พระวรวงศ์เธอ พระองค์เจ้าบวรเดช
พลเอก พระวรวงศ์เธอ พระองค์เจ้าบวรเดช ร.ว., ป.จ., ป.ช., ป.ม., ม.ร., ว.ภ. | |
---|---|
![]() | |
เสนาบดีกระทรวงกลาโหม | |
ดำรงตำแหน่ง 1 เมษายน พ.ศ. 2471 – 19 มิถุนายน พ.ศ. 2474 | |
กษัตริย์ | พระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัว |
ก่อนหน้า | สมเด็จพระเจ้าพี่ยาเธอ กรมพระนครสวรรค์วรพินิต |
ถัดไป | พระเจ้าพี่ยาเธอ กรมขุนสิงหวิกรมเกรียงไกร |
ข้อมูลส่วนบุคคล | |
เกิด | 2 เมษายน พ.ศ. 2420 จังหวัดพระนคร ประเทศสยาม |
เสียชีวิต | 16 พฤศจิกายน พ.ศ. 2496 (76 ปี) จังหวัดพระนคร ประเทศไทย |
บิดา | พระเจ้าบรมวงศ์เธอ กรมพระนเรศรวรฤทธิ์ |
มารดา | หม่อมสุภาพ กฤดากร ณ อยุธยา |
คู่สมรส | ชายา หม่อมเจ้าผจงรจิตร์ กฤดากร หม่อม หม่อมทิพวัน กฤดากร ณ อยุธยา หม่อมบัวนวล กฤดากร ณ อยุธยา |
การเข้าเป็นทหาร | |
รับใช้ | ![]() |
สังกัด | กองทัพบก กองเสือป่า |
ยศ | พลเอก[1] นายพลเสือป่า[2] |
พลเอก พระวรวงศ์เธอ พระองค์เจ้าบวรเดช (2 เมษายน พ.ศ. 2420 - 16 พฤศจิกายน พ.ศ. 2496) อดีตเสนาบดีกระทรวงกลาโหม เป็นผู้นำกบฏบวรเดชพยายามยึดอำนาจจากรัฐบาลคณะราษฎร เมื่อ พ.ศ. 2476
พระประวัติ[แก้]
พระวรวงศ์เธอ พระองค์เจ้าบวรเดช มีพระนามเดิมว่า หม่อมเจ้าบวรเดช กฤดากร เป็นพระโอรสในพระเจ้าบรมวงศ์เธอ กรมพระนเรศรวรฤทธิ์ ที่ประสูติแต่หม่อมสุภาพ กฤดากร ณ อยุธยา[3] เมื่อวันอังคารที่ 2 เมษายน พ.ศ. 2420
หม่อมเจ้าบวรเดช กฤดากร เข้าศึกษาวิชาการทหารจากโรงเรียนนายร้อยทหารปืนใหญ่และทหารช่าง ประเทศอังกฤษ ในขณะนั้นพระบิดาทรงดำรงตำแหน่งอัครราชทูตประจำประเทศอังกฤษ ทรงสำเร็จการศึกษาเมื่อปี พ.ศ. 2441 สอบได้ชั้นที่ 4 อันดับที่ 22 จึงได้รับพระราชทานยศร้อยตรี (ร.ต.) ของกองทัพบกไทย แต่ได้ทรงศึกษาเพิ่มเติมในโรงเรียนนายทหารช่างอังกฤษเพิ่มอีก 1 ปี จึงเสด็จกลับประเทศไทยเมื่อวันที่ 11 ตุลาคม พ.ศ. 2443[4] เข้าประจำการที่กรมเสนาธิการทหารบก จึงถือได้ว่าทรงเป็นนายทหารไทยรุ่นแรกที่สำเร็จการศึกษาจากต่างประเทศ ในขณะนั้น พลเอก พระเจ้าบรมวงศ์เธอ กรมหลวงนครไชยศรีสุรเดช เป็นผู้บัญชาการกรมยุทธนาธิการ จึงเสมือนเป็นพระหัตถ์ขวาของพระองค์เจ้าจิรประวัติฯ ในการปรับปรุงจัดระเบียบกองทัพในแบบสมัยใหม่ ต่อมาในวันที่ 27 เมษายน พ.