นูกูอาโลฟา
นูกูอาโลฟา | |
---|---|
Nukuʻalofa | |
ภาพจากซ้ายไปขวาและบนลงล่าง: สำนักนายกรัฐมนตรี, โบสถ์ซาอีโอเน, โบสถ์ตองงานูกูอาโลฟา, อาคารเตาโอเมเปเอา, พระราชวัง, ต้นจามจุรีกลางกรุง, อาคารกระทรวงการคลัง | |
![]() นูกูอาโลฟา (สีแดง) บนเกาะโตงาตาปู | |
พิกัด: 21°8′9″S 175°12′32″W / 21.13583°S 175.20889°Wพิกัดภูมิศาสตร์: 21°8′9″S 175°12′32″W / 21.13583°S 175.20889°W | |
ประเทศ | ![]() |
เขตปกครอง | โตงาตาปู |
พื้นที่ | |
• ทั้งหมด | 11.41 ตร.กม. (4.41 ตร.ไมล์) |
ความสูง | 4 เมตร (13 ฟุต) |
ความสูงจุดสูงสุด | 6 เมตร (20 ฟุต) |
ความสูงจุดต่ำสุด | 0 เมตร (0 ฟุต) |
ประชากร (2016) | |
• ทั้งหมด | 23,221 คน |
• ความหนาแน่น | 2,035 คน/ตร.กม. (5,270 คน/ตร.ไมล์) |
เขตเวลา | UTC+13 (–) |
รหัสพื้นที่ | 676 |
ภูมิอากาศ | Af |
นูกูอาโลฟา (ตองงา: Nukuʻalofa) เป็นเมืองหลวง เมืองที่ใหญ่ที่สุดและศูนย์กลางด้านการเมืองการปกครอง เศรษฐกิจ วัฒนธรรมของตองงา กรุงนูกูอาโลฟาตั้งอยู่ทางตอนเหนือของเกาะโตงาตาปู มีทิศเหนือติดต่อกับมหาสมุทรแปซิฟิก ทิศใต้ติดต่อกับลากูนฟางาอูตา ทิศตะวันตกติดต่อกับพื้นที่นอกกรุงของเขตโกโลโมตูอา[a] และทิศตะวันออกติดต่อกับพื้นที่นอกกรุงของเขตโกโลโฟโออู[a] มีจำนวนประชากรเท่ากับ 23,221 คน หรือเกือบ 1 ใน 4 ของประชากรทั้งประเทศ และหากนับรวมพื้นที่ Greater Nukuʻalofa จะมีจำนวนประชากรเท่ากับ 35,184 คน ด้วยจำนวนและความหนาแน่นของประชากรที่สูง กรุงนูกูอาโลฟาจึงมีสถานะเป็นเมืองโตเดี่ยว และเป็นเขตเมืองเพียงแห่งเดียวของประเทศ[1][2] [3]
ในอดีตพื้นที่นูกูอาโลฟาส่วนใหญ่อยู่ใต้ทะเล มีสภาพเป็นเกาะ ไม่ได้เชื่อมต่อกับเกาะโตงาตาปูในปัจจุบัน[4] มีหลักฐานการตั้งถิ่นฐานในพื้นที่ตั้งแต่ก่อน 800 ปีก่อนคริสตกาล[5] นับตั้งแต่การสถาปนาจักรวรรดิตูอีโตงาเป็นต้นมา นูกูอาโลฟาเป็นส่วนหนึ่งของจักรวรรดิแห่งนี้ จนกระทั่งในคริสต์ศตวรรษที่ 18 มีชาวยุโรปหลายกลุ่มได้มีโอกาสมาเยี่ยมเยียนนูกูอาโลฟา[6] นูกูอาโลฟาเริ่มมีความสำคัญกับประวัติศาสตร์ตองงาในสมัยคริสต์ศตวรรษที่ 19 เมื่อกลายเป็นศูนย์กลางอำนาจของตูอิกาโนกูโปลู[7]:127 พร้อมกับการเป็นศูนย์กลางในการเผยแพร่ศาสนาคริสต์ในประเทศ[8]:130 และต่อมากลายเป็นศูนย์กลางการเมืองการปกครองจนถึงปัจจุบันหลังจากที่พระเจ้าจอร์จ ตูโปอูที่ 1 สถาปนาราชอาณาจักรตองงาขึ้น[9] การสถาปนากรุงนูกูอาโลฟาเป็นเมืองหลวงนำไปสู่การพัฒนาระบบสาธารณูปโภคและการก่อสร้างที่ทำการของหน่วยงานภาครัฐที่สำคัญ รวมไปถึงเป็นที่ตั้งของสถานเอกอัครราชทูตทั้งหมดที่มีภารกิจในประเทศตองงา ช่วงระหว่าง ค.ศ. 2005–6 มีการชุมนุมเรียกร้องประชาธิปไตยในกรุงนูกูอาโลฟา แม้จะประสบความสำเร็จ แต่สร้างความเสียหายให้กับพื้นที่ศูนย์กลางธุรกิจเป็นอย่างมาก
การเป็นศูนย์กลางของประเทศ ส่งผลให้การพัฒนาระบบสาธารณูปโภคภายในนูกูอาโลฟาดีกว่าพื้นที่อื่น มีระบบถนนที่เชื่อมโยงสู่พื้นที่อื่นบนเกาะโตงาตาปู มีท่าเรือน้ำลึกมาตรฐาน รวมไปถึงตั้งอยู่ไม่ไกลจากท่าอากาศยานนานาชาติหลักของประเทศ นอกจากนี้โรงพยาบาลที่มีความพร้อมสูงสุดและสถาบันการศึกษาที่มีชื่อเสียงหลายแห่งล้วนตั้งอยู่ในเมืองนี้ทั้งสิ้น กรุงนูกูอาโลฟามีการเจริญเติบโตทางเศรษฐกิจขึ้นเป็นลำดับ นำไปสู่การอพยพของประชากรจากพื้นที่ส่วนอื่นเข้ามาอยู่ในนูกูอาโลฟามากขึ้น อันนำไปสู่ปัญหาการรองรับการขยายตัวของประชากร เนื่องจากพื้นที่ของเมืองมีจำกัดและขาดการวางแผน[10] การพัฒนาพื้นที่เมืองและการมีจำนวนประชากรเป็นจำนวนมาก ทำให้พื้นที่เมืองเป็นศูนย์กลางการจัดเฉลิมฉลองงานเทศกาลที่สำคัญ เป็นศูนย์กลางด้านกิจการสื่อ ได้รับเลือกให้เป็นเจ้าภาพการแข่งขันกีฬาระดับทวีป รวมไปถึงการเป็นพื้นที่ที่มีการนำวัฒนธรรมจากภายนอกเข้ามาผสมผสานกับวัฒนธรรมตองงาอย่างชัดเจน
ศัพทมูลวิทยา[แก้]
เมื่อศึกษาตามหลักศัพทมูลวิทยาพบว่านูกูอาโลฟา มีที่มาจากคำในภาษาตองงา 2 คำ คือคำว่า Nuku หมายถึง ที่พัก และคำว่า Alofa หมายถึง ความรัก ดังนั้นนูกูอาโลฟา จึงมีความหมายว่าที่พักแห่งความรัก[11][b] นูกูอาโลฟาปรากฏชื่อเป็นลายลักษณ์อักษรครั้งแรกในหนังสือของมิชชันนารีชาวอังกฤษที่ชื่อจอร์จ แวสัน ซึ่งตีพิมพ์เมื่อ ค.ศ. 1810 บอกเล่าถึงประสบการณ์ของเขาในการเดือนทางเยือนตองงาใน ค.ศ. 1797 โดยเขาสะกดชื่อเมืองแห่งนี้ว่า Noogollefa[13]:68 นอกจากนี้ยังพบการเขียนชื่อนูกูอาโลฟาของชาวตะวันตกที่เข้ามาเยี่ยมเยียนอีกหลายรูปแบบ ได้แก่ Nioocalofa[14]:93 Nukualofa[15]:33–4 และ Noukou-Alofa[16]:184 สาเหตุที่การสะกดชื่อต่างจากปัจจุบัน เนื่องจากการพัฒนาตัวอักษรละตินเพื่อเขียนภาษาตองงาได้เริ่มจริงจังในช่วงคริสต์ทศวรรษ 1820–30[17]:102
ประวัติศาสตร์[แก้]
ก่อนการเข้ามาของชาติตะวันตก[แก้]
ในช่วงนอร์ธกริปเปียนสมัยไมโอซีน พื้นที่ส่วนมากของนูกูอาโลฟาตั้งอยู่ใต้ทะเล และเป็นส่วนหนึ่งของลากูนฟางาอูตา มีเพียงสันทราย ดอนทรายใต้น้ำและเกาะขนาดเล็กเท่านั้นที่โผล่พ้นผืนน้ำ[4]:687–8 ชาวแลพีตา กลุ่มคนที่พูดภาษาในตระกูลภาษาออสโตรนีเชียนเป็นกลุ่มแรกที่เข้ามาอยู่อาศัยในเกาะโตงาตาปูในช่วง 826 ± 8 ปีก่อนคริสตกาล [18][5] ระยะแรกได้ตั้งถิ่นฐานในนูกูเลกา ซึ่งตั้งอยู่ทางตะวันออกของนูกูอาโลฟา[5] และต่อมาได้ขยายชุมชนของตนสู่เกาะที่เป็นพื้นที่ของนูกูอาโลฟาในปัจจุบันด้วย[19]
ไม่มีหลักฐานทางประวัติศาสตร์หรือมานุษยวิทยาที่ชัดเจนมากนักเกี่ยวกับพื้นที่นูกูอาโลฟาก่อนการติดต่อกับชาติตะวันตก มีข้อมูลรายละเอียดทราบเพียงว่านับตั้งแต่พระเจ้าอะโฮเออิตูได้สถาปนาจักรวรรดิตูอีโตงาขึ้นใน ค.ศ. 950[20] พื้นที่นูกูอาโลฟาและเกาะโตงาตาปูก็เป็นส่วนหนึ่งของจักรวรรดิแห่งนี้ ทว่าไม่มีบทบาทหรือความสำคัญทางประวัติศาสตร์ในช่วงเวลานี้มากนัก สันนิษฐานว่าพื้นที่บริเวณนี้น่าจะอยู่ภายใต้การปกครองของชนชั้นขุนนางผู้ใดผู้หนึ่ง[21]:246–7
การติดต่อกับชาติตะวันตก[แก้]
ในวันที่ 10 มิถุนายน ค.ศ. 1777 กัปตันเจมส์ คุกซึ่งเป็นชาวอังกฤษได้ทอดสมอเรือในบริเวณอ่าวนูกูอาโลฟา และได้ร่างแผนที่ของอ่าวและเกาะโดยรอบ ซึ่งเป็นพื้นที่ที่ตั้งกรุงในปัจจุบันด้วย[22]:277–81[c] ต่อมาใน ค.ศ. 1797 จอร์จ แวสัน มิชชันนารีชาวอังกฤษจากสมาคมมิชชันนารีลอนดอนเข้ามาเยี่ยมชมตองงา พร้อมทั้งระบุชื่อนูกูอาโลฟาในหนังสือของเขาที่ตีพิมพ์ใน ค.ศ. 1810 นับเป็นครั้งแรกที่ชื่อนูกูอาโลฟาปรากฏขึ้นเป็นลายลักษณ์อักษร[13]:68
หลัง ค.ศ. 1797 การเมืองภายในจักรวรรดิมีความวุ่นวาย นำไปสู่การเกิดสงครามกลางเมืองในเวลาต่อมา[7]:122–7 พระเจ้าตูโปอูมาโลฮี ตูอิกาโนกูโปลูพระองค์ต่อมาได้ตัดสินพระทัยย้ายศูนย์กลางอำนาจจากฮีฮีโฟมาอยู่ที่นูกูอาโลฟา พร้อมทั้งสร้างป้อมปราการขึ้น ซึ่งมีขนาดใหญ่สุดบนเกาะโตงาตาปู[7]:127 อย่างไรก็ตามฟีเนา อูลูกาลาลา ผู้ปกครองวาวาอูและฮาอะไปใช้ปืนใหญ่ทำลายป้อมปราการ และยึดได้ในท้ายที่สุด[14]:93-6 เมื่อยึดป้อมปราการได้สำเร็จ เขาสั่งให้มีการซ่อมแซมป้อมปราการ เพื่อรอการโจมตีกลับ ทว่าไม่มีการโจมตีใดเกิดขึ้น เขาจึงตัดสินใจออกจากเกาะโตงาตาปู โดยแต่งตั้งตาไกแห่งเปอาเป็นผู้ดูแลนูกูอาโลฟาแทนเขา แต่ตาไกทรยศเขา และทำลายป้อมปราการนูกูอาโลฟาลงอีกครั้ง[7]:128
