ผลต่างระหว่างรุ่นของ "ภาษาผู้ไท"
บรรทัด 125: | บรรทัด 125: | ||
*เขา (เขาสัตว์) = เหา |
*เขา (เขาสัตว์) = เหา |
||
2. เสียงสระ "ใ" |
2. เสียงสระ "ใ" ออกเสียงเป็น "เออ" และสระ "ไ" บางคำก็ออกเสียงเป็น "เออ" เช่น |
||
{| class="wikitable" |
{| class="wikitable" |
||
|+ |
|+ |
||
!ภาษาไทย |
|||
! |
|||
!ภาษาภูไท |
|||
! |
|||
!ภาษาไทย |
|||
! |
|||
!ภาษาภูไท |
|||
! |
|||
!ภาษาไทย |
|||
!ภาษาภูไท |
|||
!ภาษาไทย |
|||
!ภาษาภูไท |
|||
!ภาษาไทย |
|||
!ภาษาภูไท |
|||
|- |
|- |
||
|ใกล้ |
|||
| |
|||
|''เค่อ'' |
|||
| |
|||
|ไหน (ไส "ลาว") |
|||
| |
|||
|''เซอ, ซิเลอ, เนอเฮอ'' |
|||
| |
|||
|ใต้ |
|||
|''เต้อ'' |
|||
|ใช้ |
|||
|''เซ้อ'' |
|||
|ใน |
|||
|''เนอ, เด้อ'' |
|||
|- |
|- |
||
|ใจ |
|||
| |
|||
|''เจ๋อ'' |
|||
| |
|||
|ใหม่อ |
|||
| |
|||
|''เมอ'' |
|||
| |
|||
|ไต |
|||
|''เต๋อ'' |
|||
|ใส่ |
|||
|''เซอ'' |
|||
|ให้ |
|||
|เห้อ |
|||
|- |
|- |
||
|ใคร (ไผ "ลาว") |
|||
| |
|||
|''เพอ'' |
|||
| |
|||
|ใหญ่ |
|||
|''เญอ'' |
|||
|บวม (ไค่ "ลาว") |
|||
|''เค้อ'' |
|||
|ใบ |
|||
|''เบ๋อ'' |
|||
| |
| |
||
| |
| |
รุ่นแก้ไขเมื่อ 22:46, 22 มิถุนายน 2561
ผู้ไท | |
---|---|
ผู้ไท | |
ประเทศที่มีการพูด | ประเทศไทย, ประเทศลาว และ ประเทศเวียดนาม |
จำนวนผู้พูด | 866,000 คน (2545–2549)[1] |
ตระกูลภาษา | ขร้า-ไท
|
รหัสภาษา | |
ISO 639-3 | pht |
ภาษาผู้ไท (เขียน ผู้ไท หรือ ภูไท ก็มี) เป็นภาษาในตระกูลภาษาไท-กะได มีผู้พูดจำนวนไม่น้อย กระจัดกระจายในภูมิภาคต่าง ๆ ของไทยและลาว เข้าใจว่า ผู้พูดภาษาผู้ไทมีถิ่นที่อยู่ดั้งเดิมอยู่ในเมือง นาน้อยอ้อยหนู ยังเป็นที่ถกเถียงกันว่า เมืองนาน้อยอ้อยหนู อันเป็นถิ่นฐานดั้งเดิมของผู้ไทอยู่ทีไหน เพราะปัจจุบันมีเมืองนาน้อยอ้อยหนูอยู่ถึงสามแห่ง ตะวันออกเฉียงใต้ของเมืองแถงหรือปัจจุบันคือจังหวัดเดียนเบียนฟู แห่งที่สองอยู่ทางตะวันออกเฉียงใต้ของเมืองแถง และแห่งที่สามอยู่ห่างจากเมืองลอของเวียดนามประมาณ 10 กิโลเมตร
ชาวไทดำกับผู้ไทเป็นคนละชาติพันธุ์กัน นักภาษาศาสตร์สันนิษฐานว่า อพยพแยกจากกันนานกว่า 1,500 ปีมาแล้ว ในปัจจุบัน มีการจัดให้ภาษาผู้ไทเป็นกลุ่มย่อยของภาษาไทดำซึ่งไม่ถูกต้อง ผู้ไทอพยพจากนาน้อยอ้อยหนูไปอยู่ที่เมืองวังอ่างคำ ซึ่งคือเมืองวีระบุรี ในแขวงสุวรรณเขต ประเทศลาว ก่อนถูกกวาดต้อนมาอยู่ในดินแดนประเทศไทยเมื่อไม่ถึง 200 ปีมานี้ ผู้ไทที่ถูกกวาดต้อนมาอยู่ฝั่งขวาแม่น้ำโขงมีจำนวนไม่น้อย แต่ผู้ไทซึ่งอยู่ฝั่งซ้ายแม่น้ำโขงแถบแขวงสุวรรณเขตและแขวงคำม่วนในลาว ก็ยังมีประปราย มักจะเรียกผู้ไททั้งสองกลุ่มนี้รวม ๆ กันว่า "ผู้ไทสองฝั่งโขง"
