ข้ามไปเนื้อหา

ผลต่างระหว่างรุ่นของ "ศาสนาฮินดู"

จากวิกิพีเดีย สารานุกรมเสรี
เนื้อหาที่ลบ เนื้อหาที่เพิ่ม
ไม่มีความย่อการแก้ไข
บรรทัด 1: บรรทัด 1:
[[ไฟล์:Oum.svg|thumb|สัญลักษณ์ “[[โอม]]” สัญลักษณ์ของศาสนาฮินดู หมายถึงพระ[[ตรีมูรติ]] เทพเจ้าผู้เป็นใหญ่ทั้ง 3]]
[[ไฟล์:Oum.svg|thumb|สัญลักษณ์ “[[โอม]]” สัญลักษณ์ของศาสนาฮินดู หมายถึงพระ[[ตรีมูรติ]] เทพเจ้าผู้เป็นใหญ่ทั้ง 3]]


'''ศาสนาฮินดู''' หรือในเอกสารภาษาไทยนิยมใช้คำว่า '''ศาสนาพราหมณ์-ฮินดู''' เป็นศาสนาหนึ่งในกลุ่ม[[ศาสนาอินเดีย]] และเป็น[[ธรรมะ]]หรือแนวทางการใช้ชีวิตของผู้คน{{refn|group=note|name="definition"}} ที่เป็นที่นับถืออย่างแพร่หลายใน[[อนุทวีปอินเดีย]]และบางส่วนใน[[เอเชียตะวันออกเฉียงใต้]] โดยเฉพาะบน[[เกาะบาหลี]] เป็นที่ยอมรับกันทั่วไปว่าเป็นศาสนาที่เก่าแก่ที่สุดในโลก{{refn|group=note|See:
'''ศาสนาฮินดู''' หรือในเอกสารภาษาไทยนิยมใช้คำว่า '''ศาสนาพราหมณ์-ฮินดู''' เป็นศาสนาหนึ่งในกลุ่ม[[ศาสนาอินเดีย]] และเป็น[[ธรรมะ]]หรือแนวทางการใช้ชีวิตของผู้คน ที่เป็นที่นับถืออย่างแพร่หลายใน[[อนุทวีปอินเดีย]]และบางส่วนใน[[เอเชียตะวันออกเฉียงใต้]] โดยเฉพาะบน[[เกาะบาหลี]] เป็นที่ยอมรับกันทั่วไปว่าเป็นศาสนาที่เก่าแก่ที่สุดในโลก ศาสนิกชนและนักวิชาการบางกลุ่มเรียกศาสนาฮินดูว่าเป็น "[[สนาตนธรรม]]" หรือหนทางนิรันดร์ชั่วประวัติศาสตร์ของมนุษยชาติ นักวิชาการมักมองศาสนาฮินดูว่าเป็นการผสมผสานของ หรือสังเคราะห์มาจาก วัฒนธรรม จารีต และประเพณีอันหลากหลายในอนุทวีปอินเดีย ที่มีรากฐานหลากหลาย และไม่มี[[ศาสดา]]หรือผู้ริเริ่มตั้งศาสนา "การสังเคราะห์ศาสนาฮินดู" (Hindu synthesis) นี้เริ่มมีขึ้นระหว่างราว 500 ปีก่อนคริสตกาล ถึงคริสต์ศักราช 300 ภายหลังการสิ้นสุดลงของ[[ยุคพระเวท]] (1500 ถึง 500 ก่อนคริสตกาล), และเจริญรุ่งเรืองใน[[อินเดียสมัยกลาง]]ไปพร้อมกับ[[การเสื่อมของศาสนาพุทธในอนุทวีปอินเดีย]]
* Fowler: "probably the oldest religion in the world" ({{harvnb|Fowler|1997|p=1}})
* Klostermaier: The "oldest living major religion" in the world ({{harvnb|Klostermaier|2007|p=1}})
* Kurien: "There are almost a billion Hindus living on Earth. They practice the world's oldest religion..." <ref>{{cite journal |last=Kurien |first=Prema |title= Multiculturalism and American Religion: The Case of Hindu Indian Americans |journal=Social Forces |volume=85 |issue=2 |year=2006 |pages= 723–741 |doi= 10.1353/sof.2007.0015 }}</ref>
* Bakker: "it [Hinduism] is the oldest religion".<ref>{{cite journal |first= F.L. |last= Bakker |title= Balinese Hinduism and the Indonesian State: Recent Developments |journal= Bijdragen Tot de Taal-, Land- en Volkenkunde |year=1997 |volume=Deel 153, 1ste Afl. |issue= 1 |pages= 15–41 |jstor= 27864809|doi= 10.1163/22134379-90003943 }}</ref>
* Noble: "Hinduism, the world's oldest surviving religion, continues to provide the framework for daily life in much of South Asia."<ref>{{cite journal |last=Noble |first= Allen |title= South Asian Sacred Places |journal= Journal of Cultural Geography |volume=17 |issue=2 |year=1998 |pages=1–3 |doi= 10.1080/08873639809478317 }}</ref>}} ศาสนิกชนและนักวิชาการบางกลุ่มเรียกศาสนาฮินดูว่าเป็น "[[สนาตนธรรม]]" หรือหนทางนิรันดร์ชั่วประวัติศาสตร์ของมนุษยชาติ{{sfn|Knott|1998|pp=5, Quote: "Many describe Hinduism as ''sanatana dharma'', the eternal tradition or religion. This refers to the idea that its origins lie beyond human history"}}<ref>{{harvnb|Bowker|2000}}; {{harvnb|Harvey|2001|p=xiii}};</ref> นักวิชาการมักมองศาสนาฮินดูว่าเป็นการผสมผสานของ{{refn|group=note|name=Lockard}} หรือสังเคราะห์มาจาก{{sfn|Samuel|2010|p=193}}{{refn|group=note|name= "Hiltebeitel-synthesis"}} วัฒนธรรม จารีต และประเพณีอันหลากหลายในอนุทวีปอินเดีย<ref name="Hiltebeitel 2007 12">{{harvnb|Hiltebeitel|2007|p=12}}; {{harvnb|Flood|1996|p=16}}; {{harvnb|Lockard|2007|p=50}}</ref>{{refn|group=note|name= fusion}} ที่มีรากฐานหลากหลาย{{sfn|Narayanan|2009|p=11}}{{refn|group=note| Among its roots are the [[Historical Vedic religion|Vedic religion]] of the late [[Vedic period]] ({{harvnb|Flood|1996|p=16}}) and its emphasis on the status of Brahmans ({{harvnb|Samuel|2010|pp=48–53}}), but also the religions of the [[Indus Valley Civilisation]] ({{harvnb|Narayanan| 2009|p=11}}; {{harvnb|Lockard|2007|p=52}}; {{harvnb|Hiltebeitel|2007|p=3}}; {{harvnb|Jones|Ryan|2006|p=xviii}}) the [[Sramana]] or renouncer traditions of [[Maurya Empire|north-east India]] ({{harvnb|Flood|1996|p=16}}; {{harvnb|Gomez|2013|p=42}}), with possible roots in a non-Vedic Indo-European culture ({{harvnb|Brokhorst|2007}}), and "popular or [[Adivasi|local traditions]]" ({{harvnb|Flood|1996|p=16}}).}} และไม่มี[[ศาสดา]]หรือผู้ริเริ่มตั้งศาสนา{{sfn|Fowler|1997|pp=1, 7}} "การสังเคราะห์ศาสนาฮินดู" (Hindu synthesis) นี้เริ่มมีขึ้นระหว่างราว 500 ปีก่อนคริสตกาล ถึงคริสต์ศักราช 300{{sfn|Hiltebeitel|2007|p=12}} ภายหลังการสิ้นสุดลงของ[[ยุคพระเวท]] (1500 ถึง 500 ก่อนคริสตกาล),{{sfn|Hiltebeitel|2007|p=12}}{{sfn|Larson|2009}} และเจริญรุ่งเรืองใน[[อินเดียสมัยกลาง]]ไปพร้อมกับ[[การเสื่อมของศาสนาพุทธในอนุทวีปอินเดีย]]{{sfn|Larson|1995|p=109-111}}
ถึงแม้ว่าศาสนาฮินดูจะเต็มไปด้วยปรัชญาหลายแขนง แต่ก็สามารถเชื่อมโยงถึงกันผ่านแนวคิดที่มีร่วมกัน, พิธีกรรมที่คล้ายคลึงกัน, [[จักรวาลวิทยาฮินดู]], [[คัมภีร์ฮินดู]] และ [[สถานที่แสวงบุญในศาสนาฮินดู|สถานที่แสวงบุญ]] ส่วนคัมภีร์ของศาสนาฮินดูนั้นจำแนกออกเป็น [[ศรุติ]] (จากการฟัง) และ [[สมรติ]] (จากการจำ) คัมภีร์เหล่านี้มีทั้ง[[ปรัชญาฮินดู]], [[ประมวลเรื่องปรัมปราฮินดู]], [[พระเวท]], [[โยคะ]], [[พิธีกรรม]], [[อาคม (ศาสนาฮินดู)|อาคม]] และการสร้าง[[โบสถ์พราหมณ์]] เป็นต้น{{sfn|Michaels|2004}} คัมภีร์เล่มสำคัญได้แก่ [[พระเวท]], [[อุปนิษัท]], [[ภควัทคีตา]], [[รามายณะ]] และ [[อาคม (ศาสนาฮินดู)|อาคม]]<ref>{{Cite book|title=Hindu Scriptures| last=Zaehner|first=R. C.|publisher= Penguin Random House|year=1992|isbn= 978-0679410782|location=|pages=1–7|quote=|via=}}</ref><ref name=":0">{{Cite book| title= A Survey of Hinduism|last= Klostermaier| first=Klaus|publisher=State University of New York Press|year=2007|isbn=978-0791470824|edition=3rd|location=|pages=46–52, 76–77|quote=|via=}}</ref> ที่มา ผู้ประพันธ์ และความจริงนิรันดร์ในคัมภีร์เหล่านี้ล้วนมีบทบาทสำคัญ แต่ศาสนาฮินดูก็มีแนวคิดหลักสำคัญที่สนับสนุนการตั้งคำถามต่อที่มาและเนื้อความของคัมภีร์เพื่อให้เข้าใจสัจธรรมต่าง ๆ ได้อย่างลึกซึ้ง และสร้างประเพณีหรือแนวคิดต่อยอดในอนาคต<ref name=frazierintrop2>{{cite book|last1=Frazier|first1=Jessica|title=The Continuum companion to Hindu studies | date=2011|publisher= Continuum| location= London|isbn= 978-0-8264-9966-0|pages=1–15}}</ref>
ถึงแม้ว่าศาสนาฮินดูจะเต็มไปด้วยปรัชญาหลายแขนง แต่ก็สามารถเชื่อมโยงถึงกันผ่านแนวคิดที่มีร่วมกัน, พิธีกรรมที่คล้ายคลึงกัน, [[จักรวาลวิทยาฮินดู]], [[คัมภีร์ฮินดู]] และ [[สถานที่แสวงบุญในศาสนาฮินดู|สถานที่แสวงบุญ]] ส่วนคัมภีร์ของศาสนาฮินดูนั้นจำแนกออกเป็น [[ศรุติ]] (จากการฟัง) และ [[สมรติ]] (จากการจำ) คัมภีร์เหล่านี้มีทั้ง[[ปรัชญาฮินดู]], [[ประมวลเรื่องปรัมปราฮินดู]], [[พระเวท]], [[โยคะ]], [[พิธีกรรม]], [[อาคม (ศาสนาฮินดู)|อาคม]] และการสร้าง[[โบสถ์พราหมณ์]] เป็นต้น คัมภีร์เล่มสำคัญได้แก่ [[พระเวท]], [[อุปนิษัท]], [[ภควัทคีตา]], [[รามายณะ]] และ [[อาคม (ศาสนาฮินดู)|อาคม]] ที่มา ผู้ประพันธ์ และความจริงนิรันดร์ในคัมภีร์เหล่านี้ล้วนมีบทบาทสำคัญ แต่ศาสนาฮินดูก็มีแนวคิดหลักสำคัญที่สนับสนุนการตั้งคำถามต่อที่มาและเนื้อความของคัมภีร์เพื่อให้เข้าใจสัจธรรมต่าง ๆ ได้อย่างลึกซึ้ง และสร้างประเพณีหรือแนวคิดต่อยอดในอนาคต


