สาธารณรัฐประชามานิตกัมพูชา

จากวิกิพีเดีย สารานุกรมเสรี
สาธารณรัฐประชามานิตกัมพูชา

សាធារណរដ្ឋប្រជាមានិតកម្ពុជា  (เขมร)
Cộng hòa Nhân dân Campuchia  (เวียดนาม)
2522–2532
คำขวัญឯករាជ្យ សន្តិភាព សេរីភាព សុភមង្គល[1]
"อิสรภาพ, สันติภาพ, เสรีภาพ, ความสุข"
เพลงชาติបទចម្រៀងនៃសាធារណរដ្ឋប្រជាមានិតកម្ពុជា
"เพลงชาติสาธารณรัฐประชามานิตกัมพูชา"
ที่ตั้งของสาธารณรัฐประชามานิตกัมพูชา
สถานะรัฐที่ยอมรับบางส่วน
รัฐหุ่นเชิดของและยึดครองโดยสาธารณรัฐสังคมนิยมเวียดนาม
เมืองหลวง
และเมืองใหญ่สุด
พนมเปญ
ภาษาราชการ
ศาสนา
รัฐฆราวาส[2][1]
การปกครองรัฐเดี่ยว ลัทธิมากซ์-เลนิน พรรคการเมืองเดียว สาธารณรัฐสังคมนิยม
เลขาธิการพรรค 
• 2522–2524
แปน โสวัณ
• 2524–2532
เฮง สัมริน
ประมุขแห่งรัฐ 
• 2522–2532
เฮง สัมริน
นายกรัฐมนตรี 
• 2524
แปน โสวัณ
• 2525–2527
จัน ซี
• 2528–2532
ฮุน เซน
สภานิติบัญญัติสภาผู้แทนราษฎร
ยุคประวัติศาสตร์สงครามเย็น
7 มกราคม 1979
• ก่อตั้ง
8 มกราคม พ.ศ. 2522
• รัฐธรรมนูญ
25 มิถุนายน พ.ศ. 2524
พ.ศ. 2528
• เปลี่ยนผ่าน
1 พฤษภาคม พ.ศ. 2532
ประชากร
• 2523
6,600,000[3]
สกุลเงิน
ขับรถด้านขวา
รหัสโทรศัพท์+855
ก่อนหน้า
ถัดไป
กัมพูชาประชาธิปไตย
รัฐกัมพูชา
ปัจจุบันเป็นส่วนหนึ่งของประเทศกัมพูชา
ประวัติศาสตร์กัมพูชา
นครวัด
ประวัติศาสตร์ยุคแรก
อาณาจักรฟูนาน (611–1093)
อาณาจักรเจนละ (1093–1345)
อาณาจักรพระนคร (1345–1974)
ยุคมืด
สมัยจตุมุข (1974–2068)
สมัยละแวก (2068–2136)
สมัยศรีสันธร (2136–2162)
สมัยอุดง (2162–2406)
ยุครัฐในอารักขา
ไทยและเวียดนาม
อาณานิคมฝรั่งเศส (2406–2496)
ส่วนหนึ่งของอินโดจีนฝรั่งเศส
ยุคญี่ปุ่นยึดครอง (2484–2489)
หลังได้รับเอกราช
สงครามกลางเมืองกัมพูชา
(2510–2518)
รัฐประหาร พ.ศ. 2513
สาธารณรัฐเขมร
สงครามเวียดนาม พ.ศ. 2513
ยุคเขมรแดง
(2518–2519)
สงครามกัมพูชา–เวียดนาม (2518–2532)
สาธารณรัฐประชามานิตกัมพูชา
(2522–2536)
การจัดการเลือกตั้งโดยสหประชาชาติ
ราชอาณาจักรกัมพูชา
(2536–ปัจจุบัน)
หลังการเลือกตั้ง พ.ศ. 2536

สาธารณรัฐประชามานิตกัมพูชา (เขมร: សាធារណរដ្ឋប្រជាមានិតកម្ពុជា สาธารณรฎฺฐบฺรชามานิตกมฺพุชา; อังกฤษ: People's Republic of Kampuchea: PRK) เป็นรัฐบาลที่จัดตั้งในกัมพูชาโดยแนวร่วมปลดปล่อย ซึ่งเป็นกลุ่มของกัมพูชาฝ่ายซ้ายที่อยู่ตรงข้ามกับกลุ่มของเขมรแดง ล้มล้างรัฐบาลกัมพูชาประชาธิปไตยของพล พต โดยร่วมมือกับกองทัพของเวียดนาม ทำให้เกิดการรุกรานเวียดนามของกัมพูชา เพื่อผลักดันกองทัพเขมรแดงออกไปจากพนมเปญ มีเวียดนามและสหภาพโซเวียตเป็นพันธมิตรที่สำคัญ

สาธารณรัฐประชามานิตกัมพูชาไม่ได้เป็นสมาชิกของสหประชาชาติเพราะไม่ได้รับการสนับสนุนจากจีน อังกฤษและสหรัฐอเมริกา ที่นั่งในสหประชาชาติของประเทศกัมพูชาในขณะนั้นเป็นของแนวร่วมเขมรสามฝ่ายที่จัดตั้งรัฐบาลผสมกัมพูชาประชาธิปไตย ซึ่งกลุ่มเขมรแดงของพล พตเข้าร่วมกับกลุ่มที่ไม่ใช่คอมมิวนิสต์อีก 2 กลุ่ม คือ กลุ่มของนโรดม สีหนุ และซอน ซาน อย่างไรก็ตาม สาธารณรัฐประชามานิตกัมพูชาได้ประกาศเป็นรัฐบาลของกัมพูชาระหว่าง พ.ศ. 2522-2536 โดยมีความสัมพันธ์กับต่างประเทศที่จำกัด

สาธารณรัฐประชามานิตกัมพูชาเปลี่ยนชื่อเป็นรัฐกัมพูชา (State of Cambodia: SOC) ในช่วงสี่ปีสุดท้าย เพื่อให้เกิดการยอมรับในระดับนานาชาติ[4] ในขณะเดียวกันได้เริ่มมีการเปลี่ยนแปลงระบบจากระบบรัฐเดียวไปสู่การฟื้นฟูราชอาณาจักรกัมพูชา สาธารณรัฐประชามานิตกัมพูชาเป็นรัฐคอมมิวนิสต์ ในช่วง พ.ศ. 2522 - 2534 โดยนิยมลัทธิมากซ์-เลนินแบบสหภาพโซเวียต การก่อตั้งสาธารณรัฐประชามานิตกัมพูชาเกิดขึ้นในช่วงที่ประเทศกำลังอ่อนแอ จากการทำลายล้างของระบอบเขมรแดง และเป็นรัฐหุ่นเชิดของเวียดนามที่เข้ามาแทรกแซงทางเศรษฐกิจ จนรัฐบาลของสาธารณรัฐประชามานิตกัมพูชาเข้มแข็ง[5] อย่างไรก็ตาม แม้ว่าเป็นรัฐที่ต้องอยู่อย่างโดดเดี่ยวแต่ก็ฟื้นฟูและสร้างชาติกัมพูชาได้ใหม่[6]

ภูมิหลัง[แก้]

จุดยืนของเขมรแดงในการต่อต้านเวียดนาม[แก้]

ในระยะเริ่มแรก พรรคคอมมิวนิสต์เวียดนามสนับสนุนกลุ่มเขมรแดงในการต่อต้านรัฐบาลสาธารณรัฐเขมรของนายพลลน นลระหว่าง พ.ศ. 2513 – 2518 แต่ไม่นานหลังจากเขมรแดงขึ้นครองอำนาจ ความขัดแย้งได้เริ่มขึ้นในวันที่ 1 พฤษภาคม พ.ศ. 2518 ทหารเขมรแดงบุกยึดเกาะฝูกว๊ก (Phu Quoc) และเกาะโท้เชา (Tho Chau) ฆ่าพลเรือนชาวเวียดนามไป 500 คน เวียดนามตอบโต้การยึดเกาะทั้งสองอย่างรุนแรง สุดท้ายสามารถเจรจากันได้[7]

