ข้ามไปเนื้อหา

รายชื่อแหล่งมรดกโลกในประเทศญี่ปุ่น

จากวิกิพีเดีย สารานุกรมเสรี

องค์การการศึกษา วิทยาศาสตร์ และวัฒนธรรมแห่งสหประชาชาติ (ยูเนสโก) ได้ขึ้นทะเบียนแหล่งมรดกโลกของประเทศญี่ปุ่นทั้งสิ้น 25 แหล่ง[1] ประกอบด้วยมรดกโลกทางวัฒนธรรม 20 แหล่ง และมรดกโลกทางธรรมชาติ 5 แห่ง

ที่ตั้ง[แก้]

สถานที่ที่ได้ขึ้นทะเบียนเป็นมรดกโลก[แก้]

แหล่งมรดกโลกทางวัฒนธรรม[แก้]

*หมายเหตุ: ระบุชื่อสถานที่ตามที่ขึ้นทะเบียนในบัญชีมรดกโลก
สถานที่ ภาพ ที่ตั้ง ประเภท พื้นที่
ha (acre)
ปี (พ.ศ./ค.ศ.) หมายเหตุ อ้างอิง
พุทธสถานในพื้นที่โฮรีวจิ จังหวัดนาระ  ญี่ปุ่น
34°37′0″N 135°44′0″E / 34.61667°N 135.73333°E / 34.61667; 135.73333 (Buddhist Monuments in the Horyu-ji Area)
วัฒนธรรม:
(i), (ii), (iv), (vi)
15 (37); พื้นที่กันชน 571 (1,410) 2536/1993 มีพุทธสถานราว 48 แห่งบริเวณโฮรีวจิ หลายแห่งสร้างมาตั้งแต่ช่วงปลายคริสต์ศตวรรษที่ 7 ทำให้เป็นหนึ่งในสิ่งก่อสร้างไม้ที่เก่าแก่ที่สุดในโลก ผลงานชิ้นเอกทางสถาปัตยกรรมไม้เหล่านี้มีความสำคัญไม่เพียงแต่แสดงถึงความเป็นมาของศิลปะการปรับตัวให้เข้ากับวัฒนธรรมจีนของญี่ปุ่น แต่ยังเป็นสถานที่สำคัญทางประวัติศาสตร์ทางศาสนาพุทธอีกด้วย [2]
ฮิเมจิโจ จังหวัดเฮียวโงะ  ญี่ปุ่น
34°50′0″N 134°42′0″E / 34.83333°N 134.70000°E / 34.83333; 134.70000 (Himeji-jo)
วัฒนธรรม:
(i), (iv)
107 (260); พื้นที่กันชน 143 (350) 2536/1993 เป็นตัวอย่างที่ดีที่สุดที่แสดงถึงสถาปัตยกรรมญี่ปุ่นในช่วงต้นคริสต์ศตวรรษที่ 17 ประกอบด้วยอาคาร 83 แห่งที่มีการออกแบบอย่างซับซ้อน มีระบบป้องกันการบุกรุกขั้นสูงและอุปกรณ์ป้องกันที่ชาญฉลาดจากตอนต้นของยุคโชกุน เป็นผลงานชิ้นเอกในการก่อสร้างด้วยไม้ที่น่าสนใจทั้งในรูปลักษณ์ที่สง่างาม และความละเอียดอ่อนของความสัมพันธ์ระหว่างมวลอาคารกับชั้นหลังคาหลายชั้น [3]
อนุสรณ์สถานทางประวัติศาสตร์เกียวโตโบราณ (นครเกียวโต, อูจิ และโอตสึ) จังหวัดเกียวโตและชิงะ  ญี่ปุ่น
34°58′50″N 135°46′10″E / 34.98056°N 135.76944°E / 34.98056; 135.76944 (Historic Monuments of Ancient Kyoto (Kyoto, Uji and Otsu Cities))
วัฒนธรรม:
(ii), (iv)
1,056 (2,610); พื้นที่กันชน 3,579 (8,840) 2537/1994 สถาปนาขึ้นเมื่อปี ค.ศ. 794 ตามรูปแบบเมืองหลวงของจีนโบราณ เกียวโตเป็นเมืองหลวงของประเทศญี่ปุ่นจนถึงกลางคริสต์ศตวรรษที่ 19 ในฐานะที่เป็นศูนย์กลางของวัฒนธรรมญี่ปุ่นมานานกว่าพันปี แสดงให้เห็นถึงการพัฒนาสถาปัตยกรรมไม้ของญี่ปุ่นโดยเฉพาะสถาปัตยกรรมทางศาสนาพุทธและชินโตจำนวน 17 แห่งและศิลปะของสวนญี่ปุ่นซึ่งมีอิทธิพลต่อภูมิทัศน์ในสวนทั่วโลก [4]
