แก้]

หลังจากพระบาทสมเด็จพระสีสุวัตถิ์ มุนีวงศ์ เสด็จสวรรคตเมื่อปี 1941 ทางวิชีฝรั่งเศสได้คัดเลือกรัชทายาทไว้ 5 พระองค์ตามลำดับ คือ กรมพระสีสุวัตถิ์ มุนีเรศ กรมพระนโรดม สุทธารส นักองเจ้านโรดม สุรามฤต พระองค์เจ้านโรดม นรินทเดช และนักองราชวงศ์นโรดม สีหนุ

กรมพระสีสุวัตถิ์ มุนีเรศ รัชทายาทลำดับแรก และกรมพระนโรดม สุทธารส รัชทายาทลำดับสอง ค่อนข้างมีแนวคิดต่อต้านฝรั่งเศสจึงถูกตัดสิทธิ์ในการสืบราชสันตติวงศ์ ส่วนรัชทายาทลำดับที่สามนักองเจ้านโรดม สุรามฤต และพระองค์เจ้านโรดม นรินทเดช ก็ทรงถูกฝรั่งเศสข้ามลำดับเช่นเดียวกัน ฝรั่งเศสตัดสินใจมอบราชบัลลังก์ให้แก่นักองราชวงศ์นโรดม สีหนุ ในวัยเพียง 18 ปีด้วยเห็นว่าไม่มีเครือข่ายอำนาจ ขาดประสบการณ์ทางการเมือง น่าจะควบคุมพระองค์ได้ง่าย

ครองราชย์ครั้งแรก

[แก้]
พระมหากษัตริย์แห่งกัมพูชายุคใหม่
สมเด็จพระหริรักษ์รามมหาอิศราธิบดี
พระบาทสมเด็จพระนโรดม บรมรามเทวาวตาร
พระบาทสมเด็จพระสีสุวัตถิ์
พระบาทสมเด็จพระสีสุวัตถิ์ มุนีวงศ์
พระบาทสมเด็จพระนโรดม สีหนุ (ครั้งที่ 1)
พระบาทสมเด็จพระนโรดม สุรามฤต
สมเด็จพระมหากษัตริยานี สีสุวัตถิ์ มุนีวงศ์ กุสุมะ
(กษัตริย์แต่ในนาม)
พระบาทสมเด็จพระนโรดม สีหนุ (ครั้งที่ 2)
พระบาทสมเด็จพระบรมนาถ นโรดม สีหมุนี
พระบาทสมเด็จพระนโรดม สีหนุ ในพระราชพิธีราชาภิเษกปี 1941

ฝรั่งเศสถวายราชสมบัติให้แก่นักองราชวงศ์นโรดม สีหนุ ที่กำลังศึกษาที่โรงเรียนฌาส์ลูว์-โลบา (Lycée Chasseloup-Laubat) นครไซ่ง่อน นักองราชวงศ์นโรมดม สีหนุ จึงเสด็จขึ้นครองราชสมบัติครั้งแรกเมื่อเดือนกันยายน 1941 ทำให้การสืบราชสันตติวงศ์ของกัมพูชากลับมายังสายของพระบาทสมเด็จพระนโรดม พรหมบริรักษ์ หรือนักองราชาวดีอีกครั้งหนึ่ง[16]

ความที่พระองค์ไม่มีฐานอำนาจทางการเมือง ช่วงแรกการบริหารราชการแผ่นดินจึงอยู่ในมือของออกญาวังวรเวียงชัย (จวน) เสนาบดีผู้ภักดีต่อการปกครองของฝรั่งเศส พระองค์เคยกล่าวถึงออกญาผู้นี้ว่าเป็น "ราชาองค์น้อย ๆ อย่างแท้จริง ทรงอำนาจดุจเรสิดังสุเปริเออร์"[17][18] แต่ไม่นานนัก เขาก็พ้นจากตำแหน่งด้วยฝรั่งเศสต้องการเอาใจยุวกษัตริย์ แม้ฝรั่งเศสจะเหลือขุนนางที่ภักดีต่อตนบ้าง เช่น จวน ฮล บุตรของออกญาวังวรเวียงชัย แต่ก็ไม่ทรงอิทธิพลเท่าบิดา[19]

สงครามโลกครั้งที่สองและกระแสเอกราช

[แก้]

อย่างไรก็ตามช่วงที่พระองค์ครงราชย์นั้นเป็นช่วงที่มีการต่อต้านฝรั่งเศสและเกิดกระแสชาตินิยม แต่ฝรั่งเศสก็ยังมีความสามารถปกป้องระบบอาณานิคมของตน ดังเมื่อเกิดการประท้วงในเดือนกรกฎาคม ปี 1942 เนื่องจากการที่ฝรั่งเศสจับกุมพระภิกษุรูปหนึ่งในข้อหาวางแผนรัฐประหารโดยมิให้ลาสิกขาเสียก่อน ฝรั่งเศสจึงใช้กำลังสลายกลุ่มผู้ชุมนุมกว่าพันคนอย่างรวดเร็ว[20] และปี 1940 ก็มีการชุมนุมเรียกร้องเอกราชที่พระตะบองนำโดยปก พอลกุณ นำไปสู่การก่อตั้งกลุ่มเขมรอิสระภายใต้การอุปภัมภ์ของรัฐบาลไทย[21]

9 มีนาคม 1945 กองทหารญี่ปุ่นที่ยึดครองอินโดจีนมาหลายปี ได้เข้าปลดอาวุธฝรั่งเศสทั่วอินโดจีน และให้เจ้าหน้าที่ชาวฝรั่งเศสลาออกจากตำแหน่งการปกครอง[22] รวมทั้งมีการติดอาวุธให้แก่ชาวกัมพูชา และปลุกกระแสชาตินิยมต่อต้านฝรั่งเศสมาใช้เพื่อทานการรุกของฝ่ายสัมพันธมิตรที่คาดว่าจะเกิดในปีนั้น[22] นอกจากนี้ ญี่ปุ่นยังยุยงให้พระบาทสมเด็จพระนโรดม สีหนุ ประกาศเอกราชจากฝรั่งเศสและยกเลิกสนธิสัญญาและพันธะกรณีทั้งปวงที่มีต่อฝรั่งเศส[22] ทรงประกาศให้ภาษาเขมรเป็นภาษาราชการแทนที่ฝรั่งเศส นอกจากนี้ ญี่ปุ่นผลักดันให้เซิน หง็อก ถั่ญ ขึ้นเป็นรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศกัมพูชา

หนึ่งวันก่อนญี่ปุ่นประกาศยอมจำนน เซิน หง็อก ถั่ญ ได้รับแต่งตั้งเป็นนายกรัฐมนตรี[23] แต่เมื่อกองทัพฝรั่งเศสกลับเข้าสู่พนมเปญในเดือนตุลาคม 1945 ฝรั่งเศสก็โมฆียกรรมการประกาศเอกราชของกัมพูชา และฟื้นฟูสถานะกัมพูชาให้เป็นอาณานิคม แต่ฝรั่งเศสยังคงให้สีหนุเป็นกษัตริย์ต่อไป เพราะมองว่าเป็นเครื่องมือทางการเมืองที่ช่วยควบคุมกัมพูชาได้ง่ายกว่า

กษัตริย์ภายใต้รัฐธรรมนูญฉบับแรก

[แก้]

เพื่อบรรเทากระแสชาตินิยมที่กำลังเติบโต ฝรั่งเศสจึงยอมให้มีสภาร่างรัฐธรรมนูญในปี 1946 และประกาศใช้รัฐธรรมนูญฉบับแรกในปี 1947 ซึ่งเป็นครั้งแรกที่กัมพูชาจะมีสภาผู้แทนราษฎรจากการเลือกตั้ง พระราชอำนาจในทางบริหารและนิติบัญญัติถูกย้ายไปอยู่กับคณะรัฐมนตรีที่ต้องรับผิดชอบต่อสภาผู้แทนราษฎร ขณะที่อำนาจด้านการทูต การทหาร และการคลังยังคงอยู่ในมือของฝรั่งเศส[24]

ในสภาพเช่นนี้ พระบาทสมเด็จนโรดม สีหนุจึงเสมือนถูกยกขึ้นไว้ในสถานะสัญลักษณ์ของชาติ และต้องทรงวางตัวอยู่เหนือการเมือง พระองค์จำยอมรับบทบาทดังกล่าว และทรงสร้างภาพเป็น “พ่อหลวงแห่งแผ่นดิน” ผ่านการเสด็จเยี่ยมชนบท เปิดโรงเรียน วัด และเข้าร่วมงานบุญ เพื่อเชื่อมความสัมพันธ์ระหว่างสถาบันกษัตริย์ ศาสนา และชุมชนท้องถิ่น พระองค์ยังใช้สื่อและข่าวจากพระราชสำนักเพื่อเสริมพระบารมี การวางองค์อยู่เหนือความขัดแย้งทางการเมืองทำให้ราชสำนักกลายเป็นศูนย์รวมเชิงสัญลักษณ์ในยามที่สภาแตกแยก ระหว่างพรรคฝ่ายประชาธิปไตยของปัญญาชนคนเมืองที่ยึดแนวทางชาตินิยม และพรรคฝ่ายเสรีนิยมที่ยังคงประนีประนอมกับฝรั่งเศส

ขณะที่กระแสชาตินิยมภายในประเทศเร่งเร้าเรียกร้องเอกราช สีหนุทรงเลือกเดินเกมสองทาง ทางหนึ่งคือการประสานกับฝรั่งเศสเพื่อลดความปั่นป่วนตามชายแดน อีกทางหนึ่งคือการเตรียมก่อตั้งกองทัพแห่งชาติ และสะบัดให้การปกครองภายในค่อย ๆ หลุดพ้นจากอำนาจเจ้าอาณานิคม การเสด็จตระเวนหัวเมืองของพระองค์ในช่วงปลายทศวรรษ 1940 ไม่ได้มีเพียงลักษณะการเยี่ยมเยียน หากยังเป็นยุทธวิธีการสร้างฐานเสียงและความชอบธรรมจากประชาชน เพื่อนำไปใช้เป็นแต้มต่อบนโต๊ะเจรจากับปารีส[25] ผลจากความพยายามดังกล่าวคือ “ความตกลงฝรั่งเศส–กัมพูชา ค.ศ. 1949” ซึ่งยอมรับกัมพูชาในสถานะ “รัฐกึ่งเอกราช” โดยให้อำนาจควบคุมราชการภายในแก่รัฐบาลกัมพูชาเพิ่มขึ้น แม้การทหารและการต่างประเทศยังอยู่ในกำมือของฝรั่งเศส แต่ก็ทำให้สังคมกัมพูชามองเห็นความเป็นไปได้ของเอกราชสมบูรณ์ในอนาคต ประสบการณ์จากสามปีนี้คือห้องทดลองที่ทำให้พระองค์มั่นใจว่า การเมืองแบบใช้พระบารมีผสานกับการทูตสามารถนำไปสู่เอกราชโดยไม่ต้องใช้กำลังอาวุธ

