สังคมนิยมแบบอิสรนิยม

จากวิกิพีเดีย สารานุกรมเสรี
"อนาธิปไตยสังคมนิยม" เปลี่ยนทางมาที่นี่ สำหรับสาขาของอนาธิปไตยที่มุ่งเน้นการช่วยเหลือซึ่งกันและกัน ซึ่งในบางครั้งก็ถูกเรียกด้วยชื่อที่คล้ายกัน ดูที่ อนาธิปไตยสังคม
ธงของขบวนการสหการนิยมแบบอนาธิปไตยและสังคมนิยมแบบอิสรนิยม

สังคมนิยมแบบอิสรนิยม (อังกฤษ: libertarian socialism) บ้างเรียก อนาธิปไตยสังคมนิยม (socialist anarchism)[1][2][3] สังคมนิยมเสรี (free socialism)[4] หรือ สังคมนิยมไร้รัฐ (stateless socialism)[5] เป็นกลุ่มปรัชญาการเมืองแบบอิสรนิยมซึ่งต่อต้านอำนาจนิยม (anti-authoritarianism) และรัฐนิยม (anti-statism)[6][7] ในขบวนการสังคมนิยม (history of socialism) ซึ่งปฏิเสธมุมมองสังคมนิยมในรูปรัฐนิยม (statism) ของสังคมนิยมรัฐ (state socialism) ที่ว่ารัฐเป็นผู้ผูกขาดอำนาจควบคุมเหนือเศรษฐกิจ (state ownership) แบบรวมศูนย์ (centralisation)[8][9] นักสังคมนิยมแบบอิสรนิยมวิจารณ์ความสัมพันธ์แบบทาสค่าจ้าง (wage slavery) ในสถานที่ทำงาน (workplace)[10] เน้นเรื่องการจัดการโดยคนทำงานเอง (workers' self-management)[11] และองค์กรทางการเมืองที่มีโครงสร้างแบบกระจายอำนาจ (decentralization)[12][8][13] และมีแนวคิดที่คาบเกี่ยวกับอนาธิปไตยและอิสรนิยม[14][15] สังคมนิยมแบบอิสรนิยมเป็นขบวนการสังคมนิยมกว้าง ๆ ซึ่งประกอบไปด้วยแนวคิดอนาธิปไตย มาร์กซิสต์ และอิสรนิยมฝ่ายซ้าย (left-libertarian) อื่น ๆ[16] สังคมนิยมแบบอิสรนิยมกระแสหลักประกอบด้วยอนาธิปไตยและลัทธิมากซ์แบบอิสรนิยม (libertarian Marxism)[17][18]

โดยทั่วไป คติสังคมนิยมแบบอิสรนิยมปฏิเสธแนวคิดของรัฐ[11] และอ้างว่าทางเดียวที่สังคมซึ่งอยู่บนฐานของเสรีภาพและความยุติธรรมจะเกิดขึ้นได้ คือการยกเลิกสถาบันแบบอำนาจนิยมซึ่งควบคุมปัจจัยการผลิตและกดขี่คนส่วนมากให้อยู่ภายใต้ชนชั้นที่เป็นเจ้าของและอภิชน (elite) ทางเศรษฐกิจและการเมือง[19] นักสังคมนิยมแบบอิสรนิยมสนับสนุนโครงสร้างการกระจายอำนาจผ่านระบอบประชาธิปไตยโดยตรงและการสมาคมแบบสหพันธรัฐหรือสมาพันธรัฐ[20] เช่น สมัชชาพลเมือง (citizen's assembly) สมัชชาประชาชน (popular assembly) สหกรณ์ ระบบเทศบาลแบบอิสรนิยม สหภาพแรงงาน และสภาคนทำงาน (worker's council)[8][21] สิ่งเหล่านี้บรรลุผลผ่านการเรียกร้องเสรีภาพ[8] และการสมาคมอย่างอิสระของผู้ผลิต (Free association of producers)[9] ผ่านการระบุ วิจารณ์ และถอนรากถอนโคนในทางปฏิบัติ อำนาจที่ไม่ชอบธรรมออกจากทุกแง่มุมของชีวิตมนุษย์[22][23][24][25][26][27] สังคมนิยมแบบอิสรนิยมมีแนวทางที่ต่างจากแนวทางอำนาจนิยม (authoritarian socialism) และแนวหน้านิยม (vanguardism) ของลัทธิบอลเชวิค/ลัทธิเลนิน และแนวทางปฏิรูปนิยมของลัทธิเฟเบียน/ประชาธิปไตยสังคมนิยม[28][29]

เพราะฉะนั้น นักสังคมนิยมแบบอิสรนิยมเชื่อว่า “การใช้อำนาจในรูปแบบของสถาบันใดๆก็ตาม ไม่ว่าจะเป็นสถาบันทาง เศรษฐกิจ การเมือง ศาสนา หรือ ที่เกี่ยวกับเพศ คือการทำร้ายทั้งผู้ใช้อำนาจและผู้ที่ถูกบังคับข่มเหงภายใต้อำนาจนั้นๆ”[30]

เค้าโครง[แก้]

บทนิยาม[แก้]

มีฮาอิล บาคูนิน (ค.ศ. 1814-1876)

สังคมนิยมแบบอิสรนิยมเป็นปรัชญาตะวันตกซึ่งถูกตีความไปอย่างหลากหลาย แต่ทุกการตีความก็มีบางสิ่งที่เหมือนกัน คือการสนับสนุนระบบการผลิตที่เน้นคนทำงานและการจัดระเบียบในที่ทำงานซึ่งแตกต่างจากเศรษฐศาสตร์นีโอคลาสสิก (neoclassical economics) โดยพื้นฐาน และแทนที่ด้วยระบบสหกรณ์ที่เป็นประชาธิปไตยหรือการเป็นเจ้าของปัจจัยการผลิตร่วมกัน (common ownership) (แนวคิดสังคมนิยม)[31] โดยเสนอว่าระบบเศรษฐกิจนี้จะถูกนำมาปฏิบัติในวิถีทางซึ่งเพิ่มเสรีภาพของตัวบุคคลให้มากที่สุด และลดการรวมศูนย์ของอำนาจให้เหลือน้อยที่สุด (แนวคิดอิสรนิยม) ผู้ที่สนับสนุนแนวคิดนี้เสนอวิธีการได้สิ่งเหล่านี้มาด้วยการล้มล้างระบบทรัพย์สินส่วนบุคคลและสถาบันการปกครองในรูปแบบรัฐ แล้วแทนที่ด้วยการสมาคมอย่างอิสระที่เกิดขึ้นตามธรรมชาติระหว่างกลุ่มปกครองตนเองหรือสหพันธ์[19] และการกระจายอำนาจทางเศรษฐกิจและการเมืองผ่านการโอนวิสาหกิจและทรัพย์สินส่วนบุคคลขนาดใหญ่มาเป็นของสังคม (และในขณะเดียวกันก็ยังอนุญาตให้มีทรัพย์สินส่วนตัว (personal property)) คติสังคมนิยมแบบอิสรนิยมปฏิเสธความชอบธรรมของทรัพย์สินส่วนบุคคลในรูปแบบใดก็ตามที่มีนัยสำคัญในเชิงเศรษฐกิจ โดยมองว่าความสัมพันธ์ของทรัพย์สินแบบทุนนิยมเป็นการครอบงำรูปแบบหนึ่งซึ่งเป็นปฏิปักษ์ต่อเสรีภาพของบุคคล[8]

ดไวต์ แมกโดนัลด์ (Dwight Macdonald) ให้นิยามของคำว่าสังคมนิยมแบบอิสรนิยมไว้ดังนี้: "สังคมไร้ชนชั้นซึ่งรัฐได้หายไปแล้ว ซึ่งการผลิตเป็นแบบสหกรณ์ และซึ่งไม่มีใครมีอำนาจทางการเมืองหรือเศรษฐกิจเหนือใคร" และเป็นสังคมที่ "วัดกันด้วยความสามารถที่บุคคลหนึ่งจะพัฒนาทักษะและบุคลิกลักษณะของตัวเองไปได้ไกลขนาดไหน" [32]

หนังสือพิมพ์คอมมิวนิสต์อิสรนิยมภาษาฝรั่งเศส เลอ ลีแบร์แตร์ ฉบับวันที่ 17 สิงหาคม ค.ศ. 1860 จัดพิมพ์โดย โฌแซ็ฟ เดฌัก

เลอ ลีแบร์แตร์ (Le Libertaire) เป็นนิตยสารอนาธิปัตย์ฉบับแรกที่ใช้คำว่า ลิเบอร์ทาเรียน (หรือในภาษาไทย คำว่า อิสรนิยม) ซึ่งตีพิมพ์ในนครนิวยอร์กระหว่าง ค.ศ. 1858 ถึง 1861 โดยนักคอมมิวนิสต์อิสรนิยมชื่อว่า โฌแซ็ฟ เดฌัก (Joseph Déjacque)[33] คำนี้ถูกใช้ครั้งต่อมาในทวีปยุโรป เมื่อคำว่า ลิเบอร์ทาเรียนคอมมิวนิสซึม (หรือ ลัทธิคอมมิวนิสต์แบบอิสรนิยม) ถูกนำมาใช้เป็นครั้งแรกในสภาอนาธิปัตย์ท้องถิ่นในประเทศฝรั่งเศสที่เมืองเลออาฟวร์ในวันที่ 16-22 พฤศจิกายน ค.ศ. 1880 ต่อมาในเดือนมกราคม ค.ศ. 1881 มีการเผยแพร่คำแถลงอุดมการณ์ของ "ลัทธิคอมมิวนิสต์แบบอิสรนิยมหรืออนาธิปไตย" เป็นภาษาฝรั่งเศส และสุดท้ายใน ค.ศ. 1895 นักอนาธิปัตย์แนวหน้าอย่าง เซบัสเตียง ฟอร์ (Sébastien Faure) และ หลุยส์ มิแชล (Louis Michel) ได้ตีพิมพ์นิตยสาร เลอ ลีแบร์แตร์ ในประเทศฝรั่งเศส[33] คำว่า ลิเบอร์ทาเรียน ในภาษาอังกฤษนี้เองก็มีรากเดียวกันกับคำร่วมเชื้อสายในภาษาฝรั่งเศสคำว่า ลีแบร์แตร์ ซึ่งถูกใช้เพื่อหลีกเลี่ยงคำสั่งห้ามตีพิมพ์นิตยสารอนาธิปไตย (Lois scélérates) ในประเทศฝรั่งเศส[34] ในธรรมเนียมนี้ คำว่า ลิเบอร์ทาเรียนนิสซึม (libertarianism) หรืออิสรนิยมจึงใช้เป็นคำไวพจน์ของคำว่าอนาธิปไตย ซึ่งเป็นความหมายดั้งเดิมของมัน[35] ในบริบทของขบวนการสังคมนิยมในยุโรป คำว่า ลิเบอร์ทาเรียน หมายถึงนักสังคมนิยมซึ่งต่อต้านอำนาจนิยมและสังคมนิยมรัฐเช่น มีฮาอิล บาคูนิน และมีแนวคิดคาบเกี่ยวกับอนาธิปไตยสังคม[2][36] แต่อนาธิปไตยแบบปัจเจกก็ถือว่าเป็นคติสังคมนิยมแบบอิสรนิยมเช่นกัน[37] คติปัจเจกนิยมใด ๆ ที่ไม่ได้เป็นแบบล็อกล้วนเป็นแนวคิดแบบสังคมนิยม ซึ่งรวมถึงสังคมนิยมแบบอิสรนิยม[38]

โนม ชอมสกี เป็นนักคิดสังคมนิยมอิสรนิยมที่มีชื่อเสียงที่สุดคนหนึ่งในปัจจุบัน

อิสรนิยมมีความสัมพันธ์กับสังคมนิยมมาก่อนระบบทุนนิยม และคนที่ต่อต้านอำนาจนิยมในปัจจุบันก็ยังประณามความเข้าใจซึ่งพวกเขามองว่าผิด ว่าอิสรนิยมมีความเกี่ยวข้องกับระบอบทุนนิยมอย่างในประเทศสหรัฐอเมริกา[39] ตามที่ โนม ชอมสกี กล่าว นักอิสรนิยมที่คงเส้นคงวา "จะต้องต่อต้านความเป็นเจ้าของปัจจัยการผลิตของเอกชนและระบบทาสค่าจ้าง ซึ่งเป็นองค์ประกอบของระบบนี้ และไม่สอดคล้องกับหลักการที่ว่าแรงงานจะต้องสามารถกระทำได้อย่างเสรีและอยู่ใต้อำนาจควบคุมของผู้ที่ผลิตมัน"[40] คำว่า สังคมนิยมอนาธิปไตย อนาธิปไตยสังคมนิยม อนาธิปไตยแบบสังคมนิยม สังคมนิยมเสรี สังคมนิยมไร้รัฐ และ อิสรนิยมแบบสังคมนิยม ล้วนหมายถึงสังคมนิยมซึ่งอยู่ฝั่งอนาธิปไตยหรือเป็นแบบอิสรนิยม[41] หรืออยู่ฝั่งตรงข้ามกับสังคมนิยมแบบอำนาจนิยม (Authoritarian socialism)[42][43]

นักสังคมนิยมอิสรนิยมอ้างว่ารัฐภายใต้ลัทธิเลนินอย่างเช่นสหภาพโซเวียตนั้นอยู่ในระยะของกระบวนการแปรเปลี่ยนจากระบอบทุนนิยมเป็นสังคมนิยมผ่านหลักการของเลนิน แต่ก็ไม่เคยได้พัฒนาไปไกลกว่าระยะนี้[44] พวกเขาต้องการยกเลิกการมีอยู่ของรัฐโดยไม่ต้องผ่านระยะเปลี่ยนผ่านที่เป็นระบอบทุนนิยมรัฐ[45]

การจัดหมวดหมู่[แก้]

สังคมนิยมแบบอิสรนิยมเป็นคติอิสรนิยมฝ่ายซ้ายสายสังคมนิยมรูปแบบหนึ่ง[41][7][35] และขบวนการตั้งแต่อดีตจนถึงปัจจุบันซึ่งมักถูกจัดกลุ่มว่าเป็นคติสังคมนิยมแบบอิสรนิยมมี อาทิเช่น อนาธิปไตย (โดยเฉพาะสำนักคิดอนาธิปไตย (anarchist schools of thought) เช่นลัทธิอนาธิปไตย-คอมมิวนิสต์ สหการนิยมแบบอนาธิปไตย (anarcho-syndicalism)[46] อนาธิปไตยแบบรวมหมู่ (collectivist anarchism) อนาธิปไตยสีเขียว (green anarchism) อนาธิปไตยแบบปัจเจก (individualist anarchism)[47][48][49][50] คติความช่วยเหลือซึ่งกันและกัน (Mutualism (economic theory))[51] และอนาธิปไตยสังคม (social anarchism)) รวมไปถึงชุมชนนิยม (communalism) สังคมนิยมประชาธิปไตย (democratic socialism) ในบางรูปแบบ สังคมนิยมแบบสมาคมอาชีพ (guild socialism)[52] ลัทธิมากซ์แบบอิสรนิยม[12] (เช่น อัตตาณัตินิยม (autonomism) ลัทธิคอมมิวนิสต์แบบองค์คณะนิยม[53] ลัทธิคอมมิวนิสต์ฝ่ายซ้าย (left communism) ลัทธิลุคเซิมบวร์ค ฯลฯ)[54][55] คตินิยมการมีส่วนร่วม (participism) สหการนิยม และสังคมนิยมแบบยูโทเปีย (utopian socialism) ในบางรูปแบบ[56]

ประวัติ[แก้]

นักเศรษฐศาสตร์ โรบิน ฮาห์เนล เล่าถึงประวัติศาสตร์ของสังคมนิยมแบบอิสรนิยมไว้ในหนังสือของเขาชื่อ อิคอนอมิกส์จัสติสแอนด์เดโมเครซี (Economic Justice and Democracy) (ค.ศ. 2005) ในตอนหนึ่งว่า ช่วงเวลาที่แนวคิดสังคมนิยมแบบอิสรนิยมนั้นสร้างผลกระทบมากที่สุดนั้นคือช่วงปลายคริสต์ศตวรรษที่ 19 จนถึงช่วงสี่ทศวรรษแรกของคริสต์ศตวรรษที่ 20 เขากล่าวว่าในช่วงต้นของคริสต์ศตวรรษที่ 20 "สังคมนิยมแบบอิสรนิยมเป็นกระแสที่แรงพอ ๆ กันกับประชาธิปไตยสังคมนิยมและลัทธิคอมมิวนิสต์" องค์การอนาธิปไตยสากลแซ็งตีมีเย (Anarchist St. Imier International) ที่ฮาห์เนลเรียกว่าองค์การอิสรนิยมสากล ถูกก่อตั้งขึ้นใน ค.ศ. 1872 ณ การประชุมใหญ่แห่งแซ็งตีมีเยไม่กี่วันให้หลังจากการแยกตัวของฝั่งมาร์กซิสต์และฝั่งอิสรนิยมในการประชุมใหญ่แห่งกรุงเฮกใน ค.ศ. 1872 (Hague Congress (1872)) ของสมาคมกรรมกรสากล (First international) หรือที่ฮาห์เนลเรียกว่าองค์การสังคมนิยมสากล องค์การอิสรนิยมสากลนี้ "ต่อสู้แย่งชิงความภักดีของนักกิจกรรมต่อต้านทุนนิยม นักปฏิวัติ คนทำงาน สหภาพ และพรรคการเมือง จากพวกนิยมประชาธิปไตยสังคมนิยมและคอมมิวนิสต์ได้สำเร็จมาตลอดช่วงเวลากว่าห้าสิบปี" สำหรับฮาห์เนลแล้ว นักสังคมนิยมอิสรนิยม "มีบทบาทที่สำคัญในการปฏิวัติรัสเซียใน ค.ศ. 1905 และ 1917 นักสังคมนิยมอิสรนิยมมีบทบาทที่สำคัญในการปฏิวัติเม็กซิโกใน ค.ศ. 1911 ยี่สิบปีหลังจุดจบของสงครามโลกครั้งที่หนึ่ง นักสังคมนิยมอิสรนิยมยังคงมีกำลังมากพอที่จะเป็นหัวหอกของการปฏิวัติทางสังคมซึ่งแพร่กระจายไปทั่วประเทศสเปนให้เป็นสาธารณรัฐใน ค.ศ. 1936 และ 1937"[57] ในขณะที่อีกฟากหนึ่ง แนวคิดแบบอิสรนิยมเริ่มก่อกำเนิดขึ้นมาในลัทธิมากซ์และโดดเด่นขึ้นมาช่วงปลายคริสตทศวรรษ 1910 เป็นปฏิกิริยาโต้กลับลัทธิบอลเชวิคและลัทธิเลนินซึ่งได้ก้าวเข้ามามีอำนาจและสถาปนาจัดตั้งสหภาพโซเวียต[58][59][60]

ในคำนำซึ่งเขียนโดย เคนต์ บรอมลีย์ (Kent Bromley) ในหนังสือ เดอะคอนเควสต์ออฟเบรด (The Conquest of Bread) ของ ปิออตร์ โครปอตกิน (Peter Kropotkin) เขาถือว่านักสังคมนิยมแบบยูโทเปียชาวฝรั่งเศส ชาร์ล ฟูรีเย (Charles Fourier) เป็นผู้สถาปนาแนวคิดสังคมนิยมสาขาอิสรนิยมซึ่งตรงข้ามกับแนวคิดสังคมนิยมแบบอำนาจนิยมของ ฟร็องซัว-โนเอล บาเบิฟ (François-Noël Babeuf) และฟิลิปป์ บูโอนาร์รอตตี (Philippe Buonarroti)[56]

ช่วงปลายคริสต์ศตวรรษที่ 20 ถึง 21[แก้]

ตามที่นักรัฐศาสตร์ ฟร็องซิส ดูว์ปุยส์ล-เดรี (Francis Dupuis-Déri) กล่าว: "หลายปีที่ผ่านมาช่วงคริสตทศวรรษ 1970 และ 1980 อารมณ์ของการต่อต้านอำนาจนิยมและการต่อต้านชนชั้นวรรณะปรากฏตัวขึ้นในขบวนการทางสังคม ซึ่งมองว่าองค์การที่ต่อสู้เป็นพื้นที่เสรี ซึ่งปกครองและจัดการโดยสมาชิกเอง และซึ่งสำนึกในผลประโยชน์ของส่วนรวม ความเท่าเทียม และเสรีภาพ ที่พัฒนาผ่านการปรึกษาหารือ ต่อมาอารมณ์ของการต่อต้านโลกาภิวัตน์ก็ถูกรับเข้ามาในขบวนการ ซึ่งถือกำเนิดขึ้นในช่วงปลายคริสตทศวรรษ 1990 ผ่านการชุมนุมบนท้องถนนที่น่าประทับใจ ตั้งแต่ยุทธการแห่งซีแอตเทิลใน ค.ศ. 1999 จนถึงการเคลื่อนไหวต่อต้าน กลุ่ม 8 ในประเทศเยอรมนีช่วงฤดูร้อน ค.ศ. 2007 รวมถึงเครือข่ายทั่วโลก สื่อทางเลือก ศิลปะ และค่ายมูลวิวัติซึ่งอยู่บนชายขอบของเวทีสมัชชาสังคม"[61]

ตัวอย่าง[แก้]

AANES มีความพยายามสนับสนุนให้คนทำงานก่อตั้งสหกรณ์ขึ้นมา เช่นสหกรณ์เย็บผ้าในเมืองเดริก (Dêrik) ดังภาพ

ตัวอย่างขององค์กรและตัวแบบการตัดสินใจในภาคปฏิบัติของขบวนการสังคมนิยมแบบอิสรนิยมร่วมสมัยประกอบด้วยขบวนการต่อต้านทุนนิยมและโลกาภิวัตน์[62] อาทิ กองทัพปลดปล่อยแห่งชาติซาปาติสตา (EZLN) และระบบ "สภาแห่งรัฐบาลที่ดี" (Junta de Buen Gobierno) ฝ่ายปกครองตนเองซีเรียเหนือและตะวันออก (AANES)[63] เครือข่ายของนักข่าวทั่วโลก อินดีมีเดีย (Indymedia) ซึ่งครอบคลุม 45 ประเทศใน 6 ทวีป และยังรวมถึงตัวอย่างของสังคมคนพื้นเมืองจำนวนหนึ่งซึ่งอาจถือได้ว่ามีระบบเศรษฐกิจและการเมืองแบบอนาธิปไตยหรือสังคมนิยมอิสรนิยมซึ่งแตกต่างไปตามวัฒนธรรมของคนแต่ละกลุ่ม[64]

มโนคติ[แก้]

คติต่อต้านทุนนิยม[แก้]

พีระมิดของระบบทุนนิยม อิงตามสหภาพแรงงานสากลคนงานอุตสาหกรรมแห่งโลก ค.ศ. 1911
ดูบทความหลักที่: คติต่อต้านทุนนิยม

นักสังคมนิยมอิสรนิยมเสนอว่าเมื่ออำนาจถูกใช้ส่งอิทธิพลของบุคคลหนึ่งเหนือบุคคลอื่น ภาระการให้ความชอบธรรมนั้นตกอยู่กับผู้ที่ใช้อำนาจตราบเท่าที่มันถูกใช้ละเมิดสิทธิของบุคคล[65] นักสังคมนิยมอนาธิปไตยมองว่าโครงสร้างทางสังคมใด ๆ ควรถือกำเนิดขึ้นจากกลุ่มของบุคคลที่มีอำนาจการตัดสินใจเท่ากัน การสะสมอำนาจทางเศรษฐกิจหรือการเมืองไว้ในมือของกลุ่มคนไม่กี่คนจึงเป็นการละเมิดการใช้เสรีภาพของบุคคลอย่างเสรีของบุคคลส่วนใหญ่ในกลุ่ม[66]

สังคมนิยมแบบอิสรนิยมเป็นแนวคิดที่ต่อต้านระบอบทุนนิยม (Anti-capitalism) ซึ่งมีหลักการที่ต่างจากลัทธิทุนนิยมและอิสรนิยมฝ่ายขวา (right-libertarianism) ซึ่งสนับสนุนการรวมศูนย์อำนาจทางเศรษฐกิจไว้ในมือของกลุ่มคนที่เป็นเจ้าของทุนเยอะที่สุด คติสังคมนิยมแบบอิสรนิยมมีเป้าหมายที่จะกระจายอำนาจให้ทั่วถึงคนทุกคนในสังคม และต่างจากคติอิสรนิยมฝ่ายขวา เช่น เสรีนิยมใหม่ ตรงที่คติอย่างแรกเชื่อว่าเสรีภาพของคน ๆ หนึ่งขึ้นอยู่กับสถานะทางเศรษฐกิจและสังคมของเขา ในขณะที่คติอย่างหลังเชื่อในเสรีภาพในการเลือกในระบอบทุนนิยม โดยเฉพาะทรัพย์สินส่วนบุคคลในระบอบทุนนิยม[67]

หรือพูดอีกแบบ ในขณะที่ทุนนิยมมีหลักการที่รวมศูนย์อำนาจทางเศรษฐกิจไว้ในมือของบุคคลที่มีทุนมากที่สุด (ดังเช่นแนวคิดอิสรนิยมในทวีปอเมริกาเหนือ) สังคมนิยมแบบอิสรนิยมในทางกลับกันมุ่งที่จะกระจายอำนาจ และดังนั้นเสรีภาพ ให้กับทุกคนในสังคมอย่างเท่าเทียม[68]

คติอนาธิปไตยวิจารณ์ความสัมพันธ์แบบทาสค่าจ้างซึ่งถือว่าเป็นเหมือนทาสกึ่งสมัครใจ (voluntary slavery)[69] ที่การดำรงชีพ (livelihood) ของบุคคลหนึ่งขึ้นอยู่กับค่าจ้างของเขาเพียงอย่างเดียว[70][71] คำว่าทาสค่าจ้างเป็นคำที่มีนัย (connotation) เชิงลบซึ่งเป็นการเปรียบเทียบระหว่างความเป็นทาสกับแรงงานรับจ้าง (wage labour) โดยมุ่งเน้นไปที่ความคล้ายคลึงระหว่างการเป็นเจ้าของกับการเช่ามนุษย์คนหนึ่ง คำนี้ถูกนำมาใช้เพื่อวิจารณ์การแสวงหาประโยชน์ทางเศรษฐกิจ (economic exploitation) และการจัดช่วงชั้นทางสังคม โดยอย่างแรกถูกมองว่าแสดงถึงอำนาจการต่อรองระหว่างแรงงานกับทุนที่ไม่เท่ากันเป็นหลัก (โดยเฉพาะเมื่อคนทำงานมีค่าจ้างต่ำ อย่างเช่นในโรงงานนรก (sweatshop))[72] และอย่างหลังพูดถึงการขาดแคลนของระบบการจัดการโดยคนทำงานเองซึ่งจะสนองทางเลือกอาชีพการงานและนันทนจิต (leisure) ภายในระบบเศรษฐกิจ[73][74][75] นักสังคมนิยมอิสรนิยมเชื่อว่า ด้วยการให้คุณค่ากับเสรีภาพ สังคมจะมุ่งหน้าไปสู่ระบบที่ปัจเจกบุคคลมีอำนาจในการตัดสินใจเกี่ยวกับประเด็นทางเศรษฐกิจและการเมือง และต้องการแทนที่อำนาจที่ไม่ชอบธรรมด้วยระบบประชาธิปไตยโดยตรง การสมาคมโดยสมัครใจ และการปกครองตนเองของประชาชนในทุกแง่มุมของชีวิต[76] ซึ่งรวมถึงทั้งชุมชนในเชิงกายภาพและวิสาหกิจในเชิงเศรษฐกิจ ด้วยการมาถึงของการปฏิวัติอุตสาหกรรม นักคิดหลายคนเช่น ปีแยร์-โฌแซ็ฟ ปรูดอน (Pierre-Joseph Proudhon) และ คาร์ล มาคส์ ได้สาธยายเปรียบเทียบระหว่างแรงงานรับจ้างกับทาส ในบริบทของการวิจารณ์ทรัพย์สินทางสังคมซึ่งไม่ได้มีไว้สำหรับใช้ในกิจส่วนตัว[77][78] ต่อมา เอมมา โกลด์แมน (Emma Goldman) ได้กล่าวประณามทาสค่าจ้างว่า ทาสกับแรงงานรับจ้างต่างกันแค่ตรงที่อย่างแรกเป็นทาสซื้อขายและอีกอย่างเป็นทาสให้เช่า[79]

จอห์น โอนีลล์ กล่าวว่า ก่อนหน้าชัยชนะทางการเมืองของลัทธิบอลเชวิคในยุโรปตะวันออกและลัทธิเฟเบียนรูปแบบต่าง ๆ ในยุโรปตะวันตก ประวัติของแนวคิดสังคมนิยมนั้นเต็มไปด้วยธรรมเนียมของการสมาคมซึ่งไม่ใช่แบบตลาดและการต่อต้านรัฐ[28] นักสังคมนิยมแบบอิสรนิยมหลายคนเชื่อว่าการผลิตภาคอุตสาหกรรมนั้นควรถูกจัดการโดยสมาคมโดยสมัครใจขนาดใหญ่ ในขณะเดียวกัน คนทำงานแต่ละคนก็สมควรมีสิทธิในผลผลิตแต่ละชิ้นซึ่งมาจากแรงงานของตนเอง[80] พวกเขาแยกประเภทของทรัพย์สินเพิ่มเป็นทรัพย์สินส่วนบุคคลกับทรัพย์สินส่วนตัว โดยทรัพย์สินส่วนบุคคลเป็นทรัพย์สินชนิดที่ผู้ถือกรรมสิทธิ์ในสิ่ง ๆ หนึ่งนั้นจะมีอำนาจเหนือสิ่งนั้นไม่ว่ามันกำลังถูกใช้งานอยู่หรือหรือไม่ และไม่ว่ามันจะมีศักยภาพในการผลิตมากขนาดไหน ในขณะที่ทรัพย์สินส่วนตัวเป็นทรัพย์สินชนิดที่หากไม่ได้ถูกนำมาใช้งานอยู่ก็ไม่มีใครที่ถือกรรมสิทธิ์ในทรัพย์สินนั้น[81] มากไปกว่านั้น พวกเขายังตั้งคำถามถึงการแบ่งแยกระหว่างการทำงานและการใช้ชีวิต (refusal of work) และเสนอทางเลือกใหม่แทน ซึ่งมีรากฐานในแนวคิดเกี่ยวกับศักดิ์ศรี การตระหนักรู้ในตนเอง และเสรีภาพจากการถูกแสวงหาประโยชน์และการครอบงำ ซึ่งในที่นี้เสรีภาพซึ่งไม่ได้เป็นเชิงลบ (negative liberty) เพียงอย่างเดียว แต่ยังเป็นเสรีภาพเชิงบวก (positive liberty) ด้วย ในแง่ที่มองถึงความเจริญรุ่งเรืองของมนุษย์ ก็เป็นสิ่งที่สำคัญ และเป็นความเข้าใจของแนวคิดเรื่องเสรีภาพซึ่งเกี่ยวโยงกับกับเงื่อนไขทางสังคมและชุมชน และซึ่งมองว่าเสรีภาพนั้นแยกไม่ขาดจากแนวคิดเรื่องความเท่าเทียม[82]

คติต่อต้านอำนาจนิยมและรัฐนิยม[แก้]

แนวคิดอิสรนิยมโดยทั่วไปถือว่าการรวมศูนย์อำนาจเป็นบ่อเกิดของการกดขี่ซึ่งจำต้องถูกท้าทายและให้ความชอบธรรมอยู่อย่างต่อเนื่อง นักสังคมนิยมแบบอิสรนิยมส่วนใหญ่เชื่อว่าเมื่ออำนาจถูกใช้ส่งอิทธิพลไม่ว่าจะเป็นทางเศรษฐกิจ สังคม หรือทางกายภาพ ของบุคคลหนึ่งเหนือบุคคลอื่น ภาระการให้ความชอบธรรมนั้นตกอยู่กับผู้ที่ใช้อำนาจตราบเท่าที่มันถูกใช้ละเมิดสิทธิของบุคคล[65] และยังต่อต้านโครงสร้างของอำนาจที่ตายตัวและเป็นลำดับชั้น ไม่ว่าจะเป็นอำนาจทางการเมือง (power (social and political) ทางเศรษฐกิจ (economic power) หรือทางสังคม[83]

