ข้ามไปเนื้อหา

นางอุ่นเรือน

จากวิกิพีเดีย สารานุกรมเสรี
นางอุ่นเรือน
နှင်းဥရိုင်
เจ้าหญิงแห่งเมาะตะมะ
ครองราชย์ค.ศ. 1287 – คริสต์ทศวรรษ 1310
ประสูติป. คริสต์ทศวรรษ 1260
Tagaw Wun
จักรวรรดิพุกาม
สวรรคตใน ค.ศ. 1319
เมาะตะมะ
อาณาจักรเมาะตะมะ
คู่อภิเษกสมิงมังละ
พระราชบุตรพระเจ้าแสนเมือง
พระเจ้ารามมะไตย
ราชวงศ์ฟ้ารั่ว
ศาสนาพุทธเถรวาท

นางอุ่นเรือน หรือ นางอุ๊เริ่น[1] (มอญ: ဏင်ဥရိုန်; พม่า: နှင်းဥရိုင်, เสียงอ่านภาษาพม่า: [n̥ɪ́ɰ̃ ʔṵ jàiɰ̃]; ป. คริสต์ทศวรรษ 1260 คริสต์ทศวรรษ 1310) เป็นเจ้าหญิงแห่งเมาะตะมะ และเป็นพระราชมารดาของกษัตริย์ 2 พระองค์คือ พระเจ้าแสนเมือง และ พระเจ้ารามมะไตย

พระนางมีส่วนช่วยให้พระเชษฐาพระองค์ใหญ่คือ พระเจ้าฟ้ารั่ว ปฐมกษัตริย์แห่งอาณาจักรหงสาวดีขณะยังเป็น มะกะโท เข้ายึดอำนาจการปกครองในเมือง เมาะตะมะ เมื่อ ค.ศ. 1285 ในอีกเกือบ 30 ปีต่อมาพระนางและพระสวามีคือ สมิงมังละ เจ้าเมือง มย่องเมียะ ได้เข้าล้มการปกครองของ พระเจ้ารามประเดิด กษัตริย์องค์ที่ 2 ผู้เป็นพระเชษฐาของนางอุ่นเรือนและสถาปนาพระโอรสองค์ใหญ่คือเจ้าชายสอโอขึ้นสืบราชบัลลังก์ต่อมา

พระประวัติ

[แก้]

อุ่นเรือนเกิดจากพ่อแม่สามัญชนที่โดนวู่น ตอนนั้นอยู่ในอาณาจักรพุกาม พระนางมีพี่ชายอย่างน้อยสองคนคือ มะกะโทและมะกะตา[2] พี่น้องมีภูมิหลังจากไทใหญ่และ/หรือมอญ[note 1]

ราชาธิราชระบุว่า อุ่นเรือนมีบทบาทสำคัญในการขึ้นครองอำนาจในช่วงต้นของพระเชษฐา มีรายงานว่ามะกะโทใช้ความงามของพระขนิษฐาเพื่อยึดตำแหน่งผู้ว่าราชการเมาะตะมะ เมืองหลักของภูมิภาค มะกะโทถามอุ่นเรือนให้เลือกสถานที่ทรงอาบน้ำในจุดริมแม่น้ำอย่างมีกลยุทธ์ ซึ่งผู้ว่าราชการอลิมามางจะเห็นพระนาง ผู้ว่าราชการตกหลุมรักอุ่นเรือน และขอสมรสกับพระนาง ในวันพิธีสมรส มะกะโทสังหารผู้ว่าราชการ และขึ้นครองเป็นเจ้าเมืองกบฏแห่งเมาะตะมะ[3][4] มะกะโทที่เปลี่ยนพระนามเป็นพระเจ้าฟ้ารั่วประกาศเอกราชจากพุกามใน ค.ศ. 1287 และรวมดินแดนที่พูดภาษามอญสามแห่งในพม่าตอนล่างในช่วงกลางคริสต์ทศวรรษ 1290[5]

นางอุ่นเรือนมีอำนาจร่วมกับพระเชษฐา พระเจ้าฟ้ารั่วทรงแต่งตั้งสมิงมังละ พระสวามีของนางอุ่นเรือน เป็นผู้ว่าราชการมย่องเมียะทางตะวันตกสุด ใน ค.ศ. 1307 เมื่อพระเจ้าฟ้ารั่วถูกลอบปลงพระชนม์จากพระราชนัดดา นางอุ่นเรือนกับสมิงมังละจึงยึดที่มั่นในเขตสามเหลี่ยมปากแม่น้ำ[6] ทั้งสองไม่เคารพต่อมะกะตา พระเชษฐาผู้ขึ้นครองราชย์เป็นพระเจ้ารามประเดิด ในเดือนมีนาคม ค.ศ. 1311 ทั้งคู่เสด็จไปเมืองหลวงและยึดราชบัลลังก์ขณะที่พระเจ้ารามประเดิดเสด็จออกล่าสัตว์ ภายหลังทัพของสมิงมังละสังหารพระเจ้ารามประเดิดที่นอกเขตเมือง[7]

