ชาวไทยในกัมพูชา
ประชากรทั้งหมด | |
---|---|
ชาวไทยในเกาะกง 48,340 คน (พ.ศ. 2551)[1] บุคคลสัญชาติไทยในกัมพูชา 9,043 คน (พ.ศ. 2564)[2] | |
ภูมิภาคที่มีประชากรอย่างมีนัยสำคัญ | |
กัมพูชา | 34,930 (พ.ศ. 2551)[1][หมายเหตุ ก] |
ไทย | 13,410 (พ.ศ. 2551)[1] |
ภาษา | |
ไทย (ตราด · ไทเบิ้ง) · เขมร | |
ศาสนา | |
พุทธนิกายเถรวาท | |
กลุ่มชาติพันธุ์ที่เกี่ยวข้อง | |
ไทยสยาม · ไทยเชื้อสายจีน · กัมพูชาเชื้อสายจีน |
ชาวไทยในกัมพูชา คือกลุ่มชาติพันธุ์ที่มีเชื้อสายเดียวกับชาวไทยสยามในประเทศไทย ซึ่งอาศัยอยู่ในประเทศกัมพูชา โดยมากอาศัยอยู่ในจังหวัดเกาะกง ซึ่งอยู่ทางทิศตะวันตก ติดชายแดนประเทศไทย คิดเป็นร้อยละ 25 ของประชากรทั้งจังหวัดเมื่อ พ.ศ. 2551[1] พวกเขายังคงอัตลักษณ์ด้านประเพณี ภาษา และวัฒนธรรมอย่างไทย และถูกเรียกว่า "ไทยเกาะกง/สยามเกาะกง" (เขมร: សៀមកោះកុង, ออกเสียง "เซียมเกาะฮ์กง") ในอดีตพวกเขาถูกกดขี่ทางวัฒนธรรม ปัจจุบันพวกเขาได้รับสัญชาติเขมรตามกฎหมาย แต่ก็มีบุคคลเชื้อสายไทยบางส่วนลี้ภัยเป็นผู้พลัดถิ่นในไทย[3][4]
ประวัติ
[แก้]ชาวไทยหรือชาวสยามอพยพเข้าสู่เขตอิทธิพลของเขมรช้านาน มีหลักฐานที่เก่าแก่ที่สุดที่กล่าวถึง "เสียม" ในศิลาจารึกอังกอร์โบเร็ย จารึกใน พ.ศ. 1154 เขียนไว้ว่า กุ สฺยำ ("นาง [ทาส] เสียม")[6] ส่วนในบันทึกของโจว ต้ากวาน ทูตจีนผู้เดินทางไปเมืองพระนคร ได้บันทึกถึงการดำรงอยู่ของชาวสยามว่าเป็นคนละกลุ่มกับชาวเขมร ชาวเขมรซื้อหม่อนและหนอนไหมจากชาวสยาม เพราะชาวสยามรู้จักการทอเครื่องนุ่งห่ม ชาวเขมรจึงต้องจ้างชาวสยามซ่อมแซมเสื้อผ้าให้[7] และยังพบภาพสลักกองทหาร "เสียมกุก" บนผนังระเบียงปราสาทนครวัด โดยมีจารึก เนะ สฺยำ กุกฺ ("นี่ เสียมกุก")[8] และ อฺนก ราชการฺยฺย ภาค ปมญฺ เชฺง ฌาล ด นำ สฺยำ กุก ("ข้าราชการฝ่ายทหารพรานแห่งเมืองเชงฌาล ซึ่งนำชาวเสียมกุก")[9] แต่จารึกดังกล่าวถูกมือดีลบออกไปแล้ว[10] ใน เขมรแบ่งเป็นสี่ภาค พระราชนิพนธ์ในพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ทรงอธิบายไว้ว่า ชาวไทยและชาวเขมรอาศัยอยู่ปะปนกันมาแต่ยุคโบราณ โดยเฉพาะบ้านเมืองในแถบทางตะวันตกเฉียงเหนือของประเทศกัมพูชาในปัจจุบัน ทรงยกตัวอย่างนามเมืองเสียมราฐ ที่ว่าแปลว่าเมืองคนไทยทำปลาแห้ง ซึ่งตั้งอยู่รอบนอกเมืองพระนคร[11] ในหนังสือ ฝั่งขวาแม่น้ำโขง (2490) ระบุว่า ชนชาติขอมปะปนกับคนไทยมากขึ้น "...มีภูมิลำเนาอยู่ในดินแดนตะวันออกแห่งอ่าวสยาม คือทางลุ่มแม่น้ำโขงทางตอนใต้ ซึ่งบัดนี้ได้มาปะปนกับไทยมากขึ้น ส่วนที่อยู่ทางลุ่มแม่น้ำโขงตอนใต้จนกลายเป็นเขมรหรือจามไป"[12]
ปรากฏการแย่งชิงทรัพยากรมนุษย์ระหว่างสยามกับเขมรสู่ดินแดนตนเองอยู่เนือง ๆ[13] ในรัชสมัยพระรามาธิบดี (คำขัด) ซึ่งตรงกับช่วงต้นกรุงศรีอยุธยา ยกทัพไปตีเมืองจันทบูรและบางคาง ก่อนกวาดต้อนคนกลับกรุงจตุมุข (ปัจจุบันคือบริเวณแถบบาสาณ อุดง ละแวก ศรีสันทร และพนมเปญ)[14] และทรงยกทัพมาพร้อมกับเจ้าพญาแก้วฟ้า กวาดต้อนราษฎรปลายแดนอยุธยาไปอีก[15] รัชสมัยเจ้าพญายาต ทรงยกทัพไปตีเมืองจันทบูร[15] รัชสมัยพระบรมราชาที่ 4 (นักพระสัตถา) โปรดให้พระทศราชาและพระสุรินทราชายกทัพกวาดต้อนคนไทยบริเวณชายแดนภาคตะวันออกใน พ.ศ. 2125[16] ราชพงษาวดารกรุงกัมพูชา ระบุว่า ใน พ.ศ. 2164 ระบุว่าเจ้าฝ่ายหน้าของสยามยกทัพไปภูเขาจังกางเพื่อตีเขมร แต่สมเด็จพระไชยเชษฐา กษัตริย์เขมร เคลื่อนพลไปตีทัพสยามแตก เจ้าฝ่ายหน้าหลบหนีไปได้ ส่วนไพร่พลถูกจับเป็นเชลย เชลยสยามเหล่านี้ถูกเรียกว่า "ไทยจังกาง"[17] ใน พ.ศ. 2173 รัชสมัยพระศรีธรรมราชา พระราชสมภาร ทรงแต่งทัพไปกวาดต้อนชาวนครราชสีมากลับกัมพูชา[16][18] นอกจากนี้ยังมีหญิงสยามเข้ารับราชการเป็นบาทบริจาริกาของเจ้านายเขมรจำนวนหนึ่ง[19][20] หนึ่งในนั้นคือธิดาเจ้าเมืองบางคาง มารดาของเจ้าพระยาญาติ[21]
อย่างไรก็ตาม การเข้ามาของชาวไทยคืออีกหนึ่งจุดเริ่มต้นของการเสื่อมสลายของเมืองพระนครในหลายด้านที่ค่อย ๆ แผ่อิทธิพลเข้ามาอย่างช้า ๆ ในช่วงพุทธศตวรรษที่ 20 ทั้งด้านศาสนาพุทธนิกายเถรวาท ซึ่งไม่สนับสนุนการสร้างศาสนสถานขนาดใหญ่ โดยในเวลานั้นชาวเขมรชนชั้นไพร่และทาสที่ถูกกดขี่ ล้วนเบื่อหน่ายการสร้างสถาปัตยกรรมขนาดมหึมาแก่ชนชั้นปกครอง เมื่ออยุธยายกทัพไปตีเมืองนครธม เหล่าไพร่ทาสจึงพร้อมใจกันหลบหนีไม่เข้าร่วมสงคราม ทำให้เมืองนครธมล่มสลาย[22] และกัมพูชาย้ายศูนย์กลางการปกครองลงทางตอนใต้ด้วยมุ่งหวังการค้ากับจีนอย่างเต็มใจ[23] กัมพูชาเปลี่ยนสถานะจากจักรวรรดิที่ยิ่งใหญ่ กลายเป็นบ้านเล็กเมืองน้อยไปในที่สุด[22]
ในช่วงการเสียกรุงศรีอยุธยาครั้งที่สอง มีคลื่นผู้อพยพชาวสยามลี้ภัยมายังเมืองเขมรและพุทไธมาศจำนวนมาก[24] ในเวลาต่อมา สมเด็จพระเจ้ากรุงธนบุรีได้ยกทัพเข้ามาไปยังเมืองพุทไธมาศและเมืองเขมรเมื่อ พ.ศ. 2314 เพื่อกำจัดเจ้านาย ขุนนาง และข้าหลวงจากอยุธยาที่ลี้ภัยเหล่านี้ให้สิ้นซาก ดังปรากฏใน จดหมายรายวันทัพสมัยธนบุรี เนื้อหาระบุว่า "...มาบัดนี้จะส่งเจ้าองค์รามขึ้นไปราชาภิเษก ณ กรุงกัมพูชาธิบดี…ตัวเจ้าเสสังข์ เจ้าจุ้ย แลข้าหลวงชาวกรุงฯ ซึ่งไปอยู่เมืองใดจะเอาให้สิ้น..."[25][26]
ครั้นในยุคธนบุรีและรัตนโกสินทร์ มีการไปมาหาสู่ระหว่างเขตแดนของชาวไทยและเขมร ในช่วง พ.ศ. 2325 เป็นต้นมา มีกลุ่มชาวไทยอพยพลงไปตั้งชุมชนและสร้างเมืองขึ้นในเขตขอมแปรพักตร์ ได้แก่ เมืองมงคลบุรี เมืองศรีโสภณ เมืองวัฒนานคร เมืองอรัญประเทศ เมืองพระตะบอง และเมืองเสียมราฐ ซึ่งชาวไทยกลุ่มนี้ยังได้สร้างป้อมและกำแพงเมืองไว้อย่างมั่นคง[11] อีกทั้งยังมีคณะละครชาวสยามข้ามไปทำการแสดงยังฝั่งเขมร ตัวละครทั้งชายและหญิงผู้มีฝีมือหลายคนเข้ารับราชการในราชสำนักของเขมร บางคนก็เข้าไปเป็นครูละคร[27][28] ใน จดหมายมองซิเออร์วิลแมง ถึงมองซิเออร์เดคูร์วีแยร์ ระบุว่าช่วง พ.ศ. 2328–2329 ในรัชสมัยพระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกมหาราช สยามทำสงครามแพ้กัมพูชาเมื่อวันที่ 18 มกราคม ทำให้มีคนไทยจำนวน 500 คน และคนเข้ารีตอีก 16 คน ตกค้างอยู่ฝั่งตะวันออกของแม่น้ำโขงในแดนของกัมพูชา ครั้นเดือนมิถุนายนปีเดียวกัน ก็มีทหารสยามหนีทัพจากเขมรหนีกลับเข้ามากรุงเทพมหานคร[29] อย่างไรก็ตาม ยังมีชาวไทยจำนวนไม่น้อยเข้าไปในกัมพูชาด้วยความสมัครใจ เช่นไปเป็นเจ้าพนักงาน และหลายคนเข้ารับราชการเป็นบาทบริจาริกากษัตริย์เขมร[30][31] ในราชสำนักสยามและราชสำนักเขมร มีการเกี่ยวดองทางเครือญาติด้วยการเสกสมรส โดยเฉพาะอย่างยิ่งในราชสำนักฝ่ายในของพระบาทสมเด็จพระนโรดม บรมรามเทวาวตารซึ่งทรงคุ้นเคยกับชีวิตในราชสำนักสยามมาโดยตลอด ก็มีสตรีสยามหรือหญิงลูกครึ่งสยามถวายงานอยู่เป็นจำนวนมาก เช่น คุณพระนางสุชาติบุปผา พระชนนีของพระองค์เจ้าดวงจักร[32] บาทบริจาริกาชาวสยามเหล่านี้ มีทั้งหญิงสามัญและเจ้านายจากราชวงศ์จักรี เช่น หม่อมราชวงศ์ตาด ปาลกะวงศ์ ภรรยาพระราชทานของพระบาทสมเด็จพระนโรดม บรมรามเทวาวตาร[33] หม่อมเจ้าพัชนี (ไม่ทราบราชสกุลเดิม) และหม่อมเจ้าปุก อิศรศักดิ์ เป็นพระเทพีของพระบาทสมเด็จพระนโรดม บรมรามเทวาวตารเช่นกัน[34] การส่งอิทธิพลของราชสำนักรัตนโกสินทร์ในด้านต่าง ๆ ทำให้ชนชั้นสูงของกัมพูชาเข้าสู่กระบวนการทำให้เป็นสยาม (Siamization)[35][36]
