จักรวรรดิตูอีโตงา

จากวิกิพีเดีย สารานุกรมเสรี
(เปลี่ยนทางจาก จักรวรรดิตูอิโตงา)
สำหรับ ราชวงศ์ดูที่ ตูอิโตงา
จักรวรรดิตูอิโตงา

Tu'i Tonga
ค.ศ. 950ค.ศ. 1826
อาณาเขตทางทะเลของจักรวรรดิตูอิโตงาเมื่อรุ่งเรืองที่สุด
อาณาเขตทางทะเลของจักรวรรดิตูอิโตงาเมื่อรุ่งเรืองที่สุด
สถานะจักรวรรดิ,อาณาจักร
เมืองหลวงฮาฮาเก
มูอา
ลาเวนกาตองงา
เฮเกตา
การปกครองสมบูรณาญาสิทธิราชย์
พระมหากษัตริย์ 
ประวัติศาสตร์ 
• การสถาปนาจักรวรรดิ
ค.ศ. 950
• ขยายอำนาจจนถึงขีดสุด
ศตวรรษที่ 12
• เริ่มต้นยุคเสื่อมของจักรวรรดิ
ค.ศ. 1250
• ก่อตั้งราชวงศ์ตูอิฮาอะตากาลาอัว
ค.ศ. 1470
• ก่อตั้งราชวงศ์ตูอิกาโนกูโปลู
ค.ศ. 1600
• การเข้ามาสำรวจของแอเบล แทสมัน
ค.ศ. 1643
• การเข้ามาสำรวจของเจมส์ คุก
ค.ศ. 1777
• พ่ายแพ้ในการรบต่อพระเจ้าจอร์จ ตูปูที่ 1
ค.ศ. 1826
ก่อนหน้า
ถัดไป
วัฒนธรรมลาพิตา
ราชอาณาจักรตองงา
ปัจจุบันเป็นส่วนหนึ่งของธงของประเทศตองงา ตองงา
ธงของวอลิสและฟูตูนา วอลิสและฟูตูนา
ธงของโตเกเลา โตเกเลา
ธงของประเทศนาอูรู นาอูรู
ธงของประเทศฟีจี ฟีจี
ธงของเฟรนช์พอลินีเชีย เฟรนช์พอลินีเชีย
ธงของหมู่เกาะโซโลมอน หมู่เกาะโซโลมอน
ธงของประเทศคิริบาส คิริบาส
ธงของนีวเว นีวเว
ธงของหมู่เกาะคุก หมู่เกาะคุก
ธงของประเทศซามัว ซามัว

จักรวรรดิตูอิโตงา เป็นจักรวรรดิหนึ่งที่มีอำนาจยิ่งใหญ่มากในเขตโอเชียเนีย โดยจักรวรรดินี้ก่อตั้งขึ้นราวปี ค.ศ. 950 โดยพระเจ้าอะโฮเออิตู แต่เจริญรุ่งเรืองถึงขีดสุดราวคริสต์ศตวรรษที่ 12 - 15 โดยเฉพาะอย่างยิ่งในรัชสมัยของจักรพรรดิโมโมและจักรพรรดิตูอิตาตูอิ ซึ่งสามารถขบายอำนาจได้ตั้งแต่ นีอูเอ[1] ถึงติโกเปีย จักรวรรดินี้เคยขยายอาณาเขตได้ไกลที่สุดถึงรัฐแยปของไมโครนีเซีย มีเมืองหลวงสำคัญของจักรวรรดิที่มูอา ซึ่งตั้งอยู่บนเกาะโตงาตาปู โดยมีพระมหากษัตริย์ปกครองมาจาก 3 ราชวงศ์ และตั้งแต่คริสศตวรรษที่ 17 เป็นต้นมา จักรวรรดิตูอิโตงามีราชวงศ์ปกครองจักรวรรดิพร้อมกันถึง 3 ราชวงศ์ในเวลาเดียวกัน[2] ในปัจจุบันนักวิจัยได้พยายามค้นคว้าถึงบทบาทของจักรวรรดิในการค้าทางทะเล รวมไปถึงอิทธิพลของจักรวรรดิในบริเวณต่างๆ แต่ยังคงขาดหลักฐานเชิงประจักษ์[3]