พระบาทสมเด็จนโรดม สีหนุ ในปี 1952

ในต้นทศวรรษ 1950 ความตึงเครียดเพิ่มสูงขึ้นเมื่อกัมพูชายังอยู่ในสภาพ “กึ่งเอกราช” กลุ่มปัญญาชนและนักศึกษาเริ่มไม่พอใจว่าฝรั่งเศสยังคงครอบงำด้านการทหารและการทูต กษัตริย์สีหนุจึงเดินเกมการทูตเชิงรุก พระองค์เดินทางไปปารีสเพื่อเจรจาโดยตรง และในปี 1952 ได้ประกาศ “การปฏิวัติราชการ” ยุบสภาและรวมศูนย์อำนาจ เพื่อใช้กลไกราชสำนักนำการต่อสู้ทางการทูตโดยตรง[26] ขณะเดียวกัน สถานการณ์ในอินโดจีนก็เอื้อประโยชน์ต่อกัมพูชา ฝรั่งเศสก็ตกที่นั่งลำบากในสงครามอินโดจีนครั้งที่หนึ่งกับเวียดมินห์ในเวียดนามเหนือ จึงไม่อาจแบกรับภาระกดดันจากกัมพูชาไปพร้อมกัน สีหนุอาศัยจังหวะนี้ออกเดินทางระดมเสียงสนับสนุนจากนานาชาติ ทั้งจากสหรัฐอเมริกา ไทย และสหประชาชาติ เพื่อสร้างแรงกดดันต่อฝรั่งเศส[27]

กษัตริย์ชาติเอกราช

[แก้]

ในปี 1953 พระองค์ประกาศ “การต่อสู้เพื่อเอกราชอันสมบูรณ์” ทรงออกจากกรุงพนมเปญไปยังชนบทและต่างประเทศเพื่อสร้างกระแสว่า องค์กษัตริย์กำลังต่อสู้เคียงบ่าเคียงไหล่กับประชาชนเพื่อปลดแอกจากเจ้าอาณานิคม การเคลื่อนไหวนี้เพิ่มแรงกดดันทั้งในและนอกประเทศต่อรัฐบาลฝรั่งเศส[28] ท้ายที่สุด เมื่อสงครามเวียดนามทวีความรุนแรงและฝรั่งเศสไม่สามารถควบคุมทั้งภูมิภาคได้พร้อมกัน ในวันที่ 9 พฤศจิกายน 1953 ฝรั่งเศสจึงประกาศให้กัมพูชามีเอกราชอันสมบูรณ์ในด้านการทหาร การทูต และการปกครองภายใน นับเป็นจุดสูงสุดของพระบารมีสีหนุในฐานะ “บิดาแห่งเอกราชกัมพูชา” ที่สามารถนำประเทศสู่เอกราชโดยไม่ต้องใช้สงครามเต็มรูปแบบเช่นเพื่อนบ้านอย่างเวียดนาม

หลังจากได้รับเอกราชสมบูรณ์ กษัตริย์สีหนุยังเผชิญความท้าทายครั้งสำคัญในการรักษาสถานะรัฐเอกราชท่ามกลางบริบทสงครามเย็นและความวุ่นวายในอินโดจีน ปี 1954 การประชุมเจนีวาถือเป็นหมุดหมายสำคัญ เพราะที่ประชุมรับรองสถานะของกัมพูชาในฐานะประเทศอธิปไตยและประกาศยืนยันการวางตัวเป็นกลาง ไม่เข้าร่วมพันธมิตรทางทหาร เช่น SEATO ที่สหรัฐและพันธมิตรพยายามจัดตั้งขึ้นเพื่อสกัดกั้นคอมมิวนิสต์ กัมพูชาไม่ตกเป็นเบี้ยล่างในเกมภูมิรัฐศาสตร์ แต่ต้องรักษาสมดุลระหว่างมหาอำนาจทั้งสองค่าย

ในทางการเมืองภายใน กษัตริย์สีหนุเผชิญความท้าทายจากทั้งฝ่ายซ้ายและฝ่ายขวา พรรคประชาธิปไตยซึ่งเป็นตัวแทนของปัญญาชนแนวชาตินิยมในเมืองยังคงมีฐานเสียงพอสมควร ขณะเดียวกันฝ่ายขวาซึ่งใกล้ชิดอดีตเจ้าอาณานิคมและต้องการรักษาสัมพันธ์กับฝรั่งเศสก็ยังมีอิทธิพลอยู่เช่นกัน สีหนุจึงใช้วิธีจัดการทั้งสองฝ่ายเพื่อรวบอำนาจไว้ที่ตนเอง สีหนุตระหนักว่าตำแหน่งพระมหากษัตริย์ภายใต้รัฐธรรมนูญบังคับให้เขาต้องวางพระองค์เหนือการเมือง แต่พระองค์กลับมองว่าตนคือผู้เดียวที่สามารถนำประเทศพัฒนาและปกป้องเอกราช ด้วยเหตุนี้ ในปี 1955 สีหนุตัดสินใจสละราชสมบัติให้พระบิดาคือพระบาทสมเด็จพระนโรดม สุรามฤต ขึ้นครองราชย์แทนในวัย 59 พรรษา

สละราชสมบัติและผันตัวเป็นนักการเมือง

[แก้]

หลังสละราชสมบัติ อดีตกษัตริย์ได้รับพระยศว่า สมเด็จพระอุปโยราชนโรดม สีหนุ พระองค์ก่อตั้งพรรคสังคมราษฎรนิยมเพื่อเข้าสู่การเมืองโดยตรง พรรคนี้ไม่ได้เป็นแค่เครื่องมือหาเสียง แต่เป็นองค์กรทางการเมืองที่รวมกลุ่มชนชั้นนำทั้งฝ่ายซ้ายปานกลางและฝ่ายขวาเข้ามาภายใต้ร่มเงาของสมเด็จสีหนุ ในการเลือกตั้งปี 1955 พรรคสังคมราษฎรนิยมกวาดที่นั่งในสภาเกือบหมด โดยใช้ทั้งพระบารมี เครือข่ายราชสำนัก และแรงกดดันทางการเมือง การเลือกตั้งดังกล่าวมาพร้อมกับการปราบปรามคู่แข่งทางการเมือง ฝ่ายขวาที่ไม่ยอมเข้าร่วมกับสังคมราษฎรนิยมถูกกีดกันออกจากสนามเลือกตั้ง และเผชิญทั้งการคุกคาม การจับกุม และการควบคุมทางการเมือง ขณะที่พรรคประชาธิปไตยเองก็ถูกทำให้หมดบทบาทลง การรวมศูนย์เช่นนี้จึงทำให้สังคมการเมืองกัมพูชาหลังปี 1955 ไม่มีที่ยืนสำหรับฝ่ายค้านที่เป็นอิสระ[29] ทำให้กัมพูชาก้าวเข้าสู่ระบบพรรคเดียวโดยพฤตินัย

ยุคสังคมราษฎรนิยมภายใต้สีหนุ (1955-1970)

[แก้]

ในเชิงนโยบาย สมเด็จสีหนุพยายามสร้างภาพลักษณ์ว่าเป็นผู้นำประชาชน โดยเน้นการพัฒนาประเทศให้ก้าวทันสมัย มีการสร้างโรงเรียน โรงพยาบาล ถนน และสนับสนุนอุตสาหกรรมเบา นโยบายเหล่านี้สอดคล้องกับความคิดแบบชาตินิยมแนวพุทธ ที่ผสมผสานสถาบันกษัตริย์ ศาสนา และวัฒนธรรมขอมเข้าด้วยกัน เพื่อเสริมสร้างความชอบธรรมทางการเมือง อย่างไรก็ตาม เศรษฐกิจกัมพูชายังคงพึ่งพาการส่งออกข้าวและเงินช่วยเหลือจากต่างชาติเป็นหลัก ในด้านการเมืองภายใน พระองค์ไม่เปิดพื้นที่ให้ฝ่ายค้านอย่างแท้จริง ทั้งฝ่ายขวาและฝ่ายซ้ายถูกกดดันให้สลายหรือเข้าร่วมภายใต้ร่มเงาของสังคมราษฎรนิยม ผู้ที่ต่อต้านอย่างแข็งกร้าวมักถูกจับกุม ข่มขู่ หรือกีดกันออกจากการเลือกตั้ง วิธีการเช่นนี้แม้จะสร้างเสถียรภาพระยะสั้น แต่กลับทำให้ฝ่ายค้านโดยเฉพาะกลุ่มฝ่ายซ้าย ต้องเคลื่อนไหวใต้ดินและเริ่มก่อตัวเป็นขบวนการกบฏในชนบท

แม้ว่าสมเด็จสีหนุจะเป็นผู้นำของระบอบสังคมราษฎรนิยม แต่ก็พระองค์ก็มิอาจควบคุมความขัดแย้งระหว่างนักการเมือง ในระยะเวลาเพียงสามปี มีการผลัดเปลี่ยนรัฐบาลมากถึงสิบชุด ซึ่งเอกอัครราชทูตฝรั่งเศสเคยลงความเห็นในประเด็นนี้ไว้ว่า "การเปลี่ยนแปลงรัฐบาลในประเทศกัมพูชานี้เป็นเรื่องที่ถ่วงความเจริญของประเทศมาก เพราะรัฐบาลเปลี่ยนกันทุกสี่เดือน ในระยะเวลาสี่เดือนที่รัฐบาลเขาบริหารราชการ ราชการก็ต้องหยุดชะงักลงเพราะรัฐมนตรีคนใหม่ยังไม่ทราบงาน กว่าจะรู้งานดีก็กินเวลา 1-2 เดือน พอรู้งานดีก็ต้องออกเสียแล้ว"[30]