การฆ่าชนกลุ่มน้อยชาวเวียดนามในกัมพูชาและการทำลายโบสถ์คาทอลิกของเวียดนามเกิดขึ้นตลอดช่วงที่ปกครองด้วยระบอบกัมพูชาประชาธิปไตย,[8] โดยเฉพาะในภาคตะวันออกตั้งแต่เดือนพฤษภาคม พ.ศ. 2518 ช่วงต้นปี พ.ศ. 2521 ผู้นำเวียดนามตัดสินใจสนับสนุนผู้ต่อต้านพล พตในกัมพูชา ในขณะที่เขมรแดงก็มีปัญหาทางด้านชายแดนกับเวียดนาม ในเดือนพฤษภาคม พ.ศ. 2521 เกิดการลุกฮือ นำโดยโส พิม ในภาคตะวันออกของกัมพูชา วิทยุพนมเปญประกาศว่า ถ้าทหารกัมพูชา 1 คนฆ่าชาวเวียดนามได้ 30 คน ทหารเพียง 2 ล้านคนก็เพียงพอที่จะฆ่าชาวเวียดนามได้ทั้งประเทศ และแสดงความต้องการที่จะยึดดินแดนสามเหลี่ยมปากแม่น้ำโขงคืนจากเวียดนาม ในเดือนพฤศจิกายน ผู้นำเขมรแดงที่นิยมเวียดนามคือวอน เว็ต[9]ก่อการรัฐประหารแต่ไม่สำเร็จ วอน เว็ตถูกจับและถูกประหารชีวิต.[10] มีการโจมตีตามแนวชายแดนกัมพูชา ทำให้ชาวเวียดนามและชาวกัมพูชาต้องลี้ภัยเข้าสู่เวียดนาม

แนวร่วมปลดปล่อย[แก้]

แนวร่วมปลดปล่อยชาติเขมรเป็นองค์กรที่มีบทบาทในการโค่นล้มอำนาจของเขมรแดงและก่อตั้งสาธารณรัฐประชามานิตกัมพูชา แนวร่วมนี้เป็นองค์กรผสมระหว่างผู้ลี้ภัยที่นิยมและไม่นิยมคอมมิวนิสต์ที่ต้องการโค่นล้มพล พตและสร้างชาติกัมพูชาขึ้นมาใหม่ ผู้นำขบวนการคือเฮง สัมรินและแปน โสวัณณ์ ประกาศก่อตั้งโดยวิทยุฮานอยเมื่อ 3 ธันวาคม พ.ศ. 2521 โดยเฮง สัมรินเป็นประธานาธิบดี โจรัน พอลลีเป็นรองประธานาธิบดี นอกจากนั้นเป็นกลุ่มเขมรอิสระที่นิยมเวียดมิญ[11]ซึ่งลี้ภัยไปอยู่เวียดนาม รส สมัย เลขาธิการทั่วไปของแนวร่วมเคยเป็นเจ้าหน้าที่ฝ่ายทหารในพรรคคอมมิวนิสต์กัมพูชา

รัฐบาลกัมพูชาประชาธิปไตยประกาศว่าแนวร่วมปลดปล่อยเป็นองค์กรทางการเมืองของเวียดนามที่มีชื่อเป็นเขมร เพราะสมาชิกหลักคืออดีตสมาชิกพรรคคอมมิวนิสต์กัมพูชาที่นิยมเวียดนาม[12]ซึ่งมีสหภาพโซเวียตหนุนหลังอีกทีหนึ่ง สมาชิกของแนวร่วมปลดปล่อยส่วนใหญ่เป็นเขมรฝ่ายซ้ายที่อยู่ตรงข้ามกับเขมรแดง

การรุกรานของเวียดนาม[แก้]

ผู้นำเวียดนามตัดสินใจครั้งสุดท้ายที่จะใช้กำลังทางทหารเมื่อ 22 ธันวาคม พ.ศ. 2521 กำลังทหารประมาณ 120,000 คน ได้รุกเข้าสู่กัมพูชาทางตะวันออกเฉียงใต้และยึดพนมเปญได้เมื่อ 7 มกราคม พ.ศ. 2522 กองทัพเขมรแดงที่พ่ายแพ้ได้ล่าถอยและเผายุ้งข้าวไปหมดทำให้เกิดความอดอยากในกัมพูชาไปจนถึงกลางปี พ.ศ. 2523.[13]

ในวันที่ 1 มกราคม พ.ศ. 2522 คณะกรรมการกลางของแนวร่วมปลดปล่อยประกาศนโยบายเร่งด่วนในการปลดปล่อยการปกครองของเขมรแดง อย่างแรกคือการสลายคอมมูนแบบเดิมและนำพระสงฆ์เข้ามามีบทบาทในชุมชน.[14] มีการจัดตั้งคณะกรรมการปกครองตนเองของประชาชน คณะกรรมการนี้เป็นหน่วยย่อยที่สุดของโครงสร้างการปกครองด้วยสภาประชาชนปฏิวัติกัมพูชาที่จัดตั้งขึ้นเมื่อ 8 มกราคม พ.ศ. 2522 ในฐานะศูนย์กลางการบริหารของสาธารณรัฐประชามานิตกัมพูชา และใช้ต่อมาจนถึง 27 มิถุนายน พ.ศ. 2524 จึงมีการร่างรัฐธรรมนูญใหม่ให้มีการเลือกตั้งสภารัฐมนตรี แปน โสวัณณ์ได้เป็นนายกรัฐมนตรี มีรองนายกรัฐมนตรี 3 คนคือ ฮุนเซน จัน ซี และเจีย สต

การสถาปนาสาธารณรัฐประชามานิตกัมพูชา (พ.ศ. 2522–2532)[แก้]

ในวันที่ 10 มกราคม พ.ศ. 2522 กองทัพเขมรแดงเป็นฝ่ายพ่ายแพ้และกองทัพเวียดนามเข้ายึดครองพนมเปญได้ แนวร่วมปลดปล่อยฯได้ประกาศจัดตั้งสาธารณรัฐประชามานิตกัมพูชา ซึ่งเป็นการปกครองที่นิยมโซเวียตได้รับการสนับสนุนจากกองทัพและที่ปรึกษาพลเรือนจากเวียดนาม การฆ่าล้างเผ่าพันธุ์ในกัมพูชายุติลง แต่จีนที่สนับสนุนเขมรแดงและสหรัฐต้องการให้ขับไล่เวียดนามออกไปจากกัมพูชา ทำให้เกิดปัญหากัมพูชาขึ้น[15]

นอกจากการสนับสนุนการรุกรานและการควบคุมของเวียดนามแล้ว รวมทั้งการสูญเสียเอกราชในระหว่างนี้[16] ระบอบใหม่ได้รับการยอมรับจากประชาชนที่หวาดกลัวเขมรแดง[17] แต่เมืองหลวงคือพนมเปญก็ต้องตกอยู่ในความว่างเปล่า เพราะทหารเวียดนามขนส่งสินค้ากลับไปเวียดนาม ภาพพจน์ด้านนี้ถูกนำไปเผยแพร่โดยฝ่ายต่อต้านสาธารณรัฐประชามานิตกัมพูชา[18] อย่างไรก็ตาม การคงอยู่ของกองทัพเวียดนามก็มีประโยชน์ในการบูรณะเมืองใหม่หลังจากถูกเขมรแดงทำลายไปโดยสิ้นเชิง[19]

สาธารณรัฐประชามานิตกัมพูชาเป็นรัฐคอมมิวนิสต์ ซึ่งสืบต่อการปฏิวัติสังคมนิยมโดยเขมรแดง เพียงแต่เขมรแดงใช้นโยบายแบบลัทธิเหมาและใช้ความรุนแรง แต่สาธารณรัฐประชามานิตกัมพูชาใช้การปฏิวัติสังคมนิยมตามแบบของสหภาพโซเวียตและโคเมคอน สหภาพโซเวียตได้จัดตั้งสาธารณรัฐประชามานิตกัมพูชาเป็นประเทศสังคมนิยมที่ยังไม่พัฒนา 1 ใน 6 ประเทศ[20] สาธารณรัฐประชามานิตกัมพูชาได้ยอมรับความหลากหลายของสังคมกัมพูชา ทั้งชาวไทย ชาวจาม ชาวเวียดนามและชนเผ่าทางตะวันออกเฉียงเหนือ ชาวจีนในกัมพูชาถูกมองว่าเป็นกลุ่มของศัตรูและอยู่ในความควบคุม การพูดภาษาจีนกลางและภาษาจีนแต้จิ๋วเป็นสิ่งต้องห้าม เช่นเดียวกับสมัยของพล พต[21] อย่างไรก็ตาม ความรุนแรงยังคงมีอยู่ในสาธารณรัฐประชามานิตกัมพูชา Rudolph Rummel ประมาณว่ามีอาชญากรรมที่ก่อโดยรัฐบาลจนมีผู้เสียชีวิตประมาณ 230,000 คนในช่วง พ.ศ. 2522 - 2530[22]

การฟื้นฟูวัฒนธรรมและศาสนา[แก้]

นักเรียนทุนแลกเปลี่ยนชาวเขมรที่เป็นตัวแทนของรัฐบาลสาธารณรัฐประชามานิตกัมพูชา Meak Chanthan และ Dima Yim (คนที่ 3 ยืนจากทางซ้าย) ที่เมือง แฟรงก์เฟิร์ต อัน เดอ โอเดอร์ (เยอรมนีตะวันออก) ในปี ค.ศ. 1986