ศ. 2444 พระองค์ได้รับพระราชทานพระยศ ร้อยโท[5] จากนั้นพระองค์ได้รับพระราชทานยศเป็น พันตรี เมื่อวันที่ 20 พฤษภาคม พ.ศ. 2445[6]ทรงได้รับตำแหน่งผู้บัญชาการมณฑลทหารบกนครราชสีมา ซึ่งเป็นมณฑลแรกในประเทศไทยที่มีการเกณฑ์ทหาร จากนั้นพระองค์ได้รับพระราชทานพระยศเป็น พันโท เมื่อวันที่ 15 พฤษภาคม พ.ศ. 2446[7]ต่อมาทรงได้รับพระราชทานพระยศ พันเอก เมื่อวันที่ 23 เมษายน พ.ศ. 2447[8]ต่อมาได้รับพระราชทานพระยศ พลตรี เมื่อวันที่ 21 กันยายน พ.ศ. 2449[9] ขณะพระชันษาได้ 29 ปี และได้รับพระราชทานพลโท (พล.ท.) เมื่อวันที่ 29 พฤษภาคม พ.ศ. 2456[10]หรือก่อนสงครามโลกครั้งที่หนึ่งไม่นาน ทรงดำรงตำแหน่งแม่ทัพกองทัพน้อยที่ 3 นครราชสีมา และรั้งตำแหน่งจเรทหารปืนใหญ่อีกตำแหน่งหนึ่ง
ทรงเป็นหม่อมเจ้าพานทอง ทรงศักดินา 3000 เทียบเท่าขุนนางชั้นพระยาพานทอง[11](โดยปกติหม่อมเจ้าจะทรงศักดินา 1500)[12]
พระวรวงศ์เธอ พระองค์เจ้าบวรเดช เสกสมรสกับเจ้าทิพวัน ณ เชียงใหม่ [13] ธิดาของเจ้าเทพดำรงรักษาเขตกับเจ้าแม่พิมพา กนิษฐาของพระเจ้าอินทวิชยานนท์ เมื่อ พ.ศ. 2445 จากนั้นทรงรับตำแหน่งเอกอัครราชทูตไทยประจำกรุงปารีส ประเทศฝรั่งเศส เป็นเวลา 3 ปี หม่อมเจ้าบวรเดชได้รับแต่งตั้งให้เป็นอุปราชมณฑลพายัพที่เชียงใหม่ เมื่อ พ.ศ. 2458-2462 และดำรงตำแหน่งเสนาบดีกระทรวงกลาโหม เมื่อ พ.ศ. 2471 พระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัวทรงพระกรุณาโปรดฯ ให้สถาปนาเป็น พระวรวงศ์เธอ พระองค์เจ้าบวรเดช เมื่อ พ.ศ. 2472
หลังจากนั้นพระองค์เจ้าบวรเดชได้เสกสมรสกับเจ้าศรีนวล ณ เชียงใหม่ น้องสาวของเจ้าทิพวันเป็นหม่อมคนใหม่ หม่อมทิพวันจึงกลับไปประกอบอาชีพเกษตรกรรมที่ตำบลแม่แฝก อำเภอสันทราย จังหวัดเชียงใหม่ ต่อมาพระองค์เจ้าบวรเดช ต้องอาญาในฐานความผิดกบฏ และหนีไปอาศัยอยู่ที่ประเทศเวียดนาม จนกระทั่งได้รับพระราชทานอภัยโทษจึงกลับมาตั้งโรงงานพิมพ์ผ้าที่อำเภอหัวหิน ซึ่งหม่อมทิพวันก็ได้เดินทางไปเยี่ยมเยียนด้วย
ต่อมาทรงเสกสมรสกับ หม่อมเจ้าผจงรจิตร์ กฤดากร ขนิษฐาร่วมพระบิดา มีธิดา 3 คน คือ หม่อมราชวงศ์วิภาสิริ วุฒินันท์, หม่อมราชวงศ์อัจฉริยา คงสิริ และหม่อมราชวงศ์ภรณี รอสส์