สาระสำคัญในศาสนาฮินดูคือ "[[ปุรุษารถะ]]" ทั้งสี่ อันเป็นจุดมุ่งหมายอันสมควรในชีวิตของมุนษย์ ได้แก่ [[ธรรมะ]] (หน้าที่/จริยธรรม), [[อรรถะ]] (การเจริญเติบโต/หน้าที่การงาน), [[กามะ]] (ประสงค์/แรงจูงใจ) และ [[โมกษะ]] (การหลุดพ้น/การเป็นอิสระจาก[[การเวียนว่ายตายเกิด]])<ref name="Bilimoria 2007 p. 103">{{Cite book|title=Indian Ethics: Classical Traditions and Contemporary Challenges|last=|first=|publisher=|year=2007|isbn=|editor-last=Bilimoria|display-editors=etal|location=|pages= 103|quote=|via=}} See also {{Cite journal|last=Koller|first=John|year=1968|title= Puruṣārtha as Human Aims|url=|journal= Philosophy East and West|volume=18|issue= 4|pages=315–319|via=|doi= 10.2307/1398408|jstor=1398408}}</ref><ref name="Gavin Flood 1997 pages 11">{{Cite book| title=The Bhagavadgītā for Our Times|last=Flood|first= Gavin|publisher=Oxford University Press| year= 1997 |isbn= 978-0195650396|editor-last= Lipner|editor-first=Julius J.|location=|pages= 11–27|chapter=The Meaning and Context of the Puruṣārthas|quote=|via=}}</ref> นอกจากนี้ แนวคิดสำคัญอื่น ๆ ที่พบในศาสนาฮินดูยังรวมถึง [[กรรม]] (การกระทำ/ผลของการกระทำ), [[สังสารวัฏ]] (วงจรเวียนว่ายตายเกิด) และ การปฏิบัติ[[โยคะ]] (หนทางสู่โมกษะ) ที่มีอยู่หลากหลายปรัชญา<ref name=":0" />{{sfn|Brodd|2003}} การปฏิบัติในศาสนาฮินดู มีทั้ง [[บูชา (ศาสนาฮินดู)|ปูชา]] (การบูชา), การสวดมนต์และร้องเพลงสวด, [[ชปะ]], การปฏิบัติสมาธิ, [[สังสการ]] (พิธีกรรมเปลี่ยนผ่าน), เทศกาลประจำปีและการออกเดินทางแสวงบุญตามโอกาส ศาสนิกชนบางส่วนละทิ้งชีวิตทางโลกและการยึดติดกับวัตถุ เพื่ออกสู่[[สันยาสี|สันยาสะ]] (ถือพรต/ออกบวช) เพื่อเข้าสู่โมกษะ<ref name=ellinger70>{{cite book|author=Herbert Ellinger |title=Hinduism |url=https://books.google.com/books?id=pk3iAwAAQBAJ |year=1996|publisher= Bloomsbury Academic|isbn= 978-1-56338-161-4 |pages= 69–70 }}</ref> ศาสนาฮินดูยังเน้นย้ำถึงหน้าที่ตลอดกาล เช่น ความกตัญญู ซื่อสัตย์, ไม่ทำร้ายสัตว์และผู้คน ([[อหิงสา]]), การใจเย็น, ความอดทนอดกลั้น, การข่มใจตนเอง และความเมตตา<ref group=web name="EB-sanatana dharma" /><ref>{{Cite book|title=History of Dharmasastra| last=Dharma|first=Samanya|last2=Kane|first2=P. V.|publisher=|year=|isbn=|volume=2|location=|pages=4–5|quote=|via=}} See also {{Cite journal|last=Widgery|first= Alban|year=1930|title=The Priniciples of Hindu Ethics|url=|journal=International Journal of Ethics|volume=40|issue=2|pages=232–245|via=|doi=10.1086/intejethi.40.2.2377977}}</ref> [[นิกายในศาสนาฮินดู]]หลักมี 4 นิกาย คือ [[ลัทธิไวษณพ]], [[ลัทธิไศวะ]], [[ลัทธิศักติ]] และ[[ลัทธิสมารตะ]]<ref>[[Julius J. Lipner]] (2009), Hindus: Their Religious Beliefs and Practices, 2nd Edition, Routledge, {{ISBN|978-0-415-45677-7}}, pages 377, 398</ref>
สาระสำคัญในศาสนาฮินดูคือ "[[ปุรุษารถะ]]" ทั้งสี่ อันเป็นจุดมุ่งหมายอันสมควรในชีวิตของมุนษย์ ได้แก่ [[ธรรมะ]] (หน้าที่/จริยธรรม), [[อรรถะ]] (การเจริญเติบโต/หน้าที่การงาน), [[กามะ]] (ประสงค์/แรงจูงใจ) และ [[โมกษะ]] (การหลุดพ้น/การเป็นอิสระจาก[[การเวียนว่ายตายเกิด]]) นอกจากนี้ แนวคิดสำคัญอื่น ๆ ที่พบในศาสนาฮินดูยังรวมถึง [[กรรม]] (การกระทำ/ผลของการกระทำ), [[สังสารวัฏ]] (วงจรเวียนว่ายตายเกิด) และ การปฏิบัติ[[โยคะ]] (หนทางสู่โมกษะ) ที่มีอยู่หลากหลายปรัชญา การปฏิบัติในศาสนาฮินดู มีทั้ง [[บูชา (ศาสนาฮินดู)|ปูชา]] (การบูชา), การสวดมนต์และร้องเพลงสวด, [[ชปะ]], การปฏิบัติสมาธิ, [[สังสการ]] (พิธีกรรมเปลี่ยนผ่าน), เทศกาลประจำปีและการออกเดินทางแสวงบุญตามโอกาส ศาสนิกชนบางส่วนละทิ้งชีวิตทางโลกและการยึดติดกับวัตถุ เพื่ออกสู่[[สันยาสี|สันยาสะ]] (ถือพรต/ออกบวช) เพื่อเข้าสู่โมกษะ ศาสนาฮินดูยังเน้นย้ำถึงหน้าที่ตลอดกาล เช่น ความกตัญญู ซื่อสัตย์, ไม่ทำร้ายสัตว์และผู้คน ([[อหิงสา]]), การใจเย็น, ความอดทนอดกลั้น, การข่มใจตนเอง และความเมตตา [[นิกายในศาสนาฮินดู]]หลักมี 4 นิกาย คือ [[ลัทธิไวษณพ]], [[ลัทธิไศวะ]], [[ลัทธิศักติ]] และ[[ลัทธิสมารตะ]]


ศาสนาฮินดูถือเป็น[[กลุ่มศาสนาหลัก|ศาสนาที่มีผู้นับถือมากที่สุดในโลก]]เป็นอันดับที่ 3 มีศาสนิกชนซึ่งเรียกว่า [[ชาวฮินดู]] อยู่ราว 1.15 พันล้านคน หรือ 15-16% ของประชากรโลก<ref group= "web">{{cite web|url=http://www.pewforum.org/global-religious-landscape-hindu.aspx|title=The Global Religious Landscape – Hinduism|last=|first=|date=| publisher= Pew Research Foundation|work=A Report on the Size and Distribution of the World's Major Religious Groups {{as of|2010|lc=y}}|accessdate=31 March 2013}}</ref><ref name ="gordonconwell.edu">{{cite web|url=http://www.gordonconwell.edu/resources/documents/1IBMR2015.pdf|title=Christianity 2015: Religious Diversity and Personal Contact|website= gordonconwell.edu|date= January 2015 |accessdate=29 May 2015}}</ref> ศาสนาฮินดูมีผู้นับถือมากที่สุดใน[[ศาสนาในประเทศอินเดีย|อินเดีย]], [[ศาสนาในประเทศเนปาล|เนปาล]] และ [[ศาสนาในประเทศมอริเชียส|มอริเชียส]] นอกจากนี้ยังเป็นศาสนาหลักใน[[จังหวัดบาหลี]] [[ศาสนาในประเทศอินโดนีเซีย|อินโดนีเซีย]]เช่นกัน<ref>{{cite web|url=https://sp2010.bps.go.id/index.php/page/warning|title=Peringatan|website=sp2010.bps.go.id}}</ref> ชุมชนฮินดูขนาดใหญ่ยังพบได้ใน[[แคริบเบียน]], เอเชียตะวันออกเฉียงใต้, [[อเมริกาเหนือ]], [[ยุโรป]], [[แอฟริกา]] และ[[ศาสนาฮินดูแบ่งตามประเทศ|ประเทศอื่น ๆ]]<ref>{{cite book| first=Steven | last= Vertovec|title=The Hindu Diaspora: Comparative Patterns|url=https://books.google.com/books?id=FRVTAQAAQBAJ |year= 2013|publisher= Routledge|isbn= 978-1-136-36705-2|pages=1–4, 7–8, 63–64, 87–88, 141–143}}</ref><ref>{{cite web|url=http://www.pewforum.org/2012/12/18/global-religious-landscape-hindu/|title=Hindus|date=18 December 2012|work=Pew Research Center's Religion & Public Life Project|accessdate=14 February 2015}};<br/>{{cite web|url=http://features.pewforum.org/grl/population-number.php?sort=numberHindu|title=Table: Religious Composition by Country, in Numbers (2010)|date=18 December 2012|work=Pew Research Center's Religion & Public Life Project|accessdate=14 February 2015|archive-url=https://web.archive.org/web/20130201224548/http://features.pewforum.org/grl/population-number.php?sort=numberHindu|archive-date=1 February 2013|dead-url=yes}}</ref>
ศาสนาฮินดูถือเป็น[[กลุ่มศาสนาหลัก|ศาสนาที่มีผู้นับถือมากที่สุดในโลก]]เป็นอันดับที่ 3 มีศาสนิกชนซึ่งเรียกว่า [[ชาวฮินดู]] อยู่ราว 1.15 พันล้านคน หรือ 15-16% ของประชากรโลก ศาสนาฮินดูมีผู้นับถือมากที่สุดใน[[ศาสนาในประเทศอินเดีย|อินเดีย]], [[ศาสนาในประเทศเนปาล|เนปาล]] และ [[ศาสนาในประเทศมอริเชียส|มอริเชียส]] นอกจากนี้ยังเป็นศาสนาหลักใน[[จังหวัดบาหลี]] [[ศาสนาในประเทศอินโดนีเซีย|อินโดนีเซีย]]เช่นกัน ชุมชนฮินดูขนาดใหญ่ยังพบได้ใน[[แคริบเบียน]], เอเชียตะวันออกเฉียงใต้, [[อเมริกาเหนือ]], [[ยุโรป]], [[แอฟริกา]] และ[[ศาสนาฮินดูแบ่งตามประเทศ|ประเทศอื่น ๆ]]


