ภาษาขมุ
ภาษาขมุ | |
---|---|
ภาษากำมุ | |
พาซา คะมุ้ | |
ออกเสียง | [pʰasa̤ː kʰəmúʔ] (ภาษาขมุตะวันตกถิ่นห้วยเอียน จังหวัดเชียงราย)[1] |
ประเทศที่มีการพูด | ลาว, ไทย, เวียดนาม, จีน |
ชาติพันธุ์ | ชาวขมุ |
จำนวนผู้พูด | ไม่ทราบ (798,400 คน อ้างถึงสำมะโน ค.ศ. 1990–2015)[2][3] |
ตระกูลภาษา | ออสโตรเอเชียติก
|
ระบบการเขียน | อักษรลาว, อักษรไทย, อักษรละติน |
รหัสภาษา | |
ISO 639-3 | อย่างใดอย่างหนึ่ง:kjg – ภาษาขมุkhf – ภาษาขมุพุทธ[4][5] |
ภาษาขมุ [ขะ-หฺมุ] หรือ ภาษากำมุ เป็นภาษาของชาวขมุซึ่งอาศัยอยู่ในตอนเหนือของประเทศลาวรวมถึงพื้นที่ใกล้เคียงในประเทศไทย ประเทศเวียดนาม และประเทศจีน จัดอยู่ในกลุ่มภาษาขมุของตระกูลภาษาออสโตรเอเชียติก โดยในตระกูลภาษานี้ ภาษาขมุมักได้รับการระบุว่ามีความใกล้ชิดกับภาษากลุ่มปะหล่องและภาษากลุ่มคาซีมากที่สุด[6]
การกระจายตามเขตภูมิศาสตร์
[แก้]สุวิไล เปรมศรีรัตน์ (2002)[7] รายงานที่ตั้งและภาษาถิ่นของภาษาขมุในประเทศไทย ประเทศลาว ประเทศเวียดนาม และประเทศจีนดังต่อไปนี้
- ไทย: พบผู้พูดภาษาขมุในหมู่บ้านหลายหมู่บ้านซึ่งรวมถึงหมู่ที่ 6 บ้านห้วยเอียน ตำบลหล่ายงาว อำเภอเวียงแก่น จังหวัดเชียงราย (ชาวขมุในหมู่บ้านนี้มีถิ่นเดิมอยู่ที่เมืองปากแบ่ง แขวงไชยบุรี ประเทศลาว) นอกจากนี้ยังมีพบในจังหวัดน่านและจังหวัดลำปาง
- ลาว: พบผู้พูดภาษาขมุในแขวง 8 แขวงทางตอนเหนือของประเทศ ได้แก่ แขวงไชยบุรี แขวงบ่อแก้ว แขวงหลวงน้ำทา แขวงอุดมไซ แขวงพงสาลี แขวงหลวงพระบาง และแขวงเชียงขวาง รวมถึงในหมู่บ้านบางหมู่บ้านใกล้เวียงจันทน์
- เวียดนาม: พบผู้พูดภาษาขมุในตำบลกีมดา อำเภอเตืองเซือง และในเมืองวิญ จังหวัดเหงะอาน นอกจากนี้ยังพบในจังหวัดลายเจิว จังหวัดเซินลา และจังหวัดทัญฮว้า
- จีน: พบผู้พูดภาษาขมุในจังหวัดปกครองตนเองสิบสองปันนา มณฑลยูนนาน
ภาษาถิ่น
[แก้]ภาษาขมุประกอบด้วยภาษาถิ่นหลายภาษาโดยไม่มีวิธภาษามาตรฐาน ภาษาขมุถิ่นมีความแตกต่างกันในแง่จำนวนเสียงพยัญชนะ การใช้ลักษณะน้ำเสียง และระดับอิทธิพลจากภาษาประจำชาติที่อยู่โดยรอบ ภาษาขมุถิ่นต่าง ๆ โดยส่วนใหญ่สามารถเข้าใจซึ่งกันและกันได้ อย่างไรก็ตาม ผู้พูดภาษาถิ่นที่อยู่ไกลจากกันออกไปอาจสื่อสารกันลำบากขึ้น