พระวรวงศ์เธอ พระองค์เจ้าบวรเดช ทรงลาออกจากตำแหน่งเสนาบดีกระทรวงกลาโหมในกลางปี พ.ศ. 2474 เนื่องจากทรงขัดแย้งกับจอมพล สมเด็จพระเจ้าบรมวงศ์เธอ เจ้าฟ้าบริพัตรสุขุมพันธุ์ กรมพระนครสวรรค์วรพินิต ในเรื่องการปรับปรุงโครงสร้างกองทัพบก[14]
พระชนชีพในบั้นปลาย หลังจากที่เสด็จกลับสู่ประเทศไทยหลังจากที่ทรงลี้ภัยทางการเมืองนานถึง 16 ปี ทรงตั้งโรงงานทอผ้าขึ้นที่อำเภอหัวหิน จังหวัดประจวบคีรีขันธ์ ทอผ้าโขมพัสตร์ขึ้นจำหน่ายได้รับความนิยมอย่างยิ่ง ทรงมีพระอาการประชวรกระเสาะกระแสะ ได้เสด็จไปประทับรักษาพระองค์ที่โรงพยาบาลศิริราช ที่สุดก็สิ้นพระชนม์ในวันที่ 16 พฤศจิกายน พ.ศ. 2496 ขณะมีพระชนมายุ 76 พรรษา และได้รับพระราชทานพระเพลิงพระศพ ณ วัดเทพศิรินทราวาส เมื่อวันที่ 17 มีนาคม พ.ศ. 2497[15]
การเมือง[แก้]
การเปลี่ยนแปลงการปกครอง[แก้]
พระวรวงศ์เธอ พระองค์เจ้าบวรเดช มีส่วนเกี่ยวข้องกับการบ้านการเมือง ตั้งแต่ช่วงก่อนการเปลี่ยนแปลงการปกครองเมื่อ พ.ศ. 2475 ไม่นาน เมื่อทรงได้วิพากษ์วิจารณ์เรื่องการปกครองระบอบสมบูรณาญาสิทธิราชอย่างเปิดเผย โดยยังทรงเป็นที่นับถือของพระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัว ในฐานะที่ทรงเป็นนายทหารชั้นอาวุโส และทรงสำเร็จการศึกษาจากสถาบันเดียวกับพระองค์
ก่อนการเปลี่ยนแปลงการปกครองไม่นาน คณะราษฎรนำโดยพันเอก พระยาพหลพลพยุหเสนา (พจน์ พหลโยธิน) ได้ลองทาบทามพระองค์ให้เข้าร่วมกับคณะราษฎร พระองค์เจ้าบวรเดชรับสั่งให้พระยาพหลฯ และพรรคพวกเขียนความเห็นในเรื่องการเปลี่ยนแปลงการปกครองลงหนังสือพิมพ์ ทำนองขอประชามติเช่นเดียวกับอารยประเทศในทวีปยุโรป ซึ่งพระยาพหลฯกราบทูลว่า ผู้ที่ทำเช่นนั้นติดคุกไปแล้วหลายคน วิธีที่ดีที่สุดคือ ใช้กำลังบุกจู่โจมจับคณะอภิรัฐมนตรีขังไว้ แล้วกราบขอพระราชทานรัฐธรรมนูญ ก็คงจะสำเร็จ แต่พระองค์เจ้าบวรเดชได้ทรงตอบพระยาพหลฯ ไปว่า ตัวพระองค์เกิดในพระราชวงศ์จักรี หากทำเช่นนั้นจะได้ชื่อว่าอกตัญญู
