ผลต่างระหว่างรุ่นของ "จักรพรรดิโชวะ"
แอนเดอร์สัน (คุย | ส่วนร่วม) ไม่มีความย่อการแก้ไข |
AvocatoBot (คุย | ส่วนร่วม) ล r2.7.3) (โรบอต เพิ่ม: bn:হিরোহিতো |
||
บรรทัด 166: | บรรทัด 166: | ||
[[be-x-old:Хірахіта]] |
[[be-x-old:Хірахіта]] |
||
[[bg:Хирохито]] |
[[bg:Хирохито]] |
||
[[bn:হিরোহিতো]] |
|||
[[bo:ཧི་རོ་ཧི་ཐོ།]] |
[[bo:ཧི་རོ་ཧི་ཐོ།]] |
||
[[br:Hirohito]] |
[[br:Hirohito]] |
รุ่นแก้ไขเมื่อ 01:54, 8 กรกฎาคม 2555
จักรพรรดิโชวะ | |
---|---|
สมเด็จพระจักรพรรดิแห่งญี่ปุ่น พระประมุขแห่งเกาหลี | |
รัชสมัย | 25 ธันวาคม พ.ศ. 2469 - 7 มกราคม พ.ศ. 2532 (63 ปี) |
รัชกาลก่อนหน้า | สมเด็จพระจักรพรรดิไทโช |
รัชกาลถัดไป | สมเด็จพระจักรพรรดิอะกิฮิโตะ |
ประสูติ | 29 เมษายน พ.ศ. 2444 พระราชวังอาโอยามะ กรุงโตเกียว ประเทศญี่ปุ่น |
สวรรคต | 7 มกราคม พ.ศ. 2532 พระราชวังโอมิยะ กรุงโตเกียว ประเทศญี่ปุ่น (พระชนมายุ 87 พรรษา) |
พระอัครมเหสี | สมเด็จพระจักรพรรดินีนะงะโกะ |
พระราชบุตร | เจ้าหญิงชิเงโกะ ฮิงะชิคุนิ เจ้าหญิงซะชิโกะ คะซุโกะ ทะคะสึคะซะ อัตสึโกะ อิเกะดะ สมเด็จพระจักรพรรดิอะกิฮิโตะ เจ้าฟ้าชายมะซะฮิโตะ ฮิตะชิ ทะคะโกะ ชิมะสึ |
ฮิโระฮิโตะ | |
ราชวงศ์ | ราชวงศ์ญี่ปุ่น |
พระราชบิดา | สมเด็จพระจักรพรรดิไทโช |
พระราชมารดา | สมเด็จพระจักรพรรดินีเทเม |
สมเด็จพระจักรพรรดิโชวะ (ญี่ปุ่น: 昭和天皇; โรมาจิ: Shōwa Tennō; ทับศัพท์: โชวะเทนโน) (29 เมษายน 2444 - 7 มกราคม 2532) พระนาม ฮิโระฮิโตะ (裕仁) ทรงเป็นจักรพรรดิพระองค์ที่ 124 ของประเทศญี่ปุ่น ครองราชย์ระหว่างปี พ.ศ. 2469 - พ.ศ. 2532 รวมแล้วถึง 63 ปี
สมเด็จพระจักรพรรดิฮิโระฮิโตะเสด็จพระราชสมภพ ณ ปราสาทอะโอะยะมะ กรุงโตเกียว เมื่อวันที่ 29 เมษายน พ.ศ. 2444 ทรงเป็นพระราชโอรสในสมเด็จพระจักรพรรดิไทโช และเจ้าหญิงซาดาโกะ โดยมีพระนามขณะทรงพระเยาว์ ว่า เจ้าชายมิจิ (迪宮)
ทรงมีบทบาทที่สำคัญในช่วงสงครามโลกครั้งที่สอง โดยเป็นผู้นำญี่ปุ่นเข้าร่วมฝ่ายอักษะร่วมกับนาซีเยอรมันและฟาสซิสต์ของอิตาลี
พระราชโอรส-ธิดา
พระองค์ทรงได้อภิเษกสมรสกับ เจ้าหญิงนางาโกะ คุนิ ต่อมาคือสมเด็จพระจักรพรรดินีโคจุน เป็นพระธิดาพระองค์โตในเจ้าชายคุนิ คุนิโยะชิ เมื่อวันที่ 26 มกราคม พ.ศ. 2467 (ค.ศ. 1924) และทรงมีพระราชโอรส 2 พระองค์ และพระราชธิดา 5 พระองค์