ในช่วงต้นคริสต์ศตวรรษที่ 19 พื้นที่นูกูอาโลฟากลายเป็นศูนย์กลางการเผยแพร่คริสต์ศาสนา เมื่อพระเจ้าอาเลอาโมตูอา ตูอิกาโนกูโปลูพระองค์ที่ 18 มีส่วนสำคัญในการสนับสนุน ใน ค.ศ. 1826 สมาคมมิชชันนารีลอนดอนได้ส่งมิชชันนารีจากตาฮีตีเดินทางไปยังฟีจี และมีจุดแวะพักระหว่างทางที่นูกูอาโลฟา เมื่อคณะเดินทางมาถึงนูกูอาโลฟา พระองค์ได้กักตัวมิชชันนารีชาวตาฮีติ 2 คนไว้ เพื่อให้ทั้งสองคนสอนศาสนาให้แก่พระองค์ นำไปสู่การก่อสร้างโบสถ์และโรงเรียนสอนศาสนาที่นูกูอาโลฟาในเวลาต่อมา[8]:129 คริสต์ศาสนาในนูกูอาโลฟาเจริญรุ่งเรืองมากขึ้น เมื่อมิชชันนารีเมธอดิสต์เข้ามารวมกลุ่มกับมิชชันนารีชาวตาฮีติที่เผยแพร่ศาสนาอยู่ก่อนหน้านั้น[8]:130 ความขัดแย้งที่มีมาก่อนหน้านั้น พัฒนาเป็นความขัดแย้งทางศาสนาระหว่างกลุ่มผู้สนับสนุนคริสต์ศาสนากับกลุ่มความเชื่อดั้งเดิม โดยพระเจ้าอาเลอาโมตูอาผู้ปกครองนูกูอาโลฟาอยู่ฝ่ายสนับสนุนคริสต์ศาสนา[23]:322-8 อย่างไรก็ตามการดำเนินนโยบายอย่างสันติของพระองค์ทำให้ไม่มีการสงครามสำคัญเกิดขึ้นในพื้นที่นูกูอาโลฟา[23]:371–2
ราชอาณาจักรตองงา[แก้]
หลังจากที่พระเจ้าจอร์จ ตูโปอูที่ 1 สถาปนาราชอาณาจักรตองงาขึ้น พระองค์เลือกเมืองปาไงและลีฟูกาในฮาอะไปเป็นเมืองหลวงแห่งแรก ๆ ของราชอาณาจักร ก่อนที่จะย้ายเมืองหลวงมาอยู่ที่นูกูอาโลฟาใน ค.ศ. 1851[9][24] และมีสถานะเมืองหลวงอย่างเป็นทางการตามความในรัฐธรรมนูญตองงา ค.ศ. 1875 พร้อมทั้งกำหนดให้การประชุมรัฐสภาในยามสงบต้องเกิดขึ้นในนูกูอาโลฟาเท่านั้น[25]
เพื่อยืนยันสถานะเมืองหลวงของอาณาจักรและดำเนินการปกครองรวมศูนย์อย่างมีประสิทธิภาพ[26]:239 จึงมีการก่อสร้างสิ่งปลูกสร้างเพื่อแสดงถึงความเป็นศูนย์กลางทางการเมืองการปกครองของประเทศ มีการก่อสร้างพระราชวังไม้ โดยนำเข้าวัสดุก่อสร้างจากนิวซีแลนด์เมื่อ ค.ศ. 1864 เพื่อเป็นที่ประทับอย่างเป็นทางการของพระมหากษัตริย์ ที่ประชุมคณะรัฐบาล ที่ประชุมองคมนตรีและที่ออกมหาสมาคม[27] นอกจากนี้มีการก่อสร้างอาคารรัฐสภาและเปิดทำการใน ค.ศ. 1875[28][d] เมื่อพระเจ้าจอร์จ ตูโปอูที่ 1 สวรรคตใน ค.ศ. 1893 รัฐบาลตองงาตัดสินใจเลือกจตุรัสแดง (มาลาเอกูลา) ซึ่งเคยใช้เป็นลานว่างสำหรับจัดกิจกรรมต่าง ๆ ในอดีต ตั้งอยู่ใจกลางกรุงนูกูอาโลฟาเป็นที่ฝังพระบรมศพ [30] การเลือกสถานที่ฝังพระบรมศพในครั้งนี้แตกต่างจากในอดีตที่พระบรมศพของกษัตริย์สูงสุดของตองงาจะฝังที่ลางีในเมืองมูอา[31]
ใน ค.ศ. 1900 รัชกาลของพระเจ้าจอร์จ ตูโปอูที่ 2 ตองงากลายเป็นรัฐในอารักขาของสหราชอาณาจักร[32]:670 สหราชอาณาจักรได้จัดตั้งสถานกงสุลขึ้นในนูกูอาโลฟา และแทรกแซงการปกครองของตองงา ก่อให้เกิดการปฏิรูปและพัฒนาระบบสาธารณูปโภคในนูกูอาโลฟา มีการก่อสร้างสิ่งปลูกสร้างที่จำเป็นหลายอย่างภายในเมือง เช่น โรงพยาบาล หอคอยถังเก็บน้ำ เป็นต้น[33]:161–2 นอกจากนี้ยังมีการก่อสร้างอนุสรณ์สถานเพื่อรำลึกถึงทหารที่เข้าร่วมสงครามโลกครั้งที่ 1 ซึ่งตองงาเข้าร่วมอย่างไม่เป็นทางการไว้ในกรุงนูกูอาโลฟา ซึ่งแล้วเสร็จใน ค.ศ. 1923[34][35]
กรุงนูกูอาโลฟาประสบปัญหาของการระบาดทั่วไข้หวัดใหญ่สเปนหลังจากจบสงครามโลกครั้งที่ 1[36] ซึ่งมีสาเหตุมาจากเรือเอสเอส ทาลูนที่เข้ามาทอดสมอบริเวณท่าเรือนูกูอาโลฟาในวันที่ 12 พฤศจิกายน ค.ศ. 1918 เรือลำนี้มีต้นทางจากนครออกแลนด์ นิวซีแลนด์ ที่ในขณะนั้นประสบปัญหาการแพร่ระบาดของไวรัส เชื้อไวรัสที่มากับเรือได้แพร่กระจายทั่วกรุงนูกูอาโลฟา ส่งผลให้มีคนเจ็บป่วยและล้มตายเป็นจำนวนมาก ในขณะที่ภายในเมืองเงียบเชียบ มีเพียงเสียงของเกวียนที่บรรทุกศพไปฝังเท่านั้น[37] ในช่วงสงครามโลกครั้งที่ 2 สมเด็จพระราชินีนาถซาโลเต ตูโปอูที่ 3 อนุญาตให้กองกำลังสหรัฐตั้งฐานทัพในกรุงนูกูอาโลฟาเพื่อใช้สำหรับทำสงครามในเขตมหาสมุทรแปซิฟิก พร้อมทั้งดำเนินการก่อสร้างท่าอากาศยานห่างไปทางใต้ของเมืองหลวงเพื่อใช้เป็นที่ขึ้นลงของเครื่องบินบนเกาะโตงาตาปู[35]
นับตั้งแต่ปลายคริสต์ศตวรรษที่ 20 ถึงต้นคริสต์ศตวรรษที่ 21 บทบาทของขบวนการเรียกร้องประชาธิปไตยมีมากขึ้น[38] มีการประท้วงเรียกร้องประชาธิปไตยทั่วนูกูอาโลฟาใน ค.ศ. 2005[39] เมื่อการเรียกร้องไม่เป็นผลนำไปสู่การเกิดการจลาจลทั่วนูกูอาโลฟาใน ค.ศ. 2006 [40] การจลาจลครั้งนี้มีผู้เสียชีวิต 6 คน[41] และสร้างความเสียหายให้กับย่านศูนย์กลางธุรกิจของเมืองถึงร้อยละ 80[42] รัฐบาลตองงาต้องกู้เงินจากรัฐบาลจีนกว่า 109 ล้านดอลลาร์สหรัฐ เพื่อซ่อมแซมย่านศูนย์กลางธุรกิจของเมืองที่ถูกทำลายในเหตุการณ์นี้[43] การดำเนินการซ่อมแซมพื้นที่ที่เสียหายดำเนินการแล้วเสร็จใน ค.ศ. 2012[44]
ภูมิศาสตร์[แก้]
ภูมิประเทศ[แก้]
นูกูอาโลฟาตั้งอยู่ทางตอนเหนือของเกาะโตงาตาปู ซึ่งเป็นเกาะปะการังที่มีขนาดใหญ่ที่สุดในหมู่เกาะตองงา[45]:100 มีขนาดพื้นที่เท่ากับ 11.41 ตารางกิโลเมตร และหากนับรวมพื้นที่ปริมณฑลด้วยจะครอบคลุมพื้นที่ 34.82 ตารางกิโลเมตร[1] โดยอยู่ห่างไปทางตะวันออกเฉียงใต้ของกรุงซูวาเมืองหลวงของฟีจีเป็นระยะทางประมาณ 750 กิโลเมตรและอยู่ห่างจากนครออกแลนด์ของนิวซีแลนด์ประมาณ 2,000 กิโลเมตร[2] ลักษณะพื้นที่ของนูกูอาโลฟาเป็นที่ราบ มีระดับความสูงเฉลี่ยจากระดับน้ำทะเลประมาณ 4 เมตร[46] ซึ่งต่ำกว่าพื้นที่อื่นบนเกาะ[47]:127–8 นอกจากนี้ทรัพยากรดินโดยรวมมีความอุดมสมบูรณ์ โดยเฉพาะอย่างยิ่งดินในบริเวณใกล้ชายฝั่งตอนเหนือของเมือง เนื่องจากได้รับอิทธิพลจากเถ้าถ่านภูเขาไฟจากเกาะข้างเคียง[48]:5–10
นูกูอาโลฟาได้รับผลกระทบจากสึนามิที่มีเหตุจากการปะทุของภูเขาไฟฮูงาโตงาและคลื่นสึนามิใน พ.ศ. 2565[49] ซึ่งสร้างความเสียหายเป็นอย่างมาก[50] โดยคาดว่าจะใช้เวลานับปีในการฟื้นฟูจากความเสียหายที่เกิดขึ้น[51]
ภูมิอากาศ[แก้]
ตามการแบ่งเขตภูมิอากาศแบบเคิพเพิน นูกูอาโลฟามีลักษณะภูมิอากาศแบบป่าดิบชื้น โดยได้รับอิทธิพลจากลมค้าตะวันออกเฉียงใต้[52] ฤดูกาลในนูกูอาโลฟาเหมือนกับฤดูกาลโดยทั่วไปของประเทศตองงา ซึ่งมี 2 ฤดู คือ ฤดูฝนและฤดูแล้ง ฤดูฝนจะเกิดขึ้นระหว่างเดือนพฤศจิกายน–เมษายน โดยช่วงเดือนมกราคม–มีนาคม จะเป็นช่วงที่ฝนตกมากที่สุด ในขณะที่ฤดูแล้งจะเกิดขึ้นระหว่างเดือนพฤษภาคม–ตุลาคม[52] ด้วยนูกูอาโลฟาไม่มีเดือนใดที่มีปริมาณน้ำฝนต่ำกว่า 60 มิลลิเมตร (2.4 นิ้ว) จึงกล่าวได้ว่าไม่มีฤดูแล้งที่แท้จริง[53] อย่างไรก็ตามในระยะหลังปริมาณน้ำฝนเริ่มลดน้อยลงเล็กน้อยและมีความผันผวนของปริมาณน้ำฝน อันเนื่องมาจากภาวะโลกร้อนและปรากฏการณ์เอลนีโญ[52] สำหรับอุณหภูมิเฉลี่ยของนูกูอาโลฟาอยู่ที่ประมาณ 24 องศาเซลเซียส (75 องศาฟาเรนไฮต์) โดยเดือนมกราคม–มีนาคม เป็นช่วงที่มีอุณหภูมิเฉลี่ยสูงที่สุด ในขณะที่เดือนมิถุนายน–สิงหาคม มีอุณหภูมิเฉลี่ยต่ำที่สุด[53] จากการเก็บข้อมูลสภาพภูมิอากาศของนูกูอาโลฟาในอดีต พบว่าอุณหภูมิเฉลี่ยเพิ่มขึ้นประมาณ 0.4–0.6 องศาเซลเซียส นับตั้งแต่ช่วงคริสต์ทศวรรษ 1970 เป็นต้นมา[52]
ข้อมูลภูมิอากาศของนูกูอาโลฟา | |||||||||||||
---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|
เดือน | ม.ค. | ก.พ. | มี.ค. | เม.ย. | พ.ค. | มิ.ย. | ก.ค. | ส.ค. | ก.ย. | ต.ค. | พ.ย. | ธ.ค. | ทั้งปี |
