ข้ามไปเนื้อหา

ผลต่างระหว่างรุ่นของ "พรีเมียร์ลีก"

จากวิกิพีเดีย สารานุกรมเสรี
เนื้อหาที่ลบ เนื้อหาที่เพิ่ม
Potapt (คุย | ส่วนร่วม)
ไม่มีความย่อการแก้ไข
ป้ายระบุ: แก้ไขด้วยอุปกรณ์เคลื่อนที่ แก้ไขด้วยเว็บอุปกรณ์เคลื่อนที่
บรรทัด 509: บรรทัด 509:
* [[ฟุตบอลลีก]]
* [[ฟุตบอลลีก]]
* [[ฟุตบอลทีมชาติอังกฤษ]]
* [[ฟุตบอลทีมชาติอังกฤษ]]
===TOP6===
หมายถึง6ทีม ที่มีศักยภาพมากพอที่จะคว้าแชมป์รายการนี้ ได้แก่ แมนเชสเตอร์ยูไนเต็ด ลิเวอร์พูล เชลซี อาร์เซนอล แมนเชสเตอร์ซิตี้ และทอตแนมฮอตสเปอร์


== อ้างอิง ==
== อ้างอิง ==

รุ่นแก้ไขเมื่อ 14:20, 7 กรกฎาคม 2561

สำหรับพรีเมียร์ลีกอื่นๆ ดูที่ พรีเมียร์ลีก (แก้ความกำกวม)
พรีเมียร์ลีก
ก่อตั้ง20 กุมภาพันธ์ ค.ศ. 1992
ประเทศ อังกฤษ (19 ทีม)
สโมสรอื่นจาก เวลส์ (1 ทีม)
สมาพันธ์ยูฟ่า
จำนวนทีม20
ระดับในพีระมิด1
ตกชั้นสู่อีเอฟแอลแชมเปียนชิป
ถ้วยระดับประเทศเอฟเอคัพ
เอฟเอคอมมิวนิตีชีลด์
ถ้วยระดับลีกอีเอฟเอลคัพ
ถ้วยระดับนานาชาติยูฟ่าแชมเปียนส์ลีก
ยูฟ่ายูโรปาลีก
ทีมชนะเลิศปัจจุบันแมนเชสเตอร์ซิตี (3 สมัย)
(2017–18)
ชนะเลิศมากที่สุดแมนเชสเตอร์ยูไนเต็ด (20 สมัย)
หุ้นส่วนโทรทัศน์อังกฤษ สกายสปอตส์, บีทีสปอตส์ (ถ่ายทอดสด)
สกายสปอตส์ & บีบีซี (ไฮไลต์)
ไทย บีอินสปอตส์, พีพีทีวี, ทรูวิชั่นส์
เว็บไซต์www.premierleague.com
ปัจจุบัน: ฤดูกาล 2017–18

พรีเมียร์ลีก (อังกฤษ: Premier League) เป็นระบบการแข่งขันฟุตบอลลีกในระดับสูงสุดของประเทศอังกฤษ ก่อตั้งในปี พ.ศ. 2535 ภายใต้การบริหารของสมาคมฟุตบอลอังกฤษ การแข่งขันพรีเมียร์ลีกเป็นที่รวมของ 20 สโมสรฟุตบอลในระดับสูงสุดของอังกฤษเข้าด้วยกัน โดยปัจจุบันมีเพียง 6 ทีมเท่านั้น ที่ชนะเลิศในการแข่งขันรายการนี้ ได้แก่ แมนเชสเตอร์ยูไนเต็ด 13 สมัย, เชลซี 5 สมัย , อาร์เซนอล กับแมนเชสเตอร์ซิตี ทีมละ 3 สมัย, แบล็กเบิร์นโรเวอส์ และเลสเตอร์ซิตี ทีมละ 1 สมัย พรีเมียร์ลีกเป็นโลโก้พิเศษที่สโมสรฟุตบอลในอังกฤษต่างก็มาเป็นสมาชิกใหม่ในอีกไม่ช้า

ประวัติ

เดิมฟุตบอลลีกแห่งนี้ ใช้ชื่อว่า ฟุตบอลลีกดิวิชันหนึ่ง ซึ่งมีจัดการแข่งขันตั้งแต่ปี พ.ศ. 2431 (ค.ศ. 1888) และถือว่าเคยเป็นลีกฟุตบอลที่ยาวนานที่สุดในโลก โดยในปี พ.ศ. 2535 ในฤดูกาล 1992-93 ความเปลี่ยนแปลงครั้งสำคัญเกิดขึ้นจากรูเพิร์ธ เมอร์ด็อก (Rupert Murdoch) นักธุรกิจสื่อสารรายใหญ่เจ้าของเครือข่ายสถานีโทรทัศน์สกาย (BSkyB) พยายามผลักดันให้สโมสรฟุตบอลที่จะลงแข่งขันในดิวิชันหนึ่งประจำฤดูกาล 1992-93 ถอนตัวออกมาจัดตั้งเป็นพรีเมียร์ลีกทำให้ฟุตบอลลีกสูงสุดของอังกฤษที่มีอายุ 104 ปี ต้องยุติลง ขณะเดียวกันทางฟุตบอลลีกเดิมได้เปลี่ยนชื่อจาก ดิวิชันสอง มาเป็น ดิวิชันหนึ่ง และดิวิชันอื่นได้เปลี่ยนตามกันไป

