นาดทาโทรซาบลีซกา

จากวิกิพีเดีย สารานุกรมเสรี
นาด ทราโทร ซา บลีซกา
คำแปล: สายฟ้าเหนือเขาทาทราส
Nad Tatrou sa blýska
Nad Tatrou 1851.gif
เนื้อร้องยานโก มาตุสกา, ค.ศ. 1844
ทำนองเพลงพื้นเมือง
รับไปใช้13 ธ.ค. 1918  เชโกสโลวาเกีย
1 ม.ค. 1993 ธงของประเทศสโลวาเกีย สโลวาเกีย
ตัวอย่างเสียง
นาดทาโทรซาบลีซกา (ขับร้อง, ฉบับทางการ)
นาดทาโทรซาบลีซกา (บรรเลง)

"นาดทาโทรซาบลีซกา" (สโลวัก: Nad Tatrou sa blýska; [ˈnat tatrɔw sa ˈbliːska]; "สายฟ้าเหนือเขาทาทราส") เป็นเพลงชาติของประเทศสโลวาเกีย โดยทำนองมีต้นกำเนิดมาจากเพลงพื้นเมืองของสโลวาเกีย ส่วนเนื้อร้องประพันธ์ขึ้นเมื่อปี ค.ศ. 1844 (พ.ศ. 2387) โดยยานโก มาตุสกา (Janko Matúška) เพลงนี้มีต้นกำเนิดมาจากอิทธิพลความคิดโรแมนติค (จินตนิยม) และชาตินิยมในแถบยุโรปตอนกลางในเวลานั้น ซึ่งเพลงนี้ต่อมาได้รับความนิยมจากชาวสโลวาเกียทั่วไปในเหตุการณ์การปฏิวัติปี ค.ศ. 1848 (พ.ศ. 2391) เนื้อหาของเพลงโดยรวมเป็นการนำเอาภาพของสายฟ้าเหนือภูเขาทาทราสมาเปรียบเทียบกับภยันตรายที่สโลวาเกียต้องเผชิญและความปรารถนาที่จะฟันฝ่าปัญหาเหล่านั้นไปให้จงได้

ในยุคที่สโลวาเกียยังคงรวมอยู่ในประเทศเชโกสโลวาเกียนั้น ปรากฏว่ามีธรรมเนียมการบรรเลงเพลงนี้ในเวลา 12 นาฬิกาทุกวัน ในเมืองของชาวสโลวัก ต่อมาธรรมเนียมนี้ได้เลิกไปเมื่อมีการแยกตัวเป็น 2 ประเทศ ปัจจุบันนี้ เพลง "นาดทาโทรซาบลีซกา" ใช้บรรเลงเนื่องในวาระพิเศษต่างๆ เช่น การแข่งขันกีฬา เป็นต้น

ประวัติ[แก้]

กำเนิดของเพลง[แก้]

ลายมือต้นฉบับในปี ค.ศ. 1844

ยานโก มาตุสกา (Janko Matúška) กวีคนสำคัญของชาวสโลวัก ขณะมีอายุได้ 23 ปี ได้เขียนบทกวีที่มีชื่อว่า "นาดทราโทรซาบลีซกา" (Nad Tatrou sa blýska) หรือ "สายฟ้าเหนือเขาทาทราส" ขึ้น ในช่วงเดือนมกราคมถึงเดือนกุมภาพันธ์ ค.ศ. 1844 โดยทำนองของเพลงได้มาจากเพลงพื้นเมืองสโลวักที่มีชื่อว่า "โคปาลาสตูเดียนกู" (Kopala studienku - ชื่อเพลงแปลได้ว่า "เธอขุดดินได้ดี") ซึ่งมาตุสกาได้รับคำแนะนำให้ใช้ทำนองนี้เพื่อนนักศึกษาคนหนึ่งผู้มีชื่อว่า โจเซฟ โปดราดสกี (Jozef Podhradský)[1] (1823-1915) ซึ่งต่อมาเขาคนนี้จะเป็นนักการศาสนา ครู และนักเคลื่อนไหวในแนวความคิดพันธมิตรสลาฟ (Pan-Slavism|Pan-Slavic)[2] หลังจากนั้นไม่นาน มาตุสกาและนักศึกษาคนอื่นๆ อีกประมาณ 24 คน ต้องออกจากเรียนที่วิทยาลัย (Lyceum) ของนิกายลูเธอรันในเมืองบราติสลาวา (เมืองหลวงของสโลวาเกีย ตั้งอยู่ทางด้านตะวันตกสุดของประเทศสโลวาเกียในปัจจุบัน) จากประท้วงการถอดถอนลูโดวิท สตูร์ (Ľudovít Štúr - ผู้นำทางความคิดในการพื้นฟูชาติและภาษาสโลวักในคริสต์ศตวรรษที่ 19 มีชีวิตระหว่าง ค.ศ. 1815 - 1856) ออกจากตำแหน่งครูโดยศาสนจักรนิกายลูเธอรัน ตามแรงกดดันของฝ่ายอำนาจรัฐ ทั้งนี้ สโลวาเกียในเวลานั้นยังเป็นส่วนหนึ่งของราชอาณาจักรฮังการี ภายใต้การปกครองของจักรวรรดิออสเตรีย

