พระเจ้าแตงหวาน
![]() | บทความนี้อาจขยายความได้โดยการแปลบทความที่ตรงกันในภาษาอังกฤษ คลิกที่ [ขยาย] เพื่อศึกษาแนวทางการแปล
|
บทความนี้ยังต้องการเพิ่มแหล่งอ้างอิงเพื่อพิสูจน์ความถูกต้อง คุณสามารถพัฒนาบทความนี้ได้โดยเพิ่มแหล่งอ้างอิงตามสมควร เนื้อหาที่ขาดแหล่งอ้างอิงอาจถูกลบออก |
พระบาทกมรเตง อัญศรีสุริโยพันธุ์ (พระบาทองค์ชัย) | |
---|---|
พระเจ้าแผ่นดินแห่งจักรวรรดิขแมร์ | |
พระรูปฉลองพระองค์สมเด็จพระองค์ชัย(พระเจ้าแตงหวาน)ทรงพระแสงหอกลำแพงชัย อันเป็นเครื่องราชกกุธภัณฑ์ | |
ครองราชย์ | • ค.ศ.1290 - 1336 (จตุมุข) • ค.ศ.1336 - 1340 (ศรียโศธรปุระ) |
ก่อนหน้า | พระเจ้าราชนคริน (ราชวงศ์วรมัน สายราชสกุลมหิธรปุระ) |
ถัดไป | พระบรมนิพพานบท (ราชสกุลตระซ็อกประแอม) |
คู่อภิเษก | พระนางจันทรวรเทวี(เขมร: ព្រះនាងច័ន្ទតារាវត្តី) (พระราชธิดาในพระเจ้าราชนคริน.) |
พระราชบุตร | พระบรมนิพพานบท พระสิทธานราชา(หรือพระศิริรัตน์เขมร: ព្រះសិរីរតន៍) |
ราชวงศ์ | ราชสกุลตระซ็อกประแอม |
พระราชบิดา | พระปทุมราชา(เขมร: ព្រះបទុមរាជា) |
พระราชมารดา | พระนางโสภาวดี(เขมร: ព្រះនាងសុភវត្តី) |
ประสูติ | ค.ศ. 1221 |
สวรรคต | ค.ศ. 1341 |
ศาสนา | พระพุทธศาสนาเถรวาท[ต้องการอ้างอิง] |
สมเด็จพระองค์ชัย (เขมร: ព្រះបាទអង្គជ័យ) หรือที่รู้จักในพระนาม พระเจ้าตระซ็อกประแอม (พระเจ้าแตงหวาน) (เขมร: ត្រសក់ផ្អែម) หรือพระบาทสมเด็จพระศรีสุริโยพันธุ์ที่ 1 โดยทั่วไปถือว่าเป็นกษัตริย์ในตำนานของอาณาจักรพระนครซึ่งสันนิษฐานว่าสวรรคตประมาณ พ.ศ. 1883[1][2]
พระราชประวัติ[แก้]
สมเด็จพระองค์ชัย (เขมร: ព្រះបាទអង្គជ័យ อักษรโรมัน: Trasak Peam ) หรือพระเจ้าตระซ็อกประแอม หรือพระบาทศรีสุริโยพันธุ์ที่ 1 พระเจ้าแตงหวานทรงสถาปนาพระองค์ขึ้นปกครองเมืองทางตอนใต้ (ใกล้เมืองจตุมุข,พนมเปญ) จากการรวมตัวของทาสที่หลบหนีออกจากพระนครหลวงและกลุ่มชาติพันธุ์ทางตอนใต้ โดยช่วงเวลานั้นอำนาจในพระนครหลวงได้เริ่มเสื่อมอำนาจลงอย่างมาก เมืองภายใต้การปกครองพยายามแยกตัวออกเป็นรัฐอิสระ ซึ่งต่อมาเมืองนี้ได้กลายเป็นฐานอำนาจสำคัญของราชสกุลตระซ็อกประแอม เมื่อพระบรมราชาหรือเจ้าพญาญาติทรงย้ายราชธานีจากพระนครหลวงมายังเมืองนี้[3][4]ซึ่งเป็นฐานอำนาจเก่ามาตั้งแต่รัชสมัยพระเจ้าแตงหวาน พระเจ้าแตงหวานทรงขึ้นปกครองเมืองนี้เมื่อพระชนมายุ 70 ปี ในปี ค.