นอกจากกลุ่มนางละครชาวสยามที่เข้าไปยังแดนกัมพูชา ก็คือกองทหารสยามที่แตกทัพในสงครามอานามสยามยุทธ พวกเขาอาศัยปะปนอยู่กับชาวเขมรกรอมแถบปากแม่น้ำโขง ประกอบอาชีพกสิกรรม ปัจจุบันอยู่ในเมืองสักซ้า (หรือกระมวนสอ) ประเทศเวียดนาม โดยยังหลงเหลือนามภูมิ คือ บ้านซแรเซียมจะส์ (ស្រែសៀមចាស់, "นาสยามเก่า") บ้านซแรเซียม-ทเม็ย (ស្រែសៀថ្មី, "นาสยามใหม่") และบ้านเซียมจอด (សៀមចត, "สยามจอด [เรือ]")[6] และยังมีกลุ่มพระภิกษุสงฆ์จากสยามเข้าไปเผยแผ่ศาสนาพุทธ และจำพรรษาในกัมพูชา ตั้งแต่รัชสมัยพระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัว จนถึงรัชสมัยพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว[37] เพื่อแพร่อิทธิพลทางวัฒนธรรมของสยาม[35] และภาวะทันสมัย ถือเป็นความก้าวหน้าและพัฒนาเชิงกายภาพของพระศาสนา[38]
การแบ่งกลุ่ม
[แก้]จังหวัดเกาะกง
[แก้]นอกจากชาวไทยยุคเก่าที่อพยพเข้าไปกัมพูชา ยังมีชาวไทยพื้นเมืองที่อาศัยอยู่เป็นกลุ่มก้อนมาช้านานในเขตจังหวัดเกาะกง เดิมเป็นเมืองปัจจันตคิรีเขตรขึ้นกับกรุงสยาม มีรากเหง้าเดียวกันกับคนเชื้อสายไทยในจังหวัดตราด พวกเขามีบรรพบุรุษมาจากบ้านลาดพลี เมืองราชบุรี มีมุขปาฐะอธิบายไว้ว่าอพยพหนีสงครามกับพม่า แต่ไม่แจ้งชัดว่าในยุคกรุงศรีอยุธยาหรือธนบุรี เข้าสู่เมืองตราดหลายร้อยครัวและกระจายตัวออกไปตั้งถิ่นฐาน[39] ส่วนใหญ่จะอาศัยอยู่ตามหมู่บ้านต่าง ๆ ตามคลองและลุ่มแม่น้ำ เช่น ลุ่มแม่น้ำเกาะปอ, แม่น้ำครางครืน, แม่น้ำตาไต, แม่น้ำบางกระสอบ, แม่น้ำตะปังรุง, แม่น้ำคลองพิพาท, อ่าวเกาะกะปิ, คลองแพรกกษัตริย์, อ่าวยายแสน, อ่าวพลีมาศ, อาหนี และอาจเลยไปถึงนาเกลือ[40] และทั้งหมดล้วนมีเชื้อสายจีนประสมอยู่ด้วย[1]
ทว่าหลังรัฐบาลสยามยอมยกเมืองตราดและปัจจันตคิรีเขตรแก่ฝรั่งเศสตามพิธีสารลงวันที่ 24 มิถุนายน พ.ศ. 2447 เพื่อให้ฝรั่งเศสถอนทหารออกจากเมืองจันทบุรี ต่อมามีการทำหนังสือลงนามระหว่างสยามกับฝรั่งเศสอีกครั้งเมื่อวันที่ 23 มีนาคม พ.ศ. 2449 โดยยอมยกเมืองพระตะบอง เสียมราฐ และศรีโสภณแก่ฝรั่งเศส เพื่อแลกกับเมืองด่านซ้าย กับเมืองตราด แต่ฝรั่งเศสไม่ได้ยกเมืองปัจจันตคิรีเขตรคืนมาด้วย ชาวไทยที่ตกค้างในนั้นจึงเปลี่ยนสภาพเป็นคนพลัดถิ่นเรื่อยมาจนถึงปัจจุบัน[1] ก่อน พ.ศ. 2514 มีชาวไทยที่อาศัยในเกาะกงราว 40,000 คน แต่เมื่อเข้าสู่ยุคเขมรแดง ชาวไทยในเกาะกงลดจำนวนลงอย่างรวดเร็ว บ้างก็โยกย้ายไปฝั่งไทย บ้างก็ถูกเขมรแดงสังหาร ทำให้ พ.ศ. 2528 เหลือชาวไทยในเกาะกงอยู่ราว 8,000 คน[41] สมัยนโรดม สีหนุเป็นกษัตริย์-รัฐมนตรีอยู่ในขณะนั้นเคยห้ามคนเกาะกงพูดภาษาไทย หากฝ่าฝืนจะถูกตำรวจจับ และบางรายโชคร้ายก็จะถูกฆ่า โดยในสมัยนั้นนายพลลอน นอลที่ทำงานใกล้ชิดกับสีหนุขณะนั้นเคยพูดไว้ว่า "คนไทเกาะกง แม้ว่าจะตายไปสักห้าพันคน ก็ไม่ทำให้แผ่นดินเขมรเอียง"[42] จากการกดขี่ดังกล่าว ชาวไทยในเกาะกงจึงอพยพเข้าสู่ประเทศไทยถึงสี่ระลอก ได้แก่ ระลอกที่หนึ่ง (พ.ศ. 2502–2512) ตรงกับยุคนโรดม สีหนุ ระลอกที่สอง (พ.ศ. 2513–2518) ตรงกับยุคลอน นอล ระลอกที่สาม (พ.ศ. 2518–2520) ในช่วงที่เวียดนามยึดครองกัมพูชา และระลอกที่สี่ (พ.ศ. 2520 เป็นต้นมา) ถือว่าเป็นผู้หลบหนีเข้าเมือง[1] ปัจจุบันชาวไทยในเกาะกงล้วนมีเครือญาติอยู่ในประเทศไทย นิยมส่งบุตรหลานเข้าเรียนในประเทศไทย และมีจิตสำนึกว่าตนเองเป็นคนไทย[43] และมีชาวไทยเกาะกงจำนวนไม่น้อยที่ยังตกค้างอยู่ประเทศไทยไม่อพยพกลับกัมพูชา จำนวนมากถึง 13,410 คน ใน พ.ศ. 2551[1]
ชาวไทยจากเกาะกงหลายคนมีบทบาททางการเมืองของกัมพูชา เช่น ใส่ ภู่ทอง จา เรียง (หรือ จำเรียง ศิริวงษ์) และเตีย บัญ (หรือ สังวาลย์ หินกลิ้ง) เพราะชาวไทยในเกาะกงตระหนักถึงความเป็นอื่นในกัมพูชา จึงรวมเป็นกลุ่มคณะอิสระ และพลพรรคไทยเกาะกง ด้วยมุ่งหวังความปลอดภัยและอำนาจอิสระในการปกครองตนเองของคนไทย[44] หลังสิ้นสุดยุคเขมรแดงใน พ.ศ. 2522 รัฐบาลกลางกัมพูชาประกาศยอมรับชาวไทยในเกาะกงเป็นชนชาติส่วนน้อย เป็นประชาชนกัมพูชาโดยนิตินัยเสมอภาคเท่าเทียมกับชาวเขมร มีอิสรภาพปกครองตนเอง มีสิทธิในการกำหนดนโยบายในการบริหารท้องถิ่นโดยยึดขนบธรรมเนียมประเพณีเป็นหลัก[45] ในรัฐบาลฮุน เซน มีชาวไทยขึ้นดำรงตำแหน่งเป็นผู้ว่าราชการจังหวัดเกาะกงอย่างต่อเนื่อง ได้แก่ ยุทธ ภู่ทอง, บุญเลิศ พราหมณ์เกษร, รุ่ง พราหมณ์เกษร และมิถุนา ภู่ทอง[46] ทั้งนี้ชาวไทยเกาะกงที่เป็นชนชั้นปกครองนี้ ล้วนเป็นเครือญาติกันผ่านการสมรส[47]
จังหวัดพระตะบองและบันทายมีชัย
[แก้]ส่วนกลุ่มชาวไทยและไทยโคราชที่อาศัยในจังหวัดบันทายมีชัยและพระตะบอง กลุ่มชาวไทยที่พูดภาษาไทยกลางมีประวัติการอยู่อาศัยมานานจากการที่เขมรตกอยู่ภายใต้การปกครองของสยามตั้งแต่พุทธศตวรรษที่ 24–25 เพราะช่วงต้นกรุงรัตนโกสินทร์มีเจ้านายเขมรเข้าไปพึ่งพระบรมโพธิสมภารของกษัตริย์สยามหลายครั้งก่อนกลับไปเสวยราชย์กรุงกัมพูชา พวกเขาก็ได้นำประเพณีในราชสำนักสยามกลับไปราชสำนักเขมรด้วย มีการส่งพระสงฆ์เขมรมาบวชเรียนในสยาม เพื่อสั่งสอนศาสนา รวมทั้งนำรูปแบบศิลปกรรมกลับไปใช้ โดยมีพระสงฆ์ชาวสยามเข้าไปเผยแผ่ศาสนาและจำพรรษาในกัมพูชาในรัชสมัยพระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัวจนถึงรัชสมัยพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ดังพบพุทธศาสนสถานมีก่อสร้างสร้างด้วยรูปแบบสถาปัตยกรรมและศิลปกรรมไทยตามแบบพระราชนิยมอยู่ดาษดา[37]
