ผลต่างระหว่างรุ่นของ "รถไฟฟ้ามหานคร สายสีชมพู"
Tondeknoi1802 (คุย | ส่วนร่วม) ป้ายระบุ: เครื่องมือแก้ไขต้นฉบับปี 2560 |
|||
บรรทัด 203: | บรรทัด 203: | ||
! ลำดับที่ |
! ลำดับที่ |
||
! เนื้องาน |
! เนื้องาน |
||
! ความคืบหน้า<br>{{small|(ณ สิ้นเดือน |
! ความคืบหน้า<br>{{small|(ณ สิ้นเดือน พฤศจิกายน พ.ศ. 2563)}}<ref>https://www.facebook.com/MRTA.PR/photos/pcb.2679457458937638/2679457428937641</ref> |
||
|- |
|- |
||
|colspan="2"|ระยะที่ 1 - ออกแบบและก่อสร้างงานโยธา รวมถึงจัดหาระบบรถไฟฟ้า|| |
|colspan="2"|ระยะที่ 1 - ออกแบบและก่อสร้างงานโยธา รวมถึงจัดหาระบบรถไฟฟ้า||66.05 % |
||
|- |
|- |
||
| 1.1 || งานออกแบบควบคู่การก่อสร้างโครงสร้างทางยกระดับทั้งโครงการ<br>ระยะทาง {{km to mi|34.5|abbr=yes|precision=2|wiki=yes}}<br>งานก่อสร้างศูนย์ซ่อมบำรุง ||rowspan="8"| |
| 1.1 || งานออกแบบควบคู่การก่อสร้างโครงสร้างทางยกระดับทั้งโครงการ<br>ระยะทาง {{km to mi|34.5|abbr=yes|precision=2|wiki=yes}}<br>งานก่อสร้างศูนย์ซ่อมบำรุง ||rowspan="8"| 68.49 % |
||
|- |
|- |
||
| 1.2 || งานปรับย้ายสถานีศูนย์ราชการนนทบุรี งานก่อสร้าง Skywalk<br>เชื่อมต่อกับสถานีศูนย์ราชการนนทบุรีของ[[รถไฟฟ้ามหานคร สายฉลองรัชธรรม]] |
| 1.2 || งานปรับย้ายสถานีศูนย์ราชการนนทบุรี งานก่อสร้าง Skywalk<br>เชื่อมต่อกับสถานีศูนย์ราชการนนทบุรีของ[[รถไฟฟ้ามหานคร สายฉลองรัชธรรม]] |
||
บรรทัด 223: | บรรทัด 223: | ||
| 1.8 || งานปรับแก้โครงการตามที่ถูกร้องเรียนจากประชาชนในพื้นที่ |
| 1.8 || งานปรับแก้โครงการตามที่ถูกร้องเรียนจากประชาชนในพื้นที่ |
||
|- |
|- |
||
|1.9 || งานจัดหาระบบรถไฟฟ้า ระบบไฟฟ้ากำลัง ระบบสื่อสาร ระบบจัดเก็บค่าโดยสาร ระบบ[[ประตูกั้นชานชาลา]]<br>และระบบอื่นๆ ที่เกี่ยวข้อง || |
|1.9 || งานจัดหาระบบรถไฟฟ้า ระบบไฟฟ้ากำลัง ระบบสื่อสาร ระบบจัดเก็บค่าโดยสาร ระบบ[[ประตูกั้นชานชาลา]]<br>และระบบอื่นๆ ที่เกี่ยวข้อง || 62.76 % |
||
|- |
|- |
||
|colspan="2"|ระยะที่ 2 - งานเดินรถไฟฟ้า และการซ่อมบำรุง || |
|colspan="2"|ระยะที่ 2 - งานเดินรถไฟฟ้า และการซ่อมบำรุง || |
รุ่นแก้ไขเมื่อ 21:42, 10 ธันวาคม 2563
ลิงก์ข้ามภาษาในบทความนี้ มีไว้ให้ผู้อ่านและผู้ร่วมแก้ไขบทความศึกษาเพิ่มเติมโดยสะดวก เนื่องจากวิกิพีเดียภาษาไทยยังไม่มีบทความดังกล่าว กระนั้น ควรรีบสร้างเป็นบทความโดยเร็วที่สุด |
โครงการรถไฟฟ้าสายสีชมพู ช่วงแคราย-มีนบุรี หรือชื่ออย่างไม่เป็นทางการว่า รถไฟฟ้าบีทีเอส สายรามอินทรา[ต้องการอ้างอิง] เป็นโครงการระบบขนส่งมวลชนในพื้นที่กรุงเทพมหานครและปริมณฑล ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของแผนแม่บทระบบขนส่งมวลชนทางราง ในกรุงเทพมหานครและปริมณฑล ดำเนินการโดย บริษัท นอร์ทเทิร์น บางกอกโมโนเรล จำกัด ภายใต้สัญญาร่วมลงทุนโครงการและสัญญาสัมปทานกับการรถไฟฟ้าขนส่งมวลชนแห่งประเทศไทย ซึ่งได้รับการกำหนดให้ใช้ระบบรถไฟฟ้ารางเดี่ยว (monorail) เป็นระบบหลัก และเป็นหนึ่งในโครงการก่อสร้างเส้นทางรถไฟฟ้าในระบบรถไฟฟ้ามหานคร
ในระยะแรกโครงการดังกล่าวมีระยะทางรวมทั้งสิ้นเพียง 27 กิโลเมตร โดยมีสถานีต้นทางอยู่ที่บริเวณแยกปากเกร็ด แต่ต่อมาได้มีการขยายแนวเส้นทางมาตามแนวถนนติวานนท์ และย้ายต้นทางจากแยกปากเกร็ดมายังแยกแคราย เพื่อเชื่อมต่อกับรถไฟฟ้ามหานคร สายฉลองรัชธรรมที่สถานีศูนย์ราชการนนทบุรี ทำให้เส้นทางของโครงการไปเริ่มต้นที่หน้าศูนย์ราชการจังหวัดนนทบุรี และสิ้นสุดที่แยกรามคำแหง-ร่มเกล้า ย่านมีนบุรี ระยะทางรวมประมาณ 34–36 กิโลเมตร
พื้นที่ที่เส้นทางระบบขนส่งมวลชนผ่าน
ตำบล/แขวง | อำเภอ/เขต | จังหวัด |
---|---|---|
บางกระสอ, ท่าทราย | เมืองนนทบุรี | นนทบุรี |
บางตลาด, ปากเกร็ด, คลองเกลือ, บ้านใหม่ | ปากเกร็ด | |
ทุ่งสองห้อง, ตลาดบางเขน | หลักสี่ | กรุงเทพมหานคร |
อนุสาวรีย์, ท่าแร้ง | บางเขน | |
รามอินทรา, คันนายาว | คันนายาว | |
มีนบุรี | มีนบุรี | |
แนวเส้นทาง
จุดต้นทางของโครงการรถไฟฟ้าสายสีชมพูจะเชื่อมต่อกับรถไฟฟ้ามหานคร สายฉลองรัชธรรม ที่สถานีศูนย์ราชการนนทบุรี ถนนรัตนาธิเบศร์ แล้วเลี้ยวซ้ายผ่านแยกแครายเข้าสู่ถนนติวานนท์ แนวเส้นทางจะวิ่งไปตามเกาะกลางถนนติวานนท์จนถึงห้าแยกปากเกร็ดแล้วเลี้ยวขวาเข้าถนนแจ้งวัฒนะ ซึ่งมีโครงการก่อสร้างสายแยกเข้าศูนย์แสดงสินค้าและการประชุม อิมแพ็ค เมืองทองธานีด้วย ผ่านทางแยกต่างระดับแจ้งวัฒนะ โดยลอดใต้จุดเชื่อมต่อระหว่างทางพิเศษศรีรัชและทางพิเศษอุดรรัถยา ข้ามคลองประปาเข้าสู่กรุงเทพมหานคร ผ่านศูนย์ราชการเฉลิมพระเกียรติ 80 พรรษา เชื่อมต่อกับรถไฟฟ้าชานเมืองสายสีแดงเข้มที่สถานีหลักสี่ และเชื่อมต่อกับรรถไฟฟ้าบีทีเอส สายสุขุมวิท ที่สถานีวัดพระศรีมหาธาตุ บริเวณวงเวียนอนุสาวรีย์พิทักษ์รัฐธรรมนูญ จากนั้นแนวเส้นทางจะวิ่งไปตามถนนรามอินทรา ผ่านทางพิเศษฉลองรัชบริเวณแยกวัชรพล จนถึงทางแยกเมืองมีนแล้ววิ่งเข้าสู่เขตมีนบุรี ตามแนวถนนสีหบุรานุกิจ จนถึงสะพานข้ามคลองสามวา ก็จะเลี้ยวขวาข้ามคลองแสนแสบ และข้ามถนนรามคำแหง (สุขาภิบาล 3) มาสิ้นสุดสถานีปลายทางที่บริเวณใกล้แยกรามคำแหง-ร่มเกล้า ซึ่งเป็นสถานีเชื่อมต่อการเดินทางกับรถไฟฟ้ามหานคร สายสีส้ม โดยในอนาคตมีแผนศึกษาส่วนต่อขยายจากมีนบุรีไปยังย่านลาดกระบัง และเชื่อมต่อการเดินทางสู่ท่าอากาศยานสุวรรณภูมิโดยใช้แนวถนนร่มเกล้า
