ฟุตบอลทีมชาติออสเตรเลีย
ฉายา | Socceroos จิงโจ้ (ฉายาในภาษาไทย) | ||
---|---|---|---|
สมาคม | ฟุตบอลออสเตรเลีย | ||
สมาพันธ์ย่อย | เอเอฟเอฟ (เอเชียตะวันออกเฉียงใต้) | ||
สมาพันธ์ | เอเอฟซี (เอเชีย) | ||
หัวหน้าผู้ฝึกสอน | เกรแฮม อาร์โนลด์ | ||
กัปตัน | แมทิว ไรอัน | ||
ติดทีมชาติสูงสุด | มาร์ก ชวาร์เซอร์ (109) | ||
ทำประตูสูงสุด | ทิม เคฮิลล์ (50) | ||
รหัสฟีฟ่า | AUS | ||
| |||
อันดับฟีฟ่า | |||
อันดับปัจจุบัน | 23 1 (20 มิถุนายน 2024)[1] | ||
อันดับสูงสุด | 14 (กันยายน ค.ศ. 2009) | ||
อันดับต่ำสุด | 102 (พฤศจิกายน ค.ศ. 2014) | ||
เกมระดับนานาชาติครั้งแรก | |||
นิวซีแลนด์ 3–1 ออสเตรเลีย (ดะนีดิน ประเทศนิวซีแลนด์; 17 มิถุนายน ค.ศ. 1922) | |||
ชนะสูงสุด | |||
ออสเตรเลีย 31–0 อเมริกันซามัว (ค็อฟส์ฮาร์เบอร์ ประเทศออสเตรเลีย; 11 เมษายน ค.ศ. 2001) (สถิติโลกสำหรับการแข่งขันนานาชาติระดับสูง) | |||
แพ้สูงสุด | |||
ออสเตรเลีย 0–8 แอฟริกาใต้ (แอดิเลด ประเทศออสเตรเลีย; 17 กันยายน ค.ศ. 1955) | |||
ฟุตบอลโลก | |||
เข้าร่วม | 6 (ครั้งแรกใน 1974) | ||
ผลงานดีที่สุด | รอบ 16 ทีมสุดท้าย (2006 และ 2022) | ||
เอเชียนคัพ | |||
เข้าร่วม | 4 (ครั้งแรกใน 2007) | ||
ผลงานดีที่สุด | ชนะเลิศ (2015) | ||
โอเอฟซีเนชันส์คัพ | |||
เข้าร่วม | 6 (ครั้งแรกใน 1980) | ||
ผลงานดีที่สุด | ชนะเลิศ (1980, 1996, 2000, 2004) | ||
คอนเฟเดอเรชันส์คัพ | |||
เข้าร่วม | 4 (ครั้งแรกใน 1997) | ||
ผลงานดีที่สุด | รองชนะเลิศ (1997) | ||
เว็บไซต์ | www |
ฟุตบอลทีมชาติออสเตรเลีย เป็นทีมฟุตบอลตัวแทนจากประเทศออสเตรเลียในการแข่งขันระหว่างประเทศ อยู่ภายใต้การดูแลของสหพันธ์ฟุตบอลออสเตรเลีย มีชื่อเล่นคือ ซอกเกอร์รูส์ ในอดีตทีมชาติออสเตรเลียได้ร่วมแข่งขันในนามสมาพันธ์ฟุตบอลโอเชียเนีย ก่อนจะย้ายมาร่วมเล่นกับทีมอื่นในทวีปเอเชียภายใต้สมาพันธ์ฟุตบอลเอเชียใน ค.ศ. 2006[2][3] และเข้าเป็นสมาชิกของสหพันธ์ฟุตบอลอาเซียนตั้งแต่ ค.ศ. 2013
ออสเตรเลียชนะเลิศการแข่งขันโอเอฟซีเนชันส์คัพ 4 สมัย และชนะเลิศเอเชียนคัพ 1 สมัย ใน ค.ศ. 2015 ในฐานะเจ้าภาพ ส่งผลให้พวกเขาเป็นชาติเดียวที่ชนะเลิศการแข่งขันของฟีฟ่าในสองสมาพันธ์ (สมาพันธ์ฟุตบอลโอเชียเนีย และสมาพันธ์ฟุตบอลเอเชีย) ออสเตรเลียเข้าร่วมฟุตบอลโลกรอบสุดท้าย 6 ครั้งใน ค.ศ. 1974, 2006, 2010, 2014, 2018 และ 2022 และ ฟีฟ่าคอนเฟเดอเรชันส์คัพ อีก 4 ครั้ง
ประวัติ
[แก้]ยุคแรก
[แก้]ฟุตบอลทีมชาติออสเตรเลียรวมตัวกันครั้งแรกใน ค.ศ. 1922 เพื่อร่วมแข่งขันทัวร์พบกับทีมชาตินิวซีแลนด์จำนวน 3 นัด[4] ผลการแข่งขันปรากฏว่าออสเตรเลียเสมอหนึ่งนัด และแพ้สองนัด และตลอดระยะเวลา 36 ปีหลังจากนั้น ออสเตรเลีย นิวซีแลนด์ และแอฟริกาใต้ได้ลงแข่งขันรายการทัวร์ (เกมกระชับมิตร) ร่วมกันอย่างต่อเนื่อง[5] ในช่วงเวลาดังกล่าว ออสเตรเลียยังเป็นเจ้าภาพแข่งขันรายการทัวร์พบแคนาดา และอินเดียใน ค.