อุณหภูมิสูงสุดที่เคยบันทึก °C (°F) | 32 (90) |
32 (90) |
31 (88) |
30 (86) |
30 (86) |
28 (82) |
28 (82) |
28 (82) |
28 (82) |
29 (84) |
30 (86) |
31 (88) |
32 (90) |
อุณหภูมิสูงสุดเฉลี่ย °C (°F) | 29.4 (84.9) |
29.9 (85.8) |
29.6 (85.3) |
28.5 (83.3) |
26.8 (80.2) |
25.8 (78.4) |
24.9 (76.8) |
24.8 (76.6) |
25.3 (77.5) |
26.4 (79.5) |
27.6 (81.7) |
28.7 (83.7) |
27.3 (81.1) |
อุณหภูมิเฉลี่ยแต่ละวัน °C (°F) | 26.4 (79.5) |
26.8 (80.2) |
26.6 (79.9) |
25.3 (77.5) |
23.6 (74.5) |
22.7 (72.9) |
21.5 (70.7) |
21.5 (70.7) |
22.0 (71.6) |
23.1 (73.6) |
24.4 (75.9) |
25.6 (78.1) |
24.1 (75.4) |
อุณหภูมิต่ำสุดเฉลี่ย °C (°F) | 23.4 (74.1) |
23.7 (74.7) |
23.6 (74.5) |
22.1 (71.8) |
20.3 (68.5) |
19.5 (67.1) |
18.1 (64.6) |
18.2 (64.8) |
18.6 (65.5) |
19.7 (67.5) |
21.1 (70) |
22.5 (72.5) |
20.9 (69.6) |
อุณหภูมิต่ำสุดที่เคยบันทึก °C (°F) | 16 (61) |
17 (63) |
15 (59) |
15 (59) |
13 (55) |
11 (52) |
10 (50) |
11 (52) |
11 (52) |
12 (54) |
13 (55) |
16 (61) |
10 (50) |
ปริมาณฝน มม (นิ้ว) | 174 (6.85) |
210 (8.27) |
206 (8.11) |
165 (6.5) |
111 (4.37) |
95 (3.74) |
95 (3.74) |
117 (4.61) |
122 (4.8) |
128 (5.04) |
123 (4.84) |
175 (6.89) |
1,721 (67.76) |
ความชื้นร้อยละ | 77 | 78 | 79 | 76 | 78 | 77 | 75 | 75 | 74 | 74 | 73 | 75 | 76 |
วันที่มีฝนตกโดยเฉลี่ย | 17 | 19 | 19 | 17 | 15 | 14 | 15 | 13 | 13 | 11 | 12 | 15 | 180 |
แหล่งที่มา: Weatherbase[53] |
การปกครอง[แก้]
นูกูอาโลฟาเกิดจากการรวมกันของหมู่บ้านชุมชนเมือง 3 แห่งทางตอนเหนือของเกาะโตงาตาปูได้แก่ หมู่บ้านโกโลโฟโออู หมู่บ้านมาอูฟางา ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของเขตโกโลโฟโออู และหมู่บ้านโกโลโมตูอา ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของเขตโกโลโมตูอา[1] ในบางครั้งเรียกรวมพื้นที่ของเขตโกโลโฟโออูและเขตโกโลโมตูอารวมกันว่า Greater Nuku'alofa[54]:25 ดังนั้นอำนาจการดูแลพื้นที่ของนูกูอาโลฟาจึงอยู่ในขอบเขตของเจ้าพนักงานประจำเขต (district officer) และเจ้าพนักงานประจำหมู่บ้าน (town officer) ของเขตและหมู่บ้านที่กล่าวมาข้างต้น โดยตำแหน่งเหล่านี้มาจากการเลือกตั้งของประชาชน มีวาระการดำรงตำแหน่งคราวละ 3 ปี และสามารถดำรงตำแหน่งกี่วาระก็ได้[55] อย่างไรก็ตามรัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทยสามารถพิจารณาปลดเจ้าพนักงานประจำเขตและเจ้าพนักงานประจำหมู่บ้านได้ หากประพฤติตนมิชอบหรือละเว้นการปฏิบัติหน้าที่[56]
สำหรับเจ้าพนักงานประจำหมู่บ้าน (town officer) มีขอบเขตหน้าที่ช่วยเหลือเจ้าพนักงานประจำเขตในการสำรวจสภาวะสุขาภิบาล การจัดเก็บภาษีที่ดินและการเกษตรและรายงานการตายอย่างฉับพลันที่เกิดขึ้นในพื้นที่ที่ตนรับผิดชอบ นอกจากนี้ยังมีหน้าที่ประกาศการประชุมโฟโน[e] รวมทั้งรักษาความเป็นระเบียบของการประชุมดังกล่าว[56]
ส่วนเจ้าพนักงานประจำเขต (district officer) มีหน้าที่ในการสำรวจและรับรายงานตามหน้าที่ของเจ้าพนักงานประจำหมู่บ้านทางด้านสาธารณสุข ที่ดินและการเกษตร นอกจากนี้ยังมีหน้าที่ในการตรวจสอบการกักกันพืช การตรวจสอบใบอนุญาตประกอบธุรกิจ และหน้าที่อื่นตามที่รัฐมนตรีว่ากระทรวงมหาดไทยหรือรัฐมนตรีว่าการกระทรวงตำรวจหรือคณะรัฐมนตรีมอบหมาย พร้อมทั้งรายงานผลการดำเนินงานให้กับรัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทยทราบโดยตรง[56] ด้วยอำนาจจำกัดของเจ้าพนักงานทั้งสองตำแหน่ง[57]:21 การบริหารจัดการส่วนใหญ่ในการดูแลนูกูอาโลฟาจึงอยู่ภายใต้การจัดการของรัฐบาลตองงาเป็นหลัก[58]:126
นูกูอาโลฟาในฐานะที่เป็นเมืองหลวงของประเทศ จึงเป็นศูนย์กลางทางด้านการเมืองการปกครองของประเทศ โดยมีทั้งหน่วยงานด้านนิติบัญญัติ บริหารและตุลาการ รวมไปถึงพระราชวังตองงา ที่ประทับอย่างเป็นทางการของพระมหากษัตริย์[44][59]:95 นอกจากนี้นูกูอาโลฟายังเป็นที่ตั้งของสถานเอกอัครราชทูต 5 ประเทศ ได้แก่ ประเทศออสเตรเลีย[60] ประเทศนิวซีแลนด์[61] ประเทศจีน[62] ประเทศญี่ปุ่น[63] และสหราชอาณาจักร[64]
เศรษฐกิจ[แก้]
นูกูอาโลฟาเป็นศูนย์กลางทางเศรษฐกิจของประเทศ[65] หน่วยงานทางด้านการเงินที่สำคัญของประเทศอย่างธนาคารกลางตองงามีสำนักงานใหญ่อยู่ภายในเมือง[66] ปัจจุบันรายได้หลักของกรุงนูกูอาโลฟามาจากภาคการบริการ ซึ่งรวมถึงการพาณิชย์ การท่องเที่ยว การบริการสาธารณะและการเงิน รองลงมาเป็นภาคอุตสาหกรรมและภาคเกษตรกรรมตามลำดับ[67] ประชากรส่วนใหญ่ประกอบอาชีพที่เป็นวิชาชีพ รองลงมาเป็นผู้ที่ทำงานเกี่ยวกับการค้าและการบริการ และงานหัตถกรรมตามลำดับ[1] [2] นอกจากนี้ยังพบประชากรส่วนน้อยที่ประกอบอาชีพเพื่อการประทังชีวิต (subsistence workers) อีกด้วย จากสถิติสำมะโนประชากรและเคหะ ค.ศ. 2016 นูกูอาโลฟามีประชากรเพศชายเข้าสู่ระบบแรงงานร้อยละ 67.1 มากกว่าเพศหญิงที่เข้าสู่ระบบแรงงานเพียงร้อยละ 54.4 เท่านั้น ขณะที่อัตราการว่างงานของประชากรในเมืองเท่ากับร้อยละ 1.4[2]
จากรายงานสรุปความยากจนในตองงาเมื่อ ค.ศ. 2011 พบว่าค่าครองชีพภายในเมืองสูงที่สุดในประเทศ โดยมีจุดแบ่งเส้นความยากจนความต้องการพื้นฐานอยู่ที่ 61.15 ปาอางาต่อคนต่อสัปดาห์ (ประมาณ 843 บาท) เมื่อพิจารณาจากระดับราคาสินค้าและบริการตั้งแต่ ค.ศ. 2001–9 พบว่าระดับราคาสินค้าและบริการเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว โดยเส้นความยากจนด้านอาหารเพิ่มขึ้นร้อยละ 78.4 ขณะที่ค่าใช้จ่ายที่ไม่ใช่อาหารเพิ่มขึ้นถึงร้อยละ 115.8 อันส่งผลให้เส้นความยากจนโดยรวมขยับสูงขึ้นถึงร้อยละ 99.3 การปรับตัวที่สูงขึ้นนี้มีสาเหตุจากระดับราคาสินค้าที่ไม่ใช่อาหารเพิ่มสูงขึ้น โดยเฉพาะอย่างยิ่งค่าใช้จ่ายด้านการคมนาคมและค่าใช้จ่ายการใช้โทรศัพท์มือถือ นอกจากนี้ประชากรร้อยละ 21.4 ของเมืองดำรงชีวิตอยู่ใต้เส้นความยากจน ซึ่งสูงกว่า ค.ศ. 2001 ที่มีเพียงร้อยละ 18 เท่านั้น และนับได้ว่ากรุงนูกูอาโลฟาเป็นชุมชนที่มีความเหลื่อมล้ำทางเศรษฐกิจสูงที่สุดในประเทศ โดยมีค่าสัมประสิทธิ์จีนีเท่ากับ 0.39 อย่างไรก็ตามค่าระดับความเหลื่อมล้ำยังถือได้ว่าอยู่ในเกณฑ์ปกติ[68]
เกษตรกรรมและหัตถกรรม[แก้]
กิจกรรมทางเศรษฐกิจส่วนใหญ่ของนูกูอาโลฟาเกี่ยวข้องกับภาคเกษตรกรรม[44] มีการจัดตั้งรัฐวิสาหกิจเนื้อมะพร้าวแห้งใน ค.ศ. 1942 เพื่อส่งเสริมการส่งออกเนื้อมะพร้าวแห้ง ซึ่งเป็นผลผลิตทางการเกษตรกรรมที่สำคัญของเมือง กิจการรัฐวิสาหกิจมีความก้าวหน้าขึ้นเป็นลำดับ จนสามารถนำทุนจัดซื้อเรือสำหรับทำการขนส่ง และสร้างโรงงานแห่งใหม่ห่างจากกรุงนูกูอาโลฟา 3.2 กิโลเมตรได้[69]:406 นอกจากนี้ยังมีรัฐวิสาหกิจในลักษณะเดียวกันเพื่อส่งเสริมการส่งออกผลิตภัณฑ์การเกษตรอื่น เช่น สควอช วานิลลา กล้วย เป็นต้น[44][69]:406 อย่างไรก็ตามภาคเกษตรกรรมในนูกูอาโลฟากำลังประสบปัญหาความอุดมสมบูรณ์ของดินและความจำกัดของพื้นที่เพาะปลูก[70]:231–2
