ข้ามไปเนื้อหา

ฟุตบอล

จากวิกิพีเดีย สารานุกรมเสรี
ฟุตบอล
ผู้เล่นฝ่ายรุก (หมายเลข 10) พยายามจะเตะลูกฟุตบอลให้ผ่านผู้รักษาประตู และ เข้าไประหว่างเสาประตูเพื่อทำคะแนน
สมาพันธ์สูงสุดฟีฟ่า
เล่นครั้งแรกกลางศตวรรษที่ 19 ในประเทศอังกฤษ
ลักษณะเฉพาะ
การปะทะมี
ผู้เล่นในทีม11 คนต่อฝั่งประกอบด้วย
ผู้รักษาประตู
กองหลัง
กองกลาง
กองหน้า
แข่งรวมชายหญิงมีการแข่งขันแยกชาย-หญิง
หมวดหมู่กีฬาที่เล่นเป็นทีม, กีฬาที่ใช้ลูกบอล
อุปกรณ์ลูกฟุตบอล
รองเท้าฟุตบอล
สนับแข้ง
ชุดกีฬา
ถุงมือ (เฉพาะผู้รักษาประตู)
สถานที่สนามฟุตบอล
ในกีฬาฟุตบอล วัตถุประสงค์พื้นฐานของแฟน ๆ คือการสนับสนุนทีมของพวกเขาในระหว่างการแข่งขัน

ฟุตบอลสมาคม (อังกฤษ: association football) หรือที่เรียกกันทั่วไปว่า ฟุตบอล (อังกฤษ: football) หรือ ซอกเกอร์ (อังกฤษ: soccer) เป็นกีฬาประเภททีมที่เล่นระหว่างสองทีม โดยแต่ละทีมมีผู้เล่น 11 คน โดยใช้ลูกบอล เป็นที่ยอมรับอย่างแพร่หลายว่าเป็นกีฬาที่เป็นที่นิยมมากที่สุดในโลก[1][2][3]

โดยจะเล่นในสนามหญ้าแนวยาว(สี่เหลี่ยมผืนผ้า) หรือ สนามหญ้าเทียม โดยมีประตูอยู่กึ่งกลางที่ปลายสนามทั้งสองฝั่ง เป้าหมายคือทำคะแนนโดยการใช้เท้าพาลูกฟุตบอลให้เข้าไปยังประตูของฝ่ายตรงข้าม ในการเล่นทั่วไป ผู้รักษาประตูจะเป็นผู้เล่นเพียงคนเดียวที่สามารถใช้มือหรือแขนกับลูกฟุตบอลได้โดยมีข้อแม้ว่าห้ามออกนอกเขตโทษ หรือกรอบ 25 หลาหน้าปากประตู ส่วนผู้เล่นอื่น ๆ จะใช้เท้าในการเตะลูกฟุตบอลไปยังตำแหน่งที่ต้องการ บางครั้งอาจใช้ลำตัว หรือ ศีรษะ เพื่อสกัดลูกฟุตบอลที่ลอยอยู่กลางอากาศ โดยทีมที่พาลูกฟุตบอลเข้าประตูฝ่ายตรงข้ามได้มากกว่าจะเป็นผู้ชนะ ถ้าคะแนนเท่ากันให้ถือว่าเสมอ แต่ในบางเกมที่เสมอกันในช่วงเวลาปกติแล้วต้องการหาผู้ชนะจึงต้องมีการต่อเวลาพิเศษ และ/หรือดวลลูกโทษขึ้นอยู่กับกฎระเบียบของรายการแข่งขันนั้น ๆ

โดยกฎกติกาการเล่นสมัยใหม่จะถูกรวบรวมขึ้นในประเทศอังกฤษ โดย สมาคมฟุตบอลอังกฤษ ในปี พ.ศ. 2406 ได้กำเนิดกติกาฟุตบอลขึ้นเพื่อเป็นแนวทางกติกาการเล่นในปัจจุบัน ฟุตบอลในระดับนานาชาติจะถูกวางระเบียบโดยฟีฟ่า ซึ่งรายการแข่งขันที่มีเกียรติสูงสุดในระดับนานาชาติคือการแข่งขันฟุตบอลโลกซึ่งจะจัดขึ้นทุก ๆ 4 ปี[4]