ความเป็นมาของคน ภูไท หรือ ผู้ไท ในประเทศสยาม
เมื่อ พ.ศ. 2369 (ก่อนสงครามเจ้าอนุวงศ์) ตรงกับในสมัยรัชกาลที่ 3 ที่เมืองวังมีความวุ่นวาย เกิดขัดแย้งภายในของกลุ่มผู้ไท ที่มีเมืองวังเป็นเมืองหลัก ได้มีไทครัวผู้ไทกลุ่มหนึ่งอพยพมาตั้งบ้านเรือนในฝั่งขวาแม่น้ำโขง มีนายไพร่ รวม 2,648 คน ต่อมาได้ตั้งบ้านเรือนอยู่ที่บ้านบุ่งหวาย ในปี พ.ศ. 2373 พระสุนทรราชวงษา เจ้าเมืองยโสธร ว่าราชการอยู่เมืองนครพนมได้มีใบบอกขอตั้งบ้านดงหวายเป็นเมือง "เรณูนคร" ต่อมา ร.3 ได้ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ยกบ้านบุ่งหวาย ขึ้นเป็นเมืองเรณูนคร และตั้งให้ ท้าวสาย หัวหน้าไทครัวผู้ไทเป็น "พระแก้วโกมล" เจ้าเมืองเรณูนคร คนแรก ขึ้นเมืองนครพนม(ในปี พ.ศ. 2387) ซึ่งคือท้องที่ อำเภอเรณูนคร จังหวัดนครพนมในปัจจุบันนั่นเอง (จากเอกสาร ร.3 จ.ศ.1206 เลขที่ 58 หอสมุดแห่งชาติ) ชาวผู้ไทเรณูนคร จึงเป็นชาวผู้ไทกลุ่มแรกที่อพยพมาอยู่ในเขตฝั่งขวาแม่น้ำโขง(หมายถึงผู้ไทที่เป็นบรรพบุรุษของคนผู้ไทในอิสานปัจจุบัน)
หลังจากนั้น ในปี พ.ศ. 2387 ผู้ไทจากเมืองวังอ่างคำและเมืองใกล้เคียง ก็อพยพตามมา เป็นกลุ่มที่ 2 แล้วไปตั้งบ้านเรือนอยู่ที่ เมืองพรรณานิคม (จ.สกลนคร) เมืองคำชะอี หนองสูง (จ.มุกดาหาร) เมืองกุดสิมนารายณ์ (อ.เขาวงและ อ.กุฉินารายณ์ จ.กาฬสินธฺ์)ตามลำดับ โดยผู้ไทกลุ่มจากเมืองกะป๋องได้อพยพมาตั้งที่เมืองวาริชภูมิเป็นกลุ่มผู้ไทที่ข้ามมาฝั่งขวาแม่น้ำโขงกลุ่มล่าสุด (ในปี พ.ศ. 2420 ในสมัย รัชกาลที่ 5)
ผู้พูดภาษาผู้ไท
ผู้พูดภาษาผู้ไทในประเทศไทยส่วนใหญ่อยู่ในบริเวณจังหวัดภาคอีสานตอนบน ได้แก่ จังหวัดกาฬสินธุ์, นครพนม, มุกดาหาร, ร้อยเอ็ด และ สกลนคร นอกจากนี้ยังมีอีกเล็กน้อยในจังหวัดอุบลราชธานี,อุดรธานีและ จังหวัดบึงกาฬ โดยในแต่ละท้องถิ่นจะมีสำเนียงและคำศัพท์ที่แตกต่างกันไป
เป็นที่น่าสังเกตว่า ภาษาผู้ไทแม้จะกระจายอยู่ในแถบอีสาน แต่สำเนียงและคำศัพท์นั้นแตกต่างกับภาษาไทยถิ่นอีสานโดยทั่วไป อย่างไรก็ตามยังมีคำยืมจากภาษาถิ่นอีสานอยู่ในภาษาผู้ไทบ้างเป็นธรรมดา แต่ก็ไม่นับว่ามาก ด้วยเหตุนี้ ชาวไทยที่พูดภาษาอีสานจึงไม่สามารถพูดหรือฟังภาษาผู้ไทอย่างเข้าใจโดยตลอด แต่ชาวผู้ไทส่วนใหญ่มักจะพูดภาษาอีสานได้