- เจ้าหญิงเทรุ (ญี่ปุ่น: 照宮成子; โรมาจิ: เทรุ-โนะ-มิยะ ชิเงโกะ) ประสูติเมื่อวันที่ 6 ธันวาคม พ.ศ. 2468 ต่อมาคือ เจ้าหญิงชิเงโกะ ฮิงะชิคุนิ เสกสมรสแล้วกับเจ้าชายโมริฮิโตะ ฮิงะชิคุนิ ต่อมาพระสวามีของเจ้าหญิงชิเงโกะได้ถูกสหรัฐอเมริกาถอดพระยศเป็นสามัญชน เจ้าหญิงชิเงโกะจึงเป็นนางชิเงโกะ ฮิงะชิคุนิ (ญี่ปุ่น: 東久邇成子; โรมาจิ: Higashikuni Shigeko) มีพระโอรส-ธิดา 5 พระองค์ และสิ้นพระชนม์เมื่อวันที่ 23 กรกฎาคม พ.ศ. 2504
- เจ้าหญิงฮิซะ (ญี่ปุ่น: 久宮祐子; โรมาจิ: ฮิซะ-โนะ-มิยะ ซะชิโกะ) ประสูติ 10 กันยายน พ.ศ. 2470 พระราชธิดาองค์ที่สอง โดยต่อมาอีก 4 เดือนหลังจากพระประสูติกาล พระธิดาองค์น้อยนี้ก็มีพระอาการพระโลหิตเป็นพิษ โดยต่อมา 2 เดือน เจ้าหญิงซะชิโกะจึงสิ้นพระชนม์อย่างสงบ เมื่อวันที่ 8 มีนาคม พ.ศ. 2471
- เจ้าหญิงทากะ (ญี่ปุ่น: 孝宮和子; โรมาจิ: ทะกะ-โนะ-มิยะ คะซุโกะ) ประสูติเมื่อวันที่ 30 กันยายน พ.ศ. 2472 ต่อมาเจ้าหญิงทากะได้เสกสมรสกับนายโทะชิมิชิ ทะคะสึตะซะ เจ้าหญิงทากะจึงลาออกจากฐานันดรศักดิ์ และใช้พระนามเป็นนางคะซุโกะ ทะคะสึคะซะ และสิ้นพระชนม์เมื่อวันที่ 28 พฤษภาคม พ.ศ. 2532
- เจ้าหญิงโยริ (ญี่ปุ่น: 順宮厚子; โรมาจิ: โยริ-โนะ-มิยะ อัตสึโกะ) ประสูติ 7 มีนาคม พ.ศ. 2474 เจ้าหญิงโยริได้เสกสมรสแล้วกับนายทะกะมะซะ อิเกะดะ เจ้าหญิงโยริจึงลาออกจากฐานันดรศักดิ์ และใช้พระนามเป็น นางอัตสึโกะ อิเกะดะ
- มกุฎราชกุมารอะกิฮิโตะ (ญี่ปุ่น: 継宮明仁; โรมาจิ: สึงุโนะมิยะ อะกิฮิโตะ) พระราชสมภพเมื่อวันที่ 23 ธันวาคม พ.ศ. 2476 ต่อมาพระองค์ได้เป็นสมเด็จพระจักรพรรดิแห่งญี่ปุ่นองค์ปัจจุบัน มีพระนามว่า สมเด็จพระจักรพรรดิอะกิฮิโตะ อภิเษกสมรสกับนางสาวโชดะ มิชิโกะ มีพระราชโอรส-ธิดา 3 พระองค์
- เจ้าชายโยชิ (ญี่ปุ่น: 義宮正仁; โรมาจิ: โยชิ-โนะ-มิยะ มะซะฮิโตะ) ประสูติเมื่อวันที่ 28 ธันวาคม พ.ศ. 2478 ปัจจุบันมีพระนามว่า เจ้าฟ้าชายมะซะฮิโตะ ฮิตะชิ (ญี่ปุ่น: 常陸宮正仁親王; โรมาจิ: ฮิตะชิ โนะ มิยะ มะซะฮิโตะ ชินโน) เสกสมรสกับสึงะรุ ฮะนะโกะ แต่ไม่มีพระโอรส-ธิดาด้วยกัน
- เจ้าหญิงซุงะ (ญี่ปุ่น: 清宮貴子; โรมาจิ: ซุงะ-โนะ-มิยะ ทะคะโกะ) ประสูติเมื่อวันที่ 2 มีนาคม พ.ศ. 2482 ต่อมาเจ้าหญิงซุงะได้เสกสมรสกับนายฮิซะนะงะ ชิมะสึ เจ้าหญิงซุงะจึงลาออกจากฐานันดรศักดิ์เป็น นางทะคะโกะ ชิมะสึ มีพระโอรส 1 พระองค์
มกุฎราชกุมาร
หลังจากสมเด็จพระจักรพรรดิไทโชทรงประชวร เจ้าชายฮิโระฮิโตะจึงได้ถูกแต่งตั้งขึ้นมาเป็นผู้สำเร็จราชการแทนพระองค์ ในขณะนั้นเจ้าชายฮิโระฮิโตะทรงมีพระชนมายุได้ 20 พรรษา และทรงกลายมาเป็นจักรพรรดิของประเทศตามพฤตินัย ขาดเพียงพระอิสริยยศว่า "สมเด็จพระจักรพรรดิ" เท่านั้น ขณะที่สมเด็จพระจักรพรรดิไทโชกลับเป็นพระประมุขเพียงในทางนิตินัย