รายละเอียดปลีกย่อย
- เป็นระบบรถไฟฟ้ารางเดี่ยว แบบวิ่งคร่อมคานทางวิ่ง (straddle-beam monorail)
- ทางวิ่ง ยกระดับที่ความสูง 17 เมตรตลอดทั้งโครงการ
- มีรางที่ 3 ตีขนานไปกับทางวิ่งสำหรับจ่ายกระแสไฟฟ้าให้กับตัวรถ
- ตัวรถได้เลือกใช้รถรุ่น Bombardier Innovia Monorail 300 เป็นรถปรับอากาศขนาดกว้าง 3.147 เมตร ยาว 11.8-13.2 เมตร สูงประมาณ 4.06 เมตร (เมื่อคร่อมคานทั้งหมด) ความจุ 356 คนต่อตู้ (คำนวณจากอัตราความหนาแน่นที่ 4 คน/ตารางเมตร) มีทั้งหมด 42 ขบวน 168 ตู้ (ต่อพ่วงแบบ 4 ตู้ต่อขบวน) ใช้ไฟฟ้ากระแสตรง 750 โวลท์ ป้อนระบบขับเคลื่อนรถ ขบวนรถสามารถขับเคลื่อนจากจุดจอดแต่ละสถานีได้เองโดยไม่ต้องใช้คนควบคุมหรือสั่งการ สามารถรองรับผู้โดยสารได้ 15,000 คนต่อชั่วโมงต่อทิศทางในช่วงแรก ในอนาคตสามารถเพิ่มจำนวนขบวนเป็น 7 ตู้ต่อขบวน เพื่อให้สามารถรองรับผู้โดยสารได้ 28,000 คนต่อชั่วโมงต่อทิศทาง
- ใช้ระบบอาณัติสัญญาณเดินรถด้วยระบบอัตโนมัติจากศูนย์ควบคุมการเดินรถ และใช้ระบบจัดเก็บค่าโดยสารอัตโนมัติเช่นเดียวกับรถไฟฟ้าบีทีเอส
ศูนย์ซ่อมบำรุงและศูนย์ควบคุมการเดินรถ
โครงการมีศูนย์ซ่อมบำรุงและศูนย์ควบคุมการเดินรถตั้งอยู่บริเวณถนนรามคำแหง (สุขาภิบาล 3) ใกล้กับแยกร่มเกล้า แต่เดิมได้มีการกำหนดให้เป็นศูนย์ซ่อมบำรุงร่วมกับโครงการรถไฟฟ้ามหานคร สายสีส้ม แต่ปัจจุบันไม่ได้มีการใช้งานร่วมกันกับสายสีส้มแล้ว
สิ่งอำนวยความสะดวก
มีอาคารจอดแล้วจร (park and ride) ที่สถานีปลายทาง (มีนบุรี) ซึ่งเป็นสถานีเชื่อมต่อกับรถไฟฟ้าสายสีส้ม สามารถจอดรถได้สูงสุด 3,000 คัน
สถานี
มีสถานีทั้งหมด 32 สถานี เป็นสถานียกระดับทั้งหมด ตัวสถานีมีความยาว 150 เมตร ออกแบบให้รองรับขบวนรถไฟฟ้าได้สูงสุด 7 ตู้ต่อหนึ่งขบวน โดยมีรูปแบบชานชาลาถึงสี่รูปแบบในโครงการเดียว ดังต่อไปนี้
- ชานชาลาด้านข้าง ความสูง 3 ชั้น เป็นรูปแบบสถานีและชานชาลาพื้นฐานของโครงการ มีทั้งหมด 26 สถานี (รวมสถานีส่วนต่อขยาย)
- ชานชาลาด้านข้าง ความสูง 2 ชั้น เป็นรูปแบบสถานีและชานชาลาที่ลดความสูงเพื่อหลบหลีกรางรถไฟฟ้า หรือสิ่งกีดขวาง มีทั้งหมด 2 สถานี ได้แก่ สถานีหลักสี่ และสถานีมีนบุรี
- ชานชาลาเกาะกลาง ความสูง 2 ชั้น เป็นรูปแบบสถานีและชานชาลาขนาดใหญ่เพื่อเพิ่มพื้นที่ให้รองรับผู้โดยสารได้เป็นจำนวนมาก มีทั้งหมด 2 สถานี ได้แก่ สถานีเมืองทองธานี และสถานีอิมแพคชาเลนเจอร์
- ชานชาลาด้านข้างผสมเกาะกลาง ความสูง 3 ชั้น เป็นรูปแบบสถานีและชานชาลาขนาดใหญ่เพื่อรองรับการเปลี่ยนสายระหว่างสายหลักและสายรอง มีทั้งหมด 1 สถานี ได้แก่ สถานีศรีรัช
- ชานชาลาด้านข้าง แบบแยกอาคาร ความสูง 2 ชั้น เป็นรูปแบบสถานีและชานชาลาที่ลดความสูงเพื่อหลบหลีกรางรถไฟฟ้า และสิ่งกีดขวาง มีทั้งหมด 1 สถานี ได้แก่ สถานีวัดพระศรีมหาธาตุ
ตัวสถานีออกแบบให้มีประตูกั้นชานชาลาแบบครึ่งความสูง (Half-height) ทุกสถานี หลบเลี่ยงสาธารณูปโภคทั้งบนดินและใต้ดิน รวมถึงออกแบบให้รักษาสภาพผิวจราจรบนถนนให้ได้มากที่สุด และมีเสายึดสถานีอยู่บริเวณเกาะกลางถนน และบริเวณพื้นที่ว่างในบางสถานี
รายชื่อสถานี
รหัสสถานี | ชื่อสถานี | จุดเปลี่ยนเส้นทาง | ที่ตั้ง | วันที่เปิดให้บริการ | ||
---|---|---|---|---|---|---|
แขวง/ตำบล | เขต/อำเภอ | จังหวัด | ||||
เส้นทางสายหลัก | ||||||
ศูนย์ราชการนนทบุรี | แม่แบบ:BTS Lines สถานีศูนย์ราชการนนทบุรี แม่แบบ:BTS Lines สถานีศูนย์ราชการนนทบุรี |
บางกระสอ | เมืองนนทบุรี | นนทบุรี | ตุลาคม พ.ศ. 2565 | |
แคราย | ||||||
สนามบินน้ำ | ท่าทราย | |||||
สามัคคี | ||||||
กรมชลประทาน | บางตลาด | ปากเกร็ด | เมษายน พ.ศ. 2565 | |||
แยกปากเกร็ด | แม่แบบ:BTS Lines ท่าปากเกร็ด | ปากเกร็ด | ||||
เลี่ยงเมืองปากเกร็ด | ||||||
แจ้งวัฒนะ-ปากเกร็ด 28 | คลองเกลือ | |||||
เมืองทองธานี | ||||||
ศรีรัช | เส้นทางสายแยก (อิมแพคลิงก์) | |||||
แจ้งวัฒนะ 14 | ทุ่งสองห้อง | หลักสี่ | กรุงเทพมหานคร | |||
ศูนย์ราชการเฉลิมพระเกียรติ | กรกฎาคม พ.ศ. 2564[1] | |||||
ทีโอที | ||||||
หลักสี่ | แม่แบบ:BTS Lines สถานีหลักสี่ | ตลาดบางเขน | ||||
ราชภัฏพระนคร | อนุสาวรีย์ | บางเขน | ||||
วัดพระศรีมหาธาตุ | แม่แบบ:BTS Lines (สถานีร่วม) | |||||
รามอินทรา 3 | ||||||
ลาดปลาเค้า | ||||||
รามอินทรา กม.4 | ||||||
มัยลาภ | ท่าแร้ง | |||||
วัชรพล | แม่แบบ:BTS Lines สถานีวัชรพล | |||||
รามอินทรา กม.6 | รามอินทรา | คันนายาว | ||||
คู้บอน | ||||||
รามอินทรา กม.9 | ||||||
วงแหวนรามอินทรา | คันนายาว | |||||
นพรัตน์ | ||||||
บางชัน | มีนบุรี | มีนบุรี | ||||
เศรษฐบุตรบำเพ็ญ | ||||||
ตลาดมีนบุรี | ||||||
มีนบุรี | แม่แบบ:BTS Lines สถานีมีนบุรี อาคารจอดแล้วจร, ศูนย์ซ่อมบำรุง | |||||
เส้นทางสายแยก (อิมแพคลิงก์) | ||||||
ศรีรัช | เส้นทางสายหลัก | คลองเกลือ | ปากเกร็ด | นนทบุรี | พ.ศ. 2566 | |
PKS01 | อิมแพคชาเลนเจอร์ | บ้านใหม่ | ||||
PKS02 | ทะเลสาบเมืองทองธานี | |||||
สัญญาการก่อสร้าง