ลักษณะของภาษา
ด้วยภาษาผู้ไทเป็นภาษาในตระกูลไท จึงมีลักษณะเด่นร่วมกับภาษาไทยด้วย นั่นคือ
- เป็นภาษาคำโดด มักเป็นคำพยางค์เดียว
- เป็นภาษามีวรรณยุกต์
- โครงสร้างประโยคแบบเดียวกัน คือ "ประธาน กริยา กรรม" (SVO) ไม่ผันรูปตามโครงสร้างประโยค
หน่วยเสียงในภาษาผู้ไท
หน่วยเสียงพยัญชนะ
ฐานกรณ์ของเสียง | ริมฝีปากล่าง-ฟัน | ริมฝีปาก | โคนฟัน | เพดานส่วนแข็ง | เพดานส่วนอ่อน | ช่วงคอ |
เสียงหยุด (ไม่ก้อง) | - | /ป/ | /ต/ | /จ/ | /ก/ | /อ/ |
เสียงหยุด (ไม่ก้อง) | - | /พ/ | /ท/ | - | /ค/ | - |
เสียงหยุด (ก้อง) | - | /บ/ | /ด/ | - | - | - |
เสียงขึ้นจมูก | - | /ม/ | /น/ | /ญ/ | /ง/ | - |
เสียงเสียดแทรก | /ฟ/ | /ซ/ | - | - | - | /ฮ/ |
กึ่งสระ | /ว/ | - | - | /ย/ | - | - |
ลอดข้างลิ้น | - | /ล/ | - | - | - | - |
ในที่นี้ขออธิบายเฉพาะเสียงที่แตกต่างจากภาษาไทยมาตรฐาน ดังนี้
- /ญ/ เป็นหน่วยเสียงพิเศษ ที่ไม่พบในภาษาไทยภาคกลาง และถิ่นใต้ แต่พบได้ในภาษาไทยถิ่นอีสาน และเหนือ ในภาษาผู้ไท บางถิ่นผู้พูดใช้เสียง /ญ/ โดยตลอด บางถิ่นใช้ทั้งเสียง /ญ/ และ /ย/ โดยไม่แยกแยะคำศัพท์
หน่วยเสียงสระ
ภาษาผู้ไทมีสระเดี่ยว 9 ตัว หรือ 18 ตัวหากนับสระเสียงยาวด้วย โดยทั่วไปมีลักษณะของเสียงคล้ายกับสระในภาษาไทยถิ่นอื่น (เพื่อความสะดวก ในที่นี้ใช้อักษร อ ประกอบสระ เพื่อให้เขียนง่าย)
สระสูง | อิ, อี | อึ, อือ | อุ, อู |
สระกลาง | เอะ, เอ | เออะ, เออ | โอะ, โอ |
สระต่ำ | แอะ,แอ | อะ,อา | เอาะ, ออ |
อนึ่ง ในภาษาผู้ไทมักไม่ใช้สระประสม นิยมใช้แต่สระเดี่ยวข้างบนนี้ ตัวอย่างคำที่ภาษาไทยกลางเป็นสระประสม แต่ภาษาผู้ไทใช้สระเดี่ยว
ภาษาไทยกลาง | ภาษาผู้ไท |
---|---|
/หัว/ | /โห/ |
/สวน/ | /โสน/ |
/เสีย/ | /เส/ |
/เขียน/ | /เขน/ |
/เสือ/ | /เสอ/ |
/มะเขือ/ | /มะเขอ/ |
หน่วยเสียงวรรณยุกต์
หน่วยเสียงวรรณยุกต์ในภาษาผู้ไท มีด้วยกัน 5 หน่วย
พยางค์
พยางค์ในภาษาผู้ไทมักจะเป็นพยางค์อย่างง่าย ดังนี้
- เมื่อประสมด้วยสระเสียงยาว พยางค์อาจประกอบด้วยพยัญชนะต้น สระ และวรรณยุกต์ โดยจะมีพยัญชนะตัวสะกดหรือไม่ก็ได้
- เมื่อมีสระเสียงสั้น พยางค์ประกอบด้วยพยัญชนะต้น สระ, วรรณยุกต์ และพยัญชนะตัวสะกด
ลักษณะเด่นของภาษาผู้ไท
ภาษาผู้ไทมีลักษณะเด่นอยู่ 6 ประการดังนี้ 1. พยัญชนะ "ข,ฆ" ในภาษาไทยและลาว-อีสานบางคำ ออกเสียงเป็น /h/ เช่น