ศ. 1924 และ 1938 ตามลำดับ[6][7] ออสเตรเลียพบกับความพ่ายแพ้ที่ขาดลอยที่สุด (นับรวมทุกรายการ) โดยแพ้ต่อทีมชาติอังกฤษด้วยผลประตู 0–17 ในการแข่งขันทัวร์วันที่ 30 มิถุนายน 1951[8] ออสเตรเลียไม่มีโอกาสร่วมแข่งขันรายการระดับนานาชาติเลยกระทั่งในโอลิมปิกฤดูร้อน 1956 ซึ่งพวกเป็นเจ้าภาพ ณ เมืองเมลเบิร์น อย่างไรก็ตาม การขาดผู้เล่นที่มีประสบการณ์ในการแข่งขันระดับสูงส่งผลให้พวกเขาไม่ประสบความสำเร็จ[9] และด้วยการเดินทางทางอากาศที่มีราคาต่ำลง ทำให้ออสเตรเลียได้ร่วมแข่งขันกับชาติอื่น ๆ ในต่างทวีปมากขึ้น แต่ด้วยสภาพที่ตั้งทางภูมิศาสตร์ของประเทศ ทำให้เกิดความยากลำบากในการเดินทาง ซึ่งผลต่อการพัฒนาทีมตลอดระยะเวลา 30 ปีต่อมา ความสำเร็จรายการแรกของพวกเขาคือการชนะเลิศฟุตบอลอิสรภาพของเวียดนามใต้ใน ค.ศ. 1967 แต่ก็ยังไม่เป็นที่ยอมรับในประเทศ[10]
ภายหลังจากตกรอบคัดเลือกฟุตบอลโลก 1966 และ 1970 แพ้ต่อเกาหลีเหนือ และอิสราเอลตามลำดับ ออสเตรเลียได้ร่วมแข่งขันฟุตบอลโลกรอบสุดท้ายครั้งแรกในฟุตบอลโลก 1974 ที่ประเทศเยอรมนีตะวันตก ก่อนจะตกรอบแบ่งกลุ่มโดยเสมอชิลี และแพ้สองนัดต่อเยอรมนีตะวันออก และ เยอรมนีตะวันตก และไม่สามารถยิงประตูในการแข่งขันได้เลยเนื่องจากทีมชุดนั้นเต็มไปด้วยผู้เล่นขาดประสบการณ์ และออสเตรเลียต้องห่างหายจากฟุตบอลโลกไปอีกหลายปี กระทั่งได้กลับมาเข้าร่วมอีกครั้งในฟุตบอลโลก 2006[11] โดยในช่วงเวลานั้น พวกเขาแพ้ในรอบคัดเลือกทุกครั้ง แพ้ต่อสกอตแลนด์ใน ค.ศ. 1986, แพ้อาร์เจนตินาใน ค.ศ. 1994 แพ้อิหร่านใน ค.ศ. 1998 และแพ้อุรุกวัยใน ค.ศ. 2002
พัฒนาทีม และเข้าร่วมสมาพันธ์ฟุตบอลเอเชีย
[แก้]แม้จะล้มเหลวในฟุตบอลโลก แต่ออสเตรเลียทำผลงานได้ดีช่วงนั้นเมื่อพบกับทีมจากยุโรปและอเมริกาใต้ พวกเขาเอาชนะแชมป์โลกอย่างอาร์เจนตินา 4–1 ในรายการ Australian Bicentennial Gold Cup ใน ค.ศ. 1988[12] ถัดมาในฟีฟ่าคอนเฟเดอเรชันส์คัพ ค.ศ. 1997 ออสเตรเลียเสมอกับบราซิล แชมป์ฟุตบอลโลก 1994 ตามด้วยการชนะอุรุกวัย 1–0 ผ่านเข้าถึงรอบชิงชนะเลิศแต่แพ้บราซิล 0–6[13] และในการแข่งขันรายการเดียวกันใน ค.ศ. 2001 ออสเตรเลียเอาชนะแชมป์ฟุตบอลโลก 1998 อย่างฝรั่งเศสได้ในรอบแบ่งกลุ่ม และคว้าอันดับสามได้จากการชนะบราซิล 1–0[14] และยังบุกไปชนะอังกฤษ 3–1 ในเกมกระชับมิตรที่สนามบุลินกราวนด์ ซึ่งนัดนั้นเป็นการลงสนามในนามทีมชาติเกมแรกของเวย์น รูนีย์[15]
ในช่วงต้นปี 2005 มีรายงานว่า สหพันธ์ฟุตบอลออสเตรเลียได้หารือถึงความเป็นไปได้ในการเข้าร่วมสมาพันธ์ฟุตบอลเอเชีย และเป็นการยุติช่วงเวลา 40 ปีในการเป็นสมาชิกสมาพันธ์ฟุตบอลโอเชียเนีย[16] นักวิจารณ์และแฟนบอลหลายคนรวมถึงอดีตกัปตันทีมชาติออสเตรเลีย จอห์นนี วอร์เรน เห็นด้วยกับแนวคิดดังกล่าว โดยกล่าวว่าเป็นวิธีเดียวที่จะช่วยยกระดับมาตรฐานของทีมชาติออสเตรเลีย ในวันที่ 13 มีนาคม 2005 คณะกรรมการบริหารของสมาพันธ์ฟุตบอลเอเชียมีมติเป็นเอกฉันท์ให้เชิญออสเตรเลียเข้าร่วมสมาพันธ์ และหลังจากสมาพันธ์ฟุตบอลโอเชียเนียรับรองการย้ายออกของออสเตรเลีย สหพันธ์ฟุตบอลนานาชาติได้อนุมัติในวันที่ 30 มิถุนายน 2005 โดยมีผลอย่างเป็นทางการในวันที่ 1 มกราคม 2006 แม้ว่าก่อนหน้านั้นออสเตรเลียจะลงแข่งขันฟุตบอลโลกรอบคัดเลือกในโซนโอเชียเนีย
