พระเจ้ารามมะไตย
| พระเจ้ารามมะไตย စောဇိတ် | |
|---|---|
| กษัตริย์แห่งเมาะตะมะ | |
| ครองราชย์ | ในวันที่ 28 กันยายน ค.ศ. 1323 – ป. เมษายน ค.ศ. 1330 |
| ก่อนหน้า | พระเจ้าแสนเมือง |
| ต่อไป | ชีปอน |
| ประสูติ | 19 พฤษภาคม ค.ศ. 1303 วันอาทิตย์ ขึ้น 4 ค่ำ เดือนนะโยน 665 ME อาณาจักรหงสาวดี |
| สวรรคต | ป. เมษายน ค.ศ. 1330 (26 พรรษา) ป. เดือนกะโซน 692 ME เมาะตะมะ อาณาจักรหงสาวดี |
| ชายา | นางจันทะมังคะละ แม่นางตะปี |
| พระราชบุตร รายละเอียด | เม้ยเน (Mwei Ne) พระมหาเทวีแห่งหงสาวดี พระยาอู่ มิฉาน (Mi Ma-Hsan) มังลังกา Tala Saw Lun |
| ราชวงศ์ | ฟ้ารั่ว |
| พระราชบิดา | สมิงมังละ |
| พระราชมารดา | นางอุ่นเรือน |
| ศาสนา | พุทธเถรวาท |
พระเจ้ารามมะไตย (พม่า: စောဇိတ်, ออกเสียง: [sɔ́ zeiʔ]; 19 พฤษภาคม 1303 – เมษายน 1330) หรือ พระเจ้าสอเซน ตามพงศาวดารมอญ กษัตริย์องค์ที่ 4 แห่งอาณาจักรหงสาวดี ระหว่าง ค.ศ. 1323 ถึง 1330 โดยพระองค์ปกครองต่อจาก พระเจ้าแสนเมือง ผู้เป็นพระเชษฐา ภายหลังจากที่พระเจ้าแสนเมืองสวรรคตแบบกระทันหัน เจ้าชีพพระราชอนุชาจึงขึ้นสืบราชบัลลังก์ต่อมาโดย 7 ปีในรัชสมัยเป็นช่วงที่บ้านเมืองอ่อนแอพระเจ้ารามมะไตยเป็นกษัตริย์ที่ไร้ความสามารถเกิดกบฏขึ้นมากมายรวมถึงเสียหัวเมืองภาคตะนาวศรีให้แก่อาณาจักรสุโขทัย
พระเจ้ารามมะไตยถูกปลงพระชนม์เมื่อเดือนเมษายน ค.ศ. 1330 โดยชีปอน ข้าหลวงเดิมของพระเจ้ารามมะไตยและชีปอนได้ขึ้นปกครองแผ่นดินหงสาวดีสืบต่อมาเป็นเวลาเพียง 7 วัน
พระชนม์ชีพช่วงต้น
[แก้]พงศาวดารต่าง ๆ ให้ข้อมูลเกี่ยวกับพระชนม์ชีพช่วงต้นของพระองค์น้อย สอเซนเสด็จพระราชสมภพในวันที่ 19 พฤษภาคม ค.ศ. 1303 จากเจ้าหญิง นางอุ่นเรือน กับผู้ว่าราชการ สมิงมังละ[1] พระองค์มีพระอนุชา/เชษฐาสองพระองค์[2] และพระอนุชา/เชษฐาร่วมพระบิดาอย่างน้อยองค์เดียว[3] พระองค์ได้รับการเลี้ยงดูที่มย่องเมียะ เมืองหลักในดินดอนสามเหลี่ยมปากแม่น้ำอิรวดีที่พระบิดาเป็นผู้ว่าราชการ ไม่มีใครทราบว่าพระองค์อยู่ที่ไหนในช่วงรัชสมัยของพระเจ้าแสนเมือง (ครองราชย์ ค.ศ. 1311–1323) พระเชษฐาองค์โตของพระองค์ นอกจากว่าเซนสมรสกับเจ้าหญิง นางจันทะมังคะละ ลูกพี่ลูกน้องของพระองค์ และมีพระโอรสธิดาด้วยกัน 3 พระองค์ใน ค.ศ. 1323[4]
รัชสมัย
[แก้]ครองราชย์
[แก้]เจ้าชายตกเป็นเป้าความสนใจอย่างกะทันหันในเดือนกันยายน ค.ศ. 1323 เมื่อพระเจ้าแสนเมืองพระชนมายุ 39 พรรษาสวรรคต เนื่องจากพระยาอายกำกอง พระราชโอรสองค์โต มีพระชนมายุเพียง 10 พรรษา เซนเมื่อพระชนมายุ 19 พรรษาจึงขึ้นครองราชบัลลังก์เมาะตะมะ[5] ตอนขึ้นครองราชย์ พระองค์ทรงให้นางจันทะมังคะละเป็นอัครมเหสี แต่ก็ให้แม่นางตะปี ผู้เป็นเจ้าหญิงแห่งสยาม เป็นพระมเหสีหลัก[5]