นักสังคมนิยมแบบอิสรนิยมมุ่งที่จะแทนที่รัฐและบริษัทด้วยการจัดระเบียบของสังคมเป็นสมาคมโดยสมัครใจ (เช่น คอลเลกทีฟ (collective), คอมมูน (intentional community), เทศบาล, สหกรณ์, ทรัพยากรส่วนรวม (commons) หรือสหการ (syndicate)) ซึ่งใช้ประชาธิปไตยโดยตรงและฉันทามติในกระบวนการตัดสินใจเรื่องต่าง ๆ นักสังคมนิยมแบบอิสรนิยมบางคนสนับสนุนให้รวมสมาคมเหล่านี้เข้าด้วยกันเป็นสหพันธ์ในระดับที่สูงขึ้นซึ่งประกอบไปด้วยตัวแทนแบบหมุนเวียนและเรียกกลับได้[84] ตัวอย่างของสหพันธ์รูปแบบนี้ในทางปฏฺบัติเช่นอนาธิปไตยในประเทศสเปน (anarchism in spain) หรือตัวอย่างในปัจจุบันดังที่ยกตัวอย่างไป

ตรงข้ามกับความคิดทั่วไป สังคมนิยมแบบอิสรนิยมไม่ใช่ขบวนการแบบยูโทเปีย (utopia) และมักหลีกเลี่ยงการคาดการณ์หรือการวิเคราะห์เชิงทฤษฎีเชิงลึกว่าสังคมในอนาคตจะมีหน้าตาเป็นอย่างไร แต่ยึดธรรมเนียมว่าการตัดสินใจเรื่องเหล่านั้นไม่สามารถทำได้ในตอนนี้ โดยจะทำได้ผ่านการดิ้นรนและการทดลองเท่านั้นเพื่อให้ได้มาซึ่งคำตอบที่ดีที่สุดอย่างเป็นประชาธิปไตยและเป็นธรรมชาติ และการวางรากฐานทิศทางการดิ้นรนไว้บนตัวอย่างในประวัติศาสตร์ที่เกิดขึ้นแล้ว โดยชี้ให้เห็นความสำเร็จของระเบียบวิธีแบบวิทยาศาสตร์ว่าเกิดจากการยึดในการสำรวจอย่างมีเหตุผลที่เปิดกว้าง แทนที่จะยึดว่าข้อสรุปเป็นอย่างไร ต่างจากสิทธันต์ (dogma) และการคาดการณ์ไว้ก่อนหน้าอย่างสิ้นเชิง นักอนาธิปัตย์คนหนึ่งชื่อ รูด็อล์ฟ ร็อคเคอร์ (Rudolf Rocker) ได้กล่าวว่าเขาไม่ได้เป็นนักอนาธิปัตย์เพราะเขาเชื่อในอนาธิปไตยเป็นเป้าหมายสุดท้าย แต่เพราะมันไม่มีสิ่งที่เรียกว่าเป้าหมายสุดท้าย[85]

เพราะสังคมนิยมแบบอิสรนิยมส่งเสริมให้มีการสำรวจและยอมรับความคิดที่หลากหลายมากกว่าการจัดตั้งขบวนการที่เหนียวแน่น จึงมีการโต้เถียงเกี่ยวกับความเป็นนักสังคมนิยมของบางคนที่ไม่เห็นด้วยกับแนวคิดหลักในบางข้ออยากหลีกเลี่ยงไม่ได้ ปีเตอร์ เฮน (Peter Hain) ตีความสังคมนิยมแบบอิสรนิยมเป็นแนวคิดแบบ "จุลาธิปไตย" (minarchism) มากกว่าอนาธิปไตย โดยสนับสนุนการกระจายอำนาจแบบมูลวิวัติแต่ไม่ไปไกลถึงขนาดการล้มเลิกรัฐอย่างสมบูรณ์[86] นักสังคมนิยมแบบอิสรนิยม โนม ชอมสกี สนับสนุนการรื้อถอนอำนาจทางสังคมและเศรษฐกิจที่ไม่ชอบธรรมทุกรูปแบบ และในขณะเดียวกันก็เน้นย้ำว่าการแทรกแทรงจากภาครัฐเป็นสิ่งที่ควรสนับสนุนเป็นการคุ้มครองชั่วคราวขณะที่โครงสร้างที่กดขี่ยังคงมีอยู่[87] เช่นกัน ปีเตอร์ มาร์แชล (Peter Marshall (author)) กล่าวว่ามันรวมถึงพวกที่นิยมการกระจายอำนาจซึ่งต้องการจำกัดและกระจายอำนาจของรัฐ พวกสหการนิยมซึ่งต้องการล้มล้างมันให้สิ้นไป จนถึงแม้แต่พวกลัทธิเฟเบียนและประชาธิปไตยสังคมนิยมซึ่งต้องการสร้างเศรษฐกิจแบบสังคมกรณ์ (socialization) แต่ยังเห็นว่ารัฐยังมีหน้าที่ที่จำกัด[16]

ผู้ที่สนับสนุนแนวคิดนี้เป็นที่รู้จักว่าต่อต้านการมีอยู่ของรัฐหรือรัฐบาล และปฏิเสธไม่มีส่วนร่วมกับสถาบันทางการเมืองที่ใช้อำนาจบังคับ ในอดีต บางคนปฏิเสธที่จะสาบานตนในศาลหรือเข้าร่วมกระบวนการพิจารณาคดี แม้เมื่อจำต้องถูกจำคุก[88] หรือเนรเทศ[89] พวกคอมมิวนิสต์ฝ่ายซ้าย ซึ่งถือว่าเป็นแนวคิดสังคมนิยมแบบอิสรนิยมรูปแบบหนึ่งซึ่งเคลือบแคลงในแนวคิดแบบลัทธิมากซ์–เลนินและประชาธิปไตยสังคมนิยม[90] ถูกกล่าวถึงว่าเป็นกลุ่มคนที่มองว่าการจัดการโดยตนเองของชนชั้นแรงงานหรือของผู้คนเป็นคำตอบของปัญหาในการดิ้นรนเพื่อให้ได้มาซึ่งสังคมนิยม การปฏิวัติ และการจัดระเบียบของสังคมหลังทุนนิยม แต่ก็ยังคงมีการรวมกลุ่มกันในรูปแบบที่คล้ายกับเป็นพรรคซึ่งใช้กระบวนการปลุกปั่น โฆษณาชวนเชื่อ การให้การศึกษา และการแทรกแซงทางการเมืองในรูปแบบอื่น ๆ สิ่งนี้เป็นประเด็นที่มีปัญหาในขบวนการคอมมิวนิสต์ฝ่ายซ้าย และทำให้เกิดความแตกต่างในแต่ละขบวนการ ตั้งแต่ฝั่งที่ปฏิเสธการมีพรรคการเมืองและเลือกมีเพียงกลุ่มศึกษาหรือกลุ่มเครือสหาย (affinity group) แทน จนถึงฝั่งที่วิจารณ์ความไร้เดียงสาของแนวคิดที่บอกว่าการปฏิวัติจะเกิดขึ้นเอง และยืนกรานว่าองค์การคอมมิวนิสต์ที่มีวินัย วิจารณ์ตนเอง และเชื่อมโยงกันด้วยคนจำนวนมากมีหน้าที่ที่จำเป็นของมัน แม้จะมีความเคร่งครัดน้อยกว่าพรรคคอมมิวนิสต์ทั่วไป[91]

เสรีภาพของพลเมืองและเสรีภาพของปัจเจกบุคคล[แก้]

สังคมนิยมแบบอิสรนิยมสนับสนุนเสรีภาพของพลเมือง (civil liberties) (ซึ่งรวมถึง เสรีภาพในการพูด เสรีภาพทางศาสนา เสรีภาพในการชุมนุม และเสรีภาพของพลเมืองในด้านอื่น ๆ[92]) ซึ่งให้สิทธิจำเพาะในเรื่องหนึ่งเช่นเสรีภาพในประเด็นของความรักและเพศสัมพันธ์ (รักอิสระ (free love)) และของความคิดและมโนธรรม (ความคิดอย่างอิสระ) การต่อสู้ทางการเมืองของแนวคิดได้สร้างความขัดแย้งกับสถาบันรัฐและศาสนาซึ่งจำกัดสิทธิเหล่านี้ อนาธิปไตยสนับสนุนคติรักอิสระมาตั้งแต่เริ่ม และแสดงให้เห็นชัดขึ้นในภายหลังโดยเฉพาะในขบวนการสตรีสิทธินิยมแบบอนาธิปไตยและการสนับสนุนสิทธิของกลุ่มบุคคลที่มีความหลากหลายทางเพศ ในยุคปัจจุบัน อนาธิปไตยได้มีส่วนร่วมในบทสนทนาเกี่ยวกับประเด็นที่เกี่ยวข้องกับเพศเช่นงานลามก[93] บีดีเอสเอ็ม และอุตสาหกรรมทางเพศ (sex industry)[94]

คตินิยมสิทธิสตรีแบบอนาธิปไตยเป็นการผสมกันระหว่างแนวคิดสิทธิสตรีแบบมูลวิวัติกับอนาธิปไตย ซึ่งมองว่าปิตาธิปไตย (การครอบงำของเพศชายเหนือเพศหญิง) เป็นการก่อตัวขั้นพื้นฐานขึ้นจากโครงสร้างรัฐซึ่งบีบบังคับ โดยได้รับอิทธิพลจากงานเขียนในช่วงปลายคริสต์ศตวรรษที่ 19 ของนักอนาธิปัตย์สตรีสิทธินิยมยุคแรกเช่น ลูซี พาร์สันส์ (Lucy Parsons), เอมมา โกลด์แมน (Emma Goldman), วอลแตรีน เดอ แคลร์[95] และ บีร์ฆิเนีย บ็อลเทิน[96] นักสตรีสิทธินิยมอนาธิปไตยวิจารณ์และสนับสนุนให้มีการล้มเลิกแนวคิดเรื่องครอบครัว การศึกษา และบทบาททางเพศในแบบดั้งเดิม[97] นักลัทธิคอมมิวนิสต์แบบองค์คณะนิยมอย่าง ซิลเวีย แพงค์เฮิร์สต์ (Sylvia Pankhurst) ก็เป็นนักกิจกรรมสตรีสิทธินิยมและนักลัทธิมากซ์แบบอิสรนิยมด้วย นักอนาธิปัตย์ยังมีบทบาทเป็นผู้ริเริ่มความสนใจในประเด็นเกี่ยวกับบุคคลที่มีความหลากหลายทางเพศ รักอิสระเป็นกระแสหลักภายในขบวนการอนาธิปไตย[98] ผู้สนับสนุนแนวคิดรักอิสระบางรายถือว่ามันมีรากมาจากนักอนาธิปัตย์ยุคแรกเช่น โจไซอา วอร์เรน (Josiah Warren) และชุมชนทดลองต่าง ๆ และมองว่าเสรีภาพทางเพศเป็นการแสดงออกซึ่งสิทธิแห่งตน (self-ownership) ของบุคคลอย่างโดยตรงและชัดเจน[98] รักอิสระให้ความสำคัญกับเรื่องสิทธิสตรี ในเมื่อกฎหมายที่เกี่ยวกับเพศส่วนใหญ่เลือกปฏิบัติต่อสตรี ดังเช่นกฎหมายเกี่ยวกับการสมรส และมาตรการที่ต่อต้านการคุมกำเนิด[98]

นักสังคมนิยมอิสรนิยมเคลือบแคลงและต่อต้านศาสนาองค์กร (Organized religion)[99] ความคิดอย่างอิสระเป็นมุมมองเชิงปรัชญาซึ่งถือว่าความคิดเห็นจะต้องเกิดบนฐานของวิทยาศาสตร์ ตรรกะ และเหตุผล และไม่ควรได้รับอิทธิพลจากอำนาจ ประเพณี หรือสิทธันต์อื่นใด[100][101] ในสหรัฐ ความคิดอย่างอิสระเป็นขบวนการต่อต้านศาสนาคริสต์และศาสนจักร ซึ่งมีเป้าหมายให้บุคคลมีอิสระทั้งด้านการเมืองและด้านจิตวิญญาณที่จะตัดสินเรื่องเกี่ยวกับศาสนาด้วยตนเอง ผู้มีส่วนร่วมในวารสารอนาธิปัตย์ ลิเบอร์ตี (Liberty) หลายคนเป็นบุคคลสำคัญทั้งในขบวนการอนาธิปไตยและความคิดอย่างอิสระ อย่างเช่นนักอนาธิปัตย์แบบปัจเจก จอร์จ อี. แมคโดนัลด์ บรรณาธิการร่วมของ ฟรีทอต (Freethought) กับ เดอะทรูทซีกเกอร์ (The Truth Seeker) และ อี.ซี. วอล์กเกอร์ บรรณาธิการร่วมของ ลูซิเฟอร์, เดอะไลต์แบเรอร์ (Lucifer, the Light-Bearer)[102] ฟรีโซไซตี (Free Society) เป็นหนังสือพิมพ์อนาธิปัตย์ที่สำคัญสำนักหนึ่งในสหรัฐช่วงปลายคริสต์ศตวรรษที่ 19 และต้น 20[103] ซึ่งสนับสนุนรักอิสระและสิทธิสตรี และวิจารณ์การเซ็นเซอร์เนื้อหาที่เกี่ยวกับเพศของคอมสต็อก (Anthony Comstock)[104]

ใน ค.ศ. 1901 นักอนาธิปัตย์ชาวกาตาลันและนักคิดอย่างอิสระ ฟรันเซสก์ ฟาร์เร อี กูอาร์เดีย (Francesc Ferrer i Guàrdia) ได้ก่อตั้งโรงเรียนที่โมเดิร์น (Ferrer movement) และหัวก้าวหน้าขึ้นในบาร์เซโลนาเพื่อท้าทายระบบการศึกษาซึ่งถูกควบคุมโดยศาสนจักรคาทอลิก[105] เป้าหมายของโรงเรียนเหล่านี้กล่าวว่าเพื่อให้การศึกษาแก่ชนชั้นแรงงาน (Popular education) ในบริบทที่ใช้เหตุผล โลกวิสัย และไม่ถูกบีบบังคับ เฟร์เรร์ซึ่งต่อต้านศาสนจักรอย่างแข็งกร้าวเชื่อในเสรีภาพในการศึกษา ซึ่งคือการศึกษาที่เป็นอิสระจากอำนาจของศาสนจักรและรัฐ[106]

ต่อมาในคริสต์ศตวรรษที่ 20 นักลัทธิมากซ์-ฟร็อยท์ (Freudo-Marxism) ชาวออสเตรีย วิลเฮ็ล์ม ไรช์ (Wilhelm Reich) ซึ่งเป็นคนบัญญัติวลีการปฏิวัติทางเพศ (sexual revolution) ในหนังสือของเขาจากคริสต์ทศวรรษ 1940[107] ได้กลายมาเป็นนักโฆษณาที่ยึดมั่นเรียกร้องในเสรีภาพทางเพศ ถึงขั้นที่เขาเปิดคลินิกให้คำปรึกษาเรื่องเพศฟรีให้แก่ผู้ป่วยซึ่งอยู่ในชนชั้นแรงงานในเวียนนา โดยให้บริการให้คำปรึกษาแบบจิตวิเคราะห์ ให้คำแนะนำมากซิสต์ และให้อุปกรณ์คุมกำเนิด และสนับสนุนการแสดงออกทางเพศของทุกคน ซึ่งรวมถึงเยาวชนและคนที่ยังไม่ได้แต่งงาน โดยมีความตามอำเภอใจมากซะจนทั้งฝ่ายการเมืองฝ่ายซ้ายและนักจิตวิเคราะห์บางส่วนยังรู้สึกไม่สบายใจ คลินิกของเขาได้รับความนิยมในทันทีโดยผู้คนจำนวนมากซึ่งกำลังตามหาความช่วยเหลือ เอลิซาเบธ ดันโต (Elizabeth Danto) กล่าว[108] ในช่วงต้นคริสต์ทศวรรษที่ 1970 นักอนาธิปัตย์และสันตินิยมชาวอังกฤษ อเล็กซ์ คอมฟอร์ท (Alex Comfort) เป็นที่รู้จักขึ้นจากงานเขียนคู่มือเพศสัมพันธ์ของเขาชื่อ เดอะจอยออฟเซ็กส์ (The Joy of Sex)[109] และ มอร์จอยออฟเซ็กซ์ (More Joy of Sex)[110]

วิธีการซึ่งใช้ความรุนแรงและซึ่งไม่ใช้ความรุนแรง[แก้]

ดูบทความหลักที่: อนาธิปไตยและความรุนแรง

นักสังคมนิยมอิสรนิยมบางคนมองว่าการปฏิวัติที่ใช้ความรุนแรงเป็นสิ่งที่จำเป็นเพื่อล้มล้างสังคมทุนนิยม ในขณะที่คนอื่น ๆ สนับสนุนวิธีการที่ไม่ใช้ความรุนแรง แอร์รีโก มาลาเตสตา (Errico Malatesta) กล่าวว่าการใช้ความรุนแรงเป็นสิ่งที่จำเป็น ดังที่เขากล่าวไว้ใน อูมานีตา โนวา (Umanità Nova) (ฉบับที่ 125, 6 กันยายน 1921):

ความปรารถนาและความตั้งใจของเราคือการที่ทุกคนควรมีจิตสำนึกและประสิทธิผลทางสังคม แต่เพื่อให้ได้มาซึ่งเป้าหมายนี้ เป็นสิ่งจำเป็นที่จะต้องให้ทุกคนมีปัจจัยการดำรงชีพและการพัฒนา และจึงเป็นสิ่งจำเป็นที่จะต้องใช้ความรุนแรงเพื่อทำลายความรุนแรงซึ่งปฏิเสธปัจจัยเหล่านี้แก่เหล่าคนทำงาน ในเมื่อไม่มีทางอื่นใดที่จะทำได้[111]

ปีแยร์-โฌแซ็ฟ ปรูดอน สนับสนุนการปฏิวัติที่ไม่ใช้ความรุนแรง (nonviolent revolution) ผ่านกระบวนการอำนาจคู่ (dual power) ซึ่งคือการก่อตั้งสถาบันเชิงสังคมนิยมอิสรนิยมซึ่งจะสร้างสมาคมที่จะทำให้สามารถขยายเครือข่ายภายใต้ระบอบทุนนิยมรัฐที่เป็นอยู่ได้โดยมีความตั้งใจว่าในที่สุดจะทำให้ทั้งรัฐและเศรษฐกิจแบบทุนนิยมต้องเสื่อมลงไป การที่อนาธิปไตยเคลื่อนไปหาความรุนแรงนั้นก็มีรากมาจากที่ชุมชนซึ่งได้รับแรงบันดาลใจจากความคิดของปรูดอนและคนอื่นต้องประสบกับการฆาตกรรมหมู่ นักลัทธิคอมมิวนิสต์อนาธิปไตยหลายคนเริ่มมองเห็นความจำเป็นของความรุนแรงเพื่อการปฏิวัติเพื่อตอบโต้กับความรุนแรงที่มีอยู่ทั้งในระบอบทุนนิยมและรัฐบาล[112]

อนาธิปไตยแบบสันตินิยม (Anarcho-pacifism) เป็นขบวนการอนาธิปไตยที่ปฏิเสธการใช้ความรุนแรงในการดิ้นรนเพื่อการเปลี่ยนแปลงในสังคม[113] ผู้ที่มีอิทธิพลทางความคิดแนวทางนี้ที่สำคัญคนแรก ๆ เช่น เฮนรี เดวิด ทอโร[113] และ เลโอ ตอลสตอย[114][113] แนวคิดนี้พัฒนาขึ้นมาใน ฮอลแลนด์ [sic] บริเตน และสหรัฐทั้งก่อนและระหว่างสงครามโลกครั้งที่สองเป็นส่วนใหญ่[115] การต่อต้านวิธีการใช้ความรุนแรงไม่ได้หมายความว่านักอนาธิปัตย์แบบสันตินิยมจะไม่ยอมรับในหลักการขัดขืนหรือแม้แต่กิจการปฏิวัติ ตราบใดที่ไม่ก่อให้เกิดความรุนแรง และการยอมรับแนวทางการต่อต้านอำนาจเช่นนี้เองนำพาให้นักอนาธิปัตย์สันตินิยมสนับสนุนแนวคิดการนัดหยุดงานทั่วไปของสหการนิยมแบบอนาธิปไตยเป็นอาวุธในการปฏิวัติ[116]

ประเด็นสิ่งแวดล้อม[แก้]

อนาธิปไตยสีเขียวเป็นสำนักคิดอนาธิปไตย ซึ่งเน้นย้ำโดยเฉพาะในประเด็นด้านสิ่งแวดล้อม[117][118] อิทธิพลเริ่มแรกมาจากความคิดของนักอนาธิปัตย์ชาวอเมริกัน เฮนรี เดวิด ทอโร และหนังสือชื่อ วอลเดน ของเขา[119] รวมถึง เลโอ ตอลสตอย[120] และ เอลีเซ เรอกลูว์ (Élisée Reclus)[121][122] ในคริสต์ศตวรรษที่ 19 คติธรรมชาตินิยมแบบอนาธิปไตย (anarcho-naturism) ถือกำเนิดขึ้นจากการผสานกันของอนาธิปไตยและปรัชญาธรรมชาตินิยม (naturism) ภายในวงขบวนการอนาธิปไตยแบบปัจเจก[123][124][125][126] ในประเทศคิวบา[127] โปรตุเกส[119][120] ฝรั่งเศส[128][129] สเปน[120][129] และสหราชอาณาจักร[130]

นอกจากนี้ยังมีแนวคิดกระแสปัจจุบันเช่นบรรพกาลนิยมแบบอนาธิปไตย (Anarcho-primitivism) และนิเวศวิทยาสังคม (Social ecology (Bookchin))[131] นักกิจกรรมและทฤษฎีอย่าง ตากิส โฟโตปูโลส (Takis Fotopoulos), โนม ชอมสกี, เมอร์เรย์ บุคชิน (Murray Bookchin) และ กอร์นีลิโอส กัสโตริอาดิส (Cornelius Castoriadis) ได้เขียนในวารสารสังคมนิยมอิสรนิยมและประชาธิปไตยเชิงนิเวศ[132] ในช่วงต้นคริสต์ทศวรรษ 1990 ที่มีชื่อว่า เดโมเครซีแอนด์เนเชอร์ (Democracy & Nature)[133][134][135]

รากฐานทางการเมือง[แก้]

ภายในแนวคิดสังคมนิยมสมัยใหม่ยุคแรก[แก้]

กบฏชาวนาในยุคหลังการปฏิรูป[แก้]

ภาพพิมพ์แกะไม้จากเอกสารเลเวลเลอส์ โดย วิลเลียม เอเฟอราร์ด (William Everard (Digger))

นักสังคมนิยมแบบอิสรนิยมอ้างว่าพวกเลเวลเลอส์ (Levellers) ชาวอังกฤษจากคริสต์ศตวรรษที่ 17 เป็นหนึ่งในบรรพบุรุษทางอุดมการณ์ของพวกเขา[136] นักเขียนสังคมนิยมแบบอิสรนิยมบางคนได้ระบุงานเขียนของนักปฏิรูปสังคมโปรเตสแตนต์ชาวอังกฤษ เจอร์ราร์ด วินสแตนลีย์ (Gerrard Winstanley) และงานกิจกรรมทางสังคมของกลุ่มของเขา (ดิกเกอส์ (Diggers)) ว่าเป็นสารตั้งต้นของแนวคิดแนวนี้[137][138] ในมุมมองของนักประวัติศาสตร์อนาธิปัตย์ จอร์จ วูดค็อก (George Woodcock) ถึงแม้ว่า ปีแยร์-โฌแซ็ฟ ปรูดอน จะเป็นนักเขียนคนแรกที่เรียกตนเองเป็นนักอนาธิปัตย์ มีคนอย่างน้อยอีกสองคนก่อนหน้าที่ร่างเค้าโครงของระบบซึ่งมีองค์ประกอบพื้นฐานของอนาธิปไตยทุกประการ คนแรกคือ เจอร์ราร์ด วินสแตนลีย์ (ค.ศ. 1609 ถึง ป. 1660) ซึ่งเป็นผู้ค้าผ้าลินินที่ได้นำการเคลื่อนไหวขนาดเล็กของพวกดิกเกอส์ในยุคเครือจักรภพ วินสแตนลีย์และผู้ติดตามของเขาได้ประท้วงในนามของคริสต์ศาสนาสายมูลวิวัติเพื่อต่อต้านภัยพิบัติทางเศรษฐกิจตามหลังจากสงครามกลางเมืองอังกฤษ และเพื่อต่อต้านความไม่เท่าเทียมที่เหล่าขุนนางแห่งกองทัพตัวแบบใหม่ต้องการจะอนุรักษ์ไว้[139]

ระหว่าง ค.ศ. 1649 ถึง 1650 พวกดิกเกอส์ได้เข้าจับจองที่ดินคอมมอนในภาคใต้ของอังกฤษ และพยายามที่จะจัดตั้งประชาคมที่อยู่บนฐานของการทำงานบนที่ดินนั้นและการแบ่งปันทรัพยากร ชุมชนพวกนั้นไม่สำเร็จ แต่ใบปลิวชุดโดยวินสแตนลีย์ยังหลงเหลืออยู่ และหนึ่งในนั้น เดอะนิวลอว์ออฟไรต์เชียสเน็ส (The New Law of Righteousness) (ค.ศ. 1649) เป็นอันที่สำคัญที่สุด โดยกล่าวสนับสนุนคริสต์ศาสนาที่ใช้เหตุผล วินสแตนลีย์ถือว่าพระคริสต์นั้นคือ "อิสรภาพอันเป็นสากล" และป่าวประกาศถึงธรรมชาติความทุจริตอันเป็นสากลของอำนาจหน้าที่ เขามองเห็นถึง "เอกสิทธิ์เสมอกันที่จะแบ่งปันกันภายใต้พรของอิสรภาพ" และสืบพบถึงความเชื่อมโยงอย่างลึกซึ้งระหว่างสถาบันของทรัพย์สินและความขาดแคลนในเสรีภาพ[139]

เมอร์เรย์ บุคชิน ได้กล่าวว่าอนาธิปไตยในโลกสมัยใหม่ปรากฏเป็นครั้งแรกในรูปของการเคลื่อนไหวของไพร่และเสรีชนเพื่อต่อต้านสถาบันศักดินาที่เสื่อมคลายลง ว่าแนวคิดของวินสแตนลีย์และมึนต์เซอร์ (Thomas Müntzer) ผู้นำสงครามชาวนาเยอรมันนั้นเหมาะสมกับยุคสมัยของพวกเขามาก ซึ่งเป็นช่วงเวลาในประวัติศาสตร์ที่ประชากรส่วนใหญ่อาศัยอยู่ในชนบท และเมื่อกองกำลังปฏิวัติที่เข้มแข็งที่สุดมาจากสังคมเกษตรกรรม และกล่าวอีกว่าพวกเขานั้นพูดตรงกับช่วงเวลา และแนวคิดอนาธิปไตยของพวกเขาดำเนินมาอย่างเป็นธรรมชาติจากสังคมชนบทที่ติดอาวุธให้แก่กองทัพชาวนาในเยอรมนีและกองทัพตัวแบบใหม่ในอังกฤษ[140]

ยุคเรืองปัญญา[แก้]

เป็นที่กล่าวขานโดยนักสังคมนิยมแบบอิสรนิยมบางคน ถึงมุมมองที่ถือว่าเหล่าอ็องซิกลอเปดิสต์ชาวฝรั่งเศสยุคคริสต์ศตวรรษที่ 18 (Encyclopédistes)[136] รวมถึง ทอมัส เจฟเฟอร์สัน[141][142][143], โทมัส เพน[136] และนักคิดยุคเรืองปัญญาชาวอังกฤษ วิลเลียม กอดวิน (William Godwin)[144] เป็นบรรพบุรุษทางอุดมการณ์ของพวกเขา

ในความคิดของวูดค็อก วิลเลียม กอดวิน ได้ให้เค้าโครงของอนาธิปไตยที่ละเอียดขึ้นไว้ในหนังสือของเขา เอนไควรีคอนเซิร์นนิงโพลิติคัลจัสติส (Enquiry Concerning Political Justice) (ค.ศ. 1793) แม้จะยังไม่ใช้ชื่อว่า "แอนาร์คิสซึม" (Anarchism) เขาถือว่ากอดวินเป็นนักอนาธิปัตย์แบบค่อยเป็นค่อยไป โดยนิยมกระบวนการซึ่งเขามองว่าเป็นธรรมชาติกว่า เหนือกิจกรรมสายปฏิวัติ นั่นคือการสนทนาระหว่างมนุษย์ผู้มีไมตรีจิตโดยเขาหวังว่าความจริงจะมีชัยด้วยอำนาจของมันเองในที่สุด เขากล่าวอีกว่ากอดวินซึ่งได้รับอิทธิพลจากจารีตของความขัดแย้งจากอังกฤษและปรัชญาเรืองปัญญาจากฝรั่งเศส ได้นำเสนอบทวิจารณ์แบบอนาธิปไตยในขั้นพื้นฐาน เกี่ยวกับรัฐ ทรัพย์สินสะสม และการมอบหมายอำนาจหน้าที่ผ่านกระบวนการประชาธิปไตย[139]

โนม ชอมสกี ถือว่าสังคมนิยมแบบอิสรนิยมเป็น "ส่วนต่อขยายที่เหมาะสมและเป็นธรรมชาติ" ของเสรีนิยมคลาสสิก "ไปในยุคสมัยของสังคมอุตสาหกรรมขั้นสูง"[17] ชอมสกีมองว่าความคิดแบบสังคมนิยมอิสรนิยมเป็นสิ่งที่สืบเนื่องมาจากความคิดแบบเสรีนิยมคลาสสิกของยุคเรืองปัญญา[145][146] โดยกล่าวว่าจุดยืนทางอุดมการณ์ของเขานั้นวนเวียนอยู่เกี่ยวกับ "การหล่อเลี้ยงคุณลักษณะความสร้างสรรค์และความเป็นอิสรนิยมของมนุษยชน"[147] ชอมสกีแลเห็นถึงอนาคตแบบสหการนิยมแบบอนาธิปไตยที่มีการควบคุมโดยคนทำงาน (Workers' control) ของปัจจัยการผลิตโดยตรง และการรัฐบาลโดยสภาคนทำงานที่จะเลือกผู้แทนให้มาพบกันในสมัชชาสามัญต่าง ๆ[148] จุดมุ่งหมายของการปกครองโดยตนเองเช่นนี้คือเพื่อทำให้พลเมืองแต่ละคน "เป็นผู้มีส่วนร่วมโดยตรงในรัฐบาลของกิจการต่าง ๆ" ในคำพูดของเจฟเฟอร์สันเอง[149] ชอมสกีเชื่อว่าจะไม่มีความจำเป็นที่ต้องมีพรรคการเมืองอีกแล้ว[150] ชอมสกีเชื่อว่าปัจเจกบุคคลจะสามารถพึงพอใจในงานของตนเอง และมีสำนึกในหน้าที่และความสมปรารถนา ผ่านการควบคุมชีวิตการผลิตของตัวเองได้[151] ชอมสกีกล่าวว่างานที่ไม่เป็นที่นิยมและไม่เป็นที่พอใจจะสามารถถูกทำให้เป็นอัตโนมัติได้โดยสมบูรณ์ ถูกทำโดยคนทำงานซึ่งได้ค่าตอบแทนเป็นพิเศษ หรือถูกแบ่งสรรให้กับทุกคน[152]

ในช่วงของการปฏิวัติฝรั่งเศส ซีลแว็ง มาเรชาล (Sylvain Maréchal) ได้เรียกร้องให้ส่วนรวมได้เพลิดเพลินกับผลผลิตของแผ่นดินในแถลงการณ์ของเขา มานิเฟสโตออฟเดอะอิควอลส์ (Manifesto of the Equals) (ค.ศ. 1796) และมุ่งรอคอยถึงการหายไปของ "การแบ่งแยกอันน่าขยะแขยงระหว่างความรวยและความจน ระหว่างความยิ่งใหญ่และความเล็กน้อย ระหว่างเจ้านายและบ่าวไพร่ ระหว่างผู้ปกครองและผู้ถูกปกครอง"[54][55][153] คำว่า แอนาร์คิสต์ (anarchist) หรือนักอนาธิปัตย์ถูกนำเข้ามาในภาษาอังกฤษเป็นครั้งแรกใน ค.ศ. 1642 ในช่วงสงครามกลางเมืองอังกฤษ ซึ่งถูกใช้โดยพวกแควาเลียร์เป็นคำเหยียด (Pejorative) ฝ่ายตรงข้ามของพวกเขานั่นคือพวกหัวเกรียน[154] ต่อมาในยุคปฏิวัติฝรั่งเศส คนบางกลุ่มเช่นพวก อ็องราเฌ (Enragés) เริ่มนำคำนี้มาใช้ในด้านบวก[155] เพื่อต้านการรวมศูนย์อำนาจโดยพวกฌากอแบ็ง โดยมองว่ารัฐบาลปฏิวัตินั้นมีความย้อนแย้งในตัวเอง [154] จนกระทั่งช่วงสุดท้ายของคริสต์ศตวรรษที่ 19 คำว่า แอนาร์คิสซึม (อนาธิปไตย) ในภาษาอังกฤษก็ได้หมดความหมายเชิงลบในตอนแรกของมันไป[154]