แฟรงก์ ฟารินา ผู้ฝึกสอนได้ลาออกหลังจากทำผลงานย่ำแย่ในฟีฟ่าคอนเฟเดอเรชันส์คัพ 2005 และ คืส ฮิดดิงก์ ได้รับการแต่งตั้งเป็นผู้ฝึกสอนคนใหม่ ออสเตรเลียซึ่งเป็นทีมอันดับ 49 ของโลกในขณะนั้นต้องแข่งขันกับทีมอันดับ 18 อย่างอุรุกวัยในรอบเพลย์ออฟเพื่อเข้าสู่ฟุตบอลโลกรอบสุดท้ายปี 2006 ภายหลังจากออสเตรเลียชนะจาไมกา 5–0 ในเกมกระชับมิตร พวกเขาลงแข่งนัดแรกกับอุรุกวัยและแพ้ 0–1 ก่อนจะกลับไปเล่นนัดที่สองที่ซิดนีย์[17] และพวกเขาเอาชนะได้ 1–0 เช่นกันจากประตูของ มาร์ค เบรสชาโน ทำให้ต้องต่อเวลาพิเศษ แต่ก็ไม่สามารถทำประตูเพิ่มกันได้ และออสเตรเลียชนะการดวลจุดโทษไป 4–2 ส่งผลให้พวกเขาเป็นชาติแรกที่ได้แข่งขันฟุตบอลโลกรอบสุดท้ายโดยชนะจุดโทษในเพลย์ออฟ[18] และเป็นการกลับไปแข่งขันฟุตบอลโลกครั้งแรกในรอบ 32 ปี
โกลเดน เจเนอเรชั่น
[แก้]ออสเตรเลียลงแข่งขันฟุตบอลโลกรอบสุดท้ายในฐานะทีมที่มีอันดับโลกต่ำสุดเป็นอันดับสองในการแข่งขันครั้งนั้น แม้อันดับของพวกเขาจะดีขึ้นจากการทำผลงานได้ดีในการเสมอเนเธอร์แลนด์ 1–1 รวมถึงการชนะทีมแชมป์ฟุตบอลชิงแชมป์แห่งชาติยุโรปอย่างกรีซ ซึ่งแข่งขันกันที่สนามคริกเก็ตเมลเบิร์น ความจุกว่า 100,000 ที่นั่งและตั๋วได้ถูกขายหมดทุกที่นั่ง ในการแข่งขันฟุตบอลโลก 2006 ออสเตรเลียอยู่ในกลุ่มเอฟร่วมกับบราซิล, ญี่ปุ่น และโครเอเชีย ออสเตรเลียลงสนามนัดแรกเอาชนะญี่ปุ่น 3–1 จากสองประตูของ ทิม เคฮิลล์ และหนึ่งประตูจาก จอห์น อลอยซี่ และเป็นการสร้างสถิติใหม่โดยออสเตรเลียทำประตูในฟุตบอลโลกรอบสุดท้ายได้เป็นครั้งแรก, เป็นชัยชนะครั้งแรกในฟุตบอลโลกรอบสุดท้ายของทีมจากโอเชียเนีย รวมทั้งเป็นครั้งแรกในฟุตบอลโลกที่มีการทำสามประตูในช่วงเจ็ดนาทีสุดท้ายของการแข่งขัน[19] ออสเตรเลียแพ้บราซิล 0–2 ในนัดต่อมา แต่เอาชนะโครเอเชียได้ในนัดสุดท้าย 1–0 ผ่านเข้าสู่รอบแพ้คัดออกเป็นครั้งแรกในประวัติศาสตร์ ก่อนจะแพ้อิตาลี 0–1 ในรอบ 8 ทีมสุดท้ายจากการเสียจุดโทษซึ่งเป็นลูกปัญหาในช่วงท้ายเกม[20] ฮิดดิงก์ประกาสลาออก แต่ครั้งนี้ก็ถือเป็นความสำเร็จของออสเตรเลีย โดยพวกเขาได้รับรางวัลทีมยอดเยี่ยมของสมาพันธ์ฟุตบอลเอเชียในปีนั้น[21] และทีมชุดนั้นยังได้รับการยกย่องเป็น โกลเดน เจเนอเรชัน จากการสร้างประวัติศาสตร์ผ่านเข้าสู่รอบแพ้คัดออกในฟุตบอลโลกเป็นครั้งแรก[22]
ออสเตรเลียร่วมแข่งขัน เอเชียนคัพ 2007 เป็นครั้งแรกภายใต้การคุมทีมของ เกรแฮม อาร์โนลด์ โดยผู้เล่น 15 คนอยู่ในชุด โกลเดน เจเนอเรชั่น ที่สร้างชื่อในฟุตบอลโลก พวกเขาอยู่ในกลุ่มเอร่วมกับโอมาน (เสมอ 1–1 ), ไทย (ชนะ 4–0) และ อิรัก (แพ้ 1–3) ผ่านเข้าสู่รอบ 8 ทีมสุดท้ายแต่แพ้จุดโทษญี่ปุ่น ก่อนที่อาร์โนลด์จะคุมทีมนัดสุดท้ายในเกมกระชับมิตรที่พวกเขาแพ้อาร์เจนตินา 0–1 และเขาถูกแทนที่โดย ปิม เฟอร์เบก ชาวดัดซ์ ในเดือนธันวาคม 2007[23]
ออสเตรเลียลงแข่งขันฟุตบอลโลกรอบคัดเลือกโซนเอเชียเป็นครั้งแรกในรอบคัดเลือก - เอเอฟซี รอบที่ 3 พวกเขาอยู่ร่วมกับกาตาร์, อิรัก และจีน และผ่านเข้ารอบในฐานะทีมอันดับหนึ่ง ตามด้วยการเป็นที่หนึ่งอีกครั้งในรอบคัดเลือกรอบที่ 4 ซึ่งอยู่ร่วมกับญี่ปุ่น, บาห์เรน, กาตาร์ และอุซเบกิสถาน โดยผ่านเข้ารอบสุดท้ายทั้งที่ยังเหลือการแข่งขันอีกสองนัด โดยจบการแข่งขันด้วยการมีคะแนนมากกว่าทีมอันดับสองอย่างญี่ปุ่น 5 คะแนน