ภารกิจที่สำคัญของสาธารณรัฐประชามานิตกัมพูชาคือการฟื้นฟูพุทธศาสนา มีการบูรณะวัด และให้พระสงฆ์เข้าจำพรรษา ในเดือนกันยายน พ.ศ. 2522 พระสงฆ์จำนวน 7 รูป เข้ามาจำพรรษาที่วัดอุณาโลมในกรุงพนมเปญอีกครั้ง และมีการบวชพระใหม่ในกัมพูชา ระหว่าง พ.ศ. 2522 – 2524 เริ่มจากในพนมเปญแล้วจึงกระจายไปยังจังหวัดต่าง ๆ มีการซ่อมแซมวัดมากกว่า 700 แห่ง จากวัดทั้งหมดราว 3,600 แห่งที่ถูกทำลายไปและมีการเฉลิมฉลองเทศกาลทางศาสนา[23] ปัญญาชนจำนวนมากถูกกำจัดไปในสมัยเขมรแดง ซึ่งเป็นอุปสรรคสำคัญในการฟื้นฟูประเทศ คนที่มีการศึกษาจำนวนมากหนีออกมาด้วยการเดินเท้า เข้าสู่ค่ายผู้อพยพตามแนวชายแดน แล้วจึงอพยพไปยังโลกตะวันตก[24] การบริหารของสาธารณรัฐประชามานิตกัมพูชาเป็นไปด้วยความยากลำบาก เพราะระบบต่าง ๆ ในประเทศถูกทำลายลงไปจนหมด ทุกสิ่งค่อย ๆ สร้างขึ้นมาใหม่อย่างช้า ๆ การขาดผู้มีความรู้และทักษะเป็นปัญหาสำคัญในการฟื้นฟูประเทศ

วัฒนธรรมของกัมพูชาฟื้นตัวขึ้นอย่างช้า ๆ โรงภาพยนตร์เปิดฉายอีกครั้ง ส่วนใหญ่มาจากเวียดนาม สหภาพโซเวียต และประเทศสังคมนิยมในยุโรปตะวันออก รวมทั้งภาพยนตร์จากอินเดีย ภาพยนตร์ที่ไม่เหมาะสมกับการปกครองระบอบโซเวียต เช่นภาพยนตร์จากฮ่องกงถูกห้ามฉาย นักถ่ายทำภาพยนตร์และนักแสดงจำนวนมากในช่วง พ.ศ. 2503 – 2513 ส่วนใหญ่ถูกฆ่าตายในสมัยเขมรแดงหรืออพยพออกไป ฟิล์มและสิ่งพิมพ์จำนวนมากถูกทำลาย ขโมย หรือสูญหายไป ที่เหลืออยู่ก็มีคุณภาพไม่ดี[25] อุตสาหกรรมภาพยนตร์ของกัมพูชาได้เริ่มฟื้นตัวขึ้นช้า ๆ

การโฆษณาชวนเชื่อ[แก้]

สาธารณรัฐประชามานิตกัมพูชาต้องมีการโฆษณาชวนเชื่ออย่างมากในการสร้างประเทศใหม่ ส่งเสริมความเป็นเอกภาพและสถาปนาระบอบการปกครองของตนขึ้นมา ผู้ที่รอดชีวิตจากสมัยเขมรแดงจะมีแต่ความหวาดกลัวและความไม่แน่นอนโดยเฉพาะการที่หวาดกลัวว่าเขมรแดงจะได้ครองอำนาจอีกครั้ง ชาวกัมพูชาส่วนใหญ่มีความหวาดกลัวในจิตใจและคิดว่าจะไม่รอดชีวิตถ้าเขมรแดงคืนสู่อำนาจอีก สาธารณรัฐประชามานิตกัมพูชาได้กระตุ้นให้ประชาชนปลดแอกตัวเองโดยการโค่นพล พตลงจากอำนาจ มีการแสดงหัวกะโหลกและกระดูก ภาพถ่ายและภาพวาดเกี่ยวกับความโหดร้ายของเขมรแดงเพื่อใช้ในการโฆษณาชวนเชื่อ มีการจัดพิพิธภัณฑ์การฆ่าล้างเผ่าพันธุ์ตวล แซลง ที่คุกตวล แซลงในสมัยกัมพูชาประชาธิปไตย มีการกำหนดวันแห่งความเกลียดชังเพื่อต่อต้านเขมรแดงและประกาศคำขวัญว่า “เราต้องทำทุกอย่างเพื่อป้องกันไม่ให้ยุคมืดของเขมรแดงกลับมาอีก”[26]

การฟื้นฟูใหม่[แก้]

ชาวกัมพูชามากกว่า 600,000 คนต้องอพยพออกจากเมืองในยุคเขมรแดงจนในเมืองว่างเปล่า หลังการรุกรานของเวียดนาม ชาวกัมพูชาที่เคยถูกกวาดต้อนมาอยู่ในคอมมูนเป็นอิสระและกลับไปสู่บ้านเดิมเพื่อตามหาครอบครัวและญาติสนิทที่พลัดพรากกันไป หลังจากระบบคอมมูนถูกยกเลิก ประชาชนจำนวนมากไม่มีอาชีพและไม่มีอาหารเพียงพอ ใช้เวลานานถึง 6 เดือนในการอพยพประชาชนกลับสู่พนมเปญ มีการซ่อมแซมระบบไฟฟ้า น้ำประปา สาธารณสุข ซ่อมแซมถนนและกำจัดขยะ

มีการทำลายระบบทางสัมอย่างมากในปีศูนย์ (พ.ศ. 2518 – 2522) การเริ่มต้นใหม่ของกัมพูชาเป็นไปอย่างยากลำบาก ไม่มีตำรวจ ไม่มีหนังสือพิมพ์ ไม่มีโรงพยาบาล ไม่มีไปรษณีย์ และระบบโทรศัพท์ ไม่มีกฎหมายและเครือข่ายทางการค้าทั้งของรัฐและเอกชน[27] ทำให้กัมพูชาขณะนั้นอยู่ในสภาพสิ้นหวัง ชาติตะวันตก จีนและอาเซียนปฏิเสธที่จะช่วยฟื้นฟูกัมพูชา จีนและสหรัฐปฏิเสธการรับรองสาธารณรัฐประชามานิตกัมพูชาในระดับนานาชาติ ทำให้สาธารณรัฐประชามานิตกัมพูชาไม่ได้เป็นสมาชิกสหประชาชาติ ความช่วยเหลือส่วนใหญ่มาจากโลกคอมมิวนิสต์แต่บางประเทศเช่น โรมาเนียก็ปฏิเสธที่จะช่วยเหลือ.[19] ความช่วยเหลือจากนานาชาติส่วนใหญ่มุ่งตรงมายังค่ายผู้อพยพตามแนวชายแดนไทย[28]

การเพิ่มจำนวนผู้อพยพ[แก้]

ค่ายผู้อพยพตามแนวชายแดนกัมพูชา พ.ศ. 2522 - 2527

ด้วยภาพของประเทศที่ล่มสลายและปฏิเสธการรับความช่วยเหลือในการสร้างชาติใหม่ และถูกมองว่าเป็นรัฐหุ่นเชิดของเวียดนามที่เป็นมิตรกับสหภาพโซเวียต มีชาวกัมพูชาจำนวนมากอพยพมายังค่ายผู้อพยพตามแนวชายแดนไทย ซึ่งเป็นที่ที่มีความช่วยเหลือจากนานาชาติโดยเฉพาะจากสหรัฐอเมริกา[29] ในจุดหนึ่ง มีชาวกัมพูชาอยู่มากกว่า 500,000 คน ตามแนวชายแดนไทย-กัมพูชา และมีอีกราว 100,000 คน ในศูนย์อพยพภายในประเทศไทย ความช่วยเหลือจากยูนิเซฟและโปรแกรมอาหารโลกมีถึง 400 ล้านดอลลาร์สหรัฐระหว่าง พ.ศ. 2522 – 2525 และเป็นกลยุทธหนึ่งของสหรัฐระหว่างสงครามเย็นเพื่อต่อต้านคอมมิวนิสต์ในเวียดนามคิดเป็นเงินเกือบ 100 ล้านดอลลาร์สหรัฐ[30]