ในช่วงนั้นเป็นช่วงเวลาที่วงการฟุตบอลอาชีพของอังกฤษตกต่ำอย่างมาก เกิดเหตุการณ์หลายอย่าง ไม่ว่าเรื่องของสนามกีฬาที่มีปัญหา เหตุการณ์อันธพาลลูกหนัง หรือที่เรียกว่าฮูลิแกน ทำลายภาพลักษณ์ของฟุตบอลอังกฤษ ไฟไหม้อัฒจันทร์ วันที่ 11 พฤษภาคม พ.ศ. 2528 ที่สนามฟุตบอลของสโมสรฟุตบอลแบรดฟอร์ดซิตี ในระหว่างการแข่งขัน มีผู้เสียชีวิต 56 คน เหตุการณ์วันที่ 15 เมษายน พ.ศ. 2532 ที่สนามฟุตบอลฮิลส์เบอโรของสโมสรฟุตบอลเชฟฟิลด์เวนส์เดย์ มีผู้คนเหยียบกันเสียชีวิตกว่า 96 คน นอกจากนี้โศกนาฏกรรมเฮย์เซลที่มีผู้เสียชีวิต 39 คน ทำให้ยูฟ่าสั่งห้ามไม่ให้สโมสรจากอังกฤษเข้าร่วมการแข่งขันชิง ถ้วยสโมสรในยุโรปเป็นเวลา 5 ปี อันธพาลลูกหนังที่ตามไปเชียร์ทีมที่ชื่นชอบ หลังจากการแข่งขันจะเกะกะระราน เข้าผับดื่มกินจนเมามาย บ้างก็วิวาทกับแฟนฟุตบอลเจ้าถิ่นเกิดเหตุการณ์วุ่นวายบางครั้งรุนแรงถึงขั้นจลาจลหรือไม่ก็มีคนเสียชีวิต โดยโศกนาฏกรรมเฮย์เซล์ส่วนหนึ่งมาจากคนกลุ่มนี้เช่นกัน

หลายเหตุการณ์ทำให้แฟนฟุตบอลไม่สามารถชมการแข่งขันได้อย่างสงบสุข เนื่องด้วยกลัวจะโดนลูกหลง ประกอบกับสภาพสนามที่ย่ำแย่ ไม่มีสิ่งอำนวยความสะดวก หรือการป้องกันเหตุฉุกเฉินอย่างดีพอ ทำให้ชาวอังกฤษหลายคนตัดสินใจรับชมการถ่ายทอดสดทางสถานีโทรทัศน์ที่บ้าน แทนที่จะเดินทางมาเชียร์ในสนามดังเช่นอดีต ช่วงทศวรรษ 1980 รายได้ของสโมสรจากค่าผ่านประตูซึ่งเป็นรายได้หลักได้ลดลงอย่างมาก มีเพียงสโมสรชั้นนำไม่กี่แห่งเท่านั้นที่ยังคงมีกำไร ในฤดูกาล 1986-87 ทุกสโมสรฟุตบอลมีกำไรสุทธิรวมเพียง 2.5 ล้านปอนด์ พอถึงฤดูกาล 1989-90 รวมทุกสโมสรขาดทุน 11 ล้านปอนด์ ทำให้นายทุนไม่กล้าจะเข้ามาลงทุนในธุรกิจกีฬาอาชีพนี้อย่างเต็มที่ หลายสโมสรในช่วงนั้นมีข่าวว่าใกล้จะล้มละลาย