ออสเตรเลียอยู่ในกลุ่มดีในฟุตบอลโลก 2010 ร่วมกับเยอรมนี, กานา และเซอร์เบีย พวกเขาลงแข่งขันนัดแรกแพ้เยอรมนี 0–4 ปิม เฟอร์เบก ได้รับการวิจารณ์ถึงการจัดตัวผู้เล่นและการวางแผน โดยเขาไม่ส่งผู้เล่นตำแหน่งกองหน้าลงไปเป็น 11 ตัวจริงแม้แต่คนเดียวในนัดนั้น[24] เอสบีเอส สื่อของออสเตรเลียนำเสนอข่าวเรียกร้องให้ทำการปลดเฟอร์เบก[25] ออสเตรเลียเสมอกานาในนัดที่สอง 1–1 ปิดท้ายด้วยการชนะเซอร์เบีย 2–1 แต่ไม่เพียงพอต่อการเข้ารอบ เฟอร์เบกถูกแทนที่โดย โฮลเกอร์ โอซีค[26] ซึ่งพาทีมทำผลงานยอดเยี่ยมในเอเชียนคัพ 2011 ผ่านเข้าถึงรอบชิงชนะเลิศก่อนจะแพ้ญี่ปุ่น 0–1 ในช่วงต่อเวลา
ใน ค.ศ. 2012 ออสเตรเลียตอบรับการร่วมแข่งขันฟุตบอลชิงแชมป์แห่งชาติเอเชียตะวันออก[27] และเดินทางไปแข่งขันรอบคัดเลือกที่ฮ่องกงและคว้าอับดับหนึ่งได้โดยมีคะแนนเหนือฮ่องกง, เกาหลีเหนือ, กวม และไต้หวัน แต่พวกเขาจบอันดับสุดท้ายในการแข่งขันรอบสุดท้าย ตามหลังญี่ปุ่น, เกาหลีใต้ และ จีน[28] ต่อมาในวันที่ 23 สิงหาคม 2013 ออสเตรเลียได้รับสถานะเป็นสมาชิกสหพันธ์ฟุตบอลอาเซียนในทางนิตินัย[29] กระนั้น พวกเขาไม่ได้ร่วมแข่งขันรายการสำคัญกับชาติต่าง ๆ ในภูมิภาคอาเซียน เช่น ฟุตบอลชิงแชมป์แห่งชาติอาเซียน เนื่องจากมาตรฐานทีมที่เหนือกว่าทีมอื่น ๆ มาก[30]
ออสเตรเลียเตรียมความพร้อมสำหรับฟุตบอลโลก 2014 รอบคัดเลือก โดยลงเล่นเกมกระชับมิตรหลายนัด และทำผลงานยอดเยี่ยม พบสหรัฐอาหรับเอมิเรตส์ (เสมอ 0–0), เยอรมนี (ชนะ 2–1), นิวซีแลนด์ (ชนะ 3–0), เซอร์เบีย (เสมอ 0–0) และเวลส์ (ชนะ 2–1) ลงแข่งขันรอบคัดเลือกรอบที่สามและจบอันดับหนึ่ง ก่อนจะจบด้วยอันดับสองในรอบที่สี่ได้สิทธิ์แข่งขันฟุตบอลโลก 2014[31] ต่อมาออสเตรเลียแพ้สองนัดติดต่อกันในเกมกระชับมิตรกับบราซิล และฝรั่งเศส 0–6 ทั้งสองนัด และโอซีคลาออก
สายเลือดใหม่ และแชมป์เอเชียนคัพ (2015–ปัจจุบัน)
[แก้]แองเจลอส พอสเตคูกลู เข้ามาคุมทีมต่อ ซึ่งได้รับมอบหมายให้สร้างทีมขึนใหม่เนื่องจากที่ผ่านมาสหพันธ์ฟุตบอลออสเตรเลียมองว่าทีมชุดนี้พึ่งพานักเตะแกนหลักในยุค โกลเดน เจเนอเรชั่น มากเกินไป พอสเตคูกลูคุมทีมนัดแรกเอาชนะคอสตาริกา 1–0 ในเกมกระชับมิตรจากประตูของทิม เคฮิลล์[32] ในฟุตบอลโลกรอบสุดท้าย พวกเขาอยู่กลุ่มบีร่วมกับแชมป์เก่าอย่างสเปน, รองแชมป์เก่าอย่างเนเธอร์แลนด์ รวมถึงชิลี พวกเขาแพ้ชิลีในนัดแรก 1–3 โดยเสียสองประตูในช่วง 15 นาทีแรก และสู้กับเนเธอร์แลนด์ได้สูสีในนัดที่สองแต่ก็แพ้ 2–3 ปิดท้ายด้วยการแพ้สเปน 0–3 แต่แฟน ๆ ของออสเตรเลียก็ยกย่องทีมจากการทำผลงานได้ดีแม้อยู่ในกลุ่มที่หนักร่วมกับทีมชั้นนำอีกสามทีม และได้รับการยกย่องว่าทีมชุดนี้จะเป็นสายเลือดใหม่หรือ โกลเดน เจเนอเรชั่น ยุคใหม่[33]
ออสเตรเลียแพ้เบลเยียมในเกมกระชับมิตร 0–2 ก่อนจะคว้าชัยชนะนัดแรกในรอบสิบเดือน และเป็นชัยชนะนัดที่สองของพอสเตคูกลูในนัดที่ชนะซาอุดีอาระเบีย 3–2 ที่ลอนดอน ก่อนจะเสมอสหรัฐอาหรับเอมิเรตส์ และแพ้สองนัดต่อกาตาร์และญี่ปุ่น ส่งผลให้อันดับโลกของพวกเขาร่วงไปอันดับที่ 94 และ 102 ต่ำที่สุดในประวัติศาสตร์ของทีม[34]
ออสเตรเลียเป็นเจ้าภาพเอเชียนคัพ 2015 โดยเป็นการร่วมแข่งขันรายการนี้เป็นครั้งที่สามติดต่อกัน ในสองนัดแรกของรอบแบ่งกลุ่ม พวกเขาเอาชนะคูเวต (4–1) และโอมาน (4–0) ได้อย่างง่ายดาย ผ่านเข้าสู่รอบต่อไปทันที แม้จะแพ้เกาหลีใต้ (1–3) ในนัดสุดท้ายที่บริสเบน ตามด้วยการชนะจีน 2–0 ในรอบก่อนรองชนะเลิศจากสองประตูของ ทิม เคฮิลล์ และชนะสหรัฐอาหรับเอมิเรตส์ในรอบรองชนะเลิศ 2–0 ผ่านเข้าชิงชนะเลิศสองสมัยติดต่อกัน และเอาชนะเกาหลีใต้ 2–1 ในช่วงต่อเวลาพิเศษ คว้าแชมป์เป็นสมัยแรก[35] และได้สิทธิ์แข่งขัน ฟีฟ่าคอนเฟเดอเรชันส์คัพ 2017 แต่ตกรอบแบ่งกลุ่ม
