ผลต่างระหว่างรุ่นของ "การศึกษาในประเทศไทย"

จากวิกิพีเดีย สารานุกรมเสรี
เนื้อหาที่ลบ เนื้อหาที่เพิ่ม
ป้ายระบุ: แก้ไขจากอุปกรณ์เคลื่อนที่ แก้ไขจากเว็บสำหรับอุปกรณ์เคลื่อนที่
บรรทัด 45: บรรทัด 45:
การจัดการศึกษาในประเทศไทยในระดับชั้นประถมศึกษาถึงมัธยมศึกษาและในระดับอาชีวศึกษาจะแบ่งออกเป็น 2 ภาคการศึกษาโดยภาคการศึกษาแรกจะจัดการเรียนการสอนระหว่างวันที่ [[16 พฤษภาคม]] ถึงวันที่ [[11 ตุลาคม]] ของทุกปี ในขณะที่ภาคการศึกษาปลายจะเริ่มวันที่ [[1 พฤศจิกายน]] ถึงวันที่ [[1 เมษายน]] <ref name="eduzone">{{cite web|url=http://blog.eduzones.com/socialdome/115735|title=ข้อสรุปใหม่กระทรวงศึกษาธิการ "ไม่เลื่อนเปิดเทอม" สถานศึกษาระดับการศึกษาขั้นพื้นฐานและอาชีวศึกษา|publisher=Eduzone|accessdate =16 January 2014}}</ref> อย่างไรก็ตามมีความพยายามในการปรับเปลี่ยนเวลาการเปิดภาคการศึกษาใหม่เพื่อให้สอดคล้องกับกลุ่มประเทศอาเซียน แต่กระทรวงศึกษาธิการยังคงยืนยันที่จะกำหนดวันเปิดปิดภาคเรียนตามเดิม <ref name="eduzone"/> สำหรับในระดับอุดมศึกษานั้นมีการจัดการเรียนการสอนออกเป็นทวิภาค ยกเว้นหลักสูตรนานาชาติที่จัดการเรียนการสอนแบบไตรภาค โดยมีภาคฤดูร้อนให้นิสิต/นักศึกษาสามารถเข้ามาศึกษาได้ สำหรับประเทศไทยได้แบ่งระดับชั้นการศึกษาไว้ดังตารางด้านล่างนี้ <ref>{{cite web|url=http://www.bic.moe.go.th/th/index.php?option=com_content&view=article&id=661&catid=61|title=ระบบการศึกษา-ไทย|publisher=สำนักความสัมพันธ์ต่างประเทศ สำนักงานปลัดกระทรวงศึกษาธิการ|accessdate =17 January 2014}}</ref>
การจัดการศึกษาในประเทศไทยในระดับชั้นประถมศึกษาถึงมัธยมศึกษาและในระดับอาชีวศึกษาจะแบ่งออกเป็น 2 ภาคการศึกษาโดยภาคการศึกษาแรกจะจัดการเรียนการสอนระหว่างวันที่ [[16 พฤษภาคม]] ถึงวันที่ [[11 ตุลาคม]] ของทุกปี ในขณะที่ภาคการศึกษาปลายจะเริ่มวันที่ [[1 พฤศจิกายน]] ถึงวันที่ [[1 เมษายน]] <ref name="eduzone">{{cite web|url=http://blog.eduzones.com/socialdome/115735|title=ข้อสรุปใหม่กระทรวงศึกษาธิการ "ไม่เลื่อนเปิดเทอม" สถานศึกษาระดับการศึกษาขั้นพื้นฐานและอาชีวศึกษา|publisher=Eduzone|accessdate =16 January 2014}}</ref> อย่างไรก็ตามมีความพยายามในการปรับเปลี่ยนเวลาการเปิดภาคการศึกษาใหม่เพื่อให้สอดคล้องกับกลุ่มประเทศอาเซียน แต่กระทรวงศึกษาธิการยังคงยืนยันที่จะกำหนดวันเปิดปิดภาคเรียนตามเดิม <ref name="eduzone"/> สำหรับในระดับอุดมศึกษานั้นมีการจัดการเรียนการสอนออกเป็นทวิภาค ยกเว้นหลักสูตรนานาชาติที่จัดการเรียนการสอนแบบไตรภาค โดยมีภาคฤดูร้อนให้นิสิต/นักศึกษาสามารถเข้ามาศึกษาได้ สำหรับประเทศไทยได้แบ่งระดับชั้นการศึกษาไว้ดังตารางด้านล่างนี้ <ref>{{cite web|url=http://www.bic.moe.go.th/th/index.php?option=com_content&view=article&id=661&catid=61|title=ระบบการศึกษา-ไทย|publisher=สำนักความสัมพันธ์ต่างประเทศ สำนักงานปลัดกระทรวงศึกษาธิการ|accessdate =17 January 2014}}</ref>


{| border="1" cellpadding="5" cellspacing="0" style="border-collapse:collapse;"
|-
! colspan=2 | ระดับชั้น
! rowspan=2 | อายุ
|-
! สายสามัญ
! สายอาชีพ
|- style="background:silver;"
| colspan = 3 | การศึกษาปฐมวัย
|-
| เตรียมอนุบาล || rowspan=2| || 2 - 3
|-
| [[โรงเรียนอนุบาล|อนุบาล]] || 3 - 5
|- style="background:silver;"
| colspan = 3 | [[ประถมศึกษา]]
|-
| ประถมศึกษาปีที่ 1 || rowspan=6| || 6 - 7
|-
| ประถมศึกษาปีที่ 2 || 7 - 8
|-
| ประถมศึกษาปีที่ 3 || 8 - 9
|-
| ประถมศึกษาปีที่ 4 || 9 - 10
|-
| ประถมศึกษาปีที่ 5 || 10 - 11
|-
| ประถมศึกษาปีที่ 6 || 11 - 12
|- style="background:silver;"
| colspan = 3 | [[มัธยมศึกษา|มัธยมศึกษาตอนต้น]]
|-
| มัธยมศึกษาปีที่ 1|| rowspan=3| || 12 - 13
|-
| มัธยมศึกษาปีที่ 2 || 13 - 14
|-
| มัธยมศึกษาปีที่ 3 || 14 - 15
|- style="background:silver;"
| colspan = 3 | [[มัธยมศึกษา|มัธยมศึกษาตอนปลาย]] และอาชีวศึกษา
|-
| มัธยมศึกษาปีที่ 4 || ประกาศนียบัตรวิชาชีพปี 1 || 15 - 16
|-
| มัธยมศึกษาปีที่ 5 || ประกาศนียบัตรวิชาชีพปี 2 || 16 - 17
|-
| มัธยมศึกษาปีที่ 6 || ประกาศนียบัตรวิชาชีพปี 3 || 17 - 18
|- style="background:silver;"
| colspan = 3 | [[อุดมศึกษา]] และเทียบเท่า
| colspan = 3 | [[อุดมศึกษา]] และเทียบเท่า
|-
|-