ภายหลังเหตุการณ์ที่สนามฮิลส์โบโร่ รัฐบาลอังกฤษได้แต่งตั้งคณะกรรมการขึ้นสอบสวนเรื่องที่เกิดขึ้น โดยมีลอร์ดปีเตอร์ เทย์เลอร์ ผู้พิพากษาระดับรองประธานศาลฎีกา เป็นประธานคณะกรรมการ โดยผลการไต่สวนซึ่งเรียกว่า รายงานฉบับเทย์เลอร์ (Taylor Report) ได้กลายมาเป็นเอกสารสำคัญนำมาซึ่งความเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ในวงการฟุตบอลอังกฤษ เพราะกำหนดให้ทุกสโมสรต้องปรับปรุงสนามแข่งขัน ที่สำคัญคืออัฒจันทร์ชมการแข่งขันต้องเป็นแบบนั่งทั้งหมด ห้ามไม่ให้มีอัฒจันทร์ยืนเพื่อความปลอดภัยของผู้ชมการแข่งขัน โดยทีมในระดับดิวิชัน 1 และ 2 ต้องปรับปรุงให้เสร็จในปี 2537 และ ดิวิชัน 3 และ 4 ให้เสร็จในปี 2542 ส่งผลให้การยืนชมฟุตบอลซึ่งเป็นวัฒนธรรมการชมฟุตบอลของคนอังกฤษมานาน บางแห่งก็มีชื่อเสียงอย่างเช่นอัฒจันทร์เดอะค็อปของสโมสรฟุตบอลลิเวอร์พูลต้องจบไป ถึงแม้ว่าในประเทศอังกฤษจะมีสโมสรฟุตบอลทั้งอาชีพและสมัครเล่นมากที่สุดในโลก แต่สนามฟุตบอลส่วนใหญ่มีสภาพเก่าแก่ทรุดโทรม บางสโมสรในระดับดิวิชันหนึ่งหรือดิวิชันสองยังคงมีอัฒจันทร์ที่สร้างด้วยไม้ ทำให้การปรับปรุงสนามฟุตบอลของสโมสรฟุตบอลอังกฤษครั้งนี้ต้องใช้เงินลงทุนมหาศาล ท่ามกลางสถานะทางการเงินที่ไม่มั่นคงเพราะรายได้ลดลงอย่างมาก สโมสรเล็กบางแห่งซึ่งมีผู้ชมน้อยอยู่แล้วจึงใช้วิธีปิดตายอัฒจันทร์ยืน ส่วนสโมสรใหญ่ที่ฐานะการเงินดีกว่าก็ประสบปัญหาเช่นกัน เพราะไม่อาจใช้วิธีเลี่ยงปัญหาแบบสโมสรเล็กได้

รัฐบาลอังกฤษในขณะนั้นต้องเข้าช่วยเหลือโดยลดค่าธรรมเนียมหรือภาษีธุรกิจพนันฟุตบอล นำเงินส่วนนี้มาตั้งกองทุนฟุตบอลจำนวน 100 ล้านปอนด์ ให้ฟุตบอลลีกเป็นคนจัดสรรให้สโมสรฟุตบอลซึ่งเป็นภาคีสมาชิกทั้ง 96 สโมสร นำไปพัฒนาปรับปรุงสนามแข่งขันของตนเอง แต่งบประมาณเท่านี้ต้องนับว่าน้อยมาก หากนำมาเฉลี่ยอย่างเท่ากันแล้วจะได้รับเงินเพียงสโมสรละ 1.08 ล้านปอนด์เท่านั้น ขณะที่สโมสรฟุตบอลชั้นแนวหน้าของลีกต้องใช้เงินในการณ์นี้สูงถึงกว่าสิบล้านปอนด์ สโมสรใหญ่ในดิวิชันหนึ่งจึงกดดันฟุตบอลลีกจัดสรรเงินให้มากกว่าสโมสรเล็ก เพราะหากไม่เสร็จทันตามกำหนดอาจจะถูกถอนใบอนุญาตได้

กิจการถ่ายทอดทางโทรทัศน์

ในช่วงเวลาที่สโมสรใหญ่ต้องการเงินทุนมหาศาลนี้ เป็นโอกาสให้เจ้าของสถานีโทรทัศน์สกาย ยื่นข้อเสนอให้สโมสรในดิวิชันหนึ่งประจำฤดูกาล 1992−93 ให้ถอนตัวจากสมาชิกฟุตบอลลีกเพื่อมาจัดตั้งเอฟเอพรีเมียร์ลีก โดยทางสถานีขอซื้อสิทธิผูกขาดในการถ่ายทอดการแข่งขันในราคาแพง ทำสัญญาฉบับแรกซื้อสิทธิผูกขาดในการถ่ายทอดการแข่งขันเป็นเวลา 5 ปี (ฤดูกาล 1992−93 ถึง 1996−97) จ่ายค่าตอบแทนให้ 304 ล้านปอนด์ เทียบกับในอดีตที่ฟุตบอลลีกได้รายได้จากการขายสิทธิให้สถานีไอทีวีของอังกฤษ เพียง 44 ล้านปอนด์ ในช่วงเวลา 4 ปี เงื่อนไขตอบแทนทางธุรกิจเช่นนี้ ดึงดูดให้สโมสรทั้งหลายสนใจเป็นอย่างยิ่ง จนผู้บริหารสโมสรบางคน เช่น นายแอลัน ชูการ์ เจ้าของสโมสรฟุตบอลทอตนัมฮอตสเปอร์ แสดงตนเป็นแกนนำในการล็อบบี้ให้สโมสรอื่น ๆ ในดิวิชันหนึ่งที่จะเริ่มแข่งขันในฤดูกาล 1992−93 เห็นชอบกับการก่อตั้งลีกแห่งนี้