ออสเตรเลียผ่านเข้าสู่ฟุตบอลโลก 2018 และแบร์ต ฟัน มาร์ไวก์[36] อดีตผู้ฝึกสอนทีมชาติเนเธอร์แลนด์เข้ามารับตำแหน่งต่อจากพอสเตคูกลู ใน ค.ศ. 2017[37] และเมื่อวันที่ 8 มีนาคม 2018 ภายหลังการประกาศรายชื่อนักเตะที่จะลงแข่งขันฟุตบอลโลก สหพันธ์ฟุตบอลออสเตรเลียประกาศว่า เกรแฮม อาร์โนลด์ จะรับหน้าที่เป็นผู้ฝึกสอนภายหลังจบฟุตบอลโลก 2018 ไปจนถึงฟุตบอลโลก 2022[38] ในฟุตบอลโลก 2018 ออสเตรเลียอยู่ร่วมกลุ่มกับเดนมาร์ก, ฝรั่งเศส และเปรู ในนัดแรกพวกเขาแพ้ฝรั่งเศส 1–2 โดยได้รับความชื่นชมจากผลงาน[39] และยังเล่นได้อย่างยอดเยี่ยม เสมอเดนมาร์กในนัดที่สอง 1–1[40] ก่อนจะตกรอบโดยแพ้เปรูในนัดสุดท้าย 0–2[41]
ฟัน มาร์ไวก์ ลาออกเพื่อเปิดทางให้กับ อาร์โนลด์ ด้วยความคาดหวังว่าออสเตรเลียจะทำผลงานได้ดีและป้องกันแชมป์เอเชียนคัพได้ในปี 2019 พวกเขาอยู่ร่วมกลุ่มกับจอร์แดน, ซีเรีย และ ปาเลสไตน์ พวกเขาแพ้ในนัดแรกต่อจอร์แดนอย่างเหนือความคาดหมาย 0–1[42] แต่ยังเข้าสู่รอบต่อไปจากการชนะในสองนัดถัดมาที่พบกับ ปาเลสไตน์ (3–0) และ ซีเรีย (3–2)[43] ตามด้วยการชนะจุดโทษอุซเบกิสถานในรอบ 16 ทีมสุดท้าย[44] แต่พวกเขาแพ้สหรัฐอาหรับเอมิเรตส์เจ้าภาพ 0–1 ในรอบก่อนรองชนะเลิศที่สนามกีฬาฮัซซาอ์ บิน ซายิด สนามเดียวกับที่พวกเขาแพ้จอร์แดนในนัดเปิดสนาม[45]
ในฟุตบอลโลก 2022 รอบคัดเลือก โซนเอเชีย – รอบที่ 2 ออสเตรเลียชนะรวด 8 นัดผ่านเข้าสู่รอบที่ 3 อย่างง่ายดาย โดยในรอบที่ 3 นี้พวกเขาอยู่ร่วมกับซาอุดีอาระเบีย, ญี่ปุ่น, โอมาน, จีน และ เวียดนาม แต่พวกเขาจบอันดับสาม ส่งผลให้ต้องไปแข่งขันรอบที่ 4 พบกับสหรัฐอาหรับเอมิเรตส์ และเอาชนะไปได้ 2–1 ผ่านเข้าไปพบเปรูในรอบเพลย์ออฟระหว่างสมาพันธ์ ก่อนจะเอาชนะในการดวลจุดโทษตัดสินหลังจากเสมอกัน 0–0 ส่งผลให้พวกเขาผ่านเข้าไปเล่นฟุตบอลโลกรอบสุดท้ายเป็นครั้งที่ 6[46] ออสเตรเลียอยู่ร่วมกลุ่มกับฝรั่งเศส, เดนมาร์ก และ ตูนิเซีย ในการแข่งขันฟุตบอลโลก 2022 และผ่านเข้าสู่รอบ 16 ทีมสุดท้ายก่อนจะแพ้อาร์เจนตินา 1–2
ในการแข่งขันเอเชียนคัพ 2023 ออสเตรเลียผ่านรอบแบงกลุ่มในฐานะแชมป์กลุ่มด้วยการมีเจ็ดคะแนน ตามด้วยการชนะอินโดนีเซียด้วยผลประตู 4–0 แต่พวกเขาแพ้เกาหลีใต้ในรอบก่อนรองชนะเลิศในช่วงต่อเวลา 1–2
ชื่อเรียก
[แก้]ทีมชาติออสเตรเลียมีฉายาที่เรียกกันทั่วไปว่า ซอกเกอร์รูส์ (Socceroos) คิดค้นโดย โทนี ฮาลสเดต ผู้สื่อข่าวชาวออสเตรเลียในปี 1967 ในการรายงานข่าวของเขาในขณะทีมร่วมแข่งขันรายการพิเศษที่เวียดนามในช่วงสงครามเวียดนาม และนับตั้งแต่นั้นชื่อนี้ก็เป็นที่นิยมเรียกทั้งในกลุ่มผู้สนับสนุนในประเทศ และสหพันธ์ฟุตบอลออสเตรเลีย ชื่อนี้ยังสะท้อนให้เห็นถึงค่านิยมของชาวออสเตรเลียในการใช้ภาษาพูดในประเทศ[47] รวมถึงความนิยมในการใช้ภาษาอังกฤษแบบออสเตรเลีย (Australian English) ในการตั้งชื่อทีมกีฬา[48] และชื่อนี้ยังสื่อความหมายถึงจิงโจ้ (Kangaroo) ซึ่งเปรียบเสมือนสัญลักษณ์ของประเทศ
คำว่า รูส์ ยังเป็นที่นิยมในการเรียกทีมกีฬาระดับชาติอื่น ๆ ของออสเตรเลียเช่น Hockeyroos ใช้สำหรับทีมฮอกกี้หญิงทีมชาติออสเตรเลีย และในปัจจุบันสายการบินควอนตัสเป็นผู้สนับสนุนหลักของทีมชาติออสเตรเลีย จึงนิยมเรียกกันว่าควอนตัสซอกเกอร์รูส์