ภาษาขมุในท้องถิ่นต่าง ๆ สามารถจัดเป็นกลุ่มใหญ่ ๆ ได้สองกลุ่ม ได้แก่ ภาษาขมุตะวันตกและภาษาขมุตะวันออก
- ภาษาขมุตะวันตก ได้แก่ภาษาขมุที่พูดกันเป็นหลักในจังหวัดน่านและจังหวัดเชียงราย ประเทศไทย; แขวงบ่อแก้ว แขวงอุดมไซ และแขวงหลวงน้ำทา ประเทศลาว; และในบางหมู่บ้านของจังหวัดปกครองตนเองสิบสองปันนา ประเทศจีน[8] ภาษาขมุถิ่นในกลุ่มนี้มีหน่วยเสียงพยัญชนะน้อยกว่าภาษาขมุตะวันออกและมีการเปรียบต่างหน่วยเสียงระหว่างลักษณะน้ำเสียงทุ้ม-ต่ำกับลักษณะน้ำเสียงแรง-ดัง-สูง (หรือใส-แรง) ภาษาถิ่นบางภาษายังผ่านภาวะการเป็นภาษามีลักษณะน้ำเสียงไปเป็นภาษามีวรรณยุกต์แล้วด้วย
- ภาษาขมุตะวันออก ได้แก่ภาษาขมุที่พูดกันเป็นหลักในแขวงพงสาลี แขวงหลวงพระบาง แขวงหัวพัน และแขวงเชียงขวาง ประเทศลาว; จังหวัดเหงะอาน จังหวัดเซินลา และจังหวัดเดี่ยนเบียนในประเทศเวียดนาม; และในบางหมู่บ้านของจังหวัดปกครองตนเองสิบสองปันนา ประเทศจีน[8] ภาษาขมุถิ่นในกลุ่มนี้มีแนวโน้มตรงกันข้ามกับภาษาขมุตะวันตก กล่าวคือ ไม่มีการเปรียบต่างหน่วยเสียงระหว่างลักษณะน้ำเสียงหรือระหว่างวรรณยุกต์ แต่มีการเปรียบต่างหน่วยเสียงระหว่างเสียงพยัญชนะหยุด 3 ประเภท (ก้อง ไม่ก้อง และไม่พ่นลม) และระหว่างเสียงพยัญชนะนาสิก 3 ประเภท (ก้อง ไม่ก้อง และนำด้วยเสียงหยุด เส้นเสียง) ในตำแหน่งต้นพยางค์
สัทวิทยา
[แก้]พยัญชนะ
[แก้]ลักษณะการออกเสียง | ตำแหน่งเกิดเสียง | ||||||||||||
---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|
ริมฝีปาก | ปุ่มเหงือก | เพดานแข็ง | เพดานอ่อน | เส้นเสียง | |||||||||
เสียงนาสิก | ก้อง | m | n | ɲ | ŋ | ||||||||
ไม่ก้อง | m̥ | n̥ | ɲ̥ | ŋ̥ | |||||||||
นำด้วย [ˀ] | ˀm | ˀn | ˀɲ | ˀŋ | |||||||||
เสียงหยุด | ก้อง | b | d | ɟ | ɡ | ||||||||
ไม่ก้อง | ไม่พ่นลม | p | t | c | k | ʔ | |||||||
พ่นลม | pʰ | tʰ | cʰ | kʰ | |||||||||
เสียงเสียดแทรก | (f) | s | h | ||||||||||
เสียงรัว | ก้อง | r | |||||||||||
ไม่ก้อง | r̥ | ||||||||||||
เสียงข้างลิ้น | ก้อง | l | |||||||||||
ไม่ก้อง | l̥ | ||||||||||||
เสียงกึ่งสระ | ก้อง | w | j | ||||||||||