เมื่อพระราชบิดาสวรรคตในปี 1960 สมเด็จสีหนุเลือกไม่กลับขึ้นครองราชย์ แต่ให้รัฐสภาตั้งพระองค์ขึ้นเป็น “ประมุขแห่งรัฐกัมพูชา” ตำแหน่งใหม่นี้เปิดทางให้พระองค์ดำเนินการเมืองได้โดยตรงโดยไม่ต้องถูกจำกัดด้วยกรอบของราชาธิปไตยตามรัฐธรรมนูญ กัมพูชาภายใต้การนำของสีหนุจึงเป็นการปกครองแบบกึ่งสาธารณรัฐที่ยังคงอิงบารมีของสถาบันกษัตริย์ ในด้านนโยบายภายใน สีหนุยังคงครองอำนาจผ่านพรรคสังคมราษฎรนิยม โดยใช้การเลือกตั้งที่ไร้คู่แข่งจริง ๆ เป็นเครื่องมือสร้างความชอบธรรม ฝ่ายตรงข้ามไม่ว่าจะเป็นฝ่ายขวาอนุรักษ์นิยมหรือฝ่ายซ้ายสังคมนิยมต่างถูกกดดันอย่างหนัก การจับกุม คุกคาม และการปิดสื่อทำให้สนามการเมืองเต็มไปด้วยผู้จงรักภักดีต่อพระองค์ ขณะเดียวกันการกดปราบฝ่ายซ้ายก็ทำให้ขบวนการคอมมิวนิสต์ค่อย ๆ เคลื่อนลงสู่ใต้ดิน และเริ่มรวมตัวกันเป็นกองกำลังที่ต่อมากลายเป็นเขมรแดง

ถูกถอดถอนและลี้ภัย (1970-1975)

[แก้]

ต้นปี 1970 กัมพูชาอยู่ในสภาวะวิกฤตจากสงครามอินโดจีนและแรงกดดันจากเวียดนามเหนือและเวียดกงที่ใช้ดินแดนกัมพูชาเป็นฐานปฏิบัติการ สมเด็จสีหนุซึ่งดำรงตำแหน่งประมุขแห่งรัฐขณะนั้นตัดสินใจออกเดินทางไปต่างประเทศ เริ่มจากการเยือนฝรั่งเศสในเดือนมกราคม–กุมภาพันธ์ จากนั้นเดินทางต่อไปสหภาพโซเวียตและจีน ซึ่งเป็นพันธมิตรค่ายคอมมิวนิสต์ การเดินทางครั้งนี้มีเป้าหมายชัดเจนคือการแสวงหาการสนับสนุนทางการเมืองและเศรษฐกิจเพิ่มเติมเพื่อพยุงกัมพูชาท่ามกลางแรงกดดันจากมหาอำนาจ

สีหนุเดินทางเยือนต่างประเทศท่ามกลางความไม่พอใจที่ทับถมหลายปีในหมู่ชนชั้นนำฝ่ายขวา เกิดการประท้วงต่อต้านเวียดนามเหนือและคอมมิวนิสต์ในพยมเปญ ท้ายที่สุดรัฐสภากัมพูชาลงมติเมื่อวันที่ 18 มีนาคม 1970 ถอดถอนสีหนุออกจากตำแหน่งประมุขแห่งรัฐ และมอบอำนาจฉุกเฉินให้แก่คณะรัฐมนตรีลอน นอล สมเด็จสีหนุไม่สามารถกลับประเทศและจึงลี้ภัยอยู่ที่ปักกิ่ง ภายใต้การดูแลของรัฐบาลจีน ไม่กี่วันต่อมา พระองค์ใช้วิทยุปักกิ่งประกาศเรียกร้องให้ประชาชนเข้าป่าต่อสู้กับรัฐบาลใหม่ คำประกาศนี้ทรงพลังอย่างยิ่งเพราะประชาชนในชนบทจำนวนมากยังคงศรัทธาอดีตกษัตริย์ในฐานะผู้นำเอกราช ต่อมาในเดือนพฤษภาคม 1970 พระองค์ประกาศจัดตั้งแนวร่วมรวบรวมชาติกัมพูชา และราชรัฏฐาภิบาลรวบรวมชาติกัมพูชา ณ ปักกิ่ง โดยพระองค์เป็นประมุขแห่งรัฐพลัดถิ่น แปน นุตเป็นนายกรัฐมนตรีพลัดถิ่น เขียว สัมพันควบคุมกำลังคอมมิวนิสต์ในกัมพูชา การจัดตั้งนี้กลายเป็นฉากหน้า ที่ช่วยให้เขมรแดงได้รับความชอบธรรมทางการเมืองและการทูต

การร่วมมือกับเขมรแดง

[แก้]

ในเวลานั้นพรรคคอมมิวนิสต์กัมพูชาหรือที่ต่อมารู้จักกันในชื่อเขมรแดง ยังคงเป็นกองกำลังเล็กที่กระจายตัวอยู่ในชนบท แต่การที่สีหนุประกาศทางวิทยุปักกิ่งเรียกร้องให้ประชาชนเข้าป่าต่อสู้กับรัฐบาลลอน นอล ได้กลายเป็นจุดพลิกผัน เพราะประชาชนจำนวนมากยังศรัทธาพระองค์ในฐานะอดีตกษัตริย์ผู้พาเอกราชมาให้กัมพูชา เสียงเรียกร้องของสีหนุจึงทำให้เขมรแดงได้แรงหนุนจากมวลชนเพิ่มขึ้นมหาศาล สีหนุเดินทางเยือนกัมพูชาในช่วงปี 1973–1974 ภายใต้การต้อนรับของเขมรแดงและเวียดกงไปเยี่ยมฐานที่มั่นกำลังคอมมิวนิสต์ในชนบทกัมพูชา เพื่อให้ประชาชนได้พบเห็นและตอกย้ำว่าพระองค์ยังคง “อยู่ฝ่ายเดียวกับชาวนาและนักรบปฏิวัติ” การเดินทางเหล่านี้มักถูกใช้เป็น เครื่องมือโฆษณาชวนเชื่อ ของเขมรแดง โดยเน้นให้ประชาชนชนบทเชื่อว่าการต่อสู้ของเขมรแดงมีการรับรองจากอดีตกษัตริย์ผู้มีบารมี ในปี 1974 เขมรแดงควบคุมพื้นที่ชนบทส่วนใหญ่ของประเทศ สีหนุถูกลดบทบาทลงอย่างชัดเจน แต่ยังคงถูกรักษาไว้เพราะบารมีทางสัญลักษณ์

สีหนุภายใต้เขมรแดง (1975-1979)

[แก้]

ในปี 1975 เขมรแดงเปิดฉากโจมตีครั้งสุดท้ายและยึดพนมเปญได้ในวันที่ 17 เมษายน เขมรแดงแต่งตั้งสีหนุให้ดำรงตำแหน่งประมุขแห่งประเทศกัมพูชาประชาธิปไตย ในช่วงสั้น ๆ หลังชัยชนะ เพื่อใช้บารมีของพระองค์สร้างความชอบธรรมต่อประชาคมโลกและเพื่อหลอกล่อความศรัทธาของประชาชนชนบทที่ยังรักอดีตกษัตริย์ อย่างไรก็ตาม พระองค์ถูกกักบริเวณอยู่ในพระบรมราชวังจตุมุขสิริมงคล กรุงพนมเปญ การตัดสินใจสำคัญทั้งหมดอยู่ในมือของพล พต และคณะกรรมการกลางพรรคคอมมิวนิสต์กัมพูชา พระองค์มีอิสระเพียงเล็กน้อยในการเคลื่อนไหว มีหน้าที่เข้าร่วมในพิธีการหรือการต้อนรับแขกต่างประเทศเป็นครั้งคราวเพื่อแสดงว่าเขมรแดงยังคงเคารพอดีตกษัตริย์

สถานการณ์ส่วนพระองค์ยิ่งเลวร้ายเมื่อครอบครัวและพระประยูรญาติของสีหนุหลายองค์ถูกเขมรแดงจับกุมและสังหาร บางแหล่งระบุว่ามีพระโอรส-ธิดา และพระประยูรญาติรวมกว่าสิบกว่าพระองค์ที่ตกเป็นเหยื่อ ความสูญเสียครั้งนี้สะท้อนอย่างเจ็บปวดว่าพระองค์เองก็เป็นเพียงตัวประกันไม่ต่างจากประชาชนทั่วไป แม้ว่าสีหนุไม่เห็นด้วยกับนโยบายสุดโต่งของเขมรแดง แต่พระองค์ก็ไม่อาจทำสิ่งใดนอกจากอดทนรอเวลา จนกระทั่งปลายปี 1976 สีหนุถูกบังคับให้ลาออกจากตำแหน่งประมุขแห่งรัฐ และถูกกักบริเวณอย่างเข้มงวดมากขึ้นในพระราชวัง นักวิชาการบางคนระบุว่าสีหนุ "เป็นเหยื่อของการตัดสินใจของตนเอง" เพราะในความพยายามจะรักษาสถานะส่วนตัวกลับสร้างผลลัพธ์ที่ทำลายครอบครัวของตน[31]

สถานการณ์ดำเนินเช่นนี้จนถึงมกราคม 1979 เมื่อเวียดนามบุกโค่นล้มเขมรแดงและยึดพนมเปญได้สำเร็จ เวียดนามแต่งตั้งผู้นำคอมมิวนิสต์กัมพูชาสายเวียดนามขึ้นครองอำนาจ สีหนุเดินทางกลับปักกิ่งเพื่อใช้ชีวิตในฐานะผู้นำลี้ภัยอีกครั้งหนึ่ง สีหนุใช้ชีวิตภายใต้การอุปถัมภ์ของจีน ซึ่งยังคงเห็นว่าพระองค์เป็นเครื่องมือสำคัญในอนาคตเพื่อต่อต้านการครอบงำของเวียดนามในกัมพูชา

สวรรคต

[แก้]
ภาพเครื่องบินที่นำพระบรมศพของพระองค์กลับสู่กัมพูชา

พระบาทสมเด็จพระนโรดม สีหนุ พระมหาวีรกษัตริย์ พระวรราชบิดา เสด็จสวรรคตด้วยพระอาการพระหทัยวาย ณ กรุงปักกิ่ง สาธารณรัฐประชาชนจีน เมื่อวันที่ 15 ตุลาคม 2012 หลังจากที่ทรงพระประชวรด้วยพระโรคมะเร็งในพระอันตะ เบาหวาน และความดันโลหิตสูง[32][33] สิริพระชนมพรรษาได้ 69 ปี 11 เดือน 15 วัน[34]

ในกัมพูชามีการลดธงครึ่งเสาและงดงานรื่นเริงทั่วประเทศ ในการนี้พระบาทสมเด็จพระบรมนาถ นโรดม สีหมุนี พระมหากษัตริย์องค์ปัจจุบัน, พระมหาวีรกษัตรีย์นโรดม มุนีนาถ พระวรราชมารดา และสมเด็จอัครมหาเสนาบดีเดโช ฮุน เซน นายกรัฐมนตรี ได้เสด็จพระราชดำเนินและเดินทางไปยังกรุงปักกิ่ง เพื่อรับพระบรมศพพระวรราชบิดามายังพระบรมราชวังจตุมุข[35] และหลังจากนี้จะมีการตั้งพระบรมศพไว้เป็นเวลา 3 เดือนก่อนที่จะมีพระราชพิธีปลงพระบรมศพซึ่งจะกระทำตามอย่างโบราณราชประเพณีเช่นเดียวกับงานพระบรมศพพระบาทสมเด็จพระนโรดม สุรามฤต ในปี 1960[36]