รุ่นแก้ไขเมื่อ 05:55, 3 สิงหาคม 2560

การศึกษาในประเทศไทย
กระทรวงศึกษาธิการ
งบประมาณทางการศึกษา (พ.ศ. 2557)
งบประมาณ482,788,585,900 บาท[1]
ข้อมูลทั่วไป
ภาษาที่ใช้ภาษาไทย ภาษาอังกฤษ
ก่อตั้งกระทรวงธรรมการ1 เมษายน พ.ศ. 2435
การรู้หนังสือ (พ.ศ. 2548)
ทั้งหมด93.5[2]
ผู้ชาย95.6[2]
ผู้หญิง91.5[2]
การลงทะเบียนเรียน (พ.ศ. 2551)
ทั้งหมด12,567,760[3]
ประถมศึกษา5,370,546 [3]
มัธยมศึกษา4,769,198 [3]
อุดมศึกษา2,428,016 [3]

การศึกษาในประเทศไทย เป็นการศึกษาที่จัดโดย กระทรวงศึกษาธิการของประเทศไทย โดยภาครัฐจะเข้ามาดูแลโดยตรงและเปิดโอกาสให้เอกชนมีส่วนร่วมในการศึกษาตั้งแต่ระดับการศึกษาปฐมวัยจนถึงระดับอุดมศึกษา สำหรับ การศึกษาภาคบังคับ ในประเทศไทยนั้นได้กำหนดให้พลเมืองไทยต้องจบการศึกษาอย่างน้อยที่สุดใน ระดับชั้นมัธยมศึกษาตอนต้น [4] และต้องเข้ารับการศึกษาอย่างช้าสุดเมื่ออายุ 7 ปี[5] ซึ่งการศึกษาภาคบังคับนี้เป็นส่วนหนึ่งของการศึกษาขั้นพื้นฐาน ซึ่งแบ่งออกเป็นระดับชั้นประถมศึกษา 6 ปีและมัธยมศึกษา 6 ปี นอกจากนี้แล้วการศึกษาขั้นพื้นฐานยังรวมถึงการศึกษาปฐมวัยอีกด้วย [6] ทั้งนี้รัฐจะต้องจัดให้อย่างทั่วถึงและมีคุณภาพโดยไม่เก็บค่าใช้จ่ายตามความใน รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช 2550 [7] ส่วนการบริหารและการควบคุมการศึกษาในระดับอุดมศึกษาจะดำเนินการโดย สำนักงานคณะกรรมการการอุดมศึกษา ซึ่งเป็นแผนกหนึ่งของ กระทรวงศึกษาธิการ ในปัจจุบันการศึกษาในประเทศไทยมีทั้งสิ้น 3 รูปแบบ คือ การศึกษาในระบบ การศึกษานอกระบบ และ การศึกษาตามอัธยาศัย

อย่างไรก็ตามการจัดการศึกษาของประเทศไทยนั้นถูกมองว่าล้าหลังและล้มเหลวเสมอมา [8] กรมสุขภาพจิต กระทรวงสาธารณสุข เปิดเผยเมื่อ เดือนกรกฎาคม พ.ศ. 2554 ว่า เด็กไทยมีระดับเชาวน์ปัญญา 98.59 ซึ่งต่ำกว่าค่ามัธยฐานของเชาวน์ปัญญาทั้งโลกที่ระดับ 100 โดยเด็กไทยภาคตะวันออกเฉียงเหนือมีสติปัญญาน้อยที่สุด สูงขึ้นมาจึงเป็นภาคใต้ ภาคเหนือ และภาคกลางตามลำดับ [9]

ระบบโรงเรียน

สำหรับระบบการศึกษาในโรงเรียนของประเทศไทยนั้นจะแบ่งการศึกษาออกเป็น 4 ช่วงชั้น ได้แก่ ช่วงชั้นที่ 1 คือระดับชั้น (ป.1-ป.3) ช่วงชั้นที่ 2 คือระดับชั้น (ป.4-ป.6) ช่วงชั้นที่ 3 คือระดับชั้น ม.ต้น (ม.1-ม.3) และช่วงชั้นที่ 4 คือระดับชั้น ม.ปลาย (ม.4-ม.6) [10] โดยในช่วงชั้นที่ 4 นั้นนอกจากจะมีการจัดการศึกษาในสายสามัญแล้ว ยังมีการจัดการศึกษาในสายอาชีพด้วย ซึ่งในระดับชั้น ปวช.1-3 นั้นจะเทียบเท่ากับระดับชั้น ม.ปลาย โดยนักเรียนที่เลือกสายสามัญมักมีความตั้งใจที่จะศึกษาต่อในระดับมหาวิทยาลัย ส่วนนักศึกษาที่เลือกสายอาชีพมักวางแผนเพื่อเตรียมพร้อมสู่การจ้างงานและศึกษาเพิ่มเติม [11]

ในการเข้าศึกษาต่อในระดับที่สูงขึ้นไป โดยเฉพาะอย่างยิ่งใน ม.ต้น ม.ปลาย รวมไปถึงอาชีวศึกษาจำเป็นต้องมีการสอบข้อเขียนซึ่งจัดสอบโดยโรงเรียน ส่งผลให้ในบางครั้งอาจมีปัญหานักเรียนไม่มีที่เรียนได้ [12] นอกจากนักเรียนจะต้องสอบข้อเขียนของโรงเรียนแล้ว นักเรียนจำเป็นต้องมีคะแนน การทดสอบทางการศึกษาระดับชาติ (O-NET) ซึ่งมีการจัดสอบในช่วงปลายภาคเรียนที่ 2 ของชั้น ป.6 และปลายภาคเรียนที่ 2 ของชั้น ม.3 [13] ยื่นประกอบในการพิจารณา ส่วนการทดสอบระดับชาติของนักเรียนระดับชั้น ม.6 จะนำไปใช้ใน การรับบุคคลเข้าศึกษาในสถาบันอุดมศึกษาในประเทศไทย [14]