แม้ว่าสมิงมังละตอนแรกต้องการขึ้นครองราชย์ นางอุ่นเรือนคัดค้าน เหตุผลของพระนางคือ สมิงมังละมีพระชนมายุมากเกินไปแล้ว และพระเจ้าแสนเมือง พระราชโอรสองค์โตที่มีศักดิ์เป็นพระราชนัดดาในพระเจ้าฟ้ารั่ว น่าจะมีโอกาสได้รับการสนับสนุนจากข้าราชบริพารมากกว่า[8] ในที่สุดสมิงมังละยอมทำตามความต้องการของพระมเหสี และพระเจ้าแสนเมืองขึ้นครองราชย์ในวันที่ 10 เมษายน ค.ศ. 1311[9] (กระนั้นสมิงมังละยังคงมีอำนาจในเบื้องหลัง พระองค์สร้าง "พระราชวัง" ที่เนินใกล้เคียง พร้อมปีกอาคารสำหรับให้พระสนมของพระองค์อยู่อาศัย และประทับอยู่ที่นั่นเหมือนเป็นกษัตริย์[10])

นางอุ่นเรือนกับสมิงมังละสิ้นพระชนม์ในวัยชราในช่วงกลางถึงกลายคริสต์ทศวรรษ 1310[note 2] ทั้งคู่มีพระราชโอรสอย่างน้อยสามพระองค์[10] โดยพระเจ้าแสนเมืองและพระเจ้ารามมะไตย พระราชโอรสสองพระองค์ ขึ้นครองราชย์เป็นกษัตริย์แห่งเมาะตะมะ[9]

หมายเหตุ

[แก้]
  1. ทั้งสองมีพระนามภาษามอญ แม้ว่าไม่มีพงศาวดารหลักอันใด (ราชาธิราชและพงศาวดารมอญฉบับปากลัด) ระบุเกี่ยวกับเชื้อชาติ นักวิชาการอาณานิคมของอังกฤษ (ดู: Phayre 1967: 65, Harvey 1925: 110) สันนิษฐานว่าทั้งคู่เป็นชาวไทใหญ่ นักวิชาการในเวลาต่อมาดูเหมือนจะแย้งเรื่องนี้: (Htin Aung 1967: 78) ระบุว่าทั้งคู่อาจมีภูมิหลังเป็นทั้งชาวมอญและไทใหญ่ ในขณะที่ (Aung-Thwin และ Aung-Thwin 2012: 118) กล่าวว่าพวกเขามีพื้นเพเป็นชาวมอญหรือชาวไทใหญ่
  2. (Pan Hla 2005: 38): นางอุ่นเรือนกับสมิงมังละสิ้นพระชนม์หลังพระราชนัดดา พระยาอายกำกอง และ May Hnin Aw-Kanya ถือกำเนิด และก่อนปี 682 ME (1320/21) เนื่องจากพระยาอายกำกองเสด็จพระราชสมภพใน ค.ศ. 1313 Aw-Kanya น่าจะเสด็จพระราชสมภพใน ค.ศ. 1314 หรือหลังจากนั้น

อ้างอิง

[แก้]
  1. บรรจบ พันธุเมธา (2521). อันเนื่องด้วยชื่อ ชื่อพม่ารามัญ. กรุงเทพฯ: รุ่งเรื่องสาส์นการพิมพ์. p. 20.
  2. Pan Hla 2005: 16
  3. Harvey 1925: 110
  4. Pan Hla 2005: 21–23
  5. Harvey 1925: 110–111
  6. Pan Hla 2005: 36
  7. Pan Hla 2005: 37
  8. Pan Hla 2005: 37–38
  9. 1 2 Pan Hla 2005: 39
  10. 1 2 Pan Hla 2005: 38

บรรณานุกรม

[แก้]
  • Aung-Thwin, Michael A.; Maitrii Aung-Thwin (2012). A History of Myanmar Since Ancient Times (illustrated ed.). Honolulu: University of Hawai'i Press. ISBN 978-1-86189-901-9.
  • Harvey, G. E. (1925). History of Burma: From the Earliest Times to 10 March 1824. London: Frank Cass & Co. Ltd.
  • Pan Hla, Nai (1968). ราชาธิราช (ภาษาพม่า) (8th printing, 2004 ed.). Yangon: Armanthit Sarpay.
  • Phayre, Lt. Gen. Sir Arthur P. (1883). History of Burma (1967 ed.). London: Susil Gupta.