ยุคจินตนิยมและสังคมนิยมแบบยูโทเปีย[แก้]

ในคำนำซึ่งเขียนโดย เคนต์ บรอมลีย์ ในหนังสือ เดอะคอนเควสต์ออฟเบรด ของ ปิออตร์ โครปอตกิน เขาถือว่านักสังคมนิยมแบบยูโทเปียชาวฝรั่งเศส ชาร์ล ฟูรีเย เป็นผู้สถาปนาแนวคิดสังคมนิยมสาขาอิสรนิยมซึ่งตรงข้ามกับแนวคิดสังคมนิยมแบบอำนาจนิยมของ ฟร็องซัว-โนเอล บาเบิฟ และฟิลิปป์ บูโอนาร์รอตตี[56] นักอนาธิปัตย์ ฮะกีม เบย์ (Hakim Bey, นามปากกาของ ปีเตอร์ แลมบอร์น วิลสัน (Peter Lamborn Wilson)) อธิบายแนวคิดของฟูริเยว่า: "ในระบบของความบรรสานของฟูริเย กิจกรรมเชิงสร้างสรรค์ทั้งหมด ไม่ว่าจะเป็นอุตสาหกรรม หัตถกรรม เกษตรกรรม ฯลฯ จะถือกำเนิดขึ้นจากฉันทะที่ถูกปลดปล่อย นี่คือทฤษฎีที่โด่งดังว่าด้วย 'แรงงานที่มีเสน่ห์' ฟูริเยทำให้ตัวของงานเองกลายเป็นเรื่องทางเพศ ชีวิตของฟาล็องสแตร์จึงเป็นเพศสัมพันธ์หมู่ที่ไม่หยุดยั้งของความรู้สึกอันแรงกล้า การทำความเข้าใจ และกิจกรรม เป็นสังคมของเหล่านักรักและผู้ที่คลั่งไคล้อันป่าเถื่อน" ลัทธิฟูริเยก่อตัวขึ้นมาในข่วงกลางคริสต์ศตวรรษที่ 19 ที่คอมมูนฟาล็องสแตร์ (Phalanstère) หลายร้อยแห่งถูกก่อตั้งขึ้นบนหลักการฟูริเยริสต์ในประเทศฝรั่งเศส ทวีปอเมริกาเหนือ ประเทศเม็กซิโก ทวีปอเมริกาใต้ ประเทศแอลจีเรีย และประเทศยูโกสลาเวีย ทั้ง ปีแยร์-โฌแซ็ฟ ปรูดอน, ฟรีดริช เอ็งเงิลส์ และ ปิออตร์ โครปอตกิน ล้วนได้อ่านงานเขียนของเขาอย่างหลงใหล เช่นเดียวกันกันกับ อ็องเดร เบรอตง (André Breton) และ รอล็อง บาร์ต[156] ในงานของ เฮอร์เบิร์ต มาร์คูเซอ (Herbert Marcuse) ชื่อ เอโรสแอนด์ซิวิไลเซชัน (Eros and Civilization) เขาได้ยกย่องฟูริเยโดยกล่าวว่าเขา "เข้าใกล้ที่จะไขความถึงการพึ่งพากันระหว่างเสรีภาพและการทดเทิด (Sublimation (psychology)) ที่ไม่ถูกอดกลั้นมากกว่านักสังคมนิยมแบบยูโทเปียคนอื่นคนใด"[157]

นักอนาธิปัตย์ ปีเตอร์ ซาบาตีนี เขียนไว้ว่าในช่วงกลางคริสต์ศตวรรษที่ 19 ในสหรัฐ "กลุ่มวัฒนธรรมต่อต้านแบบ 'ยูโทเปีย' และแบบคอมมูนชุดหนึ่งได้ปรากฏตัวขึ้นมา" ซึ่งรวมถึงขบวนการรักอิสระด้วย "อนาธิปไตยของ วิลเลียม กอดวิน ส่งอิทธิพลต่อเหล่านี้บางส่วน" แต่ก็ไม่เท่าสังคมนิยมของ โรเบิร์ต โอเวน และ ชาร์ล ฟูรีเย "ภายหลังความสำเร็จของธุรกิจของเขาในบริเตน โอเวนก็ได้ก่อตั้งชุมชนสหกรณ์ด้วยตัวเขาเองในสหรัฐที่เมืองนิวฮาร์โมนี, รัฐอินดีแอนา (New Harmony, Indiana) ในช่วง ค.ศ. 1825 หนึ่งในสมาชิกของคอมมูนนี้คือ โจไซอา วอร์เรน (ค.ศ. 1798–1874) ซึ่งถูกถือว่าเป็นนักอนาธิปัตย์แบบปัจเจกคนแรก"[49]

ภายในแนวคิดสังคมนิยมสมัยใหม่[แก้]

อนาธิปไตย[แก้]

ดูบทความหลักที่: อนาธิปไตย

อย่างที่ อัลเบิร์ต เมลต์เซอร์ (Albert Meltzer) และ สจวร์ต คริสตี (Stuart Christie) ได้กล่าวไว้ในหนังสือของพวกเขาชื่อว่า เดอะฟลัดเกตออฟแอนาร์คี (The Floodgates of Anarchy):

อนาธิปไตยมีทายกรรมเฉพาะตัวของมัน ส่วนหนึ่งมีร่วมกับสังคมนิยม ทำให้มีความคล้ายคลึงแบบครอบครัวกับศัตรูของมันบางพวก อีกส่วนของทายกรรมของมันนั้นมีร่วมกับเสรีนิยม ทำให้มันเป็นลูกพี่ลูกน้องตั้งแต่เกิดกับปัจเจกนิยมสายมูลวิวัติแบบอเมริกัน ซึ่งส่วนใหญ่ก็ได้แต่งงานออกจากครอบครัวไปกับฝ่ายขวา และก็ไม่ได้พูดคุยกันแล้ว[158]

ปีแยร์-โฌแซ็ฟ ปรูดอน ผู้ที่มักถูกถือว่าเป็นบิดาของอนาธิปไตยสมัยใหม่ ได้บัญญัติวลีว่า "พรอปเพอร์ตี อิส เทฟต์!" (Property is theft!) (ทรัพย์สินคือการลักทรัพย์) เพื่ออธิบายมุมมองส่วนหนึ่งของเขาเกี่ยวกับธรรมชาติความซับซ้อนของความสัมพันธ์ระหว่างกรรมสิทธิ์ความเป็นเจ้าของและเสรีภาพ ที่เขากล่าวว่าทรัพย์สินคือการลักทรัพย์ เขาหมายถึงนายทุนที่เขามองว่าได้ขโมยกำไรไปจากผู้ใช้แรงงาน สำหรับปรูดอน ลูกจ้างของนายทุนนั้น "ถูกกดขี่ ถูกเอาเปรียบ สภาพถาวรของเขานั้นคือการเชื่อฟัง"[159]

สิบเจ็ดปี (ค.ศ. 1857) หลังจากที่ปรูดอนเรียกตัวเองเป็นนักอนาธิปัตย์ (anarchist) เป็นครั้งแรกใน ค.ศ. 1840 นักอนาธิปัตย์คอมมิวนิสต์ โฌแซ็ฟ เดฌัก เป็นบุคคลแรกที่เรียกตัวเองเป็นนักอิสรนิยม (libertarian)[160] นอกสหรัฐ คำว่าอิสรนิยมโดยทั่วไปหมายถึงอุดมการณ์ที่ต่อต้านอำนาจนิยมและต่อต้านทุนนิยม[161]

สังคมนิยมแบบอิสรนิยมมีรากฐานอยู่ในแนวคิดเสรีนิยมคลาสสิกและสังคมนิยม ถึงแม้จะขัดแย้งกับแนวคิดเสรีนิยม (โดยเฉพาะอย่างยิ่งกับเสรีนิยมใหม่และอิสรนิยมฝ่ายขวา) และสังคมนิยมรัฐแบบอำนาจนิยมอยู่บ่อยครั้งในเวลาเดียวกัน แม้ว่าสังคมนิยมแบบอิสรนิยมจะมีรากฐานอยู่ในทั้งแนวคิดสังคมนิยมและเสรีนิยม แต่ก็มีรูปแบบต่าง ๆ ที่ได้รับอิทธิพลจากทั้งสองธรรมเนียมการเมืองในระดับที่ต่างกัน ตัวอย่างเช่นแนวคิดอนาธิปไตยแบบช่วยเหลือซึ่งกันและกัน ซึ่งได้รับอิทธิพลจากเสรีนิยมมากกว่า ในขณะที่แนวคิดอนาธิปไตยแบบคอมมิวนิสต์และแบบสหการนิยมได้รับอิทธิพลจากสังคมนิยมมากกว่า ถึงอย่างนั้นก็ตาม อนาธิปไตยแบบช่วยเหลือซึ่งกันและกันมีต้นกำเนิดมาจากสังคมนิยมในยุโรปช่วงคริสต์ศตวรรษที่ 18 และ 19 (ดังเช่นสังคมนิยมแบบฟูริเย)[162][163] กลับกัน แนวคิดอนาธิปไตยแบบคอมมิวนิสต์และแบบสหการนิยมกลับมีต้นกำเนิดที่เก่าแก่ที่สุดในแนวคิดเสรีนิยมในช่วงต้นคริสต์ศตวรรษที่ 18 (ดังเช่นการปฏิวัติฝรั่งเศส)[153]

อนาธิปไตยเป็นอุปสรรคอย่างแรก ๆ ต่อแนวคิดแบบแนวหน้านิยมและรัฐนิยม ซึ่งมันสืบพบว่ามีอยู่ในภาคส่วนสำคัญของขบวนการสังคมนิยม นักอนาธิปัตย์กล่าวหาว่าพัฒนาการของการเข้าไปมีส่วนร่วมในรัฐสภา กระทรวงทบวงกรม และพรรคการเมืองจะนำไปสู่คติมูลวิวัติที่ลดลงและการกลายสภาพเป็นกระฎุมพี และการเมืองแห่งรัฐก็จะทำลายปัจเจกภาพและประชาคมที่แท้จริง นักอนาธิปัตย์หลายคนจึงปฏิเสธการจัดระเบียบในรูปแบบของลัทธิมากซ์ และต้องการบ่อนทำลายอำนาจลำดับชั้นผ่านวิธีการรวมกลุ่มทางการเมืองและวัฒนธรรมแบบหลวม ๆ หรือผ่านวิธีการสนับสนุนการจัดระเบียบด้วยหน่วยของการเมือง การปกครอง และเศรษฐกิจในหน่วย ๆ เดียวนี้เป็นองค์กรเดี่ยว ตามรือเลอ (Otto Rühle) และแนวคิดสหการนิยม นักอนาธิปัตย์หลายคนก็ปฏิเสธอำนาจของปัญญาชนและวิทยาศาสตร์ โดยกล่าวว่า 'ในการยึดครองสถาบันรัฐ และการยกระดับบทบาทของพรรคการเมือง เหล่าปัญญาชนกำลังส่งเสริมหลักการของชนชั้นซึ่งถูกฝังไว้ในสถาบันการเมืองและการปกครอง' โดยถือว่าการปฏิวัตินั้นเกิดขึ้นผ่านพลังของพฤติการณ์และ/หรือสัญชาตญาณขบถที่มีอยู่ในมวลชนเท่านั้น ที่เรียกว่า 'สัญชาตญาณเพื่อเสรีภาพ' ตามบาคูนินและชอมสกี หรือตามคำกล่าวของบาคูนินเอง: 'ทั้งหมดที่ปัจเจกชนจะทำได้นั้นคือการอธิบาย เผยแพร่ และคิดหาความคิดซึ่งสอดคล้องกับสัญชาตญาณของประชาชน'[164]

ลัทธิมากซ์[แก้]

ดูบทความหลักที่: ลัทธิมากซ์แบบอิสรนิยม

แนวคิดลัทธิมากซ์สายอิสรนิยมเริ่มพัฒนาขึ้นหลังเหตุการณ์จำเพาะต่าง ๆ แชมซี โอเจลี กล่าว: "เราพบการแสดงออกซึ่งมุมมองเช่นนี้ครั้งแรก ๆ ใน [วิลเลียม] มอร์ริส และพรรคสังคมนิยมแห่งบริเตนใหญ่ (Socialist Party of Great Britain) (SPGB) และต่อมาในเหตุการณ์ต่าง ๆ ช่วง ค.ศ. 1905 พร้อมกับความกังวลใจที่เพิ่มขึ้นต่อการเพิ่มขึ้นของความเป็นราชการและการลดลงของคติมูลวิวัติในสังคมนิยมนานาชาติ"[165] มอร์ริสได้ก่อตั้งสันนิบาตสังคมนิยม (Socialist League (UK, 1885)) ขึ้นมาในเดือนธันวาคม ค.ศ. 1884 ซึ่งได้รับความสนับสนุนจาก ฟรีดริช เอ็งเงิลส์ และ เอเลนอร์ มาคส์ (Eleanor Marx) ในฐานะที่เป็นหัวหอกภายในองค์กร มอร์ริสได้เริ่มกล่าวคำปราศัยและปาฐกถาอย่างไร้ปรานีทั้งตามมุมถนน ในสมาคมของคนทำงาน และห้องบรรยายต่าง ๆ ทั่วทั้งอังกฤษและสกอตแลนด์ ตั้งแต่ ค.ศ. 1887 จำนวนนักอนาธิปัตย์เริ่มมีมากกว่าจำนวนนักสังคมนิยมภายในสันนิบาตสังคมนิยม[166] การประชุมประจำปีครั้งที่สามของสันนิบาตที่ลอนดอนในวันที่ 29 พฤษภาคม ค.ศ. 1887 เป็นหมุดหมายของการเปลี่ยนแปลง ที่ผู้แทนส่วนใหญ่ใน 24 สาขาได้ลงคะแนนสนับสนุนมติที่ผลักดันโดยพวกอนาธิปัตย์ ซึ่งกล่าวว่า "ที่ประชุมนี้สนับสนุนนโยบายที่จะละเว้นซึ่งปฏิบัติการทางรัฐสภา ซึ่งสันนิบาตได้ดำเนินการมาจนกระทั่งบัดนี้ และมองไม่เห็นถึงเหตุผลใดที่ดีเพียงพอที่เราจะเปลี่ยนแปลงมัน"[167] ผลที่ตามมาคือ สันนิบาตได้เสียแรงสนับสนุนของ เอ็งเงิลส์ ไป และ เอเลนอร์ มาคส์ กับคู่รักของเธอ เอ็ดเวิร์ด เอฟเวอลิง ได้ออกมาก่อตั้งองค์กรแยกออกมาชื่อว่า สมาคมสังคมนิยมบลูมส์บรี (Bloomsbury Socialist Society)[168]

ในช่วงระหว่างและภายหลังจากสงครามโลกครั้งที่หนึ่ง ด้วยความผิดหวังในการยอมจำนนของนักประชาธิปไตยสังคมนิยม ด้วยความตื่นเต้นจากการเกิดขึ้นของสภาคนทำงาน และด้วยการเอาตัวออกห่างจากลัทธิเลนิน นักคอมมิวนิสต์หลายคนกลับปฏิเสธคำกล่าวอ้างต่าง ๆ ของพรรคการเมืองสังคมนิยม และกลายมามีความเชื่อมั่นในมวลชน โดย "สัญชาตญาณของมวลชนสามารถมีอัฉริยภาพมากกว่างานชิ้นใด ๆ ของอัฉริยะผู้ยิ่งใหญ่คน ๆ เดียว" [169] จุดยืนที่ฝ่ายซ้ายจัดในช่วงเวลานั้นหยิบยกมาใช้ ก็เช่นลัทธิแรงงานนิยม (workerism) และคตินิยมการเกิดเอง (spontaneism) ของ โรซา ลุคเซิมบวร์ค ตัวอย่างเช่น อันโตนี ปันเนอคุก (Antonie Pannekoek), เฮ็นริเอ็ตเทอ โรลันด์ โฮลสท์ (Henriette Roland Holst) และ แฮร์มัน กอร์เทอร์ (Herman Gorter) ที่ประเทศเนเธอร์แลนด์ ซิลเวีย แพงค์เฮิร์สต์ ที่ประเทศอังกฤษ อันโตนีโอ กรัมชี ที่ประเทศอิตาลี และ เจิร์จ ลุกาช (György Lukács) ที่ประเทศฮังการี ซึ่งด้วยแนวคิดนี้เผด็จการโดยชนกรรมาชีพ (dictatorship of the proletariat) จะเป็นระบอบเผด็จการของชนชั้นดังกล่าว ไม่ใช่เผด็จการของพรรคการเมืองหรือพรรคพวกใด[170] แต่ความตึงเครียดระหว่างคติต่อต้านแนวหน้านิยมกับแนวหน้านิยมก็จบลงได้สองทางซึ่งตรงข้ามกันอย่างสิ้นเชิง นั่นคือการเลี้ยวเข้าสู่พรรคการเมืองประการแรก และการโน้มเอียงสู่คติของการปฏิวัติที่เกิดเองโดยสัมบูรณ์จากชนกรรมาชีพประการที่สอง กรัมชีและลุกาชคือตัวอย่างของประการแรก และประการที่สองพบได้ในแนวโน้มซึ่งพัฒนามาจากฝ่ายซ้ายจัดดัตช์และเยอรมัน ซึ่งมีแนวโน้มสู่การขจัดรูปแบบแบบพรรคการเมืองให้สิ้นไป[171]

ในสหภาพโซเวียตที่เพิ่งก่อกำเนิดขึ้น ก็เกิดการก่อการกำเริบโดยฝ่ายซ้ายต่อต้านบอลเชวิค (left-wing uprisings against the Bolsheviks) ซึ่งเป็นการกบฏและการก่อการการกำเริบจำนวนหนึ่งที่ต่อต้านพวกบอลเชวิค ซึ่งถูกนำหรือได้รับการสนับสนุนโดยฝ่ายซ้าย อาทิ พรรคปฏิวัติสังคมนิยม (Socialist Revolutionary Party)[172] นักปฏิวัติสังคมนิยมฝ่ายซ้าย (Left Socialist-Revolutionaries) พวกเมนเชวิค (Mensheviks) และนักอนาธิปไตย[173] บางส่วนสนับสนุนขบวนการขาว (White Movement) ในขณะที่บางส่วนพยายามเป็นอำนาจอิสระ การก่อการกำเริบเริ่มขึ้นใน ค.ศ. 1918 และต่อเนื่องมาจนสงครามกลางเมืองรัสเซีย และต่อไปจนถึง ค.ศ. 1922 พวกบอลเชวิคก็เริ่มล้มเลิกความพยายามที่จะนำกลุ่มเหล่านี้มาเข้าร่วมรัฐบาลและเริ่มปราบปรามพวกเขาโดยใช้กำลังเป็นการตอบโต้ โดย วลาดีมีร์ เลนิน ก็ได้โจมตีนักวิจารณ์พรรคบอลเชวิคหลายคนซึ่งมีจุดยืนที่ซ้ายกว่าพวกเขาในงานของเขาเอง ชื่อว่า คอมมิวนิสต์ปีกซ้ายความคิดระส่ำระส่ายไร้เดียงสา ("Left-Wing" Communism: An Infantile Disorder)

นักสังคมนิยมแบบมากซิสต์อิสรนิยมหลายคนมองว่าความล้มละลายทางการเมืองของสังคมนิยมแบบดั้งเดิมแสดงถึงความจำเป็นของความก้าวหน้าทางทฤษฎี ไม่ว่าจะเป็นความหัวรั้นในเรื่องเชิงทฤษฎีแบบมากซ์อย่างที่สุดซึ่งนักลัทธิบอร์ดีกา (Bordigism) และพรรค SPGB สนับสนุน หรือจะเป็นการถอยกลับ "หลังมากซ์" ไปสู่แบบแผนของการต่อต้านปฏิฐานนิยม (Antipositivism) ของแนวคิดจิตนิยมเยอรมัน (German idealism) ของนักสังคมนิยมอื่น ๆ แนวคิดสังคมนิยมแบบอิสรนิยมมักจะเชื่อมโยงความปรารถนาทางการเมืองที่จะต่อต้านอำนาจนิยมว่าเป็นความแตกต่างทางทฤษฎีของมันจากแบบดั้งเดิม[174] ตัวอย่างเช่น คาร์ล คอร์ช (Karl Korsch) เขาเป็นนักสังคมนิยมแบบอิสรนิยมเป็นส่วนใหญ่ของชีวิตเขา ก็เพราะแรงผลักดันที่ฝังแน่นของเขาต่อความเปิดกว้างทางทฤษฎีในงานของเขา เขาปฏิเสธสิ่งที่เป็นนิรันดร์และสถิตสถาพร และสนใจในบทบาทที่สำคัญของสิ่งเชิงปฏิบัติที่มีต่อความเท็จจริงของทฤษฎีอันหนึ่ง โดยไม่มีทฤษฎีใดที่หนีประวัติศาสตร์ได้ แม้แต่ลัทธิมากซ์ก็ตาม ในทำนองนี้ คอร์ชให้เครดิตสิ่งที่กระตุ้นให้เกิดงานเขียน ทุน ของมากซ์ว่า คือขบวนการการเคลื่อนไหวของชนชั้นที่ถูกกดขี่[175]

นักลัทธิมากซ์แบบอิสรนิยมปฏิเสธทุนนิยมและรัฐ บางคนจึงเป็นแนวร่วมกับนักอนาธิปัตย์เพื่อต่อต้านทั้งประชาธิปไตยแบบมีผู้แทนแบบทุนนิยมและลัทธิมากซ์แบบอำนาจนิยม แม้นักอนาธิปัตย์และนักลัทธิมากซ์จะมีจุดหมายสุดท้ายอย่างเดียวกันนั่นคือสังคมไร้รัฐ นักอนาธิปัตย์วิจารณ์นักลัทธิมากซ์ว่าไปสนับสนุนระยะเปลี่ยนผ่านซึ่งใช้รัฐเพื่อบรรลุจุดมุ่งหมายนี้ อย่างไรก็ตาม แนวโน้มลัทธิมากซ์แบบอิสรนิยมอย่างลัทธิมากซ์อัตตาณัติและลัทธิคอมมิวนิสต์แบบองค์คณะนิยมนั้นได้มีความเกี่ยวโยงกับขบวนการอนาธิปไตยในประวัติศาสตร์ ขบวนการอนาธิปไตยเคยมีความขัดแย้งกับทั้งกำลังของทุนนิยมและลัทธิมากซ์ และบางครั้งก็ต้องพบเจอทั้งสองในเวลาเดียวกันอย่างสงครามกลางเมืองสเปน แต่ในบริบทดังกล่าวนักลัทธิมากซ์ก็แตกแยกกันว่าจะสนับสนุนหรือต่อต้านอนาธิปไตย การประหัตประหารทางการเมืองอื่น ๆ ภายใต้พรรคการเมืองแบบอำมาตย์ก็ส่งผลให้เกิดการเป็นปฏิปักษ์อย่างรุนแรงทางประวัติศาสตร์ระหว่างนักอนาธิปัตย์และนักลัทธิมากซ์แบบอิสรนิยมในฝั่งหนึ่งกับนักลัทธิมากซ์เลนินและแนวคิดที่สืบต่อมาอื่น ๆ อาทิ ลัทธิเหมา ในอีกฝั่ง ในประวัติศาสตร์ไม่นานมานี้ นักสังคมนิยมแบบอิสรนิยมได้สร้างพันธไมตรีกับกลุ่มลัทธิมากซ์-เลนินหลายครั้งคราวเพื่อประท้วงต่อต้านสถาบันที่ทั้งสองปฏิเสธ ความเป็นปรปักษ์ส่นหนึ่งตามรอยจากสมาคมกรรมกรสากล (International Workingmen's Association) หรือสากลที่หนึ่ง สภาของคนทำงานสายมูลวิวัติ (Classical radicalism) ที่ มีฮาอิล บาคูนิน ซึ่งเป็นตัวแทนของมุมมองแบบอนาธิปไตย และ คาร์ล มาคส์ ซึ่งนักอนาธิปัตย์กล่าวหาว่าเป็น "พวกอำนาจนิยม" ได้มีความขัดแย้งกันในหลายประเด็น มุมมองของบาคูนินเกี่ยวกับความชอบธรรมของรัฐในฐานะที่เป็นสถาบันและหน้าที่ของการเมืองเลือกตั้งนั้นอยู่ตรงกันข้ามสุดขั้วกับมุมมองของมาคส์ในสากลที่หนึ่ง ในที่สุดความขัดแย้งระหว่างมาคส์และบาคูนินนำไปสู่การเข้าควบคุมสากลที่หนึ่งของมาคส์และเขาได้ขับไล่บาคูนินกับผู้ติดตามของเขาออกไปจากองค์กร นี่เป็นจุดเริ่มต้นของความอาฆาตและรอยร้าวระหว่างนักสังคมนิยมแบบอิสรนิยมกับสิ่งที่พวกเขาเรียกว่า "นักคอมมิวนิสต์อำนาจนิยม" หรืออีกแบบคือ "พวกอำนาจนิยม" เปล่า ๆ นักลัทธิมากซ์บางคนได้ก่อรูปร่างมุมมองที่ใกล้เคียงกับสหการนิยมและจึงแสดงความเกี่ยวดองกับความคิดแบบอนาธิปไตยมากกว่า นักสังคมนิยมแบบอิสรนิยมหลายคนเช่น โนม ชอมสกี เชื่อว่าอนาธิปไตยมีส่วนร่วมมากยิ่งกับลัทธิมากซ์บางประเภท อาทิ ลัทธิคอมมิวนิสต์แบบองค์คณะนิยมของ อันโตนี ปันเนอคุก ในงานเขียนชื่อว่า โนตส์ออนแอนาร์คิสซึม (Notes on Anarchism) ชอมสกีเสนอถึงความเป็นไปได้ "ที่ลัทธิคอมมิวนิสต์แบบองค์คณะนิยมบางรูปแบบเป็นรูปแบบธรรมชาติของสังคมนิยมปฏิวัติ (Revolutionary socialism) ภายในสังคมอุตสาหกรรม (Industrialization) มันสะท้อนถึงความเชื่อว่าประชาธิปไตยนั้นมีข้อจำกัดอย่างยิ่งเมื่อระบบอุตสาหกรรมถูกควบคุมโดยอภิชนอัตตาธิปัตย์ไม่ว่าในรูปแบบใด ไม่ว่าจะเป็นเจ้าของ ผู้จัดการ นักวิชาการ พรรค 'แนวหน้า' หรือระบบรัฐราชการก็ตาม"[176]

ในช่วงกลางคริสต์ศตวรรษที่ 20 กลุ่มสังคมนิยมแบบอิสรนิยมบางกลุ่มก่อตัวขึ้นจากความไม่เห็นพ้องกับลัทธิทรอตสกี (Trostkyism) ซึ่งแสดงตนเป็นแนวคิดลัทธิเลนินที่ต่อต้านลัทธิสตาลิน กล่าวคือ กลุ่มฝรั่งเศสชื่อว่า ซอซียาลิสมูบาร์บารี (Socialisme ou Barbarie) ได้กำเนิดขึ้นจากสากลที่สี่ ซึ่ง กอร์นีลิโอส กัสโตริอาดิส และ โกลด เลอฟอร์ (Claude Lefort) เป็นส่วนหนึ่งของกลุ่มโชลิเยอ-มงตาลในพรรคคอมมิวนิสต์สากลฝรั่งเศส (Internationalist Communist Party (France)) ใน ค.ศ. 1946 และใน ค.ศ. 1948 พวกเขาประสบกับ "ความหมดความเชื่อถือเป็นครั้งสุดท้ายในลัทธิทรอตสกี"[177] ซึ่งนำพาให้พวกเขาแยกตัวออกมาเพื่อก่อตั้งซอซียาลิสมูบาร์บารี ซึ่งเริ่มตีพิมพ์วารสารของตัวเองออกมาในเดือนมีนาคม ค.ศ. 1949 กัสโตริอาดิสกล่าวต่อว่าในช่วงเวลานี้ "กลุ่มผู้ชมของกลุ่มและวารสารนี้ส่วนมากเป็นกลุ่มของคนแก่ฝ่ายซ้ายสายมูลวิวัติ: นักลัทธิบอร์ดีกา นักคอมมิวนิสต์แบบองค์คณะนิยม นักอนาธิปไตยจำนวนหนึ่ง และผลิตผลบางส่วนของ 'ฝ่ายซ้าย' เยอรมันในยุคคริสต์ทศวรรษ 1920"[178] เช่นเดียวกันในสหราชอาณาจักร กลุ่มโซลิดาริตี (Solidarity (UK)) ได้ถูกก่อตั้งขึ้นใน ค.ศ. 1960 โดยกลุ่มของสมาชิกกลุ่มเล็กที่ถูกขับออกจากสันนิบาตแรงงานสังคมนิยม (Workers Revolutionary Party (UK)) ลัทธิทรอตสกี กลุ่มนี้ได้รับอิทธิพลสูงตั้งแต่แรกจากกลุ่มซอซียาลิสมูบาร์บารีในฝรั่งเศส โดยเฉพาะจากผู้นำทางความคิดของมัน กอร์นีลิโอส กัสโตริอาดิส ซึ่งกลุ่มโซลิดาริตีได้ผลิตเผยแพร่ใบปลิวของความเรียงของเขาหลายใบ ผู้นำทางความคิดของกลุ่มนี้คือ คริส พาลลิส (Chris Pallis) ซึ่งเขียนด้วยนามปากกา มอริซ บรินตัน (Maurice Brinton)[179]

ตั้งแต่ ค.ศ. 1967 เป็นต้นมาในสาธารณรัฐประชาชนจีน คำว่าซ้ายจัด (Ultra-leftism) และคอมมิวนิสต์ฝ่ายซ้ายหมายถึงทฤษฎีและปฏิบัติการทางการเมืองซึ่งนิยามตัวเองว่าอยู่ซ้ายกว่าของผู้นำลัทธิเหมาส่วนกลางในช่วงจุดสูงสุดของการปฏิวัติทางวัฒนธรรมใหญ่ของกรรมาชีพ คำนี้ยังถูกใช้ย้อนหลังเพื่อเรียกอนาธิปไตยในประเทศจีน (Anarchism in China) พวกแรก ๆ ในช่วงต้นคริสต์ศตวรรษ 20 พรรคคอมมิวนิสต์จีนใช้คำว่า "ซ้ายจัด" เป็นคำเหยียดอย่างกว้าง ๆ เพื่อประณามกลุ่มใดที่อยู่ซ้ายไปกว่าแนวทางพรรค (Party line (politics)) อิงตามการใช้งานในช่วงหลัง ใน ค.ศ. 1978 คณะกรรมการกลาง (Central Committee) พรรคคอมมิวนิสต์จีนประณามแนวทางของ เหมา เจ๋อตง ว่าเป็นแนวคิดซ้ายจัดตั้งแต่ ค.ศ. 1956 จนถึง ค.ศ. 1976 เมื่อเหมาได้เสียชีวิตไป คำว่าซ้ายจัดยังหมายถึงจุดยืนของกบฏของการปฏิวัติทางวัฒนธรรมที่แยกตัวออกจากแนวทางลัทธิเหมาส่วนกลางไปด้วยการระบุถึงความขัดแย้งที่เป็นปฏิปักษ์ (antagonistic contradiction) ระหว่างรัฐพรรคของพรรคคอมมิวนิสต์จีนและสาธารณรัฐประชาชนจีนเองกับมวลชนของคนทำงานและชาวนา[180] ที่ร่วมกันประกอบเป็นชนชั้นกรรมาชีพที่ถูกแยกออกจากการควบคุมที่มีนัยสำคัญใด ๆ เหนือการผลิตหรือการกระจาย ในขณะที่แนวทางลัทธิเหมาส่วนกลางยืนยีนว่ามวลชนนั้นควบคุมปัจจัยการผลิตผ่านการเป็นสื่อกลางของพรรค พวกซ้ายจัดกล่าวว่าผลประโยชน์เชิงรูปธรรมของอำมาตย์นั้นถูกกำหนดในเชิงโครงสร้างโดยรูปแบบรัฐรวมศูนย์ และเป็นปรปักษ์โดยตรงกับผลประโยชน์เชิงรูปธรรมของมวลชน ไม่ว่าความคิดของอำมาตย์คนใดจะเป็นสังคมนิยมมากเท่าไหร่ก็ตาม ในขณะที่ผู้นำลัทธิเหมาส่วนกลางส่งเสริมให้มวลชนวิจารณ์ความคิดและนิสัยแบบปฏิกิริยาที่กล่าวหาว่ามีอยู่ในกลุ่มแกนนำไม่ดีห้าเปอร์เซ็นต์ และให้โอกาสที่พวกเขาจะ "กลับตัวกลับใจ" หลังจากได้รับ "การปฏิรูปทางความคิด" แต่พวกซ้ายจัดกล่าวว่าการปฏิวัติทางวัฒนธรรมต้องนำทางไปสู่การปฏิวัติทางการเมือง "ที่ชนชั้นหนึ่งจะโค่นล้มอีกชนชั้นหนึ่ง"[181][182]