ในขณะที่กองทัพเขมรแดงของพล พตได้จัดตั้งกลุ่มขึ้นใหม่และได้รับการสนับสนุนอย่างต่อเนื่องจากจีน รวมทั้งมีความสัมพันธ์ที่ดีกับกองทัพไทย[31] เขมรแดงได้ประกาศต่อต้านสาธารณรัฐประชามานิตกัมพูชา โดยอาศัยฐานกำลังจากค่ายผู้อพยพและจากกองทหารที่ซ่อนตัวตามแนวชายแดนไทย แม้ว่ากองกำลังของเขมรแดงจะมีความโดดเด่นขึ้นมา แต่มีกลุ่มต่อต้านที่ไม่ใช่คอมมิวนิสต์เกิดขึ้นด้วย ซึ่งกลุ่มเหล่านี้เคยต่อสู้กับเขมรแดงหลัง พ.ศ. 2518 กลุ่มเหล่านี้ได้แก่ อดีตทหารในสมัยสาธารณรัฐเขมรได้ประกาศจัดตั้งกองทัพปลดปล่อยแห่งชาติประชาชนเขมรที่นำโดยซอน ซาน อดีตนายกรัฐมนตรี และมูลินนากา (ขบวนการเสรีภาพแห่งชาติกัมพูชา) ที่จงรักภักดีต่อพระนโรดม สีหนุ ใน พ.ศ. 2522 ซอน ซานได้จัดตั้งแนวร่วมปลดปล่อยแห่งชาติประชาชนเขมรในการต่อสู่เพื่อเอกราชของกัมพูชา ส่วนพระนโรดม สีหนุ ได้จัดตั้งองค์กรของฝ่ายพระองค์คือพรรคฟุนซินเปกและกองทัพเจ้าสีหนุ ใน พ.ศ. 2524 แต่การต่อต้านของฝ่ายที่ไม่ใช่คอมมิวนิสต์ไม่เคยมีประสิทธิภาพ ดังนั้น ในสงครามกลางเมืองช่วงที่เหลือต่อไปนี้จึงเป็นการสู้รบระหว่างฝ่ายเขมรแดงกับฝ่ายรัฐบาลเป็นส่วนใหญ่[32]

ในช่วงที่สงครามกลางเมืองดำเนินไป กองทัพเวียดนามประมาณ 200,000 คน เข้าควบคุมศูนย์กลางและเขตชนบทของประเทศตั้งแต่ พ.ศ. 2522 – เดือนกันยายน พ.ศ. 2532 ในขณะที่ทหารของฝ่ายเฮง สำรินมีเพียง 30,000 คน และมีบทบาทน้อยในการรักษาความสงบของประเทศ

การเติมเชื้อไฟให้สงครามกลางเมือง[แก้]

ภูเขาตามแนวชายแดนไทย-กัมพูชาทางเหนือของถนนระหว่างศรีโสภณ และอรัญประเทศ พื้นที่หนึ่งที่เขมรแดงซ่อนตัวระหว่างการสู้รบตามแผน k5

กลุ่มผู้ลี้ภัยชาวกัมพูชาจำนวนมากที่อำเภออรัญประเทศถูกผลักดันให้กลับเข้าประเทศตั้งแต่ พ.ศ. 2523 และส่วนใหญ่ต้องเข้าไปอยู่ในเขตควบคุมของเขมรแดง กระบวนการนี้เกิดขึ้นโดยกลุ่มที่นิยมกัมพูชาประชาธิปไตยแต่เข้ามาปรากฏตัวในฐานะอาสาสมัคร รวมทั้งการที่สหรัฐต่อต้านระบอบของเวียดนาม นอกจากนั้น ประเทศต่าง ๆ เช่น ไทย มาเลเซีย สิงคโปร์ ยังสนับสนุนให้มีการผลักดันประชาชนให้กลับไปต่อสู้[33]

ตั้งแต่ พ.ศ. 2523 การต่อสู้ในสงครามกลางเมืองเป็นไปตามจังหวะของฤดูฝนและฤดูแล้ง กองทัพเวียดนามจะโจมตีในฤดูแล้ง กองทัพที่สนับสนุนโดยจีนและสหรัฐจะโจมตีในฤดูฝน ใน พ.ศ. 2525 เวียดนามได้โจมตีฐานที่มั่นของเขมรแดงที่พนมมาลัยและเทือกเขาบรรทัดแต่ไม่สำเร็จมากนัก ในฤดูแล้ง พ.ศ. 2527 – 2528 เวียดนามได้โจมตีฐานที่มั่นของกลุ่มต่อต้านทั้งสามกลุ่มอย่างหนัก โดยเวียดนามประสบความสำเร็จในการโจมตีฐานที่มั่นของเขมรแดงให้ถอยร่นเข้าสู่แนวชายแดนไทย แผนที่เวียดนามใช้ในการสู้รบคือแผน K5 ที่กำหนดโดยนายพลเล ดึ้ก แอ็ญ[34] ซึ่งเป็นการป้องกันการก่อการร้ายเข้าสู่กัมพูชาผ่านทางชายแดนไทย

หากไม่มีความช่วยเหลือจากเวียดนาม โซเวียตและคิวบา เฮง สัมรินมีความสำเร็จน้อยในการจัดตั้งระบอบสาธารณรัฐประชามานิตกัมพูชา เนื่องมาจากสงครามกลางเมืองยังไม่ยุติ การคมนาคมมักถูกโจมตี การปรากฏของทหารเวียดนามทั่วประเทศได้เติมเชื้อไฟให้กับการต่อต้านเวียดนาม โดยจำนวนชาวเวียดนามในสาธารณรัฐประชามานิตกัมพูชาทั้งที่อยู่มาก่อนและอพยพเข้ามาใหม่คาดว่ามีประมาณ 1 ล้านคน

ใน พ.ศ. 2529 ฮานอยได้กล่าวอ้างว่าจะเริ่มถอนทหารเวียดนามออกมา ในขณะเดียวกันเวียดนามเร่งสร้างความเข็มแข็งให้กับสาธารณรัฐประชามานิตกัมพูชาและกองทัพปฏิวัติประชาชนกัมพูชา การถอนทหารยังคงต่อเนื่องไปอีก 2 ปี โดยไม่สามารถทราบจำนวนที่แท้จริงได้ แผนการถอนทหารเวียดนามถูกกดดันมากขึ้นในช่วง พ.ศ. 2532 – 2533 เพราะสหรัฐและจีนเข้ามากดดันมากขึ้น และสหภาพโซเวียตงดให้ความช่วยเหลือ ทำให้กัมพูชาต้องปฏิรูปเศรษฐกิจและรัฐธรรมนูญเพื่ออนาคตทางการเมือง ในเดือนเมษายน พ.ศ. 2532 รัฐบาลฮานอยและพนมเปญออกมาประกาศว่าการถอนทหารจะสิ้นสุดภายในเดือนกันยายนของปีนี้

การเปลี่ยนผ่านรัฐกัมพูชา (พ.ศ. 2532–2536)[แก้]

รัฐกัมพูชา

រដ្ឋកម្ពុជា  (เขมร)
2532–2536
ธงชาติสาธารณรัฐประชามานิตกัมพูชา
ธงชาติ
ตราแผ่นดินของสาธารณรัฐประชามานิตกัมพูชา
ตราแผ่นดิน
เพลงชาติ"เพลงชาติกัมพูชา" (2532–2536)
"นครราช" (โดยพฤตินัยตั้งแต่ พ.ศ. 2533)
แผนที่รัฐกัมพูชา
แผนที่รัฐกัมพูชา
เมืองหลวงพนมเปญ
ภาษาราชการเขมร
การปกครองรัฐเดี่ยว สาธารณรัฐสังคมนิยมลัทธิมากซ์-เลนินแบบมีพรรคเดียว (2532–2534)
รัฐเดี่ยว ระบบรัฐสภา สาธารณรัฐ
( 2534–2536)
เลขาธิการพรรค 
• พ.ศ. 2532–2534
เฮง สัมริน
ประมุขแห่งรัฐ 
• พ.ศ. 2532–2534
เฮง สัมริน
• พ.ศ. 2535–2536
เจีย ซิม
นายกรัฐมนตรี 
• พ.ศ. 2532–2536
ฮุน เซน
สภานิติบัญญัติสภาผู้แทนราษฎร
ยุคประวัติศาสตร์สงครามเย็น
• ก่อตั้งรัฐธรรมนูญเปลี่ยนผ่าน
1 พฤษภาคม 2532
• เวียดนามถอนทัพ
26 กันยายน พ.ศ. 2532
23 ตุลาคม 2534
15 มีนาคม 2535
24 กันยายน พ.ศ. 2536
สกุลเงินเรียล (៛) (KHR)
ขับรถด้านขวา
รหัสโทรศัพท์+855
ก่อนหน้า
ถัดไป
สาธารณรัฐประชามานิตกัมพูชา
2535:
UNTAC
2536:
ราชอาณาจักร
กัมพูชา
ปัจจุบันเป็นส่วนหนึ่งของประเทศกัมพูชา

ในวันที่ 29–30 เมษายน พ.ศ. 2532 สภาแห่งชาติของสาธารณรัฐประชามานิตกัมพูชาภายใต้การนำของเฮง สัมรินได้จัดประชุมสมัยวิสามัญโดยมีการแก้ไขชื่อประเทศจากสาธารณรัฐประชามานิตกัมพูชามาเป็นรัฐกัมพูชา มีการนำสีน้ำเงินกลับมาใช้ในธงชาติ เปลี่ยนตราแผ่นดินและตรากองทัพ กองทัพปฏิวัติประชาชนกัมพูชาถูกเปลี่ยนไปเป็นกองทัพประชาชนกัมพูชา พุทธศาสนาที่เคยฟื้นฟูขึ้นมาเมื่อ พ.ศ. 2522 ได้กลายเป็นศาสนาประจำชาติ ทางด้านเศรษฐกิจได้ออกกฎหมายเกี่ยวกับสิทธิการถือครองทรัพย์สินและตลาดเสรี พรรครัฐบาลประกาศจะเจรจากับฝ่ายค้านทุกกลุ่ม[35]