สินค้าหัตถกรรมก็เป็นสินค้าส่งออกสำคัญชนิดหนึ่ง[44] มีการก่อสร้างศูนย์หัตถกรรมและแกลอรีลางาโฟนูอาใน ค.ศ. 1953 เพื่อใช้จำหน่ายงานหัตถกรรมพื้นเมือง รวมไปถึงเสื้อผ้า กระเป๋าและงานศิลปะต่าง ๆ[71] ในบางครั้งอาจมีการจัดเทศกาลจำหน่ายงานหัตถกรรมในพื้นที่เมืองอีกด้วย[72]
สำหรับการซื้อขายสินค้าทางการเกษตรและหัตถกรรมที่บริโภคในประเทศจะจัดจำหน่ายที่ตลาดตาลามาฮู[73][74] ซึ่งผลผลิตทางการเกษตรที่จำหน่ายมีจำนวนคิดเป็นร้อยละ 55.7 ของผลผลิตที่มีขายในประเทศ[73] นอกจากนี้ตลาดแห่งนี้ยังสามารถครองส่วนแบ่งทางการตลาดของการจำหน่ายผลผลิตทางการเกษตรในประเทศได้ถึงร้อยละ 21 อีกด้วย[73]
ประมง[แก้]
กรุงนูกูอาโลฟาเป็นศูนย์กลางของการประมงในประเทศ มีประชากรทำอาชีพประมงคิดเป็นร้อยละ 0.9[75] ในชายฝั่งทางตอนเหนือ กองเรือประมงในเมืองจะจับสัตว์น้ำในน่านน้ำใกล้เคียง เช่น ปลาทูน่าและปลากะพง เป็นต้น[44] ในขณะที่ชายฝั่งทางตอนใต้ของกรุงนูกูอาโลฟาที่ติดกับลากูน พบการทำประมงเพื่อการยังชีพ อย่างไรก็ตามด้วยจำนวนประชากรที่เพิ่มมากขึ้นและการจับสัตว์น้ำด้วยวิธีการที่ทำลายระบบนิเวศ นำไปสู่การสูญเสียปะการังและสปีชีส์ของสัตว์น้ำ[70]:226 สำหรับผลผลิตที่ได้จากการประมง บางส่วนจะส่งออกไปยังต่างประเทศ เช่น ซามัว อเมริกันซามัวและฟีจี[75]
อุตสาหกรรม[แก้]
ด้วยการขาดการวางแผนที่ดีของรัฐบาล ส่งผลให้พื้นที่นิคมอุตสาหกรรมภายในเมืองมีค่อนข้างจำกัด[70]:225 นิคมอุตสาหกรรมในกรุงนูกูอาโลฟาทั้งหมดตั้งอยู่ในหมู่บ้านมาอูฟางา ซึ่งรัฐบาลจัดตั้งขึ้นใน ค.ศ. 1980 มีพื้นที่เท่ากับ 20 เอเคอร์ (ประมาณ 0.081 ตารางกิโลเมตร) โดยแบ่งพื้นที่นิคมออกเป็น 42 ส่วน[76] รัฐบาลได้อนุญาตให้ภาคอุตสาหกรรมเช่าระยะยาวพื้นที่นิคมอุตสาหกรรมแห่งนี้[44] อุตสาหกรรมในนิคมส่วนมากเป็นอุตสาหกรรมเบา เช่น โรงงานผลิตกระดาษชำระ โรงงานผลิตของเล่น โรงงานประกอบตู้เย็น เป็นต้น[77]:160 ใน ค.ศ. 2011 รัฐบาลตัดสินใจแปรรูปศูนย์อุตสาหกรรมขนาดเล็กจากกิจการของรัฐเป็นกิจการรัฐวิสาหกิจ เพื่อให้มีความคล่องตัวในการบริหารจัดการยิ่งขึ้น ปัจจุบันนิคมอุตสาหกรรมที่มาอูฟางาเป็นหนึ่งในนิคมอุตสาหกรรม 2 แห่งในประเทศ อีกแห่งหนึ่งอยู่ที่เนอิอาฟูในเขตการปกครองวาวาอู[76]
การท่องเที่ยว[แก้]
โครงสร้างพื้นฐานด้านการท่องเที่ยวของนูกูอาโลฟาจัดได้ว่าดีกว่าพื้นที่อื่นในประเทศ เนื่องจากมีร้านอาหาร ร้านเครื่องดื่ม สิ่งอำนวยความสะดวกและที่พักเป็นจำนวนมาก[78]:109 รวมไปถึงมีบริการขนส่งมวลชนและรถจักรยานให้เช่าเพื่อเดินทางไปยังแหล่งท่องเที่ยวต่าง ๆ ภายในเมือง[78]:98 แหล่งท่องเที่ยวทางวัฒนธรรม ซึ่งแสดงถึงประวัติความเป็นมาของประเทศที่มีชื่อเสียง เช่น พิพิธภัณฑ์แห่งชาติตองงา ศูนย์หัตถกรรมลางาโฟนูอา สุสานหลวงของราชวงศ์ปัจจุบันและพระราชวัง เป็นต้น[78]:102–7 นอกจากนี้ยังมีการจัดการท่องเที่ยวเชิงวัฒนธรรมที่เกี่ยวข้องกับกีฬาและศาสนาอีกด้วย[78]:101–2 ในส่วนของการท่องเที่ยวเชิงธรรมชาตินั้น ด้วยกรุงนูกูอาโลฟามีพื้นที่ทางตอนเหนือติดทะเล จึงเป็นแหล่งดำน้ำดูปะการังและกิจกรรมทางทะเลที่สำคัญแห่งหนึ่งของประเทศ[78]:107 ย่านกลางคืนของเมืองมีขนาดเล็ก เพราะตองงาเป็นประเทศอนุรักษ์นิยมทางศาสนา ทว่ามีความคึกคักมากที่สุดในประเทศ[79] ย่านกลางคืนเหล่านี้จะตั้งอยู่บนถนนวูนาทางตอนเหนือของเมือง[80]
ประชากร[แก้]
ปี | ประชากร | ±% |
---|---|---|
1931 | 4,005 | — |
1956 | 9,202 | +129.8% |
1966 | 15,545 | +68.9% |
1976 | 18,312 | +17.8% |
1986 | 21,383 | +16.8% |
1996 | 22,400 | +4.8% |
2006 | 23,658 | +5.6% |
2011 | 24,229 | +2.4% |
2016 | 23,221 | −4.2% |
รายงานจำนวนประชากรของนูกูอาโลฟา[81]:33[1][82][83][84] |
หมู่บ้าน | ประชากร ค.ศ. 2016[1] |
---|---|
โกโลโฟโออู | |
โกโลโมตูอา | |
มาอูฟางา | |
รวม |
จากการทำสำมะโนประชากรและเคหะใน ค.ศ. 2016 พบว่าประชากรที่อาศัยอยู่ในูกูอาโลฟามีทั้งสิ้น 23,221 คน คิดเป็นร้อยละ 23.20 ของประชากรทั้งประเทศ และมีความหนาแน่นของประชากรเท่ากับ 2035 คนต่อ 1 ตารางกิโลเมตร หากนับรวมประชากรในเขตปริมณฑลของนูกูอะโลฟาด้วย จะมีประชากรรวมกันเท่ากับ 35,184 คน [1] ช่วงคริสต์ทศวรรษ 1930 ประชากรที่อาศัยอยู่ในนูกูอาโลฟามีเพียงร้อยละ 10 ของประชากรของทั้งประเทศเท่านั้น[10] ทว่านับตั้งแต่ ค.ศ. 1931 เป็นต้นมา ประชากรในนูกูอาโลฟาเพิ่มขึ้นในอัตราที่สูง และมีแนวโน้มเพิ่มขึ้นมาโดยตลอด[81]:33 เนื่องจากประชากรในชนบทต้องการแสวงหาโอกาสทางการศึกษาและการประกอบอาชีพ ประกอบกับพื้นที่ชนบทมีข้อจำกัดทางด้านการขยายที่ดินทำการเกษตร[10] อย่างไรก็ตามใน ค.ศ. 2016 อัตราการเติบโตของประชากรในนูกูอาโลฟากลับลดลง ซึ่งลักษณะเช่นนี้พบได้ทั่วไปเกือบทุกชุมชนในประเทศตองงา[1] แม้จะเป็นเช่นนั้น มีการคาดหมายว่าประชากรของนูกูอาโลฟาอาจเพิ่มสูงได้ถึง 45,000 คน ใน ค.ศ. 2030[85] ประชากรที่อาศัยอยู่ในนูกูอาโลฟาจัดว่าเป็นประชากรเพียงกลุ่มเดียวในประเทศที่อาศัยอยู่ในเขตเมือง โดยเกณฑ์การจัดเขตเมืองของประเทศตองงากำหนดให้เขตเมืองคือหมู่บ้านที่มีประชากรเกิน 5,000 คน ซึ่งพบได้เฉพาะในนูกูอาโลฟาเท่านั้น[1]
โครงสร้างประชากรของนูกูอาโลฟามีประชากรเชื้อชาติตองงาและลูกครึ่งตองงาเป็นประชากรกลุ่มหลักจำนวน 22,117 คน (ร้อยละ 95.25) รองลงมาคือชาวจีน 369 คน (ร้อยละ 1.59) ส่วนที่เหลือเป็นชาวยุโรป ชาวฟีจี ชาวเอเชียและกลุ่มประชากรที่มาจากหมู่เกาะในมหาสมุทรแปซิฟิก[1] ประชากรส่วนมากสามารถใช้ภาษาตองงาและภาษาอังกฤษในการสื่อสารได้ แต่ประชากรโดยรวมเริ่มมีค่านิยมให้ความสำคัญกับภาษาอังกฤษมากกว่าภาษาตองงามากขึ้น เห็นได้ชัดเจนจากหลักสูตรของโรงเรียนมัธยมในนูกูอาโลฟา และกิจการด้านสื่อของประเทศ[86]
การนับถือศาสนาของประชากรในนูกูอาโลฟาคล้ายคลึงกับการนับถือศาสนาของประชากรตองงาทั่วไป โดยประชากรส่วนใหญ่นับถือศาสนาคริสต์เป็นส่วนมาก แบ่งเป็นคริสตจักรฟรีเวสเลยันจำนวน 8,491 คน (ร้อยละ 36.67) โรมันคาทอลิกจำนวน 4,374 คน (ร้อยละ 18.83) ศาสนจักรของพระเยซูคริสต์แห่งสิทธิชนยุคสุดท้ายจำนวน 2,754 คน (ร้อยละ 11.86) ส่วนที่เหลือนั้นนับถือศาสนาคริสต์นิกายอื่น ๆ เช่น คริสตจักรอิสระตองงา แองกลิคัน เป็นต้น อย่างไรก็ตามพบประชากรที่นับถือศาสนาอื่นอีกด้วย โดยกลุ่มใหญ่ที่สุดคือกลุ่มผู้นับถือศาสนาบาไฮจำนวน 167 คน (ร้อยละ 0.72) และศาสนาพุทธจำนวน 21 คน (ร้อยละ 0.09)[1]
วัฒนธรรม[แก้]
สถาปัตยกรรม[แก้]
ในอดีตชาวนูกูอาโลฟาและชาวตองงาโดยทั่วไปจะสร้างที่พักอาศัยในลักษณะของฟาเล[f] มีการแบ่งพื้นที่สำหรับการซักล้าง การทำอาหารและพื้นที่เลี้ยงหมู[87]:698–9 ด้วยการเจริญเติบโตของนูกูอาโลฟาและการติดต่อกับชาติตะวันตก ความนิยมการสร้างบ้านด้วยสถาปัตยกรรมแบบฟาเลได้เปลี่ยนไปเป็นแบบสมัยนิยมมากขึ้น[88] เช่น พระราชวังตองงาที่สร้างขึ้นในลักษณะของอาคารสองชั้นในรูปแบบวิกตอเรีย เป็นต้น[89] อย่างไรก็ตามงานสถาปัตยกรรมแบบฟาเลยังคงอยู่ในรูปแบบของศาสนสถานของคริสต์ศาสนาและอาคารสำคัญหลายแห่งในนูกูอาโลฟา[90] โดยนำวิธีการก่อสร้างสมัยใหม่เข้ามาใช้[91] เช่น อาสนวิหารเซนต์แมรี พิพิธภัณฑ์ตองงา อาคารรัฐสภาหลังเก่า และศูนย์วัฒนธรรม เป็นต้น[88]
อาหาร[แก้]