สำหรับประเทศไทยนั้นมีการแบ่งโรงเรียนออกเป็น 2 รูปแบบ คือ โรงเรียนรัฐบาลและโรงเรียนเอกชน [15] โดยโรงเรียนรัฐบาลนั้นจะบริหารจัดการโดย สำนักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน หรือหน่วยงานอื่นๆ ที่ไม่ได้สังกัดกระทรวงศึกษาธิการ เช่น องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น เป็นต้น ส่วนโรงเรียนเอกชนจะบริหารจัดการโดยกลุ่มบุคคลหรือมูลนิธิต่างๆ ที่มีใบอนุญาตจัดตั้ง [16] ซึ่งโดยส่วนใหญ่แล้วมักเป็นโรงเรียนที่มีส่วนเกี่ยวเนื่องกับ ศาสนาคริสต์ และ ศาสนาอิสลาม เป็นหลัก ในเขตชนบทของประเทศไทยนั้นหลายๆ โรงเรียนมีลักษณะเป็นโรงเรียนขยายโอกาส คือ มีการจัดการเรียนการสอนระดับชั้นประถม - ม.ต้น หรืออาจมีการจัดการเรียนการสอนในระดับการศึกษาปฐมวัยด้วยก็ได้ [17]

เนื่องจากการขาดแคลนงบประมาณทางการศึกษาแก่โรงเรียนชนบท ส่งผลให้นักเรียนที่อาศัยอยู่ในเขตชนบทเลือกที่จะเข้าศึกษาต่อในโรงเรียนเอกชนมากกว่าโรงเรียนของรัฐบาล เนื่องจากมีความเชื่อมั่นว่าคุณภาพการเรียนการสอนของโรงเรียนเอกชนอยู่ในระดับมาตรฐานที่ดี [18] หรือเข้าศึกษาต่อในเขตเมืองของจังหวัดนั้นๆ

ระดับชั้น

การจัดการศึกษาในประเทศไทยในระดับชั้นประถมศึกษาถึงมัธยมศึกษาและในระดับอาชีวศึกษาจะแบ่งออกเป็น 2 ภาคการศึกษาโดยภาคการศึกษาแรกจะจัดการเรียนการสอนระหว่างวันที่ 16 พฤษภาคม ถึงวันที่ 11 ตุลาคม ของทุกปี ในขณะที่ภาคการศึกษาปลายจะเริ่มวันที่ 1 พฤศจิกายน ถึงวันที่ 1 เมษายน [19] อย่างไรก็ตามมีความพยายามในการปรับเปลี่ยนเวลาการเปิดภาคการศึกษาใหม่เพื่อให้สอดคล้องกับกลุ่มประเทศอาเซียน แต่กระทรวงศึกษาธิการยังคงยืนยันที่จะกำหนดวันเปิดปิดภาคเรียนตามเดิม [19] สำหรับในระดับอุดมศึกษานั้นมีการจัดการเรียนการสอนออกเป็นทวิภาค ยกเว้นหลักสูตรนานาชาติที่จัดการเรียนการสอนแบบไตรภาค โดยมีภาคฤดูร้อนให้นิสิต/นักศึกษาสามารถเข้ามาศึกษาได้ สำหรับประเทศไทยได้แบ่งระดับชั้นการศึกษาไว้ดังตารางด้านล่างนี้ [20]

| colspan = 3 | อุดมศึกษา และเทียบเท่า |- !สายตรงทั่วไป !สายอนุปริญญา !สายอาชีวศึกษา |- |บัณฑิตปี 1 |อนุปริญญาปี 1 |ประกาศนียบัตรวิชาชีพชั้นสูงปี 1 |- |บัณฑิตปี 2 |อนุปริญญาปี 2 |ประกาศนียบัตรวิชาชีพชั้นสูงปี 2 |- |บัณฑิตปี 3 | colspan="2" |ต่อเนื่องปี 1 |- |บัณฑิตปี 4 - 6 | colspan="2" |ต่อเนื่องปี 2 - 4 |- | colspan="3" | บัณฑิต (ปริญญาตรี) |- | colspan="3" | มหาบัณฑิต (ปริญญาโท) |- | colspan="3" | ดุษฎีบัณฑิต (ปริญญาเอก) |} *หมายเหตุ : การเรียนในระดับอุดมศึกษาระดับบัณฑิต (ป.ตรี) แบ่งสายทางการศึกษาได้ 3 ประเภทดังตารางข้างต้น และเมื่อหลักสูตรใดกำหนดให้ต้องศึกษาระยะเวลาเท่าใดอยู่ที่กำหนดการของหลักสูตรนั้น และสถาบันอุดมศึกษานั้นที่เปิดสอน ผู้เรียนต้องศึกษารายละเอียดของหลักสูตรนั้นให้เข้าใจ สมมุติผู้เรียนต้องการศึกษาหลักสูตรบัณฑิต 4 ปี

1.ผู้เรียนสำเร็จการศึกษาระดับมัธยมศึกษาหรือประกาศนียบัตรวิชาชีพ ศึกษาต่อบัณฑิต 4 ปีในสถานศึกษานั้นจนครบหลักสูตร ก็จะเป็นไปตามตารางสายตรงทั่วไป

2.ผู้เรียนสำเร็จการศึกษาระดับมัธยมศึกษาหรือประกาศนียบัตรวิชาชีพ ศึกษาต่ออนุปริญญา เมื่อสำเร็จการศึกษาระดับอนุปริญญาแล้ว ก็สามารถเทียบโอนผลการศึกษาเข้าศึกษาต่อหลักสูตรบัณฑิตในสถานศึกษาอื่นๆ อีก 2 ปี ก็จะเป็นไปตามตารางสายอนุปริญญา หลักสูตรอนุปริญญานี้เปิดสอนที่ สถาบันวิทยาลัยชุมชน และสถานศึกษาอื่นๆ ที่ให้อนุปริญญาได้

