ผลต่างระหว่างรุ่นของ "โรงพยาบาลกรุงเทพพัทยา"
มังกรคาบแก้ว (คุย | ส่วนร่วม) ล ลบหมวดหมู่:โรงพยาบาลเอกชน; เพิ่มหมวดหมู่:โรงพยาบาลเอกชนในประเทศไทยด้วย[[วิกิพีเดีย:ฮอ... |
|||
บรรทัด 57: | บรรทัด 57: | ||
[[หมวดหมู่:โรงพยาบาลเอกชนในประเทศไทย]] |
[[หมวดหมู่:โรงพยาบาลเอกชนในประเทศไทย]] |
||
{{โครงสถานพยาบาล}} |
{{โครงสถานพยาบาล}} |
||
คุณแม่ได้ไปรักษาแผลเบาหวานที่นิ้วเท้ากับ นพ.พรชัย ลิ้มอุดมพร ไปอยู่หลายหน จนหนสุดท้าย หมอบอกว่าแผลดีขึ้นแล้วและหมอนัดดูแผลอีก4วันข้างหน้า ผ่านไปสองวันก่อนวันหมอนัด เราดูแล้วแผลคุณแม่แย่ลงมาก เลยตัดสินใจพาเข้ากรุงเทพที่โรงพยาบาลเทพธารินทร์ คุณหมอที่นั่นบอกว่ามาช้าไป ตอนนี้เนื้อบางส่วนที่นิ้วเท้าตายลงแล้ว หมอพยายามให้ยาฆ่าเชื้อและทำบอลลูนเส้นเลือด และกำลังนอนรอให้หมอตัดสินใจว่าจะตัดนิ้วเท้าหรือจะเฉือนแค่เนื้อส่วนที่ตาย |
|||
ไม่เข้าใจว่าคุณหมอพรชัย ลิ้มอุดมพร ที่โรงพยาบาลกรุงเทพพัทยาวินิจฉัยยังไงถึงได้เกิดเหตุเคสแบบนี้ขึ้น จึงเข้าใจว่า |
|||
1. หมอไม่ได้มีความสามารถพอที่จะรับผิดชอบเคสแบบนี้ |
|||
2. หมอรู้ว่ารักษาไม่ได้แต่ก็ไม่จะบอกคนไข้ตรงๆ เพราะถ้าบอกเราตรงๆเราก็จะได้พาคุณแม่ไปรักษาที่อื่นได้ทัน |
|||
หมออาจเสียความรู้สึกถ้ารักษาคนไข้ไม่ได้แล้;ต้องยอมรับว่าตัวเองไม่มีความสามารถรักษาต่อไปแล้ว แต่คนไข้ต้องเสียนิ้วเท้า นี่คือจรรยาบรรณของหมอ? |
|||
ขอให้สิ่งศักดิ์สิทธิ์เป็นพยานในหนนี้ด้วยเถิด สาธุ |
รุ่นแก้ไขเมื่อ 09:41, 17 สิงหาคม 2559
บทความนี้ยังต้องการเพิ่มแหล่งอ้างอิงเพื่อพิสูจน์ความถูกต้อง |
โรงพยาบาลกรุงเทพพัทยา | |
---|---|
Bangkok Hospital Pattaya | |
ประเภท | โรงพยาบาลเอกชน |
ที่ตั้ง | ถนนสุขุมวิท อำเภอบางละมุง จังหวัดชลบุรี |
ข้อมูลทั่วไป | |
ก่อตั้ง | พ.ศ. 2533 |
ผู้อำนวยการ | นายแพทย์พิชิต กังวลกิจ |
จำนวนเตียง | 400 เตียง |
เว็บไซต์ | bangkokpattayahospital.com |
โรงพยาบาลกรุงเทพพัทยา เป็นโรงพยาบาลเอกชน อยู่ทางภาคตะวันออก (ประเทศไทย) ตั้งอยู่บนถนนสุขุมวิท กม.143 ตำบลนาเกลือ อำเภอบางละมุง จังหวัดชลบุรี (ในเขตเมืองพัทยา)
ประวัติ
โรงพยาบาลกรุงเทพพัทยา ก่อตั้งขึ้นเมื่อวันที่ 23 มิถุนายน พ.ศ. 2533 มีจำนวนเตียงรองรับผู้ป่วยได้ 100 เตียง ในปี พ.ศ. 2540 ได้รับรางวัลมาตรฐาน ISO 9002 ปัจจุบันยกระดับมาตรฐานเป็น ISO 9001:2000 และในปีเดียวกันยังได้รับการยกย่องให้เป็นผู้ส่งออกสินค้าและบริการดีเด่นประเภทธุรกิจบริการที่มีชาวต่างประเทศเข้ามาใช้บริการมากที่สุด นับเป็นแห่งที่สามของประเทศไทยที่ได้รับรางวัลอันทรงเกียรตินี้ ปี พ.ศ. 2543 ได้มีการสร้างอาคารศูนย์การแพทย์เฉพาะระบบเพื่อสนับสนุนการพัฒนาบริการทางการแพทย์ที่เป็นการรักษาโรคเฉพาะสาขามากขึ้น สามารถรองรับผู้ป่วยได้มากขึ้นกว่า 200 เตียง หลังจากนั้นได้มีการก่อสร้างอาคาร 15 ชั้น เพิ่มเติมเพื่อเชื่อมต่อกับกลุ่มอาคารเดิมโดยมีการพัฒนาปรับปรุงอาคารสถานที่และภูมิทัศน์บนพื้นที่กว่า 23 ไร่ มีพื้นที่ให้บริการผู้ป่วยได้วันละ 1,500 ถึง 1,800 คน และมีเตียงรองรับผู้ป่วยประมาณ 400 เตียง บนชั้นดาดฟ้าของตึก 15 ชั้น มีลานจอดเฮลิคอปเตอร์เพื่อรับและส่งต่อสำหรับผู้ป่วยฉุกเฉินในภูมิภาคตะวันออกของประเทศไทย[1]