สัญญาการก่อสร้างของรถไฟฟ้าสายสีชมพูจะใช้วิธีการมอบสัมปทานทั้งโครงการ โดยสัมปทานเป็นของ บริษัท นอร์ทเทิร์น บางกอกโมโนเรล จำกัด (Northern Bangkok Monorail; NBM) ซึ่งเป็นบริษัทร่วมทุนของ กิจการร่วมค้าบีเอสอาร์ ประกอบด้วย บริษัท บีทีเอส กรุ๊ป โฮลดิงส์ จำกัด (มหาชน), บริษัท ซิโน-ไทย เอ็นจิเนียริ่ง แอนด์ คอนสตรัคชั่น จำกัด (มหาชน) และ บริษัท ราช กรุ๊ป จำกัด (มหาชน) (บริษัท ผลิตไฟฟ้าราชบุรีโฮลดิ้ง จำกัด (มหาชน) เดิม) ระยะเวลาสัมปทาน 33 ปี 3 เดือน แบ่งเป็นระยะเวลาก่อสร้าง 3 ปี 3 เดือน (39 เดือน) และดำเนินการงานเดินรถไฟฟ้าและซ่อมบำรุง 30 ปี ซึ่งมีรายละเอียดของสัญญาดังนี้
ลำดับที่ | เนื้องาน | ความคืบหน้า (ณ สิ้นเดือน พฤศจิกายน พ.ศ. 2563)[2] |
---|---|---|
ระยะที่ 1 - ออกแบบและก่อสร้างงานโยธา รวมถึงจัดหาระบบรถไฟฟ้า | 66.05 % | |
1.1 | งานออกแบบควบคู่การก่อสร้างโครงสร้างทางยกระดับทั้งโครงการ ระยะทาง 34.5 กม. (21.44 ไมล์) งานก่อสร้างศูนย์ซ่อมบำรุง |
68.49 % |
1.2 | งานปรับย้ายสถานีศูนย์ราชการนนทบุรี งานก่อสร้าง Skywalk เชื่อมต่อกับสถานีศูนย์ราชการนนทบุรีของรถไฟฟ้ามหานคร สายฉลองรัชธรรม | |
1.3 | งานปรับปรุงเส้นทางบริเวณทางด่วนศรีรัช เพื่อลดการเวนคืน | |
1.4 | งานปรับย้ายสถานีนพรัตน์ราชธานี | |
1.5 | งานก่อสร้างอาคารทดแทนให้กับหมวดการทางบางเขน 2 แห่ง บริเวณสถานีวัดพระศรีมหาธาตุ | |
1.6 | งานออกแบบศูนย์ซ่อมบำรุงให้มีทางเข้าออกบริเวณสะพานข้ามคลองสองต้นนุ่น ถนนรามคำแหง | |
1.7 | งานปรับปรุงศูนย์ซ่อมบำรุงให้มีทางเข้าออกบริเวณถนนร่มเกล้า | |
1.8 | งานปรับแก้โครงการตามที่ถูกร้องเรียนจากประชาชนในพื้นที่ | |
1.9 | งานจัดหาระบบรถไฟฟ้า ระบบไฟฟ้ากำลัง ระบบสื่อสาร ระบบจัดเก็บค่าโดยสาร ระบบประตูกั้นชานชาลา และระบบอื่นๆ ที่เกี่ยวข้อง |
62.76 % |
ระยะที่ 2 - งานเดินรถไฟฟ้า และการซ่อมบำรุง | ||
2.1 | งานเดินรถไฟฟ้ารวมการซ่อมบำรุงเป็นระยะเวลา 30 ปี นับตั้งแต่วันที่ รฟม. กำหนดให้มีการเดินรถอย่างเป็นทางการ |
โดยอ้างอิงถึงสัญญาว่าด้วยความเข้าใจของ กิจการร่วมค้าบีเอสอาร์ ซึ่งเป็นผู้ชนะการประมูลโครงการผู้ร่วมทุนแต่ละรายจะมีหน้าที่ดังต่อไปนี้
- บริษัท บีทีเอส กรุ๊ป โฮลดิ้งส์ จำกัด (มหาชน) จะเป็นผู้นำการประมูลของกลุ่มตามเงื่อนไขที่กำหนดไว้ในเอกสารเงื่อนไขในการเข้าประมูล และรับผิดชอบงานจัดหา ติดตั้ง และซ่อมบำรุงระบบเครื่องกล ขบวนรถไฟฟ้า ตลอดจนบริหารโครงการรถไฟฟ้าแต่เพียงผู้เดียว
- บริษัท ซิโน-ไทย เอ็นจีเนียริ่งแอนด์คอนสตรัคชั่น จำกัด (มหาชน) จะเป็นผู้รับผิดชอบในการก่อสร้างงานโยธาของโครงการแต่เพียงผู้เดียว
- บริษัท ราช กรุ๊ป จำกัด (มหาชน) จะเป็นผู้ให้คำแนะนำในการติดตั้งระบบไฟฟ้า และระบบเครื่องกล
ทั้งนี้สัญญาว่าด้วยความเข้าใจของ กิจการร่วมค้าบีเอสอาร์ จะสิ้นสุดลง ณ วันที่สิ้นสุดสัญญาสัมปทานโครงการ
ผู้รับเหมาก่อสร้างและที่ปรึกษา
- ผู้รับจ้างก่อสร้างโครงการ
- บริษัท นอร์ทเทิร์น บางกอกโมโนเรล จำกัด
- บริษัท ซิโน-ไทย เอ็นจิเนียริ่ง แอนด์ คอนสตรัคชั่น จำกัด (มหาชน)
- บริษัท เนาวรัตน์พัฒนาการ จำกัด (มหาชน)
- บริษัท บอมบาร์ดิเอร์ ทรานสปอร์เทชั่น ซิกแนล (ประเทศไทย) จำกัด
- บริษัท บางกอก เพย์เมนต์ โซลูชันส์ จำกัด
- บริษัทที่ปรึกษาโครงการและควบคุมการก่อสร้าง
- บริษัท ทีม คอนซัลติ้ง เอนจิเนียริ่ง แอนด์ แมเนจเมนท์ จำกัด
- บริษัท ทีแอลที คอนซัลแตนส์ จำกัด
- บริษัท เอทีที คอนซัลแตนส์ จำกัด
- บริษัท เอสคิว อาร์คีเต็ค แอนด์ แปลนเนอร์ จำกัด
- บริษัท ดาวฤกษ์ คอมมูนิเคชั่นส์ จำกัด
- บริษัท ซี คอนซัลท์ เอ็นจิเนียริ่ง จำกัด
- EGIS RAIL S.A
- บริษัท อีจีส เรล (ประเทศไทย) จำกัด
- บริษัท พีเอสเค คอนซัลแทนส์ จำกัด
งบประมาณ
รถไฟฟ้าสายสีชมพู มีมูลค่ารวม 53,490 ล้านบาท แบ่งเป็นรัฐฯ ลงทุนเฉพาะค่าจัดสรรกรรมสิทธิ์ที่ดิน 6,847 ล้านบาท เอกชนลงทุนในส่วนของงานโยธา 21,381 ล้านบาท และค่างานระบบรถไฟฟ้า 25,262 ล้านบาท โดยกลุ่มบีเอสอาร์ขอรับเงินสนับสนุนโครงการจากภาครัฐฯ 22,500 ล้านบาท และกลุ่มบีเอสอาร์ลงทุนเอง 30,990 ล้านบาท โดยเป็นเงินกู้ระยะยาวจากธนาคารกรุงเทพ ธนาคารกรุงไทย และธนาคารไทยพาณิชย์ 31,680 ล้านบาท และเป็นหุ้นกู้เพื่ออนุรักษ์สิ่งแวดล้อม (Green Bond) 6,500 ล้านบาท
ความคืบหน้า
- สำนักงานนโยบายและแผนการขนส่งและจราจร (สนข.) โดยบริษัทที่ปรึกษาโครงการได้จัด การประชุมสัมมนาการรับฟังความคิดเห็นของประชาชนครั้งที่ 1 เพื่อศึกษาความเหมาะสมทางเศรษฐกิจ สิ่งแวดล้อมและการออกแบบเบื้องต้น โครงการระบบขนส่งมวลชนสายสีเหลือง สายสีน้ำตาล และสายสีชมพู (พื้นที่โครงการสายสีชมพูและสายสีน้ำตาล) เมื่อวันที่ 16 พฤศจิกายน พ.ศ. 2550 ที่โรงแรมทีเคพาเลซ แจ้งวัฒนะ ซึ่งโครงการนี้จะใช้เวลาศึกษาอีก 15 เดือน การศึกษาจะแล้วเสร็จในเดือนตุลาคม 2551
- 28 พฤษภาคม พ.ศ. 2552 สำนักงานนโยบายและแผนการขนส่งและจราจร (สนข.) รองบประมาณในโครงการลงทุนภายใต้แผนฟื้นฟูเศรษฐกิจ ระยะกระตุ้นเศรษฐกิจระยะที่ 2 มูลค่า 5,413 ล้านบาท ซึ่งจะได้รับงบประมาณในปี 2553 แบ่งเป็นใช้ในรถไฟฟ้าสายสีชมพู 3,711 ล้านบาท สายสีน้ำตาล 1,702 ล้านบาท
- 20 กรกฎาคม พ.ศ. 2552 นายโสภณ ซารัมย์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคม เป็นประธานเปิดการสัมมนารับฟังความคิดเห็น ข้อเสนอแนะ และความต้องการของประชาชนครั้งที่ 2 โครงการศึกษาปรับแผนแม่บทระบบขนส่งมวลชนทางรางในเขตกรุงเทพฯ และปริมณฑล เบื้องต้นได้นำรถไฟฟ้าสายสีชมพู (ปากเกร็ด -มีนบุรี) และสายสีส้ม (บางกะปิ-ศูนย์วัฒนธรรมแห่งประเทศไทย และบางกะปิ-บางบำหรุ) เข้าบรรจุในแผนแม่บทโครงข่ายรถไฟฟ้า เพื่อเร่งรัดในการดำเนินการก่อสร้าง