มีชาวไทยหลายคนเคยมีถิ่นพำนักในพระตะบอง เช่น สกุลอภัยวงศ์ หลวงเรืองเดชอนันต์ (ทองดี ธนะรัชต์) และจิตร ภูมิศักดิ์ ปัจจุบันคนไทยกลุ่มนี้กลมกลืนไปกับชาวเขมรเสียมาก ผู้มีอายุ 80 ปีขึ้นไปยังสามารถใช้ภาษาไทยได้ดี[48] แต่ผู้สืบเชื้อสายสกุลอภัยวงศ์ที่อาศัยในพระตะบอง พวกเขาเลือกที่จะไม่ใช้นามสกุลอภัยวงศ์แบบไทย เพราะเกรงผลกระทบทางการเมือง ด้วยฝ่ายกัมพูชามองว่าการกระทำของเจ้าพระยาอภัยภูเบศรเป็นการทรยศ ทั้ง ๆ ที่ตระกูลนี้ก็มีบรรพชนเป็นเขมร[49] หลังไทยได้ดินแดนจังหวัดพระตะบองและพิบูลสงครามคืนจากฝรั่งเศสในรัฐบาลจอมพล แปลก พิบูลสงคราม เมื่อ พ.ศ. 2484 เบื้องต้นดินแดนใหม่นี้ยังไม่มีกองทหารเข้าไปประจำการ มีเพียงตำรวจไทยเข้าประจำการเท่านั้น หลังจากนั้นก็มีผู้อพยพชาวไทยอพยพเข้าไปตั้งรกรากในดินแดนใหม่ โดยเฉพาะเมืองพระตะบองที่มีค่าอุปโภคบริโภคราคาเยา เพราะเป็นเมืองอู่ข้าวอู่น้ำ และรัฐบาลไทยยังไม่ประกาศกฎหมายภาษีอากร ทำให้ไม่ต้องเสียภาษีสำหรับการฆ่าสัตว์หรือการประมง[50] หลังไทยคืนดินแดนสี่จังหวัดคืนให้กับฝรั่งเศสเมื่อวันที่ 9 ธันวาคม พ.ศ. 2489 รัฐบาลไทยเริ่มส่งตัวข้าราชการไทยพร้อมสิ่งของกลับกรุงเทพมหานครตั้งแต่เดือนตุลาคม ราษฎรไทยพร้อมด้วยชาวเขมรและญวนบางส่วน ขออพยพติดตามข้าราชการไทยข้ามไปอาศัยในฝั่งไทยแถบอำเภออรัญประเทศ[51] แม้ดินแดนจะกลับคืนสู่การปกครองของฝรั่งเศสและกัมพูชาตามลำดับ แต่การไปมาหาสู่ของชาวไทยทั้งสองฝั่งยังดำเนินต่อไป ดังพบว่าช่วง พ.ศ. 2513 มีคนไทยจำนวนหนึ่งขับรถยนต์เข้าไปซื้อของที่ตลาดศรีโสภณ ซึ่งไกลจากชายแดนไทยราว 50 กิโลเมตร[52]
ส่วนชาวไทยอีกกลุ่มหนึ่ง คือ ชาวไทยโคราช เริ่มอพยพสู่กัมพูชาทั้งก่อนและหลัง พ.ศ. 2484 ครั้นไทยพ่ายแพ้สงครามโลกครั้งที่สอง ได้คืนดินแดนเขมรส่วนในแก่ฝรั่งเศส ชาวไทยเหล่านี้จึงแปรสภาพเป็นคนพลัดถิ่น ปัจจุบันพวกเขาสมรสข้ามชาติพันธุ์กับชาวเขมร ลาว และกุลา อัตลักษณ์ที่โดดเด่นเพียงอย่างเดียวคือการใช้ภาษาไทย ก็พบผู้ใช้น้อยลงทุกขณะ[53]
วัฒนธรรม
[แก้]ภาษา
[แก้]ในอดีตสยามมีอิทธิพลเหนือกัมพูชามายาวนาน ในราชสำนักของพระบาทสมเด็จพระนโรดม บรมรามเทวาวตารจะใช้ภาษาไทยเป็นหลัก แต่ถัดมาในรัชสมัยพระบาทสมเด็จพระสีสุวัตถิ์ตรัสภาษาไทยได้ แต่พูดภาษาเขมรเป็นหลัก และชนชั้นผู้ดีเก่าในพนมเปญโดยมากพูดไทยได้คล่อง หรืออย่างต่ำก็ฟังไทยพอเข้าใจ แต่หลังกัมพูชาตกเป็นรัฐอารักขาของฝรั่งเศส คนชั้นหลังพูดภาษาฝรั่งเศส และใช้ภาษาไทยลดลง[54] การนับเลขเขมรตั้งแต่จำนวน 30 เป็นต้นไปก็ยืมมาจากการนับเลขของภาษาไทยทั้งหมด[55] คำราชาศัพท์เขมรในปัจจุบันมีการรับคำไทยเข้าไปใช้[56] เช่น ขึมขาต (เข็มขัด), จุตหมาย (จดหมาย), พระสุภาก (สไบห่ม มาจากคำว่า "สะพัก"), ทด (ดู มาจากคำว่า "ทอด"), พระทีนัง (พระที่นั่ง), ทรงเตีน (ตื่น) และยาง (เดิน มาจากคำว่า "ย่าง") เป็นต้น[57] ทั้งยังมีร่องรอยอักษรไทยตามสถานที่ต่าง ๆ เช่น ภาพจิตรกรรมเรื่อง รามเกียรติ์ ที่วัดบูร์ จังหวัดเสียมราฐ ที่มีการเขียนอักษรไทยกำกับภาพหลายแห่ง รวมทั้งได้สอดแทรกตราแผ่นดินสยาม และเครื่องแต่งกายแบบสยามไว้อย่างครบถ้วน[58] และพบอักษรไทยเขียนคำว่า พระตะบอง ที่เรือนของหลวงเสน่หาพิมล ข้าราชการของเจ้าพระยาอภัยภูเบศร (ชุ่ม อภัยวงศ์) ในเมืองพระตะบอง[59]
ชาวไทยในกัมพูชาในปัจจุบันสามารถพูดได้ทั้งภาษาไทยและเขมร แบ่งเป็นชาวไทยในจังหวัดบันทายมีชัยและพระตะบองมีผู้พูดทั้งภาษาไทยถิ่นกลางและกลุ่มภาษาไทยโคราช[60] แต่ลูกหลานบางส่วนเริ่มไม่ใช้ภาษาไทยแล้ว เพราะต้องใช้ภาษาเขมรในการสื่อสารเป็นหลัก[53] และพบว่าน้อยคนที่จะใช้ภาษาไทยได้[49] ขณะที่ชาวไทยในเกาะกงพูดภาษาไทยถิ่นกลางสำเนียงแบบเดียวกับจังหวัดตราด[61] และยังสื่อสารด้วยภาษาไทยเป็นหลัก[1] แต่เดิมเกาะกงในปี พ.ศ. 2506 เคยออกกฎห้ามชาวเกาะกงพูดภาษาไทย[62] โดยจะปรับเป็นคำละ 25 เรียล ห้ามมีเงินไทย และห้ามมีหนังสือไทยอยู่ในบ้าน หากเจ้าหน้าที่พบจะถูกทำลายให้สิ้นซาก ต่อมาในปี พ.ศ. 2507 ค่าปรับการพูดภาษาไทยเพิ่มขึ้นเป็น 50 เรียล หากไม่ปฏิบัติจะถูกแขวนป้ายประจาน ในหนังสือ รัฐบาลทมิฬ และ ปัตจันตคีรีเขตร์ เมืองแห่งความหลัง กล่าวถึงนางหล็อง หญิงไทยบ้านบางกระสอบ ทะเลาะกับสามีชื่อนายเห่ง นางหล็องหลุดปากด่าสามีเป็นภาษาไทย จนเรื่องไปถึงคณะกรรมการหมู่บ้าน จึงให้ลงโทษนางหล็องด้วยการใช้แรงงานหนัก นางหล็องไม่ยอมรับจึงดื่มยาพิษฆ่าตัวตาย สร้างความสะเทือนใจแก่ชาวไทยในเกาะกงที่ไม่สามารถใช้ภาษาบรรพบุรุษของตนได้[63] แต่ทุกวันนี้ภาษาไทยมีความสำคัญมาก ชาวกัมพูชาไม่ว่าไทยหรือเขมรนิยมส่งบุตรหลานเข้าเรียนในไทยเพื่อประโยชน์ด้านภาษา หลายคนต้องไปเรียนร่วมชั้นเรียนกับนักเรียนไทยรุ่นน้อง เมื่อใช้ภาษาไทยได้คล่องแคล่วแล้วก็จะลาออกกลางคันกลับไปทำงานที่กัมพูชา[64]
ศาสนา
[แก้]ชาวเขมรรับศาสนาพุทธนิกายเถรวาทจากสยาม หลังอิทธิพลของศาสนาฮินดู และศาสนาพุทธนิกายมหายานเสื่อมลงไป[65] ในระยะหลังมีกลุ่มพระภิกษุสงฆ์จากสยามเข้าไปเผยแผ่ศาสนาพุทธ และจำพรรษาในกัมพูชา ตั้งแต่รัชสมัยพระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัว จนถึงรัชสมัยพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว[37] นับเป็นกลไกทางอิทธิพลจากราชสำนักสยามที่เรียกว่าการทำให้เป็นสยาม (Siamization)[35] และในรัชสมัยของสมเด็จพระหริรักษ์รามมหาอิศราธิบดี ซึ่งเป็นพระราชโอรสบุญธรรมของพระมหากษัตริย์สยาม ทรงมองว่า การปฏิรูปศาสนาพุทธในสยามถือเป็นความก้าวหน้าและพัฒนาเชิงกายภาพของพระศาสนา นับว่าเป็นภาวะทันสมัย (Modernization) ที่ทรงปรารถนาให้เกิดขึ้นในกัมพูชา[38] แต่การเข้ามาของธรรมยุติกนิกายเผยแผ่แก่ชาวเขมร ทำให้คณะสงฆ์เขมรแตกออกเป็นสองกลุ่ม คือ คณะมหานิกาย และธรรมยุต เช่นเดียวกับสยาม คณะมหานิกายกลับมีบทบาทโดดเด่นกว่า ส่วนคณะธรรมยุตก็มีบทบาทในการต่อต้านฝรั่งเศสร่วมกับชาวเขมร[66] แต่คณะธรรมยุตก็ไม่ได้นำความทันสมัยสู่สังคมเขมร อย่างที่เคยเกิดขึ้นในสยาม[67]
ขณะชาวไทยในเกาะกงหรือในขณะนั้นคือเมืองปัจจันตคิรีเขตรนับถือศาสนาพุทธนิกายเถรวาทเช่นกัน แต่ก็มีอิทธิพลจากศาสนาชาวบ้านหรือเคยมีความเชื่อแปลก ๆ ด้วย เพราะช่วงรัชสมัยพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว มีนักบวชอลัชชีเชื้อสายญวนคนหนึ่ง ชื่อ องค์โด้ มาตั้งสำนักอยู่ริมแม่น้ำเกาะปอ (ปัจจุบันคือบ้านเสาธง จังหวัดเกาะกง) ซึ่งอ้างต้วว่ามีวิชาอาคม และประกอบพิธีกรรมแปลก ๆ เช่น เปลือยกายและแสดงตนว่าเป็นพระยาควายทรพี คลานสี่เท้า ไปดมก้น และขี่หลังแม่ชีสาว ๆ ในสำนักที่เปลือยกายเช่นกัน ภายหลังรัฐบาลสยามได้ส่งทหารไปจับตัวลูกศิษย์องค์โด้ แต่องค์โด้หลบหนีหายไป ลัทธิประหลาดนี้ก็สาบสูญไปด้วย หลงเหลือเพียงภูมินามต่าง ๆ ที่เกี่ยวกับเรื่องราวองค์โด้ในจังหวัดเกาะกง[68] ทุกวันนี้ชาวไทยในจังหวัดเกาะกงยังคงสวดมนต์ด้วยบาลีสำเนียงไทยและภาษาไทยอย่างเดียวกับในประเทศไทย ซึ่งก่อนหน้านี้ในรัฐบาลนโรดม สีหนุ เคยบังคับให้พระภิกษุไทยสวดมนต์ด้วยสำเนียงเขมรและใช้ภาษาเขมร สร้างความอึดอัดใจแก่ชาวไทยเกาะกงมาก[1] นอกจากนี้พวกเขาให้ความสำคัญกับการเทศน์มหาชาติ และยังบูชาเจ้าแม่ทับทิมตามคติจีน เพราะพวกเขามีเชื้อสายจีนมาประสม[1]