รัฐกัมพูชาดำรงอยู่ในช่วงที่มีการเปลี่ยนผ่านอย่างช้า ๆ ซึ่งเป็นผลมาจากการล่มสลายของสหภาพโซเวียตและรัฐคอมมิวนิสต์ในยุโรปตะวันออก การลดความช่วยเหลือของโซเวียตต่อเวียดนามทำให้เวียดนามต้องถอนทหารออกไป กองทหารสุดท้ายของเวียดนามกล่าวว่าพวกเขาออกจากกัมพูชาเมื่อ 26 กันยายน พ.ศ. 2532 แต่บางกลุ่มเชื่อว่ายังคงอยู่ถึง พ.ศ. 2533[36] ชาวเวียดนามส่วนใหญ่อพยพกลับสู่เวียดนาม เพราะไม่มั่นใจความสามารถของรัฐบาลกัมพูชาในการควบคุมสถานการณ์เมื่อไม่มีทหารเวียดนาม

นอกจากการประกาศอย่างแข็งกร้าวของฮุนเซน รัฐกัมพูชาอยู่ในฐานะที่จะกลับมาเป็นเพียงพรรคหนึ่งในการครองอำนาจ โครงสร้างผู้นำและการบริหารเป็นแบบเดียวกับสาธารณรัฐประชามานิตกัมพูชา โดยมีพรรคเป็นผู้กุมอำนาจสูงสุด รัฐกัมพูชาไม่สามารถฟื้นฟูราชวงศ์ในกัมพูชาแม้จะเริ่มนำสัญลักษณ์ของราชวงศ์มาใช้ ซึ่งเคยเลิกใช้ไปเป็นเวลานานหลังจากที่พระนโรดม สีหนุเข้าร่วมกับแนวร่วมเขมรสามฝ่าย ในกลางปี พ.ศ. 2534 ทั้งโดยแรงกดดันจากในและนอกประเทศ รัฐกัมพูชาได้ทำข้อตกลงในการยอมรับพระนโรดม สีหนุเป็นประมุขรัฐ ปลายปี พ.ศ. 2534 สีหนุได้เดินทางกลับกัมพูชาอย่างเป็นทางการ ทั้งฮุน เซน และเจียซิมได้จัดงานเลี้ยงรับรองอย่างเป็นทางการ[37]

ในช่วงเปลี่ยนผ่านในฐานะรัฐกัมพูชาแนวคิดปฏิวัติได้เลือนหายไป การฉ้อราษฏร์บังหลวงเพิ่มขึ้น ทรัพยากรของรัฐถูกขายไปโดยไม่เกิดกำไรแก่รัฐ ชนชั้นสูงและทหารสร้างความร่ำรวยจากความเหลื่อมล้ำ[38] ผลจากการกระทำนี้ทำให้เกิดการเดินขบวนประท้วงในกรุงพนมเปญเมื่อเดือนธันวาคม พ.ศ. 2534 เกิดการปราบปรามอย่างรุนแรงจนมีผู้เสียชีวิต 8 คน[39]

สถานะของชาวกัมพูชาเชื้อสายจีนดีขึ้นหลัง พ.ศ. 2532 ความเข้มงวดที่เกิดขึ้นในสมัยรัฐกัมพูชาลดลง รัฐบาลของรัฐกัมพูชายอมให้ชาวจีนมีเสรีภาพในการนับถือศาสนา และเปิดโรงเรียนสอนภาษาจีนได้อีก ใน พ.ศ. 2534 ได้มีการเฉลิมฉลองตรุษจีนเป็นครั้งแรกนับตั้งแต่เขมรแดงครองอำนาจเมื่อ พ.ศ. 2518[40]

สนธิสัญญาสันติภาพ[แก้]

การเจรจาสันติภาพระหว่างระบอบที่มีเวียดนามหนุนหลังกับกองทัพฝ่ายตรงข้ามเริ่มขึ้นทั้งเป็นและไม่เป็นทางการตั้งแต่ พ.ศ. 2528 การเจรจาเป็นไปด้วยความยากลำบาก เขมรแดงต้องการให้ล้มล้างการบริหารของฝ่ายรัฐบาลพนมเปญก่อนการเจรจา ในขณะที่ฝายรัฐบาลต้องการให้ขับเขมรแดงออกไปจากรัฐบาลที่จะเกิดขึ้นในอนาคต[41] การล่มสลายของระบอบคอมมิวนิสต์เป็นแรงฟลักดันที่สำคัญที่ทำให้ฝ่ายรัฐบาลกัมพูชาเข้ามาสู่การเจรจา สุดท้ายจึงบรรลุข้อตกลงในสนธิสัญญาสันติภาพปารีส พ.ศ. 2534 โดยสหประชาชาติเข้ามาจัดการเลือกตั้งที่เป็นอิสระและเป็นธรรมซึ่งกำหนดใน พ.ศ. 2536[42] มีการจัดตั้งอันแทคในเดือนกุมภาพันธ์ พ.ศ. 2535 เพื่อเป็นที่ปรึกษาในการเจรจาสงบศึกและดูแลการเลือกตั้งทั่วไป[43]

ระบบพรรคการเมืองพรรคเดียวในสาธารณรัฐประชามานิตกัมพูชา[แก้]

พรรคปฏิวัติประชาชนกัมพูชาเป็นพรรคการเมืองเพียงพรรคเดียวในการปกครองของสาธารณรัฐประชามานิตกัมพูชาตั้งแต่ พ.ศ. 2522 และการเปลี่ยนผ่านไปสู่รัฐกัมพูชาใน พ.ศ. 2534 และเปลี่ยนชื่อเป็นพรรคประชาชนกัมพูชาระหว่างที่สหประชาชาติเข้ามาจัดการเลือกตั้ง สมาชิกของพรรคส่วนใหญ่เคยเป็นสมาชิกของเขมรแดงที่หนีไปเวียดนามหลังจากที่ได้เห็นนโยบายที่ทำลายระบบสังคมของกัมพูชาด้วยการคลั่งลิทธิเหมาและนโยบายเกลียดชังต่างชาติ บุคคลเหล่านี้รวมทั้งเฮง สัมรินและฮุน เซนซึ่งเคยเป็นสมาชิกเขมรแดงโซนตะวันออกใกล้แนวชายแดนกัมพูชา-เวียดนาม ต่อมาเข้าร่วมกับกองทัพเวียดนามในการโค่นล้มเขมรแดง

พรรคที่ก่อตั้งเมื่อ พ.ศ. 2524 เป็นพรรคที่นิยมลัทธิมาร์ก-เลนิน อย่างไรก็ตาม หลัง พ.ศ. 2528 ได้มีการผ่อนปรนให้กับการถือครองทรัพย์สินของเอกชนมากขึ้น และนโยบายเชิงสังคมนิยมของพรรคลดลงในช่วงเปลี่ยนผ่านมาสู่พรรคประชาชนกัมพูชา สถานะของการปฏิวัติสังคมนิยมในพรรคสิ้นสุดลงใน พ.ศ. 2534 ฮุน เซนที่เป็นนายกรัฐมนตรีในปัจจุบันเป็นบุคคลที่มีบทบาทสำคัญในพรรค และยังเป็นผู้นำของพรรคที่สืบเนื่องคือพรรคประชาชนกัมพูชา ซึ่งเป็นพรรคที่ไม่มีนโยบายสังคมนิยมเลย[44]

ความสัมพันธ์กับต่างประเทศ[แก้]

การแสวงหาการยอมรับในระดับนานาชาติของสาธารณรัฐประชามานิตกัมพูชา[แก้]

หลังจากที่มีการก่อตั้งสาธารณรัฐประชามานิตกัมพูชา เวียดนามเป็นประเทศแรกที่ประกาศรับรอง และสาธารณรัฐประชามานิตกัมพูชาได้สถาปนาความสัมพันธ์ทางการทูตกับเวียดนามทันที ในวันที่ 18 กุมภาพันธ์ เฮง สัมรินในฐานะตัวแทนของของสาธารณรัฐประชามานิตกัมพูชาและฝั่ม วัน ดงได้ลงนามในสนธิสัญญาสันติภาพมิตรภาพและความร่วมมือ[45]