3.ผู้เรียนสำเร็จการศึกษาระดับมัธยมศึกษาหรือประกาศนียบัตรวิชาชีพ ศึกษาต่ออาชีวศึกษา เมื่อสำเร็จการศึกษาระดับอาชีวศึกษาแล้วจะได้รับประกาศนียบัตรวิชาชีพชั้นสูง (ปวส.) ก็สามารถเทียบโอนผลการศึกษาเข้าศึกษาต่อหลักสูตรบัณฑิตใสถานศึกษาอื่นๆ อีก 2 ปี ก็จะเป็นไปตามตารางสายอาชีวศึกษา หลักสูตรประกาศนียบัตรวิชาชีพชั้นสูงนี้เปิดสอนที่ สถาบันด้านอาชีวศึกษาหรือเรียกกันว่า "สายอาชีพ" ทั้งรัฐบาลและเอกชน

ระดับการศึกษาในมัธยมศึกษา [21]

ระดับ ม.ต้น เป็นการจัดการศึกษาให้แก่ผู้เรียนอายุระหว่าง 12 ถึง 14 ปี ที่สำเร็จการศึกษาระดับประถมศึกษาแล้ว ระดับ ม.ต้น จัดการเรียนการสอน 3 ปี ระดับ ม.ปลาย เป็นการจัดการศึกษาให้แก่ผู้เรียนอายุระหว่าง 15 ถึง 17 ปี ที่สำเร็จการศึกษาระดับมัธยมศึกษา แล้วโดยจัดการเรียนการสอน 3 ปี โดยการเรียนการสอนมี 2 ประเภท แบ่งออกดังนี้

การศึกษาขั้นพื้นฐาน

  • มัธยมศึกษาปีที่ 4 – 6 ใช้เวลาในการศึกษาตามหลักสูตรคือ 3 ปี โดยแบ่งการศึกษาออกเป็นกลุ่มสาระต่างๆ ตามความถนัดและความสนใจของผู้เรียน [22]
กลุ่มที่เน้นการเรียนรู้ด้าน วิทยาศาสตร์-คณิตศาสตร์(วิทย์-คณิต)
กลุ่มที่เน้นการเรียนรู้ด้าน ศิลปศาสตร์-คณิตศาสตร์ (ศิลป์-คำนวณ)
กลุ่มที่เน้นการเรียนรู้ด้าน ศิลปศาสตร์-ภาษา (ศิลป์-ภาษา)
กลุ่มที่เน้นการเรียนรู้ด้าน ศิลปศาสตร์-สังคม (ศิลป์-สังคม)

การศึกษาต่อสายอาชีวศึกษา

การศึกษาต่อสายอาชีวศึกษา เป็นการศึกษาตามหลักสูตรประกาศนียบัตรวิชาชีพ (ปวช.) 3 ปี โดยสำนักงานคณะกรรมการการอาชีวศึกษา มีหน้าที่โดยตรงในการจัดการศึกษาวิชาชีพ เพื่อพัฒนากำลังคนเฉพาะสาขาวิชาชีพ (ระดับเทคนิค) ให้สอดคล้องกับตลาดแรงงาน สภาพเศรษฐกิจ สังคม วัฒนธรรม เทคโนโลยีและสิ่งแวดล้อม สามารถเป็นผู้ปฏิบัติงานหัวหน้างานหรือเป็นผู้ประกอบการ และการประกอบอาชีพอิสระได้โดยเน้นการแก้ปัญหาสร้างองค์ความรู้ในอาชีพ มีบุคลิกภาพ คุณธรรมและเจตคติที่ดี หลังจากศึกษาจบแล้วสามารถศึกษาต่อในระดับประกาศนียบัตรวิชาชีพชั้นสูง (ปวส.) อีก 2 ปี หรืออาจจะศึกษาต่อในระดับปริญญาตรี 4 ปีก็ได้เช่นกัน โดยเมื่อผู้เรียนจบการศึกษาระดับชั้น ม.3 สามารถเลือกเรียนทางด้านสายอาชีพอาชีวศึกษาได้ [23]