ผลงาน
[แก้]- 1930-1962 - ไม่ได้เข้าร่วม
- 1966-1970 - ไม่ผ่านรอบคัดเลือก
- 1974 - รอบแรก
- 1978-2002 - ไม่ผ่านรอบคัดเลือก
- 2006 - รอบ 16 ทีมสุดท้าย
- 2010 - รอบแรก
- 2014 - รอบแรก
- 2018 - รอบแรก
- 2022 - รอบ 16 ทีมสุดท้าย
- 1992, 1995 - ไม่ได้เข้าร่วม
- 1997 - รองชนะเลิศ
- 1999 - ไม่ผ่านรอบคัดเลือก
- 2001 - อันดับสาม
- 2003 - ไม่ผ่านรอบคัดเลือก
- 2005 - รอบแรก
- 2017 - รอบแรก
- ชนะเลิศ - 1980, 1996, 2000, 2004
- อันดับสอง - 1998, 2002
- ไม่ได้เข้าร่วม - 1973
- 2007 - รอบก่อนรองชนะเลิศ
- 2011 - รองชนะเลิศ
- 2015 - ชนะเลิศ
- 2019 - รอบก่อนรองชนะเลิศ
- 2023 - รอบก่อนรองชนะเลิศ
นักเตะชุดปัจจุบัน
[แก้]รายชื่อผู้เล่น 26 คนที่ถูกเรียกตัวในการแข่งขัน ฟุตบอลโลก 2022[49][50]
ข้อมูลการลงเล่นและการทำประตูนับถึงวันที่ 23 พฤศจิกายน พ.ศ. 2565 หลังจากการพบกับ ตูนิเซีย
# | ตำแหน่ง | ผู้เล่น | วันเกิด (อายุ) | ลงเล่น | ประตู | สโมสร |
---|---|---|---|---|---|---|
1 | GK | แมทิว ไรอัน (กัปตัน) | 8 เมษายน ค.ศ. 1992 | 77 | 0 | โคเปนเฮเกน |
12 | GK | Andrew Redmayne | 13 มกราคม ค.ศ. 1989 | 4 | 0 | ซิดนีย์ |
18 | GK | Danny Vukovic | 27 มีนาคม ค.ศ. 1985 | 4 | 0 | เซ็นทรัล โคสต์ มารีเนอส์ |
2 | DF | มิล็อช เดเกเน็ก | 28 เมษายน ค.ศ. 1994 | 40 | 1 | โคลัมบัส ครูว์ |
3 | DF | Nathaniel Atkinson | 13 มิถุนายน ค.ศ. 1999 | 6 | 0 | ฮาร์ตออฟมิดโลเธียน |
4 | DF | Kye Rowles | 24 มิถุนายน ค.ศ. 1998 | 5 | 0 | ฮาร์ตออฟมิดโลเธียน |
5 | DF | Fran Karačić | 12 พฤษภาคม ค.ศ. 1996 | 12 | 1 | เบรชชา |
8 | DF | Bailey Wright | 28 กรกฎาคม ค.ศ. 1992 | 27 | 2 | ซันเดอร์แลนด์ |
16 | DF | แอซิซ เบอิช | 16 ธันวาคม ค.ศ. 1990 | 55 | 2 | ดันดี ยูไนเต็ด |
19 | DF | Harry Souttar | 22 ตุลาคม ค.ศ. 1998 | 12 | 6 | สโตกซิตี |
20 | DF | Thomas Deng | 20 มีนาคม ค.ศ. 1997 | 2 | 0 | อัลบิเร็กซ์ นีงาตะ |
24 | DF | Joel King | 30 ตุลาคม ค.ศ. 2000 | 4 | 0 | โอเดนเซ |
10 | MF | Ajdin Hrustic | 5 กรกฎาคม ค.ศ. 1996 | 21 | 3 | เฮลแลส เวโรนา |
13 | MF | แอรอน มอย | 15 กันยายน ค.ศ. 1990 | 55 | 7 | เซลติก |
14 | MF | Riley McGree | 2 พฤศจิกายน ค.ศ. 1998 | 13 | 1 | มิดเดิลส์เบรอ |
17 | MF | Cameron Devlin | 7 มิถุนายน ค.ศ. 1998 | 1 | 0 | ฮาร์ตออฟมิดโลเธียน |
22 | MF | แจ็กสัน เออร์วิน | 7 มีนาคม ค.ศ. 1993 | 51 | 7 | ซังต์ เพาลี |
26 | MF | Keanu Baccus | 7 มิถุนายน ค.ศ. 1998 | 3 | 0 | เซนต์ เมียร์เรน |
6 | FW | Marco Tilio | 23 สิงหาคม ค.ศ. 2001 | 5 | 0 | เมลเบิร์น ซิตี |
7 | FW | แมทิว เล็กกี | 4 กุมภาพันธ์ ค.ศ. 1991 | 75 | 13 | เมลเบิร์น ซิตี |
9 | FW | Jamie Maclaren | 29 กรกฎาคม ค.ศ. 1993 | 27 | 8 | เมลเบิร์น ซิตี |
11 | FW | Awer Mabil | 15 กันยายน ค.ศ. 1995 | 31 | 8 | กาดิซ |
15 | FW | Mitchell Duke | 18 มกราคม ค.ศ. 1991 | 23 | 9 | ฟาจาโน โอกายามะ |
21 | FW | Garang Kuol | 15 กันยายน ค.ศ. 2004 | 2 | 0 | เซ็นทรัล โคสต์ มารีเนอส์ |