- 12 พฤษภาคม พ.ศ. 2553 นายสุพจน์ ทรัพย์ล้อม ปลัดกระทรวงคมนาคม เปิดเผยภายหลังการประชุมติดตามการดำเนินโครงการรถไฟฟ้า ว่าที่ประชุมได้สรุปแนวทางการดำเนินโครงการรถไฟฟ้าสายสีชมพู ช่วงศูนย์ราชการนนทบุรี-มีนบุรี ระยะทาง 34.5 กม. วงเงินประมาณ 37,000 ล้านบาท โดยจะใช้ระบบรถไฟฟ้ารางเดี่ยวแบบยกระดับ ซึ่งจะเป็นเส้นทางเพื่อขนผู้โดยสารเข้าสู่เส้นทางรถไฟฟ้าสายหลัก โดยมีจุดเชื่อมต่อกับโครงการรถไฟฟ้าสายสีแดงที่วิภาวดี จุดเชื่อมต่อกับโครงการรถไฟฟ้าสายสีเขียวที่บางเขน และจุดเชื่อมต่อกับโครงการรถไฟฟ้าสายสีส้มที่มีนบุรี และมีการนำเสนอโครงการต่อ ครม.ในเดือนมิถุนายน 2553
- 14 มิถุนายน พ.ศ. 2553 รฟม. ปรับแบบก่อสร้างเรียบร้อยแล้ว เพื่อแก้ปัญหาที่เสาตอม่อล้ำเข้าไปในพื้นที่วัดพระศรีมหาธาตุ เขตบางเขน จึงปรับแบบย้ายให้เสาตอม่อไปอยู่ที่แขวงการทางเขตบางเขน ของกรมทางหลวงแทน
- 24 กันยายน พ.ศ. 2553 นายโสภณ ซารัมย์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคม เปิดเผยว่า กระทรวงคมนาคมจะเปิดรับฟังความคิดเห็นจากประชาชนผู้ใช้บริการ นักลงทุน และนักวิชาการ ที่มีต่อโครงการรถไฟฟ้าเส้นทางใหม่ ได้แก่ รถไฟฟ้าสายสีชมพู และสายสีส้ม วงบางกะปิ-บางบำหรุ ว่าทั้ง 2 เส้นทางมีปริมาณการใช้ของประชาชนอย่างไร และมีความจำเป็นเร่งด่วนแค่ไหน เพื่อนำมาประกอบการการพิจารณาและเร่งรัดโครงการ
- 27 กันยายน พ.ศ. 2554 กระทรวงคมนาคม มีนโยบายให้สำนักนโยบายและแผนการขนส่งและจราจร (สนข.) พิจารณาทบทวนการปรับแบบการก่อสร้างรถไฟฟ้าสายสีชมพู ช่วงแคราย-ปากเกร็ด-มีนบุรี ระยะทาง 36 กม. ซึ่งอยู่ในขั้นตอนที่ รฟม. เตรียมลงนามในสัญญาว่าจ้างที่ปรึกษาออกแบบก่อสร้าง จากเดิมเป็นการก่อสร้างแบบรางเดี่ยว (Monorail) อาจปรับเป็นแบบรถไฟฟ้า MRT หรือรถไฟฟ้าขนาดหนัก (Heavy Rail) เพื่อให้คุ้มค่า และเหมาะสมกับการรองรับผู้โดยสารในเส้นทางดังกล่าว
- 17 พฤษภาคม พ.ศ. 2555 นางกฤตยา สุมิตนันท์ รักษาการผู้ว่าการ การรถไฟฟ้าขนส่งมวลชนแห่งประเทศไทย มีมติอนุมัติให้การก่อสร้างโครงการรถไฟฟ้าสายสีชมพูเป็นระบบรถไฟฟ้าขนาดเบา (รางเดี่ยว) หลังจากสำนักงานนโยบายและแผนการขนส่งและจราจร (สนข.) ได้มีการทบทวนโครงการแล้วเห็นว่าการใช้รถไฟฟ้ารางเดี่ยวจะเหมาะสมกว่าเป็นรถไฟฟ้าขนาดหนัก และหลังจากนี้จะนำเสนอกระทรวงคมนาคมพิจารณาต่อไป[3]
- 25 กันยายน พ.ศ. 2555 นายยงสิทธิ์ โรจน์ศรีกุล ผู้ว่าการการรถไฟฟ้าขนส่งมวลชนแห่งประเทศไทย (รฟม.) เปิดเผยภายหลังเป็นประธานเปิดการสัมมนารับฟังความคิดเห็นความประชาชน โครงการศึกษาทบทวนรายละเอียดความเหมาะสม ปรับปรุง และจัดเตรียมเอกสารประกวดราคา โครงการรถไฟฟ้าสายสีชมพู ช่วงแคราย-มีนบุรี ระยะทาง 34.5 กิโลเมตร ว่า คาดว่าจะสามารถเสนอที่ประชุมคณะรัฐมนตรี (ครม.) พิจารณาอนุมัติได้ภายในเดือนตุลาคมนี้ และจะเปิดประกวดราคาได้ประมาณเดือนมีนาคม 2556 เริ่มก่อสร้างเดือนเมษายน 2557 ซึ่งตามแผนจะเปิดให้บริการได้ในเดือนตุลาคม 2560 โดยรูปแบบการก่อสร้างจะเป็นการออกแบบไปพร้อมกับการก่อสร้าง (Design & Build) ซึ่งจะทำให้การดำเนินโครงการมีความรวดเร็วขึ้น และในอนาคต รฟม.จะเสนอรัฐบาลพิจารณาการก่อสร้างรถไฟฟ้าในรูปแบบ Design & Build ทั้งหมด[4]
- 3 ตุลาคม พ.ศ. 2555 ดร.สุรศักดิ์ ทวีศิลป์ ผู้เชี่ยวชาญระบบรถไฟฟ้า บริษัท ทีม คอนซัลติ้งฯ เปิดเผยว่า ตลอดเส้นทางจะมีการเวณคืน 5 จุดใหญ่ คือ
- 1. บริเวณห้าแยกปากเกร็ด ก่อนเลี้ยวขวาเข้า ถนนแจ้งวัฒนะ ปัจจุบันเป็นสนามฟุตบอลเก่า เพื่อสร้างสถานีปากเกร็ด มีพื้นที่เวนคืน 7,155 ตารางเมตร
- 2. บริเวณสะพานข้ามแยกเมืองทองธานี เพื่อหลีกเลี่ยงสะพานข้ามแยกของกรมทางหลวง (ทล.) มีพื้นที่เวนคืน 7,800 ตารางเมตร
- 3. บริเวณถนนวิภาวดีรังสิต ข้ามแยกหลักสี่ เพื่อลดระดับโครงสร้างลอดใต้โทลล์เวย์ มีพื้นที่เวนคืนรวม 7,300 ตารางเมตร
- 4. บริเวณอนุสาวรีย์พิทักษ์รัฐธรรมนูญ มีพื้นที่เวนคืนรวม 7,500 ตารางเมตร กว้างด้านละ 4 เมตร ตั้งแต่หน้า มหาวิทยาลัยราชภัฏพระนคร ไปถึง ป.กุ้งเผา และ
- 5. บริเวณมีนบุรี เวนคืนพื้นที่กว่า 280 ไร่ เพื่อสร้างที่จอดรถ และศูนย์ซ่อมบำรุง ส่วนบริเวณอื่น ๆ
นอกเหนือจากนี้จะมีเวนคืนเล็ก ๆ น้อย ๆ เพื่อสร้างจุดขึ้น-ลงของสถานีทั้ง 30 สถานีที่ดินแพง-ค่าเวนคืนพุ่ง 1 เท่า เงินลงทุนโครงการเพิ่มขึ้นจากเดิมที่สำนักงานนโยบายและแผนการขนส่งและจราจร (สนข.) ศึกษาไว้เมื่อ 5 ปีที่แล้วอยู่ที่ 3.8 หมื่นล้านบาท ล่าสุดค่าก่อสร้างแตะ 5.4 หมื่นล้านบาทโดยมีหลายปัจจัยที่ผลักให้ต้นทุนเพิ่มขึ้น ไม่ว่าจะเป็นสถานีใหม่ 6 สถานี ต้นทุนวัสดุก่อสร้าง ค่าแรง 300 บาท และราคาประเมินที่ดินของกรมธนารักษ์ที่ประกาศใช้เมื่อ 1 กรกฎาคมที่ผ่านมา มีผลทำให้ค่าชดเชยที่ดินเพิ่มขึ้นเท่าตัว จากเดิมประเมินไว้ 2 พันล้านเป็น 4 พันล้านบาท