หมู่บ้านประวัติศาสตร์แห่งชิรากาวาโงและโกกายามะ จังหวัดกิฟุและโทยามะ  ญี่ปุ่น
36°24′0″N 136°53′0″E / 36.40000°N 136.88333°E / 36.40000; 136.88333 (Historic Villages of Shirakawa-go and Gokayama)
วัฒนธรรม:
(iv), (v)
68 (170); พื้นที่กันชน 58,873 (145,480) 2538/1995 หมู่บ้านสองแห่งในหุบเขาที่มีแม่น้ำโชกาวะไหลผ่านถูกสร้างตามสถาปัตยกรรมดั้งเดิมราวคริสต์ศตวรรษที่ 18-19 โดยประกอบด้วยไม้และทำหลังคามุงฟางให้สูงชันโดยไม่ใช้ตะปูในการก่อสร้าง เป็นการแสดงถึงภูมิปัญญาชาวบ้านที่ประกอบอาชีพเกษตรกรในการรับมือสภาพอากาศแปรปรวนในฤดูหนาว [5]
อนุสรณ์สันติภาพฮิโรชิมะ (โดมปรมาณู) จังหวัดฮิโรชิมะ  ญี่ปุ่น
34°23′0″N 132°27′0″E / 34.38333°N 132.45000°E / 34.38333; 132.45000 (Hiroshima Peace Memorial (Genbaku Dome))
วัฒนธรรม:
(vi)
0.40 (0.99); พื้นที่กันชน 43 (110) 2539/1996 โดมปรมาณูเป็นโครงสร้างเพียงหนึ่งเดียวที่เหลืออยู่บริเวณที่เกิดระเบิดปรมาณูครั้งแรกเมื่อวันที่ 6 สิงหาคม พ.ศ. 2488 ไม่เพียงแต่เป็นสัญลักษณ์ที่แข็งแกร่งและทรงพลังของวัตถุที่ทำลายล้างมากที่สุดที่มนุษย์สร้างขึ้นในขณะนั้น ยังแสดงถึงความหวังในการสร้างสันติภาพของโลก และการกำจัดอาวุธนิวเคลียร์ทั้งหมดด้วย [6]
ศาลเจ้าชินโตอิตสึกูชิมะ จังหวัดฮิโรชิมะ  ญี่ปุ่น
34°17′40″N 132°19′29″E / 34.29444°N 132.32472°E / 34.29444; 132.32472 (Itsukushima Shinto Shrine)
วัฒนธรรม:
(i), (ii), (iv), (vi)
431 (1,070); พื้นที่กันชน 2,634 (6,510) 2539/1996 ศาลเจ้าชินโตที่มีจุดเด่นเป็นเสาโทริอิซึ่งถูกลงตั้งอยู่กลางทะเลเมื่อคริสต์ศตวรรษที่ 12 เพื่อเป็นทางผ่านของเรือที่จะเข้าสักการะ ตัวศาลเจ้ามีประวัติศาสตร์ที่ยาวนานมาตั้งแต่คริสต์ศตวรรษที่ 6 ในฐานะสิ่งศักดิ์สิทธิ์ประจำเกาะอิตสึกูชิมะและเป็นที่พึ่งพาใจของเรือเดินทะเลที่ต้องผ่านเกาะแห่งนี้ในกระแสน้ำที่ผันขึ้นลงอยู่เสมอ [7]
อนุสรณ์สถานทางประวัติศาสตร์นาระโบราณ จังหวัดนาระ  ญี่ปุ่น
34°40′32″N 135°50′22″E / 34.67556°N 135.83944°E / 34.67556; 135.83944 (Historic Monuments of Ancient Nara)
วัฒนธรรม:
(ii), (iii), (iv), (vi)
617 (1,520); พื้นที่กันชน 2,502 (6,180) 2541/1998 นาระเป็นเมืองหลวงของญี่ปุ่นในช่วงปี ค.ศ. 710-784 ในยุคสมัยนาระที่มีความเจริญรุ่งเรืองทางด้านศิลปะ ศาสนาและวัฒนธรรมอันเป็นรากฐานของวัฒนธรรมญี่ปุ่น ประกอบด้วยวัดพุทธ 5 แห่ง ศาลเจ้าคาซูงะ วังหลวงและป่าโบราณที่แสดงถึงภาพอันมีชีวิตชีวาของชีวิตในอดีตเมืองหลวงของญี่ปุ่นในช่วงคริสต์ศตวรรษที่ 8 ซึ่งเป็นช่วงเวลาแห่งการเปลี่ยนแปลงทางการเมืองและวัฒนธรรมอย่างลึกซึ้ง [8]