ในการนี้พระบาทสมเด็จพระมหาภูมิพลอดุลยเดชมหาราช บรมนาถบพิตร และสมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถ พระบรมราชชนนีพันปีหลวง ได้ส่งพระราชสาส์นแสดงความเสียพระราชหฤทัย[37] ส่วนยิ่งลักษณ์ ชินวัตร นายกรัฐมนตรีในขณะนั้น ก็ได้แสดงความเคารพพระบรมศพด้วย[38]

พระราชพิธีถวายพระเพลิงพระบรมศพ

[แก้]
ริ้วขบวนอัญเชิญพระบรมศพเข้าสู่พระบรมราชวัง
พระเมรุมาศในพระราชพิธีถวายพระเพลิงพระบรมศพ

1 กุมภาพันธ์ 2013 ชาวกัมพูชานับแสนคนร่วมแสดงความอาลัยแน่นตลอดเส้นทางก่อนเคลื่อนพระบรมศพพระบาทสมเด็จพระนโรดม สีหนุ พระวรราชบิดา และอดีตกษัตริย์แห่งกัมพูชา พระบรมศพของพระองค์ถูกอัญเชิญจากพระบรมมหาราชวังไปยังพระเมรุซึ่งสร้างขึ้นตามราชประเพณี โดยมีการยิงสลุต 101 นัด และเคลื่อนขบวนพระบรมศพเพื่อให้พสกนิกรได้มีโอกาสถวายความอาลัยเป็นครั้งสุดท้าย[39]

พระราชพิธีถวายพระเพลิงพระบรมศพถูกจัดขึ้นในเวลา 16.00 น. ของวันที่ 4 กุมภาพันธ์ 2013[40] ถือเป็นงานพระราชพิธีพระราชทานเพลิงพระศพของพระบรมวงศานุวงศ์กัมพูชาในรอบ 52 ปี[41] พระราชพิธีเสร็จสิ้นลงในเวลา 18.30 น.[42] ในการนี้มีชาวกัมพูชาร่วมแสดงความไว้อาลัยเป็นจำนวนมากซึ่งคาดว่าอาจมีมากถึง 6 แสนคน[43] รวมทั้งผู้แทนจาก 16 ประเทศก็ได้เข้าร่วมงานดังกล่าวด้วย[42]

ส่วนพระราชพิธีเก็บพระบรมอัฐินั้นมีขึ้นในวันที่ 5 กุมภาพันธ์ ปีเดียวกัน พระบรมราชสรีรางคารส่วนหนึ่งจะถูกอัญเชิญไปลอยในจุดบรรจบของแม่น้ำโขง แม่น้ำบาสัก และแม่น้ำโตนเลสาบ[41] ส่วนพระสรีรางคารอีกส่วนจะถูกอัญเชิญไปยังพระบรมมหาราชวังเพื่อบรรจุในพระบรมโกศ[40] ซึ่งตั้งเคียงข้างโกศพระอัฐิของพระองค์เจ้าหญิงคันธาบุปผา พระราชธิดา[44]

อนึ่งในพระราชพิธีดังกล่าวมีธรรมเนียมปฏิบัติปลีกย่อยต่าง ๆ ล้วนคล้ายคลึงกับพระราชพิธีพระราชทานเพลิงพระศพในไทยทั้งราชรถและธรรมเนียมการแห่ เพียงแตกต่างเป็นบางประการเท่านั้น อาทิ ชาวกัมพูชาสวมชุดไว้ทุกข์สีขาวตามธรรมเนียมชาวเอเชียอาคเนย์ ขณะที่ไทยสวมชุดดำไว้ทุกข์ตามธรรมเนียมตะวันตก, ชาวกัมพูชาทั้งชายและหญิงยังมีการโกนหัวไว้ทุกข์ขณะที่ไทยยกเลิกธรรมเนียมดังกล่าวในรัชสมัยพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว และที่บรรจุพระศพเป็นโลงสี่เหลี่ยมผืนผ้าขณะที่ไทยเป็นโกศแบบโถยอดที่มีลักษณะกลมเป็นทรงสูง[41][45] เป็นต้น

บทบาททางการเมือง

[แก้]

ชาตินิยมต่อต้านไทย

[แก้]

ภายหลังความขัดแย้งทางการเมืองต่อเนื่องจนนำไปสู่การยุบสภาผู้แทนราษฎรกัมพูชาในปี 1958 สมเด็จสีหนุก็เริ่มเขียนพระนิพนธ์หลายฉบับซึ่งมีเนื้อหาพาดพิงถึงประเทศไทย ซึ่งมีเนื้อหาชักจูงให้ผู้อ่านมองไทยเป็นผู้ร้ายและศัตรูแทบทั้งสิ้น[46] ทั้งที่ก่อนหน้านั้นไม่เคยปรากฎพระราชดำรัสหรือพระนิพนธ์ที่พาดพิงถึงประเทศไทยมาก่อน หนังสือพิมพ์ในกัมพูชาเขียนโจมตีและดูหมิ่นศักดิ์ศรีของประเทศไทยอย่างรุนแรง และเริ่มลงข่าวสารบ้านเมืองด้านลบที่เกิดในไทย เทียบกับก่อนหน้านั้นที่แทบไม่เคยลงข่าวเกี่ยวกับประเทศไทย[47]

"ชาวไทยเป็นพวกที่ชอบดูถูกเหยียดหยาม ข้าพเจ้าไม่อาจทนต่อการเหยียดหยามนั้น ชาวอันนัมอาจเคยจับเจ้าหญิงเขมรขังไว้ในกรงแล้วหย่อนลงทะเล แต่นั่นไม่ได้สร้างความอับอายให้เรา เพราะชาวอันนัมเป็นที่ปรึกษาของเรา แต่ไทยนั้นเป็นศัตรูของเราโดยแท้ พวกเขาบังคับให้เจ้าชายเขมรซึ่งเป็นบรรพบุรุษของข้าพเจ้าหมอบคลานต่อหน้าพวกเขา"[48]

สาเหตุที่สมเด็จสีหนุเริ่มโจมตีไทย ส่วนหนึ่งมีสาเหตุมาจากการที่หนังสือพิมพ์ในประเทศไทยเขียนบทความวิพากษ์วิจารณ์นโยบายและการทำงานของพระองค์บ่อยครั้งต่อเนื่องมาตั้งแต่ปี 1955[49] และพระองค์ก็มิอาจสั่งปิดหนังสือพิมพ์ในไทยเหมือนกับที่เคยทำได้กับหนังสือพิมพ์ในกัมพูชา สถานการณ์ที่พระองค์ถูกวิพากษ์วิจารณ์อย่างต่อเนื่องในต่างประเทศเป็นสิ่งที่สร้างความรำคาญสะสม

ความอดทนของพระองค์ขาดลงเมื่อหนังสือพิมพ์ไทยฉบับหนึ่งเขียนว่าพระองค์ "เสวยแกงปลาไหล" เพื่อล้อนโยบายของพระองค์ที่ชอบไหลไปไหลมา พระองค์เขียนจดหมายลงวันที่ 21 มีนาคม 1958 กราบทูลพระบรมราชบิดาเกี่ยวกับความไม่พอใจที่ถูกสื่อไทยวิพากษ์วิจารณ์ ทรงมองว่าเป็นการดูถูกรวมถึงหมิ่นพระเกียรติ ต่อมา หนังสือพิมพ์แทบทุกฉบับในกัมพูชาก็นำจดหมายดังกล่าวไปแผยแพร่ต่อส่งผลให้ชาวกัมพูชาหันเหความสนใจจากปัญหาภายใน ไปสู่การแสดงความโกรธเกลียดประเทศไทยอย่างรุนแรง จนมีการเดินขบวนครั้งใหญ่ของประชาชนชาวเขมรนับหมื่นคนในกรุงพนมเปญเมื่อวันที่ 27 มีนาคม 1958 เพื่อประท้วงต่อการกระทําของหนังสือพิมพ์ไทย

กรณีพิพาทปราสาทพระวิหาร

[แก้]
วิดีโอหลายคลิปจากแหล่งข้อมูลภายนอก
video icon พระนโรดม สีหนุเสด็จปราสาทเขาพระวิหาร (ภาษาเขมร) ที่ยูทูบ}

ในช่วงพระองค์ดำรงตำแหน่งเป็นนายกรัฐมนตรียาวนานจนถึงประมุขแห่งรัฐช่วงแรก เพื่อนโยบายชาตินิยมและคะแนนเสียงของพระองค์[50] จึงได้มียกประเด็นกรณีพิพาทเรื่องปราสาทพระวิหาร[51] ซึ่งตั้งอยู่ในบริเวณเทือกเขาพนมดงรัก รอยต่อของจังหวัดพระวิหาร และจังหวัดศรีสะเกษของไทย กัมพูชาได้ยื่นฟ้องต่อศาลยุติธรรมระหว่างประเทศ (หรือ ศาลโลก) อ้างกรรมสิทธิเหนือเขาพระวิหารเมื่อวันที่ 6 ตุลาคม ค.ศ. 1959[52] และศาลโลกได้ตัดสินให้ปราสาทเขาพระวิหารตกเป็นของกัมพูชา[52]

ระหว่างนั้น กัมพูชาได้ตัดความสัมพันธ์ทางการทูตของไทย[50] ในปลาย ค.ศ. 1958 แต่เมื่อต้น ค.ศ. 1959 ก็กลับมามีความสัมพันธ์กันใหม่ ก่อนที่จะตัดความสัมพันธ์อีกครั้งในวันที่ 23 ตุลาคม ค.ศ. 1961[52]

หลังจากที่ศาลโลกได้ตัดสินให้ปราสาทเขาพระวิหารตกเป็นของกัมพูชา ได้มีการเฉลิมฉลองทั่วทั้งพระราชอาณาจักรกัมพูชา รัฐบาลพระองค์ได้จัดให้มีการประกาศวันเฉลิมฉลองชัยชนะแห่งชาติและวันหยุดราชการ และในปีต่อมา ค.ศ. 1963 พระองค์ได้เสด็จขึ้นปราสาทพระวิหารเพื่อทำพิธีบวงสรวง ทางสะพานโบราณ (ช่องบันไดหัก) หลังจากที่ทรงทราบว่ากัมพูชาชนะคดีปราสาทพระวิหาร[53]

จากเหตุการณ์ดังกล่าวชาวไทยในยุคนั้นจึงมองพระองค์อย่างไม่เป็นมิตรนัก[50] ทั้งยังได้ตั้งคำถามล้อเลียนว่า สีอะไรเอ่ยคนไทยเกลียดมากที่สุด? คำตอบคือ "สีหนุ"[7][8][54]