สำหรับลิขสิทธิ์การเผยแพร่ในประเทศไทย ในช่วงฤดูกาล 2013−14, 2014−15 และ 2015−16 เป็นของบริษัท ซีทีเอช จำกัด (มหาชน) หน่วยงานกลางของกลุ่มผู้ประกอบการโทรทัศน์ผ่านสายเคเบิลระดับท้องถิ่น โดยต่อเนื่องมาจากบริษัท ทรูวิชันส์ จำกัด (มหาชน) ผู้ประกอบการโทรทัศน์ผ่านสายเคเบิลทั่วประเทศ ในเครือบริษัท ทรูคอร์ปอเรชัน จำกัด (มหาชน) ซึ่งถือลิขสิทธิ์ตั้งแต่ฤดูกาล 2007−08 จนถึง 2012−13 โดยต่อมาในปี 2016/2017 จนถึง 2018/2019 ช่องบีอินสปอตส์ได้ลิขสิทธิ์การถ่ายทอดดังกล่าว

การจัดตั้ง

17 กรกฎาคม พ.ศ. 2534 มีการลงนามข้อตกลงภาคีสมาชิกก่อตั้ง (Founder Members Agreement) เพื่อวางหลักการสำคัญในการจัดตั้งพรีเมียร์ลีก ได้แก่ ระบบลีกสูงสุดใหม่นี้จะดำเนินการทางธุรกิจด้วยตนเอง ทำให้พรีเมียร์ลีกมีอิสระที่จะเจรจาผลประโยชน์กับผู้สนับสนุน รวมทั้งสิทธิในการขายสิทธิถ่ายทอดโทรทัศน์ของตนเอง แยกขาดจากสมาคมฟุตบอลอังกฤษและฟุตบอลลีก จากนั้นในปี พ.ศ. 2535 ทั้ง 20 สโมสรได้ยื่นขอถอนตัวจากฟุตบอลลีกอย่างเป็นทางการ

ต่อมา 27 พฤษภาคม พ.ศ. 2535 เอฟเอพรีเมียร์ลีกจึงก่อตั้งโดยจดทะเบียนในรูป บริษัทจำกัด มีสโมสรฟุตบอลสมาชิกทั้ง 20 แห่งเป็นหุ้นส่วน ความเป็นหุ้นส่วนจึงขึ้นอยู่กับผลการแข่งขันทางสโมสร หากทีมใดยังคงอยู่ในพรีเมียร์ลีกก็จะถือเป็นหุ้นส่วนของพรีเมียร์ลีกต่อไป ในช่วงปิดฤดูกาลสโมสรที่ตกชั้นจะต้องมอบสิทธิความเป็นหุ้นส่วนให้กับสโมสรที่เลื่อนชั้นมาจากดิวิชั่น 2 ที่เปลี่ยนชื่อเป็นดิวิชั่น 1 (ลีกแชมเปียนชิปในปัจจุบัน) โดยมีสมาคมฟุตบอลอังกฤษถือสิทธิเป็นหุ้นส่วนหลัก มีอำนาจที่จะคัดค้านในประเด็นสำคัญ เช่น การแต่งตั้งประธานกรรมการและผู้บริหารระดับสูง หลักการเลื่อนชั้นหรือตกชั้นของสโมสรเท่านั้น แต่ไม่อาจล่วงไปถึงกิจการเฉพาะของพรีเมียร์ลีก ซึ่งได้แก่เงื่อนไขและผลประโยชน์เชิงพาณิชย์ต่าง ๆ

ด้วยค่าตอบแทนจากการถ่ายทอดโทรทัศน์และประโยชน์ที่ได้รับจากผู้สนับสนุนการแข่งขัน ทำให้พรีเมียร์ลีกพัฒนาเป็นลีกฟุตบอลภายในประเทศที่ดีที่สุดแห่งหนึ่งของโลก