== ความเชื่อ ==
== ความเชื่อ ==
[[ไฟล์:The Hindu Gods Vishnu, Shiva, and Brahma LACMA M.86.337 (1 of 12).jpg|thumb|[[พระตรีมูรติ]]จำหลัก ประกอบด้วย [[พระวิษณุ]], [[พระศิวะ]] และ [[พระพรหม]]]]
[[ไฟล์:The Hindu Gods Vishnu, Shiva, and Brahma LACMA M.86.337 (1 of 12).jpg|thumb|[[พระตรีมูรติ]]จำหลัก ประกอบด้วย [[พระวิษณุ]], [[พระศิวะ]] และ [[พระพรหม]]]]
สาระสำคัญในศาสนาฮินดูมันวนเวียนอยู่กับประเด็นของธรรมะ, สังสาระ, โมกษะ และการปฏิบัติโยคะ{{sfn|Brodd|2003}}
สาระสำคัญในศาสนาฮินดูมันวนเวียนอยู่กับประเด็นของธรรมะ, สังสาระ, โมกษะ และการปฏิบัติโยคะ


=== ปุรุษารถะ ===
=== ปุรุษารถะ ===
{{Main|ปุรุษารถะ}}
{{Main|ปุรุษารถะ}}
ศาสนาฮินดูดั้งเดิมเชื่อว่าจุดมุ่งหมายในชีวิตของมนุษย์มีอยู่สี่ประการ ได้แก่ [[ธรรมะ]], [[อรรถะ]], [[กามะ]] และ [[โมกษะ]] เป้าหมายทั้งสี่นี่เรียกรวมว่า "[[ปุรุษารถะ]]"<ref name="Bilimoria 2007 p. 103"/><ref name="Gavin Flood 1997 pages 11"/>
ศาสนาฮินดูดั้งเดิมเชื่อว่าจุดมุ่งหมายในชีวิตของมนุษย์มีอยู่สี่ประการ ได้แก่ [[ธรรมะ]], [[อรรถะ]], [[กามะ]] และ [[โมกษะ]] เป้าหมายทั้งสี่นี่เรียกรวมว่า "[[ปุรุษารถะ]]"


==== ธรรมะ (ทางที่ถูกต้อง/จริยะ) ====
==== ธรรมะ (ทางที่ถูกต้อง/จริยะ) ====
ธรรมะถือเป็นจุดมุ่งหมายที่ชัดเจนที่สุดในศาสนาฮินดู<ref>[[Gavin Flood]] (1996), The meaning and context of the Purusarthas, in Julius Lipner (Editor) – The Fruits of Our Desiring, {{ISBN|978-1896209302}}, pp 16–21</ref> แนวคิดของธรรมะนั้นรวมถึงพฤติกรรมที่ถือว่าสอดคล้องไปกับ[[รตะ]] หนทางที่มำให้ทั้งชีวิตและจักรวาลคงอยู่ได้<ref>[http://www.encyclopedia.com/topic/dharma.aspx#1 The Oxford Dictionary of World Religions, ''Dharma''], The [[Oxford Dictionary of World Religions]]: "In Hinduism, dharma is a fundamental concept, referring to the order and custom which make life and a universe possible, and thus to the behaviours appropriate to the maintenance of that order."</ref> และยังรวมถึงหน้าที่, สิทธิ, กฎระเบียบ, สัจธรรม และ "การใช้ชีวิตอย่างถูกทาง"<ref name=tce>Dharma, The Columbia Encyclopedia, 6th Ed. (2013), Columbia University Press, Gale, {{ISBN|978-0787650155}}</ref> ธรรมะฮินดูประกอบด้วยหน้าที่ทางศาสนา, จริยธรรมและคุณธรรม และหน้าที่ของแต่ละบุคคล รวมถึงการปฏิบัติตนและนิสัยที่นำไปสู่ความเป็นระเบียบเรียบร้อยของสังคม<ref name=tce/> [[J. A. B. van Buitenen|Van Buitenen]] ได้เคยกล่าวว่า<ref name=vanbuitenen>J. A. B. Van Buitenen, Dharma and Moksa, Philosophy East and West, Vol. 7, No. 1/2 (Apr. – Jul. 1957), pp 33–40</ref> ธรรมะนั้นเป็นสิ่งที่สิ่งมีชีวิตทั้งหมดที่มีอยู่จะต้องยอมรับและเคารพเพื่อยังผลให้เกิดการรักษาความสามัคคีและความสงบเรียบร้อยในโลก เป็นการแสวงหาและการดำเนินการตามธรรมชาติและการเรียกหาที่แท้จริง อันมีบทบาทในการปรองดองโดยทั่วกัน<ref name=vanbuitenen/> ส่วน [[Brihadaranyaka|Brihadaranyaka Upanishad]] ได้ระบุว่าธรรมะคือ
ธรรมะถือเป็นจุดมุ่งหมายที่ชัดเจนที่สุดในศาสนาฮินดู แนวคิดของธรรมะนั้นรวมถึงพฤติกรรมที่ถือว่าสอดคล้องไปกับ[[รตะ]] หนทางที่มำให้ทั้งชีวิตและจักรวาลคงอยู่ได้ และยังรวมถึงหน้าที่, สิทธิ, กฎระเบียบ, สัจธรรม และ "การใช้ชีวิตอย่างถูกทาง" ธรรมะฮินดูประกอบด้วยหน้าที่ทางศาสนา, จริยธรรมและคุณธรรม และหน้าที่ของแต่ละบุคคล รวมถึงการปฏิบัติตนและนิสัยที่นำไปสู่ความเป็นระเบียบเรียบร้อยของสังคม [[J. A. B. van Buitenen|Van Buitenen]] ได้เคยกล่าวว่า ธรรมะนั้นเป็นสิ่งที่สิ่งมีชีวิตทั้งหมดที่มีอยู่จะต้องยอมรับและเคารพเพื่อยังผลให้เกิดการรักษาความสามัคคีและความสงบเรียบร้อยในโลก เป็นการแสวงหาและการดำเนินการตามธรรมชาติและการเรียกหาที่แท้จริง อันมีบทบาทในการปรองดองโดยทั่วกัน ส่วน [[Brihadaranyaka|Brihadaranyaka Upanishad]] ได้ระบุว่าธรรมะคือ


{{quote|ไม่มีสิ่งใดเหนือยิ่งกว่าธรรมะ ผู้ที่อ่อนแอจะเอาชนะผู้ที่แข็งแกร่งกว่าได้ก็ด้วยธรรมะ ธรรมะนั้นคือความจริง (สัตยะ) อย่างแท้จริง ดังนั้นเมื่อผู้ใดพูดความจริง เป็นอันเรียกได้ว่าเขาผู้นั้น "ได้เปล่งวาจาของธรรมะ!" เพราะทั้งคู่ (ความจริง และ ธรรมะ) เป็นคำที่มีความหมายเดียวกัน|[[Brihadaranyaka Upanishad]]|1.4.xiv <ref>[[Charles Johnston (Theosophist)|Charles Johnston]], The Mukhya Upanishads: Books of Hidden Wisdom, Kshetra, {{ISBN|978-1495946530}}, page 481, for discussion: pages 478–505</ref><ref>Paul Horsch (Translated by Jarrod Whitaker), ''From Creation Myth to World Law: The early history of Dharma'', Journal of Indian Philosophy, Vol 32, pages 423–448, (2004)</ref>}}
{{quote|ไม่มีสิ่งใดเหนือยิ่งกว่าธรรมะ ผู้ที่อ่อนแอจะเอาชนะผู้ที่แข็งแกร่งกว่าได้ก็ด้วยธรรมะ ธรรมะนั้นคือความจริง (สัตยะ) อย่างแท้จริง ดังนั้นเมื่อผู้ใดพูดความจริง เป็นอันเรียกได้ว่าเขาผู้นั้น "ได้เปล่งวาจาของธรรมะ!" เพราะทั้งคู่ (ความจริง และ ธรรมะ) เป็นคำที่มีความหมายเดียวกัน|[[Brihadaranyaka Upanishad]]|1.4.xiv <ref>[[Charles Johnston (Theosophist)|Charles Johnston]], The Mukhya Upanishads: Books of Hidden Wisdom, Kshetra, {{ISBN|978-1495946530}}, page 481, for discussion: pages 478–505</ref><ref>Paul Horsch (Translated by Jarrod Whitaker), ''From Creation Myth to World Law: The early history of Dharma'', Journal of Indian Philosophy, Vol 32, pages 423–448, (2004)</ref>}}


[[พระกฤษณะ]] ใน[[มหาภารตะ]] ได้ทรงนิยามธรรมว่าเป็น การสนับสนุนความจริงทั้งในโลกนี้และโลกอื่น (Mbh 12.110.11) คำส่า "สนาตนะ" แปลว่า "นิรันดร์" ดังนั้น "สนาตนธรรม" จึงแปลส่า "ความจริงอันเป็นนิรันดร์" ไม่มีจุดเริ่มต้น และไม่มีที่สิ้นสุด<ref>{{Citation|last=Swami Prabhupādā|first=A. C. Bhaktivedanta|title=Bhagavad-gītā as it is|year=1986|publisher=The Bhaktivedanta Book Trust|isbn=9780892132683|page=16|url=https://books.google.com/?id=dSA3hsIq5dsC&pg=PA16&q=%22neither%20beginning%20nor%20end%22}}</ref>
[[พระกฤษณะ]] ใน[[มหาภารตะ]] ได้ทรงนิยามธรรมว่าเป็น การสนับสนุนความจริงทั้งในโลกนี้และโลกอื่น (Mbh 12.110.11) คำส่า "สนาตนะ" แปลว่า "นิรันดร์" ดังนั้น "สนาตนธรรม" จึงแปลส่า "ความจริงอันเป็นนิรันดร์" ไม่มีจุดเริ่มต้น และไม่มีที่สิ้นสุด