หลักสูตรในสายอาชีวศึกษา

1. ประเภทวิชาอุตสาหกรรม
  1. สาขาวิชาเครื่องกล แบ่งออกเป็น สาขางานยานยนต์ เครื่องกลอุตสาหกรรม เครื่องกลเรือ เครื่องกลเกษตร ตัวถังและสีรถยนต์
  2. สาขาวิชาเครื่องมือกลและซ่อมบำรุง แบ่งออกเป็น สาขางานเครื่องมือกล ซ่อมบำรุงเครื่องจักรกล เขียนแบบเครื่องกล ชิ้นส่วนเครื่องจักรกลเกษตร แม่พิมพ์พลาสติก แม่พิมพ์โลหะ
  3. สาขาวิชาโลหะการแบ่งออกเป็น สาขางานเชื่อมโลหะ อุตสาหกรรมต่อตัวถังรถโดยสาร
  4. สาขาวิชาไฟฟ้าและอิเล็กทรอนิกส์ แบ่งออกเป็น สาขางานไฟฟ้ากำลัง อิเล็กทรอนิกส์ โทรคมนาคม เมคคาทรอนิกส์ เทคนิคคอมพิวเตอร์
  5. สาขาวิชาการก่อสร้างแบ่งออกเป็น สาขางานก่อสร้าง โยธา สถาปัตยกรรม เครื่องเรือนและการตกแต่งภายใน สำรวจ
  6. สาขาวิชาการพิมพ์ แบ่งออกเป็น สาขางานการพิมพ์
  7. สาขาวิชาแว่นตาและเลนส์ แบ่งออกเป็น สาขางานแว่นตาและเลนส์
  8. สาขาวิชาการต่อเรือ แบ่งออกเป็น สาขางานต่อเรือโลหะ ต่อเรือไม้ ต่อเรือไฟเบอร์กล๊าส นาวาสถาปัตย์ ซ่อมบำรุงเรือ
  9. สาขาวิชาผลิตภัณฑ์ยาง แบ่งออกเป็น สาขางานผลิตภัณฑ์ยาง
2. ประเภทวิชาพณิชยกรรม/บริหารธุรกิจ
  1. สาขาวิชาพณิชยการแบ่งออกเป็น สาขางานการบัญชี การขาย การเลขานุการ คอมพิวเตอร์ธุรกิจ ธุรกิจค้าปลีก ธุรกิจสถานพยาบาล การประชาสัมพันธ์ ภาษาต่างประเทศ งานสำนักงานสำหรับผู้พิการทางสายตา
  2. สาขาวิชาธุรกิจบริการ แบ่งออกเป็น สาขางานการจัดการความปลอดภัย การจัดการความสะอาด
3.ประเภทวิชาศิลปกรรม
  1. สาขาวิชาศิลปกรรมแบ่งออกเป็น สาขางาน วิจิตรศิลป์ การออกแบบ ศิลปหัตถกรรม อุตสาหกรรมเครื่องหนัง เครื่องเคลือบดินเผา เทคโนโลยีการถ่ายภาพฯ เครื่องประดับอัญมณี ช่างทองหลวง เทคโนโลยีศิลปกรรม การพิมพ์สกรีน คอมพิวเตอร์กราฟิก ศิลปหัตถกรรมโลหะ รูปพรรณและเครื่องประดับ ดนตรีสากล เทคโนโลยีนิเทศศิลป์ ช่างทันตกรรม
4. ประเภทวิชาคหกรรม
  1. สาขาวิชาผ้าและเครื่องแต่งกายแบ่งออกเป็น สาขางาน ผลิตและตกแต่งสิ่งทอ ออกแบบเสื้อผ้า ตัดเย็บเสื้อผ้า อุตสาหกรรมเสื้อผ้า ธุรกิจเสื้อผ้า
  2. สาขาวิชาอาหารและโภชนาการแบ่งออกเป็น สาขางาน อาหารและโภชนาการ แปรรูปอาหาร ธุรกิจอาหาร
  3. สาขาวิชาคหกรรมศาสตร์แบ่งออกเป็น สาขางาน คหกรรมการผลิต คหกรรมการบริการ ธุรกิจคหกรรม คหกรรมเพื่อการโรงแรม
  4. สาขาวิชาเสริมสวยแบ่งออกเป็น สาขางาน เสริมสวย
5. ประเภทวิชาเกษตรกรรม
  1. สาขาวิชาเกษตรศาสตร์แบ่งออกเป็น สาขางาน พืชศาสตร์ สัตวศาสตร์ อุตสาหกรรมเกษตร ช่างเกษตร เกษตรทั่วไป การประมง
6. ประเภทวิชาประมง
  1. สาขาวิชาเพาะเลี้ยงสัตว์น้ำ แบ่งออกเป็น สาขางาน เพาะเลี้ยงสัตว์น้ำ
  2. สาขาวิชาแปรรูปสัตว์น้ำ แบ่งออกเป็น สาขางาน แปรรูปสัตว์น้ำ การผลิตซูริมิและผลิตภัณฑ์
  3. สาขาวิชาประมงทะเล แบ่งออกเป็น สาขางาน ประมงทะเล
7. ประเภทวิชาอุตสาหกรรมท่องเที่ยว
  1. สาขาวิชาการโรงแรมและการท่องเที่ยว แบ่งออกเป็น สาขางาน การโรงแรม การท่องเที่ยว
8. ประเภทวิชาอุตสาหกรรมสิ่งทอ
  1. สาขาวิชาเทคโนโลยีสิ่งทอ แบ่งออกเป็น สาขางาน เทคโนโลยีสิ่งทอ
  2. สาขาวิชาเคมีสิ่งทอ แบ่งออกเป็น สาขางาน เคมีสิ่งทอ
  3. สาขาวิชาอุตสาหกรรมเสื้อผ้าสำเร็จรูป แบ่งออกเป็น สาขางาน อุตสาหกรรมเสื้อผ้าสำเร็จรูป
9. ประเภทวิชาเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสาร
  1. สาขาวิชาเทคโนโลยีสารสนเทศ แบ่งออกเป็น สาขางาน เทคโนโลยีสารสนเทศ
  2. สาขาวิชาเทคโนโลยีระบบเสียง แบ่งออกเป็น สาขางาน เทคโนโลยีระบบเสียง
10. หลักสูตรประกาศนียบัตรครูเทคนิคชั้นสูง (ปทส.) 2551
  1. สาขาวิชาคอมพิวเตอร์ธุรกิจ วิชาเอก คอมพิวเตอร์ธุรกิจ
  2. สาขาวิชาเครื่องกล วิชาเอก เทคนิคช่างยนต์
  3. สาขาวิชาเทคนิคการผลิต วิชาเอก เชื่อมและประสาน
  4. สาขาวิชาโยธา วิชาเอก เทคนิคโยธา
  5. สาขาวิชาไฟฟ้า วิชาเอก เทคนิคไฟฟ้ากำลัง
  6. สาขาวิชาไฟฟ้า วิชาเอก เทคนิคไฟฟ้าสื่อสาร

เครื่องแบบนักเรียนนักศึกษา

เครื่องแบบนักเรียนไทย

ประเทศไทยเป็นประเทศหนึ่งที่กำหนดให้นักเรียนแต่งเครื่องแบบนักเรียนตั้งแต่ระดับก่อนประถมศึกษาถึงมัธยมศึกษา ในพระราชบัญญัติเครื่องแบบนักเรียน พ.ศ. 2551[24] โดยสถานศึกษาจะต้องกำหนดเครื่องแบบให้ตรงตามระเบียบของกระทรวงศึกษาธิการหรืออาจใช้เครื่องแบบอื่นตามที่สถานศึกษากำหนดก็ได้[24] โดยเครื่องแบบต่างๆของทุกระดับชั้นจะถูกกำหนดโดยระเบียบกระทรวงศึกษาธิการว่าด้วยเครื่องแบบนักเรียน พ.ศ. 2551[25]

สำหรับในระดับอุดมศึกษา ประเทศไทยเป็น 1 ใน 4 ประเทศของโลกที่บังคับใช้เครื่องแบบในระดับอุดมศึกษา อีกสามประเทศคือ ประเทศลาว ประเทศกัมพูชาและประเทศเวียดนาม[26] สำหรับเครื่องแบบในระดับอุดมศึกษานั้นยังเป็นที่วิพากษ์วิจารณ์ในด้านต่าง ๆ[27] อย่างไรก็ตาม จากการสอบถามความคิดเห็นของนักศึกษาในกรุงเทพมหานครและปริมณฑล 1,293 คน ระหว่างวันที่ 14-17 กันยายน 2556 พบว่า ร้อยละ 94.44 มีความคิดเห็นว่าเครื่องแบบยังมีความจำเป็นอยู่[28]