ศ. 1290 และทรงอภิเษกกับพระนางจันทรวรเทวีพระราชธิดาของพระเจ้าชัยวรมันที่ 9 ในปีนี้ด้วยต่อมาทรงได้ครองราชสมบัติเป็นพระมหากษัตริย์แห่งพระนครหลวง ในปี ค.ศ. 1336-1340 พระเจ้าแตงหวานทรงเป็นผู้สร้างพระแสงหอกลำแพงชัย อันเป็นเครื่องราชกกุธภัณฑ์ที่สำคัญมากที่สุดของอาณาจักรกัมพูชาคู่กับ พระขรรค์ราช ทรงเฉลิมพระนามหลังจากเสวยราชสมบัติว่า พระบาทกมรเตง อัญศรีสุริโยพันธุ์ บรมมหาบพิตรธรรมิกมหาราชาธิราช (เขมร: ព្រះបាទសម្ដេចមហាបពិត្រ ធម្មិករាជាធិរាជ ជាអង្គម្ចាស់ផែនដីក្រុងកម្ពុជាធិបតី ) อยู่ในราชสมบัติ 5 ปี
พระราชพงศาวดารกรุงกัมพูชา[แก้]
ในพระราชพงศาวดารกรุงกัมพูชาซึ่งพระราชนิพพนธ์โดยสมเด็จนักองค์เอง[5] พระเจ้าแผ่นดินแห่งพระราชอาณาจักรเขมรในขณะนั้น (ปัจจุบันคือ เมืองอุดงฦาไชย จังหวัดกำปงสปือ) กล่าวว่า สมเด็จพระองค์ชัย หรือ พระเจ้าแตงหวานนี้ เป็นปฐมกษัตริย์ต้นราชวงศ์ของราชสกุลนโรดม และทรงเป็นผู้สร้างพระแสงหอกลำแพงชัย อันเป็นเครื่องราชกกุธภัณฑ์ที่สำคัญมากที่สุดของอาณาจักรกัมพูชาคู่กับ พระขรรค์ราช พระเจ้าแตงหวานมีชื่อเดิมว่าองค์ชัย พระราชบิดาเป็นเจ้าชายเชื้อพระวงศ์แห่งอาณาจักรจามปา เมื่อครั้งพระเจ้าชัยวรมันที่ 7 แห่งอาณาจักรพระนครหลวงยกทัพหลวงจากละโว้ (ลพบุรี) เข้าโจมตีเมืองพระนครหลวงได้คืนจากพระมหากษัตริย์แห่งอาณาจักรจามปาที่ปกครองพระนครหลวงแล้วยกทัพหลวงบุกต่อไปถึงอาณาจักรจามปา จนมีชัยชนะสามารถผนวกดินแดนจามปาเข้าเป็นส่วนหนึ่งของจักรวรรดิได้สำเร็จ เพื่อเฉลิมฉลองชัยชนะเหนือจามปา พระองค์ได้กวาดต้อนเชื้อพระวงศ์จามปา รวมถึงไพร่ทาสชาวจามปาเข้าเป็นเชลยเกณฑ์เป็นแรงงานสร้างปราสาทหิน เจ้าชายปทุมะแห่งจามปาผู้เป็นพระราชบิดา ได้ถูกกวาดต้อนมาในครั้งนี้ด้วย ด้วยเป็นเชื้อพระวงศ์ที่สวามิภักดิ์จึงได้รับการดูแลเยี่ยงเชลยศักดิ์ ต่อมาพระองค์ได้ทูลขอเสด็จออกบวชเป็นพราหมณ์ขึ้นไปบำเพ็ญตบะอยู่บนเขาพนมกุเลน ส่วนพระนางโสภาวดีพระชายาทรงพระครรภ์ปลอมปนพระองค์อยู่กับเชลย เมื่อพระนางคลอดบุตรชายตั้งชื่อว่าองค์ชัย เป็นเด็กฉลาดและมีบุญญาธิการมากพออายุได้ 