ใน ค.ศ. 1969 นักอนาธิปัตย์-คอมมิวนิสต์ แพลตฟอร์มิสต์ (platformist) ชาวฝรั่งเศส ดาเนียล เกแร็ง (Daniel Guérin) ได้เผยแพร่ความเรียงชื่อว่า ลิเบอร์ทาเรียนมาร์กซิสซึม? (Libertarian Marxism?) ที่เขาเขียนถึงการโต้วาทีระหว่าง คาร์ล มาคส์ และ มีฮาอิล บาคูนิน ที่สากลที่หนึ่งและต่อ ๆ มา เขาเสนอว่า "ลัทธิมากซ์แบบอิสรนิยมปฏิเสธนิยัตินิยมและชะตานิยม (fatalism) โดยให้พื้นที่มากยิ่งกว่ากับเจตจำนงปัจเจก อัชฌัตติกญาณ จินตนาการ ความเร็วรีเฟล็กซ์ และสัญชาตญาณเบื้องลึกของมวลชน ซึ่งมองเห็นได้กว้างกว่าในช่วงเวลาวิกฤต มากกว่าการให้เหตุผลของ 'อภิชน' ลัทธิมากซ์แบบอิสรนิยมคิดถึงผลของความประหลาดใจ การยั่วยุ และความกล้าหาญ ปฏิเสธที่จะยุ่งเหยิงหรือเป็นอัมพาตด้วยเครื่องมือหนัก 'เชิงวิทยาศาสตร์' ไม่พูดกำกวมหรือหลอกลวง และพิทักษ์ตนเองจากคติผจญภัยพอ ๆ กันกับจากความกลัวในสิ่งที่ไม่รู้"[183] ในสหรัฐ มีสิ่งพิมพ์ชื่อว่า รูตแอนด์แบรนช์ (Root & Branch) ซึ่งมีหัวข้อย่อยเขียนไว้ว่า "วารสารลัทธิมากซ์แบบอิสรนิยม"[184] ใน ค.ศ. 1974 วารสาร ลิเบอร์ทาเรียนคอมมิวนิสซึม (Libertarian Communism) ถูกริเริ่มในสหราชอาณาจักรโดยคนกลุ่มหนึ่งในพรรคสังคมนิยมแห่งบริเตนใหญ่[185]

ลัทธิมากซ์อัตตาณัติ ลัทธิมากซ์ใหม่ (neo-Marxism) และทฤษฎีสถานการณ์นิยม (Situationist International) ก็ถูกถือว่าเป็นลัทธิมากซ์ประเภทที่ต่อต้านอำนาจนิยมซึ่งอยู่ในธรรมเนียมของสังคมนิยมแบบอิสรนิยม[186] ในคริสต์ทศวรรษ 1980 และ 1990 ได้มีการพัฒนาขึ้นของกลุ่มหลายกลุ่มเช่นกลุ่ม โคลิงโค (Kolinko), คือราเช (Kurasje) และ ไวลด์แคต (Wildcat) ในประเทศเยอรมนี เอาฟ์เฮเบิน (Aufheben) ในประเทศอังกฤษ เตโอรีกอมูว์นิสต์ (Theorie Communiste) ในประเทศฝรั่งเศส TPTG (Τα παιδιά της γαλαρίας) ในประเทศกรีซ และ กัมยุนิสฏ์กรานติ (Kamunist Kranti) ในประเทศอินเดีย พวกเขายังเกี่ยวข้องกับกลุ่มอื่น ๆ ในประเทศอื่น และผสมผสานแนวคิดออโตโนเมีย (Autonomia), ลัทธิแรงงานนิยม, ลัทธิมากซ์แบบเฮเกิล, งานของกลุ่มจอห์นสัน-ฟอเรสต์ (Johnson-Forest Tendency), ลัทธิมากซ์แบบเปิด (Open Marxism), ICO (Informations et correspondances ouvrières), องค์การสถานการณ์นิยมสากล, อนาธิปไตย และลัทธิมากซ์เยอรมันหลัง ค.ศ. 1968[18]

กลุ่มที่โดดเด่น[แก้]

อนาธิปไตย[แก้]

ดูบทความหลักที่: อนาธิปไตย

อนาธิปไตยและสังคมนิยมแบบอิสรนิยมนั้นมีความหมายเดียวกันเป็นส่วนใหญ่มาแต่อดีต[187] โดยเฉพาะอย่างยิ่งในกรณีของกระแสความคิดอนาธิปไตยแบบคลาสสิก (classical anarchism) ซึ่งได้พัฒนาขึ้นมาในคริสต์ศตวรรษที่ 19 นั่นคือความมุ่งมั่นต่อคติของอัตตาณัติและเสรีภาพ การกระจายอำนาจ การต่อต้านการจัดลำดับชั้น และการต่อต้านคติแนวหน้านิยมของสังคมนิยมแบบอำนาจนิยม

นักสหการนิยมอนาธิปไตย กัสตอน เลบัล (Gaston Leval) ได้อธิบายไว้ว่า "เราจึงมองเห็นถึงสังคมซึ่งกิจกรรมทั้งหลายจะถูกประสานกัน โครงสร้างซึ่งในเวลาเดียวกันกลับมีความยืดหยุ่นที่เพียงพอให้ชีวิตในสังคมหรือชีวิตของแต่ละวิสาหกิจมีอิสระมากที่สุดเท่าที่เป็นไปได้ แต่ก็ยังมีความยึดเหนี่ยวกันพอที่จะป้องกันไม่ให้เกิดความโกลาหล [...] ในสังคมซึ่งถูกจัดระเบียบไว้อย่างดี สิ่งเหล่านี้จะต้องถูกบรรลุอย่างเป็นระบบผ่านการสหพันธ์ในแนวขนาน โดยรวมกันในแนวตั้งในระดับที่สูงที่สุด ประกอบขึ้นเป็นองคาพยพหนึ่งเดียวที่กว้างใหญ่ไพศาลซึ่งบทบาททางเศรษฐกิจทั้งมวลจะดำเนินไปด้วยความสามัคคีพร้อมด้วยกันทั้งหมด และซึ่งจะยังคงอนุรักษ์ความยึดโยงกันที่จำเป็นไว้อย่างถาวร"[20]

คติความช่วยเหลือซึ่งกันและกัน[แก้]

คติความช่วยเหลือซึ่งกันและกัน หรือลัทธิมิวชัวลิสต์ (อังกฤษ: Mutualism) เริ่มต้นมาจากขบวนการเคลื่อนไหวสังคมนิยมยุคคริสต์ศตวรรษที่ 19 ซึ่งได้ถูกรับมาใช้และพัฒนาขึ้นเป็นทฤษฎีเศรษฐกิจแบบอนาธิปไตยรูปแบบแรกโดย ปีแยร์-โฌแซ็ฟ ปรูดอน คติความช่วยเหลือซึ่งกันและกันอยู่บนพื้นฐานของทฤษฎีมูลค่าแรงงานรูปแบบหนึ่งซึ่งถือว่าเมื่อแรงงานหรือผลผลิตของมันได้ถูกขายไป สินค้าหรือบริการที่ได้รับกลับมาแลกเปลี่ยนกันควรที่จะเป็นร่างปรากฏของ "ปริมาณของแรงงานอันจำเป็นในการผลิตสิ่งของซึ่งมีประโยชน์ใช้สอยที่คล้ายกันหรือเท่ากันอย่างแม่นยำ"[188] และถือว่าอะไรที่ไม่เป็นไปตามนี้เป็นการเอาเปรียบ การลักขโมยแรงงาน หรือการเรียกดอกเบี้ยเกินอัตรา (usury)[188] นักคตินิยมความช่วยเหลือซึ่งกันและกันสนับสนุนกรรมสิทธิ์ของสังคม และเชื่อว่าตลาดแรงงานที่เสรีจะทำให้เกิดสภาวะที่รายได้นั้นเท่ากันโดยเป็นสัดส่วนกับแรงงานที่ใช้ไป[188][189] ตามที่ โจนาธาน บีเชอร์ กล่าวไว้ จุดมุ่งหมายของลัทธิมิวชัวลิสต์คือ "การปลดปล่อยแรงงานจากเงื่อนไขบังคับซึ่งถูกกำหนดโดยทุน"[190] ปรูดอนเชื่อว่าปัจเจกบุคคลมีสิทธิในที่ดินก็ต่อเมื่อเขากำลังใช้สอยหรืออาศัยอยู่ในที่นั้น หากเขาเลิกกระทำดังเช่นนั้นแล้ว ที่ดินก็จะกลายสภาพกลับเป็นที่ดินซึ่งไม่มีเจ้าของ[191]

นักอนาธิปัตย์แบบปัจเจกบางคนเช่น เบนจามิน ทักเกอร์ (Benjamin Tucker) ได้รับอิทธิพลจากคติความช่วยเหลือซึ่งกันและกันของปรูดอน แต่พวกเขาไม่ได้เรียกร้องให้มีการสมาคมเป็นวิสาหกิจขนาดใหญ่ตามปรูดอน[192] แนวคิดแบบมิวชัวลิสต์ได้เบ่งบานขึ้นในคริสต์ศตวรรษที่ 19 ในสเปน ณ ที่นั่น รามอน เด ลา ซากรา (Ramón de la Sagra) ได้ก่อตั้งวารสารอนาธิปัตย์ชื่อว่า เอลปอร์เบนิร์ (El Porvenir) ที่อาโกรุญญาใน ค.ศ. 1845 ซึ่งได้รับแรงบันดาลใจมาจากแนวคิดของปรูดอน[193] นักการเมืองชาวกาตาลา ฟรันเซสก์ ปี อี มารากัล (Francesc Pi i Maragall) ได้กลายเป็นนักแปลคนสำคัญที่แปลงานของปรูดอนมาเป็นภาษาสเปน[194] และในภายหลังได้เป็นประธานาธิบดีของสเปนอยู่ชั่วขณะหนึ่งใน ค.ศ. 1873 ในขณะที่เป็นผู้นำของพรรคสาธารณรัฐประชาธิปไตยสหพันธ์ (Federal Democratic Republican Party)

อิงตาม จอร์จ วูดค็อก "งานแปลเหล่านี้ได้มีผลกระทบอย่างลึกซึ้งและยืนยาวต่อพัฒนาการของอนาธิปไตยในสเปนหลัง ค.ศ. 1870 แต่ก่อนเวลานั้นอีก แนวคิดแบบปรูดอน ตามที่ปีได้ตีความไว้ ก็ได้เป็นแหล่งของแรงบันดาลใจจำนวนมากต่อขบวนการสหพันธรัฐซึ่งถือกำเนิดขึ้นในช่วงต้นคริสต์ทศวรรษ 1860"[194] อิงตาม สารานุกรมบริแทนนิกา, "ในช่วงเวลาของการปฏิวัติสเปนใน ค.ศ. 1873 ปี อี มารากัล ได้มีความพยายามที่จะก่อตั้งระบบการเมืองแบบกระจายอำนาจหรือ 'แบบแคนทอน' (Cantonalism) ตามแบบของปรูดอน"[193] เควิน คาร์สัน (Kevin Carson) เป็นนักทฤษฎีมิวชัวลิสต์ร่วมสมัยผู้เป็นนักเขียนของ สตาดีสอินมิวชวลลิสต์โพลิติคัลอิคอนอมี (Studies in Mutualist Political Economy)[189]

อนาธิปไตยสังคม[แก้]

ดูบทความหลักที่: อนาธิปไตยสังคม
แอร์รีโก มาลาเตสตา นักกิจกรรมและนักทฤษฎีอนาธิปไตยคอมมิวนิสต์ที่ทรงอิทธิพลชาวอิตาลี

อนาธิปไตยสังคม (อังกฤษ: Social anarchism) เป็นอนาธิปไตยสาขาที่มุ่งเน้นเกี่ยวกับกรรมสิทธิ์ของสังคม (social ownership) ระบบร่วมด้วยช่วยกัน (Mutual aid (organization theory)) และการจัดการโดยคนทำงานเอง อนาธิปไตยสังคมเป็นรูปแบบหลักของอนาธิปไตยแบบคลาสสิก และรวมถึงสำนักคิดอนาธิปไตยหลัก ๆ แบบสหการนิยม คอมมิวนิสต์ และแบบรวมหมู่ด้วย คำว่าอนาธิปไตยสังคมถูกใช้ในทางตรงกันข้ามกับอนาธิปไตยแบบปัจเจก เพื่อพูดถึงทฤษฎีที่ให้ความสำคัญกับแง่มุมเชิงประชาคม (communitarianism) และสหกรณ์ของทฤษฎีอนาธิปไตย ในขณะเดียวกันก็ต่อต้านการคิดแบบติดกลุ่ม (groupthink) และการคล้อยตามกลุ่ม (conformity) ซึ่งถูกเชื่อมโยงกับประชาคมนิยมแบบอำนาจนิยม และเห็นชอบให้ปรองดองกันระหว่างความเป็นปัจเจก (individual) และความเป็นสังคม (sociality)

นักอนาธิปัตย์สังคมต่อต้านกรรมสิทธิ์ส่วนบุคคลของปัจจัยการผลิต โดยมองว่าเป็นบ่อเกิดของความเหลื่อมล้ำ และเสนอให้มีกรรมสิทธิ์ของสังคมไม่ว่าจะผ่านกรรมสิทธิ์ส่วนรวมตามแบบบาคูนินและอนาธิปไตยแบบรวมหมู่ กรรมสิทธิ์ส่วนรวมตามแบบอนาธิปไตยแบบคอมมิวนิสต์ และกรรมสิทธิ์สหกรณ์ตามแบบอนาธิปไตยแบบสหการนิยม หรือรูปแบบอื่น ๆ แทน อนาธิปไตยสังคมมีทั้งกลุ่มการเมืองที่นิยมสันติและการกบฏ (insurrectionary anarchism) และยังมีกลุ่มการเมืองแบบที่จัดตั้งองค์กรและแบบที่ต่อต้านการจัดตั้งเป็นองค์กร โดยมีปฏิบัติการจำนวนมากภายในขบวนการแรงงาน (labour movement) สหภาพแรงงาน และสหการแรงงาน โดยเน้นความสำคัญกับการปลดแอกคนทำงานผ่านการต่อสู้ระหว่างชนชั้น

จนถึงปัจจุบัน ตัวอย่างของสังคมอนาธิปไตยสังคมที่เป็นที่รู้จักมากที่สุดคือมาฮ์นอฟชีนา (Makhnovshchina) ซึ่งเกิดขึ้นหลังจากการปฏิวัติรัสเซีย สมาคมประชาชนเกาหลีในแมนจูเรีย (Korean People's Association in Manchuria) และดินแดนอนาธิปไตยของการปฏิวัติสเปน (Spanish Revolution of 1936)[195]

อนาธิปไตยแบบปัจเจก[แก้]

ดูบทความหลักที่: อนาธิปไตยแบบปัจเจก

อนาธิปไตยแบบปัจเจก (อังกฤษ: Individualist anarchism) เป็นชุดของธรรมเนียมความคิดภายในขบวนการอนาธิปไตยซึ่งเน้นความสำคัญกับปัจเจกบุคคลและเจตจำนง (will (philosophy)) เหนือตัวกำหนดภายนอกเช่นกลุ่ม สังคม ประเพณี และระบบอุดมการณ์ต่าง ๆ [196][197] นักอนาธิปัตย์อย่าง ลุยจี กัลเลอานี (Luigi Galleani) และ แอร์รีโก มาลาเตสตา มองว่าไม่มีความขัดแย้งกันระหว่างอนาธิปไตยแบบปัจเจกและอนาธิปไตยสังคม[198] โดย มาลาเตสตา มองว่าปัญหาไม่ได้เกิดขึ้นระหว่างอนาธิปไตยสองรูปแบบนี้ แต่เกิดขึ้นระหว่างนักอนาธิปัตย์กับพวกที่ไม่ใช่นักอนาธิปัตย์[199] นักอนาธิปัตย์อย่าง เบนจามิน ทักเกอร์ อ้างว่า "ไม่ใช่อนาธิปไตยสังคมปะทะกับอนาธิปไตยแบบปัจเจก แต่เป็นสังคมนิยมคอมมิวนิสต์ปะทะกับสังคมนิยมแบบปัจเจก"[200] ทักเกอร์อธิบายว่า "ข้อเท็จจริงที่สังคมนิยมรัฐได้บดบังทัศนะของสังคมนิยมรูปแบบอื่น ๆ ไม่ได้แปลว่ามันสามารถผูกขาดมโนคติแบบสังคมนิยมไว้กับตัวเองได้"[201]

โจไซอา วอร์เรน ถูกถืออย่างกว้างขวางให้เป็นนักอนาธิปไตยชาวอเมริกันคนแรก[202] และวารสารรายสัปดาห์ที่เขาเป็นบรรณาธิการให้ใน ค.ศ. 1833 ชื่อว่า เดอะพีสฟุลเรโวลูชันนิสต์ (The Peaceful Revolutionist) ก็เป็นวารสารอนาธิปไตยที่ได้รับการตีพิมพ์เป็นครั้งแรก[203] ในมุมมองของนักประวัติศาสตร์อนาธิปไตยชาวอเมริกัน ยูนิส มิเน็ตต์ ชูสเตอร์ "เป็นที่แน่ชัด [...] ว่าอนาธิปไตยแบบปรูดอนนั้นสามารถพบได้ในสหรัฐตั้งแต่อย่างน้อย ค.ศ. 1848 และมันเองไม่รู้ตัวถึงความใกล้เคียงระหว่างมันกับอนาธิปไตยแบบปัจเจกของ โจไซอา วอร์เรน และ สตีเฟน เพิร์ล แอนดรูส์ (Stephen Pearl Andrews) [...] วิลเลียม แบตเชลเดอร์ กรีน (William Batchelder Greene) ได้นำเสนอลัทธิมิวชัวลิสต์แบบปรูดอนนี้ในรูปแบบที่บริสุทธิ์และเป็นระบบมากที่สุด"[204] ในเวลาต่อมา นักอนาธิปัตย์แบบปัจเจกชาวอเมริกัน เบนจามิน ทักเกอร์ "ได้ต่อต้านทั้งรัฐและทุนนิยม ต่อต้านทั้งการกดขี่และการเอาเปรียบ แม้ว่าเขาจะไม่ได้ต่อต้านตลาดและทรัพย์สิน เขาต่อต้านทุนนิยมอย่างหนักแน่น เพราะในมุมมองของเขา มันเป็นการผูกขาดทุนทางสังคม (เครื่องมือ เครื่องจักร ฯลฯ) ที่ได้รับการสนับสนุนจากรัฐ ซึ่งทำให้เจ้าของสามารถเอาเปรียบลูกจ้างของพวกเขาได้ นั่นคือการไม่จ่าย[ค่าจ้าง]ให้กับคนทำงานสมกับมูลค่าเต็มของแรงงานของพวกเขา เขาคิดว่า 'ชนชั้นซึ่งใช้แรงงานถูกพรากไปจากรายได้ของพวกเขาผ่านดอกเบี้ยเกินอัตราสามรูปแบบ คือดอกเบี้ย ค่าเช่า และกำไร' ดังนั้น 'เสรีภาพจะล้มเลิกดอกเบี้ย จะล้มเลิกกำไร จะล้มเลิกค่าเช่าแบบผูกขาด จะล้มเลิกการเก็บภาษี จะล้มเลิกการเอาเปรียบแรงงาน จะล้มเลิกการกระทำทุกทางที่พรากผู้ใช้แรงงานไปจากผลผลิตของเขาเอง' จุดยืนนี้ทำให้เขาถูกถือว่าอยู่ในธรรมเนียมของสังคมนิยมแบบอิสรนิยม และทักเกอร์ก็เรียกตนเองเป็นนักสังคมนิยมอยู่หลายครั้ง และถือว่าปรัชญาของเขาเป็นสังคมนิยมแบบอนาธิปไตย"[205][206]

ออสการ์ ไวลด์ นักเขียนนักอนาธิปัตย์ที่โด่งดังชาวไอริชซึ่งได้เผยแพร่งานเขียนสังคมนิยมอิสรนิยมที่ชื่อว่า เดอะโซลออฟแมนอันเดอร์โซเชียลลิสซึม (The Soul of Man Under Socialism)

นักอนาธิปัตย์แบบปัจเจกชาวฝรั่งเศส เอมีล อาร์ม็อง (Émile Armand) ต่อต้านระบบทุนนิยมและระบบเศรษฐกิจแบบรวมศูนย์อย่างชัดเจน เมื่อเขากล่าวถึงนักอนาธิปไตยแบบปัจเจกว่า "ข้างในใจเขายังคงดื้อรั้น ดื้อรั้นจะเป็นจะตาย ทางจริยธรรม ทางปัญญา ทางเศรษฐกิจ (เศรษฐกิจแบบทุนนิยมและเศรษฐกิจแบบบังคับบัญชา ผู้เก็งกำไรและผู้ผลิตก็น่ารังเกียจพอกันสำหรับเขา)[207] นักอนาธิปัตย์แบบปัจเจกชาวสเปน มิเกล ฆิเมเนซ อิกัวลาดา (Miguel Giménez Igualada) มีความคิดว่า "ทุนนิยมนั้นเป็นผลจากรัฐบาล เมื่อรัฐบาลหายไปทุนนิยมย่อมตกลงมาจากแท่นอย่างมึนงง [...] สิ่งที่เราเรียกว่าทุนนิยมไม่ใช่สิ่งใดนอกจากเป็นผลผลิตของรัฐ ซึ่งภายในนั้นสิ่งเดียวที่สนใจคือกำไน ไม่ว่าได้มาโดยทุจริตหรือสุจริต และดังนั้นการต่อสู้กับทุนนิยมจึงเป็นงานที่ไร้ความหมาย เพราะไม่ว่าจะเป็นทุนนิยมรัฐหรือทุนนิยมวิสาหกิจ ตราบใดที่รัฐบาลยังดำรงอยู่ ทุนซึ่งเอาเปรียบย่อมดำรงอยู่ การต่อสู้ แต่ของความสำนึก จึงเป็นการต่อสู้กับรัฐ"[208] มุมมองของเขาต่อการแบ่งแยกทางชนชั้นและคตินิยมนักวิชาการเป็นดังว่า " สิ่งที่สำคัญที่นักอนาธิปัตย์จะต้องกระทำอยู่ตลอดคือการที่ไม่ว่าใครก็ไม่จำเป็นต้องเอาเปรียบใคร คนใดกับคนใดก็ตาม เพราะการไม่เอาเปรียบนี้จะนำไปสู่การจำกัดทรัพย์สินไว้สำหรับความจำเป็นของปัจเจกเท่านั้น [...] เพราะไม่มีใครทำงานให้ใคร คนเก็งกำไรจากความมั่งคั่งจะหายไป เช่นกันรัฐบาลจะหายไปเมื่อไม่มีใครให้ความสนใจกับคนที่ไปเรียนเกี่ยวกับของสี่อย่างที่มหาวิทยาลัยเพื่อออกมาเสแสร้งแกล้งทำเป็นปกครองผู้คน วิสาหกิจอุตสาหกรรมขนาดใหญ่จะเปลี่ยนเป็นผู้คนที่อยู่ในสมาคมขนาดใหญ่ที่ทุกคนจะทำงานและเพลิดเพลินกับผลผลิตของงานของพวกเขา และจากปัญหาที่ง่ายและสวยงามซึ่งอนาธิปไตยได้จัดการไปแล้ว และเขาที่เอาเหล่านั้นมาปฏิบัติจริงและใช้ชีวิตไปกับมัน เขาเป็นนักอนาธิปัตย์"[209]

นักอนาธิปัตย์[210] นักเขียน และโบฮีเมียน (bohemianism) ออสการ์ ไวลด์ ได้เขียนไว้ในเรียงความที่โด่งดังของเขา เดอะโซลออฟแมนอันเดอร์โซเชียลลิสซึม ว่า "ศิลปะคือปัจเจกนิยม และปัจเจกนิยมคือแรงที่ปั่นป่วนและทลายลง นี่คือมูลค่าอันมหาศาลของมัน เพราะสิ่งที่มันควานหาคือการปั่นปวนความจำเจของประเภท ความเป็นทาสของขนบธรรมเนียม ทรราชย์ของนิสัย และการลดทอนมนุษย์ให้ไปอยู่ในระดับเดียวกับเครื่องจักร"[211] ในมุมมองของนักอนาธิปัตย์ จอร์จ วูดค็อก "เป้าหมายของไวลด์ใน เดอะโซลออฟแมนอันเดอร์โซเชียลลิสซึม คือการแสวงหาสังคมซึ่งเป็นใจมากที่สุดสำหรับศิลปิน [...] สำหรับไวลด์ ศิลปะเป็นจุดสิ้นสุดสุดท้าย ซึ่งมีการตรัสรู้และการฟื้นฟูอยู่ในตัวมัน ที่ซึ่งทุกสิ่งอื่นในสังคมจะต้องตกอยู่ใต้บังคับบัญชาของมัน [...] ไวลด์แสดงให้เห็นนักอนาธิปัตย์เป็นตัวแทนของนักเสพสุนทรีย์"[212]

ในสังคมสังคมนิยม ไวลด์เขียนว่าจะไม่มีผู้คนที่ยากจนข้นแค้น และสมาชิกทุกคนในสังคมจะแบ่งปันความเจริญและความสุขของสังคมโดยทั่วกัน[213] และสังคมนิยมจะนำไปสู่ปัจเจกนิยม[214] เพราะการล้มเลิกทรัพย์สินส่วนบุคคลนั้นจะทำให้ปัจเจกนิยมนั้นเป็นอิสระ ปราณีต และเข้มข้นกว่าเดิม ทรัพย์สินส่วนบุคคลทำร้ายปัจเจกนิยมด้วยการทำให้คนงงงวยไปกับว่าเขาเป็นเจ้าของของอะไร และได้กดทับปัจเจกนิยมที่แท้จริงด้วยปัจเจกนิยมปลอม[215] เขากล่าวถึงสังคมนิยมแบบอำนาจนิยมว่าจะทำให้สภาพมนุษย์ย่ำแย่กว่าเดิม จากที่รัฐบาลถืออำนาจการเมืองอยู่แล้วก็จะถืออำนาจทางเศรษฐกิจด้วย และสังคมนิยมต้องมีปัจเจกนิยมด้วย[216] เขาเทียบสังคมนิยมแบบอำนาจนิยมว่าใช้ไม่ได้ ในขณะที่ระบบในปัจจุบัน (ที่มีทรัพย์สินส่วนบุคคล) นั้นเป็นทรราชย์ทางเศรษฐกิจที่จำกัดเสรีภาพและความสุข การเปลี่ยนจากสภาพที่คนส่วนหนึ่งที่ตกเป็นทาสให้กลายเป็นการที่คนทั้งหมดต้องตกเป็นทาสเพื่อแก้ไขปัญหานี้นั้นเป็นเรื่องที่ไร้เดียงสา[217] และสนับสนุนปัจเจกนิยมในแบบที่ไม่ใช่ทุนนิยมโดยกล่าวว่า "ปัจเจกนิยมที่เกิดขึ้นภายใต้เงื่อนไขที่มีทรัพย์สินส่วนบุคคลนั้นไม่ได้เป็นในแบบที่น่าพอใจหรือดีเยี่ยมเสมอไป"[218] ในทำนองนี้เองที่สังคมนิยมจะปลดปล่อยมนุษย์จากการทำหัตถกิจ และให้สามารถใช้เวลาไปกับการไล่ตามความสร้างสรรค์ของเขาได้ และจึงสามารถพัฒนาจิตวิญญาณของเขา ในความคิดของไวลด์

ลัทธิมากซ์[แก้]

ดูบทความหลักที่: ลัทธิมากซ์แบบอิสรนิยม

ลัทธิมากซ์แบบอิสรนิยมเป็นขอบเขตกว้าง ๆ ของปรัชญาการเมืองและเศรษฐกิจซึ่งให้ความสำคัญกับแง่มุมของการต่อต้านอำนาจนิยมของลัทธิมากซ์[219] กระแสลัทธิมากซ์แบบอิสรนิยมช่วงแรก เป็นที่รู้จักในนามลัทธิคอมมิวนิสต์ฝ่ายซ้าย[220] ได้ถือกำเนิดขึ้นมาเพื่อต่อต้านลัทธิมากซ์–เลนิน[60] และลูกหลานของมันอย่างลัทธิสตาลิน ลัทธิเหมา และลัทธิทรอตสกี (Trotskyism)[221] ลัทธิมากซ์แบบอิสรนิยมยังวิจารณ์จุดยืนปฏิรูปนิยม (reformism) อย่างเช่นประชาธิปไตยสังคมนิยม[222] กระแสการเมืองลัทธิมากซ์แบบอิสรนิยมมักคัดความคิดมาจากผลงานช่วงหลัง ๆ ของมากซ์และเอ็งเงิลส์ โดยเฉพาะอย่างยิ่งงานอย่าง กรุนท์ริสเซอ (Grundrisse) และ เดอะซีวิลวอร์อินแฟรนส์ (The Civil War in France)[59] โดยให้ความสำคัญกับความเชื่อแบบมากซ์ในความสามารถของชนชั้นแรงงานที่จะหล่อหลอมพรหมลิขิตของตัวเองได้โดยไม่จำเป็นต้องใช้พรรคสายปฏิวัติหรือรัฐเป็นตัวกลางหรือตัวช่วยในการปลดปล่อยของมัน[58] ลัทธิมากซ์แบบอิสรนิยม พร้อมกันกับอนาธิปไตย ทั้งสองเป็นส่วนหนึ่งของกระแสหลักของสังคมนิยมแบบอิสรนิยม[17]

ลัทธิมากซ์แบบอิสรนิยมประกอบด้วยกระแสการเมืองอย่างเช่นลัทธิลุคเซิมบวร์ค ลัทธิคอมมิวนิสต์แบบองค์คณะนิยม ลัทธิคอมมิวนิสต์ฝ่ายซ้าย ซอซียาลิสมูบาร์บารี กลุ่มการเมืองจอห์นสัน-ฟอเรสต์ สังคมนิยมทั่วโลก ลัทธิเลททริสม์ (Lettrism)/องค์การสถานการณ์นิยมสากล อัตตาณัตินิยม/ลัทธิแรงงานนิยม และฝ่ายซ้ายใหม่ (New Left)[18] ลัทธิมากซ์แบบอิสรนิยมมีอิทธิพลที่ทรงพลังต่อนักอนาธิปัตย์สังคมและนักอนาธิปัตย์หลังฝ่ายซ้าย นักทฤษฎีลัทธิมากซ์แบบอิสรนิยมที่โด่งดังประกอบด้วย อันโตนี ปันเนอคุก, รายา ดูนาเยฟสกายา (Raya Dunayevskaya), ซี. แอล. อาร์. เจมส์ (C. L. R. James), อันโตนีโอ เนกรี (Antonio Negri), กอร์นีลิโอส กัสโตริอาดิส, คริส พาลลิส, กี เดอบอร์ (Guy Debord), ดาเนียล เกแร็ง, แอร์เนสโต สเกรปันตี (Ernesto Screpanti) และ ราอุล ฟันแอย์เคิม (Raoul Vaneigem) เป็นต้น

ลัทธิเดอลีออน[แก้]