นโยบายต่อชาวเกาะกงเชื้อสายไทย

[แก้]

สืบเนื่องจากความขัดแย้งกับในจากกรณีปราสาทเขาพระวิหาร[51] ประกอบกับการที่กษัตริย์สีหนุมีความระแวงไทยอย่างมาก[55] ใน ค.ศ. 1963 รัฐบาลกัมพูชาได้ออกกฎหมายห้ามชาวเกาะกงพูดภาษาไทย ห้ามมีเงินไทย และห้ามมีหนังสือไทยไว้ในบ้าน หากเจ้าหน้าที่ค้นพบจะถูกทำลายให้สิ้นซาก โดยเฉพาะหากพูดภาษาไทยจะถูกปรับคำละ 25 เรียล และเพิ่มขึ้นเป็น 50 เรียลในปีต่อมา[51][56]

ต่อมาใน ค.ศ. 1965 พระองค์ได้ประกาศว่า ทรงพบเอกสารคอมมิวนิสต์ที่เกาะกง โดยบางชิ้นเป็นภาษาไทย ทำให้พระองค์มีพระราชวินิจฉัยว่าเขมรแดงได้รับคำสั่งจาก "นาย" ต่างประเทศ เพื่อปลุกระดมให้คนเขมรแปลกแยกจากสังคม [พรรคสังคมราษฎร์นิยม พรรคที่พระองค์จัดตั้งขึ้น] และพระองค์[55]

ความสัมพันธ์เมื่อครานั้นของไทยกับกัมพูชา ปรากฏในหนังสือชุด สามเกลอ-พล นิกร กิมหงวน ของ ป.อินทรปาลิต ตอน "เขมรแหย่เสือ" ได้เขียนลงบทนำตอนหนึ่ง ความว่า[52]

"...คนไทยที่มีเชื้อชาติไทยสัญชาติเขมร และชาวเขมรในเกาะกง หรือจังหวัดใกล้เคียงกับจังหวัดตราดและจันทบุรี ถูกรัฐบาลเขมรกดขี่ข่มเหงรีดนาทาเร้นด้วยประการต่าง ๆ จึงอพยพเข้าพึ่งพระบรมโพธิสมภาร ของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว เมื่อนโรดม สีหนุ ทราบข่าวนี้ ก็สั่งให้กองทัพเรือจับชาวประมงในน่านน้ำไทย ยึดเรือและนำตัวไปกักขังไว้ ปฏิบัติต่อคนไทยที่ถูกคุมขังอย่างโหดเหี้ยมทารุณราวกับสัตว์ป่า ชาวประมงหลายคนต้องเสียชีวิตเพราะถูกทารุณ เพราะอดอาหาร หรือเจ็บป่วยก็ไม่ได้รับการรักษาพยาบาล..."

ในเหตุการณ์ช่วงนั้นจา เรียง อดีตผู้ว่าการธนาคารแห่งกัมพูชาได้ทำการบันทึกไว้ว่า ช่วง ค.ศ. 1966 มีชาวเกาะกงเชื้อสายไทยถูกสังหารไปราว 160 คน[55] ส่วนจรัญ โยบรรยงค์ ที่ได้รวบรวมบันทึกของชาวเกาะกงเชื้อสายไทย และนำมาเขียนเป็นหนังสือ "รัฐบาลทมิฬ" ได้อ้างอิงคำพูดของลอน นอล เมื่อครั้งทำงานใกล้ชิดกับสีหนุ และเดินทางมาประชุมที่เกาะกงความว่า "...คนไทยเกาะกง แม้ว่าจะสูญหายตายจากไปสักห้าพันคน ก็ไม่ทำให้แผ่นดินเขมรเอียง"[57] ผลที่ตามมาจากเหตุการณ์ครั้งนี้คือมีคนเชื้อสายไทยจำนวนมากอพยพออกจากเกาะกงไปจังหวัดตราดของไทย[58] และเกิดปัญหาสถานะบุคคลจนถึงปัจจุบัน[59][60]

ชีวิตส่วนพระองค์

[แก้]

ด้านดนตรี

[แก้]

งานทางด้านดนตรี พระองค์ทรงรอบรู้เรื่องดนตรีเป็นอย่างดีและทรงดนตรีได้หลายชนิด เช่น แซ็กโซโฟน, แคลริเน็ต, แอกคอร์เดียน และเปียโน

พระองค์ได้พระราชนิพนธ์เพลงเป็นจำนวนมากทั้งแบบขับร้องและบรรเลง[61] โดยทรงประพันธ์เพลงเป็นภาษาเขมร, อังกฤษ, ฝรั่งเศส และละตินไว้หลายเพลง[54] อาทิ ราตรีนี้ได้พบพักตร์ (Reatry Baan Joub peak) ซึ่งเป็นเพลงยอดนิยมและได้รับการขับร้องหลายเวอร์ชัน[61] และ บุปผาเวียงจันทน์ พระราชทานแด่หม่อมมุนีวรรณ หม่อมชาวลาวที่พระองค์โปรดปราน และถือเป็นเพลงพระราชนิพนธ์ที่มีชื่อเสียงมากเพลงหนึ่ง[62] นอกจากนี้พระองค์ยังโปรดปรานร้องเพลงต่างชาติเพื่อสร้างความบันเทิงแก่แขกต่างประเทศ ทั้งนี้พระองค์โปรดเพลงไทยของสวลี ผกาพันธุ์ และเพลงไทยอื่น ๆ อาทิ รักคุณเข้าแล้ว, ฝัน ฝัน[54] และ เพลงรักเธอเสมอ[63]

เมื่อครั้งที่พระองค์พำนักอยู่ที่เปียงยางและปักกิ่ง ได้ประพันธ์เพลงเปียงยาง และเพลงคิดถึงจีน (Nostalgie de la Chine) เป็นของขวัญมิตรภาพให้กับผู้นำประเทศคอมมิวนิสต์ทั้งสองประเทศ[54]

ด้านภาพยนตร์

[แก้]

พระองค์โปรดการภาพยนตร์ และการกำกับยิ่ง พระองค์ทรงกำกับเขียนบทและเป็นพระเอกในภาพยนตร์เรื่อง เงามืดอังกอร์ นอกจากนี้ยังสร้างภาพยนตร์เรื่อง ป่าสำราญ, เจ้าชายน้อย และ สายันต์[54] ซึ่งนักแสดงนำในภาพยนตร์ที่สีหนุกำกับนั้นคือโรลัง เอง อดีตทูตกัมพูชาประจำไทยและสหรัฐอเมริกา ซึ่งเป็นน้องของพระองค์เจ้านโรดม มารี รณฤทธิ์ อดีตพระชายาในสมเด็จกรมพระนโรดม รณฤทธิ์ อดีตนายกรัฐมนตรีและเป็นโอรสคนที่สองของสีหนุ[54] และภาพยนตร์เรื่อง Ombre sur Angkor ซึ่งพระองค์ได้แสดงเองโดยคู่กับพระชายาโมนิก พระภรรยาองค์สุดท้าย[64] นอกจากนี้ภาพยนตร์เรื่อง ระบำเทพมโนรมย์ (La Forêt Enchantée) ได้ออกฉายในเทศกาลภาพยนตร์นานาชาติมอสโกครั้งที่ 5 ใน ค.ศ. 1967[65][66]

แม้ผลงานของพระองค์จะเป็นภาพยนตร์รัก ๆ ใคร่ ๆ ทั่วไป แต่สิ่งที่พระองค์ได้สอดแทรกผ่านบทภาพยนตร์ทั้งฉากในการถ่าย รวมไปถึงมุมกล้อง ล้วนเป็นสิ่งที่พระองค์ต้องการสื่อสารความเป็นกัมพูชาทั้งศิลปวัฒนธรรม รวมไปถึงแง่มุม ความคิด และวิวทิวทัศน์ภายในประเทศของพระองค์สู่สายตาอารยะประเทศผ่านโลกของแผ่นฟิลม์อย่างแยบคาย[61] ดังปรากฏในพระราชดำรัสตอนหนึ่ง ความว่า

"ผู้กล่าวถึงข้าพเจ้าว่าสร้างแต่หนังรัก หากที่จริงแล้วเป็นเพียงฉากหน้า ในการนำผู้คนให้หันมาสนใจกัมพูชา ไม่เพียงเห็นภาพของวัดวาอารามเท่านั้น แต่ยังสะท้อนถึงวิธีคิด และวิถีชีวิตของพวกเราชาวกัมพูชา เช่นเดียวกับปัญหาที่พวกเรากำลังประสบ"

ทั้งนี้พระองค์ได้ผลักดันจัดเทศกาลภาพยนตร์นานาชาติขึ้น ณ กรุงพนมเปญ[54] ครั้งนั้นนอกจากผู้รับเชิญมางานภาพยนตร์นานาชาติพนมเปญมีทั้งผู้กำกับและนักแสดงชั้นนำจากฮ่องกง ไต้หวันและยุโรปแล้ว ยังสามารถดึงเอาประธานจัดงานภาพยนตร์เมืองคานส์มาร่วมงานได้[54]

ด้านอาหาร

[แก้]

แม้พระองค์จะกล่าวว่าพระองค์เป็น "ชาตินิยม" ก็ตาม[54] กระนั้นพระองค์โปรดปรานอาหารฝรั่งเศสอย่างยิ่ง และกระยาหารแทบทุกมื้อที่เสวยล้วนเป็นอาหารฝรั่งเศส[54] แม้กระทั่งอาหารไทยซึ่งคล้ายกับอาหารเขมรนั้นได้เคยจัดถวายบนเรือขณะล่องแม่น้ำเจ้าพระยานั้น พระองค์ก็มิได้แตะต้องเลย อีกทั้งตรัสว่า "หากเป็นไปได้ ทุกมื้อเสิร์ฟเป็นอาหารฝรั่งเศสยิ่งดี"[54]

ทั้งนี้พระองค์ทรงประกอบอาหารฝรั่งเศสด้วยพระองค์เองบ่อย ๆ ทรงคิดสูตรตำรับ "ไก่ไวน์แดง" และได้รับคำชื่นชมด้านรสชาติ[54]

เกียรติยศ

[แก้]

เดิมมีพระนามว่า นักองราชวงศ์นโรดม สีหนุ[19] ต่อมาเมื่อครองราชสมบัติ ทรงเฉลิมพระนามาภิไธยว่า พระกรุณา พระบาทสมเด็จพระนโรดม สีหนุ ราชหริวงศ์ อุภโตสุชาติ วิสุทธิวงศ์ อัคคมหาบุรุษรัตน์ นิกโรดม ธัมมิกมหาราชาธิราช บรมนาถ บรมบพิตร พระเจ้ากรุงกัมพูชาธิบดี[note 1]