7 ปี มารดาให้ออกตามหาบิดาที่ออกบวชอยู่บนเขา บิดาได้มอบเมล็ดแตงให้ 3 เมล็ดและเหล็กอีกก้อนหนึ่งเชื่อว่าเป็นของวิเศษ องค์ชัยได้นำเมล็ดแตงมาปลูก ต่อมาเด็กเลี้ยงวัวมาเก็บกินพบว่ารสชาติดีมีรสหวานฉ่ำ องค์ชัยจึงหวงแตงนั้นมากวันหนึ่งมีวัวจะมากินแตงที่ปลูกไว้องค์ชัยได้นำเหล็กที่บิดามอบให้ขว้างใส่วัวจนทะลุตัววัวเสียชีวิต เรื่องราวของผลแตงหวานนั้นดังไปถึงหูพระราชาพระเจ้าชัยวรมันที่ 9 พระองค์จึงโปรดที่จะเสวยแตงนั้น เมื่อเสวยแล้วทรงโปรดปรานยิ่งนักจึงทรงแต่งตั้งเป็นหัวหน้าสวนหลวง และโปรดให้นำเหล็กที่ขว้างวัวจนตายไปตีเป็นหอก ไว้ป้องกันโจรขโมยมาลักขโมยแตง พระเจ้าชัยวรมันที่ 9 ทรงพระราชทานพระแสงหอกลำแพงชัยนั้นให้เป็นอาญาสิทธิ์ อยู่มาวันหนึ่งพระเจ้าชัยวรมันที่ 9 ปรารถนาเสวยแตงขึ้นมากลางดึก จึงเสด็จลงไปในสวนจะไปเก็บแตงมาเสวย ซึ่งนายแตงหวานนึกว่าเป็นโจรมาลักแตง จึงขว้างพระแสงหอกลำแพงชัยอันเป็นอาญาสิทธิ์โดนพระเจ้าชัยวรมันที่ 9 ถึงแก่สวรรคต บรรดานาหมื่นสรรพมุขมนตรีทั้งหลายจึงพร้อมใจกันถวายราชสมบัติให้ขึ้นสืบราชบัลลังก์เป็นพระเจ้าแผ่นดินแห่งกรุงพระนครหลวง ต่อมา[6]โดยเฉลิมพระนามหลังจากเสวยราชสมบัติว่า พระบาทกมรเตง อัญศรีสุริโยพันธุ์ บรมมหาบพิตรธรรมิกมหาราชาธิราช (เขมร: ព្រះបាទសម្ដេចមហាបពិត្រ ធម្មិករាជាធិរាជ ជាអង្គម្ចាស់ផែនដីក្រុងកម្ពុជាធិបតី ) และทรงรับพระนางจันทรวรเทวี(เขมร: ព្រះនាងច័ន្ទតារាវត្តី) อันพระราชธิดาในพระเจ้าชัยวรมันที่ 9 เป็นสมเด็จพระอัครมเหสี เรื่องราวตำนานของพระเจ้าแตงหวานนี้มีลักษณะแบบเดียวพระเจ้าญองอู้ ซอยะฮ่านแห่งราชวงศ์พุกาม นักวิชาการกัมพูชาเชื่อว่าการเสด็จขึ้นครองราชย์ของพระเจ้าตระซ็อกประแอมไม่ใช่เหตุบังเอิญแต่มีการวางแผนเป็นขั้นเป็นตอนและมีการเตรียมการไว้โดยพระปทุมราชาพระราชบิดาและเชลยทาสชาวจามปาที่ต้องการยึดอำนาจเพื่อปลดแอกจากพวกชนชั้นปกครอง เพราะหลังจากการเสด็จขึ้นครองราชย์พระเจ้าตระซ็อกปะแอมได้ทำการกวาดล้างกลุ่มอำนาจเก่าจนเกือบสิ้น[7][8]
การก่อจลาจลในพระนครหลวง[แก้]