ประวัติและความเป็นมา

[แก้]

ฟุตบอลแบบในปัจจุบันมีที่มาจากช่วงกลางศตวรรษที่ 19 จากความพยายามสร้างมาตรฐานสำหรับการเล่นฟุตบอลของโรงเรียนรัฐหลาย ๆ แห่งทั่วอังกฤษ[5] ในปี 1848 มีการเขียนกติกาสำหรับเกมที่คล้ายกับฟุตบอลในปัจจุบันเรียกว่ากฎฟุตบอลแบบเคมบริดจ์เขียนขึ้นอย่างเป็นทางการที่มหาวิทยาลัยเคมบริดจ์ซึ่งมีอิทธิพลมากที่สุดในการพัฒนากติกาและเกมอื่น ๆ ถัดมารวมถึงฟุตบอลในปัจจุบัน กฎฟุตบอลแบบเคมบริดจ์เริ่มร่างขึ้นที่ทรินิตีคอลลีจซึ่งเป็นสถานที่ที่มีการประชุมกันของตัวแทนจากวิทยาลัยอีตัน โรงเรียนแฮร์โรว์ โรงเรียนรักบี วิทยาลัยวินเชสเตอร์ และโรงเรียนชรูวบรี อย่างไรก็ตามกฎที่ตั้งขึ้นไม่ได้ถูกใช้อย่างแพร่หลาย ช่วงทศวรรษ 1850 ชมรมหลายแห่งที่ไม่เกี่ยวข้องกับโรงเรียนหรือมหาวิทยาลัยถูกตั้งขึ้นมาทั่วกลุ่มประเทศที่ใช้ภาษาอังกฤษเพื่อทำการแข่งขันเกมฟุตบอลแบบต่าง ๆ รวมถึงมีการตั้งกฎขึ้นมาเอง ตัวอย่างเช่นเชฟฟิลด์ฟุตบอลคลับก่อตั้งโดยศิษย์เก่าของโรงเรียนในปี 1857[6] นำไปสู่การก่อตั้งสมาคมฟุตบอลเชฟฟิลด์ [en] ที่รวมสโมสรฟุตบอลสมัครเล่นรอบ ๆ บริเวณนั้นในปี 1867 จอห์น ชาร์ล ธริง [en] จากโรงเรียนอัปปิงแฮมในปี 1862 ได้วางแบบแผนและแนะนำกฎที่ผลมาถึงปัจจุบัน[7]

กฎฟุตบอลร่างด้วยลายมือโดยตัวแทนของเอฟเอ เอเบเนเซอร์ คอบบ์ มอร์ลีย์ ในปี 1863

ความพยายามสร้างเกมฟุตบอลจากหลาย ๆ แห่งทำให้เกิดสมาคมฟุตบอลอังกฤษ (เอฟเอ) ในปี 1863 ซึ่งมีการประชุมครั้งแรกในเช้าวันที่ 26 ตุลาคม 1863 ที่ร้านเหล้าฟรีมาซัน [en] ในลอนดอน[8] ตัวแทนส่วนใหญ่เป็นสโมสรของหมู่บ้านและมีโรงเรียนเดียวที่เป็นตัวแทนในการประชุมวาระนี้คือโรงเรียนชาร์เตอร์เฮาส์ ร้านเหล้าฟรีมาซันถูกใช้เป็นที่ประชุมของเอฟเออีกห้าครั้งตั้งแต่ ตุลาคม ปี 1863 ถึงธันวาคมในปีเดียวกัน จนในที่สุดเอฟเอได้ออกกฎที่ครอบคลุมเนื้อหาทั้งหมดที่เกี่ยวกับฟุตบอลชื่อว่าลอว์ออฟเดอะเกมและกลายมาเป็นกีฬาฟุตบอลในปัจจุบัน[9] ตัวอย่างของกฎที่ต่างจากกฎยุคแรกเช่น ห้ามใช้มือถือลูกวิ่งในการแข่งขัน ห้ามเตะหน้าแข้งคู่แข่ง ห้ามขัดขาคู่แข่งให้หกล้ม ห้ามจับไม่ให้คู่แข่งขยับตัว[10] มีสโมสรทั้งหมดสิบเอ็ดสโมสรภายใต้การดูแลของเลขาธิการเอฟเอ เอเบเนเซอร์ คอบบ์ มอร์ลีย์ อนุมัติกฎสิบสามข้อเดิมไว้[8] กฎที่เป็นปัญหาในการประชุมคือกฏเตะหน้าแข้งซึ่งสโมสรที่สิบสองที่เข้าร่วมประชุมอย่างแบล็คฮีธเอฟซี [en] อย่างให้มีการรักษากฎนี้ไว้ท้ายที่สุดพวกเข้าได้ถอนตัวจากการเป็นสมาชิกของเอฟเอ[8] สโมสรอื่น ๆ ที่มีความเห็นคล้ายกันได้ตั้งสินใจไม่เข้าร่วมเอฟเอและในปี 1871 แบล็คฮีธร่วมกับสโมสรรักบี้อื่น ๆ ได้ร่วมตัวกันตั้งสหภาพรักบี้ฟุตบอล [en] กฎฟุตบอลของเอฟเอฉบับปี 1863 ประกอบด้วยการรับลูกจากการยืนตำแหน่ง ประตูส่วนใหญ่ไม่มีคานคล้ายกับประตูแบบออสเตรเลียนฟุตบอลซึ่งมีการร่างกฎในช่วงเดียวกัน สมาคมฟุตบอลเชฟฟิลด์ใช้กฎของตัวเองจนถึงทศวรรษ 1870 และเอฟเอได้เอากฎบางอย่างของเชฟฟิลด์มาใช้จนทำกฎทั้งสองแบบต่างกันน้อยลง[11]