เริ่มต้นจักรวรรดิ[แก้]

ประมาณ ค.ศ. 950 ตูอิโตงาอะโฮเออิตูเริ่มขยายอำนาจการปกครองนอกเขตตองงา โดยจากตำนานของตองงาและซามัวที่เล่าสืบต่อกันมากล่าวว่าตูอิโตงาพระองค์แรกนั้นเป็นพระราชโอรสของตากาโลอาซึ่งเป็นเทพเจ้าดั้งเดิมของชาวตองงา (รวมไปถึงชาวโพลินิเซียนอีกด้วย)[4] เนื่องจากหมู่เกาะมานูอาในประเทศซามัวปัจจุบันเป็นที่สถิตของเทพเจ้าอันได้แก่ตากาโลอา เออิตูมาตูปูอา, โตงา ฟูซิโฟนูอาและตาวาตาวาอิมานูกา รวมไปถึงเป็นบ้านเกิดของบรรพบรุษ ส่งผลให้พระมหากษัตริย์พระองค์แรกๆของตองงากำหนดให้หมู่เกาะแห่งนี้เป็นหมู่เกาะศักดิ์สิทธิ์[3] จนกระทั่งกาลเวลาล่วงเลยมาถึงตูอิโตงาพระองค์ที่ 10 คือพระเจ้าโมโม พระองค์และผู้สืบต่อราชบัลลังก์ของพระองค์ พระเจ้าตูอิตาตูอิ ได้ขยายจักรวรรดิโดยมีอาณาเขตตั้งแต่ติโกเปียทางด้านทิศตะวันตก จนถึงนีอูเอทางด้านทิศตะวันออก[5] อาณาเขตของจักรวรรดิยังครอบคลุมถึง หมู่เกาะวาลิสและหมู่เกาะฟูตูนา, โตเกเลา, ตูวาลู, โรตูมา, นาอูรู, บางส่วนของฟิจิ, หมู่เกาะมาร์เคซัส, บางส่วนของหมู่เกาะโซโลมอน, คิริบาส, หมู่เกาะคุก, และบางส่วนของซามัว เพื่อให้การปกครองดินแดนส่วนใหญ่เป็นไปด้วยดี จึงย้ายเมืองหลวงไปอยู่บริเวณลากูนที่ลาปาฮา, โตงาตาปู ด้วยอิทธิพลที่กว้างขวางของตูอิโตงาทำให้จักรวรรดิมีชื่อเสียงครอบคลุมมหาสมุทรแปซิฟิก และทำให้เกิดการแลกเปลี่ยนทรัพยากรและแนวความคิดอย่างกว้างขวาง

การขยายอำนาจ[แก้]

เรือแคนูของตองงา

ภายใต้การนำของตูอิโตงาพระองค์ที่ 10 พระเจ้าโมโม และพระราชโอรสคือพระเจ้าตูอิตาตูอิ (ตูอิโตงาพระองค์ที่ 11) อาณาเขตของจักรวรรดิขยายอำนาจได้กว้างไกลที่สุด บรรณาการของจักรวรรดิจะถูกส่งมาจากหัวหน้าชนเผ่าหรือผู้นำในเขตอำนาจ โดยบรรณาการที่ส่งมานั้นเรียนว่า "อินาซี" และจะถูกส่งมาเป็นประจำทุกปี ณ เมืองมูอา ในฤดูเก็บเกี่ยว ซึ่งการกระทำเช่นนี้เป็นการนำของขวัญมาถวายต่อเทพเจ้า ผู้ซึ่งได้รับการยอมรับเป็นตูอิโตงา[6] โดยในปี ค.ศ. 1777 กัปตันเจมส์ คุกได้บันทึกเกี่ยวกับพิธีอินาซีไว้ว่า ประเพณีนี้เป็นประเพณีที่มีชาวต่างชาติเป็นจำนวนมากเข้ามาในประเทศตองงา โดยเฉพาะอย่างยิ่งชนผิวดำซึ่งมีบรรพบุรุษเป็นชาวแอฟริกันจากฟิจิ,หมู่เกาะโซโลมอน และ วานูอาตู สำหรับเสื่อที่ดีของซามัว (เช่น โตกา) กลายมาเป็นสิ่งสำคัญในพิธีอภิเษกสมรสระหว่างพระราชวงศ์ตองงาฝ่ายบุรุษและพระราชวงศ์ซามัวฝ่ายสตรี ยกตัวอย่างเช่น โตฮูอิอา ซึ่งเป็นพระราชมารดาของตูอิกาโนกูโปลูงาตา ซึ่งมาจากซาฟาตา เกาะอูโปลู ซามัว เสื่อเหล่านี้รวมไปถึงมาเนอาฟาอิงาและตาซิอาเออาเฟกลายมาเป็นเพชรยอดมงกุฎของราชวงศ์ตูปูในปัจจุบัน[7] (ซึ่งได้รับมาทางสายแม่จากซามัว)[8]