สหภาพโซเวียต สาธารณรัฐประชาธิปไตยประชาชนลาว สาธารณรัฐประชาธิปไตยเยอรมนี สาธารณรัฐประชาชนบัลแกเรีย สาธารณรัฐสังคมนิยมโรมาเนีย สาธารณรัฐประชาชนโปแลนด์ สาธารณรัฐสังคมนิยมเชโกสโลวัก สาธารณรัฐประชาชนฮังการี สาธารณรัฐประชาชนมองโกเลีย สาธารณรัฐคิวบา สาธารณรัฐประชาธิปไตยประชาชนเยเมน สาธารณรัฐประชาธิปไตยอัฟกานิสถาน สาธารณรัฐประชาธิปไตยประชาชนเอธิโอเปีย สาธารณรัฐประชาชนคองโก และประเทศกำลังพัฒนาที่นิยมโซเวียต เช่นอินเดียได้รับรองรัฐบาลใหม่ในกัมพูชา ในเดือนมกราคม พ.ศ. 2523 มี 29 ประเทศที่รับรองสาธารณรัฐประชามานิตกัมพูชา ในขณะที่อีกเกือบ 80 ประเทศรับรองรัฐบาลกัมพูชาประชาธิปไตยของเขมรแดง[46]

รัฐบาลจีนที่เป็นผู้สนับสนุนเขมรแดงได้กล่าวหาว่าสาธารณรัฐประชามานิตกัมพูชาเป็นรัฐหุ่นเชิดของเวียดนามและประกาศไม่รับรอง ไทยและสิงคโปร์ประกาศตัวอยู่ฝ่ายตรงข้ามกับการรุกรานของเวียดนาม รัฐบาลของพล พตได้รับการสนับสนุนจากสหรัฐและยุโรปในการต่อต้านเวียดนาม

ผลของการที่ไม่ได้รับการยอมรับในระดับนานาชาติ[แก้]

สภาความมั่นคงของสหประชาชาติประณามการรุกรานของเวียดนามว่าเป็นการแสดงความก้าวร้าวต่อกัมพูชาประชาธิปไตย[47] ทำให้เกิดความเสียหายต่อชีวิตและสิทธิของชาวกัมพูชา

ผลจากการต่อต้านสาธารณรัฐประชามานิตกัมพูชา ทำให้เขมรแดงยังคงได้ที่นั่งในสหประชาชาติแม้ว่าจะมีข้อหาฆ่าล้างเผ่าพันธุ์ กัมพูชาประชาธิปไตยยังคงได้ที่นั่งในสหประชาชาติต่อมาอีก 3 ปี หลังการสิ้นอำนาจของพล พต ต่อมา ใน พ.ศ. 2535 ได้เปลี่ยนชื่อเป็นรัฐบาลผสมกัมพูชาประชาธิปไตยและได้ที่นั่งในสหประชาชาติจนถึง พ.ศ. 2536[48]

จีนและประเทศตะวันตกรวมทั้งประเทศในแอฟริกา เอเชีย และละตินอเมริกาส่วนหนึ่งยังคงสนับสนุนเขมรแดงและโหวตให้กัมพูชาประชาธิปไตยครองที่นั่งในสหประชาชาติ การถอนการสนับสนุนเขมรแดงของสวีเดนเกิดขึ้นหลังจากมีชาวสวีเดนจำนวนมากเขียนจดหมายถึงสมาชิกสภาต้องการให้เปลี่ยนแปลงนโยบายต่อระบอบของพล พต ฝรั่งเศสประกาศเป็นกลางในเรื่องนี้ โดยกล่าวว่าทั้งสองฝ่ายไม่ควรเป็นตัวแทนกัมพูชาในสหประชาชาติ ต่อมา สหรัฐได้ออกนโยบายสนับสนุนขบวนการต่อต้านคอมมิวนิสต์ในหลายประเทศที่เป็นบริวารของสหภาพโซเวียต ทำให้รัฐบาลของสาธารณรัฐประชามานิตกัมพูชาเป็นเป้าหมายของปฏิบัติการนี้ด้วย[49] ดังที่สหรัฐให้การสนับสนุนอัลกออิดะห์และฏอลีบันในการต่อต้านคอมมิวนิสต์ในอัฟกานิสถาน และกลุ่มต่อต้านรัฐบาลในอังโกลา[50] แต่ปฏิบัติการในกัมพูชาไม่สำเร็จ

ในการอ้างถึงกัมพูชาในฐานะรัฐ ในที่ประชุมทั่วไปของสหประชาชาติใช้คำว่ากัมพูชาประชาธิปไตย (Democratic Kampuchea) และกัมปูเจีย(Kampuchea) เป็นเวลากว่าทศวรรษ เพิ่งมาใช้ กัมพูชา (Cambodia) ใน พ.ศ. 2533 ซึ่งเป็นช่วงการเปลี่ยนผ่านของรัฐกัมพูชา[51]

รัฐธรรมนูญ[แก้]

ร่างครั้งแรก[แก้]

ในวันที่ 10 มกราคม พ.ศ. 2523 ประธานสภาปฏิวัติประชาชนคือ รส สมัย ได้จัดให้มีการร่างรัฐธรรมนูญโดยเขียนเป็นภาษาเขมร โดยนำรัฐธรรมนูญของเวียดนาม เยอรมันตะวันออก สหภาพโซเวียต ฮังการี และบัลแกเรีย รวมทั้งรัฐธรรมนูญในอดีตของกัมพูชา เช่นของราชอาณาจักรกัมพูชาและสาธารณรัฐเขมร แต่ร่างของรส สมัย ไม่ผ่านการตรวจสอบของเวียดนาม[6]

การตรวจสอบรัฐธรรมนูญโดยเวียดนาม[แก้]

การใช้ถ้อยคำในรัฐธรรมนูญของสาธารณรัฐประชามานิตกัมพูชาถูกกดดันด้วยความสัมพันธ์ระหว่างสาธารณรัฐประชามานิตกัมพูชากับเวียดนาม นายกรัฐมนตรี แปน โสวัณณ์ ยอมรับว่าฝ่ายเวียดนามได้ขอให้แก้ไขถ้อยคำบางคำที่พวกเขาไม่เห็นด้วยในท้ายที่สุด เมื่อ 27 มิถุนายน พ.ศ. 2524 ได้มีการประกาศใช้รัฐธรรมนูญใหม่ ที่ได้รับความเห็นชอบจากเวียดนาม โดยกำหนดว่ากัมพูชาเป็นรัฐประชาธิปไตยที่มุ่งไปสู่ความเป็นสังคมนิยม การเปลี่ยนผ่านไปสู่สังคมนิยมนั้นนำโดยลัทธิมาร์ก-เลนิน ทำให้กัมพูชากลายเป็นรัฐบริวารของโซเวียต ศัตรูที่สำคัญของประเทศใหม่คือการขยายตัวของจีน จักรวรรดินิยมอเมริกาและอำนาจอื่น ๆ

ในทางเทคนิค รัฐธรรมนูญได้ยอมรับสิทธิอย่างกว้างเกี่ยวกับเสรีภาพของพลเมืองและสิทธิถือครอง แต่ก็มีข้อจำกัดหลายประการ เช่นจะต้องไม่กระทำการเพื่อให้ร้ายผู้อื่น เปลี่ยนแปลงสังคม ระเบียบสาธารณะ หรือความปลอดภัยแห่งชาติ รัฐธรรมนูญได้ให้หลักการของวัฒนธรรมภายในรัฐบาล การศึกษา สวัสดิการสังคม และสาธารณสุข พัฒนาการด้ายภาษา วรรณกรรม ศิลปะและวิทยาศาสตร์มีความจำเป็นสำหรับการอนุรักษ์วัฒนธรรม การสนับสนุนการท่องเที่ยว และความร่วมมือทางวัฒนธรรมกับประเทศอื่น

องค์ประกอบของรัฐประกอบด้วยสมัชชาแห่งชาติ สภาแห่งรัฐ สภารัฐมนตรี คณะกรรมการปฏิวัติประชาชนท้องถิ่นและระบบศาล ลำดับขั้นของการบริหารเป็นไปตามลัทธิมาร์ก-เลนิน ที่ถือเป็นหลักของประเทศ มีการเชื่อมโยงระหว่างฝ่ายปกครองและประชาชนระดับรากหญ้า โดยองค์กรที่อยู่ภายใต้การควบคุมของแนวร่วมสามัคคีประชาชาติเพื่อการสร้างและปกป้องชาติ

รัฐธรรมนูญของรัฐกัมพูชา[แก้]

มีการแก้ไขรัฐธรรมนูญใน พ.ศ. 2532 ซึ่งเป็นผลมาจากการปรับนโยบายทางด้านตลาดของรัฐกัมพูชา รัฐนี้สืบเนื่องมาจากสาธารณรัฐประชามานิตกัมพูชาซึ่งเป็นไปตามนโยบายเปิด-ปรับของมิคาอิล กอร์บาชอฟ ซึ่งทำให้ความช่วยเหลือของสหภาพโซเวียตมายังเวียดนามและกัมพูชาน้อยลง จึงต้องปรับตัวเพื่อให้ได้การยอมรับในระดับนานาชาติมากขึ้น รวมทั้งการใช้ระบบตลาดเสรี