ทีมแอสตัน วิลลาในปี 1897 หลังจากที่่ชนะทั้งเอฟเอคัพ และลีกอังกฤษ

การแข่งขันฟุตบอลที่เก่าแก่ที่สุดในโลกอย่างเอฟเอคัพ เกิดขึ้นจากแนวคิดของ ชาร์ล ดัวบลิว. อัลค็อค [en] และมีการแข่งขันกันของทีมจากอังกฤษตั้งแต่ปี 1872 และในปีเดียวกันก็ได้เกิดการแข่งขันฟุตบอลระหว่างประเทศการแข่งขันแรกระหว่างสกอตแลนด์และอังกฤษที่แฮมมิลตันเครสเซนท์ กลาสโกว์ จัดขึ้นโดยอัลค็อค ประเทศอังกฤษเป็นต้นกำเนิดของลีกฟุตบอลลีกแรกของโลก จัดตั้งขึ้นในปี 1888 ที่เบอร์มิงแฮม โดย วิลเลียม แม็คเกรเกอร์ ผู้บริหารทีมแอสตันวิลลาในขณะนั้น[12] รูปแบบลีกในตอนนั้นมีสโมสรทั้งหมด 12 สโมสรจากภูมิภาคมิดแลนด์ และภาคเหนือของอังกฤษ[13]

การรวมกันปรังปรุงลอว์ออฟเดอะเกมทำให้เกิดคณะกรรมการสมาคมฟุตบอลระหว่างประเทศ (ไอเอฟเอบี)[14] สมาคมดังกล่าวตั้งขึ้นในปี 1886[15] จากการประชุมที่แมนเชสเตอร์ของสี่สมาคมคือ เอฟเออังกฤษ เอฟเอสกอตแลนด์ เอฟเอเวลส์ และเอฟเอไอริช องค์กรระหว่างประเทศที่เกี่ยวข้องกับฟุตบอลอย่างสหพันธ์ฟุตบอลนานาชาติ (FIFA) ก่อตั้งขึ้นในปารีสปี 1904 เพื่อควบคุมดูแลสมาคมต่างและได้ประกาศว่าจะปฏิบัติตามกฎฟุตบอลของอังกฤษ[16] การแข่งขันฟุตบอลระหว่างประเทศเป็นที่นิยมมากขึ้นทำให้ ไอเอฟเอบี เข้าร่วมกับ FIFA ในปี 1913 โดยคณะกรรมการของ FIFA ตัวแทนสมาคมใน FIFA สี่สมาคมและตัวแทนของสี่สมาคมของอังกฤษหนึ่งสมาคม[17]