ในการเปลี่ยนแปลงการปกครอง พระองค์เจ้าบวรเดช ถือเป็นเจ้านายระดับสูงเพียงไม่กี่พระองค์ที่ไม่ถูกควบคุมองค์ไว้ในฐานะองค์ประกัน แต่ในเวลาราว 23.00 น. ของคืนวันที่ 24 มิถุนายน พ.ศ. 2475 อันป็นวันที่มีการเปลี่ยนแปลงการปกครอง ณ พระที่นั่งอนันตสมาคม ซึ่งเป็นสถานที่ ๆ คณะราษฎรได้ยึดกุมเอาไว้เป็นสถานที่บัญชาการ พระองค์เจ้าบวรเดชก็ยังได้ไปปรากฏพระองค์ที่หน้าพระที่นั่งอนันตสมาคม ทรงแจ้งความประสงค์จะขอพบกับหัวหน้าคณะผู้ก่อการ เมื่อได้พบแล้ว พระองค์ท่านได้สนทนาเพียงสั้น ๆ ว่า ทำอะไรกัน ทำไมไม่บอกให้รู้กันก่อน เมื่อหัวหน้าผู้ก่อการ คือ พระยาพหลพลพยุหเสนา ได้ทูลตอบว่า จะให้ทรงทราบไม่ได้ ไม่เช่นนั้นจะไม่สำเร็จ พระองค์เจ้าบวรเดชจึงกล่าวว่า เมื่อทำแล้ว ก็ขอให้ทำให้ถึงที่สุด เสร็จแล้วก็เสด็จกลับ[15]
กบฏบวรเดช[แก้]
ภายหลังการเปลี่ยนแปลงการปกครอง พ.ศ. 2475 เกิดความแตกแยกในคณะราษฎร พระยาพหลพลพยุหเสนาก่อรัฐประหารยึดอำนาจรัฐบาลพระยามโนปกรณ์นิติธาดา และขึ้นดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรี หลังการเปลี่ยนแปลงการปกครอง เกิดความขัดแย้งระหว่างพระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัวกับผู้นำในคณะราษฎรหลายครั้งเกี่ยวกับแนวทางการเมืองของประเทศ สาเหตุสำคัญมีอาทิการกำหนดสถานภาพของพระมหากษัตริย์ในระบอบการปกครองใหม่ จนถึงข้อเสนอของนายปรีดี พนมยงค์ที่เรียกว่า "เค้าโครงการเศรษฐกิจ พ.ศ. 2475" ซึ่งนำเสนอรัฐสภาและทูลเกล้าฯ ถวายพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวเพื่อมีพระราชวินิจฉัย ซึ่งทรงวิพากษ์วิจารณ์ข้อเสนอดังกล่าวอย่างรุนแรง โดยทรงเห็นว่าจะส่งผลกระทบต่อพื้นฐานทางการเมืองและเศรษฐกิจของประเทศอย่างมาก ซึ่งอาจจะนำไปสู่ความวุ่นวายได้ ขณะที่ฝ่ายคณะราษฎรถือว่าปฏิกิริยาดังกล่าวเป็นการต่อต้านการเปลี่ยนแปลงและเป็นความต้องการรักษาอำนาจของ "ฝ่ายศักดินา" หรือ "ระบอบเก่า" ความขัดแย้งดังกล่าวขยายตัวชัดเจนมากขึ้นจนมีการอภิปรายในรัฐสภาคัดค้านเค้าโครงเศรษฐกิจดังกล่าว กดดันให้นายปรีดี พนมยงค์ ต้องเดินทางไปพำนักในฝรั่งเศส ก่อนที่ผู้นำฝ่ายทหารของคณะราษฎรคือ พระยาพหลพลพยุหเสนา ต้องก่อรัฐประหารเพื่อรักษาอำนาจของคณะราษฎรไว้ ทำให้ความขัดแย้งของทั้งสองฝ่ายรุนแรงมากขึ้น[16]