ประวัติศาสตร์การศึกษา

สมัยสุโขทัย

สมัยอยุธยา

ในช่วงรัชสมัยกรุงศรีอยุธยา การศึกษาสำหรับราษฏร ยังจำกัดอยู่แค่ในวัด โดยมีจุดประสงค์เพื่อศึกษาคำสอนของพุทธศาสนา ในเตรียมตัวสำหรับการอุปสมบทเมื่ออายุครบ 20 ปีบริบูรณ์ ราษฏรนิยมนำบุตรชายมาถวายตัวเป็นศิษย์ เพื่อเล่าเรียนหนังสือ และ ศึกษาเกี่ยวกับ พุทธศาสนาและ ภาษาบาลี ในสมัยอยุธยาตอนกลาง ได้มีการแต่งหนังสือ จินดามณี โดย พระโหราธิบดี ถวายแด่ สมเด็จพระนารายณ์มหาราช เป็นแบบเรียนภาษาไทยฉบับแรก มีเนื้อหาครอบคลุมเกี่ยวกับ การใช้ สระ พยัญชนะและวรรณยุกต์[29]

สมัยรัตนโกสินทร์

ในสมัยรัตนโกสินทร์ ได้มีชาวตะวันตกเข้ามามีบทบาทต่อราชสำนักสยาม รวมไปถึง คณะมิชชั่นนารีจากอเมริกา(คณะมิชชันนารีอเมริกันเพรสไบทีเรียน)เข้ามาเผยคำสอนศาสนา ผ่านการศึกษา และมีบทบาทก่อตั้งสถานศึกษาแห่งแรกของสยาม ได้แก่ โรงเรียนกรุงเทพคริสเตียน [30]ในรัชสมัยของ พระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 4 และเมื่อมีการปฏิรูปในรัชสมัยของรัชกาลที่ 5 พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ได้มีพระราชดำริที่จะขยายการศึกษา โปรดเกล้าฯ ให้สถาปนาโรงเรียนขึ้นในราชอาณาจักรตามแบบตะวันตกที่แยกวัดและสถานศึกษาไว้คนล่ะส่วน

การศึกษาร่วมสมัย

การจัดการและการบริหาร

โครงสร้างพื้นฐาน

การบริหารจัดการ

งบประมาณ

การวิจัย

หลักสูตรและการจัดการเรียนการสอน

การศึกษาขั้นพื้นฐาน

อาชีวศึกษา

อุดมศึกษา

การศึกษานอกระบบ

โรงเรียนนานาชาติ

ครูผู้สอน

ครูเป็นผู้มีบทบาทสำคัญในการจัดกระบวนการเรียนการสอน มีหน้าที่ในการถ่ายทอดสรรพศาสตร์ทั้งปวง การปลูกฝังคุณธรรมจริยธรรม นอกจากนี้จะต้องเป็นผู้ที่ก้าวทันเทคโนโลยี มีมนุษยสัมพันธ์ที่ดี มีทักษะการวัดและประเมินผล ทักษะการวิจัยและเป็นผู้ที่มีจิตใจที่พร้อมให้บริการแก่ศิษย์และคนในชุมชน[31] ดังนั้นครูจึงเป็นผู้ที่มีบทบาทสำคัญมากต่อการศึกษาไทย สำหรับในปี พ.ศ. 2556 มีครูไทยปฏิบัติการสอนทั้งสิ้นประมาณ 660,000 คน โดยเป็นครูในภาครัฐจำนวน 538,563 คน และครูภาคเอกชน จำนวน 139,392 คน[32] โดยมีการกำหนดอัตราส่วนมากที่สุดของครูหนึ่งคนต่อนักเรียนหนึ่งห้องไว้ที่ 1:50[33]

การฝึกหัดครู

การพัฒนาครู

ข้อวิพากษ์วิจารณ์การศึกษาไทยในปัจจุบัน

การศึกษาไทยได้รับการวิพากษ์วิจารณ์ถึงปัญหาและความล้มเหลวที่เกิดขึ้น จากการจัดอันดับตามรายงานของ World Economic Forum ในปี พ.ศ. 2555 - 2556 ระบุว่าประเทศไทยมีอันดับคุณภาพทางการศึกษาลำดับสุดท้ายในกลุ่มประเทศอาเซียนที่ได้รับการจัดอันดับ[34] โดยคนไทยกว่าร้อยละ 87 เชื่อว่าการศึกษาไทยอยู่อันดับสุดท้ายในกลุ่มประเทศอาเซียนจริง[35] ซึ่งมูลเหตุที่สำคัญมาจากปัญหาที่สะสมมานานหลายประการอันเกิดมาจากระบบการเรียนการสอน หลักสูตร ครูผู้สอน โอกาสการเข้าถึงการศึกษา รวมไปถึงคุณภาพของนักเรียนไทย