การทัพรวมชาติ
[แก้]เมื่อขึ้นครองราชย์ พระเจ้ารามมะไตยทรงได้อาณาจักรที่เป็นเอกราชสมบูรณ์ พระเจ้าแสนเมืองแตกหักฐานะเจ้าผู้ปกครองในนามของสุโขทัยตั้งแต่ ค.ศ. 1319 และเข้ายึดลำพูนและชายฝั่งตะนาวศรีใน ค.ศ. 1321[2][6] อย่างไรก็ตาม ตามรูปแบบการบริหารของเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ที่พบเห็นในขณะนั้น กษัตริย์องค์ใหม่ทุกพระองค์ต้องสถาปนาอำนาจของตนกับข้าราชบริพารอีกครั้ง กษัตริย์พระชนมายุ 19 พรรษาไม่ได้รับการสนับสนุนในช่วงแรก และผู้ปกครองรัฐบริวารในภูมิภาคพะโคและสามเหลี่ยมปากแม่น้ำก็ก่อกบฏทันที[5]
พระเจ้ารามมะไตยจำต้องสร้างอาณาจักรใหม่ทั้งหมด เป้าหมายแรกของพระองค์คือภูมิภาคพะโค (ปัจจุบันคือภาคย่างกุ้งและภาคพะโคตอนใต้) พระองค์เสด็จออกจากเมืองหลวงเมาะตะมะพร้อมกำลังทหารรักษาการณ์และยกทัพไปทางเหนือ[5][6] การทัพเปิดตัวประสบความสำเร็จ โดยพระองค์สามารถเข้ายึดพะโค ดากอง (ปัจจุบันคือ ย่างกุ้งกลาง), Dala (ปัจจุบันคือ Dala-Twante) และ Watanaw[5]
เป้าหมายต่อไปของพระองค์คือภูมิภาคสามเหลี่ยมปากแม่น้ำอิระวดีที่ยังคงก่อกบฏ พระองค์ไม่ได้เสด็จกลับเมาะตะมะ แต่ทรงตั้งเมืองหลวงชั่วคราวทางเหนือของพะโคแทน พระองค์ทรงออกล่าช้างเพื่อรวบรวมช้างศึกเพิ่มสำหรับการทัพครั้งต่อไป ด้วยกำลังที่เพิ่มขึ้น พระเจ้ารามมะไตยจึงรุกรานสามเหลี่ยมปากแม่น้ำและทำให้เจ้าเมืองมย่องเมียะและพะสิมยอมจำนน[5]
พระราชกรณียกิจของพระองค์ยังไม่จบสิ้น ในขณะที่พระเจ้ารามมะไตยกำลังนำทัพในพม่าตอนล่าง รัฐบริวารของพระองค์ที่ชายฝั่งตะนาวศรีก็ก่อกบฏเช่นกัน[note 1] พระเจ้ารามมะไตยจึงส่งกองทัพที่นำโดยขุนพล Bon-Yin ให้ไปยึดชายฝั่งคืน กองทัพเข้ายึดทวายคืน แต่ถูกไล่กลับที่ตะนาวศรี[5] พระองค์จึงยื่นคำร้องขอสงบศึกกับสุโขทัย กษัตริย์แห่งสุโขทัยจึงปฏิบัติกับพระองค์เสมือนเป็นข้าราชบริพาร โดยพระราชทานบรรดาศักดิ์เป็น Binnya Ran De (ဗညား ရံဒယ်, เสียงอ่านภาษาพม่า: [bəɲá jàɴ dɛ̀])[5]
การทัพยุคหลัง
[แก้]หลังสงบศึกกับสุโขทัย พระเจ้ารามมะไตยพยายามสกัดแปร ซึ่งขณะนั้นเป็นเมืองบริวารในนามของอาณาจักรปี้นยะทางเหนือ พระองค์ส่งกองกำลังขนาดใหญ่ซึ่งนำโดย Saw E Pyathat พระราชนัดดาต่างพระราชมารดา แต่ผู้รุกรานกลับถูกขับไล่ออกไป Pyathat สิ้นพระชนม์ในสนามรบ[4] ความพ่ายแพ้ในภาคเหนือเป็นลางบอกเหตุของการศึกครั้งใหม่ในภาคใต้ สัญญาสงบศึกกับสุโขทัยสิ้นสุดลงในช่วงปลายคริสต์ทศวรรษ 1320 เมื่อเมาะตะมะสูญเสียการควบคุมทวายอีกครั้ง พระเจ้ารามมะไตยส่งซอแอ พระราชนัดดา ไปยึดทวายคืน แต่การรบจบลงอย่างย่ำแย่ พระเจ้ารามมะไตยทรงโทษว่าซอแอเป็นฝ่ายล้มเหลว และส่งพระราชนัดดาไปเข้าคุกใกล้เขตแดนกับแปร[4]