==== อรรถ ====
==== อรรถ ====
{{Main|อรรถะ}}
{{Main|อรรถะ}}


อรรถะ หรือ อารถะ คือ การแสวงหาความมั่งคั่งอย่างมีเป้าหมายและมีคุณธรรม เพื่อการดำรงชีวิต ภาระผูกพัน และความมั่งคั่งทางทรัพย์สิน อรรถะยังรวมถึงชีวิตทางการเมือง การทูต และการมีความเป็นอยู่ที่ดี แนวคิดนี้รวมถึง "วิถีชีวิตทุกมุมของชีวิต" กิจกรรมและทรัพยากรทั้งหมดที่ช่วยให้คนหนึ่งสามารถมีความมั่งคงทางอาชีพการงานและทางการเงิน<ref name=johnk>John Koller, Puruṣārtha as Human Aims, Philosophy East and West, Vol. 18, No. 4 (Oct. 1968), pp. 315–319</ref> การแสวงหาอรรถะอย่างพอเหมาะพอควรถือเป็นเป้าหมายสำคัญของชีวิตมนุษย์ในศาสนาฮินดู<ref>James Lochtefeld (2002), The Illustrated Encyclopedia of Hinduism, Rosen Publishing, New York, {{ISBN|0-8239-2287-1}}, pp 55–56</ref><ref name=bruces>Bruce Sullivan (1997), Historical Dictionary of Hinduism, {{ISBN|978-0810833272}}, pp 29–30</ref>
อรรถะ หรือ อารถะ คือ การแสวงหาความมั่งคั่งอย่างมีเป้าหมายและมีคุณธรรม เพื่อการดำรงชีวิต ภาระผูกพัน และความมั่งคั่งทางทรัพย์สิน อรรถะยังรวมถึงชีวิตทางการเมือง การทูต และการมีความเป็นอยู่ที่ดี แนวคิดนี้รวมถึง "วิถีชีวิตทุกมุมของชีวิต" กิจกรรมและทรัพยากรทั้งหมดที่ช่วยให้คนหนึ่งสามารถมีความมั่งคงทางอาชีพการงานและทางการเงิน การแสวงหาอรรถะอย่างพอเหมาะพอควรถือเป็นเป้าหมายสำคัญของชีวิตมนุษย์ในศาสนาฮินดู


==== กามะ ====
==== กามะ ====
{{Main|กาม}}
{{Main|กาม}}


กาม แปลว่า ความปรารถนา, ความรัก, ชอบ, หลงใหล ทั้งมีและปราศจากความคิดเชิงชู้สาวและอารมณ์ทางเพศ และหมายถึงความสุข ความยินดี อันเกิดจากสัมผัสต่าง ๆ ของร่างกาย<ref>{{cite journal |last1=Macy |first1=Joanna |year=1975 |title=The Dialectics of Desire |journal=Numen |volume=22 |issue=2 |pages=145–60 |jstor=3269765 |doi=10.2307/3269765}}</ref><ref name=mmwse>Monier Williams, [http://www.ibiblio.org/sripedia/ebooks/mw/0300/mw__0304.html काम, kāma] Monier-Williams Sanskrit English Dictionary, pp 271, see 3rd column</ref> ในศาสนาฮินดู กามะถือเป็นส่วนจำเป็นที่ช่วยให้ชีวิตคงอยู่ได้อย่างแข็งแรง ทั้งนี้ทั้งนั้นยังต้องอยู่ภายใต้การนำพาของธรรมะ, อรรถะ และโมกษะ<ref>See:
กาม แปลว่า ความปรารถนา, ความรัก, ชอบ, หลงใหล ทั้งมีและปราศจากความคิดเชิงชู้สาวและอารมณ์ทางเพศ และหมายถึงความสุข ความยินดี อันเกิดจากสัมผัสต่าง ๆ ของร่างกาย ในศาสนาฮินดู กามะถือเป็นส่วนจำเป็นที่ช่วยให้ชีวิตคงอยู่ได้อย่างแข็งแรง ทั้งนี้ทั้งนั้นยังต้องอยู่ภายใต้การนำพาของธรรมะ, อรรถะ และโมกษะ

* The Hindu Kama Shastra Society (1925), [https://archive.org/stream/kamasutraofvatsy00vatsuoft#page/8/mode/2up The Kama Sutra of Vatsyayana], University of Toronto Archives, pp. 8;
* A. Sharma (1982), The Puruṣārthas: a study in Hindu axiology, Michigan State University, {{ISBN|9789993624318}}, pp 9–12; See review by Frank Whaling in Numen, Vol. 31, 1 (Jul. 1984), pp. 140–142;
* A. Sharma (1999), [https://www.jstor.org/stable/40018229 The Puruṣārthas: An Axiological Exploration of Hinduism], The Journal of Religious Ethics, Vol. 27, No. 2 (Summer, 1999), pp. 223–256;
* Chris Bartley (2001), Encyclopedia of Asian Philosophy, Editor: Oliver Learman, {{ISBN|0-415-17281-0}}, Routledge, Article on Purushartha, pp 443</ref>


==== โมกษะ ====
==== โมกษะ ====
{{Main|โมกษะ}}
{{Main|โมกษะ}}


โมกษะ หรือ มุขติ ถือเป็นเป้าหมายสูงที่สุดในศาสนาฮินดู โมกษะอาจหมายถึงการหลุดพ้นจากความทุกข์ และจากสังสาระ (การเวียนว่ายตายเกิด)<ref>R.C. Mishra, Moksha and the Hindu Worldview, Psychology & Developing Societies, Vol. 25, Issue 1, pp 23, 27</ref><ref>J. A. B. Van Buitenen, Dharma and Moksa, Philosophy East and West, Vol. 7, No. 1/2 (Apr. – Jul. 1957), pp. 33–40</ref> ในนิกายอื่น ๆ ของศาสนาฮินดูเช่น Monistic ถือว่าโมกษะเป็นเป้าหมายที่เข้าถึงได้ในชาติปัจจุบัน เป็นสถานะของความสุขผ่านการรับรู้ตนเอง การเข้าใจธรรมชาติของจิตวิญญาณของเสรีภาพและ "ตระหนักว่าจักรวาลทั้งหมดเป็นส่วนหนึ่งของตน"<ref name="E. Deutsch pp 343-360"/><ref>see:
โมกษะ หรือ มุขติ ถือเป็นเป้าหมายสูงที่สุดในศาสนาฮินดู โมกษะอาจหมายถึงการหลุดพ้นจากความทุกข์ และจากสังสาระ (การเวียนว่ายตายเกิด) ในนิกายอื่น ๆ ของศาสนาฮินดูเช่น Monistic ถือว่าโมกษะเป็นเป้าหมายที่เข้าถึงได้ในชาติปัจจุบัน เป็นสถานะของความสุขผ่านการรับรู้ตนเอง การเข้าใจธรรมชาติของจิตวิญญาณของเสรีภาพและ "ตระหนักว่าจักรวาลทั้งหมดเป็นส่วนหนึ่งของตน"

* Karl Potter, Dharma and Mokṣa from a Conversational Point of View, Philosophy East and West, Vol. 8, No. 1/2 (Apr. – Jul. 1958), pp. 49–63
* Daniel H. H. Ingalls, Dharma and Moksha, Philosophy East and West, Vol. 7, No. 1/2 (Apr. – Jul. 1957), pp. 41–48;
* Klaus Klostermaier, Mokṣa and Critical Theory, Philosophy East and West, Vol. 35, No. 1 (Jan. 1985), pp. 61–71</ref>


=== กรรม ===
=== กรรม ===
บรรทัด 58: บรรทัด 44:
=== โมกษะ ===
=== โมกษะ ===
{{Main|โมกษะ}}
{{Main|โมกษะ}}
เป้าหมายสูงสุดของชีวิตเรียกว่า "โมกษะ", "[[นิพพาน|นิรวานะ]]" หรือ "[[สมาธิ]]" เป็นที่เข้าใจกันอยู่หลายแบบ: การเข้าเป็นหนึ่งเดียวกับพระเป็นเจ้า, การเข้าสู่ความสัมพันธ์นิรันดร์กับพระเจ้า, การเป็นหนึ่งเดียวกับจักรวาล, การละทิ้งความเห็นแก่ตัวจนสิ้น, การหลุดพ้นจากสังสาระ ซึ่งคือการไม่เกิดอีก การไม่ทุกข์อีก<ref>{{Harvnb|Rinehart|2004|pp=19–21}}</ref><ref>J. Bruce Long (1980), The concepts of human action and rebirth in the Mahabharata, in Wendy D. O'Flaherty, Karma and Rebirth in Classical Indian Traditions, University of California Press, {{ISBN|978-0520039230}}, Chapter 2</ref>
เป้าหมายสูงสุดของชีวิตเรียกว่า "โมกษะ", "[[นิพพาน|นิรวานะ]]" หรือ "[[สมาธิ]]" เป็นที่เข้าใจกันอยู่หลายแบบ: การเข้าเป็นหนึ่งเดียวกับพระเป็นเจ้า, การเข้าสู่ความสัมพันธ์นิรันดร์กับพระเจ้า, การเป็นหนึ่งเดียวกับจักรวาล, การละทิ้งความเห็นแก่ตัวจนสิ้น, การหลุดพ้นจากสังสาระ ซึ่งคือการไม่เกิดอีก การไม่ทุกข์อีก


=== แนวคิดเรื่องพระเป็นเจ้า ===
=== แนวคิดเรื่องพระเป็นเจ้า ===
บรรทัด 69: บรรทัด 55:
{{Main|นิกายในศาสนาฮินดู}}
{{Main|นิกายในศาสนาฮินดู}}