การซื้อตัวผู้เล่นต่างชาติ

การแข่งขัน แมนเชสเตอร์ยูไนเต็ด กับ ทอตนัมฮอตสเปอร์

จารีตอันยาวนานของสโมสรฟุตบอลอังกฤษในเรื่องนักฟุตบอลของทีมคือ แต่ละสโมสรจะส่งตัวแทนค้นหาเยาวชนที่มีความสามารถทางการเล่นฟุตบอลเพื่อนำมาฝึกหัดพัฒนาทักษะ โดยให้ลงเล่นตั้งแต่ในทีมระดับเยาวชน สมัครเล่น หรือทีมสำรอง ผู้ที่มีความโดดเด่นจะได้รับคัดเลือกให้ลงเล่นในทีมชุดใหญ่ซึ่งลงแข่งในฟุตบอลลีก หากจะมีการซื้อตัวผู้เล่น ก็มักจะมาจากสโมสรในดิวิชันหนึ่ง (เดิม) ซื้อตัวผู้เล่น ดาวรุ่ง จากดิวิชันที่ต่ำกว่าหรือจากสโมสรสมัครเล่นนอกลีก มีน้อยมากที่ซื้อนักฟุตบอลต่างชาติ (ไม่นับรวม สกอตแลนด์ เวลส์ และไอร์แลนด์) ต่างจากสโมสรฟุตบอลอาชีพทางยุโรปตอนใต้ โดยเฉพาะอย่างยิ่งสโมสรฟุตบอลในอิตาลีและสเปน ซึ่งมักจะได้รับฉายาว่า เจ้าบุญทุ่ม บ่อยครั้งที่สโมสรฟุตบอลจากสองประเทศนี้จ่ายเงินมหาศาล จนถึงขั้นสร้างสถิติโลกในการซื้อตัวนักฟุตบอลต่างชาติเพียงหนึ่งคน

แต่เมื่อพรีเมียร์ลีกก่อกำเนิด ธรรมเนียมการกว้านซื้อตัวนักฟุตบอลต่างชาติของสโมสรฟุตบอลอังกฤษจึงเริ่มมีมากขึ้น จารีตการสร้างนักฟุตบอลของตัวเองแม้จะยังคงอยู่แต่ก็ลดความสำคัญลงไปทุกขณะ เพราะต้องใช้เวลายาวนานอาจไม่ทันการณ์ สู้ใช้เงินซื้อนักฟุตบอลชื่อดังระดับโลกมาร่วมสังกัดไม่ได้ ที่สามารถดึงดูดแฟนฟุตบอลให้ซื้อบัตรเข้าชมการแข่งขันมากขึ้นในเวลาอันสั้น ลีลาการเล่นที่ตื่นเต้นเร้าใจย่อมขยายฐานแฟนคลับให้กว้างขวางออกไปอย่างรวดเร็ว เมื่อสโมสรชั้นนำในพรีเมียร์ลีกต่างมีสถานะทางการเงินที่มั่นคงกว่าเดิม จึงพร้อมที่จะทำในสิ่งที่ไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อนในประวัติศาสตร์

รูปโฉมใหม่ของฟุตบอลอาชีพอังกฤษเปิดฉากขึ้น ในฤดูกาล 1994-95 เมื่อท็อตนัมฮอตสเปอร์ซี่ซื้อตัวเยือร์เกิน คลินส์มันน์ นักฟุตบอลทีมชาติเยอรมันจากโมนาโก จากฝรั่งเศส ทักษะและลีลาการเล่นฟุตบอลของคลินส์มันน์สร้างความตื่นตาตื่นใจต่อผู้ชม ทำให้เขากลายเป็นขวัญใจของกองเชียร์ในเวลาไม่นาน สร้างความพึงพอใจต่อสโมสรต้นสังกัดเป็นอย่างยิ่ง ความสำเร็จของทอตนัมฮอตสเปอร์กระตุ้นให้สโมสรอื่น กล้าลงทุนซื้อตัวนักฟุตบอลระดับโลกมากขึ้น เพราะรายรับที่ได้กลับคืนมาคุ้มค่ากับการลงทุน

ในฤดูกาลถัดมานักฟุตบอลต่างชาติได้มาเล่นในฟุตบอลอังกฤษมากขึ้น ในฤดูกาล 1995-96 มิดเดิลสโบรห์ซื้อจูนินโญ่และเอเมอร์สัน (บราซิล) นิวคาสเซิลยูไนเด็ตซื้อฟาอุสติโน่ อัสปริญ่า (โคลอมเบีย) อาร์เซนอลซื้อแด็นนิส แบร์คกัมป์ (ฮอลแลนด์) เชลซีซื้อรืด คึลลิต (ฮอลแลนด์) ฯลฯ ฤดูกาล 1996-97 มิดเดิลสโบรห์ซื้อฟาบรีซีโอ ราวาเนลลี (อิตาลี) เชลซีซื้อจันลูกา วีอัลลี และจันฟรังโก โซลา (อิตาลี) สโมสรฟุตบอลลิเวอร์พูลซื้อแพทริก แบเกอร์ (สาธารณรัฐเช็ก) และอาร์เซนอลซื้อปาทริค วิเอร่า (ฝรั่งเศส) ฯลฯ โดยในฤดูกาล 1999-2000 เชลซีได้ส่งผู้เล่น 11 ตัวจริงลงเล่นโดยที่ไม่มีผู้เล่นของอังกฤษหรือประเทศในสหราชอาณาจักรปนอยู่เลยเป็นทีมแรก[1]