ต่อมาภายหลังการสละราชสมบัติในปี 1955 ได้รับการออกพระนามว่า พระกรุณา สมเด็จพระอุปโยราชนโรดม สีหนุ[67] และใช้เรื่อยมาจนกระทั่งเมื่อครองราชสมบัติครั้งที่สองในปี 1993 ก็ทรงใช้พระนามาภิไธยเดิมสมัยครองราชสมบัติครั้งแรก ต่อมาเมื่อสละราชสมบัติในปี 2004 ได้รับการสถาปนาเป็นพระมหาวีรกษัตริย์ โดยทรงได้รับการเฉลิมพระนามว่า พระกรุณา พระบาทสมเด็จพระนโรดม สีหนุ พระมหาวีรกษัตริย์ พระวรราชบิดาเอกราช บูรณภาพดินแดน และความเป็นเอกภาพแห่งชาติเขมร [note 2]

ภายหลังการสวรรคต ทรงได้รับพระบรมปัจฉามรณนามก่อนการถวายพระเพลิงว่า พระกรุณา พระบรมรัตนโกศ ตั้งแต่วันที่ 28 พฤศจิกายน ค.ศ. 2012[68][69] ซึ่งเทียบกับภาษาไทยคือ "พระเจ้าอยู่หัวในพระบรมโกศ"[70]

ฐานันดรศักดิ์และพระอิสริยยศ

[แก้]
  • 1922-1941: นักองราชวงศ์นโรดม สีหนุ
  • 1941-1955: พระกรุณา พระบาทสมเด็จพระเจ้ากรุงกัมพูชาธิบดี
  • 1955-1993: พระกรุณา สมเด็จพระอุปโยราช
  • 1993-2004: พระกรุณา พระบาทสมเด็จพระเจ้ากรุงกัมพูชาธิบดี
  • 2004-2012: พระกรุณา พระบาทสมเด็จพระมหาวีรกษัตริย์ พระวรราชบิดา ฯ

อิสริยาภรณ์ต่างประเทศ

[แก้]
 ฝรั่งเศส 21 ตุลาคม ค.ศ. 1941[71] เครื่องอิสริยาภรณ์เลฌียงดอเนอร์ ชั้นประถมาภรณ์
เวียดนาม 3 เมษายน ค.ศ. 1942[71] เครื่องราชอิสริยาภรณ์มังกรแห่งอันนัม ชั้นประถมาภรณ์
 พม่า 15 พฤศจิกายน ค.ศ. 1954[71] เครื่องอิสริยาภรณ์สิริสุธัมมะ ชั้นอัคคมหาสิริสุธัมมะ
 ไทย 15 ธันวาคม ค.ศ. 1954[72] เครื่องขัตติยราชอิสริยาภรณ์อันมีเกียรติคุณรุ่งเรืองยิ่งมหาจักรีบรมราชวงศ์
 ญี่ปุ่น 2 ธันวาคม ค.ศ. 1955[71] เครื่องราชอิสริยาภรณ์อันสูงส่งยิ่งดอกเบญจมาศ ชั้นสังวาล
 เกาหลีใต้ ค.ศ. 1955[71] เครื่องอิสริยาภรณ์มูกุงฮวา
สเปน 22 มิถุนายน ค.ศ. 1956[71] เครื่องราชอิสริยาภรณ์แอกและลูกศร ชั้นประถมาภรณ์
สเปน 22 มิถุนายน ค.ศ. 1956[71] ตรากางเขนความชอบฝ่ายทหาร ประดับสีขาว
โปแลนด์ กรกฎาคม ค.ศ. 1956[71] เครื่องอิสริยาภรณ์โปโลเนียเรสติตูตา
 ออสเตรีย 29 สิงหาคม ค.ศ. 1956[71] เครื่องอิสริยาภรณ์กิตติคุณแห่งสาธารณรัฐออสเตรีย ชั้นมหาดารา
 ฟิลิปปินส์ 31 มกราคม ค.ศ. 1957[71] เครื่องอิสริยาภรณ์ซิกาตูนา ชั้นที่ 1 "รายา"
เอธิโอเปีย 4 พฤษภาคม ค.ศ. 1958[71] เครื่องราชอิสริยาภรณ์ราชินีแห่งชีบา ชั้นประถมาภรณ์ พร้อมสายสร้อย
ซีเรีย 15 พฤศจิกายน ค.ศ. 1958[71] เครื่องอิสริยาภรณ์อูมัยยัด ชั้นที่ 1
 อียิปต์ 9 พฤศจิกายน ค.ศ. 1959[71] เครื่องอิสริยาภรณ์แม่น้ำไนล์ ชั้นที่ 1
เวียดนามใต้ ค.ศ. 1959[71] เครื่องอิสริยาภรณ์แห่งชาติเวียดนาม ชั้นประถมาภรณ์
 มาเลเซีย 21 ธันวาคม ค.ศ. 1962[71] เครื่องราชอิสริยาภรณ์มงกุฎแห่งชาติ
 สิงคโปร์ 8 เมษายน ค.ศ. 1963[71] เครื่องอิสริยาภรณ์เทมาเส็ก ชั้นที่ 1
ลาว 18 เมษายน ค.ศ. 1963[71] เครื่องราชอิสริยาภรณ์ล้านช้างร่มขาว ชั้นประถมาภรณ์
 ไนจีเรีย 9 พฤศจิกายน ค.ศ. 1965[71] เครื่องอิสริยาภรณ์ไนเจอร์ ชั้นที่ 1
 ยูโกสลาเวีย 17 มกราคม ค.ศ. 1968[71] เครื่องอิสริยาภรณ์ดาราแห่งยูโกสลาเวีย ชั้นมหาดาราแห่งยูโกสลาเวีย
 อินโดนีเซีย 1 เมษายน ค.ศ. 1968[71] เครื่องอิสริยาภรณ์ดาราแห่งสาธารณรัฐอินโดนีเซีย ชั้นที่หนึ่ง "อาทิปูรณะ"
 เชโกสโลวาเกีย ไม่ทราบปี[71] เครื่องอิสริยาภรณ์ราชสีห์ขาว ชั้นที่ 1
 บรูไน ไม่ทราบปี[71] เครื่องขัตติยราชอิสริยาภรณ์มงกุฎบรูไน
 โมร็อกโก ไม่ทราบปี[71] เครื่องราชอิสริยาภรณ์ราชบัลลังก์
 อิตาลี ไม่ทราบปี[71] เครื่องอิสริยาภรณ์คุณธรรมแห่งสาธารณรัฐอิตาลี ชั้นประถมาภรณ์

พระราชบุตร

[แก้]
พระราชโอรสและพระราชธิดา
พระนาม ประสูติ สิ้นพระชนม์ พระชันษา
นักนางพัต กันฮอล (ค.ศ. 1920 – 1 กุมภาพันธ์ ค.ศ. 1969) อภิเษก: ค.ศ. 1942 / ภายหลังทรงหย่า
สมเด็จพระเรียมนโรดม บุปผาเทวี 8 มกราคม ค.ศ. 1943 18 พฤศจิกายน ค.ศ. 2019 76 ปี
สมเด็จกรมพระนโรดม รณฤทธิ์ 2 มกราคม ค.ศ. 1944 28 พฤศจิกายน ค.ศ. 2021 77 ปี
พระองค์เจ้าสีสุวัตถิ์ พงสานมุนี (เจ้าโมง) (26 มกราคม ค.ศ. 1929 – 5 ธันวาคม ค.ศ. 1974) อภิเษก: ค.ศ. 1942 / หย่า: ค.ศ. 1951
สมเด็จพระบรมเรียมนโรดม ยุวนาถ 17 ตุลาคม ค.ศ. 1943 14 มกราคม ค.ศ. 2021 77 ปี
พระองค์เจ้านโรดม ระวีวงศ์สีหนุ 8 กรกฎาคม ค.ศ. 1944 31 กรกฎาคม ค.ศ. 1973 29 ปี
สมเด็จพระมเหศวรนโรดม จักรพงศ์ 21 ตุลาคม ค.ศ. 1945 ยังทรงพระชนม์ 80 ปี
พระองค์เจ้านโรดม สุริยเรืองสี 6 เมษายน ค.ศ. 1947 ค.ศ. 1976 29 ปี
พระองค์เจ้านโรดม คันธาบุปผา ค.ศ. 1948 14 ธันวาคม ค.ศ. 1952 4 ปี
พระองค์เจ้านโรดม เขมานุรักษ์สีหนุ 26 กันยายน ค.ศ. 1949 ค.ศ. 1975 33 ปี
พระองค์เจ้านโรดม ปทุมบุปผา 18 มกราคม ค.ศ. 1951 เดือนเมษายน ค.ศ. 1976 25 ปี
พระองค์เจ้าสีสุวัตถิ์ มุนีเกสร (6 เมษายน ค.ศ. 1929 – 17 กุมภาพันธ์ ค.ศ. 1946) อภิเษก: ค.ศ. 1944
พระองค์เจ้านโรดม นรทีโป 10 กุมภาพันธ์ ค.ศ. 1946 ค.ศ. 1976 30 ปี
สมเด็จพระราชกนิษฐานโรดม นรลักษมิ์ (29 กันยายน ค.ศ. 1927 – 20 พฤษภาคม ค.ศ. 1978) อภิเษก: ค.ศ. 1946 ทางการ: 4 มีนาคม ค.ศ. 1955
หม่อมมะนีวัน พานีวง (ค.ศ. 1934 – 19 เมษายน ค.ศ. 1975) อภิเษก: ค.ศ. 1949
พระองค์เจ้านโรดม สุเชษฐาสุชะตา 10 มีนาคม ค.ศ. 1953 20 เมษายน ค.ศ. 1975 22 ปี
สมเด็จพระอนุชนโรดม อรุณรัศมี 2 ตุลาคม ค.ศ. 1955 ยังทรงพระชนม์ 70 ปี
สมเด็จพระราชินีนโรดม มุนีนาถ สีหนุ พระวรราชมารดา (เดิม ปอล โมนิก อิซซี; 18 มิถุนายน ค.ศ. 1936 – ปัจจุบัน) อภิเษก: ค.ศ. 1952 ทางการ: ค.ศ. 1955
พระบาทสมเด็จพระบรมนาถ นโรดม สีหมุนี 14 พฤษภาคม ค.ศ. 1953 ยังทรงพระชนม์ 72 ปี
สมเด็จพระนโรดม นรินทรพงษ์ 18 กันยายน ค.ศ. 1954 7 ตุลาคม ค.ศ. 2003 49 ปี

พงศาวลี

[แก้]