นอกจากกลุ่มที่นับถือศาสนาพุทธแล้ว ยังมีกลุ่มคนไทยที่นับถือศาสนาคริสต์ในกัมพูชาอีกจำนวนหนึ่ง เดิมชาวไทยเข้ารีตกลุ่มนี้อาศัยอยู่ในเขตแดนของเวียดนาม แต่ถูกกองทัพเขมรเกณฑ์มาไว้ในฝั่งกัมพูชา ต่อมามองซิเออร์ ปีแยร์ ลังเกอนัว ได้พาคนเข้ารีตจำนวน 450 คน และทาสชาวเขมรเข้ารีตอีก 100 คน เข้ามายังกรุงเทพมหานครในช่วง พ.ศ. 2328–2329 เหลือคนไทยเข้ารีตตกค้างอยู่ในเมืองเขมรอีก 270 คน[29]
นาฏกรรม
[แก้]อาณาจักรอยุธยาตอนต้นได้รับอิทธิพลการแสดงประเภทคำพากย์จากเขมรสมัยพระนครและหลังพระนคร[69] สังเกตได้จากรูปลักษณ์และการแต่งกายของโขน ซึ่งใกล้เคียงกับรูปแกะสลักในปราสาทขอมโบราณ[70] แต่เมื่อเข้าสู่สมัยอยุธยาตอนปลาย วรรณคดีที่ใช้ในการแสดงเปลี่ยนแปลงไปมาก รวมถึงพัฒนาการด้านการแต่งกายของตนเอง[71][28] เพราะการแสดงประเภทละคร ได้แก่ ละครนอก และละครใน กลายเป็นเครื่องราชูปโภคอย่างหนึ่งของราชสำนักอยุธยา ซึ่งมีได้แต่พระเจ้าแผ่นดินเท่านั้น ก่อนตกทอดสู่ราชสำนักยุครัตนโกสินทร์ ความนิยมต่อละครในราชสำนักรัตนโกสินทร์คงจะส่งอิทธิพลต่อเจ้านาย และเชื้อพระวงศ์เขมรที่เข้ามาพึ่งพระบรมโพธิสมภารพระมหากษัตริย์สยามในยุคนั้นไม่น้อย[69]
ในยุครัตนโกสินทร์ มีคณะละครไทยไปจัดการแสดงที่กัมพูชา ในรัชสมัยสมเด็จพระอุไทยราชาธิราชรามาธิบดีได้ครูละครผู้ชายจากกรุงเทพฯ ไปเป็นละครนอก[27] ต่อมามีคณะละครผู้หญิงชาวสยามของเจ้าพระยาบดินทรเดชา (สิงห์ สิงหเสนี) ไปเมืองเขมรช่วงที่รบกับญวน และได้กลายเป็นครูละครหญิงของสมเด็จพระหริรักษ์รามมหาอิศราธิบดี[27] ครั้นรัชสมัยพระบาทสมเด็จพระนโรดม บรมรามเทวาวตารทรงหานางละครสยามจากกรุงเทพฯ ไปชุบเลี้ยง โดยมากได้นางละครจากเจ้านายวังหน้าไปเป็นครูละครในเมืองเขมรหลายคน[72] ได้แก่ ครูละครคณะเจ้าคุณจอมมารดาเอม ละครพระองค์เจ้าดวงประภา และละครพระองค์เจ้าสิงหนาท มาฝึกหัดในราชสำนักเขมร[73] การแสดงในช่วงนั้นนิยมแสดงเป็นภาษาไทยเพียงอย่างเดียว[27] ครั้นในรัชสมัยพระบาทสมเด็จพระสีสุวัตถิ์ ทรงนำคณะละครนอกและละครในมาเล่นประสมโรง และเล่นเป็นภาษาไทยและเขมร[27] ฮิเดโอะ ซาซางาวะ จากสถาบันวัฒนธรรมเอเชีย มหาวิทยาลัยโซเฟีย ระบุว่าการแสดงละโคนโขลของกัมพูชา รับอิทธิพลการแสดงโขนของไทยเป็นต้นแบบ[74][75]
ตัวละครชาวสยามมีชื่อเสียงหลายคน บางคนเข้ารับราชการเป็นบาทบริจาริกากษัตริย์กัมพูชา เช่น หม่อมเหลียง และนักนางมะปรางหวาน ในสมเด็จพระนโรดม บรมรามเทวาวตาร นักนางมะเฟือง และนักหนูน้ำ ในพระบาทสมเด็จพระสีสุวัตถิ์[30] และแพน เรืองนนท์ ในพระบาทสมเด็จพระสีสุวัตถิ์ มุนีวงศ์[31] นอกจากนี้ สตรีสยามบางคนที่มีความสามารถด้านการแสดงเป็นทุนเดิม ได้เป็นนักแสดงภาพยนตร์ที่มีชื่อเสียง เช่น แม่เมือน[76] เมื่อคราวสมเด็จพระเจ้าบรมวงศ์เธอ กรมพระยาดำรงราชานุภาพเสด็จเยือนกัมพูชาราว พ.ศ. 2467 ทรงพบหญิงไทยจากกรุงเทพฯ ที่เข้าไปรับราชการเป็นครูละครหรือเจ้าพนักงานในราชสำนักกัมพูชามาเข้าเฝ้า บางคนออกจากไทยมาทำงานในกัมพูชานานกว่าสี่สิบปี[77]
ด้วยความที่ศิลปะการแสดงมีอิทธิพลจากสยามอย่างสูง พระนางกุสุมะ นารีรัตน์ สิรีวัฒนา ทรงอุปถัมภ์คณะละครหลวงในราชสำนักเขมร[78] พระนางกุสุมะพยายามสร้างอัตลักษณ์ทางนาฏศิลป์เขมรคือระบำอัปสรา โดยมีการดัดแปลงชุดตามอย่างภาพเทวดาและอัปสรในนครวัด เพื่อปลดเปลื้องอิทธิพลนาฏศิลป์ไทยออก[79] สมเด็จพระเรียมนโรดม บุปผาเทวี เจ้านายฝ่ายใน และนางละครกัมพูชา ทรงสัมภาษณ์กับ Khmer Dance Project ไว้ว่า "...ตั้งแต่ยุคนักองค์ด้วง กษัตริย์นโรดม และกษัตริย์สีสุวัตถิ์ อิทธิพลจากไทยมีสูงมาก เพราะเราขาดแคลนครู ครูจากไทยเดินทางมาถึงราชสำนักเขมร บางทีครูเขมรก็ไปที่ราชสำนักไทย นี่เป็นช่วงเวลาของการแลกเปลี่ยนทางวัฒนธรรมระหว่างราชสำนักไทยและราชสำนักเขมร..." และทรงตรัสอีกว่า "...มันคือการผสมผสานที่แท้จริง..."[80] กระนั้นท่ารำ และเพลงในระบำอัปสรา ก็ยังเป็นโครงสร้างท่ารำแบบไทย ไม่ได้นำมาจากภาพจำหลักในปราสาทขอม ที่นางอัปสรจะแอ่นตัวสูง วงสูง หรือยกขาสูง แต่กลับมีการจีบ วง เหลี่ยมเท้า และกระดกเท้าแบบรำไทย เพลงที่ใช้ก็มีลักษณะเดียวกับเพลงไทย คือ เพลงสมอ เพลงสีนวล เพลงจีนหน้าเรือ และเพลงเชิด[81] อย่างไรก็ตามการแต่งกายของนางละครเขมรยังเห็นอิทธิพลของสยามให้เห็นอยู่ จากการศึกษาของสุรัตน์ จงดา (2564) พบว่า การแต่งกายของนาฏศิลป์เขมรในปัจจุบัน รับอิทธิพลจากละครวังหน้าของสยาม ได้แก่ มงกุฎสตรีที่มีกระบังหน้า และเกี้ยวยอดแบบหุ่นวังหน้า เจียระบาดของตัวยักษ์แบบหุ่นวังหน้า รวมทั้งการทัดอุบะแบบวังหน้า ยังคงได้รับการสืบทอดอยู่ในนาฏศิลป์เขมรจนถึงปัจจุบัน[82]
ด้วยวัฒนธรรมที่คล้ายคลึงกันระหว่างสองชาติ คือ ไทยและกัมพูชา มักถูกใช้เพื่อปลุกกระแสชาตินิยมกัมพูชา สร้างความเกลียดชังแก่ไทย ด้วยกล่าวหาว่าคนไทยเป็นชาติขี้ขโมย ผู้ฉกฉวยวัฒนธรรมกัมพูชา โดยเฉพาะเมื่อกัมพูชามีการหาเสียงเลือกตั้ง กระแสนี้จะถูกหยิบยกขึ้นมาพูดถึงบ่อย ๆ[80]
วรรณกรรม
[แก้]หลังการรับครูละคร และตัวละครชาวสยามเข้าไปในราชสำนักเขมร ในยุคแรกเริ่มนั้นจะใช้บทละครที่ได้รับมาจากราชสำนักรัตนโกสินทร์ที่มีภาษาไทยเป็นหลัก ก่อนแปลเป็นบทละครภาษาเขมรในชั้นหลัง เพื่อใช้ในการแสดงละครในโดยเฉพาะ โดยเฉพาะเรื่อง รามเกียรติ์ และ อิเหนา[83] ศานติ ภักดีคำ ราชบัณฑิต ระบุว่า เมื่อนำ เรียมเกรติ์ ภาค 2 ซึ่งเป็นรามายณะฉบับเขมร มาเปรียบเทียบกับรามเกียรติ์ ฉบับพระราชนิพนธ์พระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกมหาราช และฉบับพระราชนิพนธ์พระบาทสมเด็จพระพุทธเลิศหล้านภาลัย พบว่า เรียมเกรติ์ ภาค 2 ของกัมพูชา มีเนื้อหาคล้ายกับรามเกียรติ์ ฉบับพระราชนิพนธ์พระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกมหาราช ตรงกันแบบบทต่อบท จนกล่าวได้ว่า เรียมเกรติ์ของเขมร เป็นการแปลรามเกียรติ์ฉบับพระราชนิพนธ์ไปเป็นภาษาเขมรอย่างชัดเจน[84] สาวรส เพา (2525) อ้างว่า เรียมเกรติ์ ภาค 2 ได้รับอิทธิพลมาจากอุตตรกาณฑ์ในมหากาพย์ รามายณะ ที่แต่งโดยฤๅษีวาลมีกิ ส่วนศานติ ภักดีคำ อธิบายว่า จากหลักฐานทางประวัติศาสตร์บ่งชี้ว่าเขมรสมัยหลังพระนครไม่น่าจะได้รับอิทธิพลจากวรรณคดีสันสกฤตโดยตรงอีก แต่อาจจะได้รับผ่านแหล่งอื่นมากกว่า เพราะเรียมเกรติ์ของกัมพูชานั้น ญุก แถม นักวรรณคดีชาวเขมร สันนิษฐานว่าแต่งขึ้นในช่วงรัชกาลสมเด็จพระนารายณ์รามาธิบดีศรีสุริโยพรรณ จนถึงสมเด็จพระหริรักษ์รามมหาอิศราธิบดี[85] ส่วน อิเหนาคำเขมร เมื่อนำมาเปรียบเทียบกับ อิเหนา ฉบับพระราชนิพนธ์พระบาทสมเด็จพระพุทธเลิศหล้านภาลัย พบว่า มีเนื้อความตรงกันทุกบท และตรงกันบทต่อบท แม้จะมีคำที่ใช้ต่างกันอยู่บ้าง[86]