การที่จักรวรรดิประสบความสำเร็จในการขยายดินแดนนั้นเกิดขึ้นจากความเข้มแข็งของกองทัพเรือ โดยเรือที่ใช้โโดยทั่วไปเป็นเรือที่มีขนาดยาว มีใบเรือเป็นรูปสามเหลี่ยม เรือแคนูของตองงาที่มีนาดใหญ่ที่สุดสามารถจุคนได้มากถึง 100 คน โดยเรือแคนูที่สำคัญได้แก่ตองงาฟูเอซีอา, อากิเฮอูโฮ, โลมิเปเอา และตากาอิโปมานา โดยมีการกล่าวว่าตากาอิโปมาเป็นเรือของซามัวตามบันทึกใน Queen Salote and the Palace Records ซึ่งกล่าวไว้ว่าเรือลำนี้เป็นเรือที่นำโตฮู อิอา ลิมาโปจากซามัวเข้าพิธีอภิเษกสามรสกับตูอิฮาอะตากาลาอัว[8] ด้วยการมีกองทัพเรือขนาดใหญ่นี้ทำให้กองทัพเรือตองงาช่วยให้ตองงามีความร่ำรวยจากการค้าและบรรณาการที่ได้รับ

จักรวรรดิตูอิโตงาตั้งแต่คริสต์ศตวรรษที่ 16[แก้]

แม้ในยุคการขยายอำนาจจักรวรรดิโดยเฉพาะในรัชสมัยของพระเจ้าโมโมและพระเจ้าตูอิตาตูอิ จักรวรรดิตูอิโตงามีความเจริญรุ่งเรืองสูงมาก อย่างไรก็ตามในปี ค.ศ. 1535 ชาวต่างชาติ 2 คนลอบปลงพระชนม์พระเจ้าตากาลาอัวขณะที่กำลังว่ายน้ำอยู่ในลากูนของเมืองมูอา พระมหากษัตริย์องค์ต่อมาคือพระเจ้าเกาอูลูโฟนูอาเฟไกที่ 1ได้พยายามไล่ล่าสังหารชาวต่างชาติ 2 คนที่ลอบปลงพระชนม์พระเจ้าตากาลาอัว จนสามารถตามไปสังหารได้สำเร็จในเส้นทางไปหมู่เกาะฟูตูนา[9] เนื่องจากเกิดเหตุการลอบปลงพระชนม์ตูอิโตงาลายครั้ง ส่งผลให้พระเจ้าเกาอูลูโฟนูอาเฟไกที่ 1ได้สถาปนาราชวงศ์ใหม่คือตูอิฮาอะตากาลาอัวเพื่อเป็นเกียรติแด่พระราชบิดาของพระองค์ และพระองค์ได้สถาปนาพระอนุชาของพระองค์คือเจ้าชายโมอูงาโมตูขึ้นดำรงพระอิสริยยศเป็นตูอิฮาอะตากาลาอัวพระองค์แรก พระมหากษัตริย์ในราชวงศ์ใหม่นี้มีพระราชอำนาจในการบริหารกิจการประจำวันของจักรวรรดิ ในขณะที่ตูอิโตงาเปลี่ยนสถานะใหม่เป็นผู้นำทางจิตวิญญาณของชาติ อย่างไรก็ตามตูอิโตงายังคงมีพระราชอำนาจในการสั่งลงโทษประหารชีวิตหรือไว้ชีวิตบุคคลใดก็ได้ จักรวรรดิตูอิโตงาในช่วงเวลานี้มีอิทธิพลของซามัวปรากฏอยู่ จากการที่ตูอิโตงามีเชื้อสายซามัว ซึ่งเกิดจากการอภิเษกสมรสกับผู้หญิงชาวซามัว รวมถึงยังเลือกที่จะอาศัยอยู่ในซามัวอีกด้วย[10] พระราชมารดาของพระเจ้าเกาอูลูโฟนูอาเป็นชาวซามัวจากเกาะมานูอา[11] ในขณะที่พระเจ้าเกาอูลูโฟอูนาที่ 2และพระเจ้าปุยปุยฟาตูเป็นลูกครึ่งซามัว-ตองงา พระมหากษัตริย์ที่สืบทอดตำแหน่งตูอิโตงาจากพระองค์อย่างพระเจ้าวากาฟูฮู พระเจ้าตาปูโอซีและพระเจ้าอูลูอากิมาตามีเชื้อสายซามัวมากยิ่งขึ้น โดยมีเชื้อสายของชาวซามัวมากกว่าชาวตองงา[12]