ศาลเจ้าและวัดแห่งนิกโก จังหวัดโทจิงิ  ญี่ปุ่น
36°44′51″N 139°36′38″E / 36.74750°N 139.61056°E / 36.74750; 139.61056 (Shrines and Temples of Nikko)
วัฒนธรรม:
(i), (iv), (vi)
51 (130); พื้นที่กันชน 373 (920) 2542/1999 ศาลเจ้าและวัดแห่งนิกโกที่ถูกสร้างขึ้นตั้งแต่ก่อนยุคเอโดะจนสิ้นสุดรัชสมัย พร้อมกับสภาพแวดล้อมทางธรรมชาติในบริเวณมีมานานนับศตวรรษ เป็นสถานที่ศักดิ์สิทธิ์ที่รู้จักกันเพราะผลงานชิ้นเอกด้านสถาปัตยกรรมและการตกแต่ง สถานที่แห่งนี้มีความสัมพันธ์อย่างใกล้ชิดกับประวัติศาสตร์ของรัฐบาลโชกุนโทกูงาวะ [9]
แหล่งกูซูกุและทรัพย์สินที่เกี่ยวข้องของอาณาจักรรีวกีว จังหวัดโอกินาวะ  ญี่ปุ่น
26°12′31″N 127°40′58″E / 26.20861°N 127.68278°E / 26.20861; 127.68278 (Gusuku Sites and Related Properties of the Kingdom of Ryukyu)
วัฒนธรรม:
(ii), (iii), (vi)
55 (140); พื้นที่กันชน 560 (1,400) 2543/2000 อาณาจักรรีวกีวเคยเป็นอาณาจักรที่รุ่งเรืองในช่วงคริสต์ศตวรรษที่ 15-19 ครอบครองดินแดนหมู่เกาะรีวกีวในมหาสมุทรแปซิฟิก มีการค้นพบหลักฐานที่แสดงถึงความรุ่งเรืองเป็นป้อมปราการและปราสาทหินเรียกว่า “กูซูกุ“ กระจายไปทั่วเกาะโอกินาวะโดยที่บางแห่งถูกทำลายจากการถูกรุกราน รวมไปถึงสถาปัตยกรรมเฉพาะถิ่นของสุสานหลวงและสวนตำหนัก [10]
แหล่งศักดิ์สิทธิ์และเส้นทางจาริกแสวงบุญในทิวเขาคิอิ จังหวัดนาระ วากายามะ และมิเอะ ญี่ปุ่น
33°50′13″N 135°46′35″E / 33.83694°N 135.77639°E / 33.83694; 135.77639 (Sacred Sites and Pilgrimage Routes in the Kii Mountain Range)
วัฒนธรรม:
(ii), (iii), (vi), (vi)
495 (1,220); พื้นที่กันชน 1,137 (2,810 2547/2004 พื้นที่บริเวณคาบสมุทรคิอิเป็นที่ตั้งของศาสนสถานทั้งศาสนาพุทธและศาสนาชินโตจำนวนมาก จึงเกิดเป็นเส้นทางแสวงบุญของเหล่านักบวชมาช้านานกว่า 1,200 ปีที่พาดผ่านผืนป่าโบราณและยังเชื่อมต่อไปจนถึงเมืองหลวงในยุคสมัยนั้นอย่างเมืองนาระและเมืองเกียวโตที่นำพาจักรพรรดิและประชาชนได้เดินทางมาสักการะสิ่งศักดิ์สิทธิ์ในพื้นที่แห่งนี้ [11]
เหมืองเงินอิวามิและภูมิทัศน์วัฒนธรรม จังหวัดชิมาเนะ  ญี่ปุ่น
35°6′46″N 132°26′6″E / 35.11278°N 132.43500°E / 35.11278; 132.43500 (Iwami Ginzan Silver Mine and its Cultural Landscape)
วัฒนธรรม:
(ii), (iii), (v)
529 (1,310); พื้นที่กันชน 3,134 (7,740 2550/2007 เหมืองเงินอิวามิเป็นเหมืองที่มีการขุดแร่เงินขนาดใหญ่ที่สุดในญี่ปุ่นตั้งแต่ปี ค.ศ.1526 ยาวนานมาจนถึงปี ค.ศ.1923 การเปิดเหมืองแห่งนี้ก่อให้เกิดกรรมวิธีการหลอมที่ได้อิทธิพลมาจากเกาหลี และยังเป็นการขับเคลื่อนเศรษฐกิจของเมืองและหมู่บ้านที่ตั้งอยู่รอบเหมืองจากการตั้งผลิตภัณฑ์เป็นของตนเองขึ้นมา โดยเฉพาะเหล่าพ่อค้าที่ทำการส่งออกแร่เงินให้กับต่างชาติ ก่อให้เกิดการแลกเปลี่ยนทางวัฒนธรรมบริเวณเหมือง [12]
ฮิราอิซูมิ วัด สวน และแหล่งโบราณคดีต่างๆ ที่แสดงลักษณะของนิกายสุขาวดีในพระพุทธศาสนา จังหวัดอิวาเตะ  ญี่ปุ่น
34°37′0″N 135°44′0″E / 34.61667°N 135.73333°E / 34.61667; 135.73333 (Hiraizumi – Temples, Gardens and Archaeological Sites Representing the Buddhist Pure Land)
วัฒนธรรม:
(ii), (iv)
176 (430); พื้นที่กันชน 6,008 (14,850) 2554/2011 ในช่วงคริสต์ศตวรรษที่ 11-12 ฮิราอิซูมิเป็นศูนย์กลางทางด้านการเมืองการปกครอง วัฒนธรรมและศาสนาพุทธนิกายมหายาน สุขาวดี และศาสนาชินโตซึ่งก่อตั้งโดยตระกูลฟูจิวาระเหนือ ศูนย์กลางแห่งนี้ถูกสร้างโดยอิงคติความเชื่อเรื่องจักรวาลสุขาวดีซึ่งสื่อถึงความสงบของจิตใจมนุษย์ ประกอบด้วยวัดพุทธที่มีการวางผังสวนที่อิงตามความเชื่อดั้งเดิมและความเชื่อของศาสนาชินโตจำนวน 5 แห่ง [13]
ฟูจิซัง-สถานที่ศักดิ์สิทธิ์และแหล่งที่มาของความบันดาลใจทางศิลปะ จังหวัดชิซูโอกะและยามานาชิ  ญี่ปุ่น
35°21′39″N 138°43′39″E / 35.36083°N 138.72750°E / 35.36083; 138.72750 (Fujisan, sacred place and source of artistic inspiration)
วัฒนธรรม:
(iii), (iv)
20,702 (51,160); พื้นที่กันชน 49,628 (122,630) 2556/2013 ภูเขาฟูจิหรือฟูจิซังถูกปรากฎในงานวรรณกรรมและจิตรกรรมมาตั้งแต่ต้นคริสต์ศตวรรษที่ 17 หรือราวยุคสมัยเอโดะที่มีการสร้างเส้นทางที่เชื่อมต่อกับเมืองเกียวโต ทำให้ผู้คนที่สัญจรเส้นทางนี้ได้ชื่นชมความงามของฟูจิซังและนำไปสร้างสรรค์ในผลงานต่างๆ ให้เป็นที่รู้จักไปทั่วโลก รวมไปถึงเป็นที่ฝึกฝนฐานทัพซามูไรและหลักแนวคิดวิถีปฏิบัติระหว่างผู้คน ศาสนา และธรรมชาติเข้าด้วยกัน [14]
โรงงานทอผ้าโทมิโอกะและสถานที่ที่เกี่ยวข้อง จังหวัดกุมมะ  ญี่ปุ่น
วัฒนธรรม:
(ii), (iv)
7.2; พื้นทีก่นชน 414.6 2557/2014 โรงงานทอผ้าโทมิโอกะถือเป็นหลักฐานในการพัฒนาเทคโนโลยีอุตสาหกรรมการทอผ้าไหมดิบในยุคสมัยเมจิช่วงทศวรรษ 1870 หลังการปฏิวัติเมจิที่มีการพัฒนาญี่ปุ่นให้ทันสมัย โดยโรงงานแห่งนี้มีเครื่องจักรที่ใช้ในการปั่นด้ายที่มีความซับซ้อนจากฝรั่งเศสเพื่อพัฒนาคุณภาพผ้าไหมดิบในการส่งออกขายต่างประเทศและกระตุ้นเศรษฐกิจของญี่ปุ่นให้มีความทัดเทียมเทียบเท่ายุโรป [15]