ศาสนาฮินดูไม่มีหลักคำสอนหลักกลาง ในขณะเดียวกันชาวฮินดูเองจำนวนมากก็ไม่ได้อ้างว่าเป็นของนิกายหรือประเพณีใด ๆ<ref>{{Harvnb|Werner|2005|pp=13, 45}}</ref> อย่างไรก็ตาม ในงานศึกษาเชิงวิชาการนิยมแบ่งออกเป็น 4 นิกายหลัก ได้แก่ ลัทธิไวษณพ, ลัทธิไศวะ, ลัทธิศักติ และ ลัทธิสมารตะ<ref name=lancenelson>Lance Nelson (2007), An Introductory Dictionary of Theology and Religious Studies (Editors: Orlando O. Espín, James B. Nickoloff), Liturgical Press, {{ISBN|978-0814658567}}, pages 562–563</ref>{{Sfn|Flood|1996|p=113, 134, 155–161, 167–168}} นิกายต่าง ๆ นี้แตกต่างกันหลัก ๆ ที่เทพเจ้าองค์กลางที่บูชา, ธรรมเนียมและมุมมองต่อการ[[Soteriology|หลุดพ้น]]<ref name=sskumar>SS Kumar (2010), Bhakti – the Yoga of Love, LIT Verlag Münster, {{ISBN|978-3643501301}}, pages 35–36</ref> [[Julius J. Lipner]] ได้ระบุไว้ว่าการแบ่งนิกายของศาสนาฮินดูนั้นแตกต่างจากในศาสนาหลักอื่น ๆ ของโลก เพราะนิกายของศาสนาฮินดูนั้นคลุมเครือกับการฝึกฝนของบุคคลมากกว่า เป็นที่มาของคำว่า "Hindu polycentrism" (หลากหลายนิยมฮินดู, ฮินดูตามท้องถิ่น)<ref>[[Julius J. Lipner]] (2009), Hindus: Their Religious Beliefs and Practices, 2nd Edition, Routledge, {{ISBN|978-0-415-45677-7}}, pages 371–375</ref>
ศาสนาฮินดูไม่มีหลักคำสอนหลักกลาง ในขณะเดียวกันชาวฮินดูเองจำนวนมากก็ไม่ได้อ้างว่าเป็นของนิกายหรือประเพณีใด ๆ อย่างไรก็ตาม ในงานศึกษาเชิงวิชาการนิยมแบ่งออกเป็น 4 นิกายหลัก ได้แก่ ลัทธิไวษณพ, ลัทธิไศวะ, ลัทธิศักติ และ ลัทธิสมารตะ นิกายต่าง ๆ นี้แตกต่างกันหลัก ๆ ที่เทพเจ้าองค์กลางที่บูชา, ธรรมเนียมและมุมมองต่อการ[[Soteriology|หลุดพ้น]] [[Julius J. Lipner]] ได้ระบุไว้ว่าการแบ่งนิกายของศาสนาฮินดูนั้นแตกต่างจากในศาสนาหลักอื่น ๆ ของโลก เพราะนิกายของศาสนาฮินดูนั้นคลุมเครือกับการฝึกฝนของบุคคลมากกว่า เป็นที่มาของคำว่า "Hindu polycentrism" (หลากหลายนิยมฮินดู, ฮินดูตามท้องถิ่น)
[[ไฟล์:"Panch Dev" (Five Gods), in a Shiva-centric version; bazaar art, c.1910's.jpg|thumb|[[ปัญจยัตนะบูชา|ปัญจเทวะ]] คือเทพเจ้าทั้ง 5 ที่ได้รับการบูชาพร้อมกันใน[[ลัทธิสมารตะ]]]]
[[ไฟล์:"Panch Dev" (Five Gods), in a Shiva-centric version; bazaar art, c.1910's.jpg|thumb|[[ปัญจยัตนะบูชา|ปัญจเทวะ]] คือเทพเจ้าทั้ง 5 ที่ได้รับการบูชาพร้อมกันใน[[ลัทธิสมารตะ]]]]
[[ลัทธิไวษณพ]] บูชา[[พระวิษณุ]]<ref>sometimes with [[Lakshmi]], the spouse of Vishnu; or, as Narayana and Sri; see: Guy Beck (2006), Alternative Krishnas: Regional and Vernacular Variations on a Hindu Deity, State University of New York Press, {{ISBN|978-0791464168}}, page 65 and Chapter 5</ref> และปางอวตารของพระองค์ โดยเฉพาะ [[พระกฤษณะ]] และ [[พระราม]]<ref>{{cite book|author1=Edwin Francis Bryant|author2=Maria Ekstrand|title=The Hare Krishna Movement: The Postcharismatic Fate of a Religious Transplant|url=https://books.google.com/books?id=mBMxPdgrBhoC |year= 2013|publisher=Columbia University Press|isbn=978-0231508438|pages=15–17}}</ref> ลักษณะของนิกายนี้โดยทั่วไป ไม่ใช่ลักษณะนักพรตติดอาราม แต่มุ่งเน้นไปที่กิจกรรมชุมชนและการปฏิบัติที่นับถือศรัทธา ความรักสนุกนี้มีที่มาจากการสื่อนัย ๆ ถึงลักษณะอัน "ขี้เล่น ร่าเริง และสนุกสนาน" ของพระกฤษณะรวมถึงอวตารองค์อื่น ๆ<ref name=sskumar/> พิธีกรรมและการปฏิบัติจึงมักเต็มไปด้วยการระบำในชุมชน, ขับร้องดนตรี ทั้ง [[กีรตัน]] (Kirtan) และ [[ภชัน]] (Bhajan) โดยเชื่อกันว่าเสียงและดนตรีเหล่านี้จะมีพลังในการช่วยทำสมาธิและมีพลังอำนาจเชิงความเชื่อ<ref name=edwinb>Edwin Bryant and Maria Ekstrand (2004), The Hare Krishna Movement, Columbia University Press, {{ISBN|978-0231122566}}, pages 38–43</ref> การเฉลิมฉลองและพิธีกรรมในศาสนสถานของไวษณพมักมีความประณีต ละเอียดลออ<ref>{{cite book|author1=Bruno Nettl|author2=Ruth M. Stone|author3=James Porter |author4=Timothy Rice |title=The Garland Encyclopedia of World Music: South Asia : the Indian subcontinent|url=https://books.google.com/books?id=ZOlNv8MAXIEC |year=1998|publisher=Routledge |isbn=978-0824049461 |pages=246–247}}</ref> ส่วนรากฐานเชิงศาสนศาสตร์ของไวษณพนั้นมาจากภควัทคีตา, รามายณะ และปุราณะต่าง ๆ ที่เกี่ยวข้องกับพระวิษณุ<ref>Lance Nelson (2007), An Introductory Dictionary of Theology and Religious Studies (Editors: Orlando O. Espín, James B. Nickoloff), Liturgical Press, {{ISBN|978-0814658567}}, pages 1441, 376</ref>
[[ลัทธิไวษณพ]] บูชา[[พระวิษณุ]] และปางอวตารของพระองค์ โดยเฉพาะ [[พระกฤษณะ]] และ [[พระราม]] ลักษณะของนิกายนี้โดยทั่วไป ไม่ใช่ลักษณะนักพรตติดอาราม แต่มุ่งเน้นไปที่กิจกรรมชุมชนและการปฏิบัติที่นับถือศรัทธา ความรักสนุกนี้มีที่มาจากการสื่อนัย ๆ ถึงลักษณะอัน "ขี้เล่น ร่าเริง และสนุกสนาน" ของพระกฤษณะรวมถึงอวตารองค์อื่น ๆ พิธีกรรมและการปฏิบัติจึงมักเต็มไปด้วยการระบำในชุมชน, ขับร้องดนตรี ทั้ง [[กีรตัน]] (Kirtan) และ [[ภชัน]] (Bhajan) โดยเชื่อกันว่าเสียงและดนตรีเหล่านี้จะมีพลังในการช่วยทำสมาธิและมีพลังอำนาจเชิงความเชื่อ การเฉลิมฉลองและพิธีกรรมในศาสนสถานของไวษณพมักมีความประณีต ละเอียดลออ ส่วนรากฐานเชิงศาสนศาสตร์ของไวษณพนั้นมาจากภควัทคีตา, รามายณะ และปุราณะต่าง ๆ ที่เกี่ยวข้องกับพระวิษณุ


[[ลัทธิไศวะ]] มุ่งเน้นที่[[พระศิวะ]] ศาสนิกชนไศวะมีแนวโน้มไปทางปัจเจกพรตนิยม (ascetic individualism) และแตกออกเป็นนิกายแยกย่อยได้อีก<ref name=sskumar/> แนวทางปฏิบัติของไศวะรวมถึงการศรัทธาแบบภักติ แต่ความเชื่อโน้มเอียงมาทางนิกายแบบ nondual, monistic อย่าง Advaita และ [[ราชโยคะ]]<ref name=lancenelson/><ref name=edwinb/> ไศวะมีทั้งกลุ่มที่นิยมบูชาในศาสนสถาน บางส่วนก็มุ่งเน้นที่การปฏิบัติโยคะ ทั้งหมดเพื่อพยายามเข้าเป็นอันหนึ่งเดียวกันกับพระศิวะทั้งสิ้น<ref>{{cite book|author=Roshen Dalal|title=The Religions of India: A Concise Guide to Nine Major Faiths|url=https://books.google.com/books?id=pNmfdAKFpkQC |year=2010|publisher=Penguin Books |isbn=978-0-14-341517-6|page=209}}</ref> ลักษณะขององค์อวาตารนั้นไม่ค่อยพบ และไศวะบางกลุ่มมองพระเป็นเจ้าในลักษณะของครึ่งบุรุษ-ครึ่งสตรี ([[อรธนารีศวร]]) ไศวะนั้นมีความเกี่ยวพันกับศักติ โดยมักมองว่าองค์ศักติเป็นพระสวามีของพระศิวะ<ref name=lancenelson/> การเฉลิมฉลองประกอบด้วยเทศกาลต่าง ๆ และการมีส่วนร่วมในศาสนพิธีและเดินทางไปแสวงบุญยังสถานที่แสวงบุญเช่น [[Kumbh Mela]] ร่วมกับไวษณพ<ref>James Lochtefeld (2010), God's Gateway: Identity and Meaning in a Hindu Pilgrimage Place, Oxford University Press, {{ISBN|978-0195386141}}</ref> ลัทธิไศวะพบได้ทั่วไปในแถบหิมาลัย ตั้งแต่กัศมีร์จนถึงเนปาล และในอินเดียใต้<ref>Natalia Isaeva (1995), From Early Vedanta to Kashmir Shaivism, State University of New York Press, {{ISBN|978-0791424490}}, pages 141–145</ref>
[[ลัทธิไศวะ]] มุ่งเน้นที่[[พระศิวะ]] ศาสนิกชนไศวะมีแนวโน้มไปทางปัจเจกพรตนิยม (ascetic individualism) และแตกออกเป็นนิกายแยกย่อยได้อีก แนวทางปฏิบัติของไศวะรวมถึงการศรัทธาแบบภักติ แต่ความเชื่อโน้มเอียงมาทางนิกายแบบ nondual, monistic อย่าง Advaita และ [[ราชโยคะ]] ไศวะมีทั้งกลุ่มที่นิยมบูชาในศาสนสถาน บางส่วนก็มุ่งเน้นที่การปฏิบัติโยคะ ทั้งหมดเพื่อพยายามเข้าเป็นอันหนึ่งเดียวกันกับพระศิวะทั้งสิ้น ลักษณะขององค์อวาตารนั้นไม่ค่อยพบ และไศวะบางกลุ่มมองพระเป็นเจ้าในลักษณะของครึ่งบุรุษ-ครึ่งสตรี ([[อรธนารีศวร]]) ไศวะนั้นมีความเกี่ยวพันกับศักติ โดยมักมองว่าองค์ศักติเป็นพระสวามีของพระศิวะ การเฉลิมฉลองประกอบด้วยเทศกาลต่าง ๆ และการมีส่วนร่วมในศาสนพิธีและเดินทางไปแสวงบุญยังสถานที่แสวงบุญเช่น [[Kumbh Mela]] ร่วมกับไวษณพ ลัทธิไศวะพบได้ทั่วไปในแถบหิมาลัย ตั้งแต่กัศมีร์จนถึงเนปาล และในอินเดียใต้


[[ลัทธิศักติ]] บูชาเทวีหรือ[[ศักติ]]เป็นพระมารดาของจักรวาล<ref name=sskumar/> พบมากเปนพิเศษในรัฐทางตะวันออกเฉียงเหนือและตะวันออกของอินเดีย เช่น [[รัฐอัสสัม]] และ[[เบงกอลตะวันตก]] เทวีที่บูชานั้นมีรูปลักษณ์ตั้งแต่[[พระปารวตี|พระแม่ปราวตี]] ซึ่งทรงอ่อนโยนไปจนถึงองค์ที่มีพระลักษณะดุดันเช่น [[พระแม่ทุรคา]] และ [[พระแม่กาลี]] ศาสนิกชนเชื่อว่า[[ศักติ]]เป็นพลังอำนาจที่คอยรองรับความเป็นบุรุษ ระเบียบการปฏิบัติของศักติเกี่ยวข้องกับแนวทางแบบ[[ตันตระ]]<ref>Massimo Scaligero (1955), [https://www.jstor.org/stable/29753633 The Tantra and the Spirit of the West], East and West, Vol. 5, No. 4, pages 291–296</ref> การเฉลิมฉลองมีทั้งเทศกาล ซึ่งบางส่วนมีพิธีกรรมที่นำเทวรูปดินเหนียวแช่ลงให้ละลายไปในแม่น้ำ<ref>'''History:''' Hans Koester (1929), The Indian Religion of the Goddess Shakti, Journal of the Siam Society, Vol 23, Part 1, pages 1–18;<br />'''Modern practices:''' June McDaniel (2010), Goddesses in World Culture, Volume 1 (Editor: Patricia Monaghan), {{ISBN|978-0313354656}}, Chapter 2</ref>
[[ลัทธิศักติ]] บูชาเทวีหรือ[[ศักติ]]เป็นพระมารดาของจักรวาล พบมากเปนพิเศษในรัฐทางตะวันออกเฉียงเหนือและตะวันออกของอินเดีย เช่น [[รัฐอัสสัม]] และ[[เบงกอลตะวันตก]] เทวีที่บูชานั้นมีรูปลักษณ์ตั้งแต่[[พระปารวตี|พระแม่ปราวตี]] ซึ่งทรงอ่อนโยนไปจนถึงองค์ที่มีพระลักษณะดุดันเช่น [[พระแม่ทุรคา]] และ [[พระแม่กาลี]] ศาสนิกชนเชื่อว่า[[ศักติ]]เป็นพลังอำนาจที่คอยรองรับความเป็นบุรุษ ระเบียบการปฏิบัติของศักติเกี่ยวข้องกับแนวทางแบบ[[ตันตระ]] การเฉลิมฉลองมีทั้งเทศกาล ซึ่งบางส่วนมีพิธีกรรมที่นำเทวรูปดินเหนียวแช่ลงให้ละลายไปในแม่น้ำ