"นาดทราโทรซาบลีซกา" ถูกเขียนขึ้นในช่วงเวลาหลายสัปดาห์ที่นักศึกษาต้องกระวนกระวายใจเมื่อคำเรียกร้องขอให้ระงับการปลดลูโดวิท สตูร์ ออกจากตำแหน่งครูถูกคณะกรรมการบริหารโรงเรียนปฏิเสธ นักเรียนประมาณ 12 คน ที่เคลื่อนไหวในเหตุการณ์นี้ถูกสั่งย้ายให้ไปเรียนที่ยิมเนเซียม (Gymnázium - ชื่อของสถานศึกษาประเภทหนึ่งในทวีปยุโรป โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ในยุโรปตะวันออก) ของนิกายลูเธอรันที่เมืองเลโวกา (Levoča - ตั้งอยู่ทางตะวันออกเฉียงเหนือของประเทศสโลวาเกียปัจจุบัน)[3] เมื่อมีการพบว่า นักเรียนวัย 18 ปี คนหนึ่ง ซึ่งทำงานเป็นนักเขียนและนักหนังสือพิมพ์ด้วย คือ วิลเลียม ปอลลินี-ทอธ (Viliam Pauliny-Tóth, 1826-1877) เขียนบทกวีลงในสมุดเรียนปี ค.ศ. 1844 ของตนเอง โดยบทกวีดังกล่าวมีชื่อว่า "ชาวสโลวักแห่งบราติสลาวา, ชาวเลโวกาในอนาคต" ("Prešporský Slováci, budaucj Lewočané") ซึ่งสะท้อนถึงแรงจูงใจของนักศึกษาที่มีต่อการเคลื่อนไหวครั้งนี้[4]

การเดินทางไกลจากเมืองบราติสลาวาสู่เมืองเลโวกาของเหล่านักศึกษาต้องผ่านภูเขาไฮทาทราส (High Tatras) ซึ่งเป็นเทือกเขาที่สูงที่สุด น่าเกรงขาม และเป็นสัญลักษณ์สำคัญของสโลวาเกียและราชอาณาจักรฮังการี พายุที่พัดผ่านเขาลูกนี้ได้กลายเป็นแนวคิดสำคัญ (key theme) ที่ถูกนำมาใช้ในบทกวี "นาดทราโทรซาบลีซกา"

ทิวทัศน์อันสง่างามของเขาทราทราส ซึ่งเป็นแรงบันดาลใจในการประพันธ์บทกวี "นาดทราโทรซาบลีซกา"

สำนวนเพลง[แก้]

ไม่มีเนื้อร้องของ "นาดทาโทรซาบลีซกา" ฉบับที่ได้รับอนุญาตให้เผยแพร่ของมาตุสกาฉบับใดๆ ได้มีการเก็บรักษาไว้ และการบันทึกเสียงครั้งแรกสุดของเพลงนี้ยังคงปราศจากความเป็นเจ้าของ [5] หลังปี ค.ศ. 1849 เขาได้หยุดการเผยแพร่เนื้อร้องดังกล่าว และภายหลังได้เข้าทำงานเป็นเจ้าพนักงานศาลแขวงในท้องถิ่น [6] ทว่าบทเพลงนี้เริ่มเป็นที่นิยมจากประชาชนในช่วงการปฏิวัติระหว่างปี ค.ศ. 1848-1849 [7] โดยเนื้อร้องดังกล่าวถูกเผยแพร่ผ่านการคัดลอกและทำซ้ำด้วยการเขียนด้วยมือ ก่อนที่จะมีการตีพิมพ์ครั้งแรกในปี ค.ศ. 1851 ภายใต้ชื่อ "เพลงอาสาสมัคร" ("Dobrovolňícka") [8] ซึ่งก่อให้เกิดสำนวนของเพลงที่ต่างออกไป โดยเฉพาะวลีหนึ่งในบาทที่ 3 บทที่ 1 ของเพลง ที่ว่า "zastavme ich" ("จงไปหยุดมันเสีย") [9] หรือ "zastavme sa" ("จงไปยับยั้งมันเสีย") [10] ข้อเขียนวิจารณ์เกี่ยวกับสำเนาเพลงที่มีอยู่และงานวรรณกรรมที่เกี่ยวข้องได้สรุปว่างานเขียนต้นฉบับมาตุสกาน่าจะใช้คำว่า "zastavme ich" ทั้งนี้ ในบรรดาเอกสารต่างๆ นั้น วลีดังกล่าวล้วนปรากฏอยู่ในต้นฉบับลายมือที่เก่าที่สุดปี ค.ศ. 1844 และฉบับตีพิมพ์ครั้งแรกในปี ค.ศ. 1851 [11] เนื้อร้องของเพลงชาติสโลวาเกียในปัจจุบันใช้วลีนี้ ส่วนอีกวลีหนึ่ง ("zastavme sa") ถูกใช้ในเพลงชาติช่วงก่อน ค.ศ. 1993