แหล่งมรดกจากการปฏิวัติอุตสาหกรรมของญี่ปุ่นในยุคเมจิ: การถลุงเหล็กและผลิตเหล็กกล้า การต่อเรือและการทำเหมืองถ่านหิน  ญี่ปุ่น
วัฒนธรรม:
(ii), (iii), (iv)
306.66; พื้นที่กันชน 2,408.33 2558/2015 การปฏิวัติเมจิในปี ค.ศ.1868 ทำให้ญี่ปุ่นได้พัฒนาระบบอุตสาหกรรมโดยมีการนำเข้าเทคโนโลยีจากตะวันตกเข้ามาใช้ ส่งผลทำให้สังคมและเศรษฐกิจเปลี่ยนแปลงไปอย่างสิ้นเชิงตั้งแต่กลางคริสต์ศตวรรษที่ 19 จนถึงต้นคริสต์ศตวรรษที่ 20 โดยเน้นไปที่อุตสาหกรรมถ่านหิน การถลุงเหล็กและผลิตเหล็กกล้าเพื่อใช้ในการต่อเรือเดินสมุทร ซึ่งการเจริญเติบโตของอุตสาหกรรมญี่ปุ่นพบได้มากสุดบริเวณภาคตะวันตกเฉียงใต้ของประเทศโดยเฉพาะบนเกาะคิวซู [16]
งานสถาปัตยกรรมของเลอกอร์บูซีเย คุณูปการอันโดดเด่นต่อขบวนการสมัยใหม่
(ร่วมกับ เบลเยียม,  ฝรั่งเศส,  เยอรมนี,  สวิตเซอร์แลนด์,  อาร์เจนตินา และ  อินเดีย)
กรุงโตเกียว  ญี่ปุ่น
วัฒนธรรม:
(i) (ii) (vi)
2559/2016 สถานที่ที่ขึ้นทะเบียนได้แก่ พิพิธภัณฑ์ศิลปะตะวันตกแห่งชาติ อันเป็นแหล่งสะสมผลงานศิลปะตะวันตกตั้งแต่ยุคฟื้นฟูศิลปวิทยาการจนถึงต้นคริสต์ศตวรรษที่ 20 ตัวอาคารออกแบบโดยเลอกอร์บูซีเย ซึ่งนำเสนอถึง “ความสำคัญและความงดงามของงานศิลป์“ อีกทั้งยังเป็นสัญลักษณ์การฟื้นฟูความสัมพันธ์ระหว่างญี่ปุ่นกับฝรั่งเศสหลังสงครามโลกครั้งที่สองอีกด้วย [17]
เกาะศักดิ์สิทธิ์โอกิโนชิมะและสถานที่ที่เกี่ยวข้องในภูมิภาคมูนากาตะ
จังหวัดฟูกูโอกะ  ญี่ปุ่น
วัฒนธรรม:
(ii) (iii)
98.93; พื้นที่กันชน 79,363.48 2560/2017 โอกิโนชิมะตั้งอยู่ห่างจากชายฝั่งตะวันตกของเกาะคีวชูไป 60 กิโลเมตร เป็นตัวอย่างที่โดดเด่นที่แสดงถึงประเพณีการสักการะบูชาบนเกาะที่มีความสมบูรณ์และให้ข้อมูลประวัติการจัดพิธีการตามพิธีการที่เปลี่ยนไปในช่วงคริสต์ศตวรรษที่ 4-9 และยังสืบต่อมาจนถึงปัจจุบัน บนเกาะมีการค้นพบวัตถุโบราณจำนวนมาก หลายชิ้นมีฝีมือประณีตและถูกนำมาจากต่างประเทศอันเป็นหลักฐานของการแลกเปลี่ยนระหว่างหมู่เกาะญี่ปุ่น คาบสมุทรเกาหลี และแผ่นดินใหญ่ของทวีปเอเชีย [18]
แหล่งคริสเตียนลับในภูมิภาคนางาซากิ
จังหวัดนางาซากิ จังหวัดคูมาโมโตะ  ญี่ปุ่น
วัฒนธรรม:
(iii)