นอกจากนักฟุตบอลแล้ว ผู้จัดการทีมต่างชาติก็เข้ามามีบทบาทในพรีเมียร์ลีกจวบจนปัจจุบันนี้ ไม่ว่าจะเป็นอาร์แซน แวงแกร์, รืด คึลลิต, เฌราร์ อูลีเย, ราฟาเอล เบนีเตซ, โชเซ มูรีนโย ฯลฯ แม้แต่สโมสรฟุตบอลที่มีลักษณะอนุรักษนิยมสูง ดังเช่น ลิเวอร์พูล ที่ปรับตัวให้เข้ากับระบบใหม่ช้ากว่าคู่แข่งหลายทีม จนทำให้ยังไม่ประสบความสำเร็จในระดับแชมป์พรีเมียร์ลีก (ต่างจากยุคฟุตบอลลีก) และยังต้องปรับตัวต่อกระแสการซื้อตัวนักฟุตบอลและผู้จัดการทีมต่างชาติ เพื่อหวังจะครองแชมป์พรีเมียร์ลีกเป็นครั้งแรกให้ได้

อาจกล่าวได้ว่าในขณะนี้ พรีเมียร์ลีกเป็นลีกฟุตบอลภายในประเทศที่ดีที่สุดแห่งหนึ่ง ดึงดูดนักฟุตบอลชั้นดีให้มาประกอบวิชาชีพไม่ต่างจากเซเรียอาของประเทศอิตาลี หรือลาลีกาของประเทศสเปน ตัวชี้วัดคุณภาพที่ดีที่สุดคือนักฟุตบอลที่เข้าร่วมแข่งขันฟุตบอลโลก 2002 ซึ่งเกาหลีใต้-ญี่ปุ่น เป็นเจ้าภาพ มีจำนวน 101 คนที่เล่นฟุตบอลในอังกฤษ และปัจจุบันมีนักฟุตบอลต่างชาติในพรีเมียร์ลีกมากกว่า 290 คน

ref>Northcroft, Jonathan (11 May 2008). "Breaking up the Premier League's Big Four". The Sunday Times. สืบค้นเมื่อ 26 May 2011.</ref>[2] [3][4]

ระบบการแข่งขัน

มีทีมร่วมแข่งขัน 20 ทีม แข่งขันในระบบพบกันหมด เหย้าและเยือน ทีมชนะได้ 3 คะแนน ทีมเสมอได้ 1 คะแนน และทีมแพ้ไม่ได้คะแนน ตลอดฤดูกาลทุกทีมจะต้องแข่งขันทั้งสิ้น 38 นัด เมื่อสิ้นสุดฤดูกาล 3 สโมสรที่ได้คะแนนน้อยที่สุด จะต้องตกชั้นไปเล่นในฟุตบอลลีกแชมเปียนชิป

4 ทีมที่อันดับดีสุดจะได้ผ่านเข้าไปเล่นในยูฟ่าแชมเปียนส์ลีก โดยสี่ทีมอันดับแรกจะผ่านเข้าไปรอในรอบแบ่งกลุ่ม (ทีมชนะเลิศได้อยู่โถ 1) ส่วนอันดับ 5 จะได้เล่นยูฟ่ายูโรปาลีก (ยูฟ่า คัพ) เดิม และทีมที่ชนะเลิศการแข่งขันฟุตบอลถ้วยภายในประเทศก็จะได้สิทธิ์ไปเล่นในยูโรปาลีก โดยอัตโนมัติเช่นกัน ในกรณีที่ทีมอันดับ 1-4 ชนะการแข่งขันฟุตบอลถ้วยภายในประเทศ สิทธิ์การแข่งยูฟ่ายูโรปาลีก จะได้แก่อันดับ 6 และ 7 ของพรีเมียร์ลีกแทน

ทีมพรีเมียร์ลีกที่ได้สิทธิไปแข่งฟุตบอลยุโรป มีเงื่อนไขดังนี้[5]

  • แชมป์พรีเมียร์ลีก : ผ่านเข้าไปเล่นในยูฟ่าแชมเปียนส์ลีกในรอบแบ่งกลุ่มและได้อยู่โถ 1
  • รองแชมป์พรีเมียร์ลีก : ผ่านเข้าไปเล่นในยูฟ่าแชมเปียนส์ลีกในรอบแบ่งกลุ่ม
  • อันดับที่ 3 : ผ่านเข้าไปเล่นในยูฟ่าแชมเปียนส์ลีกในรอบแบ่งกลุ่ม
  • แชมป์ยูฟ่าแชมเปียนส์ลีก : ผ่านเข้าไปเล่นในยูฟ่าแชมเปียนส์ลีกในรอบแบ่งกลุ่มและได้อยู่โถ 1
  • แชมป์ยูฟ่ายูโรปาลีก : ผ่านเข้าไปเล่นในยูฟ่าแชมเปียนส์ลีกในรอบแบ่งกลุ่ม
  • อันดับที่ 4 : ผ่านเข้าไปเล่นในยูฟ่าแชมเปียนส์ลีกในรอบแบ่งกลุ่ม
  • แชมป์เอฟเอคัพ : ผ่านเข้าไปเล่นในยูฟ่ายูโรปาลีกในรอบแบ่งกลุ่ม
  • อันดับที่ 5 : ผ่านเข้าไปเล่นในยูฟ่ายูโรปาลีกในรอบแบ่งกลุ่ม