ในปี ค.ศ. 1610 ตูอิฮาอะตากาลาอัวพระองค์ที่ 6 พระเจ้าโมอูงาโตงาได้สถาปนาตำแหน่งใหม่คือตูอิกาโนกูโปลูสำหรับพระราชโอรสลูกครึ่งซามัวของพระองค์คือเจ้าชายงาตา โดยแบ่งอำนาจการปกครองบริเวณต่างๆ แต่เมื่อเวลาผ่านไปตูออิกาโนกูโปลูกลับมีอำนาจเหนือดินแดนตองงามากยิ่งขึ้น เมื่อราชวงศ์ตูอิกาโนกูโปลูมีอำนาจมากได้นำนโยบายการปกครอง ตำแหน่งและสถาบันแบบซามัวเข้ามาในจักรวรรดิตูอิโตงา และกลายมาเป็นรูปแบบการปกครองซึ่งสืบต่อมาจนถึงสมัยราชอาณาจักรตองงา[13] ทุกสิ่งทุกอย่างได้ดำเนินมาเช่นนี้เรื่อยๆ ในปี ค.ศ. 1616 นักสำรวจชาวดัตช์ วิลเลม ชูเตนและยาคอบ เลแมร์สังเกตเห็นเรือแคนูของชาวตองงานอกชายฝั่งเกาะนีอูอาโตปูตาปู และนักสำรวจที่มีชื่อเสียงอย่าง แอเบล แทสมันก็ได้เข้ามาสำรวจในระยะเวลาต่อมา ซึ่งการเข้ามาสำรวจของนักชาวยุโรปในระยะนี้ไม่ก่อให้เกิดการเปลี่ยนแปลงใดๆของจักรวรรดิมากนัก อย่างไรก็ตามการสำรวจครั้งสำคัญครั้งหนึ่งที่ก่อให้เกิดผลกระทบอย่างมากต่อจักรวรรดิตูอิโตงาโดยตรงคือการเข้ามาสำรวจของเจมส์ คุก ในปี ค.ศ. 1773 ค.ศ. 1774 และ ค.ศ. 1777 ก่อให้เกิดการเข้ามาในจักรวรรดิของมิชชันนารีลอนดอนในปี ค.ศ. 1797 ซึ่งเข้ามาเผยแพ่ศาสนาคริสต์ให้แก่ชาวพื้นเมือง

การล่มสลายของจักรวรรดิ[แก้]