นอกจากนี้ยังมีการแปลวรรณกรรมไทยเป็นภาษาเขมรอีก โดยเฉพาะผลงานของสุนทรภู่ ได้แก่ พระอภัยมณี ไม่ปรากฏผู้แปล ลักษณวงศ์ แปลโดยออกญาปราชญาธิบดี (แยม) และ จันทโครพ แปลโดยสอาต[87] สุนทรภู่เองก็ได้รับความนิยมในเขมรมาก พระบาทสมเด็จพระนโรดม บรมรามเทวาวตารทรงตั้งราชทินนามแก่ขุนนางชื่อมุก ซึ่งชำนาญด้านวรรณกรรมว่า ออกญาสันธรโวหาร หรือเรียกสั้น ๆ ว่า สันธรมุก แบบเดียวกับ สุนทรภู่[88] นอกจากนี้งานประพันธ์ของสุนทรภู่ยังส่งอิทธิพลการใช้สัมผัสนอก สัมผัสใน เพื่อเพิ่มความไพเราะอันเป็นคุณสมบัติเด่นของสุนทรภู่ลงในการแต่งคำประพันธ์เขมร ซึ่งไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อนในวรรณกรรมเขมร[89]
ส่วนวรรณกรรมไทยที่ถูกแปลเป็นภาษาเขมรอีกเรื่องคือ สุภาษิตสอนหญิง แปลโดยออกญาสุตตันตปรีชา (อินท์) เพราะมีเนื้อหาคล้ายกันหลายประการ[90] และ กากีคำกลอน แปลโดยสมเด็จพระหริรักษ์รามมหาอิศราธิบดี แต่ลาง หาบอาน นักวิชาการชาวกัมพูชาอ้างว่าพระองค์ไม่ได้คัดลอกเนื้อหามาทั้งหมด รวมถึงวรรณกรรมที่แปลจากไทยเรื่องอื่น ๆ ด้วย[91]
ชาวไทยในเกาะกงมีวรรณกรรมของตนเอง คือ พลเมืองเกาะกง ประพันธ์แบบร่าย และอีกเรื่องคือ ปัจจันตนคโรปมคาถา เป็นพระธรรมเทศนา ทั้งสองเรื่องเป็นการสร้างจิตสำนึกแก่ชาวไทยเกาะกงที่แปรสถานภาพเป็นประชากรของอีกประเทศหนึ่ง และเตือนตนให้รู้สำนึกถึงความเป็นคนไทยผ่านวรรณกรรมทางศาสนาพุทธ[1]
สถาปัตยกรรม
[แก้]สถาปัตยกรรมไทยส่งอิทธิพลต่อการสร้างศาสนสถานของชาวเขมร ซึ่งได้มาจากการรับอิทธิพลจากราชสำนักสยามโดยตรง กับการรับผ่านพระภิกษุสงฆ์ที่เข้าไปเผยแผ่ศาสนาในกัมพูชา โดยรับรสนิยมการก่อสร้างแบบสยามเข้ามา ดังจะพบสิ่งก่อสร้างที่ได้รับอิทธิพลจากสยามปรากฏในเห็นอยู่ดาษดื่น[37] และเกิดการผสมผสานรูปแบบศิลปกรรมโดยหยิบยืมจากลักษณะนิยมของสถาปัตยกรรมสยาม กับศิลปกรรมสกุลช่างท้องถิ่น จากพลวัตทางสังคม การเมือง และวัฒนธรรม[92] ดังกรณี วัดด็อมเร็ยซอ (หรือวัดช้างเผือก) จังหวัดพระตะบอง มีรูปแบบสถาปัตยกรรมเดียวกันกับวัดพระศรีรัตนศาสดาราม กรุงเทพมหานคร[93] และจำหลักภาพรามเกียรติ์ด้วยศิลานูนต่ำแบบเดียวกันกับวัดพระเชตุพนวิมลมังคลารามราชวรมหาวิหาร[94] ภาพจิตรกรรมเรื่องรามเกียรติ์ที่วัดบูร์ จังหวัดเสียมราฐ ที่นอกจากจะมีการเขียนอักษรไทยกำกับภาพหลายแห่งแล้ว ยังได้สอดแทรกตราแผ่นดินสยาม และเครื่องแต่งกายแบบสยามไว้อย่างครบถ้วน[58] โดยการแทรกตราแผ่นดินสยาม เป็นการแสดงออกเชิงสัญลักษณ์ว่า ชาวเขมรอยู่ภายใต้พระบารมีของพระมหากษัตริย์สยาม[95] นอกจากนี้สถาปัตยกรรมไทยยังเป็นแรงบันดาลใจในการสร้างพระบรมราชวังจตุมุขสิริมงคล และวัดพระแก้วมรกต ในกรุงพนมเปญ[96][97][98] โดยเฉพาะจิตรกรรมเรื่องเรียมเกรติ์ที่พระระเบียงวัดพระแก้วมรกต ซึ่งถอดแบบมาจากภาพจิตรกรรมรามเกียรติ์จากพระระเบียงวัดพระศรีรัตนศาสดาราม กรุงเทพมหานคร[99]
เศรษฐกิจ
[แก้]สื่อบันเทิง
[แก้]ไทยมีการลงทุนด้านสื่อบันเทิงในประเทศกัมพูชาจำนวนมาก ตั้งแต่ภาพยนตร์ ละครโทรทัศน์ ซีรีส์ และเพลง โดยกัมพูชาได้นำสื่อบันเทิงของไทยไปเผยแพร่ ทำซ้ำ และดัดแปลง ทั้งถูกลิขสิทธิ์และละเมิดลิขสิทธิ์[100] โดยชาวเขมรจะนิยมละครโทรทัศน์แบบย้อนยุคมียศถาบรรดาศักดิ์ ไม่นิยมละครที่แย่งชิงสามีภรรยา หรือละครจักร ๆ วงศ์ ๆ แบบไทย[101] กรณีที่มีชื่อเสียงที่สุดคือละครโทรทัศน์เรื่อง ดาวพระศุกร์ (2537) มีสุวนันท์ คงยิ่ง เป็นนักแสดงนำ ซึ่งชาวเขมรชื่นชอบมาก ทว่าเวลาต่อมามีหนังสือพิมพ์กัมพูชารายหนึ่ง รายงานข่าวว่าสุวนันท์พูดว่า "กัมพูชาขโมยหรือช่วงชิงปราสาทหินนครวัดไปจากประเทศไทย และเธอปฏิเสธที่จะเดินทางไปเยือนกัมพูชา จนกว่ากัมพูชาจะมอบนครวัดคืนให้ประเทศไทย" จากนั้น ฮุน เซนมีคำสั่งให้ระงับการฉายละคร ลูกไม้ไกลต้น (2543) ซึ่งสุวนันท์แสดงนำทันที โดยกล่าวว่า "นางเอกสาวชาวไทยอย่าได้สำคัญตนผิดไป เพราะเธอไม่มีค่าเท่ากับต้นหญ้าที่ขึ้นอยู่รอบนครวัดด้วยซ้ำ" พร้อมทั้งตำหนิชาวเขมรที่แขวนรูปนักแสดงไทยแทนที่จะแขวนพระฉายาลักษณ์กษัตริย์กัมพูชา[102] ความไม่พอใจยิ่งทวีขึ้นจนก่อให้เกิดเหตุจลาจลในพนมเปญ พ.ศ. 2546 มีการเผาทำลายสถานทูตไทยในพนมเปญ รวมทั้งปล้นชิงทรัพย์สินของชาวไทยในกัมพูชา[100][102] และปัจจุบันนี้ละครโทรทัศน์ไทยถูกจำกัดไม่ให้ฉายในช่องหลัก ตามคำสั่งของรัฐบาลกัมพูชา[103]
ชาวไทยเกาะกงที่มีชื่อเสียง
[แก้]- กอย ลวน หรือ ล้วน อัมพร – ผู้ว่าราชการจังหวัดกำปอต ปี พ.ศ. 2522
- พลเอก แกว ตำ หรือ แก้ว ต่ำ – จเรทหาร
- จา เรียง หรือ จำเรียง ศิริวงษ์ – อดีตผู้ว่าการธนาคารแห่งชาติกัมพูชา
- พลตรี เตีย เซ็ยฮา – ผู้ว่าราชการจังหวัดเสียมราฐ
- พลเอก เตีย บัญ หรือ สังวาลย์ หินกลิ้ง – รองนายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม[104] และเป็นสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรจังหวัดเสียมราฐ สังกัดพรรคประชาชนกัมพูชา[105]
- พลเรือเอก เตีย วิญ – ผู้บัญชาการกองทัพเรือกัมพูชา
- พลตำรวจเอก ทอง จ้อน หรือ จ้อน อินทสุวรรณ – รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงพาณิชย์, รัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย ปัจจุบันเป็นสมาชิกวุฒิสภา
- บุน เลิต หรือ บุญเลิศ พราหมณ์เกษร – อดีตผู้ว่าราชการจังหวัดเกาะกง
- พลเอก พร นารา – เจ้ากรมทหารสื่อสาร
- ไพฑูรย์ พราหมณ์เกษร – รองผู้ว่าราชการจังหวัดเกาะกง
- มิถุนา ภู่ทอง – ผู้ว่าราชการจังหวัดเกาะกง
- ยุทธ ภู่ทอง – อดีตผู้ว่าราชการจังหวัดไพรแวง และเกาะกง
- รุ่ง พราหมณ์เกษร – อดีตสมาชิกสภาแห่งชาติ และอดีตผู้ว่าราชการจังหวัดเกาะกง
- ลี ยงพัด หรือ พัด สุภาภา – นักธุรกิจชาวไทยเกาะกง[106]
- ใส่ ภู่ทอง – อดีตสมาชิกกรรมการกลาง และกรมการเมืองพรรคประชาชนปฏิวัติ, รองประธานสภาแห่งรัฐ (เทียบเท่าประมุขแห่งรัฐในขณะนั้นคือเฮง สัมริน)
- เอ ภู่ทอง - นักกีฬามวยเขมร (กุนเขมร) และนักกีฬาคิกบอกซิง
หมายเหตุ
[แก้]หมายเหตุ ก เป็นจำนวนผู้มีเชื้อสายไทยในจังหวัดเกาะกงเท่านั้น มิได้นับรวมบุคคลผู้มีเชื้อสายไทยในภูมิภาคอื่น เช่น พนมเปญ พระตะบอง และบันทายมีชัย ที่มีชุมชนไทยอาศัยอยู่[60]
อ้างอิง
[แก้]- เชิงอรรถ
- ↑ 1.00 1.01 1.02 1.03 1.04 1.05 1.06 1.07 1.08 1.09 1.10 1.11 "ไทยพลัดถิ่น". ศูนย์มานุษยวิทยาสิรินธร (องค์การมหาชน). คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 2021-04-20. สืบค้นเมื่อ 21 เมษายน 2021.