วัฒนธรรมอาหารในนูกูอาโลฟาโดยรวมไม่แตกต่างจากพื้นที่อื่นของประเทศตองงามากนัก มีอาหารสำคัญ เช่น โอตาอีกาและลู เป็นต้น[92] อย่างไรก็ตามเมืองแห่งนี้ได้รับวัฒนธรรมอาหารต่างประเทศด้วย โดยเฉพาะอย่างยิ่ง อาหารจีนและอาหารตะวันตก[93] ภายในเมืองมีการจัดจำหน่ายอาหารข้างทาง และมีแหล่งวัตถุดิบประกอบอาหารที่สำคัญอยู่ที่ตลาดตาลามาฮู[94]
เทศกาล[แก้]
ภายในเมืองมีการจัดกิจกรรมและเทศกาลประจำปีเหมือนกับส่วนอื่นในประเทศ[95] ทว่างานเทศกาลที่ถือได้ว่ามีการจัดอย่างยิ่งใหญ่และเป็นที่รู้จักโดยทั่วไปของนูกูอาโลฟาคือเทศกาลเฮอิลาลา ซึ่งจัดเฉลิมฉลองขึ้นเป็นระยะเวลา 2–3 สัปดาห์ ระหว่างเดือนมิถุนายน–กรกฎาคม[96] เทศกาลนี้เริ่มจัดขึ้นครั้งแรกเมื่อ ค.ศ. 1980 เพื่อเฉลิมฉลองวันคล้ายวันพระบรมราชสมภพของสมเด็จพระราชาธิบดีเตาฟาอาเฮา ตูโปอูที่ 4[97] ในช่วงเทศกาล ชาวตองงาจะรวมตัวกันเพื่อร่วมชมขบวนพาเหรด บางส่วนเข้าร่วมการประกวดในกิจกรรมดนตรี กลุ่มเพื่อนและครอบครัวจะใช้โอกาสนี้ในการสนทนาพูดคุยและรับประทานอาหารร่วมกัน[95][98] สำหรับกิจกรรมที่ได้รับความนิยมมากที่สุดคือการประกวดนางงาม Miss Heilala ซึ่งมีสาวงามจากตองงาและต่างประเทศเข้าร่วมการประกวด[99] นอกจากเทศกาลที่จัดเป็นประจำทุกปีแล้ว ในบางครั้งอาจมีการจัดงานเฉลิมฉลองพิเศษภายในเมืองด้วย ซึ่งรัฐบาลมักประกาศให้วันเฉลิมฉลองดังกล่าวเป็นวันหยุดราชการแบบกรณีพิเศษ เห็นได้จากการจัดงานเฉลิมฉลองให้กับทีมรักบี้ลีกตองงาที่สามารถทำการแข่งขันชนะทีมสหราชอาณาจักรและออสเตรเลียได้เป็นครั้งแรก[100]
สื่อ[แก้]
ประชาชนสามารถเข้าถึงสัญญาณอินเทอร์เน็ตได้มากที่สุดในประเทศ คิดเป็นร้อยละ 43.88 นอกจากนี้ประชาชนในเมืองยังนิยมใช้งานโทรศัพท์มือถือในการเข้าถึงอินเทอร์เน็ตสำหรับใช้บริการสื่อสังคมอีกด้วย ในส่วนของการเข้าถึงสื่ออื่น ๆ นั้น พบว่ามีครัวเรือนร้อยละ 83.61 มีโทรทัศน์ในครอบครองและครัวเรือนร้อยละ 36.26 มีวิทยุในครอบครอง[1]
นูกูอาโลฟาเป็นศูนย์กลางของกิจการด้านสื่อของประเทศ โดยเป็นศูนย์กลางการแพร่สัญญาณของสื่อโทรทัศน์ วิทยุและหนังสือพิมพ์ของรัฐและเอกชน คณะกรรมาธิการแพร่สัญญาณแห่งตองงาเป็นกิจการการแพร่สัญญาณแห่งแรกและใหญ่ที่สุดในประเทศ มีสำนักงานใหญ่ตั้งอยู่ในเมืองแห่งนี้ ได้ดำเนินการแพร่สัญญาณโทรทัศน์จำนวน 2 ช่อง ได้แก่ ทีวีตองงา 1 ครอบคลุมพื้นที่ของเกาะโตงาตาปูและเออัว[101]และทีวีตองงา 2 ที่มีการนำรายการโทรทัศน์ของประเทศจีนเข้าสู่ผังรายการด้วย[102] นอกจากสถานีโทรทัศน์ของภาครัฐแล้ว ประชาชนสามารถเลือกรับชมโทรทัศน์ในระบบเคเบิลทีวี ซึ่งมีดิจิเซล ตองงาเป็นผู้ให้บริการหลักได้[103][104] การจัดรายการของสถานีโทรทัศน์เหล่านี้จะมีทั้งรายการที่ใช้ภาษาตองงาและรายการที่ใช้ภาษาอังกฤษ[105]
ในส่วนของกิจการด้านวิทยุ คณะกรรมาธิการแพร่สัญญาณแห่งตองงามีส่วนสำคัญในการแพร่สัญญาณวิทยุเช่นกัน ผ่านการแพร่สัญญาณ 3 คลื่นความถี่ ได้แก่ เรดิโอตองงา (1017AM) กูล 90FM และ 103FM[106] นอกจากนี้เอกชนและฝ่ายศาสนาก็มีบทบาทในการแพร่สัญญาณวิทยุด้วย โดยมีสถานีวิทยุตั้งอยู่ภายในเมือง เช่น เลติโอฟากากาลีซีเตียเน (93FM)[107] และเรดิโอนูกูอาโลฟา[103] เป็นต้น
สำหรับกิจการด้านสื่อหนังสือพิมพ์ ส่วนใหญ่มักมีเอกชนเป็นเจ้าของและมักลงเนื้อหาที่วิพากษ์วิจารณ์การทำงานของรัฐบาล เช่น ไทม์ออฟตองงา มาตางีโตงา เป็นต้น[103] นอกจากกิจการสื่อหนังสือพิมพ์ของเอกชนแล้ว ในอดีตรัฐบาลเคยดำเนินกิจการหนังสือพิมพ์เป็นของตนเองในชื่อหนังสือพิมพ์ตองงาโครนิเคิลระหว่าง ค.ศ. 1960–2006 ก่อนจะแปรรูปจากกิจการของรัฐมาเป็นของเอกชนในท้ายที่สุด[108]
กีฬา[แก้]
สนามกีฬาเตอูฟาอีวาเป็นสนามกีฬาหลักของนูกูอาโลฟาและประเทศ ใช้จัดการแข่งขันกีฬาหลายชนิดทั้งในระดับชาติและระดับนานาชาติ โดยเฉพาะอย่างยิ่ง รักบี้ ฟุตบอลและกรีฑา[109][110] กีฬาที่ได้รับความนิยมจากชาวเมืองมากที่สุดคือรักบี้ ซึ่งมักมีผู้เข้าชมเป็นจำนวนมากในทุกระดับการแข่งขัน[111][112]
นูกูอาโลฟาได้รับเลือกเป็นเจ้าภาพมหกรรมกีฬาหลายรายการ โดยใช้สนามกีฬาเตอูฟาอีวาเป็นสนามกีฬาหลัก การแข่งขันระดับประเทศที่จัดในนูกูอาโลฟาเป็นประจำทุกปีคือการแข่งขันกีฬาระหว่างวิทยาลัย ซึ่งจัดขึ้นในเดือนเมษายน[113] ในส่วนของการแข่งขันกีฬาระดับนานาชาตินั้น นูกูอาโลฟาเคยได้รับเลือกให้เป็นเจ้าภาพจัดการแข่งขันมหกรรมกีฬาหลายรายการ เช่น เซาธ์แปซิฟิกมินิเกมส์ 1989[114] การแข่งขันกรีฑาชิงแชมป์โอเชียเนีย 1998[115]และการแข่งขันกรีฑาเยาวชนชิงแชมป์โอเชียเนีย 1998[116] เป็นต้น
โครงสร้างพื้นฐาน[แก้]
สาธารณูปโภค[แก้]
ความเจริญเติบโตทางเศรษฐกิจที่มากกว่าพื้นที่อื่น ส่งผลให้ประชากรจากพื้นที่ภายนอกอพยพเข้ามาในนูกูอาโลฟา[10] แรงกดดันจากการเพิ่มจำนวนประชากรทำให้รัฐบาลตองงามีความจำเป็นต้องพัฒนาโครงสร้างพื้นฐาน เช่น ประปา สุขาภิบาล ไฟฟ้า ที่อยู่อาศัยและการศึกษา เป็นต้น เพื่อรองรับให้เพียงพอต่อความต้องการ[117] จากสำมะโนประชากรและเคหะ ค.ศ. 2016 รายงานการเข้าถึงไฟฟ้าของครัวเรือน พบว่ากว่าร้อยละ 98.31 เข้าถึงระบบไฟฟ้า มีเพียงส่วนน้อยที่เข้าถึงพลังงานไฟฟ้าจากต้นกำเนิดรูปแบบอื่น[1] การผลิตไฟฟ้าภายในเมืองอยู่ในความรับผิดชอบของตองงาพาวเวอร์ลีมีเต็ด ซึ่งเป็นกิจการของรัฐ[118] ปัจจุบันมีการปรับปรุงเครือข่ายสายส่งกระแสไฟฟ้าให้ครอบคลุมทั่วทั้งเมือง และปรับปรุงความมั่นคงแข็งแรงของระบบสายส่งเหล่านั้นให้รองรับภัยธรรมชาติที่อาจเกิดขึ้นในอนาคต[119]
สำหรับการเข้าถึงประปาในเมืองพบว่าครัวเรือนร้อยละ 92.32 สามารถเข้าถึงบริการประปาได้[1] อย่างไรก็ตามพบว่าครัวเรือนที่อยู่ใกล้ชายฝั่งนิยมใช้น้ำที่มาจากน้ำฝนมากกว่า เนื่องจากพื้นที่โดยรวมค่อนข้างต่ำ การวางท่อประปาใกล้ทะเลจึงมักพบปัญหาน้ำทะเลรุกล้ำเข้ามา ส่งผลให้คุณภาพไม่เป็นที่น่าพอใจ[120] นอกจากนี้ครัวเรือนที่เข้าถึงท่อประปาจะใช้น้ำจากประปาเพื่อการประกอบอาหารหรืออุปโภคเท่านั้น[1] เนื่องจากบางส่วนพบการปนเปื้อนของน้ำเสีย[81]:126 ดังนั้นประชาชนส่วนใหญ่จึงนิยมใช้น้ำจากถังซีเมนต์ที่เก็บกักเอง แหล่งน้ำของชุมชนและน้ำขวดสำหรับการบริโภค[1]
สาธารณสุข[แก้]
ชาวนูกูอาโลฟาสามารถเข้าถึงระบบสาธารณสุขที่ดีที่สุดในประเทศได้ โรงพยาบาลวีโอลาเป็นโรงพยาบาลขนาดใหญ่ที่สุดของประเทศ (199 เตียง) ตั้งอยู่ในเมืองแห่งนี้และเป็นโรงพยาบาลที่รองรับการรักษาพยาบาลขั้นสูง อย่างไรก็ตามการรักษาพยาบาลที่ต้องพึ่งพาเทคโนโลยีระดับสูงมากนิยมส่งไปรักษาต่อในประเทศนิวซีแลนด์โดย Medical Transfer Board เป็นผู้อนุมัติ[121] นอกจากนี้ยังพบว่าประชนบางส่วนนิยมรับบริการทางการแพทย์จากแพทย์แผนโบราณด้วย แม้จะเป็นจำนวนที่น้อยก็ตาม[1]
การศึกษา[แก้]