5,566.55; พื้นที่กันชน 12,252.52 2561/2018 ในช่วงที่มีการปิดประเทศตั้งแต่ปี ค.ศ.1603-1868 ชาวญี่ปุ่นที่นับถือศาสนาคริสต์นิกายโรมันคาทอลิกในยุคสมัยนั้นถูกบังคับห้ามศรัทธาศาสนาคริสต์และถูกปราบปรามอย่างหนัก จนกระทั่งการเปิดประเทศและยกเลิกกฎในปี ค.ศ.1873 ทำให้ชุมชนคริสต์ในนางาซากิและคูมาโมโตะที่มีการฟื้นฟูได้สร้างโบสถ์คริสต์หลายแห่งเพื่อใช้ในการประกอบศาสนพิธีโดยยังมีการอิงความเชื่อที่ยังหลงเหลือในช่วงปิดประเทศ [19]
กลุ่มโคฟุงโมซุ-ฟูรูอิจิ : เนินสุสานญี่ปุ่นโบราณ
จังหวัดโอซะกะ  ญี่ปุ่น
วัฒนธรรม:
(iii) (iv)
166.66; พื้นที่กันชน 890 2562/2019 โคฟุงเป็นหลุมฝังศพโบราณที่ทำเนินดินสูงเป็นรูปรูกุญแจและทำคูน้ำล้อมรอบตัวสุสาน ถูกสร้างขึ้นในช่วงคริสต์ศตวรรษที่ 3-6 อันเป็นยุคสมัยโคฟุงที่กำลังเรืองอำนาจในญี่ปุ่น มีการค้นพบสุสานรูปแบบนี้ทั่วญี่ปุ่นจำนวนกว่า 160,000 แห่งซึ่งส่วนมากเป็นสุสานของคนมีศักดินา ตัวอย่างที่ชัดเจนคือหมู่สุสานโมซุในเมืองซาไก ที่เชื่อกันว่าสุสานที่ใหญ่ที่สุดเป็นที่ฝังพระบรมศพของจักรพรรดินินโตกุ และยังมีสุสานพระบรมศพของจักรพรรดิริจูอีกด้วย [20]
แหล่งยุคก่อนประวัติศาสตร์โจมงในภาคเหนือของญี่ปุ่น จังหวัดฮอกไกโด อาโอโมริ อิวาเตะ อกาเตะ  ญี่ปุ่น
วัฒนธรรม:
(iii) (v)
2564/2021 ยุคโจมงถือได้ว่าเป็นยุคสมัยเปลี่ยนผ่านวิถีชีวิตของผู้คนจากล่าสัตว์เป็นเกษตรกรรมเมื่อ 14,000-1,000 ปีก่อนคริสตกาล การขุดค้นแหล่งอันเป็นที่ตั้งถิ่นฐานของมนุษย์ในยุคสมัยนั้นทางตอนเหนือของญี่ปุ่นพบว่ามีอายุเก่าแก่ราว 10,000-400 ปีก่อนคริสตกาล มีการค้นพบเครื่องมือหินและเครื่องปั้นดินเผาเป็นจำนวนมาก หนึ่งในนั้นคือรูปปั้นโดะงูที่สื่อถึงการนับถือเทพในยุคโจมง [21]

แหล่งมรดกโลกทางธรรมชาติ[แก้]

*หมายเหตุ: ระบุชื่อสถานที่ตามที่ขึ้นทะเบียนในบัญชีมรดกโลก
สถานที่ ภาพ ที่ตั้ง ประเภท พื้นที่
ha (acre)
ปี (พ.ศ./ค.ศ.) หมายเหตุ อ้างอิง
ยากูชิมะ จังหวัดคาโงชิมะ  ญี่ปุ่น
ธรรมชาติ:
(vii), (ix)
10,747 (26,560) 2536/1993 ยากูชิมะเป็นพื้นที่ที่อุดมสมบูรณ์ที่ตั้งอยู่บนหมู่เกาะโอสุมิ มีความโดดเด่นในด้านธรรมชาติอันเก่าแก่อย่างป่าโบราณที่เป็นแหล่งยืนต้น "ซูงิ" (ต้นซีดาร์ญี่ปุ่น) และที่อยู่อาศัยของสัตว์ป่าเฉพาะถิ่นอย่างลิงกังยากูชิมะและกวางยากูชิกะ รวมไปถึงเป็นแหล่งที่อยู่อาศัยของนกหายากอีกด้วย|[22]
ชิรากามิซันจิ จังหวัดอาโอโมริและอากิตะ  ญี่ปุ่น
40°28′12″N 140°7′48″E / 40.47000°N 140.13000°E / 40.47000; 140.13000 (Shirakami-Sanchi)
ธรรมชาติ:
(ix)
16,939 (41,860) 2536/1993 เทือกเขาชิรากามิตั้งอยู่ทางตอนเหนือของเกาะฮนชู โดยยังคงสภาพสมบูรณ์ของป่าบีชตั้งแต่สมัยดึกดำบรรพ์ที่ล้อมรอบเนินเขาอันเป็นแหล่งพักพิงของเหล่าสัตว์ป่ามากมาย เช่น หมีควายญี่ปุ่น เลียงผา ลิงกัง และนกหลากหลายสายพันธุ์อีก 87 ชนิด [23]