- 26 ตุลาคม พ.ศ. 2555 นายวิชาญ มีนชัยนันท์ พร้อมด้วย นายจิรายุ ห่วงทรัพย์ สมาชิกสภาผู้แทนราษฎร กรุงเทพมหานคร เขต 18 เขตคลองสามวา พรรคเพื่อไทย ร่วมกันแถลงเรียกร้องให้รัฐบาลรับฟังความเห็นจากประชาชนในโซนตะวันออกของ กรุงเทพมหานคร เกี่ยวกับการสร้างรถไฟฟ้าสายสีชมพู ว่า ที่ผ่านมาสำนักงานนโยบายและแผนการขนส่งและจราจร (สนข.) และกรุงเทพมหานคร ได้ใช้ผลการสำรวจออกแบบการก่อสร้างตั้งแต่ปี2547 โดยกำหนดให้รถไฟฟ้าสายสีชมพูมีสถานีจอดอยู่ที่ตลาดมีนบุรี ซึ่งปัจจุบันนี้สภาพความเป็นอยู่ของคน กทม.ในโซนตะวันออกเปลี่ยนแปลงไปแล้ว มีการกระจายตัวออกไปอยู่ย่านสุวินทวงศ์ คลองสามวา หนองจอก ซึ่งหากยังคงแผนการก่อสร้างเดิมจะทำให้ไม่สามารถรองรับประชาชนในบริเวณดังกล่าวได้ พวกตนจึงทำหนังสือถึง น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร นายกรัฐมนตรี และ พล.ต.ท.ชัจจ์ กุลดิลก รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงคมนาคม สำนักงานนโยบายและแผนการขนส่งและจราจร สนข. และการรถไฟฟ้าขนส่งมวลชนแห่งประเทศไทย (รฟม.) เพื่อขอให้รับฟังความเห็นของประชาชนที่เดือดร้อน ซึ่งต้องการให้มีการขยายเส้นทางไปจนถึงถนนสุวินทวงศ์ เพื่อรองรับประชาชนในโซนตะวันออกมากขึ้น ทั้งนี้พวกตนไม่มีจุดประสงค์ในการขัดขวางทำให้การก่อสร้างรถไฟฟ้าสีชมพูล่าช้าลง แต่อยากให้โครงการเป็นไปตามความต้องการของประชาชน[5]
- 30 ตุลาคม พ.ศ. 2555 รัฐฯ ทาบ “บางกอกแลนด์” สร้างส่วนต่อขยาย-สถานีจอดรถไฟฟ้าสายสีชมพูให้บริการผู้ใช้ถึงอิมแพค เมืองทองธานี เรียกเงิน 1,200 ล้านค่าก่อสร้างสถานี และส่วนต่อขยาย ด้านบางกอกแลนด์เสนอ 2 ทางเลือก 1.สร้างเอง 2.ออกค่าก่อสร้าง 50% ทางบีแลนด์เห็นว่าในการก่อสร้างสถานีรถไฟฟ้า และขยายเส้นทางให้บริการเข้ามาในอิมแพคฯ นั้น วงเงินที่บริษัทต้องจ่ายให้รัฐบาลพร้อมกับที่ดินจำนวน 20 ไร่นั้น ในส่วนของที่ดินเห็นว่าบริษัทไม่สามารถยกให้เปล่าได้แต่หากจะยกให้ก็จะขอพัฒนาพื้นที่ด้านบนเป็นมอลล์ขนาดใหญ่ ผสมผสานอาคารสูงจำนวนหนึ่ง ขณะที่สถานีจอดรถจะก่อสร้างอยู่ใต้พื้นดิน หรือใต้มอลล์ที่จะพัฒนาขึ้น ส่วนวงเงิน 1,200 ล้านบาท เบื้องต้น บริษัทเห็นว่าควรเป็นการลงทุนร่วมกันระหว่างบริษัท และรัฐบาลโดยการจ่ายเงินเพียง 50% หรือ 600 ล้านบาท ส่วนที่เหลือให้รัฐบาลเป็นผู้จ่าย อย่างไรก็ตาม หากรัฐบาลไม่เห็นด้วยในแนวทางแรกก็อาจหยิบยกข้อเสนอที่ 2 ขึ้นมาพิจารณาคือ บีแลนด์จะลงทุนพัฒนาก่อสร้างสถานีจอดรถไฟฟ้าเอง โดยคาดว่าจะพัฒนาเป็นรถไฟฟ้ารางเดี่ยวเชื่อมต่อจากสถานีรถไฟฟ้าแจ้งวัฒนะ ซึ่งคาดว่าจะใช้งบลงทุนก่อสร้างประมาณ 600 ล้านบาท ซึ่งล่าสุด บริษัทได้ว่าจ้างบริษัท เทศโก้ จำกัด ให้ออกแบบสถานีจอดรถไฟฟ้ารางเดี่ยวไว้แล้ว
- โครงการนี้เป็น1ในโครงการที่ทาง สร้อยทิพย์ ไตรสุทธิ์ ปลัดกระทรวงคมนาคมเตรียมนำโครงการนี้เสนอคณะรัฐมนตรีภายในสิ้นปี พ.ศ. 2557 และจะเปิดประมูลช่วงต้นปี พ.ศ. 2558
- 29 กุมภาพันธ์ 2559 คณะกรรมการนโยบายการให้เอกชนร่วมลงทุนในกิจการภาครัฐ หรือ พีพีพี ที่มีนาย สมคิด จาตุศรีพิทักษ์ รองนายกรัฐมนตรีเป็นประธานได้อนุมัติให้เอกชนสามารถเข้าร่วมลงทุนในเส้นทางรถไฟฟ้าสายสีชมพูและเส้นทาง รถไฟฟ้าสายสีเหลือง (ลาดพร้าว-สำโรง) ได้
- 29 มีนาคม พ.ศ. 2559 คณะรัฐมนตรีได้มีมติเห็นชอบอนุมัติโครงการรถไฟฟ้าสายสีชมพูและเส้นทางโครงการรถไฟฟ้าสายสีเหลือง (ลาดพร้าว-สำโรง) ให้เตรียมกระบวนการประกวดราคาภายใน 2 เดือน และคาดว่าจะสามารถทำการเปิดประมูลได้ในเดือนพฤษภาคม พ.ศ. 2559
- 4 กรกฎาคม พ.ศ. 2559 เปิดขายซองประมูลวันแรก มีเอกชนเข้าซื้อซองประมูลทั้งหมด 16 ราย
- 7 พฤศจิกายน พ.ศ. 2559 เปิดรับซองประมูลวันแรก โดยมีผู้ยื่นซองประมูลพร้อมข้อเสนอทั้งหมด 2 ราย ได้แก่
- กิจการร่วมค้าบีเอสอาร์ (บริษัท บีทีเอส กรุ๊ป โฮลดิงส์ จำกัด (มหาชน) บริษัท ซิโน-ไทย เอ็นจิเนียริ่ง แอนด์ คอนสตรัคชั่น จำกัด (มหาชน) และ บริษัท ผลิตไฟฟ้าราชบุรีโฮลดิงส์ จำกัด (มหาชน)) ส่งพร้อมข้อเสนอในการก่อสร้างเส้นทางสายแยก อิมแพคลิงก์ เข้าศูนย์แสดงสินค้าและการประชุม อิมแพค เมืองทองธานี ระยะทาง 3 กิโลเมตร และส่งมอบให้เป็นทรัพย์สินของ รฟม. ตามสัญญาสัมปทาน
- บริษัท ทางด่วนและรถไฟฟ้ากรุงเทพ จำกัด (มหาชน)
- 6 ธันวาคม พ.ศ. 2559 การรถไฟฟ้าขนส่งมวลชนแห่งประเทศไทย ได้เปิดซองพิจารณาข้อเสนอการร่วมลงทุนในโครงการรถไฟฟ้าสายสีชมพู ผลปรากฏว่า กิจการร่วมค้าบีเอสอาร์ ให้ข้อเสนอดีที่สุด หลังจากนี้จะดำเนินการเจรจา และคาดว่าจะลงนามสัญญาและเริ่มก่อสร้างได้ในเดือนเมษายน พ.ศ. 2560
- 17 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2560 บริษัท บีทีเอส กรุ๊ป โอลดิงส์ จำกัด (มหาชน) ในนาม กิจการร่วมค้าบีเอสอาร์ ได้แจ้งต่อที่ประชุมผู้ถือหุ้นถึงตำแหน่งของสถานีเพิ่มเติมของโครงการรถไฟฟ้าสีชมพูส่วนต่อขยายสายแยกอิมแพคลิงก์ ระยะทาง 2.8 กิโลเมตร จำนวนสองสถานี จากสถานีศรีรัช เข้าสู่ใจกลางเมืองทองธานี ที่ได้รับทุนในการพัฒนาจาก บริษัท บางกอกแลนด์ จำกัด (มหาชน) และเป็นหนึ่งในข้อเสนอพิเศษแก่การรถไฟฟ้าขนส่งมวลชนแห่งประเทศไทย อันได้แก่
- สถานีอิมแพค ตั้งอยู่ด้านหน้าอาคารอิมแพค ชาเลนเจอร์
- สถานีทะเลสาบ ตั้งอยู่ริมทะเลสาบเมืองทองธานี
- 1 มีนาคม พ.ศ. 2560 บริษัท บีทีเอส กรุ๊ป โอลดิงส์ จำกัด (มหาชน) ในนาม กิจการร่วมค้าบีเอสอาร์ ได้แจ้งผลการประชุมคณะกรรมการบริษัทแก่ตลาดหลักทรัพย์ เรื่องการจัดตั้งบริษัทร่วมทุนจำนวนสองบริษัท โดยทั้งสองบริษัทจะมีทุนจดทะเบียน 3,500,000,000 บาทต่อบริษัท แบ่งเป็น บีทีเอส กรุ๊ป ถือหุ้น 75% ซิโน-ไทย เอ็นจิเนียริ่ง แอนด์ คอนสตรัคชั่น ถือหุ้น 15% และ ผลิตไฟฟ้าราชบุรีโฮลดิงส์ ถือหุ้น 10% จุดประสงค์คือเพื่อให้ทั้งสองบริษัทเข้าทำสัญญาสัมปทานโครงการรถไฟฟ้าสายสีชมพูและรถไฟฟ้าสายสีเหลืองแยกกัน เพื่อความสะดวกในการบริหารต้นทุนโครงการ แต่ทั้งสองโครงการจะใช้วิธีการว่าจ้าง บริษัท ระบบขนส่งมวลชนกรุงเทพ จำกัด (มหาชน) หรือบีทีเอสซี เป็นผู้ติดตั้งระบบรถไฟฟ้าและเดินรถไฟฟ้า และว่าจ้าง บริษัท บางกอกสมาร์ทการ์ดซิสเท็ม จำกัด ในการติดตั้งระบบจัดเก็บค่าโดยสาร และระบบเชื่อมต่อบัตรแรบบิทให้กับโครงการต่อไป