ตลอดศตวรรษที่ 20 ฟุตบอลของยุโรปและของอเมริกาใต้ถือว่าเป็นผู้นำด้่านกีฬาฟุตบอลของโลก ฟุตบอลโลกที่เกิดขึ้นครั้งแรกในปี 1930 ได้กลายเวทีสำคัญให้ผู้เล่นทั้งสองทวีปแสดงศักยภาพและความแข็งแกร่งกับทีมชาติของพวกเขา[18] ครึ่งหลังของศตวรรษที่ 20 ได้เกิดการแข่งขันยูโรเปียนคัพ และโกปาลิเบร์ตาโดเรส ทีมผู้ชนะจากทั้งสองถ้วยจะเข้าไปแข่งในฟุตบอลชิงแชมป์สโมสรยุโรปและอเมริกาใต้เพื่อหาทีมที่ดีที่สุดของโลก[19]

ทีมชาติเยอรมนีในฟุตบอลโลก 2014 รอบชิงชนะเลิศทำประตูตัดสินแชมป์โลก

ในศตวรรษที่ 21 อเมริกาใต้คือทวีปที่มีนักฟุตบอลระดับโลกหลายคน[20] แต่สโมสรในอเมริกาใต้ยังไม่ใช้ผู้นำหลักแบบสโมสรในยุโรปซึ่งเป็นเพราะสโมสรจากยุโรปเซ็นสัญญานักเตะดี ๆ จากลาตินอเมริกา และที่อื่น ๆ [18][20] ในขณะเดียวกันฟุตบอลใน แอฟริกา เอเชีย อเมริกาเหนือ ได้พัฒนาไปมาก[20] ณ ปัจจุบันสโมสรจากทวีปดังกล่าวมีคุณภาพพอ ๆ กับสโมสรจากอเมริกาใต้[21] ในเรื่องของทีมชาติประเทศจากแคริบเบียน และโอเชียเนีย (ยกเว้นออสเตรเลีย) ยังไม่สามารถไปเล่นในระดับโลกได้[22][23] ในขณะที่ทีมชาติจากยุโรปและอเมริกาใต้ยังคงความเป็นผู้นำในฟุตบอลโลกเพราะยังไม่มีทีมชาติใดที่อยู่นอกสองทวีปนี้ที่ได้เข้าไปเล่นฟุตบอลโลกรอบชิงชนะเลิศ[18][20]

กีฬาฟุตบอลเป็นกีฬาที่มีผู้เล่นในระดับอาชีพอยู่ทั่วโลก มีคนอีกกว่าล้านคนเข้าชมการแข่งขันในสนามของทีมที่ตนเองชื่นชอบ[24] มีคนกว่าอีกพันล้านคนรับชมการแข่งขันผ่านโทรทัศน์หรือบนอินเตอร์เน็ต[25][26] โดยฟุตบอลเป็นกีฬาที่มีผู้ชมมากที่สุดในบรรดากีฬาทั้งหมด[27] และยังมีคนเล่นในระดับทั่วไปหรือระดับสมัครเล่นตามการสำรวจในปี 2001 โดย FIFA พบว่ากว่า 240 ล้านคน จาก 200 ประเทศเล่นฟุตบอลเป็นประจำ[28]

กติกาการเล่นฟุตบอล

[แก้]

ในกีฬาฟุตบอลมีกติกาสากลทั้งหมด 17 ข้อหลักที่มีการใช้ในฟุตบอลทั่วโลก โดยกติกาอาจมีการดัดแปลงบ้างสำหรับฟุตบอลเด็กและฟุตบอลหญิง ยาว 90-120 เมตร และความกว้างระหว่าง 70-90 เมตร โดยเส้นขอบสนามของด้านยาวจะเรียกว่า "เส้นข้าง" ขณะที่ขอบสนามของด้านกว้างจะเรียกว่า "เส้นประตู" โดยคานประตูจะตั้งอยู่กึ่งกลางบนเส้นประตู โดยมีความสูง 2.44 เมตร (8 ฟุต) เหนือจากพื้นดิน และเสาประตูจะห่างกัน 7.4 เมตร (8 หลา) เสาและคานประตูจะต้องมีสีขาว ตาข่ายจะมีการขึงด้านหลังประตู แต่อย่างไรก็ตามตาข่ายประตูไม่ได้มีกำหนดไว้ในกติกาสากล