ดูบทความหลักที่: ลัทธิเดอลีออน

ลัทธิเดอลีออน (อังกฤษ: De Leonism) เป็นลัทธิมากซ์แบบสหการนิยมรูปแบบหนึ่งซึ่งถูกพัฒนาโดย แดเนียล เดอ ลีออน (Daniel De Leon) เขาเป็นผู้นำรุ่นแรก ๆ ของพรรคการเมืองสังคมนิยมในสหรัฐพรรคแรก คือพรรคแรงงานสังคมนิยมแห่งอเมริกา (Socialist Labor Party of America; SLP) เดอ ลีออน ได้รวบรวมทฤษฎีสหการนิยมที่กำลังเติบโตในยุคของเขาเข้ากันกับลัทธิมากซ์แบบเดิม (orthodox marxism) อิงตามทฤษฎีแบบเดอลีออนแล้ว สหภาพแรงงานอุตสาหกรรม (industrial unionism) ที่เข้มแข็ง (เป็นสหภาพแรงงานตามความเชี่ยวชาญ) และพรรคการเมืองที่ส่งเสริมแนวคิดของสหภาพแรงงานอุตสาหกรรม เป็นยานพาหนะของการต่อสู้ระหว่างชนชั้น สหภาพแรงงานอุตสาหกรรมที่ทำงานเพื่อผลประโยชน์ของชนกรรมาชีพจะนำไปสู่ความเปลี่ยนแปลงอันจำเป็นเพื่อสถาปนาระบอบสังคมนิยม แนวทางนี้ต่างไปจากกระแสในสหการนิยมอนาธิปไตยเพียงกระการเดียวนั่นก็คือ ตามแนวคิดแบบเดอลีออน พรรคการเมืองสายปฏิวัตินั้นก็เป็นสิ่งจำเป็นในการต่อสู้เพื่อชนกรรมาชีพในสนามการเมือง [223][224][225][226]

ลัทธิเดอลีออนอยู่บนชายขอบนอกสุดของลัทธิคอมมิวนิสต์ในธรรมเนียมแบบเลนิน และเกิดขึ้นมาก่อนลัทธิเลนิน เพราะหลักการของลัทธิเดอลีออนนั้นถูกพัฒนาขึ้นมาในช่วงต้นคริสต์ทศวรรษ 1890 พร้อมกับเมื่อ เดอ ลีออน ได้เข้าสู่ตำแหน่งผู้นำของพรรค SLP ในขณะที่ลัทธิเลนินและแนวคิดพรรคแนวหน้าได้ก่อรูปร่างขึ้นมาหลังจากงานเขียน จะทำอะไรดี? (What Is To Be Done?) ของเลนินได้ถูกตีพิมพ์ออกมาใน ค.ศ. 1902 ธรรมชาติของความเป็นประชาธิปไตยและการกระจายอำนาจของรัฐบาลแบบเดอลีออนที่ถูกนำเสนอขึ้นมา เป็นภาพตรงข้ามกับประชาธิปไตยรวมศูนย์ (democratic centralism) ของลัทธิมากซ์-เลนิน และสิ่งที่ถูกมองว่าเป็นธรรมชาติของความเป็นเผด็จการภายในสหภาพโซเวียตและสาธารณรัฐประชาชนจีน และของรัฐคอมมิวนิสต์อื่น ๆ ความสำเร็จของแผนการแบบเดอลีออนนั้นขึ้นอยู่กับการได้รับความสนับสนุนจากคนส่วนใหญ่ทั้งในที่ทำงานและในที่ลงคะแนนเสียง ต่างจากนิยามแบบเลนินที่บอกว่าพรรคแนวหน้าขนาดเล็กจะเป็นตัวนำชนชั้นแรงงานให้กระทำการปฏิวัติ

ลัทธิคอมมิวนิสต์แบบองค์คณะนิยม[แก้]

อันโตนี ปันเนอคุก หนึ่งในนักทฤษฎีคนหลักของแนวคิดคอมมิวนิสต์แบบองค์คณะนิยม

ลัทธิคอมมิวนิสต์แบบองค์คณะนิยมเป็นขบวนการฝ่ายซ้ายสายมูลวิวัติในประเทศเยอรมนีและเนเธอร์แลนด์ในคริสต์ทศวรรษ 1920 องค์กรหลักของขบวนการคือพรรคกรรมกรคอมมิวนิสต์แห่งประเทศเยอรมนี (Communist Workers Party of Germany; KAPD) ลัทธิคอมมิวนิสต์แบบองค์คณะนิยมในปัจจุบันเป็นจุดยืนทางทฤษฎีและกิจกรรมภายในลัทธิมากซ์ และก็ภายในสังคมนิยมแบบอิสรนิยม ต่างจากประชาธิปไตยสังคมนิยมและลัทธิคอมมิวนิสต์แบบเลนิน คำกล่าวอ้างหลักของลัทธิคอมมิวนิสต์แบบองค์คณะนิยมคือ สภาคนทำงานซึ่งเกิดขึ้นในโรงงานและเทศบาลเป็นการจัดตั้งและอำนาจปกครองของชนชั้นแรงงานในรูปแบบที่เป็นธรรมชาติและชอบธรรมมากที่สุด มุมมองนี้ต่างจากการเน้นความสนใจของบอลเชวิคต่อพรรคแนวหน้า[227] ความสนใจของนักปฏิรูปต่อรัฐสภา[228] หรือต่อการมีอยู่ของรัฐ หลักการแกนของลัทธิคอมมิวนิสต์แบบองค์คณะนิยมคือการที่รัฐและเศรษฐกิจควรถูกจัดการโดยสภาคนทำงาน ซึ่งประกอบไปด้วยผู้แทนจากการเลือกตั้งในที่ทำงานซึ่งจะสามารถถูกถอดถอนได้ทุกเมื่อ ดังนั้นแล้ว ลัทธิคอมมิวนิสต์แบบองค์คณะนิยมต่อต้านสังคมนิยมอำมาตยาธิปไตยซึ่งดำเนินการโดยรัฐ มันยังต่อต้านแนวคิดที่จะมีพรรคสายปฏิวัติ เพราะนักคอมมิวนิสต์แบบองค์คณะนิยมเชื่อว่าการปฏิวัติซึ่งนำโดยพรรคการเมืองก็จะทำให้เกิดเผด็จการโดยพรรคอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ นักคอมมิวนิสต์แบบองค์คณะนิยมสนับสนุนประชาธิปไตยโดยคนทำงาน ซึ่งพวกเขาต้องการให้เกิดขึ้นผ่านการสมาพันธ์ของสภาคนทำงาน

คำว่าสภาในภาษารัสเซียคือคำว่าโซเวียต และในช่วงปีแรก ๆ ของการปฏิวัติ สภาคนทำงานนั้นมีนัยสำคัญทางการเมืองในประเทศรัสเซีย เลนินได้นำคำนี้ไปใช้ในหลายองค์กรทางการเมืองเพื่อใช้ประโยชน์จากรัศมีทางการเมืองของอำนาจในที่ทำงาน นามว่ารัฐสภาโซเวียตซึ่งเป็นชื่อเรียกของรัฐสภาและคำว่าสหภาพโซเวียตเองก็ตามก็ใช้คำศัพท์นี้ แต่คำเหล่านี้ไม่ได้แสดงนัยถึงการกระจายอำนาจใด ๆ เลย มากไปกว่านั้น นักคอมมิวนิสต์แบบองค์คณะนิยมได้วิจารณ์สหภาพโซเวียตว่าเป็นรัฐทุนนิยม โดยเชื่อว่าการปฏิวัติบอลเชวิคในรัสเซียนั้นได้กลายเป็น "การปฏิวัติกระฎุมพี" เมื่ออำมาตยาธิปไตยของพรรคได้แทนที่ระบบอภิชนาธิปไตยศักดินาสวามิภักดิ์ แม้ว่าพวกเขาส่วนใหญ่รู้สึกว่าการปฏิวัติเดือนตุลาคมนั้นมีลักษณะของความเป็นชนชั้นแรงงานก็ตาม พวกเขาเชื่อว่าในเมื่อความสัมพันธ์แบบทุนนิยมยังคงดำรงอยู่ (เพราะคนทำงานไม่มีปากมีเสียงในการดำเนินเศรษฐกิจ) สหภาพโซเวียตก็ลงเอยกลายเป็นประเทศระบบทุนนิยมรัฐ โดยมีรัฐมาแทนที่นายทุนปัจเจกบุคคล นักคอมมิวนิสต์แบบองค์คณะนิยมสนับสนุนการปฏิวัติของคนทำงาน แต่พวกเขาต่อต้านเผด็จการพรรคเดียว พวกเขายังเชื่อในการลดบทบาทของพรรคการเมืองให้เหลือเพียงการปลุกปั่น (agitprop) และการโฆษณาชวนเชื่อ และปฏิเสธการมีส่วนร่วมใด ๆ ในการเลือกตั้งหรือในรัฐสภา และอ้างว่าคนทำงานควรลาออกจากสหภาพแรงงานปฏิกิริยา และไปก่อตั้งสหภาพสายปฏิวัติขนาดใหญ่องค์กรเดียว[229] [230]

ลัทธิคอมมิวนิสต์ฝ่ายซ้าย[แก้]

ลัทธิคอมมิวนิสต์ฝ่ายซ้าย (อังกฤษ: Left communism) เป็นมุมมองแบบคอมมิวนิสต์แนวหนึ่งซึ่งเป็นของฝ่ายซ้ายของลัทธิคอมมิวนิสต์ ซึ่งวิจารณ์แนวคิดทางการเมืองของบอลเชวิคในช่วงเวลาหนึ่ง จากจุดยืนซึ่งอ้างว่าเป็นลัทธิมากซ์และกรรมาชีพที่เป็นของแท้กว่ามุมมองลัทธิเลนินขององค์การคอมมิวนิสต์สากลภายหลังการประชุมใหญ่ครั้งแรกและครั้งที่สอง[60][231]นักคอมมิวนิสต์ฝ่ายซ้ายมองว่าตัวเองอยู่ซ้ายกว่านักลัทธิเลนิน (ซึ่งพวกเขามองว่าเป็น "ซ้ายกว่าทุน" และไม่ใช่นักสังคมนิยม) ซ้ายกว่านักอนาธิปัตย์ และซ้ายกว่ากลุ่มสังคมนิยมสายปฏิวัติอื่น ๆ บางกลุ่ม ถึงแม้ว่า โรซา ลุคเซิมบวร์ค ได้ใช้ชีวิตก่อนที่ลัทธิคอมมิวนิสต์ฝ่ายซ้ายได้กลายเป็นกลุ่มการเมืองที่ชัดเจน เธอได้มีอิทธิพลอย่างมากต่อนักคอมมิวนิสต์ฝ่ายซ้ายส่วนใหญ่ ทั้งในทางการเมืองและทางทฤษฎี ผู้สนับสนุนลัทธิคอมมิวนิสต์ฝ่ายซ้ายมี อามาเดโอ บอร์ดีกา (Amadeo Bordiga), แฮร์มัน กอร์เทอร์, อันโตนี ปันเนอคุก, อ็อทโท รือเลอ, คาร์ล คอร์ช, ซิลเวีย แพงค์เฮิร์สต์ และ พอล มัททิค (Paul Mattick) เป็นต้น

กลุ่มจอห์นสัน-ฟอเรสต์[แก้]

ดูบทความหลักที่: กลุ่มจอห์นสัน-ฟอเรสต์

กลุ่มจอห์นสัน-ฟอเรสต์เป็นกลุ่มการเมืองฝ่ายซ้ายสายมูลวิวัติในสหรัฐซึ่งเกี่ยวโยงกับนักทฤษฎีมนุษยนิยมแนวมากซ์ (Marxist humanism) ซี. แอล. อาร์. เจมส์ และ รายา ดูนาเยฟสกายา ซึ่งใช้นามแฝงว่า เจ. อาร์. จอห์นสัน และ เฟรดดี ฟอเรสต์ ตามลำดับ และ เกรซ ลี บ็อกส์ (Grace Lee Boggs) หญิงชาวจีนอเมริกันก็ได้เข้าร่วม ซึ่งถูกถือว่าเป็นผู้ก่อตั้งคนที่สาม หลังจากทั้งสองได้ออกจากพรรคกรรมกรสังคมนิยม (Socialist Workers Party (United States)) จอห์นสันและฟอเรสต์ได้ก่อตั้งองค์กรของตัวเองเป็นครั้งแรกที่ชื่อว่า คอร์เรสปอนเดนส์ โดยได้เปลี่ยนชื่อเป็น คณะกรรมการจัดพิมพ์คอร์เรสปอนเดนส์ (Correspondence Publishing Committee) ในปีต่อมา และความขัดแย้งก็ได้ทำให้แยกกันไปใน ค.ศ. 1955 จากงานทางการเมืองและทางทฤษฎีในช่วงปลายคริสต์ทศวรรษ 1940 เจมส์ได้ข้อสรุปว่าพรรคแนวหน้านั้นไม่ใช่สิ่งจำเป็นอีกต่อไป เพราะคำสั่งสอนต่าง ๆ ได้ถูกซึมซับไปโดยมวลชนแล้ว และเขาถือว่าการปฏิวัติฮังการี ค.ศ. 1956 เป็นการยืนยันในสิ่งนี้ กลุ่มคนซึ่งสนับสนุนการเมืองของเจมส์ได้ใช้ชื่อว่า เฟสซิงเรียลลิตี (Facing Reality) ตามชื่อหนังสือใน ค.ศ. 1958 ของเจมส์ซึ่งได้เขียนร่วมกันกับ เกรซ ลี บ็อกส์ และ ปีแยร์ โชลีเยอ (นามแฝงของ กอร์นีลิโอส กัสโตริอาดิส) เกี่ยวกับการก่อการกำเริบของชนชั้นแรงงานในฮังการี ค.ศ. 1956[232][233]

ซอซียาลิสมูบาร์บารี[แก้]

ดูบทความหลักที่: ซอซียาลิสมูบาร์บารี
กอร์นีลิโอส กัสโตริอาดิส นักทฤษฎีสังคมนิยมอิสรนิยม

ซอซียาลิสมูบาร์บารี (Socialisme ou Barbarie แปลว่า สังคมนิยมหรืออนารยธรรม) เป็นกลุ่มสังคมนิยมอิสรนิยมสายมูลวิวัติในประเทศฝรั่งเศสในช่วงหลังสงครามโลกครั้งที่สอง (ชื่อมาจากวลีที่ ฟรีดริช เอ็งเงิลส์ ใช้และซึ่งถูกอ้างอิงโดย โรซา ลุคเซิมบวร์ค ในเรียงความ ค.ศ. 1916 ชื่อว่า เดอะจูเนียสแพมเฟล็ต (The Junius Pamphlet))[234] กลุ่มนี้มีอยู่ระหว่าง ค.ศ. 1948 จนถึง 1965 และผู้นำคือ กอร์นีลิโอส กัสโตริอาดิส โดยใช้ชื่อว่า ปีแยร์ โชลีเยอ หรือ ปอล การ์ด็อง[235] กัสโตริอาดิส ปฏิเสธแนวหน้านิยมแบบเลนิน และวิจารณ์คตินิยมการเกิดเอง โดยกล่าวว่า "การปลดปล่อยมวลชนเป็นหน้าที่ของผู้คนเหล่านั้น แต่นักสังคมนิยมไม่สามารถแค่กอดอกของตัวเองไว้เฉย ๆ ได้" และกล่าวว่าตำแหน่งพิเศษซึ่งถูกสงวนไว้ให้กับปัญญาชนควรตกเป็นของพลเมืองอิสระทุก ๆ คน แต่เขาปฏิเสธการเล่นเกมนั่งรอ (attentisme) โดยกล่าวว่าในการดิ้นรนต่อสู้เพื่อสังคมใหม่ ปัญญาชนจะต้องวางระยะห่างของตัวเองจากเรื่องในชีวิตประจำวันและเรื่องในความเป็นจริง[236] นักปรัชญาการเมือง โกลด เลอฟอร์ และ กอร์นีลิโอส กัสโตริอาดิส ได้เผยแพร่งานเขียนวิจารณ์สหภาพโซเวียตและนักลัทธิทรอตสกีที่สนับสนุนมันที่ชื่อว่า ว่าด้วยระบอบและการต่อต้านการปกป้องสหภาพโซเวียต (On the Regime and Against the Defence of the USSR) พวกเขาเสนอว่าสหภาพโซเวียตนั้นถูกครอบงำโดยชนชั้นทางสังคมของข้าราชการ และได้เกิดสังคมประเภทใหม่ซึ่งมีความรุนแรงไม่น้อยไปกว่าสังคมในยุโรปตะวันตก ในภายหลัง กอร์นีลิโอส กัสโตริอาดิส ก็ได้เขียนลงในวารสาร ซอซียาลิสมูบาร์บารี ของกลุ่มในชื่อเดียวกัน

องค์การสถานการณ์นิยมสากล[แก้]

องค์การสถานการณ์นิยมสากล (อังกฤษ: Situationist International) เป็นกลุ่มจำกัดวงของนักปฏิวัติสากลนิยมซึ่งถูกก่อตั้งขึ้นในปี ค.ศ. 1957 และกลุ่มได้ถึงจุดสูงสุดในอิทธิพลของมันในการนัดหยุดงานทั่วไปโดยพลการ (wildcat strikes) ซึ่งไม่เคยมีมาก่อนในประเทศฝรั่งเศส เมื่อเดือนพฤษภาคม ค.ศ. 1968 โดยมีมโนคติที่มีรากฐานในลัทธิมากซ์และศิลปะล้ำยุคยุโรปในคริสต์ศตวรรษที่ 20 พวกเขาสนับสนุนให้ประสบการณ์ของชีวิตนั้นไม่เป็นไปตามแบบแผนในแบบของระบบระเบียบทุนนิยม ให้เป็นสำหรับความอิ่มเอมในความปรารถนาปฐมฐานของมนุษย์และการไล่ตามคุณสมบัติความหลงใหลที่เหนือยิ่งกว่า เพื่อให้เป็นไปตามจุดประสงค์นี้ พวกเขาเสนอแนะและทดลองกับแนวคิดของ "การสร้างสถานการณ์" กล่าวคือการจัดตั้งสิ่งแวดล้อมที่เป็นใจแก่การสนองต่อความปรารถนาเหล่านั้น พวกเขาได้พัฒนาสาขาการศึกษาทดลองชุดหนึ่งสำหรับการสร้างสถานการณ์ดังกล่าว โดยใช้วิธีการซึ่งดึงเอามาจากศิลปะ เช่นวิถีชีวิตแบบเมืองแบบหน่วยเดียว (unitary urbanism) และจิตภูมิศาสตร์ (psychogeography) งานทฤษฎีหลักในทำนองนี้ซึ่งได้ถือกำเนิดขึ้นจากกลุ่มนี้เช่น เดอะเรโวลูชันออฟเอฟรีเดย์ไลฟ์ (The Revolution of Everyday Life) ของ ราอุล ฟันแอย์เคิม[237]

พวกเขาต่อสู้กับอุปสรรคหลักในการบรรลุถึงการใช้ชีวิตอย่างลึกซึ้งที่เหนือกว่า ซึ่งพวกเขาระบุว่ามีอยู่ในทุนนิยมขั้นสูง (advanced capitalism) จุดสูงสุดของงานทฤษฎีแนววิพากษ์ของพวกเขามีอยู่ในหนังสือทรงอิทธิพลโดย กี เดอบอร์ ชื่อว่า เดอะโซไซตีออฟเดอะสเปกเทเคิล (The Society of the Spectacle) เดอบอร์กล่าวใน ค.ศ. 1967 ว่าลักษณะภาพปรากฏอย่างสื่อมวลชนและการโฆษณามีบทบาทศูนย์กลางในสังคมทุนนิยมขั้นสูง ซึ่งคือการแสดงให้เห็นโลกความเป็นจริงปลอมเพื่อกลบเกลื่อนการเสื่อมของชีวิตมนุษย์โดยทุนนิยมที่เกิดขึ้นจริง ในการล้มล้างระบอบเช่นนี้ องค์การสถานการณ์นิยมสากลได้สนับสนุนการก่อการกำเริบในเดือนพฤษภาคม ค.ศ. 1968 ในประเทศฝรั่งเศส และได้เรียกร้องให้คนทำงานไปยึดครองโรงงาน (Council for Maintaining the Occupations) และดำเนินการต่อไปด้วยประชาธิปไตยโดยตรงผ่านสภาคนทำงานซึ่งประกอบไปด้วยผู้แทนที่สามารถถูกถอดถอนได้ในทันที

หลังจากการเผยแพร่งานวิเคราะห์การก่อการกำเริบในเดือนพฤษภาคม ค.ศ. 1968 และยุทธศาสตร์ที่จำเป็นต้องถูกนำมาใช้ในการปฏิวัติครั้งถัดไปลงในนิตยสารฉบับสุดท้าย[238] องค์การสถานการณ์นิยมสากลได้สลายตัวไปใน ค.ศ. 1972[239]

อัตตาณัตินิยม[แก้]

ดูบทความหลักที่: อัตตาณัตินิยม
อันโตนีโอ เนกรี นักทฤษฎีคนสำคัญของอัตตาณัตินิยมอิตาลี

อัตตาณัตินิยม (อังกฤษ: Autonomism) คือขบวนการทางสังคมและการเมืองฝ่ายซ้ายชุดหนึ่งซึ่งใกล้ชิดกับขบวนการสังคมนิยม[240] ซึ่งถือกำเนิดเป็นระบบทฤษฎีหนึ่งเป็นครั้งแรกในประเทศอิตาลีในคริสต์ทศวรรษ 1960 (History of Italy as a Republic) จากลัทธิคอมมิวนิสต์แรงงานนิยม (operaismo)[241][242] นักอัตตาณัตินิยมชาวอิตาลีได้รับอิทธิพลจากงานวิจัยนักกิจกรรมในภายก่อนจากสหรัฐเช่นกลุ่มจอห์นสัน-ฟอเรสต์ และจากฝรั่งเศสเช่นกลุ่มซอซียาลิสมูบาร์บารี ด้วยงานแปลโดย ดานีโล มอนตัลดี (Danilo Montaldi) และนักแปลคนอื่น ๆ[243] ในภายหลังกลุ่มการเมืองแบบหลังมากซ์และอนาธิปไตยได้เริ่มมีความสำคัญมากขึ้นอันเป็นผลจากอิทธิพลของสถานการณ์นิยม ความล้มเหลวของขบวนการซ้ายจัดในอิตาลีในคริสต์ทศวรรษ 1970 และการปรากฏตัวของนักทฤษฎีคนสำคัญหลายคน อาทิ อันโตนีโอ เนกรี ซึ่งได้มีส่วนในการจัดตั้งกลุ่ม โปเตเรโอเปไรโอ ใน ค.ศ. 1969 รวมไปถึง มารีโอ ตรอนตี (Mario Tronti), เปาโล วีร์โน (Paolo Virno) และ ฟรังโก "บีโฟ" เบราร์ดี (Franco Berardi)

ต่างไปจากลัทธิมากซ์รูปแบบอื่น ๆ ลัทธิมากซ์แบบอัตตาณัตินิยมให้ความสำคัญกับความสามารถของชนชั้นแรงงานที่จะผลักดันการเปลี่ยนแปลงในองค์กรของระบบทุนนิยมได้เองโดยอิสระจากรัฐ สหภาพแรงงาน หรือพรรคการเมือง นักอัตตาณัตินิยมไม่สนใจในการจัดตั้งทางการเมืองของพรรคเมื่อเทียบกับนักลัทธิมากซ์อื่น ๆ โดยเน้นไปที่กิจกรรมการจัดตั้งโดยตนเองที่อยู่นอกเหนือไปจากโครงสร้างการจัดตั้งแบบดั้งเดิม[244] ลัทธิมากซ์แบบอัตตาณัตินิยมจึงเป็นทฤษฎีแบบ "ล่างขึ้นบน" ซึ่งให้ความสนใจกับกิจกรรมซึ่งพวกเขามองว่าเป็นการต่อต้านทุนนิยมในทุก ๆ วันโดยชนชั้นแรงงาน ตัวอย่างเช่นการขาดงาน การทำงานช้า และการคบหาสมาคมภายในที่ทำงาน

อัตตาณัตินิยมได้มีอิทธิพลต่อขบวนการ เอาโตโนเมิน (Autonomen) เยอรมันและดัชต์ การมีอยู่อย่างแพร่หลายทั่วโลกของศูนย์สังคมจัดการตนเอง (Self-managed social center) และในปัจจุบันก็มีอิทธิพลอยู่ในประเทศอิตาลี ฝรั่งเศส และประเทศที่พูดภาษาอังกฤษในระดับที่ต่ำลงมา ผู้ที่นิยามตนเองเป็นนักอัตตาณัตินิยมในปัจจุบันมีตั้งแต่นักลัทธิมากซ์จนถึงนักอนาธิปัตย์[241] ขบวนการ โอเปราอีสโม (operaismo) ในอิตาลียังได้มีอิทธิพลต่อนักวิชาการลัทธิมากซ์ อาทิ แฮร์รี คลีเวอร์ (Harry Cleaver), จอห์น ฮอลโลเวย์ (John Holloway (sociologist)), สตีฟ ไรต์ (Steve Wright) และ นิค ไดเออร์-วิธเฟิร์ด (Nick Dyer-Witheford)

กลุ่มอื่น ๆ[แก้]

กระแสการเมืองสังคมนิยมแบบอิสรนิยมอื่น ๆ ซึ่งรวมถึงกลุ่มการเมืองแบบอนาธิปไตยแบบหลังคลาสสิก และกลุ่มการเมืองซึ่งไม่สามารถจัดหมวดหมู่เข้าในส่วนแบ่งอนาธิปไตยกับลัทธิมากซ์ได้

ภายในขบวนการแรงงานและการเมืองในรัฐสภา[แก้]

สังคมนิยมประชาธิปไตย[แก้]
ดูบทความหลักที่: สังคมนิยมประชาธิปไตย

ปีแยร์-โฌแซ็ฟ ปรูดอน ได้ลงสมัครรับเลือกตั้งเป็นสมาชิกสภาร่างรัฐธรรมนูญฝรั่งเศสในเดือนเมษายน ค.ศ. 1848 และเขาไม่ได้รับเลือกตั้ง แต่ในการเลือกตั้งซ่อมในวันที่ 4 มิถุนายนเขาได้รับเลือกเข้าไป[245] นักการเมือง ฟรันเซสก์ ปี อี มารากัล ได้กลายเป็นนักแปลคนสำคัญที่แปลงานของปรูดอนมาเป็นภาษาสเปน[194] และในภายหลังได้เป็นประธานาธิบดีของสเปนอยู่ชั่วขณะหนึ่งใน ค.ศ. 1873 ในขณะที่เป็นผู้นำของพรรคสาธารณรัฐประชาธิปไตยสหพันธ์

รูด็อล์ฟ ร็อคเคอร์ นักอนาธิปัตย์สหการนิยมกล่าว:

การเคลื่อนไหวครั้งแรกของขบวนการคนทำงานสเปนนั้นได้รับอิทธิพลอย่างสูงจากแนวคิดของ ปี อี มารากัล ผู้นำของผู้นิยมสหพันธรัฐสเปนและลูกศิษย์ของปรูดอน ปี อี มารากัล เป็นหนึ่งในนักทฤษฎีที่โดดเด่นในยุคของเขา และมีอิทธิพลอย่างมากในขั้นพัฒนาการของแนวคิดอิสรนิยมในสเปน แนวคิดทางการเมืองของเขามีส่วนซ้อนกันกับของ ริชาร์ด ไพรซ์, โจเซฟ พริสต์ลีย์, โทมัส เพน, เจฟเฟอร์สัน, และตัวแทนของเสรีนิยมแบบแองโกลอเมริกันในช่วงแรกคนอื่น ๆ เขาต้องการจำกัดอำนาจของรัฐให้น้อยที่สุด และค่อย ๆ แทนที่มันด้วยระเบียบเศรษฐกิจแบบสังคมนิยม[246]

ฟรันเซสก์ ปี อี มารากัล ผู้ติดตามและนักแปลงานของปรูดอนชาวกาตาลา และนักทฤษฎีสังคมนิยมแบบอิสรนิยมซึ่งได้กลายเป็นประธานาธิบดีของประเทศสเปน (President of the Republic (Spain)) เป็นช่วงเวลาสั้น ๆ
ซัลบาดอร์ แซกิ นักสังคมนิยมแบบอิสรนิยมชาวกาตาลา ในสมาพันธ์แรงงานแห่งชาติสเปนองค์กรสหการนิยมแบบอนาธิปไตย

ปี อี มารากัล ถือได้ว่าเป็นนักทฤษฎีที่อุทิศตัวคนหนึ่ง ด้วยงานเขียนความยาวเท่าหนังสือ อาทิ ลาเรอักซิออนอีลาเรโบลูซิออน (La reacción y la revolución; ปฏิกิริยาและการปฏิวัติ จาก ค.ศ. 1855), ลัสนาซิออนาลิดาเดส (Las nacionalidades; สัญชาติ ค.ศ. 1877) และ ลาเฟเดราซิออน (La Federación; สหพันธรัฐ) จาก ค.ศ. 1880 ในอีกกรณีหนึ่ง เฟร์มิน ซัลโบเชอา (Fermín Salvochea) เป็นนายกเทศมนตรีของเมืองกาดิซและประธานาธิบดีของจังหวัดกาดิซ เขาเป็นผู้เผยแพร่ความคิดอนาธิปไตยในบริเวณเดียวกันในช่วงปลายคริสต์ศตวรรษที่ 19 และถูกถือว่าเป็นบุคคลซึ่งเป็นที่นิยมมากที่สุดคนหนึ่งในขบวนการอนาธิปไตยในสเปนในคริสต์ศตวรรษที่ 19[247][248] อุดมการณ์ของเขาได้รับอิทธิพลจาก ชาลส์ แบรดลอ (Charles Bradlaugh), โรเบิร์ต โอเวน (Robert Owen) และ โทมัส เพน ซึ่งเขาได้ศึกษางานของเขาพวกนี้ขณะที่อาศัยอยู่ในประเทศอังกฤษ และรวมไปถึงงานของ ปิออตร์ โครปอตกิน ซึ่งเขาได้อ่านในภายหลัง ในประเทศสเปน เขาได้ติดต่อกับนักคิดอนาธิปัตย์และสมาชิกของพันธมิตรบาคูนิน ซึ่งรวมถึง อันเซลโม โลเรนโซ (Anselmo Lorenzo) และ ฟรันซิสโก โมรา[247]

ใน ค.ศ. 1950 มีกลุ่มลับก่อตัวขึ้นในสหพันธ์อนาธิปไตยฝรั่งเศส (Anarchist Federation (France); FA) ที่ชื่อว่า ออร์กานีซาซียง ป็องเซ บาตาย (Organisation Pensée Bataille; OPB) ซึ่งนำโดย แพลตฟอร์มิสต์ ฌอร์ฌ ฟงเตนี (George Fontenis)[249] OPB ได้ผลักดันการเคลื่อนไหวซึ่งได้เปลี่ยนชื่อของ FA เป็น เฟเดราซียง ก็องมูว์นิสต์ ลีแบร์แตร์ (Fédération Communiste Libertaire; FCL) หลังการประชุมใหญ่ ค.ศ. 1953 ที่ปารีส ในขณะเดียวกันที่บทความในหนังสือพิมพ์ เลอ ลีแบร์แตร์ ระบุถึงจุดจบของความร่วมมือกับกลุ่มลัทธิเหนือจริงในฝรั่งเศสซึ่งนำโดย อ็องเดร เบรอตง กระบวนการตัดสินใจแบบใหม่อยู่บนฐานของความเป็นเอกฉันท์ (unanimity) โดยแต่ละบุคคลมีสิทธิที่จะยับยั้งแนวโน้มต่าง ๆ ของสหพันธ์ ในปีเดียวกัน FCL ได้เผยแพร่ มานีเฟสต์ ดู ก็องมูว์นิสเมอ ลีแบร์แตร์ (Manifeste du communisme libertaire; แถลงการณ์ลัทธิคอมมิวนิสต์อิสรนิยม) หลายกลุ่มได้ลาออกจาก FCL ในเดือนธันวาคม ค.ศ. 1955 เพราะไม่เห็นด้วยกับการตัดสินใจส่ง "ผู้สมัครรับเลือกตั้งสายปฏิวัติ" ในการเลือกตั้งสภานิติบัญญัติ ต่อมาได้มีการจัดการประชุมระหว่างทวีปของสมาพันธ์แรงงานแห่งชาติสเปน (Confederación Nacional del Trabajo) ขึ้นระหว่างวันที่ 15-20 สิงหาคม ค.ศ. 1954 มีกลุ่มที่ชื่อว่า อ็องต็องต์ อานาร์กิสต์ (ข้อตกลงอนาธิปัตย์) ปรากฏตัวขึ้น ซึ่งประกอบไปด้วยนักต่อสู้ซึ่งไม่เห็นชอบกับแนวโน้มทางอุดมการณ์อันใหม่ที่ OPB ได้มอบให้กับ FCL โดยพวกเขาถือว่าเป็นแนวทางอำนาจนิยม และเกือบจะเป็นลัทธิมากซ์[250] FCL คงอยู่จนถึง ค.ศ. 1956 ไม่นานหลังจากกลุ่มได้เข้าร่วมในการเลือกตั้งสภานิติบัญญัติระดับรัฐด้วยผู้สมัครสิบคน การกระทำครั้งนี้ทำให้สมาชิก FCL ส่วนหนึ่งมีความรู้สึกแปลกแยกและนำไปสู่จุดจบขององค์กรในที่สุด[249]