ในปี พ.ศ. 2545 ได้จัดตั้งศูนย์หัวใจขึ้นเป็นแห่งแรกของโรงพยาบาลเอกชนในภูมิภาคตะวันออก ที่ชั้น 3 อาคารบี ต่อมาได้ย้ายไปที่ชั้น 4 อาคารอีให้บริการผู้ป่วยตลอด 24 ชั่วโมง เพิ่มเตียงรองรับผู้ป่วยฉุกเฉินโรคหัวใจจาก 8 เตียง เป็น 29 เตียง พร้อมด้วยรถพยาบาลฉุกเฉิน CCU ปี พ.ศ. 2547 ได้รับมาตรฐานการรับรองกระบวนการคุณภาพ Hospital Accreditation ซึ่งเป็นสถาบันรับรองคุณภาพสถานพยาบาล (องค์การมหาชน) ด้วยมาตรฐานที่เป็นที่ยอมรับทั้งในและต่างประเทศ จึงได้รับรางวัลการจัดการโรงพยาบาลดีเยี่ยมแห่งเอเชีย 3 ปีซ้อน คือ HMA Award : 2004 ในปี พ.ศ. 2547 HMA Award : 2005 ในปี พ.ศ. 2548 HMA Award : 2006 ในปี พ.ศ. 2549 และในปี พ.ศ. 2552 ได้ผ่านการรับรองคุณภาพมาตรฐานการรักษาพยาบาลระดับนานาชาติ JCI (Joint Commission International) [2]
ปัจจุบันเป็นศูนย์กลางทางการแพทย์เฉพาะระบบที่ดีที่สุดแห่งหนึ่งในภูมิภาคตะวันออก (ประเทศไทย)
หน่วยงาน/ศูนย์บริการเฉพาะทาง
- ศูนย์อุบัติเหตุและฉุกเฉิน
- ศูนย์สมอง
- ศูนย์หัวใจ
- ศูนย์เวชศาสตร์ฟื้นฟู
- ศูนย์ทันตกรรม
- ศูนย์ผิวพรรณและศัลยกรรมความงาม
- ศูนย์อายุรกรรมทั่วไป
- ศูนย์ระบบทางเดินอาหารและตับ
- ศูนย์สุขภาพสตรี
- ศูนย์รักษาผู้มีบุตรยาก
- ศูนย์ตา
- ศูนย์หู คอ จมูก
- ศูนย์การได้ยิน การพูด เสียงในหู
- ศูนย์กุมารเวช
- ศูนย์โรคหอบหืด และภูมิแพ้
- ศูนย์ศัลยกรรมทั่วไป
- ศูนย์ศัลยกรรมกระดูกและข้อ
- คลินิกโรคกระดูกสันหลัง
- ศูนย์โรคไตและไตเทียม
- ศูนย์โรคมะเร็ง
- ศูนย์รังสีวินิจฉัย
- ศูนย์ส่งเสริมสุขภาพ
อ้างอิง
แหล่งข้อมูลอื่น
คุณแม่ได้ไปรักษาแผลเบาหวานที่นิ้วเท้ากับ นพ.พรชัย ลิ้มอุดมพร ไปอยู่หลายหน จนหนสุดท้าย หมอบอกว่าแผลดีขึ้นแล้วและหมอนัดดูแผลอีก4วันข้างหน้า ผ่านไปสองวันก่อนวันหมอนัด เราดูแล้วแผลคุณแม่แย่ลงมาก เลยตัดสินใจพาเข้ากรุงเทพที่โรงพยาบาลเทพธารินทร์ คุณหมอที่นั่นบอกว่ามาช้าไป ตอนนี้เนื้อบางส่วนที่นิ้วเท้าตายลงแล้ว หมอพยายามให้ยาฆ่าเชื้อและทำบอลลูนเส้นเลือด และกำลังนอนรอให้หมอตัดสินใจว่าจะตัดนิ้วเท้าหรือจะเฉือนแค่เนื้อส่วนที่ตาย
ไม่เข้าใจว่าคุณหมอพรชัย ลิ้มอุดมพร ที่โรงพยาบาลกรุงเทพพัทยาวินิจฉัยยังไงถึงได้เกิดเหตุเคสแบบนี้ขึ้น จึงเข้าใจว่า
1. หมอไม่ได้มีความสามารถพอที่จะรับผิดชอบเคสแบบนี้
2. หมอรู้ว่ารักษาไม่ได้แต่ก็ไม่จะบอกคนไข้ตรงๆ เพราะถ้าบอกเราตรงๆเราก็จะได้พาคุณแม่ไปรักษาที่อื่นได้ทัน
หมออาจเสียความรู้สึกถ้ารักษาคนไข้ไม่ได้แล้;ต้องยอมรับว่าตัวเองไม่มีความสามารถรักษาต่อไปแล้ว แต่คนไข้ต้องเสียนิ้วเท้า นี่คือจรรยาบรรณของหมอ?
ขอให้สิ่งศักดิ์สิทธิ์เป็นพยานในหนนี้ด้วยเถิด สาธุ