เจ้าชายฮิโระฮิโตะ ทรงปฏิบัติพระราชกรณียกิจในส่วนของสมเด็จพระจักรพรรดิในทันที เช่นการเสด็จไปร่วมพิธีเปิดการประชุมสภา ต้อนรับอาคันตุกะต่างแดน และเสด็จพระราชดำเนินชมแสนยานุภาพของการทหาร เจ้าชายยังทรงเอาพระราชกิจด้านการเมืองการปกครองทั้งหมดในวังหลวงของสมเด็จพระจักรพรรดิมาทำ รวมถึงการหารือกับนายกรัฐมนตรี และออกราชโองการรับรองนโยบายของรัฐบาลอย่างเป็นทางการ
ในปี พ.ศ. 2464 (ค.ศ. 1921) เจ้าชายฮิโระฮิโตะในฐานะมกุฎราชกุมารได้เสด็จประพาสทวีปยุโรปเป็นเวลาครึ่งปี ซึ่งประกอบด้วย สหราชอาณาจักร ฝรั่งเศส อิตาลี นครรัฐวาติกัน เนเธอร์แลนด์ และ เบลเยียม ซึ่งการเสด็จประพาสในครั้งนี้ถือได้ว่าเป็นมกุฎราชกุมารพระองค์แรกที่ได้เสด็จไปยุโรป
ขึ้นครองราชย์ และสถานการณ์ในราชสำนัก
เจ้าชายฮิโระฮิโตะเสด็จขึ้นครองราชย์ โดยพระนามว่า สมเด็จพระจักรพรรดิโชวะ ที่หมายถึงสันติภาพอันส่องสว่าง ทรงตั้งความหวังไว้กับประเทศญี่ปุ่นไว้สูง โดยในพระราชโองการฉบับแรกแห่งรัชสมัยที่ทรงประกาศเมื่อวันที่ 28 ธันวาคม พ.ศ. 2469 มีข้อความว่า
โลกเราในขณะนี้กำลังอยู่ในขั้นตอนของการวิวัฒน์ไปอย่างต่อเนื่อง ประวัติศาสตร์บทใหม่แห่งอารยธรรมโลกกำลังพลิกเผยตัวเองให้เราได้เห็นกัน
กระแสพระราชดำรัสต่อไปว่า
นโยบายของชาติเรามักจะมุ่งเน้นไปที่กระบวนการอันต่อเนื่องพร้อมกับการปรับปรุงให้ดีขึ้นไปเรื่อยๆ ความเรียบง่ายแทนการสร้างภาพที่ไร้ประโยชน์ ความมีเอกลักษณ์เฉพาะตนแทนการลอกเลียนแบบที่ไม่รู้จักคิด วิธีดำเนินงานที่สอดคล้องกับวิวัฒนาการแห่งยุคสมัยที่ดำเนินอยู่ การปรับปรุงให้ดียิ่งๆขึ้นเพื่อให้ไหลลื่นไปกับกระแสความก้าวหน้าแห่งอารยธรรมโลก ความกลมเกลียวในชาติทั้งในด้านจุดหมายที่ต้องไปให้ถึงและวิธีการที่จะทำให้บรรลุจุดหมายนั้นๆ คุณงามความดีเผยแผ่ไปทุกชนชั้น และสุดท้าย ความมีมิตรจิตต่อประเทศทั้งมวลบนผืนโลก สิ่งเหล่านี้คือจุดหมายหลักที่เราใฝ่ใจและมุ่งที่จะไปให้ถึงอย่างที่สุด
วังหลวงกับวิกฤตการณ์การเมือง
หลังสงครามโลกครั้งที่หนึ่ง สิ้นสุดลง ญี่ปุ่นกระทำการหลายอย่างที่แสดงถึงความเปิดกว้างและเป็นมิตร โดยเข้าร่วมแนวคิดสากลนิยมที่ประกาศไว้ในหลักการขององค์การสันนิบาตชาติ นอกจากนี้ในการประชุมร่วมที่กรุงวอชิงตัน ญี่ปุ่นยังเห็นชอบที่จะสลายความเป็นพันธมิตรระหว่างอังกฤษกับญี่ปุ่น เพื่อแลกกับการลงนามในสนธิสัญญาว่าด้วยการรักษาความปลอดภัยร่วมกับมหาอำนาจตะวันตก ซึ่งระบุให้จำกัดจำนวนยุทโธปกรณ์ทางน้ำ และยอมรับสิทธิและอำนาจเต็มของจีนเหนือดินแดนจีนเองด้วย ค.