ฐานะความเป็นเพลงชาติ[แก้]

ตราแผ่นดินของสาธารณรัฐสโลวัก
กลุ่มยอดเขาวีโซกา (กลาง)
เนื้อร้องของเพลง "นาดทาโทรซาบลีซกา" ฉบับพิมพ์ครั้งแรกสุด ค.ศ. 1851

ในวันที่ 13 ธันวาคม ค.ศ. 1918 (พ.ศ. 2461) เฉพาะคำร้องบทแรกของเพลงนาดทาโทรซาบลีซกา ซึ่งแต่งโดย ยานโก มาตุสกา ได้รับเลือกให้ใช้เป็นส่วนหนึ่งของเพลงชาติเชโกสโลวาเกีย ร่วมกับเนื้อเพลงส่วนที่เป็นภาษาเช็กซึ่งนำมาจากบทแรกของจุลอุปรากรที่มีชื่อว่า Kde domov můj? (แปลว่า "บ้านของฉันนั้นคือที่ใด") โดยแต่ละชาติ (เช็กและสโลวัก) จะขับร้องเพลงชาติในส่วนที่เป็นภาษาของตนเองก่อนแล้วจึงขับร้องในส่วนที่เป็นอีกภาษาหนึ่งตามลำดับ การบรรเลงเพลงนั้นก็เป็นไปในลักษณะเดียวกัน [12] บทเพลงดังกล่าวได้สะท้อนถึงความเชื่อมโยงของทั้งสองชาติในช่วงคริสต์ศตวรรษที่ 19 [13] เมื่อต้องเผชิญหน้ากับความเคลื่อนไหวอันแรงกล้าในความเป็นชาตินิยมและชาติพันธุ์นิยม (national-ethnic activism) ของชาวฮังการีและชาวเยอรมัน ซึ่งอยู่ภายใต้การปกครองของราชวงศ์ฮับสบูร์กในจักรวรรดิออสเตรีย-ฮังการี

เมื่อประเทศเชโกสโลวาเกียแยกตัวออกเป็นสาธารณรัฐเช็กและสาธารณรัฐสโลวักในปี ค.ศ. 1993 (พ.ศ. 2536) ได้มีการประกวดเพลงชาติใหม่ โดยเพลงนาดทาโทรซาบลีซกานั้น ได้มีการประกวดโดยเพิ่มเนื้อร้องในบทที่ 2 และผลการประกวดปรากฏว่า เพลงนี้ได้รับการประกาศใช้เป็นเพลงชาติสาธารณรัฐสโลวักอย่างเป็นทางการ [14] [15] ทั้งนี้ ยังเพลงอีกเพลงหนึ่งซึ่งได้นำมาประกวดด้วยที่ควรกล่าวถึง คือเพลง "เฮ สโลวาซี" (Hej Slováci) ซึ่งเพลงนี้เป็นสำนวนหนึ่งของเพลง "เฮ สลาฟ" (Hey, Slavs) ที่ใช้ในการเคลื่อนไหวความคิดพันธมิตรสลาฟ (pan-Slavic) อันเป็นที่รู้จักอย่างแพร่หลาย