ไม่ก้อง | w̥ | j̥ | |||||||||||
นำด้วย [ˀ] | ˀw | ˀj |
- หน่วยเสียงในช่องสีแดงคือหน่วยเสียงที่ปรากฏเฉพาะในภาษาขมุตะวันออกถิ่นต่าง ๆ
- หน่วยเสียงที่เป็นได้ทั้งพยัญชนะต้นและพยัญชนะท้ายมี 15 หน่วยเสียง ได้แก่ /m/, /n/, /ɲ/, /ŋ/, /p/, /t/, /c/, /k/, /ʔ/, /s/, /h/, /r/, /l/, /w/ และ /j/[9]
- หน่วยเสียงพยัญชนะต้นควบมี 13 หน่วยเสียง ได้แก่ /pr/, /pl/, /pʰr/, /tr/, /tʰr/, /cr/, /cʰr/, /kr/, /kl/, /kw/, /kʰr/, /kʰw/ และ /sr/ (แต่หน่วยเสียง /tʰr/ ไม่ปรากฏในภาษาขมุตะวันตกถิ่นห้วยเอียน จังหวัดเชียงราย)[10]
- หน่วยเสียง /c/ เมื่ออยู่ในตำแหน่งต้นพยางค์ออกเสียงเป็น [t͡ɕ] และเมื่ออยู่ในตำแหน่งท้ายพยางค์ออกเสียงเป็น [c][11]
- หน่วยเสียง /cʰ/ ออกเสียงเป็น [t͡ɕʰ][11]
- หน่วยเสียง /f/ เป็นหน่วยเสียงที่ปรากฏเฉพาะในคำยืมจากภาษากลุ่มไทที่อยู่โดยรอบ[12]
- หน่วยเสียง /s/ เมื่ออยู่ในตำแหน่งท้ายพยางค์ออกเสียงเป็น [jh], [h], [ç] หรือ [s] ขึ้นอยู่กับภาษาถิ่น[13]
- หน่วยเสียง /w̥/ ออกเสียงเป็นเสียงเปิด ริมฝีปาก-เพดานอ่อน ไม่ก้อง
- เสียง [ˀj] หรือ [ʔj] จัดเป็นหน่วยเสียงเอกเทศในภาษาขมุตะวันออก แต่จัดเป็นหน่วยเสียงย่อยของหน่วยเสียง /j/ ในภาษาขมุตะวันตก โดยปรากฏเฉพาะในคำบางคำและในคำยืมจากภาษากลุ่มไท[14]
สระ
[แก้]สระในภาษาขมุมีทั้งสิ้น 22 เสียง เป็นสระเดี่ยว 19 เสียง และสระประสมสองเสียง 3 เสียง ภาษาขมุถิ่นทุกภาษามีหน่วยเสียงสระคล้ายคลึงกัน แม้ว่าภาษาขมุถิ่นบางภาษาจะได้พัฒนาระบบลักษณะน้ำเสียงขึ้นใช้ แต่สระยังคงเหมือนเดิม[9]
สระเดี่ยว
[แก้]ระดับลิ้น | ตำแหน่งลิ้น | ||
---|---|---|---|
หน้า | กลาง | หลัง | |
สูง | i, iː | ɨ, ɨː | u, uː |
กึ่งสูง | e, eː | ə, əː | o, oː |
กึ่งต่ำ | ɛ, ɛː | ʌː | ɔ, ɔː |
ต่ำ | a, aː |
- สระสั้น /e/, /ɛ/, /ɨ/, /ə/, /u/, /o/ และสระยาว /ʌː/ มีจำนวนการเกิดไม่มากนัก[15]
- คำที่มีพยัญชนะท้ายเป็น [h] สระมักจะมีลักษณะเป็นเสียงสั้น เช่น [sih] 'นอน' ในขณะที่คำที่มีพยัญชนะท้ายเป็น [ʔ] สระมักจะมีลักษณะเป็นเสียงยาว เช่น [ləʔ] 'ดี'[16]
- เสียงสระในพยางค์แรกของคำ (ซึ่งเป็นพยางค์ที่ไม่ลงเสียงหนัก) อาจมีการแปรเสียง เช่น /kato̤ŋ/ [kəto̤ŋ~kɨto̤ŋ] 'ไข่'[17]