- ↑ "สถิติจำนวนคนไทยใน ตปท. ประจำปี 2564" (PDF). กรมการกงสุล กระทรวงการต่างประเทศ. 28 กุมภาพันธ์ 2022. สืบค้นเมื่อ 22 เมษายน 2022.
- ↑ ฐานิดา บุญวรรโณ (1 กุมภาพันธ์ 2012). "ใครคือคนไทยพลัดถิ่นเชื้อสายไทยจากเกาะกง". ประชาไท. สืบค้นเมื่อ 21 เมษายน 2021.
- ↑ กรกนก วัมนภูมิ (19 มิถุนายน 2012). "ผู้อพยพเชื้อสายไทยจากจังหวัดเกาะกง เรื่องเล่าบนเส้นทางการบังคับใช้กฎหมายใหม่ พ.ร.บ. สัญชาติ ฉบับที่ 5 พ.ศ. 2555". ประชาไท. สืบค้นเมื่อ 21 เมษายน 2021.
- ↑ ความเป็นมาของคำสยาม ไทย ลาว และขอม และลักษณะทางสังคมของชื่อชนชาติ, หน้า 26–27
- ↑ 6.0 6.1 ศานติ ภักดีคำ, รศ. (2 สิงหาคม 2022). "จาก "เสียม (สยาม)" สู่ "ไถ (ไทย)" : บริบทและความหมายในการรับรู้ของชาวกัมพูชา". ศิลปวัฒนธรรม. สืบค้นเมื่อ 28 ตุลาคม 2022.
- ↑ "บันทึกเรื่องขนบธรรมเนียมของกัมพูชา". หนังสือเก่าชาวสยาม. คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 20 เมษายน 2021. สืบค้นเมื่อ 21 เมษายน 2021.
- ↑ ความเป็นมาของคำสยาม ไทย ลาว และขอม และลักษณะทางสังคมของชื่อชนชาติ, หน้า 28
- ↑ ความเป็นมาของคำสยาม ไทย ลาว และขอม และลักษณะทางสังคมของชื่อชนชาติ, หน้า 30
- ↑ ความเป็นมาของคำสยาม ไทย ลาว และขอม และลักษณะทางสังคมของชื่อชนชาติ, หน้า 29
- ↑ 11.0 11.1 ศานติ ภักดีคำ. ยุทธมรรคา เส้นทางเดินทัพไทย-เขมร. กรุงเทพฯ : มติชน, 2557, หน้า 131-132
- ↑ ฝั่งขวาแม่น้ำโขง, หน้า 2
- ↑ Trudy Jacobson (2008). Lost goddesses : the denial of female power in Cambodian history (PDF). Copenhagen: NIAS Press. p. 110.
- ↑ ชุด "อาเซียน" ในมิติประวัติศาสตร์ ประวัติศาสตร์กัมพูชา, หน้า 155
- ↑ 15.0 15.1 ยรรยงค์ สิกขะฤทธิ์ (2016). การศึกษาเปรียบเทียบราชาศัพท์ในภาษาไทยและภาษาเขมรจากมุมมองข้ามสมัย (PDF). คณะอักษรศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย. p. 84.
- ↑ 16.0 16.1 ยรรยงค์ สิกขะฤทธิ์ (2016). การศึกษาเปรียบเทียบราชาศัพท์ในภาษาไทยและภาษาเขมรจากมุมมองข้ามสมัย (PDF). คณะอักษรศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย. p. 85.
- ↑ ราชพงษาวดารกรุงกัมพูชา, หน้า 100-101
- ↑ ราชพงษาวดารกรุงกัมพูชา, หน้า 102
- ↑ ราชพงษาวดารกรุงกัมพูชา, หน้า 120
- ↑ กรมศิลปากร (2481). ประชุมพงศาวดารภาคที่ 71 (PDF). พระนคร: กรุงเทพบรรณาคาร. p. 26.
- ↑ อมรวงศ์วิจิตร, หม่อม. "พงษาวดารเมืองลแวก". ประชุมพงษาวดาร ภาคที่ 4. พระนคร : โสภณพิพรรฒธนากร. 2458, หน้า 23
- ↑ 22.0 22.1 กำพล จำปาพันธ์ (มกราคม–เมษายน 2560). "สงครามระหว่างอโยธยากับนครธม (พุทธศตวรรษที่ 19-20) จากเอกสารประวัติศาสตร์ ไทย กัมพูชา และชาติตะวันตก". Journal of Mekong Societies. 13(1), หน้า 102
- ↑ กำพล จำปาพันธ์ (มกราคม–เมษายน 2560). "สงครามระหว่างอโยธยากับนครธม (พุทธศตวรรษที่ 19-20) จากเอกสารประวัติศาสตร์ ไทย กัมพูชา และชาติตะวันตก". Journal of Mekong Societies. 13(1), หน้า 103
- ↑ การเมืองไทยสมัยพระเจ้ากรุงธนบุรี, หน้า 174
- ↑ ปรามินทร์ เครือทอง (15 เมษายน 2566). "ตามติดปฏิบัติการ พระเจ้าตาก "ตามล่า" รัชทายาทกรุงศรีอยุธยา". ศิลปวัฒนธรรม. สืบค้นเมื่อ 25 พฤศจิกายน 2566.
{{cite web}}
: ตรวจสอบค่าวันที่ใน:|accessdate=
(help) - ↑ "ชะตากรรม "เจ้าศรีสังข์" พระราชนัดดา "พระเจ้าอยู่หัวบรมโกศ" ลี้ภัยการเมืองสู่เขมร". ศิลปวัฒนธรรม. 4 พฤศจิกายน 2566. สืบค้นเมื่อ 25 พฤศจิกายน 2566.
{{cite web}}
: ตรวจสอบค่าวันที่ใน:|accessdate=
(help) - ↑ 27.0 27.1 27.2 27.3 27.4 เอนก นาวิกมูล. นักเดินทางชาวสยาม. กรุงเทพฯ : แสงดาว, 2562, หน้า 85–91
- ↑ 28.0 28.1 อดิเทพ พันธ์ทอง (7 มิถุนายน 2016). ""โขนไทย" มาจาก "เขมร" ?". มติชนออนไลน์. สืบค้นเมื่อ 1 ธันวาคม 2019.
- ↑ 29.0 29.1 "จดหมายเรื่องไทยส่งทัพไปเมืองญวน พม่ายกทัพมาเมืองไทยอีก จดหมายมองซิเออร์วิลแมง ถึงมองซิเออร์เดคูร์วีแยร์". ประชุมพงศาวดาร เล่ม 23, หน้า 188–190
- ↑ 30.0 30.1 อภิญญา ตะวันออก (3 กันยายน 2019). "ฤๅเคยมี "เจ้าคุณพระ" ในราชสำนักเขมร?". มติชนสุดสัปดาห์. สืบค้นเมื่อ 21 เมษายน 2021.
- ↑ 31.0 31.1 สุภัตรา ภูมิประภาส (2009). "กษัตริย์กัมพูชา นางละครสยาม และข่าวที่ถูกห้ามเขียน" (PDF). ศิลปวัฒนธรรม (30:10). p. 106.
- ↑ Trudy Jacobson (2008). Lost goddesses : the denial of female power in Cambodian history (PDF). Copenhagen: NIAS Press. p. 175.
- ↑ ศานติ ภักดีคำ (กันยายน 2554–สิงหาคม 2555). ผนวช "กษัตริย์กัมพูชา" สมัยรัชกาลที่ 4 : พระพุทธศาสนากับการเมืองสองราชสำนักสยาม-กัมพูชา. หน้าจั่ว ว่าด้วยประวัติศาสตร์สถาปัตยกรรม และสถาปัตยกรรมไทย (8:1), หน้า 383.
- ↑ "นิราสนครวัด (8. อยู่เมืองพนมเพ็ญครั้งหลัง)". วชิรญาณ. สืบค้นเมื่อ 28 เมษายน 2021.
- ↑ 35.0 35.1 35.2 ระพิน พุทฺธิสาโร, พระปลัด (n.d.). ธรรมยุติกนิกายในกัมพูชา : ความสัมพันธ์ทางการเมืองและศาสนาของไทยและกัมพูชา (PDF). ศูนย์บัณฑิตศึกษา มหาวิทยาลัยมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย. p. 2.
- ↑ Maurel, Frédéric (2002). "A Khmer "nirat", 'Travel in France during the Paris World Exhibition of 1900': influences from the Thai?". South East Asia Research. 10 (1): 99–112. doi:10.5367/000000002101297026. JSTOR 23749987. S2CID 146881782.
- ↑ 37.0 37.1 37.2 37.3 พุทธศิลป์ไทยในอาเซียน, หน้า 175
- ↑ 38.0 38.1 ระพิน พุทฺธิสาโร, พระปลัด (n.d.). ธรรมยุติกนิกายในกัมพูชา : ความสัมพันธ์ทางการเมืองและศาสนาของไทยและกัมพูชา (PDF). ศูนย์บัณฑิตศึกษา มหาวิทยาลัยมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย. p. 3.
- ↑ ศิริพร แดงตุ้ย (2010). พัฒนาการทางเศรษฐกิจพลอยในเขตอำเภอบ่อไร่ จังหวัดตราด (PDF). มหาวิทยาลัยบูรพา. p. 34-35. คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิม (PDF)เมื่อ 2021-09-17. สืบค้นเมื่อ 2021-05-20.