ระบบการศึกษาในนูกูอาโลฟาเป็นไปตามที่รัฐบาลตองงากำหนด[122] ภายในนูกูอาโลฟามีสถานศึกษาทั้งระดับประถมศึกษา มัธยมศึกษาและอุดมศึกษา โดยสถานศึกษาเหล่านี้จะอยู่ภายใต้การจัดการของรัฐบาล โบสถ์และเอกชน[123]:186 นักเรียนส่วนใหญ่จะเข้าศึกษาในสถานศึกษาระดับประถมศึกษาของรัฐที่กระจายอยู่ทั่วเมือง[123]:186–7 ในขณะที่ระดับมัธยมศึกษาพบการเข้าศึกษาต่อทั้งในสถานศึกษาของรัฐและเอกชน โดยสถานศึกษาของรัฐที่มีชื่อเสียงมากที่สุดคือ โตงาไฮสคูล[124] ซึ่งจัดได้ว่าเป็นหนึ่งในโรงเรียนที่มีนักเรียนมัธยมมากที่สุดแห่งหนึ่งในประเทศ[125] ส่วนระดับอุดมศึกษานั้น ประชากรในนูกูอาโลฟามีวุฒิการศึกษาและอัตราการเข้าศึกษาต่อในระดับสูงสูงที่สุดในประเทศ โดยมีประชากรนูกูอาโลฟาร้อยละ 17 สำเร็จการศึกษาในระดับอุดมศึกษา มากกว่าประชากรกลุ่มอื่นในประเทศที่มีเพียงร้อยละ 9 เท่านั้น[2] ซึ่งการจัดการเรียนการสอนในระดับดังกล่าวดำเนินการในสถาบันการศึกษาของรัฐและเอกชน เช่น สถาบันอาเทนซี สถาบันอุดมศึกษาและสถาบันวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี เป็นต้น[126][127][128]
การคมนาคม[แก้]
ทางบก[แก้]
นูกูอาโลฟามีเส้นทางถนนซึ่งเชื่อมกับพื้นที่อื่นบนเกาะโตงาตาปู โดยเชื่อมต่อกับฮาอะตาฟู ซึ่งเป็นชุมชนด้านตะวันตกสุดของเกาะเป็นระยะทาง 20 กิโลเมตร และเชื่อมต่อกับนีอูโตอัว ซึ่งเป็นชุมชนด้านตะวันออกสุดของเกาะเป็นระยะทาง 30 กิโลเมตร[129] นอกจากนี้รัฐบาลตองงาได้พิจารณาสร้างสะพานข้ามลากูนฟางาอูตาเพื่อเชื่อมระหว่างนูกูอาโลฟาและพื้นที่ด้านใต้ของเกาะโตงาตาปู เพื่อลดระยะทางและเวลาการเดินทางระหว่างท่าอากาศยานนานาชาติฟูอาอะโมตูและเมืองหลวง[130] ปัจจุบันนูกูอาโลฟาประสบปัญหากับการจราจรติดขัด[131] สภาพถนนโดยรวมอยู่ในระดับพอใช้ มีบางจุดเป็นหลุมเป็นบ่อและแคบ[132] การก่อสร้างและซ่อมบำรุงถนนในนูกูอาโลฟาอยู่ภายใต้การดูแลของกรมโยธาธิการ ซึ่งมักประสบปัญหาขาดแคลนงบประมาณในการดำเนินงาน[133] ในอดีตเคยมีเส้นทางรถไฟจากลากูนผ่านนูกูอาโลฟามุ่งสู่ท่าเรือ แต่ไม่มีให้เห็นในปัจจุบันแล้ว โดยไม่มีทั้งข้อมูลการก่อสร้างและสาเหตุการยกเลิกเส้นทาง เหลือไว้เพียงแค่ชื่อถนนรถไฟภายในเมืองเท่านั้น[134]
สำหรับการขนส่งสาธารณะในนูกูอาโลฟานั้น มีสถานีรถโดยสารอยู่ 2 สถานี คือ สถานีบนถนนวูนาฝั่งตรงข้ามกับสำนักงานการท่องเที่ยว ซึ่งมีเส้นทางอยู่ในบริเวณรอบ ๆ เมือง และสถานีที่อยู่ตรงข้ามกับที่ทำการของกระทรวงศึกษาธิการ มีเส้นทางไปส่วนตะวันออกและตะวันตกของเกาะ อย่างไรก็ตามรถโดยสารมีกำหนดการเดินทางที่ไม่แน่นอน โดยมักมีกำหนดเวลาให้บริการระหว่าง 08.00 น. – 17.00 น.[135] นอกจากนี้ยังมีการให้บริการแท็กซี่ในเมืองด้วย ทั้งนี้บริการขนส่งสาธารณะจะหยุดให้บริการในวันอาทิตย์[136]
ทางน้ำ[แก้]
ท่าเรือนูกูอาโลฟาเป็นท่าเรือน้ำลึกเพียงแห่งเดียวของประเทศ ในอดีตเคยใช้ท่าเรือวูนาเป็นท่าเรือนานาชาติ แต่ถูกแผ่นดินไหวทำลายใน ค.ศ. 1977 และได้ซ่อมแซมกลับมาใช้ใหม่ได้ใน ค.ศ. 2012 ปัจจุบันใช้เป็นท่าเรือสำหรับเรือสำราญและจุดพักเรือของกองทัพเรือต่างประเทศ[137] สำหรับท่าเรือนูกูอาโลฟาเป็นทั้งท่าเรือรับส่งสินค้านานาชาติ และเป็นท่าเรือศูนย์กลางการเชื่อมต่อการเดินทางระหว่างนูกูอาโลฟาและส่วนอื่น ๆ ของประเทศ โดยสามารถใช้ท่าเรือแห่งนี้เดินทางไปเขตการปกครองอื่น ๆ มีเรือเดินทางไปเออัววันละ 2 รอบ ฮาอะไปและวาวาอูสัปดาห์ละ 2 รอบ รวมถึงมีเรือที่ให้บริการโดยผู้ประกอบการท้องถิ่นเดินทางไปเกาะขนาดเล็กอื่น ๆ ที่อยู่โดยรอบ เช่น ปาไงโมตู โนมูกา เป็นต้น[138]
ทางอากาศ[แก้]
ท่าอากาศยานนานาชาติฟูอาอะโมตู (IATA: TBU, ICAO: NFTF) ตั้งอยู่ห่างจากนูกูอาโลฟาไปทางใต้ประมาณ 21 กิโลเมตร (13 ไมล์) เป็นท่าอากาศยานที่มีความหนาแน่นของผู้ใช้บริการสูงที่สุดในประเทศตองงา ผู้ที่เดินทางมาประเทศตองงาสามารถเปลี่ยนเครื่องบินได้ที่ท่าอากาศยานแห่งนี้เพื่อเดินทางไปส่วนอื่นของประเทศ[139] ปัจจุบันท่าอากาศยานนานาชาติแห่งนี้มีเที่ยวบินทั้งขาเข้าและขาออกรวม 62 เที่ยวบิน เชื่อมต่อ 5 เมืองใน 8 ประเทศ[140] มีสายการบินเรียลตองงาใช้เป็นฐานการบิน และมีบทบาทสำคัญในการเชื่อมโยงนูกูอาโลฟากับเกาะรอบนอก เช่น ฮาอะไป นีอูอาโตปูตาปู เออัว เป็นต้น อย่างไรก็ตามท่าอากาศยานนานาชาติแห่งนี้ยังไม่มีการเชื่อมโยงกับการขนส่งมวลชนสาธารณะ ผู้โดยสารที่เดินทางมาจากนูกูอาโลฟาต้องใช้รถส่วนตัวหรือแท็กซี่หรือบริการรับส่งท่าอากาศยานของโรงแรมเพื่อเดินทางมาเท่านั้น[139]
เมื่องพี่น้อง[แก้]
นูกูอาโลฟามีเมืองพี่น้อง ดังนี้
เชิงอรรถ[แก้]
หมายเหตุ[แก้]
- ↑ 1.0 1.1 หากนับตามการแบ่งเขตการปกครองของตองงา พื้นที่กรุงนูกูอาโลฟาเป็นส่วนหนึ่งของเขตโกโลโมตูอาและโกโลโฟโออู
- ↑ ในภาษาตองงาสามารถถอดชื่อเมืองหลวงแห่งนี้เป็นสัทอักษรได้ว่า /nuku.ˈəloʊfə/[12]
- ↑ มีข้อสันนิษฐานว่าเจมส์ คุกน่าจะเป็นบุคคลแรกที่ร่างแผนที่บริเวณกรุงนูกูอาโลฟาและพื้นที่ใกล้เคียง
- ↑ ปัจจุบันอาคารรัฐสภาแห่งนี้ได้พังลงเมื่อ ค.ศ. 2018 จากพายุไซโคลนกิตา[29]
- ↑ โฟโนเป็นการประชุมของชุมชนเพื่อหารือประเด็นสำคัญ
- ↑ สถาปัตยกรรมแบบฟาเลเป็นอาคารทรงสี่เหลี่ยม มุงหลังคาด้วยใบมะพร้าวหรือกกหรือไม้
อ้างอิง[แก้]
- ↑ 1.00 1.01 1.02 1.03 1.04 1.05 1.06 1.07 1.08 1.09 1.10 1.11 1.12 1.13 1.14 1.15 1.16 "Tonga 2016 Census of Population and Housing Volume 1:BASIC TABLES AND ADMINISTRATIVE REPORT" (PDF). Tonga Statistics Department. สืบค้นเมื่อ 6 กรกฎาคม 2020.
- ↑ 2.0 2.1 2.2 2.3 2.4 "Tonga 2016 Census of Population and Housing Volume 2:ANALYTICAL REPORT" (PDF). Tonga Statistics Department. สืบค้นเมื่อ 6 กรกฎาคม 2020.
- ↑ "TWENTY-SECOND SOUTH PACIFIC CONFERENCE" (PDF). SOUTH PACIFIC COMMISSION. สืบค้นเมื่อ 5 กรกฎาคม 2020.[ลิงก์เสีย]
- ↑ 4.0 4.1 Dickinson, William; Burley, David (1999). "Holocene Paleoshoreline Record in Tonga: Geomorphic Features and Archaeological Implications". Journal of Coastal Research. 15 (3): 682–700.
- ↑ 5.0 5.1 5.2 "Uranium dating shows Polynesians came to Tonga in 826 BC". Carina Boom. คลังข้อมูลเก่า เก็บจาก แหล่งเดิม เมื่อ 14 ธันวาคม 2013. สืบค้นเมื่อ 8 สิงหาคม 2020.
- ↑ "History". Encyclopædia Britannica. สืบค้นเมื่อ 9 สิงหาคม 2020.
- ↑ 7.0 7.1 7.2 7.3 Van der Grijp, Paul (2014). Manifestations of Mana: Political Power and Divine Inspiration in Polynesia. LIT Verlag Münster. ISBN 9783643904966.
- ↑ 8.0 8.1 8.2 Niumeitolu, Heneli T. (2007). "The State and the Church, the state of the Church of Tonga" (PDF).
- ↑ 9.0 9.1 "The Tupou Dynasty". royalark. สืบค้นเมื่อ 9 สิงหาคม 2020.
- ↑ 10.0 10.1 10.2 10.3 "Tonga: Migration and the Homeland". Migration Policy Institute. สืบค้นเมื่อ 7 กรกฎาคม 2020.
- ↑ "Australia–Oceania: Tonga". CIA. คลังข้อมูลเก่า เก็บจาก แหล่งเดิม เมื่อ 11 พฤษภาคม 2019. สืบค้นเมื่อ 5 กรกฎาคม 2020.
- ↑ LEXICO. "Nuku'alofa:Definition of Nuku'alofa by Oxford Dictionary". สืบค้นเมื่อ 5 กรกฎาคม 2020.
- ↑ 13.0 13.1 Vason, George (1810). An authentic of narrative of four years residence at one of the Friendly Islands. J. Staford.
- ↑ 14.0 14.1 Mariner, William (1818). An Account of the Natives of the Tonga Islands.
- ↑ Rowe, Stringer G (1885). A Pioneer, A Memoir of The Rev. John Thomas.
- ↑ Monfat, A (1893). Les Tonga; ou, Archipel des Amis et le R. P. Joseph Chevron de la Société de Marie.