รัฐธรรมนูญของสาธารณรัฐประชามานิตกัมพูชาไม่ได้กล่าวถึงตำแหน่งประมุขรัฐซึ่งอาจเป็นการเว้นที่ว่างให้พระนโรดม สีหนุ[6] อย่างไรก็ตาม รัฐธรรมนูญแห่งรัฐกัมพูชากำหนดให้ประธานสภาแห่งรัฐเป็นประมุขรัฐ

โครงสร้างรัฐบาล[แก้]

โครงสร้างการบริหารภายในของรัฐบาลไม่ได้เปลี่ยนแปลงมากนักในช่วง พ.ศ. 2522 – 2523 จนกระทั่งในเดือนมิถุนายน พ.ศ. 2524 จึงเกิดโครงสร้างใหม่เป็นสมัชชาแห่งชาติ สภาแห่งรัฐ และสภารัฐมนตรี องค์กรใหม่นี้เกิดขึ้นอย่างช้า ๆ บางส่วนยังทำงานไม่ได้จนถึงเดือนกุมภาพันธ์ พ.ศ. 2525 เพื่อให้สมัชชาแห่งชาติออกกฎหมายเฉพาะออกมาก่อน

ถ้าไม่นับที่ปรึกษาชาวเวียดนาม รัฐบาลของสาธารณรัฐประชามานิตกัมพูชาประกอบด้วยชาวกัมพูชาที่เป็นสมาชิกแนวร่วมปลดปล่อยฯ ในระยะแรกที่ปรึกษาจากเวียดนามเช่นเล ดึ้ก โถ่ ได้ให้สัญญาว่าจะไม่ยุ่งเกี่ยวกับกิจการภายในของกัมพูชา อย่างไรก็ตาม หลังจากที่สถาปนาสาธารณรัฐประชามานิตกัมพูชา เล ดึ้ก โถ่ทำหน้าที่เป็นผู้เชื่อมต่อระหว่างรัฐบาลที่ฮานอยและพนมเปญ โดยรัฐบาลสาธารณรัฐประชามานิตกัมพูชาต้องเดินในช่องทางแคบ ๆ ระหว่างชาตินิยมเขมรกับความเป็นหนึ่งเดียวของอินโดจีนกับเวียดนาม โดยจะต้องไม่กระทบกระเทือนต่อเวียดนาม[6] สมาชิกของรัฐบาลที่แสดงอาการต่อต้านเวียดนามจะถูกเปลี่ยนตัวไป เช่น รส สมัย แปน โสวัณณ์ และจัน ซี จัน ซีนั้นเสียชีวิตอย่างน่าสงสัยที่มอสโกเมื่อ พ.ศ. 2527[52]

สมัชชาแห่งชาติ[แก้]

องค์กรสูงสุดแห่งรัฐคือสมัชชาแห่งชาติ ที่มาจากการเลือกตั้งโดยตรง และอยู่ในตำแหน่งวาระละ 5 ปี การเลือกตั้งครั้งแรกของสาธารณรัฐประชามานิตกัมพูชาเกิดขึ้นเมื่อ 1 พฤษภาคม พ.ศ. 2524 มีสมาชิก 117 คน ในช่วงแรก สมัชชาทำหน้าที่ในการร่างรัฐธรรมนูญใหม่และคัดเลือกบุคลากรสำหรับหน่วยงานของรัฐที่กำหนดโดยรัฐธรรมนูญ สมัชชามีอำนาจในการแก้ไขรัฐธรรมนูญ ออกกฎหมาย และตรวจสอบการปฏิบัติงาน ตรวจสอบนโยบาบทั้งภายในและต่างประเทศ ปรับปรุงโครงการเกี่ยวกับเศรษฐกิจและวัฒนธรรม ควบคุมงบประมาณของรัฐ เลือกหรือปลดออกซึ่งสมาชิกภาพของสภาแห่งรัฐและสภารัฐมนตรี นอกจากนั้น ยังให้คำรับรองสนธิสัญญาที่ทำกับต่างประเทศ เช่นเดียวกับรัฐสังคมนิยมอื่น ๆ การทำงานจริง ๆ ของสมัชชาคือการออกกฎหมายและตรวจสอบการทำงานของสภาแห่งรัฐและสภารัฐมนตรี

สมัชชาแห่งชาติปกติประชุมปีละ 2 ครั้ง โดยมีหน้าที่พิจารณาเกี่ยวกับแผนงานของรัฐและงบประมาณ และให้ผ่านด้วยเสียงอย่างน้อยสองในสาม ตรวจสอบการทำงานที่เกี่ยวข้องกับต่างประเทศของสภารัฐมนตรี สภารัฐมนตรีไม่สามารถถอดถอนสมัชชาแห่งชาติได้ อย่างไรก็ตาม ใน พ.ศ. 2529 ได้มีการประกาศต่ออายุสมัชชาแห่งชาติออกไปอีก 5 ปี

สภาแห่งรัฐ[แก้]

สมัชชาแห่งชาติเลือกตัวแทน 7 คนเข้าสู่สภาแห่งรัฐ ประธานสภาแห่งรัฐจะเป็นประมุขของประเทศ แต่อำนาจในการบังคับบัญชากองทัพสูงสุดถูกลบออกจากร่างสุดท้ายของรัฐธรรมนูญ สมาชิกสภาแห่งรัฐทั้ง 7 คน คือผู้นำที่มีอำนาจมากในสาธารณรัฐประชามานิตกัมพูชา มีอำนาจถอดถอนสมาชิกสภารัฐมนตรีได้

สภารัฐมนตรี[แก้]

หน่วยงานที่มีอำนาจสูงสุดในรัฐบาลคือสภารัฐมนตรี ซึ่งในปลายปี พ.ศ. 2530 ประธานสภารัฐมนตรีคือฮุน เซน (ดำรงตำแหน่งตั้งแต่เดือนมกราคม พ.ศ. 2527) ซึ่งเทียบเท่ากับนายกรัฐมนตรี รองประธานสภาสองคน เทียบเท่ารองนายกรัฐมนตรี และมีรัฐมนตรี 20 คน สมัชชาแห่งชาติเป็นผู้เลือกสภารัฐมนตรี ให้ดำรงตำแหน่งวาระละ 5 ปี

สภารัฐมนตรีประชุมสัปดาห์ละครั้ง รัฐมนตรีในสภาจะรับผิดชอบในด้าน เกษตรกรรม การสื่อสาร คมนาคมและไปรษณีย์ การศึกษา การคลัง การต่างประเทศ สาธารณสุข การค้าภายในและต่างประเทศ อุตสาหกรรม สารสนเทศและวัฒนธรรม มหาดไทย ยุติธรรม การป้องกันประเทศ และกิจการสังคม นอกจากนั้น ยังมีรัฐมนตรีที่ดูแลทางด้านกิจกรรมการเกษตรและการปลูกยางพารา ซึ่งเพิ่มเข้าในสำนักงานของสภารัฐมนตรี เลขาธิการทั่วไปของสภารัฐมนตรี ซึ่งรับผิดชอบทางด้านการคมนาคมและเครือข่ายการป้องกันตามแนวชายแดนไทย-กัมพูชา และประธานธนาคารประชาชนแห่งชาติกัมพูชา

ศาลยุติธรรม[แก้]

การฟื้นฟูระเบียบและกฎหมายเป็นภาระหลักของระบบเฮง สัมริน ตั้งแต่ พ.ศ. 2522 การบริหารงานยุติธรรมอยู่ในอำนาจของศาลประชาชนปฏิวัติ ซึ่งจัดตั้งขึ้นในพนมเปญ กฎหมายใหม่เริ่มประกาศใช้ในเดือนกุมภาพันธ์ พ.ศ. 2525 ภายใต้กฎหมายนี้ ศาลประชาชนสูงสุดเป็นศาลสูงสุดของประเทศ

การแบ่งเขตบริหาร[แก้]

ในปลายปี พ.ศ. 2530 การปกครองภายในประเทศถูกแบ่งเป็น 18 จังหวัด (เขต) และเขตบริหารพิเศษ 2 แห่ง (กรง) คือพนมเปญและกัมปงโสมที่อยู่ภายใต้การควบคุมของรัฐบาลกลางโดยตรง แต่ละจังหวัดแบ่งเป็น สรก (ตำบล) และขุม (ชุมชน) และภูมิ (หมู่บ้าน)

คณะกรรมการประชาชนปฏิวัติท้องถิ่น[แก้]

เป็นส่วนที่มาจากการเลือกตั้ง ประกอบด้วยประธาน รองประธาน 1 คน และมีสมาชิก 11 คน คณะกรรมการนี้ มีทั้งในระดับจังหวัดและตำบลมีวาระ 5 ปี ส่วนในระดับชุมชนและหมู่บ้าน มีวาระ 3 ปี

กองทัพ[แก้]

ตรากองทัพปฏิวัติประชาชนกัมพูชา (KPRAF)(2522 - 2532)
ตรากองทัพประชาชนกัมพูชา (CPAF)(2532 - 2536)