เนื่องจากเกิดความขัดแย้งจากการปกครองและการละเลยธรรมเนียมการสืบราชสมบัติของพระเจ้าตูกูอาโฮ ส่งผลให้หลายๆฝ่ายในจักรวรรดิไม่พอใจ ก่อให้เกิดการลอบสังหารพระเจ้าตูกูอาโฮ ตูอิกาโนดูโปลูพระองค์ที่ 14 [14] ส่งผลให้เกิดความไม่สงบทั่วดินแดนทั้งจักรวรรดิตามมาจนลุกลามเป็นสงครามกลางเมือง โดยการสงครามในครั้งนี้เป็นศึกระหว่างมูอา (ตูอิโตงา) วาวาอูและฮาอะไป (อูลูกาลาลา) กับ นูกูอาโลฟา (ตูอิกาโนกูโปลู) ฮิหิโฟ (ฮาอะงาตา,ฮาอะฮาเวอา) โดยจักรวรรดิตูอิโตงาได้ล่มสลายลงในปี ค.ศ. 1826 ซึ่งพระเจ้าเลาฟิลิตองงาพ่ายแพ้ต่อตูอิกาโนกูโปลู ตูอิฮาอะไป ตูอิวาวาอูเตาฟาอาเฮาที่เวเลตา ซึ่งนำไปสู่การล่มสลายของจักรวรรดิตูอิโตงา แต่เตาฟาอาเฮายังคงตำแหน่งตูอิโตงาไว้อยู่ จนกระทั่งพระเจ้าเลาฟิลิตองงาสวรรคตในปี ค.ศ. 1865[15] อย่างไรก็ตามสงครามกลางเมืองยังคงดำรงอยู่ต่อไปจนกระทังพระเจ้าจอร์จ ตูปูที่ 1 สามารถรวมอาณาจักรกลับมาเป็นอันหนึ่งอันเดียวได้อีกครั้งในปี ค.ศ. 1845

การปกครอง 3 ราชวงศ์[แก้]

การเสื่อมถอยของตูอิโตงาเริ่มต้นขึ้นจากภาวะสงครามและแรงกดดันภายใน ในประมาณคริตศตวรรษที่ 13 หรือ 14 ซามัวได้รับชัยชนะเหนือตูอิโตงาตาลากาอิไฟกิภายใต้การนำของตระกูลมาลีเอตัว ด้วยเหตุนี้จึงมีการตั้งฟาเลฟาขึ้นเป็นผู้ให้คำปรึกษาทางด้านการเมืองแก่จักรวรรดิ ข้าราชการฟาเลฟาประสบความสำเร็จในการรักษาอำนาจเหนือเกาะต่างๆของจักรวรรดิ แต่ก่อให้เกิดความไม่พอใจอย่างกว้างขวาง อันนำไปสู่การลอบสังหารผู้ปกครองอยู่หลายครั้ง ยกตัวอย่างเช่นกรณีการลอบสังหารพระเจ้าตากาลาอัว เป็นต้น ส่งผลให้ต้องก่อตั้งราชวงศ์ตูอิฮาอะตากาลาอัวในเวลาต่อมา ซึ่งราชวงศ์ตูอิฮาอะตากาลาอัวได้ก่อตั้งราชวงศ์ตูอิกาโนกูโปลูขึ้นมาเพื่อช่วยในการบริหารราชการแผ่นดิน

ในช่วงที่ราชวงศ์ตูอิโตงาและตูอิกาโนกูโปลูมีอำนาจในจักรวรรดินั้น ได้แบ่งเขตที่อยู่ร่วมกันเป็น 2 เขตโดนใช้ถนนเลียบชายฝั่งเก่าที่ชื่อว่าฮาลา โฟนูอา โมอา (ถนนดินแห้ง) โดยผู้ปกครองที่มาจากตูอิโตงาถูกเรียกว่าเกา ฮาลา อูตา (inland road people) ในขณะที่ผู้ที่มาจากตูอิกาโนกูโปลูจะถูกเรียกว่าเกา ฮาลา ลาโล (low road people) ในขณะตูอิฮาอะตากาลาอัวระยะแรกจะอยู่กับฝ่ายตูอิกาโนกูโปลู แต่เมื่อตูอิกาโนกูโปลูมีอำนาจขึ้นมามากส่งผลให้ตูอิฮาอะตากาลาอัวหันไปจงรักภักดีกับตูอิโตงาแทน

ประเด็นศึกษาปัจจุบัน[แก้]