- ↑ "การพลัดถิ่นของคนเชื้อสายไทยจากเกาะกงสู่ประเทศไทยในยุคเขมรแดง". สามก๊กวิว. คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 6 มีนาคม 2016. สืบค้นเมื่อ 12 มีนาคม 2013.
- ↑ อดิศักดิ์ ศรีสม (18 เมษายน 2015). "คนไทยในเกาะกง". ศูนย์ข้อมูลข่าวสารอาเซียน กรมประชาสัมพันธ์. คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 20 กันยายน 2021. สืบค้นเมื่อ 21 เมษายน 2021.
- ↑ จรัญ โยบรรยง. รัฐบาลทมิฬ. กรุงเทพฯ : จิตติกานต์, 2528, หน้า 122
- ↑ สุนิดา ศิวปฐมชัย (มกราคม–มิถุนายน 2554). "การศึกษาข้ามแดนไทย-กัมพูชา : ภาระ หรือโอกาส". วารสารภาษาและวัฒนธรรม (30:1), หน้า 69
- ↑ จุตินันท์ ขวัญเนตร (กรกฎาคม–ธันวาคม 2018). การก้าวขึ้นสู่โครงสร้างอำนาจระดับชาติของคนไทยเกาะกงในกัมพูชา. วารสารวิทยาลัยสงฆ์นครลำปาง (7:2). p. 92-93.
- ↑ จุตินันท์ ขวัญเนตร (กรกฎาคม–ธันวาคม 2018). การก้าวขึ้นสู่โครงสร้างอำนาจระดับชาติของคนไทยเกาะกงในกัมพูชา. วารสารวิทยาลัยสงฆ์นครลำปาง (7:2). p. 94.
- ↑ "เปิดวาร์ป ผู้ว่าหญิงเขมร สายคลองใหญ่". คมชัดลึก. 13 มิถุนายน 2020. สืบค้นเมื่อ 7 พฤษภาคม 2022.
- ↑ คนสองแผ่นดิน, หน้า 33
- ↑ ประวัติศาสตร์ นอกตำรา (3 มีนาคม 2021). เจ้าพระยาอภัยภูเบศร กับการอพยพสู่สยาม หลังการแลกดินแดนพระตะบอง สมัย ร.5. สืบค้นเมื่อ 10 กันยายน 2021 – โดยทาง ยูทูบ.
- ↑ 49.0 49.1 "พระตะบอง เสียมเรียบ ศรีโสภณ "รอยสยาม" และ "สามจังหวัด"กัมพูชา". สารคดี. 22 ตุลาคม 2010. สืบค้นเมื่อ 6 พฤษภาคม 2022.
- ↑ ประวัติเมืองอรัญ ตอนที่ 1, หน้า 30
- ↑ ประวัติเมืองอรัญ ตอนที่ 1, หน้า 32
- ↑ ประวัติเมืองอรัญ ตอนที่ 1, หน้า 40
- ↑ 53.0 53.1 โมไนย-พจน์ (13 กันยายน 2013). "ไทย (โคราช) พลัดถิ่นที่บ้านไพรขะปั๊ว (ឃុំព្រៃខ្ពស់ ป่าสูง) พระตะบอง กัมพูชา". OK Nation. สืบค้นเมื่อ 19 พฤษภาคม 2021.
- ↑ นิราศนครวัด, หน้า 234
- ↑ Jacob, Judith M.; Smyth, David. Cambodian Linguistics, Literature and History (PDF). Rootledge & University of London School of Oriental and African Studies. pp. 28–37. ISBN 0-7286-0218-0.
- ↑ ยรรยงค์ สิกขะฤทธิ์ (2016). การศึกษาเปรียบเทียบราชาศัพท์ในภาษาไทยและภาษาเขมรจากมุมมองข้ามสมัย (PDF). คณะอักษรศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย. p. 173.
- ↑ ยรรยงค์ สิกขะฤทธิ์ (2016). การศึกษาเปรียบเทียบราชาศัพท์ในภาษาไทยและภาษาเขมรจากมุมมองข้ามสมัย (PDF). คณะอักษรศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย. p. 181.
- ↑ 58.0 58.1 พุทธศิลป์ไทยในอาเซียน, หน้า 196
- ↑ "แกะรอยไทย ในพระตะบอง". โพสต์ทูเดย์. 10 มีนาคม 2015. สืบค้นเมื่อ 7 พฤษภาคม 2022.
- ↑ 60.0 60.1 หทัยรัตน์ จตุรภัทรวงศ์และคณะ (กรกฎาคม–ธันวาคม 2016). การจัดสำเนียงย่อยของกลุ่มภาษาพวนในจังหวัดบันทายมีชัย และจังหวัดพระตะบอง ประเทศกัมพูชา. วารสารช่อพะยอม (27:2). p. 34.
- ↑ คนสองแผ่นดิน, หน้า 27
- ↑ นิติภูมิ นวรัตน์ (1 ตุลาคม 2001). วัฏจักรโลก : รุ่งเรือง และ พินาศ (ต่อจากฉบับที่ ๑๓๖) (Speech). พุทธสถานปฐมอโศก.
- ↑ คนสองแผ่นดิน, หน้า 87
- ↑ สุนิดา ศิวปฐมชัย (มกราคม–มิถุนายน 2554). "การศึกษาข้ามแดนไทย-กัมพูชา : ภาระ หรือโอกาส". วารสารภาษาและวัฒนธรรม (30:1), หน้า 74
- ↑ ปิลันธน์ ไทยสรวง (3 กุมภาพันธ์ 2016). "สรุปงานเสวนาเรื่อง ถลกทูตเขมร เรื่องประวัติศาสตร์พระวิหาร". มูลนิธิเล็ก-ประไพ วิริยะพันธุ์. คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 1 ตุลาคม 2022. สืบค้นเมื่อ 28 ตุลาคม 2022.
- ↑ ระพิน พุทฺธิสาโร, พระปลัด (n.d.). ธรรมยุติกนิกายในกัมพูชา : ความสัมพันธ์ทางการเมืองและศาสนาของไทยและกัมพูชา (PDF). ศูนย์บัณฑิตศึกษา มหาวิทยาลัยมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย. p. 6.
- ↑ ชุด "อาเซียน" ในมิติประวัติศาสตร์ ประวัติศาสตร์กัมพูชา, หน้า 39
- ↑ อภิลักษณ์ เกษมผลกูล (18 กรกฎาคม 2021). "องค์โด้ นารี ทรพี และพิธีไล่เสือที่เกาะช้าง ผีบุญฉบับเพลย์บอยที่ตราด-เกาะกงสมัยร.4". ศิลปวัฒนธรรม. สืบค้นเมื่อ 10 พฤศจิกายน 2022.
- ↑ 69.0 69.1 ศานติ ภักดีคำ (มกราคม–มิถุนายน 2019). บทละครเรื่องรามเกียรติ์ และบทละครเรื่องอิเหนาในภาษาเขมร : กับความสัมพันธ์วรรณคดีการแสดงไทย-กัมพูชา (PDF). ดำรงวิชาการ 8 (1). p. 53-54.
- ↑ "ชาวเน็ตกัมพูชาแห่แชร์ 'โขนเป็นของกัมพูชา ไม่ใช่ไทย'". วอยซ์ทีวี. 6 มิถุนายน 2016. สืบค้นเมื่อ 1 ธันวาคม 2019.
- ↑ "โขนไทย-กัมพูชา ต่างกันตรงไหน". The Bangkok Insight. 30 พฤศจิกายน 2018. สืบค้นเมื่อ 1 ธันวาคม 2019.
- ↑ "เสวนาเรื่อง โขน : รามายณะ มรดกภูมิปัญญาทางวัฒนธรรมร่วมในอาเซียน". กรมส่งเสริมวัฒนธรรม กระทรวงวัฒนธรรม. 9 มิถุนายน 2016. ศูนย์วัฒนธรรมแห่งประเทศไทย. คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 21 กันยายน 2021. สืบค้นเมื่อ 1 ธันวาคม 2019.
- ↑ ศานติ ภักดีคำ (มกราคม–มิถุนายน 2019). บทละครเรื่องรามเกียรติ์ และบทละครเรื่องอิเหนาในภาษาเขมร : กับความสัมพันธ์วรรณคดีการแสดงไทย-กัมพูชา (PDF). ดำรงวิชาการ 8 (1). p. 65.
- ↑ ""โขนไทย - โขลกัมพูชา" ความต่างในมรดกโลก". โพสต์ทูเดย์. 30 พฤศจิกายน 2018. สืบค้นเมื่อ 1 ธันวาคม 2019.
- ↑ "ชำแหละที่มา "โขนเขมร" มาจาก "ราชสำนักไทย"". โพสต์ทูเดย์. 3 กันยายน 2018. สืบค้นเมื่อ 1 ธันวาคม 2019.
- ↑ ชัยวัฒน์ เสาทอง (12 พฤศจิกายน 2019). ""แม่เมือน" นางละครไทยคนสุดท้ายในราชสำนักกัมพูชา และโลกนาฏศิลป์หลังเขมรแดง". ศิลปวัฒนธรรม. สืบค้นเมื่อ 1 ธันวาคม 2019.
- ↑ นิราศนครวัด, หน้า 236
- ↑ อภิญญา ตะวันออก (4 มกราคม 2017). "สมเด็จพระพี่นาง-ดอกไม้ของทวยเทพ ในรักที่สังเวยแด่…ความอาดูร". มติชนสุดสัปดาห์. สืบค้นเมื่อ 7 พฤษภาคม 2018.
- ↑ "อัตลักษณ์ 'อัปสรา' ในนาฏศิลป์เขมร". มติชนสุดสัปดาห์. 26 มกราคม 2017. สืบค้นเมื่อ 7 พฤษภาคม 2018.
- ↑ 80.0 80.1 "ดราม่า! วัยรุ่นกัมพูชาฮิตแต่งชุดไทยเที่ยวโบราณสถาน จนรัฐบาลต้องสั่งเบรก". ผู้จัดการออนไลน์. 14 มีนาคม 2022. สืบค้นเมื่อ 29 ตุลาคม 2022.
- ↑ สุรัตน์ จงดา (พฤษภาคม–สิงหาคม 2021). อิทธิพลละครวังหน้าในนาฏศิลป์กัมพูชา. วารสารพิพิธพัฒนศิลป์ 1 (2). p. 48.
- ↑ สุรัตน์ จงดา (พฤษภาคม–สิงหาคม 2021). อิทธิพลละครวังหน้าในนาฏศิลป์กัมพูชา. วารสารพิพิธพัฒนศิลป์ 1 (2). p. 34.
- ↑ ศานติ ภักดีคำ (มกราคม–มิถุนายน 2019). บทละครเรื่องรามเกียรติ์ และบทละครเรื่องอิเหนาในภาษาเขมร : กับความสัมพันธ์วรรณคดีการแสดงไทย-กัมพูชา (PDF). ดำรงวิชาการ 8 (1). p. 65.