การอ้างอิงถึงเขาทาทราส (Tatras) ในเพลงนาดทาโทรซาบลีซกา เป็นการตีความอย่างคู่ขนานไปกับตราแผ่นดินของสาธารณรัฐสโลวัก ซึ่งได้มีการนิยามความหมายมาตั้งแต่สมัยที่มาตุสกาเขียนคำร้องของเพลงนี้ ตราดังกล่าวนี้ดัดแปลงลักษณะส่วนหนึ่งของดวงตราแผ่นดินของฮังการี ซึ่งตีความได้ว่ามาจากยอดเขาสำคัญ 3 ลูก ในราชอาณาจักรฮังการียุคก่อน ค.ศ. 1918 อันประกอบด้วยเขามาทรา (Mátra) เขาฟาทรา (Fatra) และเขาทราทราส แม้ว่าในทุกวันนี้เขาทราทราสและเขาฟาทราจะตกเป็นของสาธารณรัฐสโลวัก และคงเหลือแต่เพียงเขามาทราที่เป็นของฮังการีก็ตาม ในคำอธิบายอีกอย่างที่มีการกล่าวถึงอย่างกว้างขวางมากกว่าได้กล่าวกันว่า ยอดเขาทั้งสามยอดนั้นหมายถึงเพียงเขาทราทราส บ้างก็กล่าวว่าหมายถึงกลุ่มยอดเขาวีโซกา (Vysoká group) ซึ่งอยู่ในแนวเทือกเขาไฮทาทราส (High Tatras)

เนื้อร้อง[แก้]

Nad Tatrou sa blýska

Nad Tatrou*1 sa blýska, นั่นสายฟ้าทาบทาเหนือภูเขาทาทราส,*1
hromy divo bijú. ฟาดลงมาเป็นวงกว้างทั่วไป
Zastavme ich, bratia, เราจงไปหยุดมันเสียเถิด พี่น้องเอ๋ย
veď sa ony stratia, เพื่อทุกสิ่งทุกอย่าง แล้วสายฟ้านั้นจักหาย
Slováci ožijú. และชาวสโลวักจะคืนกลับมาอีกครั้ง
 
To Slovensko naše สโลวาเกียของเรา
posiaľ tvrdo spalo. หลับใหลมายาวนานแล้ว
Ale blesky hromu แต่แสงสายฟ้านั้น
vzbudzujú ho k tomu,                     กลับปลุกแผ่นดินนี้
aby sa prebralo.*2 ให้ฟื้นขึ้นมาอีกครั้งหนึ่ง2
 
เฉพาะเนื้อเพลงดังแสดงไว้ข้างบนเท่านั้นที่บัญญัติเป็นเพลงชาติตามกฎหมาย

 
Ešte jedle*3 rastú ต้นสนเฟอร์*3ยังคงเติบโต
na krivánskej*4 strane.*4 ในทิศทางสู่*4ยอดเขาครีวาน (Kriváň)*5
Kto jak Slovák cíti, ซึ่งรู้สึกเช่นเดียวกับชาวสโลวัก
nech sa šable chytí จงให้เขานั้นถือดาบ
a medzi nás stane. และยืนหยัดท่ามกลางพวกเรา
 
Už Slovensko vstáva สโลกวาเกียตื่นแล้ว
putá si strháva. จงกระชากพันธนาการนั้นออกเสีย
Hej, rodina milá, ใช่แล้ว ครอบครัวที่รักเอย
hodina odbila, เวลาได้มาถึงแล้ว
žije matka Sláva.*6 มารดาแห่งชาวสลาฟ/ความรุ่งโรจน์*6ยังคงอยู่
 


  1. กวีในยุคศิลปะจินตนิยมเริ่มใช้เขาทาทราสเป็นสัญลักษณ์แห่งบ้านเกิดของชาวสโลวัก
  2. เนื้อหาส่วนนี้แสดงถึงแนวคิดการเคลื่อนไหวทางการเมืองแบบชาตินิยม-ชาติพันธุ์นิยม (national-ethnic activism) ซึ่งดำเนินอยู่ในหมู่ชาวยุโรปกลางยุคคริสต์ศตวรรษที่ 19
  3. การอุปมาด้วยสำนวนว่า "ดังสนเฟอร์" (ako jedľa) หมายถึงมนุษย์ในหลากหลายความหมาย เช่น "ตัวสูง" ("stand tall") "มีรูปร่างดี" ("have a handsome figure") "สูงและมีกล้างเนื้อเป็นมัด" ("be tall and brawny") ฯลฯ
  4. หากแปลอย่างไม่เคร่งครัด อาจแปลได้ว่า "บนทางชันแห่งยอดเขาครีวาน" (on the slope[s] of Kriváň)
  5. การใช้ยอดเขาครีวานในความหมายเชิงสัญลักษณ์ โปรดอ่านเพิ่มเติมจากบทความเกี่ยวกับยอดเขาแห่งนี้ในวิกิพีเดียภาคภาษาอังกฤษ
  6. ความหมายที่เป็นมาตรฐานของคำว่า sláva คือ "ความรุ่งโรจน์" (glory) หรือ "ชื่อเสียง" (fame) ในเชิงอุปมา คำนี้มีความหมายว่า "มารดา/เทพธิดาแห่งชาวสลาฟ" เริ่มใช้ในบทกวีชื่อ "The Daughter of Sláva" ซึ่งประพันธ์โดย ยาน คอลลาร์ (Ján Kollár) เมื่อ ค.ศ. 1824,[16]