ชิเรโตโกะ ฮกไกโด  ญี่ปุ่น
43°56′58″N 144°57′57″E / 43.94944°N 144.96583°E / 43.94944; 144.96583 (Shiretoko National Park)
ธรรมชาติ:
(ix), (x)
71,100 (176,000) 2548/2005 คำว่า “ชิเรโตโกะ“ ในภาษาไอนุมีความหมายว่า “จุดสุดขอบโลก“ ซึ่งตัวอุทยานตั้งอยู่ในคาบสมุทรชิเรโตโกะที่ปลายสุดทางตะวันออกเฉียงเหนือของเกาะฮกไกโด เป็นแหล่งอุดมไปด้วยป่าผลัดใบอบอุ่นอันเป็นแหล่งพักพิงของสัตว์ป่ามากมาย เช่น นกอินทรีชเต็ลเลอร์ แมวน้ำลายจุด และหมีสีน้ำตาลดำซึ่งพบได้มากที่สุดในประเทศญี่ปุ่น [24]
หมู่เกาะโองาซาวาระ จังหวัดโตเกียว  ญี่ปุ่น
27°43′6″N 142°5′59″E / 27.71833°N 142.09972°E / 27.71833; 142.09972 (Ogasawara Islands)
ธรรมชาติ:
(ix)
7,939 (19,620) 2554/2011 หรืออีกชื่อว่า “หมู่เกาะโบนิน“ เป็นหมู่เกาะเขตร้อนประกอบไปด้วยเกาะกว่า 30 เกาะที่เกิดขึ้นจากการระเบิดของภูเขาไฟใต้ทะเล หมู่เกาะแห่งนี้มีความพิเศษทางด้านระบบนิเวศที่แตกต่างไปจากที่อื่นในญี่ปุ่น โดยมีลักษณะเฉพาะตัวและความแตกต่างในด้านวิวัฒนาการ เป็นแหล่งพืชพรรณและสัตว์นานาชนิดที่มีความเสี่ยงที่จะสูญพันธุ์ในอนาคต [25]
เกาะอามามิโอชิมะ เกาะโทกูโนชิมะ ส่วนเหนือของเกาะโอกินาวะ และเกาะอิริโอโมเตะ จังหวัดคาโงชิมะ และโอกินาวะ  ญี่ปุ่น
ธรรมชาติ:
(x)
42,698; พื้นที่กันชน 24,467 2564/2021 บริเวณแนวรอยต่อของจังหวัดคาโงชิมะและจังหวัดโอกินาวะเป็นที่ตั้งของกลุ่มเกาะที่ยังคงความสมบูรณ์ของธรรมชาติไว้อย่างดีอันเป็นที่อยู่อาศัยของสัตว์ป่ามากมาย บางสายพันธุ์พบได้ในเขตหมู่เกาะนี้เท่านั้น เช่น กระต่ายอามามิ แมวป่าอิริโอโมเตะ หนูป่าริวกิว เป็นต้น [26]

สถานที่ที่ได้ขึ้นบัญชีรายชื่อเบื้องต้น[แก้]

ประเทศญี่ปุ่นมีสถานที่ที่ขึ้นทะเบียนในบัญชีรายชื่อเบื้องต้น (Tentative List) เพื่อพิจารณาเป็นมรดกโลกในอนาคตทั้งสิ้น 5 แห่ง[1]

ปี ค.ศ. ใน "วงเล็บ" หมายถึงปีที่สถานที่นั้น ๆ ได้ขึ้นทะเบียนในบัญชีรายชื่อเบื้องต้น
  • วัด ศาลเจ้า และสิ่งก่อสร้างอื่น ๆ ของคามากูระโบราณ (1992)
  • ปราสาทฮิโกเนะ (1992)
  • อาซูกะ-ฟูจิวาระ: แห่งโบราณคดีของนครหลวงญี่ปุ่นโบราณและทรัพย์สินที่เกี่ยวข้อง (2007)
  • The Sado complex of heritage mines, primarily gold mines (2010)
  • ฮิราอิซูมิ (ส่วนต่อขยาย) (2012)

อ้างอิง[แก้]

  1. 1.0 1.1 "World Heritage Properties in Japan". UNESCO. สืบค้นเมื่อ 27 กรกฎาคม 2021.