[[ลัทธิสมารตะ]] บูชาเทพเจ้าฮินดูองค์หลัก ๆ ไปพร้อม ๆ กัน ได้แก่ พระศิวะ, พระวิษณุ, องค์ศักติ, [[พระพิฆเนศ|พระคเนศ]], [[พระสุริยะ]] และ [[พระขันธกุมาร|พระการติเกยะ]]{{Sfn|Flood|1996|p=113}} ธรรมเนียมแบบสมารตะนั้นเกิดขึ้นราวหลังยุคคาสสิกของฮินดูตอนต้น ราวเริ่มต้นคริสตกาล หลังศาสนาฮินดูเริ่มรวมเข้ากับการปฏิบัติแบบพราหมณ์และความเชื่อพื้นมือง<ref>{{Citation |last=Hiltebeitel |first=Alf |authorlink=Alf Hiltebeitel |year=2013 |chapter=Hinduism|editor-last=Kitagawa|editor-first=Joseph|title=The Religious Traditions of Asia: Religion, History, and Culture|publisher=Routledge |chapter-url=https://books.google.com/books?id=kfyzAAAAQBAJ}}</ref>{{sfn|Flood|1996}}
[[ลัทธิสมารตะ]] บูชาเทพเจ้าฮินดูองค์หลัก ๆ ไปพร้อม ๆ กัน ได้แก่ พระศิวะ, พระวิษณุ, องค์ศักติ, [[พระพิฆเนศ|พระคเนศ]], [[พระสุริยะ]] และ [[พระขันธกุมาร|พระการติเกยะ]] ธรรมเนียมแบบสมารตะนั้นเกิดขึ้นราวหลังยุคคาสสิกของฮินดูตอนต้น ราวเริ่มต้นคริสตกาล หลังศาสนาฮินดูเริ่มรวมเข้ากับการปฏิบัติแบบพราหมณ์และความเชื่อพื้นมือง


== ประวัติ ==
== ประวัติ ==
บรรทัด 86: บรรทัด 72:
พระพุทธศาสนาก็เกิดขึ้นท่ามกลางสังคมพราหมณ์ แม้แต่[[พระโคตมพุทธเจ้า]]และพุทธสาวกสมัยแรก ๆ ก็เคยนับถือศาสนาพราหมณ์หรือเคยเกี่ยวข้องกับวรรณะพราหมณ์มาก่อน และใน[[ชาดก|นิทานชาดก]] และเรื่องราวเกี่ยวกับ[[ศาสนาพุทธ]]และ[[พระพุทธเจ้า]] ก็มักจะมีพราหมณ์เข้ามาเกี่ยวข้อง จึงกล่าวได้ว่า ศาสนาพุทธและพราหมณ์ จึงมีอิทธิพลต่อกันและกัน
พระพุทธศาสนาก็เกิดขึ้นท่ามกลางสังคมพราหมณ์ แม้แต่[[พระโคตมพุทธเจ้า]]และพุทธสาวกสมัยแรก ๆ ก็เคยนับถือศาสนาพราหมณ์หรือเคยเกี่ยวข้องกับวรรณะพราหมณ์มาก่อน และใน[[ชาดก|นิทานชาดก]] และเรื่องราวเกี่ยวกับ[[ศาสนาพุทธ]]และ[[พระพุทธเจ้า]] ก็มักจะมีพราหมณ์เข้ามาเกี่ยวข้อง จึงกล่าวได้ว่า ศาสนาพุทธและพราหมณ์ จึงมีอิทธิพลต่อกันและกัน


ในศาสนาพราหมณ์<ref>[http://www.baanjomyut.com/library/brahman/index.html ศาสนาพราหมณ์]</ref> คำว่า พราหมณ์ หมายถึง คนใน[[วรรณะ (ศาสนาฮินดู)|วรรณะ]]ที่สูงที่สุดของสังคม[[อินเดีย]] มีหน้าที่สอนความรู้เกี่ยวกับ[[พระเวท]]และทำหน้าที่ติดต่อ[[เทพเจ้าฮินดู|เทพเจ้า]] ผู้ที่เป็นพราหมณ์เป็นโดยกำเนิด คือบุตรของพราหมณ์ก็จะมีสถานภาพเป็นพราหมณ์ด้วย
ในศาสนาพราหมณ์ คำว่า พราหมณ์ หมายถึง คนใน[[วรรณะ (ศาสนาฮินดู)|วรรณะ]]ที่สูงที่สุดของสังคม[[อินเดีย]] มีหน้าที่สอนความรู้เกี่ยวกับ[[พระเวท]]และทำหน้าที่ติดต่อ[[เทพเจ้าฮินดู|เทพเจ้า]] ผู้ที่เป็นพราหมณ์เป็นโดยกำเนิด คือบุตรของพราหมณ์ก็จะมีสถานภาพเป็นพราหมณ์ด้วย


== คัมภีร์ ==
== คัมภีร์ ==

รุ่นแก้ไขเมื่อ 00:14, 14 พฤศจิกายน 2562

สัญลักษณ์ “โอม” สัญลักษณ์ของศาสนาฮินดู หมายถึงพระตรีมูรติ เทพเจ้าผู้เป็นใหญ่ทั้ง 3

ศาสนาฮินดู หรือในเอกสารภาษาไทยนิยมใช้คำว่า ศาสนาพราหมณ์-ฮินดู เป็นศาสนาหนึ่งในกลุ่มศาสนาอินเดีย และเป็นธรรมะหรือแนวทางการใช้ชีวิตของผู้คน ที่เป็นที่นับถืออย่างแพร่หลายในอนุทวีปอินเดียและบางส่วนในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ โดยเฉพาะบนเกาะบาหลี เป็นที่ยอมรับกันทั่วไปว่าเป็นศาสนาที่เก่าแก่ที่สุดในโลก ศาสนิกชนและนักวิชาการบางกลุ่มเรียกศาสนาฮินดูว่าเป็น "สนาตนธรรม" หรือหนทางนิรันดร์ชั่วประวัติศาสตร์ของมนุษยชาติ นักวิชาการมักมองศาสนาฮินดูว่าเป็นการผสมผสานของ หรือสังเคราะห์มาจาก วัฒนธรรม จารีต และประเพณีอันหลากหลายในอนุทวีปอินเดีย ที่มีรากฐานหลากหลาย และไม่มีศาสดาหรือผู้ริเริ่มตั้งศาสนา "การสังเคราะห์ศาสนาฮินดู" (Hindu synthesis) นี้เริ่มมีขึ้นระหว่างราว 500 ปีก่อนคริสตกาล ถึงคริสต์ศักราช 300 ภายหลังการสิ้นสุดลงของยุคพระเวท (1500 ถึง 500 ก่อนคริสตกาล), และเจริญรุ่งเรืองในอินเดียสมัยกลางไปพร้อมกับการเสื่อมของศาสนาพุทธในอนุทวีปอินเดีย

ถึงแม้ว่าศาสนาฮินดูจะเต็มไปด้วยปรัชญาหลายแขนง แต่ก็สามารถเชื่อมโยงถึงกันผ่านแนวคิดที่มีร่วมกัน, พิธีกรรมที่คล้ายคลึงกัน, จักรวาลวิทยาฮินดู, คัมภีร์ฮินดู และ สถานที่แสวงบุญ ส่วนคัมภีร์ของศาสนาฮินดูนั้นจำแนกออกเป็น ศรุติ (จากการฟัง) และ สมรติ (จากการจำ) คัมภีร์เหล่านี้มีทั้งปรัชญาฮินดู, ประมวลเรื่องปรัมปราฮินดู, พระเวท, โยคะ, พิธีกรรม, อาคม และการสร้างโบสถ์พราหมณ์ เป็นต้น คัมภีร์เล่มสำคัญได้แก่ พระเวท, อุปนิษัท, ภควัทคีตา, รามายณะ และ อาคม ที่มา ผู้ประพันธ์ และความจริงนิรันดร์ในคัมภีร์เหล่านี้ล้วนมีบทบาทสำคัญ แต่ศาสนาฮินดูก็มีแนวคิดหลักสำคัญที่สนับสนุนการตั้งคำถามต่อที่มาและเนื้อความของคัมภีร์เพื่อให้เข้าใจสัจธรรมต่าง ๆ ได้อย่างลึกซึ้ง และสร้างประเพณีหรือแนวคิดต่อยอดในอนาคต

สาระสำคัญในศาสนาฮินดูคือ "ปุรุษารถะ" ทั้งสี่ อันเป็นจุดมุ่งหมายอันสมควรในชีวิตของมุนษย์ ได้แก่ ธรรมะ (หน้าที่/จริยธรรม), อรรถะ (การเจริญเติบโต/หน้าที่การงาน), กามะ (ประสงค์/แรงจูงใจ) และ โมกษะ (การหลุดพ้น/การเป็นอิสระจากการเวียนว่ายตายเกิด) นอกจากนี้ แนวคิดสำคัญอื่น ๆ ที่พบในศาสนาฮินดูยังรวมถึง กรรม (การกระทำ/ผลของการกระทำ), สังสารวัฏ (วงจรเวียนว่ายตายเกิด) และ การปฏิบัติโยคะ (หนทางสู่โมกษะ) ที่มีอยู่หลากหลายปรัชญา การปฏิบัติในศาสนาฮินดู มีทั้ง ปูชา (การบูชา), การสวดมนต์และร้องเพลงสวด, ชปะ, การปฏิบัติสมาธิ, สังสการ (พิธีกรรมเปลี่ยนผ่าน), เทศกาลประจำปีและการออกเดินทางแสวงบุญตามโอกาส ศาสนิกชนบางส่วนละทิ้งชีวิตทางโลกและการยึดติดกับวัตถุ เพื่ออกสู่สันยาสะ (ถือพรต/ออกบวช) เพื่อเข้าสู่โมกษะ ศาสนาฮินดูยังเน้นย้ำถึงหน้าที่ตลอดกาล เช่น ความกตัญญู ซื่อสัตย์, ไม่ทำร้ายสัตว์และผู้คน (อหิงสา), การใจเย็น, ความอดทนอดกลั้น, การข่มใจตนเอง และความเมตตา นิกายในศาสนาฮินดูหลักมี 4 นิกาย คือ ลัทธิไวษณพ, ลัทธิไศวะ, ลัทธิศักติ และลัทธิสมารตะ