สระประสม
[แก้]ภาษาขมุมีหน่วยเสียงสระประสม 3 หน่วยเสียง ได้แก่ /iə/, /ɨə/ และ /uə/[9]
ลักษณ์เหนือหน่วยแยกส่วน
[แก้]ภาษาขมุนั้นมีทั้งภาษาถิ่นที่ใช้ลักษณะน้ำเสียง ภาษาถิ่นที่ใช้วรรณยุกต์และความแตกต่างของพยัญชนะต้น (พ่นลมหรือไม่พ่นลม) ภาษาถิ่นที่ใช้วรรณยุกต์แต่ไม่ใช้ความแตกต่างของพยัญชนะต้น (พ่นลมหรือไม่พ่นลม) และภาษาถิ่นที่ไม่ใช้ทั้งลักษณะน้ำเสียงและวรรณยุกต์ แต่ใช้ความแตกต่างของพยัญชนะต้น (ก้องหรือไม่ก้อง) ในการจำแนกความหมายของคำ ดังตัวอย่างในตาราง
คำ | ภาษาไม่มีวรรณยุกต์ และไม่มีลักษณะน้ำเสียง |
ภาษามีลักษณะน้ำเสียง | ภาษามีวรรณยุกต์ | |
---|---|---|---|---|
ภาษาขมุตะวันออก | ภาษาขมุตะวันตก | |||
ถิ่นที่ 1 | ถิ่นที่ 2 | ถิ่นที่ 3 | ||
'เหล้า' | buːc | pṳːc | pʰùːc | pùːc |
'ถอด' | puːc | pûːc | púːc | pûːc |
'เหยี่ยว' | ɡlaːŋ | kla̤ːŋ | kʰlàːŋ | klàːŋ |
'หิน' | klaːŋ | klâːŋ | kláːŋ | klâːŋ |
จากตาราง ภาษาขมุตะวันออกเป็นตัวแทนของภาษาขมุดั้งเดิมที่รักษาความเปรียบต่างระหว่างพยัญชนะก้องกับพยัญชนะไม่ก้องในตำแหน่งต้นพยางค์ และเป็นภาษาไม่มีลักษณะน้ำเสียงและไม่มีวรรณยุกต์ แต่ในภาษาขมุตะวันตกถิ่นที่ 1 พยัญชนะก้องในตำแหน่งต้นพยางค์ได้กลายเป็นพยัญชนะไม่ก้องพร้อมสระที่มีลักษณะน้ำเสียงทุ้ม-ต่ำ ในภาษาขมุตะวันตกถิ่นที่ 2 พยัญชนะก้องในตำแหน่งต้นพยางค์ได้กลายเป็นพยัญชนะไม่ก้อง พ่นลม ส่วนลักษณะน้ำเสียงทุ้ม-ต่ำได้พัฒนาไปเป็นเสียงวรรณยุกต์ต่ำ ส่วนภาษาขมุตะวันตกถิ่นที่ 3 พยัญชนะก้องในตำแหน่งต้นพยางค์ได้กลายเป็นพยัญชนะไม่ก้องพร้อมสระที่มีเสียงวรรณยุกต์ต่ำ ในขณะเดียวกัน ภาษาขมุตะวันตกยังคงรักษาเสียงพยัญชนะไม่ก้องในตำแหน่งต้นพยางค์จากภาษาขมุดั้งเดิมเอาไว้ แต่ได้พัฒนาลักษณะน้ำเสียงแรง-ดัง-สูงหรือวรรณยุกต์สูง (หรือสูง-ตก) ขึ้นมาเป็นลักษณ์เด่นจำแนกควบคู่กัน[20]