ในวันที่ 11 ตุลาคม พ.ศ. 2476 พระองค์เจ้าบวรเดชทรงส่งกำลังทหารจากหัวเมืองภาคตะวันออกเฉียงเหนือ และภาคกลาง นครราชสีมา อุบลราชธานี สระบุรี พระนครศรีอยุธยา และเพชรบุรี เคลื่อนกำลังทางรถไฟเข้ายึดท่าอากาศยานดอนเมืองได้เมื่อวันที่ 12 และเคลื่อนกำลังทหารเข้ายึดพื้นที่ไปตามแนวคลองบางเขนจนถึงสถานีรถไฟบางเขน เพื่อบีบบังคับให้รัฐบาลพระยาพหลพลพยุหเสนา กระทำตามเงื่อนไข 6 ข้อ ใจความโดยย่อคือ ให้รักษาสถาบันพระมหากษัตริย์ ให้อำนาจรัฐสภามากขึ้นและจำกัดอำนาจของรัฐบาลมิให้กลายเป็นคณะเผด็จการ อย่างไรก็ตาม การเคลื่อนไหวของพระองค์เจ้าบวรเดชในครั้งนั้นถูกมองจากฝ่ายนิยมคณะราษฎรว่าเป็นความพยายามในการฟื้นระบอบสมบูรณาญาสิทธิราชย์และต่อต้านระบอบประชาธิปไตย
ในเวลาเดียวกัน ฝ่ายรัฐบาลได้มอบหมายให้พันโท หลวงพิบูลสงคราม เป็นผู้บังคับกองผสมทำการรุกตอบโต้ จนทหารบาดเจ็บล้มตายเป็นจำนวนมาก จนถึงวันที่ 15 กำลังทหารหัวเมืองได้ถอนกำลังออกจากดอนเมือง เคลื่อนที่ไปยังปากช่องอันเป็นที่มั่นด่านสุดท้าย ขณะที่กองหน้าของกองบังคับการผสมได้ติดตามไปจนถึงสถานีปากช่อง และ พันเอก พระยาศรีสิทธิสงคราม (ดิ่น ท่าราบ) แม่ทัพซึ่งรับหน้าที่เป็นกองระวังหลัง ถูกยิงเสียชีวิตบนทางรถไฟใกล้สถานีหินลับ อำเภอปากช่อง ในเวลาพลบค่ำ
เมื่อที่มั่นแห่งสุดท้ายคือสถานีปากช่องถูกยึด และแม่ทัพเสียชีวิต พระองค์เจ้าบวรเดชและชายาจึงเสด็จหนีโดยทางเครื่องบินจากฐานบินโคราช มีหลวงเวหนเหิรเป็นนักบิน ไปขอลี้ภัยทางการเมืองที่เมืองไซ่ง่อน ประเทศเวียดนาม จนหลังสงครามโลกครั้งที่สอง จึงย้ายไปประทับที่ประเทศกัมพูชา และเสด็จกลับประเทศไทยโดยรถยนต์เข้าทางอำเภออรัญประเทศ จังหวัดปราจีนบุรี พร้อม หม่อมเจ้าผจงรจิตร์ กฤดากร ชายา เมื่อวันที่ 12 พฤษภาคม พ.ศ. 2491[17]หลังจากที่รัฐบาลในขณะนั้นได้ออกกฎหมายนิรโทษกรรมให้กับนักโทษการเมืองทุกคดี โดยพระชนม์ชีพที่ไซง่อนและกัมพูชา ทรงเปิดโรงงานทอผ้าและค้าขายถ่าน รวมระยะเวลาที่ทรงลี้ภัยนานถึง 16 ปี [15]
พระโอรส-ธิดา[แก้]
พระวรวงศ์เธอ พระองค์เจ้าบวรเดช มีชายา 1 องค์ คือ หม่อมเจ้าผจงรจิตร์ กฤดากร พระขนิษฐาร่วมพระบิดา และมีหม่อมอีก 2 ท่าน คือ หม่อมทิพวัน (สกุลเดิม: ณ เชียงใหม่) และหม่อมบัวนวล (สกุลเดิม: ณ เชียงใหม่) มีพระโอรสหนึ่งคนและพระธิดาสี่คน ได้แก่