ศ. 1925 ญี่ปุ่นยังขยายความสัมพันธ์ทางการทูตไปถึงสหภาพโซเวียต แม้กลุ่มโคมินเทิรน์จะคอยสนับสนุนความเคลื่อนไหวของฝ่ายคอมมิวนิสต์ในภูมิภาคเอเชียนอยู่ก็ตาม แต่ในอีกด้านหนึ่งความสัมพันธ์ของสหรัฐอเมริกากับญี่ปุ่นกลับเลวลง เมื่อมีกฎหมายห้ามชาวญี่ปุ่นเข้าสหรัฐอเมริกา สร้างความโกรธแค้นให้แก่ชาวญี่ปุ่นอย่างยิ่ง เพราะไปประจวบกับเวลาที่ญี่ปุ่เพิ่งถูกองค์กรสันนิบาตชาติปฏิเสธที่จะรับรองข้อเสนอของญี่ปุ่นว่ามนุษย์ทุกเผ่าพันธ์เท่าเทียมกัน เข้าไว้ในพันธะสัญญาขององค์กร แม้กระนั้น ก็แทบจะไม่มีสัญญาณใดๆในช่วงทศวรรษ 1920 ถึงวิกฤตความสัมพันธ์ในอนาคตระหว่างญี่ปุ่นกับ สหรัฐอเมริกาเลย
นโยบายเปิดเสรีการค้าของญี่ปุ่นที่ใช้ความร่วมมือทางการทูต โดยสันติเป็นสื่อก็ตรงกับนโยบายเปิดประตูความสัมพันธ์และการค้า ซึ่งริเริ่มโดยวุฒิสมาชิก จอห์น เฮย์ ในช่วงต้นศตวรรษด้วยซ้ำ ด้วยความไว้วางใจในข้อตกลงที่ทำไว้กับนานาประเทศว่าจะเป็นหนทางเสริมสร้างสันติภาพและความมั่นคงในประเทศและภูมิภาคเอเชียได้
สมเด็จพระจักรพรรดิโชวะ เจ้าชายไซองจิ มากิโนะ และผู้นำที่สนับสนุนระบอบรัฐธรรมนูญคนอื่นๆในวังต่างพากันให้ความเห็นชอบกับนโยบาย ความร่วมมือทางการทูตของชาติมหาอำนาจ อังกฤษ-สหรัฐฯ และจีนกันหมดทุกคน เจ้าชายไซองจิขึ้นดำรงตำแหน่งหัวหน้าผู้แทนชาติญี่ปุ่นไปร่วมประชุมสันติภาพที่กรุงปารีส โดยมีมากิโนะ และ จินดะ สุเทมิ เป็นผู้ช่วย เจ้าชายไซองจิเคยกล่าวไว้ว่า
หน้าที่ของฉันในการรับใช้สมเด็จพระจักรพรรดิมี 2 ด้าน คือคอยหลบเลี่ยงความเสียหายใดๆที่อาจกระทบต่อรัฐธรรมนูญของญี่ปุ่น และส่งเสริมเกียรติสนธิสัญญาที่ทำไว้กับนานาชาติ
แต่ในไม่ช้าสถานการณ์ในประเทศจีนทำลายภาพฝันที่จะมีความสงบสุขอย่างถาวรในประเทศจีนจนสิ้น เริ่มตั้งแต่ความสำเร็จของ แผนยึดแดนเหนือ ของเจียงไคเช็ก ในปีค.ศ. 1926 เพื่อรวมชาติจีนให้อยู่ภายใต้การปกครองของพรรคชาตินิยม หรือ กว๋อหมินตั่ง หรือที่คนไทยรู้จักกันในนาม ก๊กมินตั๋ง ที่สร้างความตระหนกแก่นายทหารญี่ปุ่นประจำกองทัพกวานตง ที่ปักหลักอยู่แถบแมนจูเรียใต้ เพราะพวกเขาไม่ไว้ใจ จางจว้อหลิน ผู้นำกองทัพที่เป็นลูกค้าของญี่ปุ่นอยู่ทางตอนเหนือของจีน คิดไปว่าจางจว้อหลินอาจช่วยหยุดยั้ง เจียงไคเช็ก และปกป้องสิทธิประโยชน์ของญี่ปุ่นเหนือดินแดนแมนจูเรียไม่ให้ถูกองกำลังของเจียงไคเช็กคุกคามไม่ได้ ดังนั้นในเดือนมิถุนายน ค.ศ. 1928 ทหารญี่ปุ่นเหล่านี้จึงลอบสังหารจางจว้อหลิน ด้วยการระเบิดรถไฟที่เขาโดยสารมาขณะกำลังมุ่งสู่เมืองมุกเด็น (ปัจจุบันคือเมือง เสิ่นหยาง) และโยนความผิดให้กองโจรชาวจีน ว่าเป็นผู้ลงมือ