กองทัพของสาธารณรัฐประชามานิตกัมพูชาคือกองทัพปฏิวัติประชาชนกัมพูชา มีความจำเป็นในการสร้างภาพในการบริหารแบบนิยมเวียดนามในพนมเปญ ซึ่งเป็นไปตามระบบของโซเวียต การเกิดขึ้นของกองทัพภายในไม่ได้เป็นปัญหากับการยึดครองของเวียดนาม เพราะเวียดนามเคยมีประสบการณ์ในการฝึกหัดและร่วมมือทางทหารกับลาวมาก่อน

กองทัพปฏิวัติประชาชนกัมพูชาจัดตั้งขึ้นจากกองทัพที่เคยเป็นสมาชิกของเขมรแดงมาก่อน กองทัพนี้ได้รับการฝึกและสนับสนุนจากเวียดนาม แต่กองทัพนี้ก็อ่อนแอ ไร้ความสามารถที่จะต่อสู้กับเขมรสามฝ่ายได้โดยลำพัง ระบบของกองทัพมีระบบของศาลทหาร และระบบคุกทหาร[53] ต่อมา ใน พ.ศ. 2532 ได้มีการเปลี่ยนแปลงเกี่ยวกับกองทัพซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของการเตรียมตัวเพื่อเข้าสู่ข้อตกลงปารีส พ.ศ. 2534 มีการเปลี่ยนชื่อประเทศเป็นรัฐกัมพูชา กองทัพเปลี่ยนชื่อเป็นกองทัพประชาชนกัมพูชา หลังจากการเลือกตั้ง พ.ศ. 2536 กองทัพประชาชนกัมพูชาได้รวมเข้ากับกองทัพของฝ่ายนิยมเจ้า ชาตินิยม และกลุ่มอื่น เข้าเป็นกองทัพแห่งชาติ

อ้างอิง[แก้]

  1. 1.0 1.1 "Constitution of the People's Republic of Kampuchea" (PDF) (ภาษาเขมร). Constitutional Council of Cambodia. 25 June 1981. คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิม (PDF)เมื่อ 2021-07-10. สืบค้นเมื่อ 10 July 2021.
  2. "Cambodia – Religion". Britannica. สืบค้นเมื่อ 29 June 2020.
  3. "Results of the 1998 Population Census in Cambodia". Asia-Pacific Population Journal. September 2000. คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 28 April 2021. สืบค้นเมื่อ 11 August 2019.
  4. Michael Leifer, Dictionary of the modern politics of South-East Asia
  5. Sorpong Peou, Intervention & change in Cambodia; Towards Democracy?, ISBN 0312227175 ISBN 978-0312227173
  6. 6.0 6.1 6.2 6.3 Margaret Slocomb, The People's Republic of Kampuchea, 1979-1989: The revolution after Pol Pot ISBN 9789749575345
  7. "S21 : la machine de mort khmère rouge" (PDF). คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิม (PDF)เมื่อ 2008-07-24. สืบค้นเมื่อ 2012-05-03.
  8. Milton Osborne, Sihanouk, Prince of Light, Prince of Darkness. Silkworm 1994
  9. An Elusive Party
  10. Khmernews - Five KR Ministers Tortured At Tuol Sleng Prison And Killed At Boeng Cheung Aek
  11. มีเขมรอิสระกลุ่มนี้หนีไปเวียดนามเหนือราว 3,000 - 5,000 คน (LOC Appendix B)
  12. Frings, K. Viviane, Rewriting Cambodian History to 'Adapt' It to a New Political Context: The Kampuchean People's Revolutionary Party's Historiography (1979-1991) in Modern Asian Studies, Vol. 31, No. 4. (Oct., 1997), pp. 807-846.
  13. Ben Kiernan, The Pol Pot Regime, 2d ed. Silkworm.
  14. Michael Vickery, Cambodia 1975-1982, Silkworm Books 2000, ISBN 9789747100815
  15. Ben Kiernan, The Pol Pot Regime, 2d ed. Silkworm.
  16. Arthur Mark Weisburd, Use of force: The Practice of States Since World War II
  17. Religion in Kampuchea
  18. Soizick Crochet, Le Cambodge, Karthala, Paris 1997, ISBN 2-86537-722-9
  19. 19.0 19.1 JSTOR: Kampuchea in 1981: Fragile Stalemate
  20. Stanislaw Gomulka, Yong-Chool Ha & Cae-One Kim, Economic reforms in the socialist world
  21. Stephen R. Heder & Judy Ledgerwood, Propaganda, Politics, and Violence in Cambodia: Democratic Transition Under United Nations Peace-Keeping
  22. http://www.hawaii.edu/powerkills/DBG.TAB9.1.GIF
  23. Charles F. Keyes, Laurel Kendall & Helen Hardacre,Asian visions of authority, Joint Committee on Southeast Asia
  24. Michael Vickery, Cambodia 1975-1982, Silkworm Books 2000, ISBN 978-974-7100-81-5
  25. "Cambodia Cultural Profile, Visiting Arts and the Ministry of Culture and Fine Arts of Cambodia". คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 2006-01-18. สืบค้นเมื่อ 2012-05-23.
  26. Alexander Laban Hinton, Annihilating difference: The Anthropology of Genocide ISBN 0-520-23029-9 ISBN 978-0520230293
  27. Gerard A. Postiglione & Jason Tan, Going to school in East Asia
  28. Eva Mysliwiec, Punishing the Poor: The International Isolation of Kampuchea, Oxford, U.K. 1988, ISBN 978-0-85598-089-4
  29. "Documentation Center of Cambodia". คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 2008-09-08. สืบค้นเมื่อ 2012-05-23.
  30. "REFUGEE WARRIORS AT THE THAI-CAMBODIAN BORDER by Conrtland Robinson" (PDF). คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิม (PDF)เมื่อ 2011-07-17. สืบค้นเมื่อ 2012-05-23.
  31. Puangthong Rungswasdisab, Thailand's Response to the Cambodian Genocide
  32. Michael Vickery, Cambodia 1975-1982, Silkworm Books 2000, ISBN 978-974-7100-81-5
  33. Evans and Rowley, Red Brotherhood at War
  34. Esmeralda Luciolli, Le mur de bambou, ou le Cambodge après Pol Pot. (ฝรั่งเศส)
  35. "Documentation Center of Cambodia - Cambodia in the 1980s". คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 2008-09-08. สืบค้นเมื่อ 2012-05-23.
  36. History map
  37. Charles F. Keyes, Laurel Kendall & Helen Hardacre,Asian visions of authority, Joint Committee on Southeast Asia
  38. John Marston, 1997 Cambodia 1991-94: Hierarchy, Neutrality and Etiquettes of Discourse. 1997
  39. Amnesty International, State of Cambodia Human Rights Developments: 1 October 1991 to 31 January 1992. London 1992
  40. Judy Ledgerwood, Cambodian Recent History and Contemporary Society; 1989-1993 State of Cambodia
  41. Sorpong Peou, Intervention & change in Cambodia
  42. Alexander Laban Hinton, Why did they kill?
  43. Cambodia - UNTAC - Mandat
  44. Information on KPRP rule
  45. Pobzeb Vang, Five Principles of Chinese Foreign Policies
  46. Major Political Developments, 1977-81
  47. United Nations Doc. A/13022 11 January 1979
  48. Michael Vickery, Cambodia 1975-1982, Silkworm Books 2000, ISBN 978-974-7100-81-5
  49. Third World Traveler, US supports Pol Pot
  50. Thomas Bodenheimer & Robert Gould, Rollback: Right-wing Power in U.S. Foreign Policy, South End Press, 1989
  51. Susanne Alldén & Ramses Amer, The United Nations and Peacekeeping: Lessons Learned from Cambodia and East Timor (A/45/PV.3 par. 8)
  52. Sorpong Peou, Intervention & change in Cambodia
  53. Cambodia - Military Service

บรรณานุกรม[แก้]

  • Bekaert, Jacques, Cambodian Diary, Vol. 1: Tales of a Divided Nation 1983–1986, White Lotus Press, Bangkok 1997, ISBN 974-8496-95-3, & Vol. 2: A Long Road to Peace 1987–1993, White Lotus Press, Bangkok 1998, ISBN 978-974-8496-95-5
  • Harris, Ian, Buddhism in Extremis: The Case of Cambodia, in Buddhism and Politics in Twentieth-Century Asia, edited by Ian Harris, 54–78 (London, New York: Pinter, 1999). ISBN 1-85567-598-6
  • Gottesman, Evan, Cambodia after the Khmer Rouge: Inside the politics of Nation Building.
  • Kiernan, Ben and Caroline Hughes (eds). Conflict and Change in Cambodia. Critical Asian Studies 34(4) (December 2002)
  • Silber, Irwin, Kampuchea: The Revolution Rescued, Oakland, 1986
  • Volkmann, Toby Alice , Cambodia 1990. Special edition. Cultural Survival Quarterly 14(3) 1990

แหล่งข้อมูลอื่น[แก้]