ศาสนาฮินดูถือเป็นศาสนาที่มีผู้นับถือมากที่สุดในโลกเป็นอันดับที่ 3 มีศาสนิกชนซึ่งเรียกว่า ชาวฮินดู อยู่ราว 1.15 พันล้านคน หรือ 15-16% ของประชากรโลก ศาสนาฮินดูมีผู้นับถือมากที่สุดในอินเดีย, เนปาล และ มอริเชียส นอกจากนี้ยังเป็นศาสนาหลักในจังหวัดบาหลี อินโดนีเซียเช่นกัน ชุมชนฮินดูขนาดใหญ่ยังพบได้ในแคริบเบียน, เอเชียตะวันออกเฉียงใต้, อเมริกาเหนือ, ยุโรป, แอฟริกา และประเทศอื่น ๆ

ความเชื่อ

พระตรีมูรติจำหลัก ประกอบด้วย พระวิษณุ, พระศิวะ และ พระพรหม

สาระสำคัญในศาสนาฮินดูมันวนเวียนอยู่กับประเด็นของธรรมะ, สังสาระ, โมกษะ และการปฏิบัติโยคะ

ปุรุษารถะ

ศาสนาฮินดูดั้งเดิมเชื่อว่าจุดมุ่งหมายในชีวิตของมนุษย์มีอยู่สี่ประการ ได้แก่ ธรรมะ, อรรถะ, กามะ และ โมกษะ เป้าหมายทั้งสี่นี่เรียกรวมว่า "ปุรุษารถะ"

ธรรมะ (ทางที่ถูกต้อง/จริยะ)

ธรรมะถือเป็นจุดมุ่งหมายที่ชัดเจนที่สุดในศาสนาฮินดู แนวคิดของธรรมะนั้นรวมถึงพฤติกรรมที่ถือว่าสอดคล้องไปกับรตะ หนทางที่มำให้ทั้งชีวิตและจักรวาลคงอยู่ได้ และยังรวมถึงหน้าที่, สิทธิ, กฎระเบียบ, สัจธรรม และ "การใช้ชีวิตอย่างถูกทาง" ธรรมะฮินดูประกอบด้วยหน้าที่ทางศาสนา, จริยธรรมและคุณธรรม และหน้าที่ของแต่ละบุคคล รวมถึงการปฏิบัติตนและนิสัยที่นำไปสู่ความเป็นระเบียบเรียบร้อยของสังคม Van Buitenen ได้เคยกล่าวว่า ธรรมะนั้นเป็นสิ่งที่สิ่งมีชีวิตทั้งหมดที่มีอยู่จะต้องยอมรับและเคารพเพื่อยังผลให้เกิดการรักษาความสามัคคีและความสงบเรียบร้อยในโลก เป็นการแสวงหาและการดำเนินการตามธรรมชาติและการเรียกหาที่แท้จริง อันมีบทบาทในการปรองดองโดยทั่วกัน ส่วน Brihadaranyaka Upanishad ได้ระบุว่าธรรมะคือ

ไม่มีสิ่งใดเหนือยิ่งกว่าธรรมะ ผู้ที่อ่อนแอจะเอาชนะผู้ที่แข็งแกร่งกว่าได้ก็ด้วยธรรมะ ธรรมะนั้นคือความจริง (สัตยะ) อย่างแท้จริง ดังนั้นเมื่อผู้ใดพูดความจริง เป็นอันเรียกได้ว่าเขาผู้นั้น "ได้เปล่งวาจาของธรรมะ!" เพราะทั้งคู่ (ความจริง และ ธรรมะ) เป็นคำที่มีความหมายเดียวกัน

พระกฤษณะ ในมหาภารตะ ได้ทรงนิยามธรรมว่าเป็น การสนับสนุนความจริงทั้งในโลกนี้และโลกอื่น (Mbh 12.110.11) คำส่า "สนาตนะ" แปลว่า "นิรันดร์" ดังนั้น "สนาตนธรรม" จึงแปลส่า "ความจริงอันเป็นนิรันดร์" ไม่มีจุดเริ่มต้น และไม่มีที่สิ้นสุด

อรรถ

อรรถะ หรือ อารถะ คือ การแสวงหาความมั่งคั่งอย่างมีเป้าหมายและมีคุณธรรม เพื่อการดำรงชีวิต ภาระผูกพัน และความมั่งคั่งทางทรัพย์สิน อรรถะยังรวมถึงชีวิตทางการเมือง การทูต และการมีความเป็นอยู่ที่ดี แนวคิดนี้รวมถึง "วิถีชีวิตทุกมุมของชีวิต" กิจกรรมและทรัพยากรทั้งหมดที่ช่วยให้คนหนึ่งสามารถมีความมั่งคงทางอาชีพการงานและทางการเงิน การแสวงหาอรรถะอย่างพอเหมาะพอควรถือเป็นเป้าหมายสำคัญของชีวิตมนุษย์ในศาสนาฮินดู

กามะ

กาม แปลว่า ความปรารถนา, ความรัก, ชอบ, หลงใหล ทั้งมีและปราศจากความคิดเชิงชู้สาวและอารมณ์ทางเพศ และหมายถึงความสุข ความยินดี อันเกิดจากสัมผัสต่าง ๆ ของร่างกาย ในศาสนาฮินดู กามะถือเป็นส่วนจำเป็นที่ช่วยให้ชีวิตคงอยู่ได้อย่างแข็งแรง ทั้งนี้ทั้งนั้นยังต้องอยู่ภายใต้การนำพาของธรรมะ, อรรถะ และโมกษะ

โมกษะ

โมกษะ หรือ มุขติ ถือเป็นเป้าหมายสูงที่สุดในศาสนาฮินดู โมกษะอาจหมายถึงการหลุดพ้นจากความทุกข์ และจากสังสาระ (การเวียนว่ายตายเกิด) ในนิกายอื่น ๆ ของศาสนาฮินดูเช่น Monistic ถือว่าโมกษะเป็นเป้าหมายที่เข้าถึงได้ในชาติปัจจุบัน เป็นสถานะของความสุขผ่านการรับรู้ตนเอง การเข้าใจธรรมชาติของจิตวิญญาณของเสรีภาพและ "ตระหนักว่าจักรวาลทั้งหมดเป็นส่วนหนึ่งของตน"

กรรม

โมกษะ

เป้าหมายสูงสุดของชีวิตเรียกว่า "โมกษะ", "นิรวานะ" หรือ "สมาธิ" เป็นที่เข้าใจกันอยู่หลายแบบ: การเข้าเป็นหนึ่งเดียวกับพระเป็นเจ้า, การเข้าสู่ความสัมพันธ์นิรันดร์กับพระเจ้า, การเป็นหนึ่งเดียวกับจักรวาล, การละทิ้งความเห็นแก่ตัวจนสิ้น, การหลุดพ้นจากสังสาระ ซึ่งคือการไม่เกิดอีก การไม่ทุกข์อีก

แนวคิดเรื่องพระเป็นเจ้า

มูรติของพระราม, พระลักษมณ์ และ พระสีดา ในขบวนแห่

ศาสนาฮินดูนั้นมีหลายความเชื่อ มีตั้งแต่ เอกเทวนิยม, พหุเทวนิยม, สรรพันตรเทวนิยม, สรรพเทวนิยม, สรรพเทวนิยม, เอกเทวนิยม ไปจนถึง อเทวนิยม[3][4][web 1]

นิกายหลัก

ศาสนาฮินดูไม่มีหลักคำสอนหลักกลาง ในขณะเดียวกันชาวฮินดูเองจำนวนมากก็ไม่ได้อ้างว่าเป็นของนิกายหรือประเพณีใด ๆ อย่างไรก็ตาม ในงานศึกษาเชิงวิชาการนิยมแบ่งออกเป็น 4 นิกายหลัก ได้แก่ ลัทธิไวษณพ, ลัทธิไศวะ, ลัทธิศักติ และ ลัทธิสมารตะ นิกายต่าง ๆ นี้แตกต่างกันหลัก ๆ ที่เทพเจ้าองค์กลางที่บูชา, ธรรมเนียมและมุมมองต่อการหลุดพ้น Julius J. Lipner ได้ระบุไว้ว่าการแบ่งนิกายของศาสนาฮินดูนั้นแตกต่างจากในศาสนาหลักอื่น ๆ ของโลก เพราะนิกายของศาสนาฮินดูนั้นคลุมเครือกับการฝึกฝนของบุคคลมากกว่า เป็นที่มาของคำว่า "Hindu polycentrism" (หลากหลายนิยมฮินดู, ฮินดูตามท้องถิ่น)

ปัญจเทวะ คือเทพเจ้าทั้ง 5 ที่ได้รับการบูชาพร้อมกันในลัทธิสมารตะ

ลัทธิไวษณพ บูชาพระวิษณุ และปางอวตารของพระองค์ โดยเฉพาะ พระกฤษณะ และ พระราม ลักษณะของนิกายนี้โดยทั่วไป ไม่ใช่ลักษณะนักพรตติดอาราม แต่มุ่งเน้นไปที่กิจกรรมชุมชนและการปฏิบัติที่นับถือศรัทธา ความรักสนุกนี้มีที่มาจากการสื่อนัย ๆ ถึงลักษณะอัน "ขี้เล่น ร่าเริง และสนุกสนาน" ของพระกฤษณะรวมถึงอวตารองค์อื่น ๆ พิธีกรรมและการปฏิบัติจึงมักเต็มไปด้วยการระบำในชุมชน, ขับร้องดนตรี ทั้ง กีรตัน (Kirtan) และ ภชัน (Bhajan) โดยเชื่อกันว่าเสียงและดนตรีเหล่านี้จะมีพลังในการช่วยทำสมาธิและมีพลังอำนาจเชิงความเชื่อ การเฉลิมฉลองและพิธีกรรมในศาสนสถานของไวษณพมักมีความประณีต ละเอียดลออ ส่วนรากฐานเชิงศาสนศาสตร์ของไวษณพนั้นมาจากภควัทคีตา, รามายณะ และปุราณะต่าง ๆ ที่เกี่ยวข้องกับพระวิษณุ

ลัทธิไศวะ มุ่งเน้นที่พระศิวะ ศาสนิกชนไศวะมีแนวโน้มไปทางปัจเจกพรตนิยม (ascetic individualism) และแตกออกเป็นนิกายแยกย่อยได้อีก แนวทางปฏิบัติของไศวะรวมถึงการศรัทธาแบบภักติ แต่ความเชื่อโน้มเอียงมาทางนิกายแบบ nondual, monistic อย่าง Advaita และ ราชโยคะ ไศวะมีทั้งกลุ่มที่นิยมบูชาในศาสนสถาน บางส่วนก็มุ่งเน้นที่การปฏิบัติโยคะ ทั้งหมดเพื่อพยายามเข้าเป็นอันหนึ่งเดียวกันกับพระศิวะทั้งสิ้น ลักษณะขององค์อวาตารนั้นไม่ค่อยพบ และไศวะบางกลุ่มมองพระเป็นเจ้าในลักษณะของครึ่งบุรุษ-ครึ่งสตรี (อรธนารีศวร) ไศวะนั้นมีความเกี่ยวพันกับศักติ โดยมักมองว่าองค์ศักติเป็นพระสวามีของพระศิวะ การเฉลิมฉลองประกอบด้วยเทศกาลต่าง ๆ และการมีส่วนร่วมในศาสนพิธีและเดินทางไปแสวงบุญยังสถานที่แสวงบุญเช่น Kumbh Mela ร่วมกับไวษณพ ลัทธิไศวะพบได้ทั่วไปในแถบหิมาลัย ตั้งแต่กัศมีร์จนถึงเนปาล และในอินเดียใต้