- ↑ Latukefu, Sione (1969). "The case of the Wesleyan Mission in Tonga". Journal de la Société des Océanistes. 25: 95–112.
- ↑ Chino, K. (2002). "Lapita Pottery – Ties in the South Pacific". Wave of Pacifika. Tokyo: Sasakawa Pacific Island Nations Fund (SPINF). 8.
- ↑ "The first Tongans". Matangi Tonga. สืบค้นเมื่อ 8 สิงหาคม 2020.
- ↑ "Tu'i Tonga". Palace Office. คลังข้อมูลเก่า เก็บจาก แหล่งเดิม เมื่อ 13 พฤษภาคม 2014. สืบค้นเมื่อ 8 สิงหาคม 2020.
- ↑ Urbanowicz, Charles (1977). "MOTIVES AND METHODS: MISSIONARIES IN TONGA IN THE EARLY 19TH CENTURY". The Journal of the Polynesian Society. 86 (2): 245–263.
- ↑ Cook, James (1783). A voyage to the Pacific Ocean.
- ↑ 23.0 23.1 Farmer, Sarah Stock (1885). Tonga and the Friendly Islands: With A Sketch of the Mission History.
- ↑ "Haʿapai Group". Encyclopædia Britannica. สืบค้นเมื่อ 9 สิงหาคม 2020.
- ↑ "Act of Constitution of Tonga". WIPO Lex. สืบค้นเมื่อ 9 สิงหาคม 2020.
- ↑ Quanchi, Max (2005). Historical Dictionary of the Discovery and Exploration of the Pacific Islands. Scarecrow Press. ISBN 9780810865280.
- ↑ "royal palace, kingdom of tonga". Swan Railley Architects. สืบค้นเมื่อ 14 สิงหาคม 2020.
- ↑ "History". Parliament of Tonga. สืบค้นเมื่อ 14 สิงหาคม 2020.
- ↑ "Tonga parliament building flattened by Cyclone Gita". BBC. สืบค้นเมื่อ 14 สิงหาคม 2020.
- ↑ "Mala'ekula". Palace Office. คลังข้อมูลเก่า เก็บจาก แหล่งเดิม เมื่อ 23 พฤษภาคม 2012. สืบค้นเมื่อ 15 สิงหาคม 2020.
- ↑ "The Ancient Capitals of the Kingdom of Tonga". UNESCO. สืบค้นเมื่อ 15 สิงหาคม 2020.
- ↑ VAN DER GRIJP, PAUL (1993). "THE MAKING OF A MODERN CHIEFDOM STATE: THE CASE OF TONGA". Bijdragen Tot De Taal-, Land- En Volkenkunde. 149 (4): 661–672.
- ↑ RATUVA, STEVEN (2019). Contested Terrain: Reconceptualising Security in the Pacific. Australia: ANU Press. ISBN 9781760463199.
- ↑ "Soldiers from Tonga in the Great War". TONGA IN WORLD WAR 1. สืบค้นเมื่อ 15 สิงหาคม 2020.
- ↑ 35.0 35.1 Amanda L. SullivanLee. "A BRIEF HISTORY OF THE TONGAN MILITARY FROM THE LATE NINETEENTH CENTURY TO THE PRESENT" (PDF). UNIVERSITY OF HAWAI‘I AT MĀNOA. สืบค้นเมื่อ 15 สิงหาคม 2020.
- ↑ Kohn, George C. (2008). Encyclopedia of plague and pestilence: from ancient times to the present. Infobase Publishing. p. 363. ISBN 978-0-8160-6935-4.
- ↑ "Three months of horror: a century since the Spanish flu ravaged Tonga". Matangi Tonga. 23 สิงหาคม 2020.
- ↑ "Tonga profile". BBC Asia-Pacific. 9 สิงหาคม 2020.
- ↑ "No resolution in sight in Tonga". tvnz. 30 สิงหาคม 2005. สืบค้นเมื่อ 3 กุมภาพันธ์ 2014.
- ↑ "Rioting crowd leaves leaves trail of wreckage in Nuku'alofa". Matangi Tonga Online. เก็บ จากแหล่งเดิมเมื่อ 4 กุมภาพันธ์ 2007. สืบค้นเมื่อ 3 กุมภาพันธ์ 2014.
- ↑ "Six found dead after Tonga riots". BBC. 17 พฤศจิกายน 2006. สืบค้นเมื่อ 23 สิงหาคม 2020.
- ↑ "MACROECONOMIC PERFORMANCE" (PDF). Asian Development Bank. สืบค้นเมื่อ 12 สิงหาคม 2020.
- ↑ "Tonga to start repaying loan for Nuku'alofa reconstruction". Radio New Zealand. สืบค้นเมื่อ 3 กุมภาพันธ์ 2014.
- ↑ 44.0 44.1 44.2 44.3 44.4 44.5 44.6 "Nukuʿalofa". ENCYCLOPÆDIA BRITANNICA. สืบค้นเมื่อ 6 กรกฎาคม 2020.
- ↑ Lal, Brij V. (2000). The Pacific Islands: An Encyclopedia. University of Hawaii press. ISBN 082482265X.
- ↑ "Elevation of Nuku`alofa,Tonga Elevation Map, Topo, Contour". FloodMap.net. สืบค้นเมื่อ 6 กรกฎาคม 2020.
- ↑ Mimura, Nobuo; Pelesikoti, Netatua (1997). "VULNERABILITY OF TONGA TO FUTURE SEA-LEVEL RISE". Journal of Coastal Research: 117–32.
- ↑ Gibbs, H.S. (1976). Soils of Tongatapu, Tonga. N.Z. soil survey report. สืบค้นเมื่อ 6 กรกฎาคม 2020.
- ↑ "Tsunami warning in Tonga, US West Coast after powerful volcanic eruption". CNA (ภาษาอังกฤษ). สืบค้นเมื่อ 15 มกราคม 2022.
- ↑ "Massive Tonga Volcanic Eruption Caused "Significant Damage"" (ภาษาอังกฤษ). NDTV. สืบค้นเมื่อ 16 มกราคม 2022.
- ↑ "Tongans told to stay indoors to avoid inhaling volcanic ash that may devastate their environment for years, say scientists". Abc.net.au. 18 มกราคม 2022. สืบค้นเมื่อ 25 มกราคม 2022.
- ↑ 52.0 52.1 52.2 52.3 "The Kingdom of Tonga's Initial National Communication" (PDF). The Kingdom of Tonga’s Initial National Communication. สืบค้นเมื่อ 6 กรกฎาคม 2020.
- ↑ 53.0 53.1 53.2 "Nuku'alofa Climate Info". Weatherbase. สืบค้นเมื่อ 6 กรกฎาคม 2020.
- ↑ United Nations. Department for Economic and Social Information and Policy Analysis. Statistics Division, United Nations Centre for Human Settlements (1995). Compendium of Human Settlements Statistics 1995. United Nations. ISBN 9211613787.
- ↑ "THE LOCAL GOVERNMENT SYSTEM IN TONGA" (PDF). Commonwealth Local Government Forum. สืบค้นเมื่อ 6 กรกฎาคม 2020.
- ↑ 56.0 56.1 56.2 "District and Town Officers Act" (PDF). Tongan Legislation. สืบค้นเมื่อ 15 สิงหาคม 2020.
- ↑ Sansom, Graham (2013). Principles for Local Government Legislation: Lessons from the Commonwealth Pacific. Commonwealth Secretariat. ISBN 9781849290890.
- ↑ Asian Development Bank (2012). The State of Pacific Towns and Cities: Urbanization in ADB's Pacific Developing Member Countries. Asian Development Bank. ISBN 9789290928706.
- ↑ Dorall, Cheryl (2004). Commonwealth Ministers Reference Book 2003. Commonwealth Secretariat. ISBN 0850927935.
- ↑ "Australian High Commission: Kingdom of Tonga". Australian High Commission. สืบค้นเมื่อ 7 กรกฎาคม 2020.
- ↑ "New Zealand High Commission, Nuku'alofa, Tonga". New Zealand High Commission. สืบค้นเมื่อ 7 กรกฎาคม 2020.
- ↑ "Embassy of the People's Republic of China". Embassy of the People's Republic of China. สืบค้นเมื่อ 7 กรกฎาคม 2020.
- ↑ "Embassy of Japan in the Kingdom of Tonga". Embassy of Japan in the Kingdom of Tonga. สืบค้นเมื่อ 7 กรกฎาคม 2020.
- ↑ "Resident High Commissioner to Tonga announced as British embassy reopens". Radio New Zealand. สืบค้นเมื่อ 7 กรกฎาคม 2020.
- ↑ "TONGA STRATEGIC DEVELOPMENT FRAMEWORK" (PDF). MINISTRY OF FINANCE AND NATIONAL PLANNING. สืบค้นเมื่อ 12 สิงหาคม 2020.
- ↑ "About the National Reserve Bank of Tonga". คลังข้อมูลเก่า เก็บจาก แหล่งเดิม เมื่อ 1 พฤศจิกายน 2012. สืบค้นเมื่อ 3 กันยายน 2012.
- ↑ "POST DISASTER RAPID ASSESSMENT" (PDF). Government of Tonga. สืบค้นเมื่อ 12 สิงหาคม 2020.
- ↑ "AN ANALYSIS OF THE INCREASING HARDSHIP AND POVERTY IN THE KINGDOM (BASED ON THE 2009 HOUSEHOLD INCOME & EXPENDITURE SURVEY DATA)" (PDF). MINISTRY OF FINANCE AND NATIONAL PLANNING. สืบค้นเมื่อ 12 สิงหาคม 2020.
- ↑ 69.0 69.1 Tupouniua, M. U. (1960). "A Note on Economic Development in Tonga". The Journal of the Polynesian Society. 69 (4): 405–408.
- ↑ 70.0 70.1 70.2 Kerry, James (1993). "Cutting the Ground from under Them? Commercialization, Cultivation, and Conservation in Tonga" (PDF). The Contemporary Pacific. 5 (2): 215–242.
- ↑ "Langafonua Gallery and Handicrafts Centre". AFAR. สืบค้นเมื่อ 15 สิงหาคม 2020.
- ↑ "Holiday market sells handicrafts for Christmas". Matangi Tonga. สืบค้นเมื่อ 15 สิงหาคม 2020.
- ↑ 73.0 73.1 73.2 "TONGA DOMESTIC MARKET STUDY USING THE DOMESTIC MARKET SURVEY REPORT TO INVESTIGATE SELECTED POLICY ISSUES" (PDF). FOOD AND AGRICULTURE ORGANIZATION. สืบค้นเมื่อ 15 สิงหาคม 2020.
- ↑ "Nuku'alofa's Talamahu Market reopens for handicraft sellers". Matangi Tonga. สืบค้นเมื่อ 15 สิงหาคม 2020.
- ↑ 75.0 75.1 "Fishery and Aquaculture Country Profiles: The Kingdom of Tonga". FOOD AND AGRICULTURE ORGANIZATION. สืบค้นเมื่อ 23 สิงหาคม 2020.
- ↑ 76.0 76.1 "Small Industries Center (SIC), Now a public enterprise". Ministry of Information and Communications. สืบค้นเมื่อ 15 สิงหาคม 2020.
- ↑ Skully, Michael T (1987). Financial Institutions and Markets in the South Pacific: A Study of New Caledonia, Solomon Islands, Tonga, Vanuatu and Western Samoa.
- ↑ 78.0 78.1 78.2 78.3 78.4 Asleson, Kate (2011). Tonga. Other Places Publishing. ISBN 9780982261941.
- ↑ "The Ultimate Guide to the Nightlife in Tonga". Tonga Pocket Guide. สืบค้นเมื่อ 12 สิงหาคม 2020.
- ↑ "The Ultimate Guide to the Nightlife on Tongatapu". Tonga Pocket Guide. สืบค้นเมื่อ 12 สิงหาคม 2020.
- ↑ 81.0 81.1 81.2 Connell, John (1995). Pacific 2010: Urbanisation in Polynesia. National Centre for Development Studies, Research School of Pacific and Asian Studies, Australian National University. ISBN 9780731519545.
- ↑ "Population and Housing Census 2011" (PDF). Tonga Statistics Department. สืบค้นเมื่อ 6 กรกฎาคม 2020.