ผู้สนับสนุนหลัก

รายชื่อผู้สนับสนุนหลักในรายการแข่งขันฤดูกาลต่างๆ

สโมสรที่เข้าร่วมพรีเมียร์ลีก (ฤดูกาล 2017–18)

ทีม ที่ตั้ง สนาม ความจุ[6]
อาร์เซนอล ลอนดอน เอมิเรตส์สเตเดียม 60,432
เอเอฟซีบอร์นมัท บอร์นมัท ดีนคอร์ท 11,464
เบิร์นลีย์ เบิร์นลีย์ เทิร์ฟมัวร์ 22,546
เชลซี ลอนดอน สแตมฟอร์ดบริดจ์ 41,629
คริสตัลพาเลซ ลอนดอน เซลเฮิสต์พาร์ก 26,297
เอฟเวอร์ตัน เมอร์ซีย์ไซด์ กูดิสันพาร์ก 39,572
ฮัลล์ซิตี คิงส์ตันอะพอนฮัลล์ เคซีสเตเดียม 25,586
เลสเตอร์ซิตี้ เลสเตอร์ คิงเพาเวอร์สเตเดียม 32,312
ลิเวอร์พูล ลิเวอร์พูล แอนฟิลด์ 54,000
แมนเชสเตอร์ ซิตี แมนเชสเตอร์ เอติฮัตสเตเดียม 47,805
แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด แมนเชสเตอร์ โอลด์ แทร็ฟฟอร์ด 75,635
มิดเดิลส์เบรอ มิดเดิลส์เบรอ ริเวอร์ไซด์สเตเดียม 34,746
เซาแทมป์ตัน เซาแทมป์ตัน เซนต์แมรีส์สเตเดียม 32,505
สโตก ซิตี สโตก-ออน-เทรนต์ เบต365สเตเดียม 28,384
ซันเดอร์แลนด์ ซันเดอร์แลนด์ สเตเดียมออฟไลต์ 48,707
สวอนซีซิตี สวอนซี ลิเบอร์ตีสเตเดียม 20,750
ทอตนัมฮอตสเปอร์ ลอนดอน ไวต์ฮาร์ตเลน 32,241
วอตฟอร์ด ลอนดอน วิคาริจโรด 21,250
เวสต์บรอมมิชอัลเบียน เวสต์บรอมมิช เดอะฮอว์ธอร์น 26,445
เวสต์แฮมยูไนเต็ด ลอนดอน โอลิมปิกสเตเดียม 60,000

ทีมชนะเลิศ

ฤดูกาล ทีมชนะเลิศ ทีมรองชนะเลิศ
1992–93 แมนเชสเตอร์ยูไนเต็ด แอสตันวิลลา
1993–94 แมนเชสเตอร์ยูไนเต็ด แบล็กเบิร์นโรเวอส์
1994–95 แบล็กเบิร์นโรเวอร์ส แมนเชสเตอร์ยูไนเต็ด
1995–96 แมนเชสเตอร์ยูไนเต็ด นิวคาสเซิลยูไนเต็ด
1996–97 แมนเชสเตอร์ยูไนเต็ด นิวคาสเซิลยูไนเต็ด
1997–98 อาร์เซนอล แมนเชสเตอร์ยูไนเต็ด
1998–99 แมนเชสเตอร์ยูไนเต็ด อาร์เซนอล
1999–2000 แมนเชสเตอร์ยูไนเต็ด อาร์เซนอล
2000–01 แมนเชสเตอร์ยูไนเต็ด อาร์เซนอล
2001–02 อาร์เซนอล ลิเวอร์พูล
2002–03 แมนเชสเตอร์ยูไนเต็ด อาร์เซนอล
2003–04 อาร์เซนอล เชลซี
2004–05 เชลซี อาร์เซนอล
2005–06 เชลซี แมนเชสเตอร์ยูไนเต็ด
2006–07 แมนเชสเตอร์ยูไนเต็ด เชลซี
2007–08 แมนเชสเตอร์ยูไนเต็ด เชลซี
2008–09 แมนเชสเตอร์ยูไนเต็ด ลิเวอร์พูล
2009–10 เชลซี แมนเชสเตอร์ยูไนเต็ด
2010–11 แมนเชสเตอร์ยูไนเต็ด เชลซี
2011–12 แมนเชสเตอร์ซิตี แมนเชสเตอร์ยูไนเต็ด
2012–13 แมนเชสเตอร์ยูไนเต็ด แมนเชสเตอร์ซิตี
2013–14 แมนเชสเตอร์ซิตี ลิเวอร์พูล
2014–15 เชลซี แมนเชสเตอร์ซิตี
2015–16 เลสเตอร์ซิตี อาร์เซนอล
2016–17 เชลซี ทอตนัมฮอตสเปอร์
2017–18 แมนเชสเตอร์ซิตี แมนเชสเตอร์ยูไนเต็ด