ในภาษาขมุถิ่นที่ใช้ลักษณะน้ำเสียงบางภาษา (เช่น ภาษาขมุตะวันตกถิ่นห้วยเอียน จังหวัดเชียงราย) ลักษณะน้ำเสียงยังพัฒนาไม่สมบูรณ์ ถ้าเป็นคำที่มีคู่เทียบเสียง ลักษณะน้ำเสียงที่ 1 และลักษณะน้ำเสียงที่ 2 ในคำเหล่านั้นจะมีลักษณะต่างกันอย่างชัดเจน แต่ถ้าไม่มีคู่เทียบเสียง ลักษณะน้ำเสียงทั้งสองจะใกล้เคียงกัน[21] และถ้าเป็นคำหลายพยางค์ จะลงเสียงหนักและระบุลักษณะน้ำเสียงที่พยางค์สุดท้ายเท่านั้น ส่วนพยางค์อื่นจะไม่ลงเสียงหนัก จึงไม่ระบุลักษณะน้ำเสียง เช่น /kato̤ŋ/ 'ไข่', /sicáːŋ/ 'ช้าง', /talaːptáːp/ 'ผีเสื้อ', /taleŋtéŋ/ 'แมลงปอ'[22]
ไวยากรณ์
[แก้]วิทยาหน่วยคำ
[แก้]โดยทั่วไปภาษาขมุเป็นภาษาไม่มีการเปลี่ยนรูปคำเพื่อแสดงเพศหรือพจน์ (ยกเว้นคำสรรพนาม) และไม่มีการกระจายรูปคำกริยาตามกาลหรือการณ์ลักษณะ นอกจากนี้ยังมีแนวโน้มที่จะเป็นภาษาที่มีคำพยางค์เดียวมากขึ้นเช่นเดียวกับภาษาอื่น ๆ ในตระกูลออสโตรเอเชียติก เช่น ภาษามัล ภาษาเวียดนาม[23] อย่างไรก็ตาม ในภาษาขมุก็มีการเติมหน่วยคำเติมเพื่อแสดงลักษณะทางไวยากรณ์อยู่บ้าง แต่จัดเป็นระบบไม่ได้ชัดเจนนัก[23]
สรรพนาม
[แก้]คำสรรพนามแทนบุคคลมีรูปเป็นเอกพจน์ ทวิพจน์ และพหูพจน์ดังนี้[24]
สรรพนาม | เอกพจน์ | ทวิพจน์ | พหูพจน์ | |
---|---|---|---|---|
บุรุษที่ 1 | โอะ | อะ | อิ | |
บุรุษที่ 2 | ชาย | แยะ | ซะว้า | ปอ |
หญิง | ปา | |||
บุรุษที่ 3 | ชาย | เกอ | ซะน้า | นอ |
หญิง | นา | |||
สัตว์ | เกอ, นา | |||
สิ่งของ | เกอ |
คำสรรพนามที่ใช้เชื่อมประโยคซึ่งตรงกับคำว่า "อันที่" "คนที่" หรือ "ตัวที่" ในภาษาไทย ภาษาขมุจะใช้ว่า กัม หรือ นัม
หน่วยคำเติม
[แก้]คำในภาษาขมุที่มีมากกว่า 1 พยางค์อาจเกิดจากการเติมหน่วยคำเติมหน้า (อุปสรรค) หรือหน่วยคำเติมกลาง (อาคม) เพื่อแสดงลักษณะทางไวยากรณ์ การเติมหน่วยคำเติมยังอาจทำให้ลักษณะน้ำเสียงในพยางค์ที่ 2 เปลี่ยนไปด้วย ตัวอย่างการเติมหน่วยคำเติมมีดังนี้[25]
- หน่วยคำเติมหน้า {ซัง–} และ {รึน–} ทำให้คำกริยาเป็นคำนาม เช่น
- จุ้ 'เจ็บ' → ซังจุ้ 'ความเจ็บป่วย'
- เต็น 'นั่ง' → รึนเต็น 'ที่นั่ง'
- หน่วยคำเติมหน้า {ตึร–} และ {อึน–} ทำให้คำกริยาเป็นคำคุณศัพท์ เช่น
- เวียด 'บิด' → ตึรเวียด 'ที่ผิดไปจากรูปเดิม'
- จ้าก 'ฉีก' → อึนจ้าก 'ที่ฉีกขาด'
- หน่วยคำเติมหน้า {ปะ–} และ {ปึน–} เปลี่ยนคำกริยาทั่วไปให้เป็นคำกริยาก่อเหตุ (กริยาการีต) เช่น
- เลียน 'ออก' → ปะเลี้ยน 'ทำให้ออก'
- ล้ง 'ลืม, ไม่รู้ทาง' → ปึนล้ง 'ปล่อย, ทำให้หลงทาง'