ในปี ค.ศ. 1335 - 1336 ตรงกับรัชสมัยของพระเจ้าชัยวรมันปรเมศวร แห่งพระนครหลวงได้เกิดการลุกฮือของชนชั้นทาสในเมืองพระนครหลวงเนื่องจากการถูกบังคับกดขี่ใช้แรงงานหนักจากชนชั้นปกครองในรัชสมัยพระเจ้าชัยวรมันปรเมศวร(เอกสารเขมรระบุว่าทรงปกครองโดยไม่ชอบธรรม ทำให้บ้านเมืองเกิดกลียุค) จากบันทึกของโจว ต้ากวาน ทูตชาวจีนที่เข้ามาในเมืองพระนครหลวงในรัชสมัยพระเจ้าอินทรวรมันที่ 3 ได้บันทึกว่า ในเมืองมีทาสมากกว่านายทาส [9]ซึ่งอาจจะเป็นเหตุผลว่าทำไมทาสถึงกล้าลุกฮือขึ้นก่อจลาจลเพื่อปลดแอกจากชนชั้นปกครอง จากนั้นทาสได้ร่วมกันสังหารนายทาสจนบาดเจ็บล้มตายเป็นจำนวนมาก ต่อมาในปี ค.ศ.1336 ได้ปรากฏพระนามกษัตริย์พระองค์ใหม่พระนามพระบาทศรีสุริโยพันธุ์ หรือพระเจ้าแตงหวาน[10][11] ซึ่งกษัตริย์พระองค์ใหม่ทรงนับถือพระพุทธศาสนาและยกเลิกประเพณีการสร้างปราสาทหินเพื่อถวายแด่เทพเจ้าในศาสนาพราหมณ์ฮินดู พระเจ้าแตงหวานเกิดและโตในอาณาจักรขะแมร์ในฐานะชนชั้นกสิกรซึ่งอาจเป็นเหตุผลที่บรรดาทาสชาวจามเลือกที่จะยกพระเจ้าแตงหวานขึ้นเป็นกษัตริย์เพราะทรงสืบเชื้อสายมาจากกษัตริย์จาม พงศาวดารกล่าวว่าพระเจ้าแตงหวานทรงซัดพระแสงหอกลำแพงชัยถูกพระเจ้าชัยวรมันปรเมศวรถึงแก่สวรรคตในปี ค.ศ. 1336 บรรดาขุนนางจึงยกพระองค์ขึ้นเป็นกษัตริย์พระองค์ใหม่ซึ่งพระองค์ไม่ใช่คนในราชวงศ์หรือเกี่ยวข้องกันกับกษัตริย์ในราชสกุลมหิธรปุระ และเป็นเรื่องยากที่บรรดาขุนนางที่ภักดีกับกษัตริย์องค์ก่อนจะยกคนที่สังหารกษัตริย์ขึ้นเป็นกษัตริย์พระองค์ใหม่เว้นแต่มีการก่อกบฏยึดพระราชอำนาจขุนนางจึงจำยอมต้องสวามิภักดิ์
เสด็จสวรรคต[แก้]
พระเจ้าแตงหวาน ทรงประชวรด้วยทรงพระชราภาพสวรรคต ในปี ค.ศ. 1341 พระชนม์มายุ 120 ปี หลังจากสวรรคตกองทัพอยุธยาได้ยกทัพเข้าโจมตีพระนครหลวงในรัชสมัยพระราชโอรสของพระองค์คือพระบรมนิพพานบทแต่ยังไม่สามารถตีชิงเอาเมืองได้พระบรมนิพพานบททรงประชวรสวรรคตครองราชสมบัติได้ 5 ปี[12]พระสิทธานราชาอนุชาจึงขึ้นสืบราชบัลลังกเพื่อรักษาราชสมบัติ ทัพอยุธยาจึงยกทัพกลับไปในรัชสมัยพระสิทธานราชา หลังจากพระเจ้าแตงหวานสวรรคตได้ 12 ปี กรุงศรีอยุธยาได้ยกทัพเข้าโจมตีพระนครหลวงอีกครั้ง กรุงแตกในรัชสมัยพระบรมลำพงษ์ราชา[13]
อ้างอิง[แก้]
- ↑ "Cambodia's King Trasak Paem 'is just a fictional monarch' - Khmer Times". Khmer Times. 26 December 2022. สืบค้นเมื่อ 3 February 2023.