ทีมชนะเลิศแบ่งตามสโมสร

อันดับ สโมสร ชนะ ปีที่ชนะ
1 แมนเชสเตอร์ยูไนเต็ด 13 1992–93, 1993–94, 1995–96, 1996–97, 1998–99

1999–2000, 2000–01, 2002–03, 2006–07, 2007–2008,

2008–09, 2010–11, 2012–13

2 เชลซี 5 2004–05, 2005–06, 2009–10, 2014–15, 2016–17
3 อาร์เซนอล 3 1997–98, 2001–02, 2003–04
แมนเชสเตอร์ซิตี 2011–12, 2013–14, 2017–18
5 แบล็กเบิร์นโรเวอส์ 1 1994–95
เลสเตอร์ซิตี 2015–16

ลงเล่นสูงสุด

ณ วันที่ 9 พฤษภาคม 2018
อันดับ ชื่อ ลงเล่น
1

อังกฤษ แกเร็ท แบร์รี

653
2

เวลส์ ไรอัน กิกส์

632
3

อังกฤษ แฟรงก์ แลมพาร์ด

609
4 อังกฤษ เดวิด เจมส์ 572
5 เวลส์ แกรี สปีด 535
6 อังกฤษ เอมีล เฮสกีย์ 516
7 ออสเตรเลีย มาร์ก ชวาร์เซอร์ 514
8 อังกฤษ เจมี คาร์เรเกอร์ 508
9 อังกฤษ ฟิล เนวิล 505
10 อังกฤษ สตีเวน เจอร์ราร์ด 504
อังกฤษ ริโอ เฟอร์ดินานด์

ตัวเอียง หมายถึงผู้เล่นที่ยังเล่นฟุตบอลอยู่

ตัวหนา หมายถึงผู้เล่นที่ยังเล่นฟุตบอลอยู่ในพรีเมียร์ลีก

ทำประตูสูงสุด

ณ วันที่ 6 ธันวาคม 2017
อันดับ ชื่อ ปี ประตู ลงเล่น อัตราส่วน
1 อังกฤษ แอลัน เชียเรอร์ 1992–2006 260 441 0.59
2 อังกฤษ เวย์น รูนีย์ 2002–2017 250 425 0.44
3 อังกฤษ แอนดรูว์ โคล 1992–2008 187 414 0.45
4 อังกฤษ แฟรงก์ แลมพาร์ด 1995–2015 177 609 0.29
5 ฝรั่งเศส ตีแยรี อ็องรี 1999–2007, 2012 175 258 0.68
6 อังกฤษ ร็อบบี ฟาวเลอร์ 1993–2009 163 379 0.43
7 อังกฤษ ไมเคิล โอเวน 1996–2004, 2005–13 150 326 0.46
8 อังกฤษ เลส เฟอร์ดินานด์ 1992–2005 149 351 0.42
9 อังกฤษ เท็ดดี เชอริงแฮม 1992–2007 146 418 0.35
10 เนเธอร์แลนด์ โรบิน ฟัน แปร์ซี 2004–2015 144 280 0.51

ตัวเอียง หมายถึงผู้เล่นที่ยังเล่นฟุตบอลอยู่

ตัวหนา หมายถึงผู้เล่นที่ยังเล่นฟุตบอลอยู่ในพรีเมียร์ลีก

ดูเพิ่ม

TOP6

หมายถึง6ทีม ที่มีศักยภาพมากพอที่จะคว้าแชมป์รายการนี้ ได้แก่ แมนเชสเตอร์ยูไนเต็ด ลิเวอร์พูล เชลซี อาร์เซนอล แมนเชสเตอร์ซิตี้ และทอตแนมฮอตสเปอร์

อ้างอิง

  1. "ยูโร 2016 ใครชนะใครแชมป์ 19 06 59 เบรก 1". ฟ้าวันใหม่. 19 June 2016. สืบค้นเมื่อ 20 June 2016.
  2. "The best of the rest". Soccernet. ESPN. 29 January 2007. สืบค้นเมื่อ 27 November 2007.
  3. "Alex McLeish says Aston Villa struggle to compete with top clubs". BBC Sport. British Broadcasting Corporation. 8 September 2011. สืบค้นเมื่อ 8 September 2011.
  4. Jolly, Richard (11 August 2011). "Changing dynamics of the 'Big Six' in Premier League title race". The National. สืบค้นเมื่อ 18 August 2013.
  5. ไขปม ตีตั๋วลุยยุโรปทีมแดน ผู้ดี
  6. "Football Ground Guide". Football Ground Guide. สืบค้นเมื่อ 19 Jun 2016.

แหล่งข้อมูลอื่น