*แขน = แหน *ขน = หน *ขา = หา *ฆ่า = ฮ่า *เข็ม = เห็ม *เข้า = เห้า *ข้าว = เห้า *ขาด = ฮาด *ขัน = หัน (ขันน็อต,ไก่ขัน) *ขอด (มัด) = ฮอด *เขี้ยว (ฟัน) = แห้ว *ขัดข้อง (ยุ่งเหยิง) = ห้อง *ของ = หอง *ขึ้น = หึ้น *เขียง = เหง *ข้อมือ,ข้อเท้า = ห้อมือ, ห้อตีน *ขาย = หาย *ขอน = หอน *เขา (เขาสัตว์) = เหา
2. เสียงสระ "ใ" ออกเสียงเป็น "เออ" และสระ "ไ" บางคำก็ออกเสียงเป็น "เออ" เช่น
ภาษาไทย | ภาษาภูไท | ภาษาไทย | ภาษาภูไท | ภาษาไทย | ภาษาภูไท | ภาษาไทย | ภาษาภูไท | ภาษาไทย | ภาษาภูไท |
---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|
ใกล้ | เค่อ | ไหน (ไส "ลาว") | เซอ, ซิเลอ, เนอเฮอ | ใต้ | เต้อ | ใช้ | เซ้อ | ใน | เนอ, เด้อ |
ใจ | เจ๋อ | ใหม่อ | เมอ | ไต | เต๋อ | ใส่ | เซอ | ให้ | เห้อ |
ใคร (ไผ "ลาว") | เพอ | ใหญ่ | เญอ | บวม (ไค่ "ลาว") | เค้อ | ใบ | เบ๋อ |
3. ภาษาผู้ไทใช้แต่เพียงสระเดี่ยว ไม่มีสระผสม เช่นเดียวกับภาษาลื้อ ไตขืน ไทใหญ่ เช่น
*ผัว = โผ *ห้วย = โห้ย *ตัว = โต,กะโต,ตนโต,คีง *ชั่ว = โซ้ *เมีย = เม *เมี่ยง = เม่ง *เขี่ย = เคว่ *เขียด = เควด *เขียน = เขน *เกวียน = เก๋น *เรียน = เฮน *เลี้ยว = เล้ว *มะเขือ = มะเขอ *เรือ = เฮอ *เหงื่อ = เฮอ *ชวน = โซน, โซ
4. คำที่ใช้สระเสียงยาวแล้วสะกดด้วย "ก" จะเปลี่ยนเป็นสระเสียงสั้น ไม่ออกเสียง "ก" เช่นเดียวกับภาษาไทถิ่นใต้ฝั่งตะวันตก และภาษาไทดำ ไทขาว พวน เช่น
*ลูก = ลุ๊ *บอก = เบ๊าะ *แตก = แต๊ะ *ตอก = เต๊าะ *ลอก = เล๊าะ, ลู่น *หนอก = เน๊าะ *ยาก = ญ๊ะ *ฟาก,ฝั่ง = ฟ๊ะ *หลีก = ลิ๊ *ปีก = ปิ๊ *ราก =ฮะ *กาก=ก๊ะ *อยาก = เย๊อะ *เลือก = เล๊อะ *น้ำเมือก = น้ำเม๊อะ *น้ำมูก = ขี้มุ *ผูก = พุ๊ *หยอก = เย๊าะ *หมอก = เม๊าะ *ดอกไม้ = เด๊าะไม้ *ศอก = เซ๊าะ
5. ภาษาผู้ไทใช้คำที่แสดงถึงการปฏิเสธว่า มี,หมี่ หรือเมื่อพูดเร็วก็จะออกเสียงเป็น มิ เช่นเดียวกับภาษาไทยโบราณ ภาษาจ้วง (bou,mi) และภาษาลื้อบางแห่ง เช่น
*ไม่ได้ = มีได้ *ไม่บอก = มีเบ๊าะ *ไม่รู้ = มีฮู้, มีฮู้จัก,มีจัก,จัก *ไม่เห็น = มีเห็น *ไม่พูดไม่จา = มีเว้ามีจา
6. คำที่วางท้ายประโยคคำถาม คือคำว่าอะไร,ทำไม,ไหน,ใคร,ใด-ไร,จะใช้แตกต่างจากภาษาไทยดังนี้
*อะไร = ผะเหลอ,ผิเหลอ,อันเลอ *ทำไม = เอ็ดเผอ *ไหน = ซิเลอ,สะเลอ,เนอเหอ *ใคร = เพอ-ผู้เลอ *ใด-ไร = เลอ *ไย, ทำไม = คือ, เลอ (ภาษาลาวว่า "สัง")