- หม่อมทิพวัน กฤดากร ณ อยุธยา (นามเดิม: เจ้าทิพวัน ณ เชียงใหม่; 13 มิถุนายน พ.ศ. 2426 - 27 พฤษภาคม พ.ศ. 2497)
- พระธิดา 1 คน (อนิจกรรมตั้งแต่คลอด)[18]
- หม่อมบัวนวล กฤดากร ณ อยุธยา (นามเดิม: เจ้าบัวนวล ณ เชียงใหม่)
- หม่อมราชวงศ์จิรเดช กฤดากร
- หม่อมเจ้าผจงรจิตร์ กฤดากร (พ.ศ. 2446-2524) พระขนิษฐาต่างมารดา[19][20]
- หม่อมราชวงศ์วิภาสิริ วุฒินันท์
- หม่อมราชวงศ์อัจฉริยา คงสิริ
- หม่อมราชวงศ์ภรณี รอสส์
พระยศ[แก้]
พระยศทหาร[แก้]
- พลเอก[21]
พระยศเสือป่า[แก้]
เครื่องราชอิสริยาภรณ์[แก้]
เครื่องราชอิสริยาภรณ์ไทย[แก้]
- พ.ศ. 2461 -
เครื่องราชอิสริยาภรณ์รัตนวราภรณ์ (ร.ว.) (ฝ่ายหน้า)[24]
- พ.ศ. 2472 -
เครื่องราชอิสริยาภรณ์จุลจอมเกล้า ชั้นปฐมจุลจอมเกล้า (ป.จ.) (ฝ่ายหน้า)[25]
- พ.ศ. 2456 -
เครื่องราชอิสริยาภรณ์อันเป็นที่เชิดชูยิ่งช้างเผือก ชั้น 1 ประถมาภรณ์ช้างเผือก (ป.ช.)
- พ.ศ. 2453 -
เครื่องราชอิสริยาภรณ์อันมีเกียรติยศยิ่งมงกุฎไทย ชั้น 1 ประถมาภรณ์มงกุฎไทย (ป.ม.)[26]
- พ.ศ. 2461 -
เครื่องราชอิสริยาภรณ์อันมีศักดิ์รามาธิบดี ชั้นที่ 2 มหาโยธิน (ม.ร.)[27]
- พ.ศ. 2444 -
เหรียญดุษฎีมาลา เข็มศิลปวิทยา (ร.ด.ม.(ศ))[28]
- พ.ศ. 2459 -
เหรียญจักรมาลา (ร.จ.ม.)[29]
- พ.ศ. 2454 -
เหรียญรัตนาภรณ์ รัชกาลที่ 5 ชั้นที่ 3 (จ.ป.ร.3)[30]
- พ.ศ. 2465 -
เหรียญรัตนาภรณ์ รัชกาลที่ 6 ชั้นที่ 2 (ว.ป.ร.2)[31]
- พ.ศ. 2469 -
เหรียญรัตนาภรณ์ รัชกาลที่ 7 ชั้นที่ 2 (ป.ป.ร.2)[32]
เครื่องอิสริยาภรณ์ต่างประเทศ[แก้]
- ราชอาณาจักรโรมาเนีย Order of the Crown (Romania)|Order of the Crown ชั้นที่ 1 : พ.ศ. 2452, [33]
- สเปน Order of Isabella the Catholic|Order of Isabella the Catholic Grand Cross, พ.ศ. 2454, [34]
- จักรวรรดิออตโตมัน เครื่องราชอิสริยาภรณ์ออสมานี ชั้นที่ 1 : พ.ศ. 2452, [35]
- ฝรั่งเศส เครื่องอิสริยาภรณ์เลฌียงดอเนอร์ ชั้นทุติยาภรณ์ : พ.ศ. 2454, [36]
พงศาวลี[แก้]
พงศาวลีของพระวรวงศ์เธอ พระองค์เจ้าบวรเดช | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|
|
อ้างอิง[แก้]
![]() |
คอมมอนส์ มีภาพและสื่อเกี่ยวกับ: พระวรวงศ์เธอ พระองค์เจ้าบวรเดช |