- ↑ ศานติ ภักดีคำ (มกราคม–มิถุนายน 2019). บทละครเรื่องรามเกียรติ์ และบทละครเรื่องอิเหนาในภาษาเขมร : กับความสัมพันธ์วรรณคดีการแสดงไทย-กัมพูชา (PDF). ดำรงวิชาการ 8 (1). p. 56.
- ↑ ศานติ ภักดีคำ (มกราคม–มิถุนายน 2019). บทละครเรื่องรามเกียรติ์ และบทละครเรื่องอิเหนาในภาษาเขมร : กับความสัมพันธ์วรรณคดีการแสดงไทย-กัมพูชา (PDF). ดำรงวิชาการ 8 (1). p. 55.
- ↑ ศานติ ภักดีคำ (มกราคม–มิถุนายน 2019). บทละครเรื่องรามเกียรติ์ และบทละครเรื่องอิเหนาในภาษาเขมร : กับความสัมพันธ์วรรณคดีการแสดงไทย-กัมพูชา (PDF). ดำรงวิชาการ 8 (1). p. 61.
- ↑ กุสุมา รักษมณี และคณะ (2014). สุนทรภู่ : อาลักษณ์นักเลงทำเพลงยาว (PDF). กรุงเทพฯ: สถาพรบุ๊คส์. p. 204.
- ↑ กุสุมา รักษมณี และคณะ (2014). สุนทรภู่ : อาลักษณ์นักเลงทำเพลงยาว (PDF). กรุงเทพฯ: สถาพรบุ๊คส์. p. 202-203.
- ↑ กุสุมา รักษมณี และคณะ (2014). สุนทรภู่ : อาลักษณ์นักเลงทำเพลงยาว (PDF). กรุงเทพฯ: สถาพรบุ๊คส์. p. 221.
- ↑ กุสุมา รักษมณี และคณะ (2014). สุนทรภู่ : อาลักษณ์นักเลงทำเพลงยาว (PDF). กรุงเทพฯ: สถาพรบุ๊คส์. p. 208.
- ↑ ศานติ ภักดีคำ (1998). การศึกษาเปรียบเทียบกากีเขมรฉบับพระหริรักษ์รามา (พระองค์ด้วง) และกากีคำกลอนฉบับเจ้าพระยาพระคลัง (หน) (PDF). คณะโบราณคดี มหาวิทยาลัยศิลปากร. p. 46-47.
...เรื่องกากีของเขมรไม่ได้ลอกเอาตามเรื่องเสียมทั้งหมดตรง ๆ เลย เรื่องกากีของพระบาทองค์ด้วง มหากวีกษัตริย์เขมรแน่นอนว่าเป็นเรื่องมีลักษณะเป็นเขมรนิยมจริง ๆ เรื่องกากีเขมรมีอุดมคติพิเศษคือ การอบรมสตรีเพศซึ่งมีจริยาไม่งาม ส่วนเรื่องของเสียมเป็นเรื่องซึ่งคล้อยตามไปกับจิตใจคนชักจูงนำเสียมซึ่งเจริญแต่เป็นมนุษย์โลภ ใจดุร้าย ปล้นฆ่าพยาบาท อุกอาจไม่ยำเกรงเขา (เสด็จคนธรรพ์ ใจดำไปประหารเสด็จหงสาวัตถีเอานางกากีที่ตนทำบาปทิ้งขว้างในตอนแรกมาเป็นมเหสีอีก) ก็ลักษณะเรื่องเสียมอันเป็นแบบนี้แล้ว จึงเป็นพยานว่า เรื่องกากีแบบเสียมเขมรไม่เอามาเป็นครูเลย [...] ตามความจริง (ถ้าคิดตามประวัติศาสตร์) เห็นว่ากระบวนขนาดเดิมของเสียมไม่สมบูรณ์เลย ได้ความว่าเสียมไม่ได้เป็นผู้ก่อสร้างวัฒนธรรม อักษรศาสตร์ของตนก่อนใครในแหลมสุวรรณภูมินี้เลย เพราะว่าประเทศเสียม (ซึ่งเรียกว่าไทยแลนด์) และประชาชนเสียมนี้เกิดขึ้นในสมัยหลังประเทศกัมพูชาเป็นเวลายาวไกลมาก กล่าวคือประเทศกัมพูชาซึ่งได้เกิดขึ้นตั้งแต่ในศตวรรษที่ 1 สมัยพระนางหลิวเย่-ฮุนเทียนนั้น ถ้าเช่นนี้ ประเทศเขมรซึ่งมีอายุเก่ากว่าอย่างนี้สมควรหรือไม่ที่จะไปรับอารยธรรมจากประเทศเสียม ซึ่งเห็นรัศมีพระอาทิตย์หลังกัมพูชา [...] สรุปความได้ว่า แม้ว่าเรื่องแบบไหนก็ตามซึ่งกวีนิพนธ์ปรารภว่า ได้เก็บออกจากเรื่องเสียมนั้น คือไม่ถูกต้องทั้งหมดเลย
- ↑ อิสรชัย บูรณะอรรจน์ และปองพล ยาศรี (กรกฎาคม–ธันวาคม 2016). ธรรมยุติกนิกายในกัมพูชา : ความสัมพันธ์ทางการเมืองและศาสนาของไทยและกัมพูชา (PDF). สังคมวิทยามานุษยวิทยา 35 (2). p. 140.
- ↑ อิสรชัย บูรณะอรรจน์ และปองพล ยาศรี (กรกฎาคม–ธันวาคม 2016). ธรรมยุติกนิกายในกัมพูชา : ความสัมพันธ์ทางการเมืองและศาสนาของไทยและกัมพูชา (PDF). สังคมวิทยามานุษยวิทยา 35 (2). p. 128.
- ↑ อิสรชัย บูรณะอรรจน์ และปองพล ยาศรี (กรกฎาคม–ธันวาคม 2016). ธรรมยุติกนิกายในกัมพูชา : ความสัมพันธ์ทางการเมืองและศาสนาของไทยและกัมพูชา (PDF). สังคมวิทยามานุษยวิทยา 35 (2). p. 135.
- ↑ อิสรชัย บูรณะอรรจน์ และปองพล ยาศรี (กรกฎาคม–ธันวาคม 2016). ธรรมยุติกนิกายในกัมพูชา : ความสัมพันธ์ทางการเมืองและศาสนาของไทยและกัมพูชา (PDF). สังคมวิทยามานุษยวิทยา 35 (2). p. 138.
- ↑ เขมรสมัยหลังพระนคร, หน้า 131
- ↑ ธนภัทร์ ลิ้มหัสนัยกุล (19 พฤศจิกายน 2019). "วัดอุโบสถรตนาราม วัดพระแก้วในวังหลวงพนมเปญ ที่ประดิษฐานพระแก้วมรกตคริสตัลฝรั่งเศส". The Cloud. สืบค้นเมื่อ 7 มีนาคม 2021.
- ↑ "รามเกร์-รามเกียรติ์ ที่พระราชวัง "จตุมุข" กรุงพนมเปญ". Matichon Academy. สืบค้นเมื่อ 7 มีนาคม 2021.
- ↑ เขมรสมัยหลังพระนคร, หน้า 139
- ↑ 100.0 100.1 สกาว แซ่ซุย (10 สิงหาคม 2018). "ความนิยมสื่อบันเทิงไทยในอาเซียนยังพุ่ง แม้เคยสร้างความขัดแย้ง-กลืนกลายทางวัฒนธรรม". ศูนย์ข้อมูลและข่าวสืบสวนเพื่อสิทธิพลเมือง. สืบค้นเมื่อ 5 พฤศจิกายน 2022.
- ↑ "อิทธิพล"ไทยป๊อป"ในอาเซียน". โพสต์ทูเดย์. 27 กุมภาพันธ์ 2014. สืบค้นเมื่อ 5 พฤศจิกายน 2022.
- ↑ 102.0 102.1 "ละครไทยไปเขมร เรื่อง 'น้ำเน่า' ไร้พรมแดน". ผู้จัดการออนไลน์. 20 พฤศจิกายน 2009. สืบค้นเมื่อ 5 พฤศจิกายน 2022.
- ↑ "เสรีภาพของสื่อในกัมพูชา". วอยซ์ทีวี. 27 มิถุนายน 2013. สืบค้นเมื่อ 5 พฤศจิกายน 2022.
- ↑ Visit to Japan by Gen. Tea Banh, Deputy Prime Minister and Minister of National Defense of Cambodia
- ↑ "Election results". Cambodia National Election Committee. คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 2008-06-30. สืบค้นเมื่อ 18 มิถุนายน 2008.
- ↑ venus thammasiri (15 พฤษภาคม 2008). "พัด สุภาภา " เจ้าของบ่อนเกาะกง เบนเข็มสู่ธุรกิจการค้า - ท่องเที่ยว". นาวี 22. คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 4 กันยายน 2012.
- บรรณานุกรม
- จิตร ภูมิศักดิ์. ความเป็นมาของคำสยาม, ไทย ลาว และขอม และลักษณะทางสังคมของชื่อชนชาติ. กรุงเทพฯ : ชนนิยม, 2556. 440 หน้า. ISBN 978-974-9747-21-6
- จำรูญ พัฒนศร. ประวัติเมืองอรัญ ตอนที่ 1. พระนคร : ประเสริฐศิริ, 2515. 78 หน้า.
- ดำรงราชานุภาพ, สมเด็จกรมพระยา. นิราศนครวัด. พระนคร : บรรณาคาร, 2515. 244 หน้า.
- เติม สิงหัษฐิต. ฝั่งขวาแม่น้ำโขง. พระนคร : คลังวิทยา, 2490. 618 หน้า.
- ธิบดี บัวคำศรี. ชุด "อาเซียน" ในมิติประวัติศาสตร์ ประวัติศาสตร์กัมพูชา. กรุงเทพฯ : เมืองโบราณ, 2555. 188 หน้า. ISBN 978-974-7727-58-6
- นิธิ เอียวศรีวงศ์. การเมืองไทยสมัยพระเจ้ากรุงธนบุรี. กรุงเทพฯ : มติชน, 2559. 632 หน้า. ISBN 978-974-323-056-1
- เรืองเดชอนันต์ (ทองดี ธนรัชต์), พันตรี หลวง. ราชพงษาวดารกรุงกัมพูชา. กรุงเทพฯ : ไทยควอลิตี้บุ๊คส์ (2006), 2563. 336 หน้า. ISBN 978-616-514-668-5
- รุ่งมณี เมฆโสภณ. คนสองแผ่นดิน. กรุงเทพฯ : บ้านพระอาทิตย์, 2551. 208 หน้า. ISBN 978-974-05-7842-0.
- ศักดิ์ชัย สายสิงห์. พุทธศิลป์ไทยในอาเซียน. กรุงเทพฯ : มติชน, 2563. 360 หน้า. ISBN 978-974-02-1728-2.
- ศานติ ภักดีคำ. เขมรสมัยหลังพระนคร. กรุงเทพฯ : มติชน, 2556. 224 หน้า. ISBN 978-974-02-1147-1.
- ประชุมพงศาวดาร เล่ม 23. กรุงเทพฯ : คุรุสภาลาดพร้าว, 2511. 348 หน้า.