___(ข้อ 7 เป็นต้นไปเป็นเพียงปลีกย่อย)___
7. บางคำมีการออกเสียงต่างจากภาษาไทย ดังนี้
1) ค เป็น ซ เช่น คง = ซง, ครก = ซก 2) ด เป็น ล เช่น ใด = เลอ, สะดุ้ง (เครื่องมือหาปลาชนิดหนึ่ง) = จะลุ่ง 3) อะ เป็น เอะ เช่น มัน (หัวมัน) = เม็น, มันแกว = เม็นเพา-โหเอ็น, มันเทศ = เม็นแกว 4) เอะ เป็น อิ เช่น เล่น=ดิ้น, เด็กน้อย=ดิกน้อย 5) เอีย เป็น แอ เช่น เหี่ยว = แฮว, เขี้ยว = แห้ว, เหยี่ยว = แหลว, เตี้ย = แต๊, เขียว = แหว 6) สระเสียงสั้นในภาษาไทยบางคำกลายเป็นสระเสียงยาวในภาษาผู้ไท เช่น ลิง = ลีง, ก้อนหิน = มะขี้หีน, ผิงไฟ = ฝีงไฟ 7) อิ เป็น อึ เช่น กลิ่น = กึ้น คิด = คึด/ฮึด
8. คำเฉพาะถิ่น เป็นคำที่มีใช้เฉพาะในภาษาผู้ไท และอาจมีใช้ร่วมกับภาษาอื่นที่เคยมีวัฒนธรรมร่วมกัน เช่น
*ดวงตะวัน = ตะเง็น, โก๊ *ดวงเดือน = โต๊ต่าน, เดิ๋น, ต๊อ *ประตูหน้าต่าง = ปะตูบ่อง, ป่องเย่ม *ขี้โม้ = ขี้จะหาว *ขึ้นรา = ตึกเหนา *น้ำหม่าข้าว,น้ำส่งกลิ่นเหม็นเน่า = น้ำโม๊ะ *สวย = ซับ *ตระหนี่,ขี้เหนียว = อีด, คี่อีด, คี่ที *ประหยัด = ติ้กไต้ *หัวเข่า = โหโค้ย *ลูกอัณฑะ = มะขะหลำ *หัวใจ = มะหูเจอ,หูเจอ *ตาตุ่ม = ปอเผอะ,ปอมเผอะ *ท้ายทอย = ง้อนด้น *เอว = โซ่ง,กะโท้ย,แอว *ถ่านก่อไฟ = ก้อมี่ *พูดคุย,สนทนา = แอ่น *เกลี้ยกล่อม = โญะ, เญ๊า *หัน = ปิ่น, อวาย, ว้าย (ภาษาลาวว่า งวก, อ่วย) *ขอร้อง,วิงวอน = แอ่ว *กันนักกันหนา = กะดักกะด้อ *มาก,ยิ่ง = แฮง,กะดักกะด้อ-กะด้อ,หลาย *ไม่ใช่ = แต่ *จริง = เพิ้ง,แท้ *นึกว่า = ตื่อหวะ, กะเด๋วหวะ, เด๋วหวะ *พะวงใจ = ง้อ,คึดง้อ *อุทานไม่พอใจ = เยอ! เยอะ! *ไปโดยไม่หันกลับมา = ไปกิ่นๆ, ไปกี่ดี่ๆ * สั้น = สั้น, กิด, ขิ้น *ยาว = ญาว, สาง * ปิด = ปิด, อัด, ฮี, กึด, งับ *เปิด = เปิด, ไข, อ้า
อ้างอิง
- วิไลวรรณ ขนิษฐานันท์. ภาษาผู้ไท. โรงพิมพ์มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ กรุงเทพฯ, 2520.
- ธัญญลักษณ์ ไชยสุข มอลเลอร์รพ and Asger Mollerup: ภาษาผู้ไท เพื่อสุขภาพ - ผู้ไท-ไทย-อังกฤษ. 2556.
- ภาษาผู้ไท การศึกษาเปรียบเทียบภาษาผู้ไทในประเทศไทยและประเทศลาว
- Phutai Language : A comparative study of the Phutai in Thailand and Laos P.D.R.
- โครงการอนุรักษ์และฟื้นฟูคุณค่าของภาษาผู้ไท
- In Search for the Phutais
- Mo Yao : Phutai Healing
- About Some Linguistic Variations in Phu Tai
- ↑ ผู้ไท ที่ Ethnologue (18th ed., 2015) (ต้องสมัครสมาชิก)