สวรรคต
[แก้]พระเจ้ารามมะไตยถูกลอบปลงพระชนม์ในการรัฐประหารโดยชีปอน หนึ่งในขุนนางที่พระองค์ไว้วางใจ เมื่อ ป. เมษายน/พฤษภาคม ค.ศ. 1330[note 2] พงศาวดารบันทึกว่า ชีปอน ผู้บัญชาการกองพันพิเศษ 500 นาย ได้เชิญกษัตริย์ไปร่วมพิธีขึ้นบ้านใหม่ของชีปอน และสั่งให้ลูกน้องของเขาลอบปลงพระชนม์กษัตริย์ผู้ไม่ทันระวังตัวขณะที่พระองค์กำลังเสด็จเข้ามาในที่ประทับ[1][note 3] ชีปอนยึดบัลลังก์ แต่ในสัปดาห์ต่อมา ผู้ชิงราชบัลลังก์ถูกสังหารในการก่อรัฐประหารที่จัดโดยนางจันทะมังคะละ อัครมเหสีของพระเจ้ารามมะไตย[1]
พระราชวงศ์
[แก้]พงศาวดารราชาธิราชรายงานว่า พระองค์มีมเหสีหลักสองพระองค์ และมีพระราชโอรสธิดารวม 5 พระองค์[4] พระองค์มีพระราชธิดาอย่างน้อยพระองค์เดียวนาม Tala Saw Lun จากพระสนม[note 4]
| พระนาง | บรรดาศักดิ์ | พระราชโอรสธิดา | อ้างอิง |
|---|---|---|---|
| จันทะมังคะละ | อัครมเหสี | Mwei Ne (สวรรคตแต่วัยเยาว์) มหาเทวี ผู้สำเร็จราชการแห่งหงสาวดี (ครองตำแหน่ง ค.ศ. 1383–84) พระยาอู่ กษัตริย์หงสาวดี (ครองราชย์ ค.ศ. 1348–84) |
[4] |
| แม่นางตะปี | มเหสีหลัก | Mi Ma-Hsan ภริยาในสมิงพระตะบะแห่งเมาะตะมะ มังลังกา ผู้ว่าราชการแห่งพะโค (ครองตำแหน่ง ค.ศ. 1348–ป. 1353) |
[4] |
หมายเหตุ
[แก้]- ↑ ราชาธิราช (Pan Hla 2005: 39) ระบุว่ารัฐบริวารตะนาวศรีก่อกบฏ แต่ (Phayre 1967: 66) ระบุว่าสยามเข้ายึดพื้นที่อีกครั้ง ทั้งสองเหตุการณ์นี้ไม่เกิดคนละช่วง
- ↑ พระองค์สวรรคตในช่วงวันที่ 29 มีนาคม ค.ศ. 1330 ถึง 20 พฤษภาคม ค.ศ. 1330 (Pan Hla 2005: 41) : พระเจ้ารามมะไตยสวรรคตตอนพระชนมายุ 26 พรรษา (ปีที่ 27) ในปี 692 ME ซึ่งเริ่มต้นในวันที่ 29 มีนาคม ค.ศ. 1330 เนื่องจากพระองค์เสด็จพระราชสมภพในวันขึ้น 4 ค่ำ เดือนนะโยน 665 ME พระเจ้ารามมะไตยต้องสวรรคตในวันขึ้น 3 ค่ำ เดือนนะโยน 692 ME (20 พฤษภาคม ค.ศ. 1330)
- ↑ รายงานจาก (Phayre 1967: 66) พระเจ้ารามมะไตยสวรรคตขณะโจมตีแปรใน ค.ศ. 1330 ซึ่งตอนนั้นเป็นหน่วยปกครองอิสระส่วนใหญ่ทางเหนือของดินแดนพะโค แต่ราชาธิราช (Pan Hla 2005: 40) ระบุว่าผู้บัญชาการที่เสียชีวิตขณะปฏิบัติหน้าที่คือ Saw E Pyathat ไม่ใช่พระเจ้ารามมะไตย
- ↑ (Pan Hla 2005: 203–204) : พระราชนัดดาทั้งสามของ Lun ภายหลังกลายเป็นพระมเหสีของพระเจ้าราชาธิราช
อ้างอิง
[แก้]บรรณานุกรม
[แก้]- Htin Aung, Maung (1967). A History of Burma. New York and London: Cambridge University Press.
- Pan Hla, Nai (2005) [1968]. Razadarit Ayedawbon (ภาษาพม่า) (8th printing ed.). Yangon: Armanthit Sarpay.
- Phayre, Lt. Gen. Sir Arthur P. (1967) [1883]. History of Burma. London: Susil Gupta.