สงครามโลกครั้งที่ 2
เมื่อญี่ปุ่นเข้าสู่สงคราม สมเด็จพระจักรพรรดิโชวะย่อมมีพระราชประสงค์ที่จะให้ญี่ปุ่นได้ชัยชนะ พระองค์จึงพอพระทัยเป็นอันมากที่ปฏิบัติการโจมตีเพิร์ล ฮาร์เบอร์ สร้างความเสียหายอย่างหนักให้แก่กองกำลังสหรัฐอเมริกาประจำภาคพื้นแปซิฟิก
ต้นเดือนมีนาคม พ.ศ. 2485 ทรงพอพระทัยไม่น้อยไปกว่ากันกับชัยชนะปานสายฟ้าแลบของญี่ปุ่นเหนือเกาะฮ่องกง กรุงมะนิลา สิงคโปร์ ปัตตาเวีย (จาร์กาตา) และย่างกุ้ง
ขณะเดียวกัน ก็ทรงกังวลเกี่ยวกับปัญหาในการลำเลียงเสบียงและเชื้อเพลิงไปให้กับกองกำลังญี่ปุ่นที่กำลังรบอยู่ในสมรภูมิที่ห่างไกลมาตุภูมิ "ชัยชนะที่ได้ออกจะมาเร็วไปหน่อย" พระองค์จึงมักจะทรงเตือนผู้นำทหารบกและทหารเรือให้ปรับปรุงการทำงานระหว่างสองกองทัพให้ประสานงานได้ดีขึ้น เพราะสภาพที่เป็นอยู่นั้นจัดว่าไร้ประสิทธิภาพโดยสิ้นเชิง และยังทรงเตือนให้สองกองทัพ เลิกใช้วิธีเหมือนเล่นการเมืองพาทะเลาะกันเรื่องการเคลื่อนย้ายฝูงบินเสียที เมื่อทรงได้รับรายงานเกี่ยวกับความปราชัยครั้งสำคัญของญี่ปุ่นเช่นที่ ยุทธภูมิมิดเวย์ จึงมีแต่พระราชดำรัสให้ผู้นำทหารทั้งหลายทำงานของตนให้ดีที่สุดในการปฏิบัติครั้งหน้า โดยแทบจะมิได้ทรงแสดงอารมณ์ใดๆออกมาอีก ราวกับทรงปลงเสียแล้ว
พระราชกรณียกิจที่ทรงปฏิบัติในระหว่างสงครามกระตุ้นให้ประชาชนฮึกเหิมกับศึกที่เกิดขึ้นด้วยอีกแรงหนึ่งไม่ว่าจะเป็นการทรงม้าขาวออกเสด็จตรวจกำลังพล หรือมีพระราชดำรัสเปิดการประชุมรัฐสภาที่ปลุกเร้ากำลังใจของราษฎรให้ช่วยกันพยายามเพื่อชัยชนะของประเทศตามหนังสือที่ร่างโดยรัฐบาล พระราชกรณียกิจเหล่านี้ล้วนสร้างภาพว่า พระองค์กำลังทรงบัญชาการความเคลื่อนไหวทั้งหมดของกองทัพในฐานะที่ทรงเป็นจอมทัพของชาติ แต่ขณะที่พระองค์ทรงอ่านรายงานการรบและลงพระนามรับรองแผนปฏิบัติการทางทหารต่างๆอยู่อย่างขะมักเขม้นทุกวี่ทุกวันนั้น สมเด็จพระจักรพรรดิโชวะมิได้ทรงมีส่วนในการบังคับบัญชาใดๆ เฉกเช่นที่สมเด็จพระจักรพรรดิเมจิไม่เคยได้ทรงกระทำหน้าที่นี้ทุกครั้งที่มีสงครามขึ้นเลย
หากมองจากภายนอก ประชาชนอาจคิดว่าพระจักรพรรดิของพวกเขาเป็นกษัตริย์นักรบ แต่แท้จริงแล้วพระองค์มีพระราชประสงค์ให้สงครามยุติลงโดยเร็วต่างหาก