ลัทธิศักติ บูชาเทวีหรือศักติเป็นพระมารดาของจักรวาล พบมากเปนพิเศษในรัฐทางตะวันออกเฉียงเหนือและตะวันออกของอินเดีย เช่น รัฐอัสสัม และเบงกอลตะวันตก เทวีที่บูชานั้นมีรูปลักษณ์ตั้งแต่พระแม่ปราวตี ซึ่งทรงอ่อนโยนไปจนถึงองค์ที่มีพระลักษณะดุดันเช่น พระแม่ทุรคา และ พระแม่กาลี ศาสนิกชนเชื่อว่าศักติเป็นพลังอำนาจที่คอยรองรับความเป็นบุรุษ ระเบียบการปฏิบัติของศักติเกี่ยวข้องกับแนวทางแบบตันตระ การเฉลิมฉลองมีทั้งเทศกาล ซึ่งบางส่วนมีพิธีกรรมที่นำเทวรูปดินเหนียวแช่ลงให้ละลายไปในแม่น้ำ

ลัทธิสมารตะ บูชาเทพเจ้าฮินดูองค์หลัก ๆ ไปพร้อม ๆ กัน ได้แก่ พระศิวะ, พระวิษณุ, องค์ศักติ, พระคเนศ, พระสุริยะ และ พระการติเกยะ ธรรมเนียมแบบสมารตะนั้นเกิดขึ้นราวหลังยุคคาสสิกของฮินดูตอนต้น ราวเริ่มต้นคริสตกาล หลังศาสนาฮินดูเริ่มรวมเข้ากับการปฏิบัติแบบพราหมณ์และความเชื่อพื้นมือง

ประวัติ

ศาสนาพราหมณ์-ฮินดู เป็นศาสนาที่เก่าแก่ที่สุดในโลก ในตอนแรกเริ่มเรียกตัวเองว่า “ศาสนาพราหมณ์" ต่อมาได้เสื่อมความนิยมลงระยะหนึ่งเนื่องจากอิทธิพลของศาสนาพุทธ จนมาในช่วงพุทธศตวรรษที่ 13 ศังกราจารย์ได้ปฏิรูปศาสนาโดยแต่งคัมภีร์เทพเจ้าลดความสำคัญของศาสนาพุทธ และนำหลักปฏิบัติรวมทั้งหลักธรรมของนิกายมหายานบางส่วนมาใช้และฟื้นฟูปรับปรุงศาสนาพราหมณ์เป็นให้เป็นศาสนาฮินดูเนื่องจากหลักธรรมส่วนใหญ่ของศาสนาพุทธได้ประยุกต์มาจากศาสนาฮินดูเมื่อครั้งยังเป็นศาสนาพราหมณ์โดยเริ่มจากนิกายเถรวาทเมื่อครั้งพุทธกาล จนถึงนิกายมหายาน - วัชรยาน เมื่อ โดยคำว่า “ฮินดู” เป็นคำที่ใช้เรียกชาวอารยันที่อพยพเข้าไปตั้งถิ่นฐานในลุ่มแม่น้ำสินธุ และเป็นคำที่ใช้เรียกลูกผสมของชาวอารยันกับชาวพื้นเมืองในชมพูทวีป และชนพื้นเมืองนี้ได้พัฒนาศาสนาพราหมณ์โดยการเพิ่มเติมเทพเจ้าท้องถิ่นดั้งเดิมลงไป เนื่องจากเวลานั้นสังคมอินเดีย แตกแยกอย่างมากเนื่องจากอิทธิพลของพุทธศาสนาในประเทศอินเดียที่มีลักษณะเป็นกึ่งพหุเทวนิยม คือนิยมนับถือเทวดา ทำให้ทางตอนเหนือนับถือพระศิวะซึ่งเป็นเทพแห่งภูเขาหิมาลัย ทางตอนใต้ชาวประมงนับถือวิษณุซึ่งเป็นเทพที่ให้ฝนและพายุ ชาวป่านับถือพระนิรุทธ และตอนกลางนับถือพระพิฆเนศ คนอินเดียเวลานั้นเริ่มไม่นับถือศาสนาพราหมณ์เป็นจำนวนมากขึ้น เมื่อต้องการรวมชาติ เมื่อครั้งขับไล่ราชวงศ์โมกุลของอิสลามที่เข้ามายึดครองและสั่งเข่นฆ่าพระสงฆ์ คัมภีร์ และวัด จนแทบสูญสิ้นไปจากอินเดีย จึงรวมเทพเจ้าแต่ละท้องถิ่นต่าง ๆ มารวมเป็นหนึ่งเดียวกันกับศาสนาพราหมณ์ แล้วเรียกศาสนาของใหม่นี้ว่า “ศาสนาฮินดู” เพราะฉะนั้นศาสนาพราหมณ์จึงมีอีก ชื่อในศาสนาใหม่ว่า “ฮินดู” จนถึงปัจจุบันนี้

พระพุทธศาสนาก็เกิดขึ้นท่ามกลางสังคมพราหมณ์ แม้แต่พระโคตมพุทธเจ้าและพุทธสาวกสมัยแรก ๆ ก็เคยนับถือศาสนาพราหมณ์หรือเคยเกี่ยวข้องกับวรรณะพราหมณ์มาก่อน และในนิทานชาดก และเรื่องราวเกี่ยวกับศาสนาพุทธและพระพุทธเจ้า ก็มักจะมีพราหมณ์เข้ามาเกี่ยวข้อง จึงกล่าวได้ว่า ศาสนาพุทธและพราหมณ์ จึงมีอิทธิพลต่อกันและกัน

ในศาสนาพราหมณ์ คำว่า พราหมณ์ หมายถึง คนในวรรณะที่สูงที่สุดของสังคมอินเดีย มีหน้าที่สอนความรู้เกี่ยวกับพระเวทและทำหน้าที่ติดต่อเทพเจ้า ผู้ที่เป็นพราหมณ์เป็นโดยกำเนิด คือบุตรของพราหมณ์ก็จะมีสถานภาพเป็นพราหมณ์ด้วย

คัมภีร์

คัมภีร์พระเวท เดิมมี 3 คัมภีร์ เรียกว่า "ไตรเวท" คือ

  1. ฤคเวท เป็นคัมภีร์ที่รวบรวมบทสวดสดุดีพระผู้เป็นเจ้าทั้งหลาย บรรดาเทพเจ้าที่ปรากฏในฤคเวทสัมหิตามีจำนวน 33 องค์ ทั้ง 33 องค์ ได้จัดแบ่งตามลักษณะของที่อยู่เป็น 3 กลุ่ม คือ เทพเจ้าที่อยู่ในสวรรค์ เทพเจ้าที่อยู่ในอากาศ และเทพเจ้าที่อยู่ในโลกมนุษย์ มีจำนวนกลุ่มละ 11 องค์
  2. ยชุรเวท เป็นคัมภีร์ที่รวบรวมบทประพันธ์ที่ว่าด้วยสูตรสำหรับใช้ในการประกอบยัญพิธียชุเวทสัมหิตา แบ่งออกเป็น 2 แขนง คือ
    1. ศุกลชุรเวท หรือ ยชุรเวทขาว ได้แก่ ยชุรเวทที่บรรจุมนต์ หรือคำสวดและสูตรที่ต้องสวด
    2. กฤษณยชุรเวท หรือ ยชุรเวทดำ ได้แก่ ยชุรเวทที่บรรจุมนต์และคำแนะนำเกี่ยวกับการประกอบยัญพิธีบวงสรวง ตลอดทั้งคำอธิบายในการประกอบพิธีอีกด้วย
  3. สามเวท เป็นคัมภีร์ที่รวบรวมบทประพันธ์อันเป็นบทสวดขับร้อง บทสวดในสามเวทสัมหิตามีจำนวน 1,549 บท ในจำนวนนี้มีเพียง 75 บท ที่มิได้ปรากฏในฤคเวท

ต่อมาได้เพิ่ม อาถรรพเวท เป็นคัมภีร์ที่รวบรวมบทประพันธ์ที่ว่าด้วยมนต์หรือคาถาต่าง ๆ

หลักปฏิบัติ

อาศรม หรือ อาศรม 4 หมายถึง ขั้นตอนการดำเนินชีวิตของชาวฮินดู เฉพาะที่เป็นพราหมณ์วัยต่าง ๆ โดยกำหนดเกณฑ์อายุคนไว้ 100 ปี แบ่งช่วงของการไว้ชีวิตไว้ 4 ตอน ตอนละ 25 ปี ช่วงชีวิตแต่ละช่วงเรียกว่า อาศรม (วัย) อาศรมทั้ง 4 ช่วง มีดังนี้

  1. พรหมจรยอาศรม เริ่มตั้งแต่อายุ 8-15 ปี ผู้เข้าสู่อาศรมนี้เรียกว่า พรหมจารี
  2. คฤหัสถาศรม อยู่ในช่วงอายุ 15-40 ปี
  3. วานปรัสถาศรม อยู่ในช่วงอายุ 40-60 ปี
  4. สันยัสตาศรม อยู่ในช่วงอายุตั้งแต่ 60 ปีขึ้นไป สำหรับผู้ปรารถนาความหลุดพ้น (โมกษะ) จะออกบวชเป็น "สันยาสี" เมื่อบวชแล้วจะสึกไม่ได้

จุดมุ่งหมายสูงสุด

โมกษะ คือ การหลุดพ้นจากการเวียนว่ายตายเกิด เช่นเดียวกับศาสนาพุทธ ถือว่าเป็นหลักความดีสูงสุด ดังคำสอนของศาสนาฮินดูสอนว่า "ผู้ใดรู้แจ้งในอาตมันของตนว่าเป็นหลักอาตมันของโลกพรหมแล้ว ผู้นั้นย่อมพ้นจากสังสาระการเวียนว่าย ตาย เกิด และจะไม่ปฏิสนธิอีก"

ศาสนสถาน

เชิงอรรถ

อ้างอิง

  1. Charles Johnston, The Mukhya Upanishads: Books of Hidden Wisdom, Kshetra, ISBN 978-1495946530, page 481, for discussion: pages 478–505
  2. Paul Horsch (Translated by Jarrod Whitaker), From Creation Myth to World Law: The early history of Dharma, Journal of Indian Philosophy, Vol 32, pages 423–448, (2004)
  3. Julius J. Lipner (2010), Hindus: Their Religious Beliefs and Practices, 2nd Edition, Routledge, ISBN 978-0-415-45677-7, page 8; Quote: "[...] one need not be religious in the minimal sense described to be accepted as a Hindu by Hindus, or describe oneself perfectly validly as Hindu. One may be polytheistic or monotheistic, monistic or pantheistic, even an agnostic, humanist or atheist, and still be considered a Hindu."
  4. Chakravarti, Sitansu (1991), Hinduism, a way of life, Motilal Banarsidass Publ., p. 71, ISBN 978-81-208-0899-7



อ้างอิงผิดพลาด: มีป้ายระบุ <ref> สำหรับกลุ่มชื่อ "web" แต่ไม่พบป้ายระบุ <references group="web"/> ที่สอดคล้องกัน