ด้านหน้าประตูจะเป็นบริเวณเขตโทษ ซึ่งแสดงถึงบริเวณที่ผู้รักษาประตูสามารถถือบอลได้ และยังคงใช้ในการเตะลูกโทษ

ระยะเวลาการแข่งขัน

[แก้]

การแข่งขันจะแบ่งออกเป็นสองครึ่ง โดยครึ่งละ 45 นาที โดยเวลาการแข่งขันจะมีการนับตลอดเวลา แม้ว่าฟุตบอลจะถูกเตะออกนอกสนามและกรรมการสั่งให้หยุดเล่นก็ตาม ระหว่างครึ่งจะมีเวลาพักให้ 15 นาที กรรมการจะเป็นคนควบคุมเวลา และจะทำการทดเวลาบาดเจ็บในช่วงท้ายของแต่ละครึ่งเพื่อทดแทนเวลาที่เสียไป ระหว่างการเล่น โดยเมื่อจบการแข่งขันกรรมการจะทำการเป่านกหวีดเพื่อหยุดการแข่งขัน

ในการแข่งขันแบบลีก จะมีการจบการแข่งขันสำหรับผลเสมอ แต่สำหรับการแข่งขันที่ต้องรู้ผลแพ้ชนะจะมีการต่อเวลาพิเศษ ซึ่งจะประกอบไปด้วย 2 ครึ่ง ครึ่งละ 15 นาที โดยถ้าคะแนนยังคงเสมอกันจะมีการให้เตะลูกโทษ (ด้านการเตะลูกโทษมีคนวิจัยมาว่าทีมไหนเตะก่อนจะมีเปอร์เซนต์การชนะมากกว่าทีมที่เตะทีหลัง)

คณะกรรมการสมาคมฟุตบอลระหว่างประเทศได้ทดลองการกำหนดรูปแบบการทำคะแนนในช่วงต่อเวลาที่เรียกว่า โกลเดนโกล โดยทีมที่ทำประตูได้ก่อนในช่วงต่อเวลาจะเป็นผู้ชนะการแข่งขัน และ ซิลเวอร์โกล โดยทีมที่ทำประตูนำเมื่อจบครึ่งเวลาแรกจะเป็นผู้ชนะการแข่งขัน โดยโกลเดนโกลได้ถูกนำมาใช้ใน ฟุตบอลโลก 1998 และ ฟุตบอลโลก 2002 โดยมีการใช้ครั้งแรกในการแข่งขันทีมชาติฝรั่งเศส ชนะ ปารากวัย ในปี 1998 ขณะที่ซิลเวอร์โกลได้มีการใช้ครั้งแรกในฟุตบอลยูโร 2004 ซึ่งปัจจุบันโกลเดนโกล และซิลเวอร์โกลยกเลิกการใช้แล้ว

การแข่งขันระหว่างประเทศ

[แก้]

ทีมชาติ

[แก้]

การแข่งขันฟุตบอลในระดับโลกนั้น มีการแข่งขันสูงสุดคือ ฟุตบอลโลก ที่จัดขึ้นทุก 4 ปี ซึ่งทีมที่ร่วมเล่นจะเป็นทีมชาติจากแต่ละประเทศที่เป็นสมาชิกของฟีฟ่า โดยแต่ละทีมจำเป็นต้องผ่านรอบคัดเลือก ของทางสมาพันธ์ เพื่อมีสิทธิเข้าร่วมเล่น โดยในแต่ละสมาพันธ์จะมีจำกัดจำนวนทีมที่ร่วมเล่นแตกต่างกัน ขึ้นอยู่กับผลงานของแต่ละทีมในอดีต โดยทางฟีฟ่าจะเป็นทางกำหนด และนอกจากฟุตบอลโลกแล้ว ในแต่ละสมาพันธ์จะมีการแข่งขันสูงสุดของแต่ละสมาพันธ์เอง ซึ่งจัดขึ้นทุก 4 ปี โดยผู้ชนะจากแต่ละสมาพันธ์จะทำการแข่งขันกันในคอนเฟเดอเรชันส์คัพพร้อมกับทีมที่ชนะเลิศในฟุตบอลโลกครั้งล่าสุด