เดือนกุมภาพันธ์ ค.ศ. 1942 สมเด็จพระจักรพรรดิโชวะได้มีพระราชดำรัสให้พลเอกโตโจรับทราบข้อเท็จจริงข้อนี้ "เราหวังตลอดเวลาที่ผ่านมานี้ ท่านจะได้ใช้ความพยายามอย่างที่สุดและใช้ทุกโอกาสที่มีเพื่อยุติการประหัตประหารกันนี้ในทันทีที่ทำได้ หากคิดถึงความสงบสุขของมนุษย์ด้วยกันแล้วการปล่อยสงครามยืดเยื้อต่อไปรังแต่จะเปล่าประโยชน์" ทรงเสริมด้วยว่า "เราเกรงว่า ประสิทธิภาพของทหารเราจะอ่อนด้อยลงไปหากสงครามต้องยืดเยื้อ" แต่โดยหน้าที่แล้ว โตโจจำเป็นต้องทำสงครามต่อไป และแม้กระแสการรบจะพัดย้อนไปกระหน่ำญี่ปุ่นแทน สงครามก็ยังไม่อาจยุติลงได้ ดูเหมือนว่าสมเด็จพระจักรพรรดิโชวะกลับเป็นผู้ต่อเวลาทำสงครามออกไปเสียเองถึง 2 ทางด้วยกัน ประการแรก แม้ในช่วงแรกๆจะมีขบวนการสันติภาพที่ก่อตั้งขึ้นโดยอดีตนายกรัฐมนตรี ข้าราชสำนัก และแม้กระทั่งเชื้อพระวงศ์บางองค์ แต่สมเด็จพระจักรพรรดิก็ไม่ทรงยอดปลดโตโจออกตามคำเรียกร้องของสมาชิกขบวนการที่ต้องการจะหยุดยั้งสงครามไว้ให้ได้ เพราะในระหว่างยังไงเสียญี่ปุ่นก็ต้องอาศัยโตโจดำเนินการรบไปจนกว่าสถานะของญี่ปุ่นในการเจรจาสันติภาพจะดีขึ้น และบรรลุเงื่อนไขตามที่ญี่ปุ่นต่อรอง โดยพระองค์ทรงตรัสกับ เจ้าชายทาคาทัตสึ พระอนุชาองค์รองว่า
"ใครๆก็ว่าโตโจไม่ดี แต่จะหาใครดีไปกว่านี้ได้อีกไหมในเมื่อไม่มีคนเหมาะสมกว่า ยังจะมีทางเลือกอื่น นอกจากร่วมงานกับคณะของโตโจหรือ"
อิโนอุเอะ คิโยชิ นักประวัติศาสตร์ญี่ปุ่นเขียนไว้ว่า
"บุคคลที่ชื่อ ฮิโระฮิโตะนั้น คือสุภาพบุรุษที่เปี่ยมไปด้วยความเห็นอกเห็นใจและกล้าหาญในสายตาของสมาชิกในครอบครัวและบรรดาที่ปรึกษาใกล้ชิดทั้งหลาย แต่สมเด็จพระจักรพรรดิฮิโระฮิโตะ กลับขึ้นปกครองบ้านเมืองในสมัยที่ระบอบเผด็จการอันแข็งกร้าว และชูลัทธินิยมจักรพรรดิ รุ่งเรืองถึงขีดสุด ทั้งยังทรงดำรงอยู่ในฐานะผู้นำที่ก่อสงครามร้ายแรงหลายต่อหลายครั้ง ชี้นำการปกครองประเทศภายใต้ระบบที่กดขี่พลเมืองของตนเอง" [2]
ในหนังสือพิมพ์นิวยอร์กไทม์ ได้รายงานคำประกาศของพรรคคอมมิวนิสต์ญี่ปุ่นเขียนขึ้นในวันที่ 8 มกราคม พ.ศ. 2532 หนึ่งวันหลังจากสมเด็จพระจักรพรรดิโชวะสวรรคตว่า
"พวกเราจำต้องแสดงความรู้สึกในนามของเหยื่อสงครามอันเหี้ยมโหดและเหยื่อกฏเมืองที่โหดร้ายจำนวนหลายสิบล้านชีวิตผู้ไม่มีโอกาสจะเอ่ยคำใดได้อีกแล้ว สมเด็จพระจักรพรรดิโชวะคือผู้ที่ต้องรับผิดชอบต่อสงครามเลวร้ายที่เกิดขึ้นมากที่สุด และหนักหน่วงที่สุด"
เมื่อพิจารณาจากมุมมองนี้ การที่นายพลดักลาส แมคอาเธอร์ ลดหย่อนโทษให้แก่สมเด็จพระจักรพรรดิโชวะ ไม่นำพระองค์ไปขึ้นศาลโลกในฐานะอาชญากรสงครามหลังสงครามโลกครั้งที่ 2 สงบลงนั้น ก็อาจจะเกิดมาจากคำตรัสคำนี้ก็เป็นได้