23 | FW | Craig Goodwin | 16 ธันวาคม ค.ศ. 1991 | 12 | 2 | แอดิเลด ยูไนเต็ด |
25 | FW | Jason Cummings | 1 สิงหาคม ค.ศ. 1995 | 2 | 1 | เซ็นทรัล โคสต์ มารีเนอส์ |
อดีตผู้เล่นที่มีชื่อเสียง
[แก้]- แฮร์รี คีเวลล์
- มาร์ก ชวาร์เซอร์
- ทิม เคฮิลล์
- ลูคัส นีลล์
- มาร์ก วิดูกะ
- พอล โอคอน
- เคร็ก มัวร์
- มาร์ค เบรสชาโน
อ้างอิง
[แก้]- ↑ "The FIFA/Coca-Cola World Ranking". FIFA. 20 มิถุนายน 2024. สืบค้นเมื่อ 20 มิถุนายน 2024.
- ↑ "Our History". Socceroos (ภาษาอังกฤษ). 2017-08-22.
- ↑ "Australia gets President's blessing to join AFC in 2006". ABC News (ภาษาอังกฤษแบบออสเตรเลีย). 2005-06-16. สืบค้นเมื่อ 2021-12-12.
- ↑ "Australia Vs New Zealand 1922". www.ozfootball.net. คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 2014-07-06. สืบค้นเมื่อ 2021-12-12.
- ↑ "Australian Socceroos". web.archive.org. 2014-01-01. คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 2014-01-01. สืบค้นเมื่อ 2021-12-12.
{{cite web}}
: CS1 maint: bot: original URL status unknown (ลิงก์) - ↑ "1923 Australia Men's National Team Results". www.ozfootball.net.
- ↑ "1938 Australia Men's National Team Results". www.ozfootball.net.
- ↑ "Australia Vs England 1951". www.ozfootball.net. คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 2013-07-15. สืบค้นเมื่อ 2021-12-12.
- ↑ Gillespie, James; Tyrrell, Ian (2001). "Deadly Enemies: Tobacco and Its Opponents in Australia". Labour History (81): 224. doi:10.2307/27516824. ISSN 0023-6942.
- ↑ "As Socceroos face moment of truth, let's remember our football triumph of 1967". theconversation.com.
- ↑ "The World Cup Dream - Australian football timeline". web.archive.org. 2014-12-17. คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 2014-12-17. สืบค้นเมื่อ 2021-12-12.
{{cite web}}
: CS1 maint: bot: original URL status unknown (ลิงก์) - ↑ "Socceroo 1988 Matches". www.ozfootball.net.
- ↑ "Socceroo 1997 Matches". www.ozfootball.net.
- ↑ "Socceroo 2001 Matches". www.ozfootball.net.
- ↑ "Socceroos win 3-1 against England". The Age (ภาษาอังกฤษ). 2003-02-14.
- ↑ "Goal at last: Australia joining Asia". The Sydney Morning Herald (ภาษาอังกฤษ). 2005-03-11.
- ↑ "FIFA.com - Aloisi ends Aussie wait". web.archive.org. 2013-02-09. คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 2013-02-09. สืบค้นเมื่อ 2021-12-12.
- ↑ "From the Terraces: It's Us Against The World- by Jay Nair". web.archive.org. 2012-10-25. คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 2012-10-25. สืบค้นเมื่อ 2021-12-12.
{{cite web}}
: CS1 maint: bot: original URL status unknown (ลิงก์) - ↑ "Australia 3-1 Japan" (ภาษาอังกฤษแบบบริติช). 2006-06-12. สืบค้นเมื่อ 2021-12-12.
- ↑ "Italy 1 Australia 0: Totti makes most of referee's penalty present". The Independent (ภาษาอังกฤษ). 2006-06-26.