- ↑ "Population and Housing Census 2006" (PDF). Tonga Statistics Department. สืบค้นเมื่อ 6 กรกฎาคม 2020.
- ↑ "Population and Housing Census 1996" (PDF). Tonga Statistics Department. สืบค้นเมื่อ 6 กรกฎาคม 2020.
- ↑ "Nuku'alofa Urban Development Sector Project" (PDF). Asian Development Bank. สืบค้นเมื่อ 6 กรกฎาคม 2020.
- ↑ "Making a Case for Tongan as an Endangered Language" (PDF). Yuko Otsuka. สืบค้นเมื่อ 7 กรกฎาคม 2020.
- ↑ Grant, Elizabeth (2018). The Handbook of Contemporary Indigenous Architecture. Springer. ISBN 9811069042.
- ↑ 88.0 88.1 Bill McKay. "A guide to the architecture of the Pacific: Kingdom of Tonga". สืบค้นเมื่อ 11 กรกฎาคม 2020.
- ↑ Charmaine 'Ilaiu. "Building Tonga's Western fale". สืบค้นเมื่อ 11 กรกฎาคม 2020.
- ↑ Bill McKay. "A field guide to the architecture of the South Pacific". สืบค้นเมื่อ 11 กรกฎาคม 2020.
- ↑ Paula Folau Nonu. "RECONNECTING WITH THE PAST:TRADITIONAL TONGAN ARCHITECTURE AS AN EDUCATIONAL DEVICE FOR THE TONGAN PEOPLE". สืบค้นเมื่อ 11 กรกฎาคม 2020.
- ↑ "The Guide to Nuku'alofa on a Budget". สืบค้นเมื่อ 25 กรกฎาคม 2020.
- ↑ "Top Cheap Eats in Nuku'alofa". สืบค้นเมื่อ 25 กรกฎาคม 2020.
- ↑ "BEST ISLAND EATING IN TONGATAPU". สืบค้นเมื่อ 15 สิงหาคม 2020.
- ↑ 95.0 95.1 "Events, Conferences, Public Holidays & Festivals in Tonga". Tonga Pocket Guide. สืบค้นเมื่อ 8 กรกฎาคม 2020.
- ↑ "Tonga postpones Heilala 2020 because of Covid-19 threat". Radio New Zealand. สืบค้นเมื่อ 11 กรกฎาคม 2020.
- ↑ "Heilala Festival 2017 In Tonga". Pacific Tourism Organization. คลังข้อมูลเก่า เก็บจาก แหล่งเดิม เมื่อ 15 กรกฎาคม 2020. สืบค้นเมื่อ 11 กรกฎาคม 2020.
- ↑ "Tongan Heilala Festival and Birthday Celebrations". Ashley Cultra. สืบค้นเมื่อ 11 กรกฎาคม 2020.
- ↑ "HEILALA FESTIVAL 2015". Kingdom Travel. สืบค้นเมื่อ 11 กรกฎาคม 2020.
- ↑ "Tonga declares public holiday to celebrate rugby league win". Radio New Zealand. สืบค้นเมื่อ 11 กรกฎาคม 2020.
- ↑ "Tonga Broadcasting Commission". Asia–Pacific Broadcasting Union. สืบค้นเมื่อ 1 สิงหาคม 2020.
- ↑ "New channel launched in Tonga". Radio New Zealand. สืบค้นเมื่อ 1 สิงหาคม 2020.
- ↑ 103.0 103.1 103.2 "Tonga profile - Media". BBC. สืบค้นเมื่อ 1 สิงหาคม 2020.
- ↑ "DIGICEL BRINGS NEW CABLE TV TO TONGA". Pacific Islands Report. สืบค้นเมื่อ 21 สิงหาคม 2020.
- ↑ "Tongan television viewers' bonanza". Matangi Tonga. สืบค้นเมื่อ 1 สิงหาคม 2020.
- ↑ "Radio Broadcasting in Tonga". RadioStationWorld. สืบค้นเมื่อ 1 สิงหาคม 2020.
- ↑ "TONGA CHRISTIAN RADIO". TONGA CHRISTIAN RADIO. สืบค้นเมื่อ 1 สิงหาคม 2020.
- ↑ "HON Prime minister confirmed that tonga chronicle newspaper is not run by the government". VAVA'U POLITICS. คลังข้อมูลเก่า เก็บจาก แหล่งเดิม เมื่อ 5 มิถุนายน 2020. สืบค้นเมื่อ 1 สิงหาคม 2020.
- ↑ "Attention NRL: A glorious future awaits in the Pacific". ROAR. สืบค้นเมื่อ 12 กรกฎาคม 2020.
- ↑ "Sport: Tonga's Teufaiva Stadium set to re-open". Radio New Zealand. สืบค้นเมื่อ 12 กรกฎาคม 2020.
- ↑ "Sport: 'Ikale Tahi hold on for famous win at Teufaiva". Radio New Zealand. สืบค้นเมื่อ 24 สิงหาคม 2020.
- ↑ "'Ikale Tahi beat Western Force 19-15". Matangi Tonga. สืบค้นเมื่อ 24 สิงหาคม 2020.
- ↑ "2019 Inter-College Sports Competition wraps up". Matangi Tonga. สืบค้นเมื่อ 12 กรกฎาคม 2020.
- ↑ "Third South Pacific Mini Games" (PDF). Olympic Review. International Olympic Committee. 1989. p. 112. คลังข้อมูลเก่า เก็บจาก แหล่งเดิม (PDF 0.2 MB) เมื่อ 27 พฤษภาคม 2015. สืบค้นเมื่อ 27 พฤษภาคม 2015.
- ↑ "OCEANIA CHAMPIONSHIPS". Athletics Weekly. สืบค้นเมื่อ 12 กรกฎาคม 2020.
- ↑ "OCEANIA JUNIOR CHAMPIONSHIPS". Athletics Weekly. สืบค้นเมื่อ 12 กรกฎาคม 2020.
- ↑ "TONGA" (PDF). Sprep. สืบค้นเมื่อ 12 สิงหาคม 2020.
- ↑ "ABOUT TONGA POWER LIMITED". TONGA POWER LIMITED. คลังข้อมูลเก่า เก็บจาก แหล่งเดิม เมื่อ 19 กันยายน 2020. สืบค้นเมื่อ 12 สิงหาคม 2020.
- ↑ "Upgrading Nuku'alofa's Electricity Distribution Network". TONGA POWER LIMITED. คลังข้อมูลเก่า เก็บจาก แหล่งเดิม เมื่อ 11 สิงหาคม 2020. สืบค้นเมื่อ 12 สิงหาคม 2020.
- ↑ "Tonga Water Supply System Description Nuku'alofa/ Lomaiviti" (PDF). Water Safety Plan Programme:Kingdom Of Tonga. สืบค้นเมื่อ 6 กรกฎาคม 2020.
- ↑ "The Kingdom of Tonga Health System Review" (PDF). WHO. สืบค้นเมื่อ 12 สิงหาคม 2020.
- ↑ MOET. "Tonga School Level Structure". คลังข้อมูลเก่า เก็บจาก แหล่งเดิม เมื่อ 21 กรกฎาคม 2020. สืบค้นเมื่อ 26 กรกฎาคม 2020.
- ↑ 123.0 123.1 MOET (2013). REPORT OF THE MINISTRY OF EDUCATION AND TRAINING 2013. Government of Tonga.
- ↑ "Tonga High School celebrates 72nd anniversary". matangitonga. สืบค้นเมื่อ 27 กรกฎาคม 2020.
- ↑ "Secondary General information". MOET. คลังข้อมูลเก่า เก็บจาก แหล่งเดิม เมื่อ 27 กรกฎาคม 2020. สืบค้นเมื่อ 27 กรกฎาคม 2020.
- ↑ "ʻATENISI INSTITUTE". ʻATENISI INSTITUTE. สืบค้นเมื่อ 27 กรกฎาคม 2020.
- ↑ "Trades training for 543 students in Tonga". Manukau Institute of Technology. สืบค้นเมื่อ 21 สิงหาคม 2020.
- ↑ "Tongan Institute of Higher Education". Tongan Institute of Higher Education. คลังข้อมูลเก่า เก็บจาก แหล่งเดิม เมื่อ 26 กรกฎาคม 2020. สืบค้นเมื่อ 27 กรกฎาคม 2020.
- ↑ "Tonga Road Network". สืบค้นเมื่อ 19 กรกฎาคม 2020.
- ↑ "Tonga look at possible bridge out of Nuku'alofa". สืบค้นเมื่อ 19 กรกฎาคม 2020.
- ↑ "Traffic jams increasing with growing demand for vehicles in 2018". สืบค้นเมื่อ 19 กรกฎาคม 2020.
- ↑ "Driving in Tonga". สืบค้นเมื่อ 19 กรกฎาคม 2020.
- ↑ "Logistics Capacity Assessment" (PDF). สืบค้นเมื่อ 19 กรกฎาคม 2020.
- ↑ "Railways in Tonga". สืบค้นเมื่อ 19 กรกฎาคม 2020.
- ↑ "Bus". สืบค้นเมื่อ 19 กรกฎาคม 2020.
- ↑ "Taxi". สืบค้นเมื่อ 19 กรกฎาคม 2020.
- ↑ "Vuna Wharf" (PDF). สืบค้นเมื่อ 19 กรกฎาคม 2020.
- ↑ "Tonga Port of Nuku'alofa". สืบค้นเมื่อ 19 กรกฎาคม 2020.
- ↑ 139.0 139.1 "FUA'AMOTU INTERNATIONAL AIRPORT". สืบค้นเมื่อ 19 กรกฎาคม 2020.
- ↑ "Tongatapu Fuaʻamotu International Airport TBU". สืบค้นเมื่อ 19 กรกฎาคม 2020.
- ↑ "Whitby's Twin Towns". สืบค้นเมื่อ 19 กรกฎาคม 2020.
บรรณานุกรม[แก้]
- Asian Development Bank (2012). The State of Pacific Towns and Cities: Urbanization in ADB's Pacific Developing Member Countries. Asian Development Bank. ISBN 9789290928706.
- Connell, John (1995). Pacific 2010: Urbanisation in Polynesia. National Centre for Development Studies, Research School of Pacific and Asian Studies, Australian National University. ISBN 9780731519545.
- Cook, James (1783). A voyage to the Pacific Ocean.
- D'Arcy, Paul (2008). Peoples of the Pacific: The History of Oceania to 1870. Routledge. ISBN 0754662217.
- Dorall, Cheryl (2004). Commonwealth Ministers Reference Book 2003. Commonwealth Secretariat. ISBN 0850927935.
- Findlay, G.G.; Holdsworth, W.W (1921). The history of the Wesleyan Missionary Society. III.
- Gibbs, H.S. (1976). Soils of Tongatapu, Tonga. N.Z. soil survey report. สืบค้นเมื่อ 6 กรกฎาคม 2020.
- Grant, Elizabeth (2018). The Handbook of Contemporary Indigenous Architecture. Springer. ISBN 9811069042.
- Lal, Brij V. (2000). The Pacific Islands: An Encyclopedia. University of Hawaii press. ISBN 082482265X.
- Mariner, William (1818). An Account of the Natives of the Tonga Islands.
- MOET (2013). REPORT OF THE MINISTRY OF EDUCATION AND TRAINING 2013. Government of Tonga.
- Niumeitolu, Heneli T. (2007). "The State and the Church, the state of the Church of Tonga" (PDF).
- Sansom, Graham (2013). Principles for Local Government Legislation: Lessons from the Commonwealth Pacific. Commonwealth Secretariat. ISBN 9781849290890.
- Tzan, Douglas D. (2019). William Taylor and the Mapping of the Methodist Missionary Tradition. Lexington Books. ISBN 1498559085.
- United Nations. Department for Economic and Social Information and Policy Analysis. Statistics Division, United Nations Centre for Human Settlements (1995). Compendium of Human Settlements Statistics 1995. United Nations. ISBN 9211613787.
- Van der Grijp, Paul (2014). Manifestations of Mana: Political Power and Divine Inspiration in Polynesia. LIT Verlag Münster. ISBN 9783643904966.
- Vason, George (1810). An authentic of narrative of four years residence at one of the Friendly Islands. J. Staford. สืบค้นเมื่อ 5 กรกฎาคม 2020.