- ↑ http://www.ratchakitcha.soc.go.th/DATA/PDF/2491/D/005/324.PDF
- ↑ พระราชทานยศเสือป่า (หน้า 1525)
- ↑ http://www.kridakorn.org/html/kridakorn_t.html
- ↑ หม่อมเจ้าบวรเดชเฝ้าทูลละอองธุลีพระบาท
- ↑ พระราชทานสัญญาบัตรทหาร
- ↑ พระราชทานสัญญาบัตรทหารบก
- ↑ พระราชทานสัญญาบัตรทหารบก (หน้า 119)
- ↑ พระราชทานสัญญาบัตรทหารบก
- ↑ พระราชทานสัญญาบัตรทหารบก
- ↑ ตั้งตำแหน่งยศนายทหารบก
- ↑ https://vajirayana.org/โคลงลิลิตสุภาพตำรับพระบรมราชาภิเษก-เล่มต้น/ภาคผนวก-เล่มต้น/พระนาม-และนาม-พระบรมวงศานุวงศ์-ข้าราชการ/
- ↑ https://m.facebook.com/1451876605112634/photos/a.1475437036089924/1716439388656353/?type=3
- ↑ http://www.ratchakitcha.soc.go.th/DATA/PDF/2469/D/3994.PDF
- ↑ http://www1.mod.go.th/heritage/nation/event2475/index.htm
- ↑ 15.0 15.1 15.2 หน้า 694-697, เจ้าฟ้าประชาธิปกราชันผู้นิราศ โดย นายหนหวย. กรุงเทพ พ.ศ. 2530. พิมพ์และจำหน่ายโดยตนเอง
- ↑ http://www.rakbankerd.com/01_jam/thaiinfor/country_info/index.html?topic_id=45&filename=revolutionary3.htm[ลิงก์เสีย]
- ↑ http://www.maneebooks.com/German_capt/germ_14.html
- ↑ เจ้าทิพวัน กฤดากร เกษตรกรรายแรกที่ปลูกและบ่มใบยาสูบพันธุ์เวอร์จิเนียในจังหวัดเชียงใหม่
- ↑ "หม่อมเจ้าหญิง ผจงรจิตร์ กฤดากร". Kridakorn. สืบค้นเมื่อ 9 ตุลาคม 2557. Check date values in:
|accessdate=
(help) - ↑ "บังอบายเบิกฟ้า ทำไม "บวรเดช" ต้องกบฏ". ไทยโพสต์. 31 มกราคม พ.ศ. 2553. สืบค้นเมื่อ 9 ตุลาคม 2557. Check date values in:
|accessdate=, |date=
(help) - ↑ http://www.ratchakitcha.soc.go.th/DATA/PDF/2491/D/005/324.PDF
- ↑ พระราชทานยศเสือป่า
- ↑ http://www.ratchakitcha.soc.go.th/DATA/PDF/2459/D/1522.PDF
- ↑ ราชกิจจานุเบกษา,พระราชทานตรารัตนวราภรณ์ หน้า 2612 เล่ม 35, 1 มกราคม พ.ศ. 2461
- ↑ ราชกิจจานุเบกษา,พระราชทานเครื่องราชอิสริยาถรณ์จุลจอมเกล้า หน้า 2929 เล่ม 46, 1 ธันวาคม พ.ศ. 2472
- ↑ ราชกิจจานุเบกษา, พระราชทานเครื่องราชอิสริยาภรณ์, เล่ม 28, ตอน 0 ง, 9 เมษายน พ.ศ. 2454, หน้า 48