ประเทศไทยเป็นประเทศที่ใช้งบประมาณทางการศึกษาสูงมากเมื่อเปรียบเทียบกับประเทศอื่นในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้[36] แต่การบริหารจัดการยังไม่ดีมากนักโดยพบว่างบประมาณส่วนใหญ่ทุ่มเทไปที่การศึกษาขั้นพื้นฐานโดยมีการใช้งบประมาณแบบตำน้ำพริกละลายในแม่น้ำเป็นส่วนมาก(นำไปใช้ไม่ตรงจุดสำคัญที่ควรได้รับการพัฒนา หรือนำไปจัดการแต่ละเรื่องมากเกินกว่าผลผลิตคุณภาพที่ได้ไม่คุ้มค่า และถ้าหากได้รับงบน้อยก็จะส่งผลต่อนักเรียนที่ได้รับโอกาสไม่เท่ากันมากขึ้น) อีกทั้งเป็นไปในสัดส่วนที่มากกว่าอาชีวศึกษาค่อนข้างมาก ส่งผลให้การจัดการเรียนการสอนในระดับอาชีวศึกษายังไม่มีประสิทธิภาพสูงมากนักและไม่สอดคล้องกับบริบทของประเทศไทยในปัจจุบันยุคสังคมเทคโนโลยีที่มีการพัฒนาด้านอุตสาหกรรมต่างๆมากขึ้น[36] นอกจากนี้แม้จะจัดสรรงบประมาณให้กับสำนักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐานเป็นจำนวนมาก แต่ยังพบปัญหาโอกาสการศึกษาที่ไม่เท่าเทียมกันระหว่างผู้มีฐานะและผู้ไม่มีฐานะ ยิ่งมองให้ลึกไปถึงผู้บริหารระดับสูงไม่มีความรู้ด้านวิชาการอย่างลึกซึ้งจึงพึ่งพิงบุคลากรระดับการจัดการงบประมาณหรือนักจัดการเงิน/จัดจ้างเป็นสำคัญ (ผู้ใช้งบประมาณไม่เข้าใจเชิงวิชาการการจัดการศึกษาเชิงรุกอย่างลึกซึ้ง นักวิชาการไม่มีโอกาสลงลึกถึงงานการพัฒนาคุณภาพการศึกษา) และหรือผู้ที่เข้าใจระบบการจัดการการศึกษาอย่างมีคุณภาพ(นักวิชาการทุกระดับความคิด ปัจจุบันยังใช้ความคิดของนักการศึกษาในยุคเก่าและหรือดำเนินการพัฒนาคุณภาพแบบโยนหินถามทาง และไม่กล้าสู้ปัญหาแบบกล้าคิดกล้าทำที่สมควรบุกเบิกการพัฒนาคุณภาพการศึกษาอย่างจริงจัง) ผู้รู้หรือนักวิชาการอิสระที่มีความคิดเห็นแบบตรงไปตรงมาไม่มีโอกาสเข้าร่วมให้ข้อคิดหรือข้อเสนอแนะแบบประชาพิจารณ์ร่วม รวมไปถึงปัญหาอันเกี่ยวเนื่องกับหลักสูตรและการสอนในระดับการศึกษาขั้นพื้นฐาน[37] โดยหลักสูตรของไทยไม่เอื้อต่อการพัฒนาศักยภาพที่ตรงตามความสามารถของผู้เรียน เมื่อรวมเข้ากับค่านิยมของสังคมทำให้การจัดหลักสูตรของไทยไม่ประสบความสำเร็จในปัจจุบัน[38]

การศึกษาหลังรัฐประหารในประเทศไทย พ.ศ. 2557

ในเดือนกันยายน 2557 มีข่าวว่า ชื่อของอดีตนายกรัฐมนตรี พันตำรวจโท ทักษิณ ชินวัตร ถูกลบออกจากแบบเรียนของกระทรวงศึกษาธิการ วินัย รอดจ่าย เป็นประธานคณะกรรมการพัฒนาการเรียนการสอนวิชาประวัติศาสตร์และหน้าที่พลเมือง แบบเรียนประวัติศาสตร์ใหม่ไม่กล่าวถึงรัฐบาลทักษิณและยิ่งลักษณ์ เพียงแต่ระบุว่ามีรัฐบาลหนึ่งที่ "ได้ความนิยมจากประชาชนผ่านงบประมาณมหาศาล" แต่กล่าวถึงการคัดค้านการปกครองของทักษิณ โดยอธิบายการประท้วงซึ่งเกิดก่อนการโค่นอำนาจเขาว่าเป็น "ขบวนการประชาชนต่ออำนาจเผด็จการ การทุจริตและการยักยอก"[39]

ภายใต้หลักสูตรใหม่ นักเรียนจะได้เรียนเกี่ยวกับความหมายและสัญลักษณ์นิยมของธงไตรรงค์ และจะเปิดเพลงอย่างสรรเสริญพระบารมีในโรงเรียน เด็กนักเรียนจะถูกฝึกให้เป็นทูตจิตวิญญาณรักชาติ โดยยกตัวอย่างนักเรียนตักเตือนผู้ใหญ่ที่ไม่ยืนตรงเคารพธงชาติ จะมีการติดป้ายขนาดใหญ่ซึ่งมีค่านิยม 12 ข้อของคณะรักษาความสงบแห่งชาติทั่วประเทศ นอกจากนี้ กระทรวงศึกษาธิการยังริเริ่ม "พาสปอร์ตความดี" ซึ่งนักเรียนต้องบันทึกพฤติกรรมและเจตคติ[39] และ การสอบยูเน็ตในระดับอุดมศึกษาด้วย