และครั้นสมเด็จพระจักรพรรดิได้เสด็จไปพบปะกับนายพลแมคอาเธอร์หลังสงครามโลกนั้น ตามคำที่นายพลได้เขียนไว้ พระจักรพรรดิได้ตรัสกับเขาว่า
"ข้าพเจ้าจะเป็นอย่างไรก็ไม่ว่า โทษนั้นข้าพเจ้าจะรับเอง แต่อยากให้ช่วยประชาชนแทน" เมื่อนายพลแมคอาเธอร์ได้ฟัง เขาก็ได้ซาบซึ้งใจอย่างมาก แต่เนื่องจากการสนทนานี้ไม่ค่อยมีใครรู้กันมากนัก จึงไม่ทราบว่าเป็นจริงหรือไม่ ครั้นมีการสัมภาษณ์สมเด็จพระจักรพรรดิเมื่อปี พ.ศ. 2518 พระองค์ก็ทรงตรัสว่า "ไม่สามารถที่จะเปิดเผยได้ เพราะเป็นคำสัญญาของลูกผู้ชาย"
พระราชจริยวัตรและสายพระเนตรที่มองโลก
หลังวันประสูติวันที่ 29 เมษายน ค.ศ. 1901 ได้ไม่นาน เจ้าชายฮิโระฮิโตะถูกมอบให้อยู่ในความดูแลของนายทหารเรือเกษียณราชการผู้หนึ่ง คือ คาวามุระ สึมิโยชิ และภรรยา เมื่อคาวามุระถึงแก่กรรมลงในปี ค.ศ. 1904 เจ้าชายองค์น้อยได้เสด็จกลับไปประทับร่วมกับพระบิดาและพระมารดาอีกครั้ง ณ วังอาคาซากะ ทรงรู้สึกใกล้ชิดพระบิดาและพระชนนีเท่าใดนั้นยากที่จะกล่าว แต่หนึ่งในบรรดามหาเล็กที่ถวายการดูแลเจ้าชายอยู่คือ คันโรจิ โอซานางะ ให้ความเห็นว่าเจ้าชายรักและผูกพันกับสมเด็จพระจักรพรรดิเมจิ ซึ่งเป็นสมเด็จพระอัยกา (ปู่) เป็นพิเศษ และโปรดที่จะเกาะแจอยู่กับพระองค์ ยามที่เสด็จไปหาเสด็จปู่ที่พระราชวังอิมพีเรียล แต่โอกาสเช่นนั้นก็เกิดแทบจะนับครั้งได้ [3] ในทางกลับกันสมเด็จพระจักรพรรดิเมจิจะพระราชทานของขวัญแก่พระราชนัดดาองค์น้อยและแย้มพระโอษฐ์ให้ แม้จะตรัสกับพระราชนัดดาน้อยเหลือเกิน เช่นเดียวกันกับแทบที่จะไม่มีพระดำรัสใดๆกับเจ้าชายโยชิฮิโตพระโอรสเลย หลายปีต่อมา เจ้าชายฮิโระฮิโตะจะถือเอาแบบจากสมเด็จพระจักรพรรดิเมจิเป็นแบบอย่างทางการปกครองของพระองค์
ด้านกายภาพแล้วเจ้าชายฮิโระฮิโตะมิได้มีพระวรกายที่น่าประทับใจแก่ผู้พบเห็นแต่อย่างใด เพราะสายพระเนตรสั้น จึงต้องทรงฉลองพระเนตรตั้งแต่ยังทรงพระเยาว์ และเหล่ามหาดเล็กก็ต้องคอยทูลให้เปลี่ยนท่าทางพระวรกายอยู่เสมอ เพราะบุคลิกภาพในพระองค์ไม่ค่อยดีนัก นอกจากนี้ยังทรงเป็นเด็กเรียนรู้ช้า มักจะมีปัญหาแม้กระทั่งกลัดกระดุมเครื่องแบบนักเรียน การฝึกซ้อมร่างกาย ทรงม้า ว่ายน้ำ และวิธีออกกำลังกายอื่นๆอีกมากช่วยปรับเปลี่ยนบุคลิกภาพพระองค์ให้ดีขึ้น แต่พระวรกายยังเล็กอยู่เช่นเดิมแม้เมื่อเจริญพระชันษาแล้ว
เมื่อเจ้าชายแห่งเวลส์เสด็จพระราชดำเนินมาเยือนญี่ปุ่น เจ้าชายเอ็ดเวิร์ดจำต้องแสร้งหวดผิด เมื่อทอดพระเนตรเห็นว่าเจ้าชายฮิโระฮิโตะตีลูกกอล์ฟไม่ค่อยถูก[4]