ภายในขบวนการแรงงานในสหราชอาณาจักรเองก็มีกระแสของอิสรนิยมฝ่ายซ้ายอยู่ และคำว่า "นักสังคมนิยมอิสรนิยม" ก็ถูกใช้เพื่อหมายถึงนักสังคมนิยมประชาธิปไตยบางคน ซึ่งรวมไปถึงสมาชิกที่มีชื่อเสียงบางคนในพรรคแรงงานของสหราชอาณาจักร สันนิบาตสังคมนิยมถูกก่อตั้งขึ้นใน ค.ศ. 1885 โดย วิลเลียม มอร์ริส และคนอื่น ๆ ซึ่งวิจารณ์แนวคิดสังคมนิยมแบบอำนาจนิยมของสหพันธ์ประชาธิปไตยสังคมนิยม (Social Democratic Federation) โดยกลุ่มได้มีส่วนร่วมในสหภาพแรงงานใหม่ การต่อสู้ของพลพรรคสหภาพแรงงานในช่วงคริสต์ทศวรรษ 1880-1890 ซึ่งเป็นการพยากรณ์ถึงสหการนิยมในบางแง่มุมที่สำคัญ (ทอม แมนน์ (Tom Mann) ผู้นำสหภาพแรงงานใหม่ เป็นหนึ่งในนักสหการนิยมชาวบริติชคนแรก ๆ ) สันนิบาตสังคมนิยมนั้นถูกครอบงำโดยนักอนาธิปัตย์ในคริสต์ทศวรรษ 1890[251] พรรคแรงงานอิสระ (Independent Labour Party; ILP) ซึ่งก่อตัวขึ้นในช่วงเวลานั้นยึดเอาธรรมเนียมศาสนาแบบนอกรีต (Nonconformist (Protestantism)) ภายในชนชั้นแรงงานในสหราชอาณาจักรมากกว่าที่จะยึดตามทฤษฎีลัทธิมากซ์ และมีร่องรอยของแนวคิดสังคมนิยมแบบอิสรนิยม คนอื่น ๆ ซึ่งอยู่ในแนวทางแบบ ILP และถูกเรียกว่าเป็นนักสังคมนิยมแบบอิสรนิยมได้แก่ ไมเคิล ฟุต (Michael Foot) และ จี. ดี. เอช. โคล (G. D. H. Cole) รัฐมนตรีจากพรรคแรงงาน ปีเตอร์ เฮน (Peter Hain)[252] ได้เขียนสนับสนุนแนวคิดแบบสังคมนิยมอิสรนิยม โดยระบุถึงแกนกลางซึ่งประกอบด้วย "ทัศนะของสังคมนิยมแบบล่างขึ้นบน โดยมีนักอนาธิปัตย์ที่ปลายสายปฏิวัติ และนักสังคมนิยมประชาธิปไตย [เช่นตัวเขาเอง] ที่ปลายสายปฏิรูปของมัน" ในอีกด้านหนึ่ง แกนกลางของสังคมนิยมรัฐมีนักลัทธิมากซ์เลนินที่ปลายสายปฏิวัติ และนักประชาธิปไตยสังคมนิยมที่ปลายสายปฏิรูป[253] นักการเมืองพรรคแรงงานกระแสหลักอีกคนหนึ่งซึ่งไม่นานมานี้ถูกเรียกว่าเป็นนักสังคมนิยมแบบอิสรนิยมเช่น โรบิน คุก (Robin Cook)[254] หากนิยามในรูปแบบนี้ สังคมนิยมแบบอิสรนิยมในกระแสการเมืองกระแสหลักร่วมสมัยนั้นหลัก ๆ แล้วต่างไปจากประชาธิปไตยสังคมนิยมและสังคมนิยมประชาธิปไตย ในแง่ของแนวคิดการกระจายอำนาจทางการเมืองมากกว่าต่างกันในเรื่องของเศรษฐกิจ

คัทยา คิพพิง (Katja Kipping) และ ยูลีอา บ็องค์ (Julia Bonk) ในเยอรมนี เฟมเคอ ฮัลเซมา (Femke Halsema)[255] ในเนเธอร์แลนด์ และ อูฟุก อูราส (Ufuk Uras) และพรรคเสรีภาพและสามัคคี (Left Party (Turkey)) ในตุรกี เหล่านี้เป็นตัวอย่างของนักการเมืองและพรรคการเมืองสังคมนิยมอิสรนิยมร่วมสมัยซึ่งทำงานอยู่ภายใต้ประชาธิปไตยรัฐสภากระแสหลัก ในชิลี องค์กรอัตตาณัตินิยม อิซกิเอร์ดา เอาโตโนมา (Izquierda Autónoma; ฝ่ายซ้ายอัตตาณัติ) ในการเลือกตั้งทั่วไปในประเทศชิลี พ.ศ. 2556 (2013 Chilean general election) ได้ที่นั่งในรัฐสภาชิลีหนึ่งที่นั่งคือ กาบริเอล โบริช อดีตผู้นำของการประท้วงของกลุ่มนักเรียนในชิลี พ.ศ. 2554-2556[256] ใน พ.ศ. 2559 โบริชพร้อมกับคนอื่น ๆ เช่น ฆอร์เฆ ชาร์ป (Jorge Sharp) ได้ออกจากพรรคเพื่อก่อตั้งขบวนการ โมบิมิเอนโต เอาโตโนมิสตา (Movimiento Autonomista)[257] ต่อมาในการเลือกตั้งเทศบาลเดือนตุลาคม พ.ศ. 2559 ในชิลี ชาร์ปได้รับเลือกเป็นนายกเทศมนตรีของบัลปาราอิโซด้วยสัดส่วนคะแนนร้อยละ 53[257][258] และต่อมาใน พ.ศ. 2564 โบริชชนะการเลือกตั้งได้เป็นประธานาธิบดีที่อายุน้อยที่สุดในประวัติศาสตร์ชิลี และยังได้รับคะแนนเสียงเลือกตั้งมากที่สุดในประวัติศาสตร์ชิลี[259][260] ในสหรัฐ ณ ปัจจุบัน ภายในนักสังคมนิยมประชาธิปไตยแห่งอเมริกาองค์กรใหญ่ก็มีกลุ่มการเมืองที่ชื่อว่ากลุ่มสังคมนิยมอิสรนิยม (LSC): "LSC ส่งเสริมทัศนะของ 'สังคมนิยมแบบอิสรนิยม'-ชื่อดั้งเดิมของอนาธิปไตย-ซึ่งไปไกลเกินกว่ากรอบการเมืองแบบประชาธิปไตยสังคมนิยมแบบดั้งเดิม"[261] ในชุมชนปกครองตนเองหรืออัตตาณัติในแคว้นกาตาลุญญาในสเปน นิตยาสาร เจคอบิน ได้รายงานบทสัมภาษณ์เกี่ยวกับพรรคการเมืองร่วมสมัย ผู้สมัครเอกภาพประชาชน (Popular Unity Candidacy; CUP) ดังต่อไปนี้:

CUP เต็มไปด้วยคุณลักษณะแบบสังคมนิยมแบบอิสรนิยมและสหการนิยมแบบอนาธิปไตย ตามธรรมเนียมต่อต้านอำนาจนิยมของฝ่ายซ้ายกาตาลา ดังที่ปรากฏอยู่ในองค์กรยุคสมัยสงครามกลางเมืองอย่างสมาพันธ์แรงงานแห่งชาติสเปน (CNT) ซึ่งมีคติแบบสหการนิยมอนาธิปไตย หรือคติลัทธิทรอตสกีอย่าง ปาร์ตีโด โอเบรโร เด อูนิฟิกาซิออน มาร์กซิสตา (Partido Obrero de Unificación Marxista; POUM) [...] สหกรณ์และศูนย์วัฒนธรรมประชาชน (popular cultural center; กาซัลส์ (casals) และ อาเตเนอุส โปปูลาร์ส) ได้เบ่งบานในช่วงปลายคริสต์ทศวรรษ 1990 และ 2000 เป็นพื้นที่ปลอดภัยสำหรับชุมชนสังคมนิยมสายมูลวิวัติ ทางเลือกทางเศรษฐกิจ และการก่อรูปของอุดมการณ์ หลายองค์กรเยาวชนสายปฏิวัติได้ถือกำเนิดขึ้นในศูนย์วัฒนธรรมเหล่านี้ [...] นอกเหนือจากเครือข่ายของศูนย์วัฒนธรรมประชาชนแล้ว การปรากฏตัวของบ้านที่ถูกจับจอง เรียกอีกชื่อว่า "ศูนย์สังคมจัดการตนเอง" ก็ได้ขยายตัวความรู้สึกแบบมูลวิวัติในกาตาลุญญา แม้ว่าบ้านที่ถูกจับจองจะไม่ได้มีแนวทางแบบสังคมนิยมแบ่งแยกดินแดนทั้งหมด บ้านที่เป็นสัญลักษณ์มากที่สุดบางแห่งก็ระบุตัวตนกับขบวนการแบ่งแยก เช่นบ้านที่ถูกจับจองกันวิเอส (Can Vies) ในบาร์เซโลนา [...] ทุก ๆ สภาท้องถิ่นเป็นตัวแทนของหน่วยขั้นพื้นฐานของเอกภาพประชาชนนี้ เป็นตัวแทนของละแวกบ้าน ของหมู่บ้าน ของเมือง [...] สภาต่าง ๆ มีอำนาจอธิปไตยและทรงอำนาจก็เป็นไปได้ เหล่านี้เป็นเปลของประชาธิปไตยแบบมีส่วนร่วม ในบางเมืองที่ CUP มีอำนาจอยู่ สภาเปิดเหล่านี้ได้รับความรับผิดชอบพิเศษเพิ่มเติมและ "ได้รับมอบ" อำนาจต่าง ๆ [262]

คติความอาจจะเป็นแบบอิสรนิยม[แก้]
นักต่อสู้สตรีสิทธินิยมแบบอนาธิปไตยจากกลุ่ม มูเฆเรส ลิเบรส (Mujeres Libres) ในช่วงการปฏิวัติสังคมนิยมแบบอิสรนิยมในสเปน ค.ศ. 1936
ฟราดาริกา มุนแซ็ญ (ในภาพที่บาร์เซโลนา ค.ศ. 1977) เป็นรัฐมนตรีสาธารณสุขในยุคสาธารณรัฐสเปนที่ 2

คติความอาจจะเป็นแบบอิสรนิยม (อังกฤษ: Libertarian possibilism) เป็นกระแสการเมืองภายในขบวนการอนาธิปัตย์ชาวสเปนในช่วงต้นคริสต์ศตวรรษที่ 20 ซึ่งสนับสนุนการบรรลุเป้าหมายของอนาธิปไตย นั่นคือการล้มเลิกรัฐและทุนนิยม ด้วยการมีส่วนร่วมภายในโครงสร้างของประชาธิปไตยระบบรัฐสภาอย่างที่เป็นอยู่[263] ชื่อของจุดยืนทางการเมืองชื่อนี้ปรากฏตัวขึ้นเป็นครั้งแรกระหว่าง ค.ศ. 1922–1923 ภายในวาทกรรมของนักสหการนิยมอนาธิปไตยชาวกาตาลา ซัลบาดอร์ แซกิ (Salvador Seguí) โดยเขากล่าวว่า "เราจะต้องแทรกแทรงการเมืองเพื่อเข้าควบคุมตำแหน่งต่าง ๆ ของพวกกระฎุมพี"[264]

ในช่วงฤดูใบไม้ร่วง ค.ศ. 1931 นักต่อสู้ในสหภาพแรงงานอนาธิปไตยสมาพันธ์แรงงานแห่งชาติสเปน (CNT) ได้เผยแพร่ "แถลงการณ์กลุ่มสามสิบ" (Manifiesto de los Treinta โดยทางวิกิซอร์ซ) ในกลุ่มที่ลงชื่อในนั้นมีเลขาธิการใหญ่ CNT (ค.ศ. 1922-1923) ฌูอัน แปอิโร (Joan Peiró) อังเฆล เปสตัญญา (Ángel Pestaña) (เลขาธิการใหญ่ ค.ศ. 1929) และ ฆวน โลเปซ ซันเชซ (Juan López Sánchez) ซึ่งกระแสของพวกเขาชื่อว่า เตรอินติสโม (treintismo) และเรียกร้องให้ขบวนการอนาธิปไตยในสเปนมีแนวทางการเมืองที่เป็นกลางขึ้น ใน ค.ศ. 1932 พวกเขาได้ก่อตั้งพรรคสหการนิยม (Syndicalist Party) ซึ่งได้มีส่วนร่วมในการเลือกตั้งทั่วไปในประเทศสเปน ค.ศ. 1936 (1936 Spanish general election) และต่อมาได้เป็นส่วนหนึ่งของสัมพันธมิตรของพรรคการเมืองฝ่ายซ้ายซึ่งมีชื่อว่าแนวร่วมประชาชน (Popular Front (Spain)) โดยได้ที่นั่งสมาชิกสภามาสองที่นั่ง (เปสตัญญา และ เบนิโต ปาบอน (Benito Pabón y Suárez de Urbina)) ใน ค.ศ. 1938 เลขาธิการใหญ่ CNT โฮราซิโอ มาร์ติเนซ ปริเอโต (Horacio Martínez Prieto) ได้เสนอให้สหพันธ์อนาธิปไตยไอบีเรียแปลงสภาพตัวเองเป็นพรรคการเมืองสังคมนิยมอิสรนิยม และให้เข้ามีส่วนร่วมในการเลือกตั้งระดับชาติ[265]

ในเดือนพฤศจิกายน ค.ศ. 1936 แนวร่วมประชาชนได้แต่งตั้งนักคตินิยมสิทธิสตรีแบบอนาธิปไตยที่มีชื่อเสียง ฟราดาริกา มุนแซ็ญ ขึ้นเป็นรัฐมนตรีสาธารณสุข และกลายเป็นผู้หญิงคนแรกในประวัติศาสตร์ประเทศสเปนที่ได้เป็นรัฐมนตรีในคณะรัฐมนตรี[266] เมื่อกองกำลังสาธารณรัฐพ่ายแพ้สงครามกลางเมือง เมืองมาดริดก็ถูกยกให้กับกองกำลังนิยมฟรังโก ใน ค.ศ. 1939 โดยนายกเทศมนตรีที่ไม่นิยมฟรังโกคนสุดท้ายของเมือง นักอนาธิปัตย์นามว่า เมลชอร์ โรดริเกซ การ์ซิอา (Melchor Rodríguez García)[267]

นิเวศสังคมนิยม[แก้]

นิเวศสังคมนิยม (อังกฤษ: Eco-socialism) คือการรวมกันของอนาธิปไตย นิเวศวิทยา สิ่งแวดล้อมนิยม (Environmentalism) การเมืองสีเขียว (Green politics) ลัทธิมากซ์ และสังคมนิยม และโดยทั่วไปเชื่อว่าระบบทุนนิยมนั้นเป็นต้นเหตุของการกีดกันทางสังคม, ความเหลื่อมล้ำ (Economic inequality) และความเสื่อมโทรมของสิ่งแวดล้อม (environmental degradation) นักนิเวศสังคมนิยมวิจารณ์หลายคนในขบวนการสีเขียวว่าบทวิจารณ์ระเบียบโลกปัจจุบันของพวกเขานั้นยังไปไกลไม่พอ และต่อต้านทุนนิยมแบบไม่ชัดเจน ในเวลาเดียวกันนักนิเวศสังคมนิยมก็ตำหนิฝ่ายซ้ายแบบดั้งเดิมว่าเมินเฉยหรือไม่พูดถึงปัญหาทางนิเวศน์ได้อย่างเหมาะสมเพียงพอ[268] นักนิเวศสังคมนิยมต่อต้านโลกาภิวัตน์ (Anti-globalization movement) โจเอล โคเวล (Joel Kovel) มองว่าโลกาภิวัตน์เป็นแรงดันที่ขับโดยทุนนิยม แล้วความเติบโตทางเศรษฐกิจอย่างรวดเร็วที่ถูกกระตุ้นโดยโลกาภิวัตน์ก็ส่งผลให้เกิดวิกฤตทางนิเวศน์อย่างฉับพลันต่อมาตามลำดับ[269] สังคมนิยมเกษตรกรรม (Agrarian socialism) เป็นแนวคิดนิเวศสังคมนิยมอีกรูปแบบหนึ่ง ขบวนการเคลื่อนไหวในยุคสมัยคริสต์ศตวรรษที่ 17 ที่ชื่อว่าดิกเกอส์วางรากฐานมโนคติของพวกเขาอยู่บนแนวคิดสังคมนิยมเกษตรกรรม[270]

นิเวศสังคมนิยมนั้นไปไกลเกินกว่าการวิจารณ์การกระทำของบริษัทขนาดใหญ่ และพุ่งเป้าไปที่คุณสมบัติโดยเนื้อแท้ของระบบทุนนิยม การวิเคราะห์แบบนี้เป็นไปตามทฤษฎีของมาคส์เกี่ยวกับความขัดแย้งกันระหว่างมูลค่าใช้สอย (use value) กับมูลค่าแลกเปลี่ยน (exchange value) ที่มีอยู่ในเศรษฐกิจระบบตลาด คือสินค้าไม่ถูกผลิตออกมาเพื่อสนองกับความต้องการ แต่ถูกผลิตออกมาเพื่อแลกกับเงินตราซึ่งถูกนำไปใช้ให้ได้มาซึ่งสินค้าอื่นอีก ในเมื่อเราต้องคอยขายเพื่อให้คอยซื้อได้ต่อไป เราจำต้องชักชวนให้ผู้อื่นต้องซื้อสินค้าของเราก็เพื่อรับรองการดำรงชีวิตต่อไปของเราเท่านั้น ซึ่งนำไปสู่การผลิตสินค้าซึ่งไม่ได้มีประโยชน์มาก่อนมาขายเพื่อรักษาความสามารถในการซื้อสินค้าอื่น ๆ ของเรา นักนิเวศสังคมนิยมอย่างโคเวลเน้นย้ำว่าความขัดแย้งนี้มาถึงขีดของการทำลายล้างแล้ว เมื่อกิจกรรมที่จำเป็นบางประการอย่างเช่นการดูแลญาติพี่น้องเต็มเวลาและการดำรงชีพอย่างเรียบง่ายนั้นไม่ได้รับผลตอบแทน แต่กิจกรรมทางเศรษฐกิจที่ไม่จำเป็นกลับให้ผลตอบแทนจำนวนมหาศาลกับบุคคลจำพวกหนึ่งเท่านั้น[269]

อนาธิปไตยสีเขียวเป็นสำนักคิดอนาธิปไตย ซึ่งเน้นย้ำโดยเฉพาะในประเด็นด้านสิ่งแวดล้อม[117][118] อิทธิพลเริ่มแรกมาจากความคิดของนักอนาธิปัตย์ชาวอเมริกัน เฮนรี เดวิด ทอโร และหนังสือชื่อ วอลเดน ของเขา[119] รวมถึง เลโอ ตอลสตอย[120] และ เอลีเซ เรอกลูว์[121][122] ในคริสต์ศตวรรษที่ 19 คติธรรมชาตินิยมแบบอนาธิปไตยถือกำเนิดขึ้นจากการผสานกันของอนาธิปไตยและปรัชญาธรรมชาตินิยมภายในวงขบวนการอนาธิปไตยแบบปัจเจก[123][124][125][126] ในประเทศคิวบา[127] โปรตุเกส[119][120] ฝรั่งเศส[128][129] สเปน[120][129][123] และสหราชอาณาจักร[130]

นักอนาธิปัตย์สีเขียวร่วมสมัยบางคนอาจเรียกได้ว่าเป็นนักบรรพกาลนิยมแบบอนาธิปไตย หรือนักอนาธิปไตยต่อต้านอารยธรรม แต่ไม่ใช่นักอนาธิปัตย์สีเขียวทุกคนจะนิยมบรรพกาลนิยม เช่นเดียวกันนักอนาธิปัตย์สีเขียวมักวิจารณ์เทคโนโลยีสมัยใหม่อย่างแข็งขัน แต่ไม่ใช่ทุกคนที่จะทอดทิ้งมันไปอย่างสิ้นเชิง แนวคิดในกระแสปัจจุบันเช่นบรรพกาลนิยมแบบอนาธิปไตยและนิเวศวิทยาสังคม[131] นักเขียนในปัจจุบันที่มีชื่อเสียงซึ่งสนับสนุนอนาธิปไตยสีเขียวได้แก่ เมอร์เรย์ บุคชิน, แดเนียล โชเดอร์คอฟ (Daniel Chodorkoff), นักมานุษวิทยา ไบรอัน มอร์ริส (Brian Morris (anthropologist)) และผู้คนแวดล้อมสถาบันเพื่อนิเวศวิทยาสังคม (Institute for Social Ecology) และผู้คนซึ่งวิพากษ์วิจารณ์เทคโนโลยีเช่น เลย์ลา อับเดลราฮิม (Layla AbdelRahim), เดอร์ริก เจนเซน (Derrick Jensen), จอร์จ แดรฟเฟิน (George Draffan) และ จอห์น เซอร์เซิน (John Zerzan) และคนอื่น ๆ อาทิ อลัน คาร์เตอร์ (Alan Carter (philosopher))[271]

นักนิเวศวิทยาสังคมมักวิจารณ์สังคมนิยมกระแสหลักว่าเน้นสนใจและโต้เถียงเกี่ยวกับการเมืองและเศรษฐกิจมากกว่าที่จะสนใจในระบบนิเวศ (มนุษย์และสิ่งแวดล้อม) ทฤษฎีนี้สนับสนุนแนวคิดระบบเทศบาลแบบอิสรนิยมและเทคโนโลยีสิ่งแวดล้อม นักบรรพกาลนิยมแบบอนาธิปไตยมักวิพากศ์วิจารณ์สังคมนิยมกระแสหลักที่ไปสนับสนุนอารยธรรมและเทคโนโลยีสมัยใหม่ซึ่งพวกเขาเชื่อว่ามีรากฐานโดยเนื้อแท้มาจากการครอบงำและการเอาเปรียบ และพวกเขาสนับสนุนให้เกิดกระบวนการฟื้นคืนธรรมชาติ (Rewilding (anarchism)) หรือการเชื่อมโยงเข้ากับสิ่งแวดล้อมตามธรรมชาติใหม่อีกครั้งแทน อนาธิปไตยวีกัน (Veganarchism) เป็นปรัชญาการเมืองของคติวีกัน (โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ขบวนการปลดปล่อยสัตว์ (Animal rights movement)) และอนาธิปไตยสีเขียว[272] และรวมถึงมุมมองซึ่งถือว่ารัฐเป็นสิ่งที่ไม่จำเป็นและเป็นอันตรายต่อมนุษย์และสัตว์ ขณะที่ปฏิบัติวิถีชีวิตแบบวีกัน[273]

ลัทธิจอร์จ[แก้]

ลัทธิจอร์จ (อังกฤษ: Georgism) เป็นอุดมการณ์และปรัชญาเศรษฐศาสตร์ซึ่งถือว่าผู้คนเป็นเจ้าของในสิ่งที่พวกเขาผลิต แต่สิ่งที่พบเจอตามธรรมชาติ โดยเฉพาะอย่างยิ่งที่ดิน (land (economics)) เป็นสิ่งที่ทุกคนเป็นเจ้าของเท่า ๆ กัน[274] ปรัชญาลัทธิจอร์จมีรากฐานบนงานเขียนของนักเศรษฐศาสตร์ เฮนรี จอร์จ (ค.ศ. 1839-1897) และมักถูกสัมพันธ์กับแนวคิดภาษีเดี่ยวของมูลค่าที่ดิน งานที่โด่งดังที่สุดของเขาชื่อว่า Progress and Poverty (ค.ศ. 1879) เป็นศาสตรนิพนธ์ว่าด้วยความเหลื่อมล้ำ ธรรมชาติความเป็นวัฏจักร (business cycle) ของเศรษฐกิจอุตสาหกรรม และการใช้ภาษีมูลค่าที่ดินเป็นยารักษา นักลัทธิจอร์จอ้างว่าภาษีมูลค่าที่ดิน (Land value tax) เป็นสิ่งที่มีประสิทธิภาพทางเศรษฐกิจ (Economic efficiency), ยุติธรรม และเที่ยงธรรม (Equity (economics)) และจะสามารถสร้างรายได้ที่เพียงพอ จึงทำให้สามารถลดหรือกำจัดภาษีอื่น ๆ (อาทิ ภาษีจากกำไร การขาย หรือรายได้) ซึ่งมีประสิทธิภาพและยุติธรรมน้อยกว่าได้ ภาษีมูลค่าที่ดินถูกกล่าวถึงว่าเป็นภาษีก้าวหน้า (Progressive tax) เพราะส่วนใหญ่จะเป็นคนรวยที่จ่ายเป็นหลัก (Tax incidence) และจะทำให้ความเหลื่อมล้ำทางเศรษฐกิจลดลง[275]

แนวคิดลัทธิจอร์จได้มีอิทธิพลอย่างมากต่อการเมืองในช่วงต้นคริสต์ศตวรรษที่ 20 หลายพรรคการเมืองถูกต่อตั้งขึ้นบนแนวคิดลัทธิจอร์จ ไม่ว่าจะเป็นพรรคที่ดินเครือจักรภพ (Commonwealth Land Party (UK)) ในสหราชอาณาจักร, พรรคยุติธรรม (Justice Party of Denmark) ในประเทศเดนมาร์ก และพรรคยุติธรรมเฮนรี จอร์จ (Henry George Justice Party) กับสันนิบาตภาษีเดี่ยว (Single Tax League) ในออสเตรเลีย หลายชุมชนก็ถูกก่อตั้งขึ้นด้วยหลักการลัทธิจอร์จในช่วงที่ปรัชญานี้มีชื่อเสียงและรุ่งเรื่อง ชุมชนเหล่านั้นที่ยังคงเหลืออยู่มีอยู่สองที่ กล่าวคือ อาร์เดิน รัฐเดลาแวร์ ( Arden, Delaware) ซึ่งก่อตั้งขึ้นใน ค.ศ. 1900 โดย แฟรงก์ สตีเฟนส์ (Frank Stephens (sculptor)) และ วิลล์ ไพรซ์ (Will Price) และอีกที่คือ แฟร์โฮป รัฐแอละแบมา (Fairhope, Alabama) ซึ่งก่อตั้งขึ้นใน ค.ศ. 1894 โดยอยู่ภายใต้การอุปถัมภ์ของบริษัทภาษีเดี่ยวแฟร์โฮป (Fairhope Single Tax Corporation)[276] นักอนาธิปัตย์คริสเตียน (Christian anarchism) เลโอ ตอลสตอย ได้แรงบันดาลใจจากแนวคิดทางเศรษฐกิจของ เฮนรี จอร์จ และรวมมันเข้าไปในงานช่วงหลัง ๆ ของเขาเช่น เรเซอร์เร็กชัน (Resurrection) ซึ่งเป็นหนังสือที่เป็นปัจจัยหลักซึ่งทำให้เขาถูกตัดขาดจากศาสนา[277]

สังคมนิยมแบบสมาคมอาชีพ[แก้]

ดูบทความหลักที่: สังคมนิยมแบบสมาคมอาชีพ

สังคมนิยมแบบสมาคมอาชีพ (อังกฤษ: Guild socialism) เป็นขบวนการทางการเมืองซึ่งสนับสนุนการควบคุมอุตสาหกรรมโดยคนทำงานโดยใช้สมาคมอาชีพ (Guild) ตามแต่ละอาชีพเป็นสื่อกลางในการควบคุม "ในความสัมพันธ์ที่ผูกพันโดยสัญญาโดยนัยกับสาธารณะ"[278] จุดกำเนิดของมันคือสหราชอาณาจักร และมีอิทธิพลสูงสุดในเสี้ยวแรกของคริสต์ศตวรรษที่[278] และมีความเกี่ยวโยงกับ จี. ดี. เอช. โคล และได้รับอิทธิพลจากมโนคติของ วิลเลียม มอร์ริส

สังคมนิยมแบบสมาคมอาชีพได้รับแรงบันดาลใจส่วนหนึ่งมาจากสมาคมอาชีพของช่างฝีมือ (artisan) และคนทำงานฝีมืออื่น ๆ ในประเทศอังกฤษในสมัยกลาง (England in the Middle Ages) ใน ค.ศ. 1906 อาร์เธอร์ เพนตี (Arthur Penty) ได้เผยแพร่ เรสตอเรชันออฟเดอะกิลด์ซิสเต็ม (Restoration of the Gild System; การฟื้นฟูระบบสมาคมอาชีพ) ซึ่งในนั้นเขาได้ต่อต้านการผลิตในโรงงาน และสนับสนุนให้กลับไปใช้การผลิตแบบช่างฝีมือในยุคสมัยก่อน โดยใช้การจัดตั้งผ่านสมาคมอาชีพ ในปีต่อมาวารสาร เดอะนิวเอจ(The New Age) ก็ได้สนับสนุนสังคมนิยมแบบสมาคมอาชีพ แต่ว่าเป็นบริบทของอุตสาหกรรมสมัยใหม่มากกว่าที่จะเป็นบริบทของสมัยกลางอย่างที่เพนตีเห็นชอบ นักสังคมนิยมสมาคมอาชีพ "มีจุดยืนให้รัฐครอบครองอุตสาหกรรม และรวมเข้ากับ 'การควบคุมโดยคนทำงาน' ผ่านการส่งผู้แทนที่มีอำนาจไปยังสมาคมอาชีพระดับชาติซึ่งมีโครงสร้างภายในแบบประชาธิปไตย แต่พวกเขาเห็นต่างในเรื่องของรัฐ บางคนเชื่อว่ามันจะยังคงอยู่อย่างที่เป็นไม่มากก็น้อย และคนอื่นเชื่อว่ามันจะแปรสภาพเป็นองค์กรแบบสหพันธ์ซึ่งเป็นตัวแทนของสมาคมอาชีพของคนทำงาน องค์กรของผู้บริโภค องค์กรการปกครองส่วนท้องถิ่น และโครงสร้างทางสังคมอื่น ๆ"[278]

ใน ค.ศ. 1914 ซามูเอล จอร์จ ฮอบสัน (Samuel George Hobson) ผู้มีส่วนร่วมคนสำคัญในวารสาร เดอะนิวเอจ ได้เผยแพร่ แนชันนัลกิลดส์: แอนอินไควรีอินทูเดอะเวจซิสเตมแอนด์เดอะเวย์เอาต์ (National Guilds: An Inquiry into the Wage System and the Way Out) ในงานชิ้นนี้ สมาคมอาชีพถูกเสนอให้เป็นทางเลือกอีกทางนอกเหนือจากการให้รัฐควบคุมอุตสาหกรรมและกิจกรรมสหภาพแรงงานแบบทั่วไป สมาคมอาชีพนั้นต่างจากสหภาพแรงงานที่มีอยู่เพราะจะไม่ถูกจำกัดวงความต้องการของพวกเขาไว้เพียงแค่เรื่องเกี่ยวกับค่าจ้างและสถานสภาพ แต่จะพยายามให้ได้มาซึ่งการควบคุมอุตสาหกรรมสำหรับคนทำงานที่พวกเขาเป็นตัวแทน ท้ายที่สุดสมาคมอาชีพอุตสาหการจะทำหน้าที่เป็นองคาพยพที่อุตสาหกรรมในสังคมแบบสังคมนิยมในอนาคตจะถูกจัดระเบียบด้วย ทฤษฎีสังคมนิยมแบบสมาคมอาชีพนั้นได้รับการพัฒนาและทำให้โด่งดังโดย จี. ดี. เอช. โคล ซึ่งเป็นผู้ก่อตั้งสันนิบาตสมาคมอาชีพแห่งชาติในสหราชอาณาจักรใน ค.ศ. 1915 และได้เผยแพร่หนังสือหลายฉบับที่เกี่ยวกับสังคมนิยมแบบสมาคมอาชีพได้แก่ เซลฟ์-โกเวิร์นเมนต์อินอินดัสตรี (Self-Government in Industry) (ค.ศ. 1917) และ กิลด์โซเชียลลิสซึมรีสเตตเท็ด (Guild Socialism Restated) (ค.ศ. 1920)