คำแปลอิงทำนอง[แก้]

อ้างอิง[แก้]

  1. Brtáň, Rudo (1971). Postavy slovenskej literatúry. {{cite book}}: Cite ไม่รู้จักพารามิเตอร์ว่างเปล่า : |coauthors= (help)
  2. Buchta, Vladimír (1983). "Jozef Podhradský - autor prvého pravoslávneho katechizmu pre Čechov a Slovákov". Pravoslavný teologický sborník, (10). {{cite journal}}: Cite ไม่รู้จักพารามิเตอร์ว่างเปล่า : |coauthors= (help)CS1 maint: extra punctuation (ลิงก์)
  3. Sojková, Zdenka (2005). Knížka o životě Ľudovíta Štúra. {{cite book}}: Cite ไม่รู้จักพารามิเตอร์ว่างเปล่า : |coauthors= (help)
  4. Brtáň, Rudo (1971). "Vznik piesne Nad Tatrou sa blýska". Slovenské pohľady. {{cite journal}}: Cite ไม่รู้จักพารามิเตอร์ว่างเปล่า : |coauthors= (help)
  5. Cornis-Pope, Marcel (2004). History of the Literary Cultures of East-Central Europe: Junctures and Disjunctures in the 19th and 20th Centuries. {{cite book}}: ไม่รู้จักพารามิเตอร์ |coauthors= ถูกละเว้น แนะนำ (|author=) (help)
  6. Čepan, Oskár (1958). Dejiny slovenskej literatúry. {{cite book}}: Cite ไม่รู้จักพารามิเตอร์ว่างเปล่า : |coauthors= (help)
  7. Sloboda, Ján (1971). Slovenská jar: slovenské povstanie 1848-49. {{cite book}}: Cite ไม่รู้จักพารามิเตอร์ว่างเปล่า : |coauthors= (help)
  8. Anon. (1851). "Dobrovolňícka". Domová pokladňica. {{cite journal}}: Cite ไม่รู้จักพารามิเตอร์ว่างเปล่า : |coauthors= (help)
  9. Varsík, Milan (1970). "Spievame správne našu hymnu?". Slovenská literatúra. {{cite journal}}: Cite ไม่รู้จักพารามิเตอร์ว่างเปล่า : |coauthors= (help)
  10. Vongrej, Pavol (1983). "Výročie nášho romantika". Slovenské pohľady,. 1. {{cite journal}}: Cite ไม่รู้จักพารามิเตอร์ว่างเปล่า : |coauthors= (help)CS1 maint: extra punctuation (ลิงก์)
  11. Brtáň, Rudo (1979). Slovensko-slovanské literárne vzťahy a kontakty. {{cite book}}: Cite ไม่รู้จักพารามิเตอร์ว่างเปล่า : |coauthors= (help)
  12. Klofáč, Václav (1918-12-21). "Výnos ministra národní obrany č. 4580, 13. prosince 1918". Osobní věstník ministerstva Národní obrany,. 1. {{cite journal}}: Cite ไม่รู้จักพารามิเตอร์ว่างเปล่า : |coauthors= (help)CS1 maint: extra punctuation (ลิงก์)
  13. Auer, Stefan (2004). Liberal Nationalism in Central Europe. {{cite book}}: Cite ไม่รู้จักพารามิเตอร์ว่างเปล่า : |coauthors= (help)
  14. National Council of the Slovak Republic (1992-09-01). "Law 460/1992, Zbierka zákonov". {{cite journal}}: Cite journal ต้องการ |journal= (help); |contribution= ถูกละเว้น (help); Cite ไม่รู้จักพารามิเตอร์ว่างเปล่า s: |coeditors= และ |coauthors= (help)
  15. National Council of the Slovak Republic (1993-02-18). "Law 63/1993, Zbierka zákonov". {{cite journal}}: Cite journal ต้องการ |journal= (help); |contribution= ถูกละเว้น (help); Cite ไม่รู้จักพารามิเตอร์ว่างเปล่า s: |coeditors= และ |coauthors= (help)
  16. Kollár, Ján (1824). Sláwy dcera we třech zpěwjch. {{cite book}}: Cite ไม่รู้จักพารามิเตอร์ว่างเปล่า : |coauthors= (help)

แหล่งข้อมูลอื่น[แก้]