เชิงอรรถ

[แก้]
  1. เขียนเป็นอักษรเขมรดังนี้: ព្រះករុណា ព្រះបាទសម្ដេចព្រះ នរោត្ដម សីហនុ រាជហរិវង្ស ឧភតោសុជាតិ វិសុទ្ធពង្ស អគ្គមហាបុរសរតន៍ និករោត្ដម ធម្មិកមហារាជាធិរាជ បរមនាថ បរមបពិត្រ ព្រះចៅក្រុងកម្ពុជាធិបតី พฺระกรุณา พฺระบาทสมฺเฎจพฺระ นโรตฺฎม สีหนุ ราชหริวงฺส อุภโตสุชาติ วิสุทฺธพงฺส อคฺคมหาบุรสรตน์ นิกโรตฺฎม ธมฺมิกมหาราชาธิราช บรมนาถ บรมบพิตฺร พฺระเจากฺรุงกมฺพุชาธิบตี
  2. เขียนเป็นอักษรเขมรดังนี้: ព្រះករុណា ព្រះបាទសម្ដេចព្រះ នរោត្ដម សីហនុ ព្រះមហាវីរក្សត្រ ព្រះវររាជបិតាឯករាជ្យ បូរណភាពទឹកដី និងឯកភាពជាតិខ្មែរ พฺระกรุณา พฺระบาทสมฺเฎจพฺระ นโรตฺฎม สีหนุ พฺระมหาวีรกฺสตฺร พฺระวรราชบิตาเอกราชฺย บูรณภาพทึกฎี นิงเอกภาพชาติขฺแมร

อ้างอิง

[แก้]
  1. รุ่งมณี เมฆโสภณ. คนสองแผ่นดิน. กรุงเทพ : บ้านพระอาทิตย์, มีนาคม 2551. หน้า 202
  2. Kiernan, B. (1985). How Pol Pot Came to Power: Colonialism, Nationalism, and Communism in Cambodia, 1930–1975. Verso.
  3. Short, P. (2004). Pol Pot: Anatomy of a Nightmare. Henry Holt and Company.
  4. Chandler, 1991, pp. 287–288
  5. "สีหนุ เดอะ ไฟนอล แฟนตาซี "คนการเมือง" ที่สุดในโลก ???" (Press release). มติชน. 3 February 2013. สืบค้นเมื่อ 4 February 2013.
  6. "King Father Sihanouk holds ECCC at bay". The Phnom Penh Post. 7 September 2007. เก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 2013-01-04. สืบค้นเมื่อ 13 October 2009. King Father Norodom Sihanouk has held so many positions since 1941 that the Guinness Book of World Records identifies him as the politician who has occupied the world's greatest variety of political offices.
  7. 1 2 อ้างอิงผิดพลาด: ป้ายระบุ <ref> ไม่ถูกต้อง ไม่มีการกำหนดข้อความสำหรับอ้างอิงชื่อ เก้า
  8. 1 2 "นโรดม สีหนุ : กษัตริย์เก้าชีวิตแห่งกัมพูชา" (Press release). คมชัดลึก. คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 2013-01-30. สืบค้นเมื่อ 4 February 2013.
  9. King Family
  10. Ancestry.com. HM King NORODOM SURAMARIT เก็บถาวร 2012-11-04 ที่ เวย์แบ็กแมชชีน. เรียกดูเมื่อ 20 ตุลาคม 2555
  11. Jeldres (2005), p. 30.
  12. 1 2 จุลลดา ภักดีภูมินทร์. ‘พระราชวงศ์เขมร’ และ ‘พระราชวงศ์ไทย’[ลิงก์เสีย] ในสกุลไทย ฉบับที่ 2500 ปีที่ 48 ประจำวันอังคารที่ 17 กันยายน 2545
  13. Soravij. A Regal Princess a Remembered - Her Rayal Highness Princess Bejaratana เก็บถาวร 2013-12-08 ที่ เวย์แบ็กแมชชีน. เรียกดูเมื่อ 20 ตุลาคม 2555
  14. Sokheounpang. Khmer-Siam Royal Family Tree. เรียกดูเมื่อ 27 มกราคม 2556
  15. Ancestry.com. Neak Ang Mechas Norodom Kanviman Norleak Tevi เก็บถาวร 2012-11-04 ที่ เวย์แบ็กแมชชีน. เรียกดูเมื่อ 20 ตุลาคม 2555
  16. จุลลดา ภักดีภูมินทร์, ตำนานชื่อบ้านเมือง เก็บถาวร 2004-12-10 ที่ เวย์แบ็กแมชชีน, สกุลไทย, ฉบับที่ 2604, ปีที่ 50, ประจำวันอังคารที่ 14 กันยายน 2547
  17. Les Paroles de Samdech Preah Norodom Sihanouk. Phnom Penh, Ministry of information : October-December 1967, p 811. Speech on 19 October 1967
  18. Ben Kiernan. How Pol Pot Came to Power, p 30
  19. 1 2 ธิบดี บัวคำศรี. ชุด "อาเซียน" ในมิติประวัติศาสตร์ ประวัติศาสตร์กัมพูชา. กรุงเทพฯ:เมืองโบราณ. 2555, หน้า 84
  20. ธิบดี บัวคำศรี. ชุด "อาเซียน" ในมิติประวัติศาสตร์ ประวัติศาสตร์กัมพูชา. กรุงเทพฯ:เมืองโบราณ. 2555, หน้า 85
  21. ธิบดี บัวคำศรี. ชุด "อาเซียน" ในมิติประวัติศาสตร์ ประวัติศาสตร์กัมพูชา. กรุงเทพฯ:เมืองโบราณ. 2555, หน้า 86
  22. 1 2 3 ธิบดี บัวคำศรี. ชุด "อาเซียน" ในมิติประวัติศาสตร์ ประวัติศาสตร์กัมพูชา. กรุงเทพฯ:เมืองโบราณ. 2555, หน้า 87
  23. ธิบดี บัวคำศรี. ชุด "อาเซียน" ในมิติประวัติศาสตร์ ประวัติศาสตร์กัมพูชา. กรุงเทพฯ:เมืองโบราณ. 2555, หน้า 88
  24. Chandler, D. P. (2008). A history of Cambodia (4th ed.). Boulder, CO: Westview Press.
  25. Osborne, M. (1994). Sihanouk: Prince of Light, Prince of Darkness. Honolulu: University of Hawai‘i Press.
  26. Osborne, 1994, pp. 89–91
  27. Dommen, 2001, pp. 450–451
  28. Kiernan, 1985, pp. 110–111
  29. Osborne, 1994, pp. 97–99
  30. “รายงานการเมืองและเรื่องราวตําง ๆ ในกัมพูชาปี 2500 (2 สิงหาคม 2500-8 มกราคม 2501),” 24 ธันวาคม 2500, เอกสารกระทรวงการต่างประเทศ (2) กต 16.3.1.1/4, สํานักหอจดหมายเหตุแห่งชาติ, 222.
  31. Milton Osborne. Sihanouk: Prince of Light, Prince of Darkness, 1994, pp. 168–170
  32. Cheang, Sopheng (15 October 2012). "Cambodia's former King Norodom Sihanouk dies at 89". NBC News. Associated Press. สืบค้นเมื่อ 15 October 2012.
  33. "กัมพูชาร่ำไห้อาลัย กษัตริย์สีหนุ" (Press release). ฐานเศรษฐกิจ. 15 October 2012. สืบค้นเมื่อ 15 October 2012.
  34. "Cambodia former king Norodom Sihanouk dies aged 89". BBC News. 15 October 2012.
  35. "Cambodia expresses grieves at the death of King-Father Norodom Sihanouk". China News. 15 October 2012. สืบค้นเมื่อ 15 October 2012.
  36. "กัมพูชาร่ำไห้อาลัย กษัตริย์สีหนุ" (Press release). ข่าวสด. 16 October 2012. คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 2016-03-05. สืบค้นเมื่อ 30 December 2012.
  37. Parliament of Thailand. ในหลวงทรงเศร้าสลดสมเด็จสีหนุพิธีพระศพในพนมเปญ ยิ่งลักษณ์เตรียมบินร่วมไว้อาลัยกษัตริย์กัมพูชา[ลิงก์เสีย]. เรียกดูเมื่อวันที่ 30 ธันวาคม 2555
  38. ""ยิ่งลักษณ์" เดินทางไปสักการะ พระศพสมเด็จพระนโรดม สีหนุ" (Press release). มติชน. 19 October 2012. สืบค้นเมื่อ 30 December 2012.
  39. "ชาวกัมพูชาหลั่งไหลงานพระราชพิธี "เจ้านโรดมสีหนุ"" (Press release). แนวหน้า. 4 February 2013. สืบค้นเมื่อ 4 February 2013.
  40. 1 2 "กัมพูชาจะเริ่มพระราชพิธีถวายพระเพลิงสมเด็จพระนโรดม สีหนุ 16.00 น.วันนี้" (Press release). มติชน. 4 February 2013. สืบค้นเมื่อ 4 February 2013.
  41. 1 2 3 กระปุกดอตคอม. พระราชพิธีถวายพระเพลิงพระบรมศพ สมเด็จพระนโรดม สีหนุ. เรียกดูเมื่อ 4 กุมภาพันธ์ 2556
  42. 1 2 "ชาวกัมพูชาหลั่งไหลงานพระราชพิธี "เจ้านโรดมสีหนุ"" (Press release). ข่าวสด. 4 February 2013. สืบค้นเมื่อ 4 February 2013.[ลิงก์เสีย]
  43. CRI Online (28 มกราคม 2556). รัฐบาลกัมพูชาคาดว่าจะมีประชาชน 6 แสนคนเข้าร่วมงานพระราชพิธีถวายพระเพลิงบรมศพพระบาทสมเด็จพระนโรดม สีหนุ. เรียกดูเมื่อ 4 กุมภาพันธ์ 2556
  44. "ภาพชุดอลังการ -- เขมรปิดฉากพระราชพิธีอัญเชิญพระโกศเพชร" (Press release). ASTVผู้จัดการออนไลน์. 8 February 2013. สืบค้นเมื่อ 28 February 2013.[ลิงก์เสีย]
  45. Voice TV. สำรวจพระราชพิธีออกพระเมรุกษัตริย์นโรดมสีหนุ เก็บถาวร 2016-03-04 ที่ เวย์แบ็กแมชชีน. เรียกดูเมื่อ 4 กุมภาพันธ์ 2556
  46. ยิ่งยศ บุญจันทร์. (2566) ความสัมพันธ์ระหวํางกัมพูชากับไทย ระหวําง ค.ศ. 1955-1970: ศึกษาผํานทรรศนะสมเด็จพระอุปยุวราชนโรดมสีหนุ มหาวิทยาลัยศิลปากร. หน้า 94
  47. “รายงานเหตุการณ์และสถานการณ์ทางการเมืองในประเทศกัมพูชา (25 เมษายน - 18 สิงหาคม 2501),” 1 เมษายน 2501, เอกสารกระทรวงมหาดไทย สํานักงานปลัดกระทรวง กองการข่าวและการต่างประเทศ (1) มท 3.1.2.13/50, สํานักหอจดหมายเหตุแห่งชาติ, 124.
  48. Jerrold Scheeter, The New Face of Buddha; Cambodia the People’s Prince (New York: Coward, Macamm, Inc, 1967), 73.
  49. ยิ่งยศ บุญจันทร์ (2566). "...นับตั้งแตํปลายทศวรรษ 1950 เมื่อสมเด็จพระอุปยุวราชนโรดมสีหนุทรงเข้ามามีบทบาททางการเมืองในกัมพูชา เป็นชํวงเวลาเดียวกันกับที่บรรยากาศการแสดงความคิดเห็นทางการเมืองในประเทศไทยมีเสรีภาพเปิดกว้างมากขึ้น โดยเฉพาะภายหลังจอมพล ป. พิบูลสงครามเดินทางกลับจากการเยือนตํางประเทศและนําวัฒนธรรม “การปราศรัยในที่สาธารณะหรือไฮปาร์ค” (hyde-park) จากสหราชอาณาจักรมาใช้ใน ค.ศ. 1955 สํงผลให๎ประชาชนมีความตื่นตัวทางการเมืองมากขึ้น พร้อมกับการผ่อนคลายมาตรการควบคุมสื่อสิ่งพิมพ์จึงทําให้ในช่วงเวลานี้หนังสือพิมพ์มีเสรีภาพและสามารถรายงานความเคลื่อนไหวทางการเมืองได้อย่างอิสระ ด้วยเหตุนี้จึงปรากฏว่าหนังสือพิมพ์ไทยวิพากษ์วิจารณ์การเมืองไทย รวมถึงเพื่อนบ้านอย่างเอิกเกริก..." ความสัมพันธ์ระหวํางกัมพูชากับไทย ระหว่าง ค.ศ. 1955-1970: ศึกษาผ่านทรรศนะสมเด็จพระอุปยุวราชนโรดมสีหนุ. หน้า 188
  50. 1 2 3 "มองเจ้านโรดม สีหนุ กษัตริย์กู้ชาติแห่งกัมพูชา" (Press release). ไทยรัฐ. 17 October 2012. สืบค้นเมื่อ 6 February 2013.
  51. 1 2 3 รุ่งมณี เมฆโสภณ. คนสองแผ่นดิน. กรุงเทพฯ:บ้านพระอาทิตย์, 2551, หน้า 87
  52. 1 2 3 4 รุ่งมณี เมฆโสภณ. คนสองแผ่นดิน. กรุงเทพฯ:บ้านพระอาทิตย์, 2551, หน้า 88
  53. พระนโรดม สีหนุเสด็จปราสาทเขาพระวิหาร (ภาษาเขมร) ที่ยูทูบ
  54. 1 2 3 4 5 6 7 8 9 10 11 12 Media Inside Out (10 ตุลาคม 2555). สีหนุ..กษัตริย์หลากสีสัน ในสายตาสื่อ เก็บถาวร 2012-11-26 ที่ เวย์แบ็กแมชชีน. เรียกดูเมื่อ 4 กุมภาพันธ์ 2556
  55. 1 2 3 รุ่งมณี เมฆโสภณ. คนสองแผ่นดิน. กรุงเทพฯ:บ้านพระอาทิตย์, 2551, หน้า 89
  56. นิติภูมิ นวรัตน์. เขตร์เขมรัฐภูมินทร์ เก็บถาวร 2013-06-30 ที่ archive.today. ในเปิดฟ้าส่องโลก, 17 สิงหาคม 2543. เรียกดูเมื่อวันที่ 9 กุมภาพันธ์ 2556
  57. จรัญ โยบรรยงค์. รัฐบาลทมิฬ. กรุงเทพฯ:จิตติกานต์, 2528, หน้า 122
  58. "เส้นทางคืนสัญชาติ (1) ไทยพลัดถิ่น เรื่องราวแสนยาวไกล!" (Press release). เดลินิวส์. 30 April 2012. สืบค้นเมื่อ 9 February 2013.
  59. ปัญหาความไร้รัฐของคนเชื้อชาติไทยจากเกาะกง โดยอาจารย์วรรณทนี รุ่งเรืองสภากุล และคุณภิญโญ วีระสุขสวัสดิ์ (๒). เรียกดูเมื่อวันที่ 9 กุมภาพันธ์ 2556
  60. "ผู้อพยพเชื้อสายไทย จ.เกาะกง : เรื่องเล่าบนเส้นทาง พ.ร.บ.สัญชาติ" (Press release). อิศรา. 21 June 2012. สืบค้นเมื่อ 9 February 2013.
  61. 1 2 3 จุมเรียบซัว: ศิลปะบันเทิงขแมร์ง่าย ๆ สบาย ๆ สไตล์เรา. พระบาทสมเด็จนโรดมสีหนุ เอกอัครศิลปินแห่งกัมพูชา เก็บถาวร 2013-10-25 ที่ เวย์แบ็กแมชชีน. เรียกดูเมื่อ 6 กุมภาพันธ์ 2556
  62. คึกฤทธิ์ ปราโมช. ถกเขมร. พระนคร:ก้าวหน้า, พิมพ์ครั้งที่ 3, 2506, หน้า 208
  63. โอเคเนชั่น. ใครจะคิด!!! กษัตริย์เขมร...เจ้าสีหนุทรงร้องเพลงไทย "รักเธอเสมอ". เรียกดูเมื่อ 4 กุมภาพันธ์ 2556
  64. ธิบดี บัวคำศรี. ชุด "อาเซียน" ในมิติประวัติศาสตร์ ประวัติศาสตร์กัมพูชา. กรุงเทพฯ:เมืองโบราณ. 2555, หน้า 65
  65. "5th Moscow International Film Festival (1967)". MIFF. คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 2013-01-16. สืบค้นเมื่อ 2012-12-09.
  66. "Shadow Over Angkor". MTV. คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 2013-05-10. สืบค้นเมื่อ 2012-12-12.
  67. เขียนเป็นอักษรเขมรดังนี้: ព្រះករុណា សម្តេចព្រះឧភយោរាជ នរោត្ដម សីហនុ พฺระกรุณา สมฺเฎจพฺระอุปโยราช นโรตฺฎม สีหนุ
  68. "สำเนาที่เก็บถาวร". คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 2012-12-02. สืบค้นเมื่อ 2013-02-02.
  69. รอยยิ้มดีไซน์. สมเด็จแม่ทรงย้ำถึงความสำคัญของการถวายพระบรมปัจฉามรณะนาม[ลิงก์เสีย]. เรียกดูเมื่อ 4 กุมภาพันธ์ 2556
  70. "นิธิ เอียวศรีวงศ์ : กษัตริย์สีหนุ" (Press release). มติชน. 10 February 2013. สืบค้นเมื่อ 12 February 2013.
  71. 1 2 3 4 5 6 7 8 9 10 11 12 13 14 15 16 17 18 19 20 21 22 23 24 CAMBODIA Page 19 - royalark.net
  72. ราชกิจจานุเบกษา, ประกาศสำนักคณะรัฐมนตรี เรื่อง ถวายเครื่องขัตติยราชอิสริยาภรณ์แด่พระมหากษัตริย์แห่งกัมพูชา เก็บถาวร 2016-03-04 ที่ เวย์แบ็กแมชชีน, เล่ม ๗๑, ตอน ๘๖ ง, ๒๘ ธันวาคม พ.ศ. ๒๔๙๗, หน้า ๒๘๘๐