- ↑ ราชกิจจานุเบกษา,พระราชทานเครื่องราชอิสริยาภรณ์อันมีศักดิ์รามาธิบดี หน้า 2188 เล่ม 35, 2 ธันวาคม พ.ศ. 2461
- ↑ ราชกิจจานุเบกษา, พระราชทานเหรียญดุษฎีมาลา, เล่ม 18, ตอน 38, 22 ธันวาคม พ.ศ. 2444, หน้า 746
- ↑ ราชกิจจานุเบกษา,พระราชทานเหรียญจักรมาลา หน้า 3103 เล่ม 33, 31 ธันวาคม พ.ศ. 2459
- ↑ ราชกิจจานุเบกษา,พระราชทานเหรียญรัตนาภรณ์ หน้า 50 เล่ม 28, 4 เมษายน พ.ศ. 2454
- ↑ ราชกิจจานุเบกษา,พระราชทานเหรียญรัตนาภรณ์ หน้า 3414 เล่ม 39, 2 มกราคม พ.ศ. 2465
- ↑ ราชกิจจานุเบกษา,พระราชทานเหรียญรัตนาภรณ์ฝ่ายหน้า หน้า 3124 เล่ม 43, 7 พฤศจิกายน พ.ศ. 2469
- ↑ ราชกิจจานุเบกษา, [http://www.ratchakitcha.soc.go.th/DATA/PDF/2452/D/722.PDF พระราชทานพระบรมราชานุญาตเครื่องราชอิสริยาภรณ์ต่างประเทศ, เล่ม 26, ตอน 0 ง, 18 กรกฎาคม พ.ศ. 2452, หน้า 722
- ↑ ราชกิจจานุเบกษา, [http://www.ratchakitcha.soc.go.th/DATA/PDF/2454/D/296.PDF พระราชทานพระบรมราชานุญาตเครื่องราชอิสริยาภรณ์ต่างประเทศ, เล่ม 28, ตอน 0 ง,21 พฤษภาคม พ.ศ. 2454, หน้า 296
- ↑ ราชกิจจานุเบกษา, [http://www.ratchakitcha.soc.go.th/DATA/PDF/2452/D/722.PDF พระราชทานพระบรมราชานุญาตเครื่องราชอิสริยาภรณ์ต่างประเทศ, เล่ม 26, ตอน 0 ง, 18 กรกฎาคม พ.ศ. 2452, หน้า 722
- ↑ ราชกิจจานุเบกษา, [http://www.ratchakitcha.soc.go.th/DATA/PDF/2454/D/296.PDF พระราชทานพระบรมราชานุญาตเครื่องราชอิสริยาภรณ์ต่างประเทศ, เล่ม 28, ตอน 0 ง,21 พฤษภาคม พ.ศ. 2454, หน้า 296
- บุคคลที่เกิดในปี พ.ศ. 2420
- บุคคลที่เสียชีวิตในปี พ.ศ. 2496
- พระวรวงศ์เธอ
- พระองค์เจ้าชาย
- พระองค์เจ้าตั้ง
- ราชสกุลกฤดากร
- นักการทูตชาวไทย
- นายพลชาวไทย
- รัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหมไทย
- นักโทษของประเทศไทย
- ผู้ได้รับเครื่องราชอิสริยาภรณ์ ร.ว.
- ผู้ได้รับเครื่องราชอิสริยาภรณ์ ป.จ. (ฝ่ายหน้า)
- ผู้ได้รับเครื่องราชอิสริยาภรณ์ ป.ช.
- ผู้ได้รับเครื่องราชอิสริยาภรณ์ ป.ม.
- ผู้ได้รับเครื่องราชอิสริยาภรณ์ ม.ร.
- ผู้ได้รับเหรียญ ร.ด.ม.(ศ)
- ผู้ได้รับเครื่องอิสริยาภรณ์เลฌียงดอเนอร์
- สมาชิกกองเสือป่า