ดูเพิ่ม

อ้างอิง

  1. "พระราชบัญญัติงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๗" (PDF). กระทรวงศึกษาธิการ. สืบค้นเมื่อ 15 January 2014.
  2. 2.0 2.1 2.2 "The World Factbook". Central Intelligence Agency. สืบค้นเมื่อ 15 January 2014.
  3. 3.0 3.1 3.2 3.3 "จำนวนและร้อยละของนักเรียน นิสิต นักศึกษาในระบบโรงเรียน จำแนกตามชั้นและระดับการศึกษา ในกรุงเทพมหานครและส่วนภูมิภาค ปีการศึกษา 2551". ข้อมูลสารสนเทศด้านการศึกษาของกระทรวงศึกษาธิการ. สืบค้นเมื่อ 15 January 2014.
  4. "พระราชบัญญัติการศึกษาภาคบังคับ พ.ศ. ๒๕๔๕" (PDF). สำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกา. สืบค้นเมื่อ 15 January 2014.
  5. "กฎกระทรวงกำหนดหลักเกณฑ์และวิธีการนับอายุเด็กเพื่อเข้ารับการศึกษาภาคบังคับ พ.ศ. ๒๕๔๕". สำนักงานเจ้าคณะจังหวัดบุรีรัมย์. สืบค้นเมื่อ 15 January 2014.
  6. "นิยามทางการศึกษา". สำนักงานเลขาธิการสภาการศึกษา. สืบค้นเมื่อ 15 January 2014.
  7. "นโยบายเรียนฟรี 15 ปี". กระทรวงศึกษาธิการ. สืบค้นเมื่อ 15 January 2014.
  8. สมพงษ์ จิตระดับ สุอังคะวาทิน (17 มิถุนายน 2555). "เปลี่ยน..รัฐมนตรีศึกษาฯทุก 6 เดือน "สุชาติ"สอบผ่าน แต่..." มติชน. สืบค้นเมื่อ 1 October 2012.
  9. The Nation (8 July 2011). "Thai students found below global average". The Nation. สืบค้นเมื่อ 15 January 2014.
  10. "หลักสูตรและการปฏิรูปการศึกษา". กรมวิชาการ หลักสูตรการศึกษาขั้นพื้นฐาน. สืบค้นเมื่อ 16 January 2014.
  11. "ความรู้เบื้องต้นเกี่ยวกับอาชีวะและเทคนิคศึกษา". มหาวิทยาลัยราชมงคลสุวรรณภูมิ. สืบค้นเมื่อ 16 January 2014.
  12. "เรียนต่อ ม.1 เด็ก 15% สอบเข้าไม่ได้". ไทยโพสต์. สืบค้นเมื่อ 16 January 2014.
  13. "ตารางสอบ O-NET ป.6 ม.3 และ ม.6 ปีการศึกษา 2556". สถาบันทดสอบทางการศึกษาแห่งชาติ. สืบค้นเมื่อ 16 January 2014.
  14. "แผ่นพับองค์ประกอบและค่าร้อยละ Admissions 2557" (PDF). การคัดเลือกบุคคลเข้าศึกษาในสถาบันอุดมศึกษาในระบบกลาง. สืบค้นเมื่อ 16 January 2014.
  15. "Types of School". angloinfo. สืบค้นเมื่อ 16 January 2014.
  16. "พระราชบัญญัติโรงเรียนเอกชน พ.ศ. ๒๕๕๐ แก้ไขเพิ่มเติม (ฉบับที่ ๒) พ.ศ. ๒๕๕๔" (PDF). media.wix.com. สืบค้นเมื่อ 16 January 2014.
  17. อุมาภรณ์ ภัทรวาณิชย์และปัทมา อมรสิริสมบูรณ์. "ความไม่เท่าเทียมด้านการศึกษา: เมืองและชนบท". Institute for Population and Social Research (IPSR). สืบค้นเมื่อ 16 January 2014.
  18. "เผยพฤติกรรมเลือก ร.ร.พ่อแม่ยึดคุณภาพ-ฐานะครอบครัวเป็นหลัก". Unigang. สืบค้นเมื่อ 16 January 2014.
  19. 19.0 19.1 "ข้อสรุปใหม่กระทรวงศึกษาธิการ "ไม่เลื่อนเปิดเทอม" สถานศึกษาระดับการศึกษาขั้นพื้นฐานและอาชีวศึกษา". Eduzone. สืบค้นเมื่อ 16 January 2014.
  20. "ระบบการศึกษา-ไทย". สำนักความสัมพันธ์ต่างประเทศ สำนักงานปลัดกระทรวงศึกษาธิการ. สืบค้นเมื่อ 17 January 2014.
  21. นิยามทางการศึกษา
  22. การศึกษาต่อสายสามัญ (ม.4-ม.6)
  23. การศึกษาต่อสายอาชีวศึกษา (ปวช.)
  24. 24.0 24.1 "พระราชบัญญัติเครื่องแบบนักเรียน พ.ศ. 2551" (PDF). ราชกิจจานุบกษา. สืบค้นเมื่อ 17 January 2014.
  25. "ระเบียบกระทรวงศึกษาธิการว่าด้วยเครื่องแบบนักเรียน พ.ศ. 2551". Longdo Law. สืบค้นเมื่อ 17 January 2014.
  26. "ชุดนักเรียนไทยอยู่ตรงไหน?". ประเทศไทยอยู่ตรงไหน?. สืบค้นเมื่อ 17 January 2014.
  27. กานดา นาคน้อย. "ปลดเปลื้องเครื่องแบบนักศึกษา". สืบค้นเมื่อ 18 January 2014.
  28. "สวนดุสิต การันตี 94% ชี้เครื่องแบบ "ชุดนักศึกษา"จำเป็น!". ASTV ผู้จัดการออนไลน์. สืบค้นเมื่อ 18 January 2014.
  29. บุญเตือน ศรีวรพจน์, "จินดามณี ฉบับหลวงวงษาธิราชสนิท", นิตยสารศิลปวัฒนธรรม ฉบับ 11 กันยายน พ.ศ. 2552 หน้า 62-66 แม่มณีคุณหลวง
  30. โรงเรียนเก่าแก่ที่สุดของไทย ชาย-หญิง
  31. "บทบาทหน้าที่และความรับผิดชอบของครู" (PDF). E-Book Ramkhamhaeng. สืบค้นเมื่อ 18 January 2014.
  32. "การพัฒนาครูจะนำไปสู่การพัฒนาคุณภาพผู้เรียน". ศศิธารา พิชัยชาญณรงค์. สืบค้นเมื่อ 18 January 2014.
  33. "สพฐ.เสียงแข็ง! ไม่เพิ่มจำนวน นร.ต่อห้อง ยัน 50 คน ครูดูแลทั่วถึง". ASTVผู้จัดการออนไลน์. สืบค้นเมื่อ 18 January 2014.
  34. "อึ้ง!การศึกษาไทยรั้งท้ายอาเซียน". คมชัดลึกออนไลน์. สืบค้นเมื่อ 2 March 2014.
  35. "โพลชี้คนมองการศึกษาไทยรั้งท้ายอาเซียน". ไทยรัฐออนไลน์. สืบค้นเมื่อ 2 March 2014.
  36. 36.0 36.1 "ส่องงบการศึกษาไทยบนเวทีอาเซียน". posttoday. สืบค้นเมื่อ 3 March 2014.
  37. "อึ้ง!!เด็กหลุดจากระบบการศึกษามีมากกว่า 7 แสนคนต่อปี เพราะไม่รู้เรียนไปเพื่ออะไร". matichon. สืบค้นเมื่อ 3 March 2014.
  38. "การศึกษาไทยลง "เหว" เพราะหลักสูตร "เลว" รังแกเด็ก ตอนที่ 1 : กว่าจะรู้จัก (ตัวตน) ก็สายเสียแล้ว!". ผู้จัดการออนไลน์. สืบค้นเมื่อ 3 March 2014.
  39. 39.0 39.1 Loved and Hated, Former Premier of Thailand Is Erased From Textbook

แหล่งข้อมูลอื่น