- ↑ Phoeun, Mak (1995). Histoire du Cambodge: de la fin du XVIe siècle au début du XVIIIe (ภาษาฝรั่งเศส). Presses de l'Ecole française d'Extrême-Orient. p. 30. ISBN 978-2-85539-776-4.
- ↑ ប្រវត្តិសាស្ត្រខ្មែរភាគរឿងនិទាន ដោយលោកបណ្ឌិតសភាចារ្យ រស់ ចន្ទ្រាបុត្រ
- ↑ Renowned for its ability to grow tasty cucumbers," according to A. Dauphin-Meunier, History of Cambodia.
- ↑ ศานติ ภักดีคำ. เขมรรบไทย. กทม. มติชน. 2554. หน้า 272
- ↑ ↑ "Renowned for its ability to grow tasty cucumbers," according to A. Dauphin-Meunier, History of Cambodia.
- ↑ http://www.rfa.org/khmer/news/history/the-king-of-angkor-continued-06252014003352.html
- ↑ http://mblog.manager.co.th/withwit/th-104288
- ↑ Zhou Daguan (2007). A Record of Cambodia. Translated by Peter Harris. University of Washington Press. ISBN 978-9749511244.
- ↑ พงศาวดารกัมพูชาที่แปลชำระและที่นิพนธ์เป็นภาษาไทย พ.ศ. 2339-2459 กับหน้าที่ที่มีต่อชนชั้นปกครองไทย,ธิบดี บัวคำศรี
- ↑ วัฒนธรรมขอมกับความสัมพันธ์ไทย-กัมพูชา, อุดม เชยกีวงศ์, สำนักพิมพ์ภูมิปัญญา,พศ. ๒๕๕๒, หน้า ๑๖๓
- ↑ สถาบันกษัตริย์เขมรโบราณจนถึงคริสต์ศตวรรษที่ 13 ,หอสมุดวังท่าพระ(PDF)
- ↑ เขมรรบไทย,ศานติ ภักดีคำ.มติชน .2554
- A Study report of Ankor Vat
- สุมาลี บำรุงสุข. นักองค์เอง ใน สารานุกรมประวัติศาสตร์สากลสมัยใหม่: เอเชีย เล่ม 1 อักษร A-B ฉบับราชบัณฑิตยสถาน. กทม.ราชบัณฑิตยสถาน. 2539. หน้า 155 - 157
ก่อนหน้า | พระเจ้าแตงหวาน | ถัดไป | ||
---|---|---|---|---|
พระเจ้าชัยวรมันที่ 9 (ราชวงศ์วรมันแห่งเมืองพระนครหลวง) |
![]() |
สมเด็จพระเจ้าศรียโศธราปุระแห่งพระนครหลวง (ค.ศ.1290 ถึง 1341) |
![]() |
พระบรมนิพพานบท (ราชวงศ์ตระซ็อกประแอม) |