- หน่วยคำเติมกลาง {–ึรน–} ทำให้คำกริยาเป็นคำนาม เช่น
- แก้บ 'คีบ' → กึรแนบ 'คีม'
- ต้าญ 'สาน' → ตึรนาญ 'เครื่องสาน'
วากยสัมพันธ์
[แก้]ภาษาขมุเป็นภาษาที่มีการเรียงลำดับคำแบบประธาน–กริยา–กรรมเป็นหลัก มีการใช้คำสันธานน้อย โดยมากใช้ประโยคเรียงต่อกันเท่านั้น คำบุพบทมีไม่กี่คำ ที่ใช้มากคือคำว่า ตา หมายถึง 'ด้าน' หรือ 'ที่' และคำว่า ลอง หมายถึง 'แถว' หรือ 'บริเวณ'
ระบบการเขียน
[แก้]คณะกรรมการจัดทำระบบเขียนภาษาท้องถิ่นของกลุ่มชาติพันธุ์ด้วยอักษรไทย สำนักงานราชบัณฑิตยสภา ได้กำหนดตัวเขียนภาษาขมุอักษรไทยตามระบบเสียงภาษาขมุตะวันตกที่พูดกันในบ้านห้วยเอียน ตำบลหล่ายงาว อำเภอเวียงแก่น จังหวัดเชียงราย ไว้ดังนี้
|
|
|
อ้างอิง
[แก้]- ↑ สุวิไล เปรมศรีรัตน์. (2536). พจนานุกรมไทย–ขมุ–อังกฤษ. นครปฐม : สถาบันวิจัยภาษาและวัฒนธรรมเพื่อพัฒนาชนบท มหาวิทยาลัยมหิดล, หน้า 57, 389.
- ↑ "Kmhmu'". Ethnologue (ภาษาอังกฤษ). สืบค้นเมื่อ 2018-07-26.
- ↑ "Khuen". Ethnologue (ภาษาอังกฤษ). สืบค้นเมื่อ 2018-07-26.
- ↑ Hammarström (2015) Ethnologue 16/17/18th editions: a comprehensive review: online appendices
- ↑ "Mon-Khmer Classification (Draft)".
- ↑ Diffloth, Gérard (2005). "The contribution of linguistic palaeontology and Austroasiatic". in Laurent Sagart, Roger Blench and Alicia Sanchez-Mazas, eds. The Peopling of East Asia: Putting Together Archaeology, Linguistics and Genetics. 77–80. London: Routledge Curzon.
- ↑ Premsrirat, Suwilai. (2002). Dictionary of Khmu in Laos. Mon-Khmer Studies, Special Publication, Number 1, Volume 3. Nakhon Pathom: Mahidol University at Salaya, Thailand.
- ↑ 8.0 8.1 Premsrirat, Suwilai (2001). "Tonogenesis in Khmu dialects of SEA". Mon-Khmer Studies. 31: 54.
- ↑ 9.0 9.1 9.2 9.3 Premsrirat, Suwilai (2001). "Tonogenesis in Khmu dialects of SEA". Mon-Khmer Studies. 31: 50.
- ↑ สำนักงานราชบัณฑิตยสภา. (2566). คู่มือระบบเขียนภาษาขมุอักษรไทย ฉบับราชบัณฑิตยสภา. กรุงเทพฯ : สำนักงานราชบัณฑิตยสภา, หน้า 37.