- ↑ "Ref's Room • Information". web.archive.org. 2013-12-11. คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 2013-12-11. สืบค้นเมื่อ 2021-12-12.
{{cite web}}
: CS1 maint: bot: original URL status unknown (ลิงก์) - ↑ Foster, Craig (2012-07-21). "Socceroos' golden generation has much to teach our youth". The Sydney Morning Herald (ภาษาอังกฤษ).
- ↑ "Verbeek is new Socceroos coach". The Sydney Morning Herald (ภาษาอังกฤษ). 2007-12-06.
- ↑ Lynch, Michael (2010-06-13). "Verbeek takes blame for Socceroos defeat". The Sydney Morning Herald (ภาษาอังกฤษ).
- ↑ https://www.theaustralian.com.au/sport/world-cup-2010/craig-foster-sack-pim-verbeek-immediately/story-fn4l4sip-1225880401600
- ↑ "Motorsport Video |Motorsport Highlights, Replays, News, Clips". FOX SPORTS (ภาษาอังกฤษแบบออสเตรเลีย).
- ↑ "Australia sets sights on East Asia Cup : The World Game on SBS". web.archive.org. 2013-09-28. คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 2013-09-28. สืบค้นเมื่อ 2021-12-12.
{{cite web}}
: CS1 maint: bot: original URL status unknown (ลิงก์) - ↑ "Rookie Socceroos selected for East Asian Cup". ABC News (ภาษาอังกฤษแบบออสเตรเลีย). 2012-11-22. สืบค้นเมื่อ 2021-12-12.
- ↑ "Australia joins ASEAN Football Federation | Goal.com". www.goal.com.
- ↑ Bossi, Dominic (2019-01-31). "Socceroos seeking entrance into 2020 Suzuki Cup". The Sydney Morning Herald (ภาษาอังกฤษ).
- ↑ "Super-sub Kennedy sends Australia to Brazil : The World Game on SBS". web.archive.org. 2013-12-05. คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 2013-12-05. สืบค้นเมื่อ 2021-12-12.
{{cite web}}
: CS1 maint: bot: original URL status unknown (ลิงก์) - ↑ Lynch, Michael (2013-11-19). "Positive signs emerge for Socceroos as bold new era begins in earnest". The Sydney Morning Herald (ภาษาอังกฤษ).
- ↑ "News". Football Australia (ภาษาอังกฤษ). 2017-09-19.
- ↑ "FIFA rankings: Socceroos hit their first century as Japan emerges as Asia's top side". Fox Sports (ภาษาอังกฤษ). 2014-11-27.
- ↑ "Aussies win dramatic Asian Cup final". BBC Sport (ภาษาอังกฤษแบบบริติช). สืบค้นเมื่อ 2021-12-12.
- ↑ Bossi, Dominic (2018-01-25). "FIFA World Cup 2018: Bert van Marwijk appointed new Socceroos coach". The Sydney Morning Herald (ภาษาอังกฤษ).
- ↑ "Socceroos go Dutch for World Cup with Van Marwijk appointment". ABC News (ภาษาอังกฤษแบบออสเตรเลีย). 2018-01-25. สืบค้นเมื่อ 2021-12-12.
- ↑ "No surprises as Graham Arnold takes on impossible Socceroos job | Jonathan Howcroft". the Guardian (ภาษาอังกฤษ). 2018-03-08.
- ↑ Howcroft, Jonathan; Howcroft, Jonathan (2018-06-16). "France 2-1 Australia: World Cup 2018 – as it happened". The Guardian (ภาษาอังกฤษแบบบริติช). ISSN 0261-3077. สืบค้นเมื่อ 2021-12-12.
- ↑ "Denmark vs. Australia 2018 World Cup: A 1-1 tie keeps the Socceroos alive". Washington Post (ภาษาอังกฤษแบบอเมริกัน). ISSN 0190-8286. สืบค้นเมื่อ 2021-12-12.
- ↑ Broun, Alex. "Football news: Andre Carrillo and Luis Advíncula both get an 8 as Peru cruise past Australia 2-0 on World Cup bow - Sport360 News". sport360.com (ภาษาอังกฤษแบบอเมริกัน).
- ↑ OPTA (2019-01-06). "AFC Asian Cup 2019: Australia 0 Jordan 1: Champions stunned in Group B opener". mykhel.com (ภาษาอังกฤษ).
- ↑ "Socceroos hold out spirited Syria 3-2 to progress in Asian Cup". ABC News (ภาษาอังกฤษแบบออสเตรเลีย). 2019-01-15. สืบค้นเมื่อ 2021-12-12.
- ↑ "Australia 0 Uzbekistan 0 (aet, 4-2 on penalties): Ryan heroics see holders hobble onwards". beIN SPORTS (ภาษาอังกฤษ).
- ↑ "Asian Cup 2019: UAE v Australia as it happened - UAE win 1-0 thanks to Ali Mabkhout strike". The National. 2019-01-25.
- ↑ "Socceroos vs Peru result: Australia earns World Cup berth after winning playoff on penalties". www.sportingnews.com (ภาษาอังกฤษ).
- ↑ "O'Neill wants to lose Roos in the name of progress". The Sydney Morning Herald (ภาษาอังกฤษ). 2005-01-14.
- ↑ "Soccer's Australian name change". The Age (ภาษาอังกฤษ). 2004-12-16.
- ↑ "SOCCEROOS SQUAD ANNOUNCED: FIFA World Cup Qatar 2022™". Football Australia. 8 November 2022.
- ↑ "Martin Boyle withdrawn from Socceroos' FIFA World Cup Qatar 2022™ squad". Socceroos. สืบค้นเมื่อ 20 November 2022.