  2. "Buddhist Monuments in the Horyu-ji Area". UNESCO. สืบค้นเมื่อ 28 ตุลาคม 2015.
  3. "Himeji-jo". UNESCO. สืบค้นเมื่อ 28 ตุลาคม 2015.
  4. "Historic Monuments of Ancient Kyoto (Kyoto, Uji and Otsu Cities)". UNESCO. สืบค้นเมื่อ 28 ตุลาคม 2015.
  5. "Historic Villages of Shirakawa-go and Gokayama". UNESCO. สืบค้นเมื่อ 28 ตุลาคม 2015.
  6. "Hiroshima Peace Memorial (Genbaku Dome)". UNESCO. สืบค้นเมื่อ 28 ตุลาคม 2015.
  7. "Itsukushima Shinto Shrine". UNESCO. สืบค้นเมื่อ 28 ตุลาคม 2015.
  8. "Historic Monuments of Ancient Nara". UNESCO. สืบค้นเมื่อ 28 ตุลาคม 2015.
  9. "Shrines and Temples of Nikko". UNESCO. สืบค้นเมื่อ 28 ตุลาคม 2015.
  10. "Gusuku Sites and Related Properties of the Kingdom of Ryukyu". UNESCO. สืบค้นเมื่อ 28 ตุลาคม 2015.
  11. "Sacred Sites and Pilgrimage Routes in the Kii Mountain Range". UNESCO. สืบค้นเมื่อ 28 ตุลาคม 2015.
  12. "Iwami Ginzan Silver Mine and its Cultural Landscape". UNESCO. สืบค้นเมื่อ 28 ตุลาคม 2015.
  13. "Hiraizumi – Temples, Gardens and Archaeological Sites Representing the Buddhist Pure Land". UNESCO. สืบค้นเมื่อ 28 ตุลาคม 2015.
  14. "Fujisan, sacred place and source of artistic inspiration". UNESCO. สืบค้นเมื่อ 28 ตุลาคม 2015.
  15. "Tomioka Silk Mill and Related Sites". UNESCO. สืบค้นเมื่อ 28 ตุลาคม 2015.
  16. "Sites of Japan's Meiji Industrial Revolution: Iron and Steel, Shipbuilding and Coal Mining". UNESCO. สืบค้นเมื่อ 28 ตุลาคม 2015.
  17. "The Architectural Work of Le Corbusier, an Outstanding Contribution to the Modern Movement". UNESCO. สืบค้นเมื่อ 18 กรกฎาคม 2016.
  18. "Sacred Island of Okinoshima and Associated Sites in the Munakata Region". UNESCO. สืบค้นเมื่อ 10 กรกฎาคม 2017.
  19. "Hidden Christian Sites in the Nagasaki Region". UNESCO. สืบค้นเมื่อ 1 กรกฎาคม 2018.
  20. "Mozu-Furuichi Kofun Group: Mounded Tombs of Ancient Japan". UNESCO. สืบค้นเมื่อ 9 กรกฎาคม 2019.
  21. "Jomon Prehistoric Sites in Northern Japan". UNESCO. สืบค้นเมื่อ 27 กรกฎาคม 2021.
  22. "Yakushima". UNESCO. สืบค้นเมื่อ 28 ตุลาคม 2015.
  23. "Shirakami-Sanchi". UNESCO. สืบค้นเมื่อ 28 ตุลาคม 2015.
  24. "Shiretoko". UNESCO. สืบค้นเมื่อ 28 ตุลาคม 2015.
  25. "Ogasawara Islands". UNESCO. สืบค้นเมื่อ 28 ตุลาคม 2015.
  26. "Amami-Oshima Island, Tokunoshima Island, Northern part of Okinawa Island, and Iriomote Island". UNESCO. สืบค้นเมื่อ 27 กรกฎาคม 2021.