การศึกษาทางโบราณคดี มานุษยวิทยาและภาษาศาสตร์สมัยใหม่ยืนยันว่าอิทธิพลทางวัฒนธรรมของตองงาแพร่กระจายได้อย่างกว้างไกล[16][17] ผ่านทางตะวันออกของอูเวอา โรตูมา ฟูตูนา ซามัวและนีอูเอ บางส่วนของไมโครนีเซีย (คิริบาสและโปนเป) วานูอาตู และนิวแคลิโดเนีย[18] นักวิชาการบางคนนิยมใช้คำว่าอาณาจักรชนเผ่าทางทะเล (maritime cheifdom) เพื่อแสดงสถานะของดินแดนตูอิโตงา[19] ในขณะที่โดยส่วนใหญ่แล้วนิยมใช้คำว่าจักรวรรดิมากกว่าเนื่องจากเป็นนิยามที่สะดวกในการเรียก[20]

ดูเพิ่ม[แก้]

อ้างอิง[แก้]

  1. "Tu'i Tonga". Palace Office2013, Tonga. 29 December 2013. คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 2014-05-13. สืบค้นเมื่อ 2013-12-29.
  2. "Tu'i Kanokupolu". Palace Office2013, Tonga. 4 January 2014. คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 2014-05-13. สืบค้นเมื่อ 2014-01-04.
  3. 3.0 3.1 "The Pacific Islands: An Encyclopedia," edited by Lal and Fortune, p. 133
  4. see writings of Ata of Kolovai in "O Tama a Aiga" by Morgan Tuimaleali'ifano; writings by Mahina, also coronation edition of Spasifik Magazine, "The Pacific Islands: An Encyclopedia," edited by Lal and Fortune, p. 133etc.
  5. "Tonga". Lonely Planet. 2001.
  6. St. Cartmail, Keith (1997). The art of Tonga. Honolulu, Hawai'i: University of Hawai'i Press. p. 39. ISBN 0-8248-1972-1.
  7. Kie Hingoa 'Named Mats, 'Ie Toga 'Fine Mats' and Other Treasured Textiles of Samoa and Tonga. Journal of the Polynesian Society, Special Issue 108 (2), June 1999
  8. 8.0 8.1 see Songs and Poems of Queen Salote edited by Elizabeth Wood-Ellem
  9. Thomson, Basil (January 1901). "Note Upon the Natives of Savage Island, or Niue". The Journal of the Anthropological Institute of Great Britain and Ireland. Royal Anthropological Institute of Great Britain and Ireland. 31: 137.
  10. "The Pacific Islands: An Encyclopedia," edited by Lal and Fortune, p. 133; "Great Families of Polynesia," Journal of Pacific History; "Tongan Society," Edward Gifford; "Tongan Society at the Time of Captain Cook's Visits," Queen Salote, Bott and Tavi
  11. Journal of Pacific History, 32 (2), Dec. 1997, also "Deconstructing the Island Group," Australian National University
  12. "Great Families of Polynesia," Journal of Pacific History; "Tongan Society," Edward Gifford; "Tongan Society at the Time of Captain Cook's Visits," Queen Salote, Bott and Tavi
  13. see http://planet-tonga.com/language_journal/Emancipation_in_Tonga/index.shtml เก็บถาวร 2006-03-05 ที่ เวย์แบ็กแมชชีน History of Tonga; 'Okusitino Mahina 2004; and journal articles
  14. John Martin, Tonga Islands, 1981 ed.,
  15. "Tonga". Christopher Buyers. 4 January 2014.
  16. Recent Advances in the Archaeology of the Fiji/West-Polynesia Region" เก็บถาวร 2009-09-18 ที่ เวย์แบ็กแมชชีน 2008: Vol 21. University of Otago Studies in Prehistoric Anthropology.]
  17. "Hawaiki, Ancestral Polynesia: An Essay in Historical Anthropology", Patrick Vinton Kirch; Roger C. Green (2001)
  18. "Geraghty, P., 1994. Linguistic evidence for the Tongan empire", Geraghty, P., 1994 in "Language Contact and Change in the Austronesian World: pp.236-39.
  19. "Monumentality in the development of the Tongan maritime chiefdom", Clark, G., Burley, D. and Murray, T. 2008. Antiquity 82 (318) : 994-1004"
  20. "Pacific voyaging after the exploration period", NEICH, R. 2006 in K.R. Howe (ed.) Vaka Moana, voyages of the ancestors: the discovery and settlement of the Pacific: 198-245. Auckland: David Bateman. p230

แหล่งข้อมูลอื่น[แก้]