- 30 พฤษภาคม พ.ศ. 2560 คณะรัฐมนตรีได้ลงมติเห็นชอบในร่างสัญญาสัมปทานรถไฟฟ้าสายสีเหลืองและรถไฟฟ้าสายสีชมพูกับกิจการร่วมค้าบีเอสอาร์ โดยให้เอกชนร่วมลงทุนเป็นระยะเวลา 33 ปี 3 เดือน อย่างไรก็ตามมติดังกล่าวอนุมัติให้ก่อสร้างในส่วนที่ผ่านการเห็นชอบในรายงานการวิเคราะห์ผลกระทบสิ่งแวดล้อม (EIA) ไปแล้ว ส่วนเส้นทางเพิ่มเติมจากข้อเสนอเพิ่มเติมได้มอบหมายให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องไปจัดทำรายงานการวิเคราะห์ผลกระทบสิ่งแวดล้อมเพื่อนำเสนอต่อคณะรัฐมนตรี คาดว่าใช้ระยะเวลาในการดำเนินการ 1 ปี
- 16 มิถุนายน พ.ศ. 2560 การรถไฟฟ้าขนส่งมวลชนแห่งประเทศไทย และกระทรวงคมนาคม ได้จัดพิธีลงนามในสัญญาสัมปทานโครงการกับ บริษัท นอร์ทเทิร์น บางกอกโมโนเรล จำกัด ซึ่งเป็นบริษัทที่จัดตั้งขึ้นโดยกิจการร่วมค้าบีเอสอาร์ ซึ่งบริษัทดังกล่าวจะเป็นผู้ถือสัญญาสัมปทานโครงการรถไฟฟ้าสายสีชมพู และเป็นบริษัทผู้ทำสัญญาการจัดหาระบบรถไฟฟ้าและเครื่องกลในการซื้อขบวนรถไฟฟ้าบอมบาร์ดิเอร์ อินโนเวีย 300 จากกลุ่มบอมบาร์ดิเอร์ จำนวน 144 ตู้ (ประกอบ 4 ตู้ต่อ 1 ขบวน ทั้งหมด 36 ขบวน) พร้อมระบบการเดินรถเพื่อใช้ในโครงการ รวมทั้งว่าจ้าง บริษัท ซิโน-ไทย เอ็นจิเนียริ่ง แอนด์ คอนสตรัคชั่น จำกัด (มหาชน) เป็นผู้ดำเนินการก่อสร้างงานโยธาของโครงการ บริษัท ระบบขนส่งมวลชนกรุงเทพ จำกัด (มหาชน) เป็นผู้เดินรถไฟฟ้าและซ่อมบำรุงของโครงการ กับบริษัท บางกอกสมาร์ทการ์ดซิสเท็ม จำกัด ในการติดตั้งระบบจัดเก็บค่าโดยสาร เบื้องต้น นายคีรี กาญจนพาสน์ ระบุว่าการก่อสร้างน่าจะเสร็จเร็วกว่ากำหนดเพียง 2 ปีนับจากวันที่เริ่มเข้าพื้นที่ เนื่องจากต้องการลดผลกระทบด้านการจราจรที่จะเกิดขึ้นในระหว่างการก่อสร้างโครงการ[6]
- ล่าสุด โครงการรถไฟฟ้าสายสีชมพูอยู่ระหว่างดำเนินงานเข็มทดสอบบนถนนติวานนท์และถนนรามอินทรา งานรื้อย้ายสาธารณูปโภค(ประปาบริเวณถนนรามอินทราและสายสื่อสารบริเวณถนนแจ้งวัฒนะและถนนรามอินทรา) รวมถึงงานรื้อย้ายต้นไม้ (กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2561)
- การรถไฟฟ้าขนส่งมวลชนแห่งประเทศไทย โดยกลุ่มบริษัทที่ปรึกษาโครงการได้จัดการประชุมสัมมนาการรับฟังความคิดเห็นของประชาชนครั้งที่ 1 เพื่อศึกษาความเหมาะสมทางเศรษฐกิจ สิ่งแวดล้อมและการออกแบบเบื้องต้น โครงการส่วนต่อขยายรถไฟฟ้าสายสีชมพู ช่วงสถานีศรีรัช ถึงเมืองทองธานี ในวันเสาร์ที่ 28 เมษายน พ.ศ. 2561 ณ หอประชุมใหญ่ 104 อาคารพิทยพัฒน์ มหาวิทยาลัยสุโขทัยธรรมาธิราช ซึ่งผลการศึกษาจะใช้เวลาประมาณ 4 เดือน หลังจากนั้นจะเป็นการยื่นขอผลกระทบสิ่งแวดล้อม เมื่อขั้นตอนทุกอย่างเสร็จสิ้นก็จะส่งมอบงานให้ บริษัท นอร์ทเทิร์น บางกอกโมโนเรล จำกัด ดำเนินงานต่อได้ทันที โดยผลการศึกษาในเบื้องต้นระบุว่าสถานีส่วนต่อขยายช่วงนี้จะประกอบไปด้วยสองสถานี ซึ่งสอดคล้องกับสถานีที่กิจการร่วมค้าบีเอสอาร์ เคยเปิดเผยรายละเอียดมาก่อนหน้า ได้แก่ สถานีอิมแพคชาเลนเจอร์ (MT01) ตั้งอยู่ด้านหลังอาคารอิมแพ็ค ชาเลนเจอร์ บริเวณเกาะกลางทางพิเศษศรีรัช และสถานีทะเลสาบเมืองทองธานี (MT02) ตั้งอยู่ด้านหน้าทะเลสาบเมืองทองธานี ในพื้นที่ตำบลบ้านใหม่ อำเภอปากเกร็ด จังหวัดนนทบุรี มีจุดประสงค์เพื่อเชื่อมต่อรถไฟฟ้าสายสีชมพูเข้าสู่ชุมชนเมืองทองธานี อันเป็นที่ตั้งของชุมชนขนาดใหญ่ ศูนย์การประชุมระดับนานาชาติ สถานที่ราชการ สถาบันการศึกษา สนามกีฬา เป็นต้น[7]
- 13 มิถุนายน พ.ศ. 2561 การรถไฟฟ้าขนส่งมวลชนแห่งประเทศไทย กรมทางหลวง และกระทรวงคมนาคม มีบันทึกข้อตกลงร่วมกันในการเข้าใช้พื้นที่เพื่อดำเนินการก่อสร้างโครงการรถไฟฟ้าสายสีชมพูและรถไฟฟ้าสายสีเหลือง อันได้แก่ ถนนติวานนท์ ถนนแจ้งวัฒนะ บริเวณแยกหลักสี่ และถนนรามอินทรา สำหรับการก่อสร้างรถไฟฟ้าสายสีชมพู และถนนศรีนครินทร์ สำหรับการก่อสร้างรถไฟฟ้าสายสีเหลือง เพื่อสนับสนุนการก่อสร้างโครงการรถไฟฟ้าอันจะเป็นรากฐานที่สำคัญของประเทศ และในวันเดียวกัน รฟม. ได้มีหนังสือแจ้งเริ่มงาน (Notice to Proceed: NTP) กับกลุ่มกิจการร่วมค้าบีเอสอาร์ (บริษัท นอร์ทเทิร์น บางกอกโมโนเรล จำกัด และบริษัท อีสเทิร์น บางกอกโมโนเรล จำกัด) โดยแจ้งล่วงหน้า 15 วัน กล่าวคือ บริษัท ซิโน-ไทย เอ็นจิเนียริ่ง แอนด์ คอนสตรัคชั่น จำกัด (มหาชน) ผู้รับเหมาก่อสร้าง จะสามารถเข้าพื้นที่ได้ในวันที่ 29 มิถุนายน พ.ศ. 2561 มีกรอบระยะเวลาการก่อสร้าง 3 ปี 3 เดือน ทั้งนี้ รฟม. ยอมรับว่าติดขัดเรื่องข้อกำหนดการเข้าพื้นที่ ทำให้สามารถเข้าพื้นที่ได้ช้า และทำให้โครงการล่าช้ากว่าแผนถึงสามเดือน[8]
- การรถไฟฟ้าขนส่งมวลชนแห่งประเทศไทย โดยบริษัทที่ปรึกษาโครงการจะจัด การประชุมรับฟังความคิดเห็นของประชาชน ครั้งที่ 2 งานศึกษารายละเอียดความเหมาะสม ออกแบบ และศึกษาวิเคราะห์โครงการตามพระราชบัญญัติการให้เอกชนร่วมลงทุนในกิจการของรัฐ พ.ศ. 2556 ส่วนต่อขยาย โครงการรถไฟฟ้าสายสีชมพู ช่วงแคราย – มีนบุรี (สถานีศรีรัช – เมืองทองธานี) ในวันที่ 4 สิงหาคม 2561 ตั้งแต่เวลา 8.30 - 12.00 น. ณ ห้องประชุม แกรนด์ บอลรูม เอ ชั้น 5 โรงแรม เบสท์ เวสเทิร์น พลัส แวนด้า แกรนด์ ตำบลคลองเกลือ อำเภอปากเกร็ด จังหวัดนนทบุรี เพื่อนำไปพิจารณาประกอบการจัดทำรายงานให้มีความสมบูรณ์มากยิ่งขึ้น