แหล่งข้อมูลอื่น

[แก้]


ก่อนหน้า พระบาทสมเด็จพระนโรดม สีหนุ ถัดไป
พระบาทสมเด็จพระสีสุวัตถิ์ มุนีวงศ์ พระมหากษัตริย์กัมพูชา
(24 เมษายน พ.ศ. 2484 - 2 กันยายน พ.ศ. 2498)
พระบาทสมเด็จพระนโรดม สุรามฤต
สถาปนาตำแหน่ง นายกรัฐมนตรีกัมพูชา
(พ.ศ. 2488)
เซิน หง็อก ถั่ญ
เยม ซัมบัวร์ นายกรัฐมนตรีกัมพูชา
(พ.ศ. 2493)
สมเด็จกรมหลวงสีสุวัตถิ์ มุนีพงศ์
ฮุย กานทวล นายกรัฐมนตรีกัมพูชา
(พ.ศ. 2495 - พ.ศ. 2496)
แปน นุต
จัน นาก นายกรัฐมนตรีกัมพูชา
(พ.ศ. 2497)
แปน นุต
เลง เงต นายกรัฐมนตรีกัมพูชา
(พ.ศ. 2498 - พ.ศ. 2499)
อวม เชียง ซุน
อวม เชียง ซุน นายกรัฐมนตรีกัมพูชา
(พ.ศ. 2499)
คิม ทิต
คิม ทิต นายกรัฐมนตรีกัมพูชา
(พ.ศ. 2499)
ซัม ยุน
ซัม ยุน นายกรัฐมนตรีกัมพูชา
(พ.ศ. 2500)
ซิม วาร์
ซิม วาร์ นายกรัฐมนตรีกัมพูชา
(พ.ศ. 2501 - พ.ศ. 2503)
โพธิ์ เพรือง
พระบาทสมเด็จพระนโรดม สุรามฤต
(ในฐานะพระมหากษัตริย์)
ประมุขแห่งรัฐกัมพูชา
(5 มิถุนายน พ.ศ. 2503 - 18 มีนาคม พ.ศ. 2513)
เจง เฮง
(ในฐานะประมุขแห่งสาธารณรัฐ)
แปน นุต นายกรัฐมนตรีกัมพูชา
(พ.ศ. 2504- พ.ศ. 2505)
เนียก เทียวลอง
ลอน นอล
(ในฐานะประธานาธิบดี)
ประมุขแห่งรัฐกัมพูชา
(พ.ศ. 2518- พ.ศ. 2519)
เขียว สัมพัน
(ในฐานะประธานสภาเปรซิเดียม)
เจีย ซิม
(ในฐานะประธานสภาแห่งรัฐกัมพูชา)
พระมหากษัตริย์กัมพูชา
(สถาปนาราชอาณาจักรใหม่)

(24 กันยายน พ.ศ. 2536 - 7 ตุลาคม พ.ศ. 2547)
พระบาทสมเด็จพระบรมนาถนโรดม สีหมุนี