ในมุมมองของนักวิชาการ ชาลส์ แมสเกอเลียร์ (Charles Masquelier) เขาว่าการจะทำให้คุณค่าแบบเสรีนิยม กล่าวคืออัตตาณัติ ให้กลายเป็นสถาบันได้อย่างถูกกาลเทศะและยั่งยืนผ่านสังคมนิยมแบบอิสรนิยมของ จี. ดี. เอช. โคล นั้น เราจะต้องสนองความจำเป็นสองประการนั้น ด้วยการ "ทำลายอำนาจเหนือของปัจจัยทางเศรษฐกิจ" ผ่านการจัดระเบียบในบริเวณที่สำคัญของชีวิตเสียใหม่ ให้อยู่นรูปแบบของการกระทำและการประสานกันแบบสมาคมที่สามารถมอบ "พัฒนาการของการจัดระเบียบหน้าที่ได้อย่างเต็มที่ที่สุด" และโคลต้องการที่จะเปลี่ยนแปลงการเป็นตัวแทนทางการเมืองให้กลายเป็นระบบที่สามารถรับรู้ความแตกต่างของผลประโยชน์ซึ่งเป็นส่วนประกอบของสังคมที่หลากหลายและซับซ้อนอย่างยิ่งได้โดยตรงอย่างแท้จริง[279]

สหการนิยมปฏิวัติ[แก้]

ดูบทความหลักที่: สหการนิยม

สหการนิยมปฏิวัติเป็นระบบเศรษฐกิจชนิดหนึ่งซึ่งเสนอให้แทนที่ระบอบทุนนิยม และเป็นตัวเลือกนอกเหนือจากระบอบสังคมนิยมรัฐ ด้วยการใช้สหพันธ์ของสหภาพแรงงานหรือสหภาพแรงงานอุตสาหกรรมซึ่งถูกทำให้เป็นของส่วนรวม มันเป็นบรรษัทนิยม (corporatism) แบบเศรษฐกิจสังคมนิยมรูปแบบหนึ่งซึ่งส่งเสริมให้มีการรวบรวมกันของผลประโยชน์ของหน่วยหมวดหมู่ที่ไม่แข่งขันกันหลาย ๆ หน่วยเพื่อใช้ในการต่อรองและบริหารจัดการเศรษฐกิจ[280] สำหรับผู้สนับสนุน สหภาพแรงงานเป็นวิถีทางหนึ่งซึ่งมีศักยภาพในการก้าวข้ามอำมาตยาธิปไตยทางเศรษฐกิจ และในการดำเนินสังคมไปอย่างยุติธรรมเพื่อผลประโยชน์ของคนส่วนใหญ่ผ่านระบบประชาธิปไตยสหภาพแรงงาน (union democracy) อุตสาหกรรมที่อยู่ในระบบสหการนิยมจะดำเนินงานผ่านสมาพันธ์สหกรณ์ (co-operative economics) และระบบร่วมด้วยช่วยกัน สหการท้องถิ่นก็จะสื่อสารกับสหการอื่น ๆ ผ่านบูร์สดูว์ทราวาย (Bourse du Travail; ตลาดหลักทรัพย์แรงงาน) ซึ่งจะบริหารจัดการและถ่ายโอนสินค้าโภคภัณฑ์ (Commodity)

สหการนิยมก็ถูกใช้เพื่อหมายถึงกลยุทธ์ในการได้มาซึ่งระเบียบสังคมในรูปแบบนี้ โดยทั่วไปขยายความโดยสหการนิยมแบบอนาธิปไตยและลัทธิเดอลีออน ซึ่งกล่าวว่าการนัดหยุดงานทั่วไปจะเริ่มขึ้นแล้วคนทำงานก็จะเข้ายึดครองปัจจัยการผลิตของพวกเขา และจัดตั้งขึ้นเป็นสหพันธ์สหภาพแรงงาน ดังเช่นสมาพันธ์แรงงานแห่งชาติสเปน (CNT)[281] ตลอดทั้งประวัติศาสตร์ของมัน สัดส่วนของสหการนิยมซึ่งนิยมการปฏิรูปนั้นถูกบดบังโดยสัดส่วนซึ่งต้องการปฏิวัติ ตัวอย่างเช่นสมาพันธ์แรงงานทั่วไปฝรั่งเศส (General Confederation of Labour (France)) คนงานอุตสาหกรรมแห่งโลก สัดส่วนสหพันธ์อนาธิปไตยไอบีเรียของสมาพันธ์แรงงานแห่งชาติสเปน (CNT)[282] อูนีโอเน ซินดีกาเล อีตาลีอานา (Unione Sindacale Italiana) ในประเทศอิตาลี และองค์กรกลางคนงานสวีเดน (SAC Syndikalisterna)

อนาธิปไตยคริสเตียน[แก้]

ดูบทความหลักที่: อนาธิปไตยคริสเตียน

อนาธิปไตยคริสเตียน (อังกฤษ: Christian anarchism) เป็นขบวนการคริสเตียน (Christian movement) ในสาขาเทววิทยาการเมือง (political theology) ซึ่งรวมแนวคิดอนาธิปไตยเข้ากับศาสนาคริสต์[283][284]เป็นความเชื่อที่ว่ามีเพียงแหล่งของอำนาจเดียวเท่านั้นที่คริสต์ศาสนิกชนจะปฏิบัติตามในท้ายที่สุด อำนาจของพระเจ้าที่ปรากฏอยู่ในคำสอนของพระเยซู โดยเฉพาะอย่างยิ่งคำเทศนาบนภูเขาและคำร้องของพระเยซูที่ไม่ได้ให้ต่อต้านความชั่วร้ายแต่ให้หันแก้มอีกข้างหนึ่งให้เขา (Turning the other cheek) เป็นคำสอนซึ่งถูกใช้เป็นรากฐานของอนาธิปไตยคริสเตียนมากยิ่งกว่าแหล่งอื่น ๆ ในพระคำภีร์ไบเบิล[285][286]

นักอนาธิปัตย์คริสเตียนเป็นพวกสันตินิยม (Christian pacifism) และต่อต้านการใช้ความรุนแรง เช่นสงคราม[287] พื้นฐานของอนาธิปไตยคริสเตียนคือการปฏิเสธการใช้ความรุนแรง โดยมีงานของ เลโอ ตอลสตอย ชื่อว่า เดอะคิงดอมออฟกอดอิสวิททินยู (The Kingdom of God Is Within You) ถูกถือว่าเป็นงานเขียนสำคัญ[284][288] นักอนาธิปัตย์คริสเตียนประณามรัฐเพราะพวกเขากล่าวว่ารัฐนั้นมีความรุนแรง[289] หลอกลวง และเมื่อถูกสรรเสริญก็เป็นการบูชารูปเคารพ (idolatry) รูปแบบหนึ่ง[290][291]

ขบวนการตอลสตอย (Tolstoyan movement) เป็นกลุ่มอนาธิปัตย์คริสเตียนขนาดเล็กกลุ่มหนึ่งซึ่งถูกก่อตั้งขึ้นโดยเพื่อนของตอลสตอย วลาดีมีร์ เชียร์ตคอฟ (Vladimir Chertkov) (ค.ศ. 1854–1936) เพื่อเผยแพร่คำสอนทางศาสนาของตอลสตอย ปิออตร์ โครปอตกิน ได้เขียนถึงตอลสตอยในบทความว่าด้วยอนาธิปไตยในสารานุกรมบริแทนนิกาฉบับที่ 11 (Encyclopædia Britannica Eleventh Edition)[292] แม้ว่าในเรียงความของเขา ตอลสตอยได้กล่าวซ้ำถึงข้อวิจารณ์รัฐของอนาธิปไตยและได้แนะนำหนังสือของโครปอตกินและปรูดอนให้ผู้อ่าน แต่เขาปฏิเสธการยอมรับวิถีทางปฏิวัติด้วยความรุนแรง (propaganda of the deed) ของอนาธิปไตย[293][294]

โดโรธี เดย์ (Dorothy Day) เป็นนักข่าว นักกิจกรรมทางสังคม และคริสต์ศาสนิกชนคาทอลิกกลับใจที่ศรัทธายิ่งชาวอเมริกัน ซึ่งได้สนับสนุนทฤษฎีเศรษฐศาสตร์คาทอลิก กล่าวคือคตินิยมการกระจาย (distributism) เดย์เชื่อว่ารัฐล้วนเป็น "ระบบรวบอำนาจเบ็ดเสร็จโดยสันดาน"[295] และเรียกตัวเองว่าเป็นนักอนาธิปัตย์[296][297][298] ในคริสต์ทศวรรษ 1930 เดย์ได้ทำงานอย่างใกล้ชิดกับสหายนักกิจกรรม ปีเตอร์ โมแร็ง (Peter Maurin) และก่อตั้งขบวนการคนงานคาทอลิก (Catholic Worker Movement) ซึ่งเป็นขบวนการเคลื่อนไหวแบบสันตินิยมและไม่รุนแรง ซึ่งรวมความช่วยเหลือโดยตรงให้กับคนจนและคนไร้บ้านเข้ากับการกระทำโดยตรงแบบไม่รุนแรง (nonviolence) ในนามของพวกเขา ความสำคัญของเดย์ภายในนิกายโรมันคาทอลิกมีถึงขนาดที่มูลของการประกาศให้เดย์เป็นนักบุญนั้นเป็นที่ถกเถียงอย่างเปิดเผยกันในศาสนจักรคาทอลิก และเธอจึงถูกเรียกอย่างเป็นทางการว่าเป็นผู้รับใช้พระเป็นเจ้า[299]

แอนนอน เฮนนาซี (Ammon Hennacy) เป็นนักสันตินิยม คริสเตียน นักอนาธิปัตย์ และนักกิจกรรมทางสังคม ผู้เป็นสมาชิกของขบวนการคนงานคาทอลิกและว็อบบลีชาวอเมริกันเชื้อสายไอริช เขาเป็นผู้ก่อตั้งบ้าน (House of hospitality) โจ ฮิลล์ (Joe Hill House) ในซอลต์เลกซิตี รัฐยูทาห์[300]

ลัทธิคานธี[แก้]

ดูบทความหลักที่: ลัทธิคานธี

ลัทธิคานธี (อังกฤษ: Gandhism) เป็นการรวบรวมของแรงบันดาลใจ หลักการ ความเชื่อ และปรัชญาของ มหาตมา คานธี ซึ่งเป็นผู้นำทางการเมืองคนสำคัญของประเทศอินเดียและขบวนการเอกราชอินเดีย เป็นแนวคิดและหลักการต่าง ๆ ที่อธิบายถึงแรงบันดาลใจ วิสัยทัศน์ และงานชีวิตของคานธี โดยเฉพาะอย่างยิ่งมีที่สัมพันธ์กับการมีส่วนรวมของเขาต่อแนวคิดและการปฏิบัติการต่อต้านที่ไม่ใช้ความรุนแรง (nonviolent resistance) ที่บางครั้งก็เรียกว่าการต่อต้านของพลเมือง (civil resistance) เศรษฐศาสตร์แบบคานธี (Gandhian economics) เป็นหลักการเศรษฐกิจสังคมที่คานธีได้อธิบายไว้ โดยส่วนใหญ่มีลักษณะที่ใกล้เคียงกับหลักการและวัตถุประสงค์ของสังคมนิยมแบบมนุษยนิยมที่ไม่รุนแรง แต่ปฏิเสธการต่อสู้ระหว่างชนชั้นที่ใช้ความรุนแรงและส่งเสริมให้เกิดความบรรสานกันทางเศรษฐกิจสังคม แนวคิดทางเศรษฐศาสตร์ของคานธีนั้นยังมีจุดมุ่งหมายที่จะส่งเสริมพัฒนาการทางจิตวิญญาณและความบรรสาน พร้อมกับการปฏิเสธแนวคิดวัตถุนิยม คำว่าเศรษฐศาสตร์แบบคานธีถูกบัญญัติขึ้นโดย เจ. ซี. กุมารัปปา (J. C. Kumarappa) ผู้สนับสนุนคนใกล้ชิดของคานธี[301] เศรษฐศาสตร์แบบคานธีให้ความสำคัญกับวิธีในการบรรลุเป้าหมายของการพัฒนา และวิธีการนี้จะต้องไม่ใช้ความรุนแรง มีจรรยา และมีสัจจะในทุกขอบเขตของเศรษฐกิจ เพื่อให้สำเร็จการนี้ เขาสนับสนุนให้มีภาวะทรัสตี (Trusteeship (Gandhism)) การกระจายศูนย์กิจกรรมทางเศรษฐกิจ เทคโนโลยีที่ใช้แรงงานมาก และการให้ความสำคัญกับสัดส่วนที่ด้อยกว่า คานธียังได้ส่งจดหมายระหว่างกันกับนักอนาธิปัตย์คริสเตียน เลโอ ตอลสตอย ด้วย และถือตนเป็นศิษย์ของเขา[302]

ต่อมาคานธีได้ท้าทายนายกรัฐมนตรีอินเดียในอนาคต ชวาหะร์ลาล เนห์รู และนักปฏิรูปคนอื่น ๆ ในช่วงปลายคริสต์ทศวรรษ 1930 ซึ่งได้เรียกร้องให้มีการพัฒนาอุตสาหกรรมอย่างรวดเร็วตามตัวแบบของโซเวียต โดยคานธีได้ประณามว่ามันลดทอนความเป็นมนุษย์และตรงกันข้ามกับความต้องการของหมู่บ้านต่าง ๆ ซึ่งเป็นที่อยู่อาศัยของคนส่วนใหญ๋[303] หลังจากคานธีเสียชีวิตไป เนห์รูได้นำประเทศอินเดียไปสู่การวางแผนขนาดใหญ่ที่ให้ความสำคัญกับการทำให้ทันสมัยขึ้นและอุตสาหกรรมหนัก ในขณะเดียวกันก็ทำให้เกษตรกรรมทันสมัยขึ้นด้วยระบบชลประทาน นักประวัติศาสตร์ กุรุวิฬะ ปาณฎิกกัฎฎึ (Kuruvilla Pandikattu) กล่าวว่า "ในท้ายที่สุดรัฐอินเดียพอใจกับวิสัยทัศน์ของเนห์รู ไม่ใช่ของคานธี"[304] คานธีเรียกตัวเองว่าเป็นนักอนาธิปัตย์เชิงปรัชญา (Philosophical anarchism)[305] และวิสัยทัศน์ของอินเดียของเขาคืออินเดียที่ไม่มีรัฐบาลในรูปแบบอังกฤษอยู่เบื้องหลัง[306] เขากล่าวไว้ครั้งหนึ่งว่า "รัฐที่ไม่รุนแรงในอุดมคตินั้นคืออนาธิปไตยที่เป็นระเบียบ"[307] ในขณะที่ระบบการเมืองนั้นเป็นลำดับชั้น ซึ่งแต่ละชั้นอำนาจมีอำนาจที่มากขึ้นเหนือชั้นเบื้องล่าง ตั้งแต่ปัจเจกบุคคลไปจนถึงรัฐบาลกลาง คานธีเชื่อว่าสังคมจะต้องเป็นตรงกันข้ามอย่างสิ้นเชิง โดยจะไม่สามารถทำอะไรได้หากไม่ได้การยินยอมจากใคร ไปจนถึงระดับปัจเจก การปกครองตนเอง (Swaraj) อันแท้จริงในประเทศหนึ่งในมโนคติของเขาหมายความว่าทุกคนปกครองตัวของเขาเอง และไม่มีรัฐที่จะบังคับใช้กฎหมายกับผู้คน[302]

นักกิจกรรมลัทธิคานธีอย่าง วิโนพา ภาเว (Vinoba Bhave) และ ชยปรกาศ นารายัณ (Jayaprakash Narayan) ได้มีส่วนในขบวนการ สรโวทยะ (Sarvodaya) ซึ่งพยายามส่งเสริมการพึ่งพาตนเองของประชากรชนบทในอินเดียผ่านการสนับสนุนให้มี การจัดสรรที่ดินใหม่ การปฏิรูปทางเศรษฐกิจสังคม และการส่งเสริมอุตสาหกรรมในครัวเรือน (Putting-out system) ขบวนการเคลื่อนไหวนี้พยายามที่จะต่อสู้กับปัญหาของความขัดแย้งระหว่างชนชั้น การว่างงาน และความจน ในขณะเดียวกันที่พยายามอนุรักษ์วิถีชีวิตและค่านิยมของชาวอินเดียในชนบท ซึ่งถูกกัดกร่อนไปโดยการปรับให้เป็นอุตสาหกรรม (industrialisation) และการทำให้ทันสมัย สรโวทยะ ยังรวมไปถึงขบวนการ ภูทาน (Bhoodan movement) หรือการนำที่ดินและทรัพยากรทางการเกษตรจากเจ้าที่ดิน (เรียกว่า ซมีนดาร์ (zamindar)) มาให้กับเกษตรกรผู้เช่าไร่นา เป็นความพยายามที่จะทำให้ระบบ ซมีนดารี จากสมัยกลางสิ้นสุดลง หนังสือชื่อว่า เดอะคอนเควสต์ออฟไวโอเลนส์: แอนเอสเซย์ออนวอร์แอนด์เรโวลูชัน (The Conquest of Violence: An Essay on War and Revolution) นั้นถูกเขียนขึ้นโดยนักอนาธิปัตย์สันตินิยม บาร์ต เดอ ลิกต์ (Bart de Ligt) เกี่ยวกับการต่อต้านแบบไม่รุนแรง ซึ่งส่วนหนึ่งได้แรงบันดาลใจจากแนวคิดของคานธี[308] นักประวัติศาสตร์อนาธิปไตย จอร์จ วูดค็อก ได้เขียนไว้ว่า เดอะคอนเควสต์ออฟไวโอเลนส์ "ถูกอ่านอย่างกว้างขวางโดยนักสันตินิยมชาวบริติชและอเมริกันในคริสต์ทศวรรษ 1930 และนำพาให้หลายคนรับเอามุมมองแบบอนาธิปไตยไป"[309]

คติแพลตฟอร์ม[แก้]

ดูบทความหลักที่: คติแพลตฟอร์ม

คติแพลตฟอร์ม (อังกฤษ: Platformism) เป็นกลุ่มการเมืองในขบวนการอนาธิปไตย ซึ่งมีพื้นฐานบนทฤษฎีองค์กรในแบบที่ร่างไว้ใน แนวนโยบายการจัดจั้งของสหภาพทั่วไปของนักอนาธิปัตย์ (ร่าง) (Organizational Platform of the General Union of Anarchists (Draft)) ของวารสาร เดโลตรูดา (Delo Truda) ซึ่งประกอบด้วยหลักการสี่ประการที่องค์กรอนาธิปัตย์ควรดำเนินตาม คือเอกภาพทางอุดมการณ์/ทฤษฎี เอกภาพทางยุทธวิธี ความรับผิดชอบร่วมกัน (Collective action) และระบอบสหพันธรัฐ แนวคิดนี้แสวงหาเอกภาพจากผู้มีส่วนร่วม และมีคุณลักษณะนิยามของแนวคิดว่าองค์กรแพลตฟอร์มิสต์แต่ละองค์กรต้องรับเอาเฉพาะคนที่เห็นด้วยกับแนวคิดแกนของกลุ่มอย่างเต็มที่ และปฏิเสธคนที่ไม่เห็นด้วย และยังเน้นความจำเป็นขององค์กรอนาธิปัตย์ที่จัดระเบียบอย่างแน่นแฟ้นที่มีความสามารถส่งอิทธิพลต่อขบวนการเคลื่อนไหวชนชั้นแรงงานและไพร่[310][311]

ภายในฝ่ายซ้ายใหม่[แก้]

ดูบทความหลักที่: ฝ่ายซ้ายใหม่
เฮอร์เบิร์ต มาร์คูเซอ นักทฤษฎีแนววิพากษ์สำนักแฟรงก์เฟิร์ต นักปรัชญาสังคมนิยมอิสรนิยมที่ทรงอิทธิพลในฝ่ายซ้ายใหม่[312]

การปรากฏตัวขึ้นของฝ่ายซ้ายใหม่ในคริสต์ทศวรรษ 1950 และ 1960 นำไปสู่ความสนใจที่ฟื้นขึ้นใหม่ในสังคมนิยมอิสรนิยม[313] ข้อวิจารณ์อำนาจนิยมของฝ่ายซ้ายเก่า (Old Left) ของฝ่ายซ้ายใหม่นั้นสัมพันธ์กับความสนใจเป็นพิเศษในเสรีภาพส่วนตัวและอัตตาณัติ (ดูที่แนวคิดของ กอร์นีลิโอส กัสโตริอาดิส) ซึ่งนำไปสู่การค้นพบธรรมเนียมสังคมนิยมที่เก่ากว่า เช่นลัทธิคอมมิวนิสต์ฝ่ายซ้าย ลัทธิคอมมิวนิสต์แบบองค์คณะนิยม และคนงานอุตสาหกรรมแห่งโลก ในสหรัฐอเมริกานี่เกิดจากการฟื้นฟูของแนวคิดอนาธิปไตยตั้งแต่คริสต์ทศวรรษ 1950 เป็นต้นไป ผ่านนักเขียนอย่าง พอล กูดแมน (Paul Goodman) และอนาธิปไตยแบบสันตินิยมซึ่งได้ส่งอิทธิพลต่อขบวนการต่อต้านนิวเคลียร์ (anti-nuclear movement) และขบวนการต่อต้านสงคราม (Peace movement) ในช่วงเวลานั้น และซึ่งได้รับเอาอิทธิพลของลัทธิคานธีและอนาธิปไตยคริสเตียนแบบตอลสตอยไป[314][315]

ในประเทศออสเตรเลีย มีซิดนีย์พุช (Sydney Push) ซึ่งเป็นวัฒนธรรมย่อยของปัญญาชนฝ่ายซ้ายเป็นส่วนใหญ่ในเมืองซิดนีย์ที่มีอยู่ตั้งแต่ช่วงปลายคริสต์ทศวรรษ 1940 ถึงช่วงต้นคริสต์ทศวรรษ 1970 ซึ่งได้ถูกสัมพันธ์กับป้ายชื่อ "อิสรนิยมซิดนีย์"[316] ฝ่ายซ้ายใหม่ยังได้นำการรื้อฟื้นลัทธิอนาธิปไตยขึ้นมาในคริสต์ทศวรรษ 1960 ในสหรัฐ วารสารอย่าง แรดิคัลอเมริกา (Radical America) กับ แบล็กแมสก์ (Black Mask (anarchists)) ในสหรัฐ และ โซลิดาริตี, บิกเฟลม (Big Flame (political group)) กับ เดโมเครซีแอนด์เนเชอร์ ซึ่งต่อมากลายเป็น วารสารนานาชาติประชาธิปไตยแบบครอบคลุม (The International Journal of Inclusive Democracy) ในสหราชอาณาจักรได้นำเสนอแนวคดิอิสรนิยมฝ่ายซ้ายต่อคนรุ่นใหม่ นิเวศวิทยาสังคม, อัตตาณัตินิยม และไม่นานมานี้ก็มีเศรษฐศาสตร์แบบมีส่วนร่วมและประชาธิปไตยแบบครอบคลุม (Inclusive Democracy) ที่ได้ถือกำเนิดขึ้นจากเหล่านี้ ฝ่ายซ้ายในสหรัฐยังรวมไปถึงนักอนาธิปัตย์ และกลุ่มวัฒนธรรมต่อต้านและที่เกี่ยวข้องกับฮิปปี้สายมูลวิวัติอย่างเช่นพวกยิปปี (Youth International Party) ซึ่งนำโดย แอบบี ฮอฟแมน (Abbie Hoffman), พวกดิกเกอส์ (Diggers (theater)),[317] อัปอะเกนสต์เดอะวอลล์มาเธอร์ฟักเกอร์ (Up Against the Wall Motherfuckers) และพรรคไวต์แพนเทอร์ (White Panther Party) จนถึงช่วงปลาย ค.ศ. 1966 พวกดิกเกอส์ได้เปิดร้านแจกของ (Give-away shop) ซึ่งแจกของในคลังสินค้า จัดหาอาหารแบบให้เปล่า แจกจ่ายยาแบบให้เปล่า แจกเงิน จัดงานคอนเสิร์ตดนตรีแบบไม่มีค่าใช้จ่าย และจัดแสดงงานศิลปะการเมือง[318] พวกดิกเกอส์เอาชื่อของพวกเขามาจากพวกดิกเกอส์ต้นฉบับในอังกฤษซึ่งนำโดย เจอร์ราร์ด วินสแตนลีย์[319] และพยายามที่จะสร้างสังคมขนาดเล็กที่ไร้เงินตราและทุนนิยม[320] ในอีกด้านหนึ่ง พวกยิปปีใช้การแสดงเชิงสัญลักษณ์ อย่างเช่นการเสนอตัวหมูตัวหนึ่ง (นามว่า "พิกาซัส เดอะ อิมมอร์ทัล" แปลว่า พิกาซัสผู้เป็นอมตะ) เป็นผู้สมัครรับเลือกตั้งเป็นประธานาธิบดีสหรัฐใน ค.ศ. 1968 เพื่อล้อเลียนสถานะเดิมของสังคมที่เป็นอยู่[321] พวกเขาถูกกล่าวถึงว่าเป็นขบวนการเยาวชน "การเมืองเชิงสัญลักษณ์" ที่นิยมนาฏกรรม ต่อต้านอำนาจนิยม และนิยมอนาธิปไตยอย่างยิ่ง[322] [323] เนื่อจากพวกเขาเป็นที่รู้จักจากการแสดงบนท้องถนน และการเล่นตลกโดยมีประเด็นการเมือง ฝ่ายซ้ายการเมือง "สำนักเก่า" ส่วนมากจึงได้เมินหรือประณามพวกเขา อิงตามข่าวเอบีซี (ABC News): "กลุ่มเป็นที่รู้จักจากการแสดงละครเล่นตลกบนถนน และครั้งหนึ่งถูกเรียกว่าเป็น 'เกราโช มาร์กซิสต์'"[324]

ชุมชนนิยมและนิเวศวิทยาสังคม[แก้]

นิเวศวิทยาสังคม (อังกฤษ: Social ecology) มีความเกี่ยวข้องอย่างใกล้ชิดกับงานและความคิดของ เมอร์เรย์ บุคชิน และได้รับอิทธิพลจากนักอนาธิปัตย์ ปิออตร์ โครปอตกิน นักนิเวศวิทยาสังคมกล่าวว่าวิกฤตการณ์ทางระบบนิเวศในปัจจุบันนั้นมีต้นเหตุจากปัญหาทางสังคมของมนุษย์ และการครอบงำของมนุษย์เหนือธรรมชาติมีต้นเหตุจากการครอบงำของมนุษย์เหนือมนุษย์[325]

ต่อมาบุคชินได้พัฒนาปรัชญาการเมืองมาเพื่อสมทบกับนิเวศวิทยาสังคม โดยเขาเรียกมันว่าชุมชนนิยม (อังกฤษ: Communalism) เบื้องต้นถูกคิดออกมาเป็ยอนาธิปไตยสังคมรูปแบบหนึ่ง แต่ในภายหลังเขาได้พัฒนาให้ชุมชนนิยมกลายเป็นอุดมการณ์ที่แยกออกต่างหาก โดยรวมสิ่งที่เขามองว่ามีประโยชน์ที่สุดจากองค์ประกอบต่าง ๆ ของลัทธิอนาธิปไตย ลัทธิมากซ์ สหการนิยม และนิเวศวิทยาสายมูลวิวัติ (Deep ecology) เข้าด้วยกัน

ในด้านการเมือง นักชุมชนนิยมสนับสนุนให้มีโครงข่ายของสภาของพลเมืองที่เป็นประชาธิปไตยทางตรงในแต่ละประชาคมหรือเมือง ซึ่งจะจัดตั้งขึ้นในรูปแบบสมาพันธรัฐ วิธีการที่เขาใช้เพื่อสัมฤทธิผลนี้เรียกว่าระบบเทศบาลแบบอิสรนิยม โดยประกอบไปด้วยการสถาปนาสถาบันการเมืองประชาธิปไตยแบบซึ่งหน้า ซึ่งจะเติบโตและขยายตัวออกไปในรูปแบบสมาพันธ์ โดยมีเป้าหมายที่จะแทนที่ระบบรัฐชาติในที่สุด

ระบบสมาพันธรัฐประชาธิปไตย[แก้]

นักต่อสู้ผู้หญิงจาก YPJ (Women's Protection Units) มีบทบาทสำคัญในการสู้รบที่โรยาวา

ระบบสมาพันธรัฐประชาธิปไตย (อังกฤษ: Democratic confederalism) เป็นข้อเสนอระบบทางการเมือง (political system) สังคมนิยมแบบอิสรนิยมที่ "เปิดรับกลุ่มและฝักฝ่ายการเมืองอื่น ๆ ระบบนี้ยืดหยุ่น มีวัฒนธรรมที่หลากหลาย (multiculturalism) ต่อต้านการผูกขาด และอิงฉันทามติ (consensus decision-making)"[326] อับดุลละฮ์ เออจาลัน ผู้นำพรรคแรงงานเคอร์ดิสถานได้ก่อตั้งอุดมการณ์นี้ขณะถูกขังอยู่ในเรือนจำ แม้ว่าแต่เดิมแล้วเป็นองค์กรลัทธิมากซ์เลนิน พรรคได้ดัดแปลงมุมมองของตัวเองในขณะที่เออจาลันได้เริ่มติดต่อกับ เมอร์เรย์ บุคชิน และรับเอาอุดมการณ์ของเขามา เสาหลักของระบบสมาพันธรัฐประชาธิปไตยคือนิเวศวิทยาสังคมและคตินิยมสิทธิสตรีแบบอนาธิปไตย[327] ในความคิดของเออจาลัน อุดมการณ์ของเขามีรากฐานเป็นการมีประชาธิปไตยแบบมีส่วนร่วมและอัตตาณัติในระดับท้องถิ่น ในหนังสือของเขา เขากล่าวว่า: "ยิ่งการมีส่วนร่วมแข็งแกร่งเท่าใด ประชาธิปไตยชนิดนี้จะยิ่งทรงพลังเท่านั้น ในขณะที่รัฐชาตินั้นอยู่ตรงข้ามกับประชาธิปไตย และถึงขั้นปฏิเสธมัน ระบบสมาพันธรัฐประชาธิปไตยจะประกอบไปด้วยกระบวนการประชาธิปไตยอย่างต่อเนื่อง"[328]

ประชาธิปไตยแบบครอบคลุม[แก้]

ดูบทความหลักที่: ประชาธิปไตยแบบครอบคลุม

ประชาธิปไตยแบบครอบคลุม (อังกฤษ: Inclusive democracy) เป็นทฤษฎีการเมืองและโครงการทางการเมืองซึ่งมีจุดมุ่งหมายเป็นประชาธิปไตยโดยตรง ประชาธิปไตยทางเศรษฐกิจในเศรษฐกิจที่ไร้ตลาด ไร้เงิน และไร้รัฐ การจัดการโดยคนทำงานเอง (ประชาธิปไตยในพื้นที่ทางสังคม) และประชาธิปไตยทางระบบนิเวศ โครงการทางทฤษฎีของประชาธิปไตยแบบครอบคลุมถือกำเนิดจากงานของนักปรัชญาการเมือง อดีตนักวิชาการ และนักกิจกรรม ตากิส โฟโตปูโลส ซึ่งแยกออกจากโครงการทางการเมืองแบบประชาธิปไตยและอัตตาณัติ โดยปรากฏตัวในงานชื่อว่า โทวอรดส์แอนอิคลูสิฟเดโมเครซี (Towards An Inclusive Democracy) และได้ถูกพัฒนาต่อโดยเขาและนักเขียนคนอื่น ๆ ในวารสาร เดโมเครซีแอนด์เนเชอร์ และต่อมาในวารสารที่รับช่วงต่อ วารสารนานาชาติประชาธิปไตยแบบครอบคลุม ซึ่งเป็นวารสารอิเล็กทรอนิกส์ซึ่งเข้าถึงได้โดยไร้ค่าใช้จ่าย

ตามความเห็นของอาร์รัน แกร์ (Arran Gare) โทวอรดส์แอนอิคลูสิฟเดโมเครซี "นำเสนอการตีความใหม่ที่ทรงพลังของประวัติศาสตร์และพลวัตการทำลายล้างของตลาด และให้วิสัยทัศน์ใหม่ที่สร้างแรงบันดาลใจของอนาคตที่มาแทนที่ทั้งเสรีนิยมใหม่และสังคมนิยมในรูปแบบที่มีอยู่"[329] เดวิด ฟรีแมน (David Freeman) ได้ชี้ให้เห็นว่า แม้แนวทางของโฟโตปูโลสจะไม่ใช่อนาธิปไตยอย่างเปิดเผย อย่างไรก็ตามอนาธิปไตยดูเหมือนเป็นหมวดหมู่อย่างเป็นทางการของมัน จากความเชื่อมั่นที่เขามีต่อการกระจายอำนาจแบบมูลวิวัติ ประชาธิปไตยโดยตรง ระบบเทศบาล และการล้มเลิกรัฐ เงิน และเศรษฐกิจระบบตลาด[330]