- 11 สิงหาคม พ.ศ. 2561 นายภคพงศ์ ศิริกันทรมาศ ผู้ว่าการการรถไฟฟ้าขนส่งมวลชนแห่งประเทศไทย เปิดเผยถึงความคืบหน้าส้วนต่อขยายรถไฟฟ้าสายเหลืองและสายสีชมพูที่กลุ่มผู้ชนะการประมูลคือกิจการร่วมค้าบีเอสอาร์ได้เสนอเข้ามานั้น สามารถดำเนินการได้ทันทีโดยไม่ต้องทำการตรวจสอบข้อกฎหมายและข้อกล่าวหาเรื่องการเอื้อผลประโยชน์ให้แก่เอกชน เนื่องมาจากโครงการรถไฟฟ้าสายสีเหลืองและสายสีชมพู เป็นสองโครงการนำร่องที่มีการเปลี่ยนกติกาการประมูล โดยสามารถให้เอกชนสามารถเสนอรายละเอียดการพัฒนาโครงการเพิ่มเติมเพื่อเพิ่มศักยภาพให้กับโครงการสายหลักได้ และการเสนอส่วนต่อขยายของกลุ่มบีเอสอาร์ ถือว่าเป็นไปตามเงื่อนไขนี้[9] โดยในส่วนของส่วนต่อขยายรถไฟฟ้าสายสีชมพู รฟม. จะทำการเสนอผลการศึกษาและผลการประชาพิจารณ์ภายในเดือนสิงหาคม[10]
- 27 สิงหาคม พ.ศ. 2561 กระทรวงคมนาคม การรถไฟฟ้าขนส่งมวลชนแห่งประเทศไทย และกิจการร่วมค้าบีเอสอาร์ ได้จัดงาน MONORAIL ON THE MOVE เดินหน้าโมโนเรล สองสายแรกของประเทศไทย เพื่อเริ่มดำเนินการก่อสร้างโครงการรถไฟฟ้าสายสีเหลืองและสายสีชมพูอย่างเป็นทางการ โดยมี พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีเป็นประธานในพิธี การก่อสร้างโครงการจะใช้เวลา 39 เดือน (3 ปี 3 เดือน) โดย ณ สิ้นเดือนกรกฎาคม พ.ศ. 2561 โครงการมีความคืบหน้า 3.10% คาดว่าจะก่อสร้างแล้วเสร็จและพร้อมเปิดให้บริการในช่วงปลายปี พ.ศ. 2564[11]
- 31 สิงหาคม พ.ศ. 2561 นายภคพงศ์ ศิริกันทรมาศ ผู้ว่าการการรถไฟฟ้าขนส่งมวลชนแห่งประเทศไทย (รฟม.) เปิดเผยว่าที่ประชุมคณะกรรมการบริหาร(บอร์ด)รฟม.ได้มีมติเห็นชอบแผนส่วนต่อขยายรถไฟฟ้าสายสีชมพู เข้าไปยังเมืองทองธานี ดังนั้นจึงสามารถดำเนินการได้เลยไม่ติดปัญหาด้านข้อกฎหมายและการเอื้อผลประโยชน์เอกชน[12]
- 18 กันยายน พ.ศ. 2561 นายภคพงศ์ ศิริกันทรมาศ ผู้ว่าการการรถไฟฟ้าขนส่งมวลชนแห่งประเทศไทย เปิดเผยถึงความคืบหน้าของส่วนต่อขยายโครงการรถไฟฟ้าสายสีเหลือง ช่วงลาดพร้าว-พหลโยธิน และส่วนต่อขยายรถไฟฟ้าสายสีชมพู ช่วงศรีรัช - เมืองทองธานีว่า รฟม. ได้ส่งรายละเอียดและผลการศึกษาถึงความเหมาะสมในการดำเนินโครงการให้กระทรวงคมนาคมพิจารณาอนุมัติเพื่อส่งต่อให้คณะกรรมการจัดการจราจรทางบก (คจร.) พิจารณาอนุมัติและเพิ่มรายละเอียดเส้นทางลงในแผนแม่บทเรียบร้อยแล้ว คาดว่าจะรับทราบผลภายในเดือนกันยายน หาก คจร. พิจารณาเห็นชอบ รฟม. ก็จะจ้างที่ปรึกษาเพื่อศึกษาและวิเคราะห์ความเหมาะสมของโครงการรวมถึงเจรจาถึงรูปแบบและความเหมาะสม รวมถึงส่วนแบ่งรายได้ที่เพิ่มขึ้นกับกลุ่มบีทีเอส ซึ่งเป็นผู้รับสัมปทานโครงการทันที[13]
- 17 ตุลาคม พ.ศ. 2561 นายสราวุธ ทรงศิวิไล ผู้อำนวยการสำนักงานนโยบายและแผนการขนส่งและจราจร (สนข.) ในฐานะเลขานุการการประชุมคณะกรรมการจัดระบบการจราจรทางบก (คจร.) เปิดเผยหลังการประชุม คจร. ที่มีนายสมคิด จาตุศรีพิทักษ์ รองนายกรัฐมนตรีเป็นประธานว่า ที่ประชุม คจร. มีมติเห็นชอบให้บรรจุโครงการรถไฟฟ้าสายสีเหลืองส่วนต่อขยาย ช่วงแยกรัชดา-ลาดพร้าว ถึง แยกรัชโยธิน ระยะทาง 2.6 กิโลเมตร และโครงการรถไฟฟ้าสายสีชมพูส่วนต่อขยาย ช่วงศรีรัช - เมืองทองธานี ระยะทาง 3 กิโลเมตร ลงในแผนแม่บทระบบขนส่งมวลชนทางรางในเขตกรุงเทพฯ และปริมณฑล โดยมีกรอบวงเงินลงทุนรวมทั้งสองโครงการประมาณ 7,518 ล้านบาท หลังจากนี้ คจร. จะส่งผลการประชุมแจ้งให้ รฟม. รับทราบ เพื่อให้ดำเนินการเจรจาถึงรูปแบบและความเหมาะสม รวมถึงส่วนแบ่งรายได้ที่เพิ่มขึ้นกับกลุ่มบีทีเอสทันที[14]
- 4 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2562 คณะกรรมการ รฟม. ได้มีมติเห็นชอบให้ รฟม. ดำเนินการเจรจาถึงแผนการลงทุนส่วนต่อขยายโครงการรถไฟฟ้าสายสีเหลือง ช่วงลาดพร้าว-พหลโยธิน ระยะทาง 2.8 กิโลเมตร วงเงิน 3,700 ล้านบาท และส่วนต่อขยายโครงการรถไฟฟ้าสายสีชมพู ช่วงศรีรัช - เมืองทองธานี ระยะทาง 2.6 กิโลเมตร วงเงิน 3,300 ล้านบาท กับผู้ถือสัญญาสัมปทานคือกิจการร่วมค้าบีเอสอาร์ ซึ่งมีบีทีเอสเป็นผู้ถือหุ้นหลัก ทั้งนี้ รฟม. จะให้กลุ่มบีเอสอาร์ เป็นผู้ลงทุนส่วนต่อขยายนี้เองทั้งหมด ตามรายละเอียดที่ปรากฏในข้อเสนอเพิ่มเติมเพื่อการส่งเสริมประสิทธิภาพในการดำเนินการของโครงการสายหลัก เมื่อได้ข้อสรุป รฟม. จะต้องนำรายละเอียดทั้งหมดเสนอต่อคณะกรรมการ รฟม. อีกครั้ง และดำเนินการเสนอต่อคณะรัฐมนตรีเพื่อขออนุมัติการแก้ไขรายละเอียดในสัญญาสัมปทาน รวมถึงออกพระราชกฤษฎีกากำหนดเขตเวนคืนที่ดินเพื่อดำเนินโครงการเพิ่มเติม และดำเนินการขอใช้พื้นที่กับ การทางพิเศษแห่งประเทศไทย และกรุงเทพมหานครต่อไป ในส่วนของพื้นที่ของ บริษัท บางกอกแลนด์ จำกัด (มหาชน) ทางกลุ่มบีทีเอสได้มีการพูดคุยรายละเอียดและขอใช้พื้นที่เป็นที่เรียบร้อยแล้ว และจะยื่นรายละเอียดให้ รฟม. ดำเนินการพิจารณาออกกฎหมายเวนคืนที่ดินต่อไป ทั้งนี้ รฟม. คาดว่าจะเริ่มดำเนินการก่อสร้างได้ภายใน พ.ศ. 2562 และคาดว่าจะเปิดให้บริการได้พร้อมกันกับเส้นทางหลักใน พ.ศ. 2564[15]