นอกเหนือจากการแข่งขันที่จัดโดยฟีฟ่า การแข่งขันฟุตบอลทีมชาติที่เป็นที่จับตามองได้แก่การแข่งขันฟุตบอลในกีฬาระหว่างประเทศ เช่น โอลิมปิก (ทั่วโลก) เอเชียนเกมส์ (ทวีปเอเชีย) หรือ ซีเกมส์ (เฉพาะเอเชียตะวันออกเฉียงใต้)

ภูมิภาคเอเชียแอฟริกาอเมริกาเหนือและกลางอเมริกาใต้ออสเตรเลียยุโรป
สมาพันธ์เอเอฟซีซีเอเอฟคอนแคแคฟคอนเมบอลโอเอฟซียูฟ่า
AFCCAFCONCACAFCONMEBOLOFCUEFA
การแข่งขันสูงสุดเอเชียนคัพแอฟริกาคัพออฟเนชันส์คอนคาแคฟโกลด์คัพโกปาอาเมริกาโอเอฟซีเนชันส์คัพยูโร
ระดับโลกฟุตบอลโลก

ทีมสโมสร

[แก้]

สำหรับทีมสโมสรนั้น ทีมที่ชนะเลิศการแข่งขันในประเทศ มีสิทธิเข้าร่วมการแข่งขันในระดับสมาพันธ์ที่มีการจัดขึ้นทุกปี (บางสมาพันธ์จะให้ทีมรองชนะเลิศร่วมด้วย) โดยทีมที่ชนะเลิศในแต่ละสมาพันธ์ จะมาแข่งขันกันในระดับโลก ในการแข่งขัน ฟุตบอลชิงแชมป์สโมสรโลก (ฟีฟ่าคลับเวิลด์คัพ) ซึ่งจัดขึ้นทุกปี

ภูมิภาคเอเชียแอฟริกาอเมริกาเหนือและกลางอเมริกาใต้ออสเตรเลียยุโรป
สมาพันธ์เอเอฟซีซีเอเอฟคอนแคแคฟคอนเมบอลโอเอฟซียูฟ่า
AFCCAFCONCACAFCONMEBOLOFCUEFA
การแข่งขัน
ระดับสมาพันธ์
เอเอฟซีแชมเปียนส์ลีกซีเอเอฟแชมเปียนส์ลีกคอนคาแคฟแชมเปียนส์ลีกโกปาลิเบร์ตาโดเรสโอเอฟซีแชมเปียนส์ลีกยูฟ่าแชมเปียนส์ลีก
ระดับโลกฟุตบอลชิงแชมป์สโมสรโลก