กลุ่มการเมืองนี้เสนอให้มีระบบตลาดที่ประดิษฐ์ขึ้นมาเพื่อแก้ปัญหาของการคงไว้ซึ่งเสรีภาพที่ผู้บริโภคจะมีตัวเลือกได้ภายใต้ระบบเศรษฐกิจที่ไร้ตลาดและไร้เงิน โดยตลาดประดิษฐ์จะทำงานในทางเดียวกันกับตลาดแบบดั้งเดิม แต่ใช้เวาเชอร์แรงงาน (labour voucher) หรือสินเชื่อส่วนตัวแทนเงินแบบดั้งเดิม ในมุมมองของโฟโตปูโลส ระบบตลาดประดิษฐ์ "จะรับประกันเสรีภาพในการเลือกที่แท้จริง โดยไม่ก่อให้เกิดผลในทางลบซึ่งถูกเชื่อมโยงกับระบบตลาดจริง"[331]

อนาธิปไตยแบบก่อการกบฏ[แก้]

ดูบทความหลักที่: อนาธิปไตยแบบก่อการกบฏ

อนาธิปไตยแบบก่อการกบฏ (อังกฤษ: Insurrectionary anarchism) เป็นทฤษฎี หลักปฏิบัติ และแนวทางการเมืองสายปฏิวัติภายในขบวนการอนาธิปัตย์ซึ่งเน้นย้ำเรื่องของการกบฏภายในธรรมเนียมปฏิบัติแบบอนาธิปัตย์ โดยแนวคิดนี้วิจารณ์องค์กรแบบทางการอย่างสหภาพแรงงานและสหพันธ์ต่าง ๆ ซึ่งตั้งอยู่บนแบบแผนทางการเมืองและการประชุมสภาเป็นระยะ ๆ นักอนาธิปัตย์แบบก่อการกบฏนั้นสนับสนุนองค์กรแบบไม่เป็นทางการและองค์กรขนาดเล็กที่ตั้งอยู่บนกลุ่มเครือสหายแทน พวกเขาให้ความสำคัญกับการโจมตี การต่อสู้ระหว่างชนชั้นแบบถาวร และการปฏิเสธไม่ต่อรองหรือประนีประนอมกับศัตรูของชนชั้น

อนาธิปไตยแบบก่อการกบฏในปัจจุบันรับเอามุมมองและยุทธวิธีของลัทธิอนาธิปไตย-คอมมิวนิสต์ที่ต่อต้านองค์กรและคตินิยมผิดกฎหมาย (illegalism) มา[332] ระหว่าง ค.ศ. 1880 ถึง 1890 ด้วยมุมมองของการปฏิวัติจากภายใน โดยที่ต่อต้านขบวนการของคนทำงานที่เป็นทางการ ซึ่งในขณะนั้นยังอยู่ในกระบวนการก่อร่างขึ้นมา พวกเขาไม่ได้ต่อต้านเพียงแต่การต่อสู้ทางการเมืองและแบบรัฐนิยมเท่านั้น แต่ยังต่อต้านการนักหยุดงานที่เรียกร้องค่าจ้างหรือสิ่งอื่น ๆ หรือที่ถูกจัดตั้งโดยสหภาพแรงงานด้วย ทว่าพวกเขาไม่ได้ต่อต้านการนัดหยุดงานแบบดื้อ ๆ แต่พวกเขาต่อต้านสหภาพแรงงานและการต่อสู้ให้ได้มาซึ่งชั่วโมงทำงานแปดชั่วโมงต่อวัน แนวทางต่อต้านการปฏิรูปนี้มาพร้อมกับแนวทางต่อต้านองค์กร และเหล่าพลพรรคก็ได้ประกาศว่าพวกเขาเห็นชอบกับการปลุกปั่นท่ามกลางกลุ่มคนว่างงานให้เวนคืนอาหารและสิ่งของอื่น ๆ ให้นัดหยุดงานเวนคืน และในบางกรณีให้ เรียกร้องคืนรายบุคคล หรือให้กระทำการก่อการร้าย[333] การกลับคืนมาของแนวคิดเช่นนี้เกิดขึ้นภายใต้เงื่อนไขที่ประหลาดของประเทศอิตาลีและประเทศกรีซหลังสงคราม[334]

ลัทธิมากอนและลัทธิซาปาตาใหม่[แก้]

ดูบทความหลักที่: ลัทธิมากอน และ ลัทธิซาปาตาใหม่

กองทัพปลดปล่อยแห่งชาติซาปาติสตา (EZLN) หรือมักถูกเรียกว่า ซาปาติสตา เป็นกลุ่มฝ่ายซ้ายสายมูลวิวัติที่มีฐานที่มั่นในรัฐเชียปัส รัฐใต้สุดของประเทศเม็กซิโก ตั้งแต่ ค.ศ. 1994 เป็นต้นมา กลุ่มนี้ได้อยู่ในภาวะสงครามกับรัฐเม็กซิโก แต่สงครามนี้ส่วนใหญ่ไม่รุนแรง และเป็นการตั้งรับการบุกรุกเข้ามาในรัฐเชียปัสของกองทัพ, กำลังกึ่งทหาร และบรรษัทต่าง ๆ ฐานทางสังคมส่วนใหญ่เป็นชนพื้นเมือง (Indigenous peoples of Mexico) ในพื้นที่ชนบท แต่ก็มีผู้สนับสนุนบางส่วนในพื้นที่เขตเมืองและนานาชาติ อดีตโฆษกของกลุ่มคือรองผู้บัญชาการมาร์โกส (Subcomandante Marcos) (เป็นที่รู้จักในอีกชื่อว่า เดเลกาโดเซโร (Delegado Cero) ซึ่งเกี่ยวข้องกับขบวนการลาโอตรากัมปัญญา (The Other Campaign)) ต่างจากโฆษกซาปาติสตาคนอื่น ๆ มาร์โกสไม่ได้เป็นชาวมายา (Maya peoples) พื้นเมือง ตั้งแต่เดือนธันวาคม ค.ศ. 1994 เป็นต้นมา พวกซาปาติสตาได้ทยอยก่อตั้งเทศบาลปกครองตนเองจำนวนหนึ่งชื่อว่าเทศบาลปกครองตนเองกบฏซาปาติสตา (Rebel Zapatista Autonomous Municipalities; MAREZ) ในเทศบาลเหล่านี้มีสภาของตัวแทนท้องถิ่นซึ่งประกอบขึ้นเป็น ฆุนตัส เด บูเอน โกบิเอร์โน หรือสภาแห่งรัฐบาลที่ดี (JBGs) เทศบาลเหล่านั้นไม่ได้รับการยอมรับโดยรัฐบาลของรัฐหรือสหพันธรัฐ และดูแลแผนงานชุมชนท้องถิ่นด้านอาหาร สุขภาพ และการศึกษา รวมไปถึงการเก็บภาษี การจัดตั้งทางการเมืองของ EZLN เกิดขึ้นเป็นสองระยะซึ่งมีชื่อว่า อากวสกาลิเอนเตส (Aguascalientes) และ การาโกเลส (Caracoles)

ชื่อของกลุ่มมาจาก เอมิเลียโน ซาปาตา (นักปฏิรูปเกษตรกรรมและผู้บัญชาการกองทัพปลดปล่อยภาคใต้ (Liberation Army of the South) ในช่วงการปฏิวัติเม็กซิโก) และมองว่าตนเป็นทายาททางอุดมการณ์ของเขา แต่เดิม ซาปาติสตา หมายถึงสมาชิกของขบวนการกองโจรสายปฏิวัติซึ่งถูกก่อตั้งโดยซาปาตาใน ค.ศ. 1910 กองทัพปลดปล่อยภาคใต้ของเขา (Ejército Libertador del Sur) ได้ต่อสู้เพื่อการจัดสรรที่ดินเกษตรกรรมใหม่ในการปฏิวัติเม็กซิโก ซาปาตากับกองกำลังและพันธมิตรของเขา ได้แก่ ปันโช บิยา (Pancho Villa) ได้ต่อสู้เพื่อการปฏิรูปเกษตรกรรมในประเทศเม็กซิโก โดยเฉพาะอย่างยิ่ง พวกเขาต้องการสถาปนาสิทธิในที่ดินของชุมชนสำหรับประชากรพื้นเมืองในเม็กซิโก ซึ่งส่วนใหญ่ได้เสียที่ดินให้กับอภิชนมั่งคั่งเชื้อสายยุโรป ซาปาตาได้รับอิทธิพลส่วนหนึ่งจากนักอนาธิปัตย์คนหนึ่งจากรัฐวาฮากานามว่า ริการ์โด โฟลเรส มากอน (Ricardo Flores Magón) อิทธิพลของ โฟลเรส มากอน ต่อซาปาตาเห็นได้จากแผนการอายาลา (Plan of Ayala) ของซาปาติสตา และเห็นได้ชัดยิ่งกว่าในคำขวัญของพวกเขา (แต่ซาปาตาไม่เคยใช้คำขวัญนี้) ว่า ติเอร์รา อี ลิเบร์ตัด (Tierra y libertad) หรือ "แผ่นดินและเสรีภาพ" ซึ่งเป็นชื่อและคติบทของงานที่โด่งดังที่สุดของ โฟลเรส มากอน ซาปาตาได้รู้จักกับอนาธิปไตยผ่านทางครูโรงเรียนท้องถิ่น โอติลิโอ มอนตัญโญ ซันเชซ (Otilio Montaño Sánchez) ซึ่งต่อมาเป็นนายพลในกองทัพของซาปาตาและถูกประหารชีวิตในวันที่ 17 พฤษภาคม ค.ศ. 1917 เขาได้แนะนำให้ซาปาตาได้รู้จักงานของ ปิออตร์ โครปอตกิน และ โฟลเรส มากอน ในช่วงเวลาเดียวกันที่ซาปาตาได้เฝ้าดูและเริ่มมีส่วนร่วมในการต่อสู้เพื่อที่ดินของไพร่ชาวนา

ในหมู่บ้าน EZLN เกือบทุกแห่งจะมีจิตรกรรมฝาผนังซึ่งแสดงภาพของซาปาตา, เช เกบารา และรองผู้บัญชาการมาร์โกสในฐานะที่เป็นบุคคลซึ่งสร้างแรงบันดาลใจ[335] อุดมการณ์ของขบวนการซาปาติสตา ลัทธิซาปาตา (Zapatismo) สังเคราะห์มาจากหลักปฏิบัติมายันดั้งเดิมกับองค์ประกอบต่าง ๆ ของสังคมนิยมแบบอิสรนิยม อนาธิปไตย[336][337] และลัทธิมากซ์[338] อิทธิพลทางประวัติศาสตร์ของนักอนาธิปัตย์ชาวเม็กซิกัน (Anarchism in Mexico) และนักสังคมนิยมละตินอเมริกันหลายคนนั้นเห็นได้ชัดในลัทธิซาปาตา และจุดยืนของรองผู้บัญชาการมาร์โกสก็ได้เพิ่มองค์ประกอบที่ชัดเจนจากลัทธิมากซ์เข้าไปในขบวนการเคลื่อนไหวหากอิงตาม เดอะนิวยอร์กไทมส์[339] คำขวัญของซาปาติสตาอันหนึ่งมีความบรรสานกับแนวคิดของระบบร่วมด้วยช่วยกัน: "สำหรับทุกคน ทุกอย่าง สำหรับพวกเรา ไม่มี" (Para todos, todo. Para nosotros, nada)

อนาธิปไตยระบบตลาด[แก้]

ดูบทความหลักที่: อนาธิปไตยตลาดเสรี

อนาธิปไตยระบบตลาด (อังกฤษ: Market anarchism) เป็นรูปแบบแบบอิสรนิยมฝ่ายซ้ายและแบบอนาธิปไตยแบบปัจเจก[340] ของแนวคิดสังคมนิยมอิสรนิยม[50][341] ซึ่งมีความสัมพันธ์กับ เควิน คาร์สัน,[342][343] รอเดอริก ที. ลอง (Roderick T. Long),[344] ชาลส์ ดับเบิลยู. จอห์นสัน (Charles W. Johnson),[345] ซามูเอล เอ็ดเวิร์ด คองกิน ที่สาม (Samuel Edward Konkin III),[346] คริส แมทธิว ชาบาร์รา (Chris Matthew Sciabarra)[347] และ แกรี ชาร์ติเย (Gary Chartier)[348] ซึ่งเน้นย้ำคุณค่าของระบบตลาดที่เสรีแบบสุดโต่ง โดยเรียกว่าตลาดที่ถูกปลดปล่อย (freed market) เพื่อแยกพวกเขาออกจากแนวคิดทั่วไปอีกแบบหนึ่งซึ่งนักอิสรนิยมเหล่านี้เชื่อว่าเต็มไปด้วยอภิสิทธิ์แบบทุนนิยมและรัฐนิยม[349] พวกเขาถูกเรียกว่านักอนาธิปัตย์ระบบตลาดปีกซ้าย[350] หรือนักอิสรนิยมฝ่ายซ้ายอิงระบบตลาด[351] ผู้ที่สนับสนุนแนวทางนี้ยึดมั่นในมโนคติเสรีนิยมแบบคลาสสิกว่าด้วยสิทธิแห่งตนและตลาดเสรี และในขณะเดียวกันก็ยืนยันว่าเมื่อพูดถึงข้อสรุปเชิงตรรกะจากแนวคดิเหล่านี้ แนวคิดเหล่านี้จะสนับสนุนจุดยืนทางเศรษฐศาสตร์ที่ต่อต้านทุนนิยม[340][352][353] ต่อต้านบรรษัทนิยม (Anti-corporate activism), ต่อต้านลำดับชั้น และสนับสนุนแรงงาน นโยบายต่างประเทศที่ต่อต้านจักรวรรดินิยม (anti-imperialism) และมุมมองเกี่ยวกับประเด็นทางสังคมและวัฒนธรรม อาทิ สถานะเพศ เพศสภาพ และเชื้อชาติ แบบเสรีนิยมหรือแบบมูลวิวัติ

ประวัติศาสตร์ของอิสรนิยมฝ่ายซ้ายอิงระบบตลาด บางครั้งเรียกว่าอนาธิปไตยระบบตลายปีกซ้าย[347] มีส่วนทับซ้อนในระดับหนึ่งกับประวัติศาสตร์ของอิสรนิยมฝ่ายซ้ายสำนักสไตเนอร์-แวเลินไทน์ (Steiner–Vallentyne left-libertarianism) เพราะรากฐานของธรรมเนียมการเมืองนี้ถูกวางโครงร่างไว้ในหนังสือ เดอะออริจินส์ออฟเลฟต์-ลิเอบร์ทาเรียนนิสซึม (The Origins of Left-Libertarianism)[354] อิสรนิยมฝ่ายซ้ายแบบคาร์สัน ลอง มีรากฐานในคติความช่วยเหลือซึ่งกันและกันจากคริสต์ศตวรรษที่ 19 และในงานของบุคคลอย่าง ทอมัส ฮอดจ์สกิน (Thomas Hodgskin) และนักอนาธิปัตย์แบบปัจเจก เบนจามิน ทักเกอร์ กับ ไลแซนเดอร์ สปูนเนอร์ (Lysander Spooner) นอกเหนือจากกรณียกเว้นที่เป็นที่รู้จัก นักอิสรนิยมอิงตลาดหลังจากทักเกอร์มักเป็นพันธมิตรกับการเมืองฝ่ายขวา ในขณะที่ในคริสต์ทศวรรษ 1960 ความสัมพันธ์ของนักอิสรนิยมกับฝ่ายซ้ายใหม่มีความเฟื่องฟู ซึ่งปูทางให้กับอนาธิปไตยระบบตลาดปีกซ้ายในสมัยใหม่[355] ต่างจากอิสรนิยมฝ่ายขวา ผู้สนับสนุนระบบตลาดเสรีฝ่ายซ้ายเชื่อว่าไม่ว่าจะเป็นการอ้างสิทธิหรือการผสมผสานแรงงาน (Labor theory of property) เข้ากับทรัพยากรธรรมชาตินั้นก็ไม่เพียงพอสำหรับการสรรค์สร้างสิทธิในทรัพย์สินส่วนบุคคลที่สมบูรณ์[356][357] และกล่าวยืนยันว่าทรัพยากรธรรมชาติ (ที่ดิน น้ำมัน ทองคำ และต้นไม้) ควรที่จะถูกถือไว้ในรูปแบบที่เสมอภาค (egalitarianism) ไม่ว่าจะเป็นการให้มันไม่มีเจ้าของหรือให้เป็นของส่วนรวม[357]

การทำให้กลายเป็นคอมมิวนิสต์[แก้]

การทำให้กลายเป็นคอมมิวนิสต์เป็นทฤษฎีคอมมิวนิสต์ร่วมสมัยซึ่งเป็น "การผสมผสานของอนาธิปไตยแบบก่อการกบฏ กระแสและกลุ่มการเมืองคอมมิวนิสต์ซ้ายจัด หลังอัตตาณัตินิยม ต่อต้านการเมือง อย่างเช่นกลุ่มคณะกรรมการล่องหน (The Invisible Committee) และยังรวมไปถึงกระแสการเมือง 'ที่ทำให้กลายเป็นคอมมิวนิสต์' อย่างชัดเจนยิ่งกว่า อย่างเช่น เตโอรีกอมูว์นิสต์ และวารสาร เอ็นด์โนตส์ (Endnotes) แน่นอนว่าใจกลางของคำคือคำว่าลัทธิคอมมิวนิสต์ และการเคลื่อนย้ายไปหาการทำให้กลายเป็นคอมมิวนิสต์ก็เป็นการบอกว่า คือลัทธิคอมมิวนิสต์ในฐานะของกิจกรรมและกระบวนการจำพวกหนึ่ง"[358]

ความเชื่อมโยงระหว่างคำว่าการทำให้กลายเป็นคอมมิวนิสต์กับกลุ่มที่เรียกตนว่าฝ่ายซ้ายจัดได้ก่อตัวขึ้นในประเทศฝรั่งเศสในคริสต์ทศวรรษ 1970 ซึ่งจากที่อธิบายถึงการเปลี่ยนผ่านไปยังลัทธิคอมมิวนิสต์ในระยะที่สูงขึ้น กลายเป็นวิสัยทัศน์ของการปฏิวัติคอมมิวนิสต์เสียเองเลย ในใบปลิวจาก ค.ศ. 1975 อะเวิลด์วิทเอาต์มันนี (A World Without Money) ได้มีกล่าวไว้ว่า: "การก่อการกบฏและการทำให้กลายเป็นคอมมิวนิสต์นั้นเชื่อมโยงกันอย่างใกล้ชิด ไม่มีทางเลยที่จะมีการก่อการกบฏขึ้นเป็นอย่างแรก แล้วด้วยอานิสงค์ของการก่อการกบฏนั้นก็จะทำให้ความเป็นจริงทางสังคมแปลงสภาพไป กระบวนการของการก่อการกบฏดึงเอาพลังอำนาจของมันจากการทำให้กลายเป็นคอมมิวนิสต์นั่นเอง"[359] คำนี้ยังถูกใช้ในความหมายนี้ในประเทศฝรั่งเศสในปัจจุบัน และได้แพร่กระจายมายังภาษาอังกฤษอันเนื่องมาจางานแปลเอกสารของ ฌีล โดเว (Gilles Dauvé) และ เตโอรีกอมูว์นิสต์ ซึ่งเป็นส่วนสำคัญสองส่วนในกลุ่มการเมืองนี้ โดเวได้พยายามร่วมกับนักคอมมิวนิสต์ฝ่ายซ้ายคนอื่น ๆ ได้แก่ ฟร็องซัว มาร์แต็ง (François Martin) และ คาร์ล เนชิจ (Karl Nesic) ที่จะผสมผสาน วิพากษ์ และพัฒนากระแสการเมืองคอมมิวนิสต์ฝ่ายซ้ายต่าง ๆ ที่โดดเด่นที่สุดคือขบวนการอิตาลีซึ่งมีความสัมพันธ์กับ อามาเดโอ บอร์ดีกา (และวารสาร แอ็งวารีย็องส์ (Invariance (magazine))) ลัทธิคอมมิวนิสต์แบบองค์คณะนิยมเยอรมันและดัตช์ กับจุดยืนต่าง ๆ ในฝรั่งเศสไม่ว่าจะเป็นซอซียาลิสมูบาร์บารีและองค์การสถานการณ์นิยมสากล[360]

ในช่วงปลายคริสต์ทศวรรษ 1990 ได้มีการพัฒนาความหมายที่ใกล้เคียงแต่ไม่เหมือนกันของคำว่าการทำให้กลายเป็นคอมมิวนิสต์ขึ้นโดยกลุ่มหลังสถานการณ์นิยมชาวฝรั่งเศสนามว่าตีกูน (Tiqqun) เพื่อให้สอดคล้องกับกลุ่มซ้ายจัดรุ่นก่อน ๆ พวกเขา กลุ่มตีกูนให้ความสำคัญกับคำว่าลัทธิคอมมิวนิสต์ในความหมายที่เป็นกระบวนการฉับพลันมากกว่าที่จะเป็นเป้าหมายระยะยาว แต่สำหรับกลุ่มมันไม่ได้มีความหมายเดียวกันกับคำว่าการปฏฺวัติ ซึ่งถือว่าเป็นเหตุการณ์ทางประวัติศาสตร์ แต่กลับกลายเป็นกิจกรรมที่หลากหลายซึ่งถูกระบุว่าเป็นกิจกรรมซึ่งโดยปกติจะเข้าใจว่าเป็นกิจกรรมก่อนการปฏิวัติ อาทิการจับจองพื้นที่และจัดตั้งคอมมูน หรือแค่เพียงการแบ่งปันกัน[361] จากมุมมองซ้ายจัด การเมืองของการ "ลาออก" (dropping out) หรือเรียกตามกลุ่มตีกูน การ "ทอดทิ้ง" (desertion) เช่นนี้ นั่นคือการจัดตั้งพื้นที่และปฏิบัติการซึ่งดำเนินไปโดยเป็นอิสระในบางส่วนจากระบบทุนนิยม โดยทั่วไปจะถูกเมินเฉยว่าเป็นความไร้เดียงสาหรือเป็นพวกปฏิกิริยา[362][363] อันเนื่องมาจากความโด่งดังของงานที่เกี่ยวข้องกับกลุ่มอย่าง คอล (Call) และ เดอะคัมมิงอินเซอเรกชัน (The Coming Insurrection) ในหมู่นักอนาธิปัตย์อเมริกัน ความหมายของคำว่า "การทำให้กลายเป็นคอมมิวนิสต์" ของกลุ่มตีกูนจึงถูกนำมาใช้ในแถลงการณ์ของนักก่อการกบฏและนักอนาธิปัตย์อเมริกัน ตัวอย่างที่โด่งดังเช่นในขบวนการนักเรียนในรัฐแคลิฟอร์เนียระหว่าง ค.ศ. 2009-2010 (2009 California college tuition hike protests)[364]

สังคมนิยมแบบอิสรนิยมร่วมสมัย[แก้]

ขบวนการออคคิวพาย (Occupy movement) ที่เกิดขึ้นทั่วโลกถูกกล่าวว่ามีหลักการแบบสังคมนิยมแบบอิสรนิยมที่ชัดเจน

ระลอกของความสนใจของผู้คนในสังคมนิยมแบบอิสรนิยมได้เกิดขึ้นในชาติตะวันตกระหว่างคริสต์ทศวรรษ 1960 และ 1970[365] ลัทธิอนาธิปไตยได้ส่งอิทธิพลต่อวัฒนธรรมต่อต้านในคริสต์ทศวรรษ 1960 (Counterculture of the 1960s)[366][367][368] และนักอนาธิปัตย์ได้มีส่วนร่วมอย่างแข็งขันในการประท้วงของนักเรียนและกรรมกรในช่วงปลายคริสต์ทศวรรษ 1960 (Protests of 1968)[369] ใน ค.ศ. 1968 องค์การสหพันธ์อนาธิปไตยสากล (International of Anarchist Federations) ได้ถูกก่อตั้งขึ้นระหว่างการประชุมร่วมอนาธิปัตย์ระหว่างประเทศซึ่งจัดขึ้นที่เมืองการ์รารา (Carrara) โดยสหพันธ์ซึ่งมีอยู่แล้วในทวีปยุโรปสามองค์การคือสหพันธ์อนาธิปไตยในฝรั่งเศส สหพันธ์อนาธิปไตยอิตาลี (Italian Anarchist Federation) และสหพันธ์อนาธิปไตยไอบีเรีย และยังมีสหพันธ์อนาธิปไตยบัลแกเรียซึ่งพลัดถิ่นอยู่ในฝรั่งเศส[370][371][372] การก่อการกำเริบในความไม่สงบในประเทศฝรั่งเศส พฤษภาคม ค.ศ. 1968 ก็นำไปสู่ความสนใจระลอกใหม่ในแนวคิดแบบคอมมิวนิสต์ฝ่ายซ้าย กลุ่มคอมมิวนิสต์ฝ่ายซ้ายขนาดเล็กได้ถือกำเนิดขึ้นรอบโลก โดยส่วนใหญ่เกิดขึ้นในประเทศทุนนิยมชั้นนำ การประชุมร่วมลำดับหนึ่งของฝ่ายซ้ายคอมมิวนิสต์ซึ่งเริ่มใน ค.ศ. 1976 ซึ่งมีจุดมุ่งหมายที่จะส่งเสริมการพูดคุยข้ามแนวทางการเมืองและรหว่างประเทศ แต่พวกนี้ก็ค่อย ๆ หมดไปในคริสต์ทศวรรษ 1980 โดยไม่ได้เพิ่มบทบาทของขบวนการหรือเอกภาพของแนวคิดเลย[373] กลุ่มคอมมิวนิสต์ฝ่ายซ้ายซึ่งมีอยู่ในปัจจุบัน (List of left-wing internationals) ที่โดดเด่นได้แก่พรรคคอมมิวนิสต์สากล (International Communist Party), กระแสคอมมิวนิสต์สากล (International Communist Current) และกลุ่มคอมมิวนิสต์สากล (Internationalist Communist Tendency) วิกฤตการณ์ที่อยู่อาศัยและการจ้างงานในส่วนใหญ่ของทวีปยุโรปตะวันตกได้นำไปสู่การก่อตั้งคอมมูนและขบวนการผู้จับจองอย่างเช่นที่เกิดขึ้นในเมืองบาร์เซโลนา ประเทศสเปน ส่วนในประเทศเดนมาร์ก ผู้จับจองได้เข้ายึดฐานทัพที่ไม่ถูกใช้แล้วและสถาปนาชุมชนอิสระคริสเตียะเนีย (Freetown Christiania) ขึ้นเป็นเป็นชุมชนปกครองตนเองในใจกลางเมืองโคเปนเฮเกน

ใกล้ ๆ เวลาเริ่มต้นคริสต์ศตวรรษที่ 21 สังคมนิยมแบบอิสรนิยมเริ่มเป็นที่นิยมและมีอิทธิพลมากขึ้นในฐานะที่เป็นส่วนหนึ่งของขบวนการต่อต้านสงคราม (Anti-war movement), ต่อต้านทุนนิยม และขบวนการต่อต้านโลกาภิวัตน์[374] นักอนาธิปัตย์กลายเป็นที่รู้จักจากการมีส่วนร่วมในการประท้วงต่อต้านการประชุมขององค์การการค้าโลก (WTO), กลุ่ม 8 (G8) และสภาเศรษฐกิจโลก (WEF) กลุ่มอนาธิปัตย์บางกลุ่มที่การประท้วงเหล่านี้ได้เข้าร่วมการจลาจล การทำลายทรัพย์สิน และการเผชิญหน้ากับตำรวจที่รุนแรง การกระทำเหล่านี้ตกผลึกจากกลุ่มแกนนำนิรนามเฉพาะกิจที่ไร้ผู้นำที่เรียกว่ากลุ่มดำ (black bloc) ยุทธวิธีการรวมตัวอื่น ๆ ซึ่งได้ถูกริเริ่มในช่วงเวลานี้ได้แก่วัฒนธรรมความมั่นคง (security culture), กลุ่มเครือสหาย และการใช้สอยเทคโนโลยีแบบกระจายศูนย์เช่นอินเทอร์เน็ต[374] เหตุการณ์สำคัญในช่วงเวลานี้เหตุการณ์หนึ่งคือการประจันหน้ากันที่การประท้วงองค์การการค้าโลกในซีแอตเทิล พ.ศ. 2542 (1999 Seattle WTO protests)[374] ในมุมมองของนักวิชาการอนาธิปัตย์ชาวอังกฤษ ไซมอน คริตช์ลีย์ (Simon Critchley) "อนาธิปไตยร่วมสมัยสามารถมองได้ว่าเป็นบทวิจารณ์ที่ทรงพลังของอิสรนิยมเทียบของเสรีนิยมใหม่ร่วมสมัย" และ "อาจบอกได้ว่าอนาธิปไตยร่วมสมัยนั้นเกี่ยวกับความรับผิดชอบ ไม่ว่าจะเป็นทางเพศ ทางสิ่งแวดล้อม หรือทางเศรษฐกิจสังคม มันหลั่งไหลมาจากประสบการณ์ของความรู้สึกผิดชอบชั่วดีเกี่ยวกับวิธีการนานาชนิดซึ่งฝั่งตะวันตกใช้ทำลายล้างที่เหลือ มันเป็นความโกรธแค้นต่อความเหลื่อมล้ำ ความยากจน และการละเมิดสิทธิที่กำลังถ่างออก ซึ่งสมผัสได้แม้ในท้องถิ่นหรือทั่วโลก"[375] นี่ยังอาจถูกกระตุ้นโดย "การล่มสลายของ 'สังคมนิยมที่ดำรงอยู่จริง' (Real socialism) และการยอมจำนนต่อเสรีนิยมใหม่ของประชาธิปไตยสังคมนิยมในตะวันตก"[376]

สหพันธ์อนาธิปัตย์สากลที่ดำรงอยู่ได้แก่องค์การสหพันธ์อนาธิปไตยสากล (IAF) สมาคมกรรมกรสากล (IWA-AIT) และสามัคคีอิสรนิยมสากล (International Libertarian Solidarity; ILS) ขบวนการอนาธิปัตย์จัดตั้งที่ใหญ่ที่สุดในปัจจุบันนั้นอยู่ในประเทศสเปน คือสมาพันธ์แรงงานทั่วไปสเปน (CGT) และ and the สมาพันธ์แรงงานแห่งชาติสเปน (CNT) สมาชิกของ CGT ถูกประมาณไว้ว่ามีอยู่ประมาณ 100,000 คนใน ค.ศ. 2003[377]

นักสังคมนิยมแบบอิสรนิยมในช่วงต้นคริสต์ศตวรรษที 21 ได้มีส่วนในขบวนการโลกาภิวัตน์ทางเลือก (alter-globalization) ขบวนการผู้จับจอง ศูนย์สังคม อินโฟชอป กลุ่มต้อต้านความยากจนได้แก่สหสัมพันธมิตรต่อต้านความยากจนออนแทรีโอ (Ontario Coalition Against Poverty) และฟูดนอตบอมบส์ (Food Not Bombs) ซึ่งก็มีดำเนินการอยู่ในประเทศไทยด้วย[378][379] สหภาพผู้เช่า (Leasehold estate) สหกรณ์เคหสถาน (housing cooperative) ชุมชนโดยเจตนาทั่วไปและชุมชนสมภาค (egalitarian communities) การรวมตัวต่อต้านการกีดกันทางเพศ การริเริ่มสื่อรากหญ้า (Community media) การดำเนินกิจกรรมทางคอมพิวเตอร์และสื่อดิจิทัล การทดลองเศรษฐศาสตร์แบบมีส่วนร่วม กลุ่มต่อต้านคตินิยมเชื้อชาติ (Anti-racism) และต่อต้านลัทธิฟาสซิสต์อย่างเช่นแอนไตเรสซิสต์แอกชัน (Anti-Racist Action) และแอนไตฟาสชิสต์แอกชัน (Anti-Fascist Action) กลุ่มนักกิจกรรมปกป้องสิทธิของคนเข้าเมืองและส่งเสริมการเคลื่อนไหวอย่างเสรีของผู้คนอย่างเช่นเครือข่ายโนบอร์เดอร์ (No Border network) สหกรณ์คนทำงาน (worker co-operative) กลุ่มศิลปินและกลุ่มวัฒนธรรมต่อต้าน และขบวนการสันติภาพ สังคมนิยมแบบอิสรนิยมไม่นานมานี้ได้มีบทบาทใหญ่ในขบวนการออคคิวพายที่เกิดขึ้นทั่วโลก[380] โดยเฉพาะอย่างยิ่งความสนใจของมันในประชาธิปไตยแบบมีส่วนร่วมโดยตรง

วารสารสังคมนิยมแบบอิสรนิยม[แก้]