- 29 มิถุนายน พ.ศ. 2562 คณะกรรมการ รฟม. มีมติเห็นชอบผลการเจรจาส่วนต่อขยายโครงการรถไฟฟ้าสายสีเหลือง ช่วงลาดพร้าว-พหลโยธิน ระยะทาง 2.8 กิโลเมตร วงเงิน 3,779 ล้านบาท และส่วนต่อขยายโครงการรถไฟฟ้าสายสีชมพู ช่วงศรีรัช - เมืองทองธานี ระยะทาง 2.6 กิโลเมตร วงเงิน 3,379 ระหว่าง รฟม. กับกิจการร่วมค้าบีเอสอาร์ ซึ่งมีบีทีเอสเป็นผู้ถือหุ้นหลัก โดยบีทีเอสเสนอส่วนแบ่งแบบเดียวกับสัญญาสัมปทานหลักเนื่องจากมีความกังวลเรื่องหลักประกันผู้โดยสารและพฤติกรรมการเดินทางของประชาชน[16]
- 11 มีนาคม พ.ศ. 2563 คณะกรรมการ รฟม. มีมติอนุมัติสัญญาร่วมลงทุนโครงการรถไฟฟ้าสายสีชมพูส่วนต่อขยาย ช่วงศรีรัช - เมืองทองธานี ระยะทาง 2.6 กิโลเมตร วงเงิน 3,379 ล้านบาท อันเป็นข้อเสนอของ บริษัท นอร์ทเทิร์น บางกอกโมโนเรล จำกัด ที่จะเป็นผู้ลงทุนโครงการด้วยตัวเองทั้งหมด คาดว่าจะนำเสนอร่างสัญญาให้คณะรัฐมนตรีเห็นชอบและอนุมัติการแก้ไขสัญญาร่วมลงทุนโครงการได้ในเดือนมิถุนายน และสามารถลงนามในสัญญาร่วมลงทุนฉบับใหม่ได้ในเดือนกรกฎาคม-สิงหาคม พ.ศ. 2563 เพื่อที่จะได้เริ่มงานก่อสร้างต่อทันที การก่อสร้างจะใช้เวลาสองปี และคาดว่าจะเปิดให้บริการได้ใน พ.ศ. 2566[17]
ส่วนต่อขยาย
รถไฟฟ้าสายสีชมพูมีแผนต่อขยายสายทางจากสถานีศรีรัช เป็นสายแยกเข้าสู่เมืองทองธานีในชื่อ "อิมแพ็คลิงก์" ซึ่งเป็นข้อเสนอพิเศษจากกิจการร่วมค้าบีเอสอาร์ โดยเส้นทางจะเริ่มจากสถานีศรีรัช วิ่งเข้าสู่ซอยแจ้งวัฒนะ-ปากเกร็ด 39 (ซอยเข้าศูนย์ประชุมอิมแพ็ค) ใต้ทางพิเศษอุดรรัถยา ไปจนสุดพื้นที่ศูนย์แสดงสินค้าและการประชุม อิมแพ็ค เมืองทองธานี ระยะทาง 3.7 กิโลเมตร มีสถานีทั้งสิ้น 2 สถานี คือสถานีอิมแพ็คชาเลนเจอร์ และสถานีทะเลสาบเมืองทองธานี
นอกจากนี้ การรถไฟฟ้าขนส่งมวลชนแห่งประเทศไทยยังได้ทำการศึกษาเส้นทางเดินรถเพิ่มเติมอีก 2 ส่วนเพื่อเสนอให้สำนักงานนโยบายและแผนการขนส่งและจราจร หรือ สนข. บรรจุลงในแผนแม่บทโครงข่ายระบบขนส่งมวลชนทางรางในกรุงเทพมหานครและปริมณฑล ระยะที่สอง (M-Map Phase 2) โดยเส้นทางส่วนต่อขยายที่ได้ศึกษา ส่วนแรกจะต่อขยายจากปลายสายทางบริเวณภายในศูนย์ซ่อมบำรุงออกมายังถนนร่มเกล้าตามแบบที่กิจการร่วมค้าบีเอสอาร์ได้สร้างเตรียมไว้ให้ แล้วมุ่งหน้าต่อบนถนนร่มเกล้า ตัดผ่านถนนเจ้าคุณทหาร ทางหลวงพิเศษหมายเลข 7 (มอเตอร์เวย์ กรุงเทพฯ - ชลบุรี) ถนนลาดกระบัง และไปสิ้นสุดที่ท่าอากาศยานสุวรรณภูมิ บริเวณอาคารรถโดยสาร (Bus Terminal) ระยะทาง 8.7 กิโลเมตร มีจุดมุ่งหมายเพื่อเชื่อมต่อการเดินทางเข้าสู่ท่าอากาศยานสุวรรณภูมิ และเพื่อให้ผู้โดยสารจากท่าอากาศยานสุวรรณภูมิ สามารถเดินทางเข้าสู่พื้นที่กรุงเทพมหานครตอนเหนือได้อย่างรวดเร็ว และส่วนที่ 2 จะเป็นส่วนต่อขยายของสายแยกอิมแพ็คลิงก์ จากปลายทางบริเวณสถานีทะเลสาบเมืองทองธานี ไปตามแนวซอยแจ้งวัฒนะ-ปากเกร็ด 39 เพื่อสิ้นสุดที่ปากทางถนนติวานนท์ ระยะทาง 2.1 กิโลเมตร มีจุดมุ่งหมายเพื่อเชื่อมต่อรถไฟฟ้าสายสีชมพูเข้าสู่ถนนติวานนท์ ตลอดจนภายในบริเวณซอยแจ้งวัฒนะ-ปากเกร็ด 39 ซึ่งเป็นพื้นที่ชุมชนที่ประชาชนอาศัยอยู่หนาแน่น
อ้างอิง
- ↑ [1]
- ↑ https://www.facebook.com/MRTA.PR/photos/pcb.2679457458937638/2679457428937641
- ↑ http://www.matichon.co.th/news_detail.php?newsid=1337424620&grpid=03&catid=&subcatid=
- ↑ http://www.manager.co.th/Business/ViewNews.aspx?NewsID=9550000118104
- ↑ http://www.dailynews.co.th/politics/158930
- ↑ http://www.prachachat.net/news_detail.php?newsid=1497601230
- ↑ รับฟังความเห็นขยายสีชมพู จากไปแจ้งวัฒนะเข้าอิมแพคเมืองทอง-28 เม.ย
- ↑ ได้ฤกษ์ตอกเข็มโมโนเรล”ชมพู-เหลือง” รฟม.เคลียร์ทล.-กทม.ส่งพท.100%
- ↑ รฟม.ดันรถไฟฟ้าพีพีพี 3 สายเข้าครม.ในปีนี้
- ↑ บอร์ดรฟม. ไฟเขียวผุดส่วนต่อขยายโมโนเรลสายสีเหลือง ช่วงแยกรัชดา-รัชโยธิน อีก 2.6 ก.ม.
- ↑ นายกฯ กดปุ่มสร้างรถไฟฟ้ารางเบาสองสายรวด ย้ำทุกอย่างต้องเสียสละ สุจริตโปร่งใส
- ↑ บอร์ด รฟม.ไฟเขียวเดินหน้ารถไฟฟ้าสายสีชมพูต่อขยายเข้าเมืองทองธานี
- ↑ ลุ้นคจร.เคาะต่อขยายสีเหลืองเชื่อมรัชโยธิน และระบบขนส่งขอนแก่น,พิษณุโลก
- ↑ ไฟเขียว 'บีทีเอส' ลงทุนรถไฟฟ้าสายสีชมพู-เหลืองส่วนต่อขยาย
- ↑ ต่อขยายรถไฟฟ้าสีชมพู-เหลือง เปิดปี64
- ↑ ปิดดีลต่อขยาย”ชมพู-เหลือง” สั่ง BTS ถก BEM เคลียร์ปมแย่งผู้โดยสาร
- ↑ บอร์ด รฟม.ไฟเขียว 'บีเอสอาร์' ลุยส่วนต่อขยายรถไฟฟ้าสีชมพู
แหล่งข้อมูลอื่น
- สำนักงานนโยบายและแผนการขนส่งและจราจร (สนข.)
- Facebook โครงการรถไฟฟ้าสายสีชมพู ช่วงแคราย-มีนบุรี
- โครงการระบบขนส่งมวลชนสายสีเหลือง สายสีน้ำตาล และสายสีชมพู โดย สนข. (ข้อมูลดังกล่าวแจ้งว่าติดไวรัสจาก Avira)
- "เผยโฉมรถไฟฟ้าใหม่ 3 สาย" หนังสือพิมพ์ไทยรัฐ ฉบับวันที่ 17 พ.ย. 50
- ผู้จัดการ 360° รายสัปดาห์ 28 พ.ค. 52
- "คมนาคม” เร่งรัด สร้างรถไฟฟ้าสายสีชมพู-ส้ม นำเข้าแผนแม่บท" สำนักข่าวเจ้าพระยา 20 ก.ค. 52
- เฮ! รถไฟฟ้าสายสีชมพูเริ่มขยับแล้ว ไทยรัฐ 5 เม.ย. 53
- 24 สถานีเป็น 30 สถานี
- โมเดลรถไฟฟ้าสายสีชมพู จาก "แคราย-ปากเกร็ด-มีนบุรี" หลัง "รฟม.-การรถไฟฟ้าขนส่งมวลชนแห่งประเทศไทย" ทุ่มเม็ดเงินกว่า 30 ล้านบาท จ้าง "บจ.ทีม คอนซัลติ้งฯ" ทบทวนใหม่อีกรอบก่อนเสนอให้คณะรัฐมนตรีรัฐบาล ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร เคาะในเดือนตุลาคมนี้