อ้างอิง

[แก้]
  1. Guttman, Allen. "The Diffusion of Sports and the Problem of Cultural Imperialism". ใน Eric Dunning; Joseph A. Maguire; Robert E. Pearton (บ.ก.). The Sports Process: A Comparative and Developmental Approach. Champaign: Human Kinetics. p. 129. ISBN 0880116242. สืบค้นเมื่อ 2008-01-26. the game is complex enough not to be invented independently by many preliterate cultures and yet simple enough to become the world's most popular team sport
  2. Dunning, Eric. "The development of soccer as a world game". Sport Matters: Sociological Studies of Sport, Violence and Civilisation. London: Routledge. p. 103. ISBN 0415064139. สืบค้นเมื่อ 2008-01-26. During the twentieth century, soccer emerged as the world's most popular team sport
  3. Frederick O. Mueller; Robert C. Cantu; Steven P. Van Camp. "Team Sports". Catastrophic Injuries in High School and College Sports. Champaign: Human Kinetics. p. 57. ISBN 0873226747. สืบค้นเมื่อ 2008-01-26. Soccer is the most popular sport in the world and is an industry worth over US$400 billion world wide. 80% of this is generated in Europe, though its popularity is growing in the United States. It has been estimated that there were 22 million soccer players in the world in the early 1980s, and that number is increasing. In the United States soccer is now a major sport at both the high school and college levels
  4. "2002 FIFA World Cup TV Coverage". FIFA official website. 2006-12-05. เก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 2006-12-30. สืบค้นเมื่อ 2008-01-06. (webarchive)
  5. Bailey, Steven (1995). "Living Sports History: Football at Winchester, Eton and Harrow". The Sports Historian. 15 (1): 34–53. doi:10.1080/17460269508551675.
  6. Harvey, Adrian (2005). Football, the first hundred years. London: Routledge. p. 126. ISBN 978-0-415-35018-1.
  7. Winner, David (28 March 2005). "The hands-off approach to a man's game". The Times. London. คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 23 January 2014. สืบค้นเมื่อ 7 October 2007.
  8. 1 2 3 "History of the FA". The Football Association. เก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 25 January 2013. สืบค้นเมื่อ 9 October 2007.
  9. "Football Association 1863 Minute Book". British Library. เก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 13 September 2024. สืบค้นเมื่อ 13 April 2025.
  10. "The Football Association". Bell's Life in London. 28 November 1863. p. 6. เก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 20 September 2023. สืบค้นเมื่อ 18 September 2023.
  11. Young, Percy M. (1964). Football in Sheffield. S. Paul. pp. 28–29.
  12. "The History of the Football League". The Football League. 22 September 2010. คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 1 May 2011. สืบค้นเมื่อ 4 March 2011.
  13. Parrish, Charles; Nauright, John (2014). Soccer around the World: A Cultural Guide to the World's Favorite Sport. Santa Barbara, CA: ABC-CLIO. p. 78. ISBN 978-1-61069-302-8. เก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 26 October 2019. สืบค้นเมื่อ 8 December 2018.
  14. "IFAB". FIFA. คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 8 October 2011. สืบค้นเมื่อ 10 December 2011.
  15. "The International FA Board". FIFA. คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 22 April 2007. สืบค้นเมื่อ 2 September 2007.
  16. "Where it all began". FIFA. คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 8 June 2007. สืบค้นเมื่อ 8 June 2007.
  17. "The IFAB: How it works". FIFA. 4 March 2010. คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 29 January 2021. สืบค้นเมื่อ 30 October 2020.
  18. 1 2 3 Townsend, Jon (30 May 2015). "The continental kings of Europe and South America". These Football Times (ภาษาอังกฤษ). เก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 6 October 2022. สืบค้นเมื่อ 24 February 2023.
  19. "FIFA Council approves key organisational elements of the FIFA World Cup". FIFA (ภาษาอังกฤษ). 27 October 2017. เก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 24 December 2022. สืบค้นเมื่อ 25 February 2023.
  20. 1 2 3 4 Sarkar, Dhiman (8 December 2022). "Why Europe and South America dominate World Cup". Hindustan Times (ภาษาอังกฤษ). เก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 28 December 2022. สืบค้นเมื่อ 24 February 2023.
  21. Rubio, Alberto; Sam (10 February 2023). "The reasons why South American teams are now struggling at the Club World Cup". MARCA (ภาษาอังกฤษ). เก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 12 February 2023. สืบค้นเมื่อ 25 February 2023.
  22. Robinson, Mark (31 August 2018). "Can Caribbean football make an impact at international level?". Caribbean Beat Magazine (ภาษาอังกฤษ). คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 1 December 2021. สืบค้นเมื่อ 25 February 2023.
  23. "How Oceania fell off the FIFA map". The Sydney Morning Herald (ภาษาอังกฤษ). 16 August 2003. เก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 25 February 2023. สืบค้นเมื่อ 25 February 2023.
  24. Ingle, Sean; Glendenning, Barry (9 October 2003). "Baseball or Football: which sport gets the higher attendance?". The Guardian. UK. เก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 11 April 2008. สืบค้นเมื่อ 5 June 2006.
  25. "TV Data". FIFA. คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 22 September 2007. สืบค้นเมื่อ 2 September 2007.
  26. "2014 FIFA World Cup reached 3.2 billion viewers, one billion watched final". FIFA. 16 December 2015. คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 19 December 2015. สืบค้นเมื่อ 17 March 2017.
  27. "2006 FIFA World Cup broadcast wider, longer and farther than ever before". FIFA. 6 February 2007. คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 11 January 2012. สืบค้นเมื่อ 11 October 2009.
  28. "FIFA Survey: approximately 250 million footballers worldwide" (PDF). FIFA. คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิม (PDF)เมื่อ 15 September 2006. สืบค้นเมื่อ 15 September 2006.

แหล่งข้อมูลอื่น

[แก้]