- ↑ 11.0 11.1 Premsrirat, Suwilai (1987). "A Khmu Grammar". Papers in South-East Asian Linguistics. 10: 8.
- ↑ Premsrirat, Suwilai. The Thesaurus and Dictionary Series of Khmu Dialects in Southeast Asia. Nakhon Pathom: Institute of Language and Culture for Rural Development and SIL International, 2002.
- ↑ สำนักงานราชบัณฑิตยสภา. (2566). คู่มือระบบเขียนภาษาขมุอักษรไทย ฉบับราชบัณฑิตยสภา. กรุงเทพฯ: สำนักงานราชบัณฑิตยสภา, หน้า 38.
- ↑ สำนักงานราชบัณฑิตยสภา. (2566). คู่มือระบบเขียนภาษาขมุอักษรไทย ฉบับราชบัณฑิตยสภา. กรุงเทพฯ: สำนักงานราชบัณฑิตยสภา, หน้า 37.
- ↑ สุวิไล เปรมศรีรัตน์. (2536). พจนานุกรมไทย–ขมุ–อังกฤษ. นครปฐม : สถาบันวิจัยภาษาและวัฒนธรรมเพื่อพัฒนาชนบท มหาวิทยาลัยมหิดล, หน้า (25).
- ↑ สุวิไล เปรมศรีรัตน์. (2536). พจนานุกรมไทย–ขมุ–อังกฤษ. นครปฐม : สถาบันวิจัยภาษาและวัฒนธรรมเพื่อพัฒนาชนบท มหาวิทยาลัยมหิดล, หน้า (25)–(26).
- ↑ สำนักงานราชบัณฑิตยสภา. (2566). คู่มือระบบเขียนภาษาขมุอักษรไทย ฉบับราชบัณฑิตยสภา. กรุงเทพฯ: สำนักงานราชบัณฑิตยสภา, หน้า 16.
- ↑ Premsrirat, Suwilai (2001). "Tonogenesis in Khmu dialects of SEA". Mon-Khmer Studies. 31: 54.
- ↑ ผณินทรา ธีรานนท์. (2557). เสียงวรรณยุกต์ในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ : กำเนิดและพัฒนาการ. เชียงราย: ชอบพิมพ์, หน้า 41.
- ↑ Premsrirat, Suwilai (2001). "Tonogenesis in Khmu dialects of SEA". Mon-Khmer Studies. 31: 53.
- ↑ สำนักงานราชบัณฑิตยสภา. (2566). คู่มือระบบเขียนภาษาขมุอักษรไทย ฉบับราชบัณฑิตยสภา. กรุงเทพฯ: สำนักงานราชบัณฑิตยสภา, หน้า 44.
- ↑ สำนักงานราชบัณฑิตยสภา. (2566). คู่มือระบบเขียนภาษาขมุอักษรไทย ฉบับราชบัณฑิตยสภา. กรุงเทพฯ: สำนักงานราชบัณฑิตยสภา, หน้า 45.
- ↑ 23.0 23.1 สุวิไล เปรมศรีรัตน์. (2536). พจนานุกรมไทย–ขมุ–อังกฤษ. นครปฐม : สถาบันวิจัยภาษาและวัฒนธรรมเพื่อพัฒนาชนบท มหาวิทยาลัยมหิดล, หน้า (29).
- ↑ สำนักงานราชบัณฑิตยสภา. (2566). คู่มือระบบเขียนภาษาขมุอักษรไทย ฉบับราชบัณฑิตยสภา. กรุงเทพฯ: สำนักงานราชบัณฑิตยสภา, หน้า 17.
- ↑ สำนักงานราชบัณฑิตยสภา. (2566). คู่มือระบบเขียนภาษาขมุอักษรไทย ฉบับราชบัณฑิตยสภา. กรุงเทพฯ: สำนักงานราชบัณฑิตยสภา, หน้า 16–17.