อ้างอิง
- ↑ Harada Kumao, "Saionji-ko to saikyoku', 9 vols., Tokyo: Iwanami Shoten, 1950-56
- ↑ อิโนอุเอะ คิโยชิ, เทนโนโนะเซงโซเซะกินิง, โตเกียว: Gendai Hyoronsha , 2518
- ↑ Osanaga Kanroji, "Hirohito"An Intimate Portrait of the Japanese Emperor , Los Angeles : Gateway, 1975
- ↑ HRH The Duke of Windsor, 'A King's Story', London: Cassell, 1951
- Behr, Edward Hirohito: Behind the Myth, Villard, New York, 1989. - A controversial book that posited that Hirohito had a more active role in WWII than had publicly been portrayed; it contributed to the re-appraisal of his role.
- Bix, Herbert P. Hirohito and the Making of Modern Japan, HarperCollins, 2000. ISBN 0-06-019314-X, A recent scholarly (and copiously sourced) look at the same issue.
- Drea, Edward J. (1998). "Chasing a Decisive Victory: Emperor Hirohito and Japan's War with the West (1941-1945)". In the Service of the Emperor: Essays on the *Imperial Japanese Army. Nebraska: University of Nebraska Press. ISBN 0-8032-1708-0.
- Fujiwara, Akira, Shōwa Tennō no Jū-go Nen Sensō (Shōwa Emperor's Fifteen-year War), Aoki Shoten, 1991. ISBN 4-250-91043-1 (Based on the primary sources)
- Hoyt, Edwin P. Hirohito: The Emperor and the Man, Praeger Publishers, 1992. ISBN 0-275-94069-1
- Kawahara, Toshiaki Hirohito and His Times: A Japanese Perspective, Kodansha International, 1997. ISBN 0-87011-979-6 (Japanese official image)
- Mosley, Leonard Hirohito, Emperor of Japan, Prentice-Hall, Englewood Cliffs, 1966. ISBN 1-111-75539-6 ISBN 1-199-99760-9, The first full-length biography, it gives his basic story.
- Wetzler, Peter Hirohito and War: Imperial Tradition and Military Decision Making in Prewar Japan, University of Hawaii Press, 1998. ISBN 0-8248-1925-X
- Yamada, Akira, Daigensui Shōwa Tennō (Shōwa Emperor as Commander in Chief), Shin-Nihon Shuppansha, 1994. ISBN 4-406-02285-6 (Based on the primary sources)
ก่อนหน้า | จักรพรรดิโชวะ | ถัดไป | ||
---|---|---|---|---|
สมเด็จพระจักรพรรดิไทโช | จักรพรรดิแห่งญี่ปุ่น (พ.ศ. 2469 - พ.ศ. 2532) |
สมเด็จพระจักรพรรดิอะกิฮิโตะ |