อาณาจักรอยุธยา
อาณาจักรอยุธยา | |||||||||||||||||
---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|
ตราประจำพระองค์สมัยสมเด็จพระนารายณ์มหาราช
| |||||||||||||||||
อาณาจักรอยุธยาในปี พ.ศ. 2148 ภายหลังการทัพของ สมเด็จพระนเรศวรมหาราช | |||||||||||||||||
สถานะ | ราชอาณาจักร | ||||||||||||||||
เมืองหลวง | อยุธยา (1893–2006, 2031–2209, 2231–2310) พิษณุโลก (2006–2031)[4] ลพบุรี (2209–2231) | ||||||||||||||||
ภาษาทั่วไป | ไทย | ||||||||||||||||
การปกครอง | ราชาธิปไตยแบบศักดินา | ||||||||||||||||
พระมหากษัตริย์ | |||||||||||||||||
• 1893–1913 1931–1952 | ราชวงศ์อู่ทอง | ||||||||||||||||
• 1913–1931 1952–2112 | ราชวงศ์สุพรรณภูมิ | ||||||||||||||||
• 2112–2172 | ราชวงศ์สุโขทัย | ||||||||||||||||
• 2172–2231 | ราชวงศ์ปราสาททอง | ||||||||||||||||
• 2231–2310 | ราชวงศ์บ้านพลูหลวง | ||||||||||||||||
ยุคประวัติศาสตร์ | สมัยกลางและสมัยฟื้นฟูศิลปวิทยา | ||||||||||||||||
• สถาปนา | 4 มีนาคม พ.ศ. 1893 (นับแบบปฏิทินไทยสากล 12 มีนาคม พ.ศ. 1894) | ||||||||||||||||
• รัฐร่วมประมุขกับอาณาจักรสุโขทัย | พ.ศ. 2011 | ||||||||||||||||
• เริ่มติดต่อกับโปรตุเกส | พ.ศ. 2054 | ||||||||||||||||
พ.ศ. 2112 | |||||||||||||||||
• สมเด็จพระนเรศวรประกาศอิสรภาพ | พ.ศ. 2127 | ||||||||||||||||
พ.ศ. 2231 | |||||||||||||||||
7 เมษายน พ.ศ. 2310 | |||||||||||||||||
| |||||||||||||||||
ปัจจุบันเป็นส่วนหนึ่งของ | ไทย กัมพูชา มาเลเซีย พม่า ลาว เวียดนาม จีน |
กรุงศรีอยุธยา หรือ อาณาจักรอยุธยา เป็นอาณาจักรของชนชาติไทยสยาม (ไทยภาคกลาง) ในลุ่มแม่น้ำเจ้าพระยาในช่วง พ.ศ. 1893 ถึง พ.ศ. 2310 มีกรุงศรีอยุธยาเป็นศูนย์กลางอำนาจหรือราชธานี ทั้งยังมีความสัมพันธ์ทางการค้ากับหลายชาติ จนถือได้ว่าเป็นศูนย์กลางการค้าในระดับนานาชาติ[5] เช่น จีน เวียดนาม อินเดีย ญี่ปุ่น เปอร์เซีย รวมทั้งชาติตะวันตก เช่น โปรตุเกส สเปน เนเธอร์แลนด์ (ฮอลันดา) อังกฤษ และฝรั่งเศส ซึ่งในช่วงเวลาหนึ่งเคยสามารถขยายอาณาเขตประเทศราชถึงรัฐชานของพม่า อาณาจักรล้านนา มณฑลยูนนาน อาณาจักรล้านช้าง อาณาจักรขอม และคาบสมุทรมลายูในปัจจุบัน[6]
ศัพทมูลวิทยา
[แก้]ชื่อของอาณาจักรอยุธยามาจากคำว่า อโยธยา หรือ สุริอโยทยา (จารึกลานทองวัดส่องคบ ๑ จังหวัดชัยนาท พ.ศ. 1951) อโยชฌ หรือ อโยชฌปุระ (จารึกวัดพระศรีรัตนมหาธาตุสุพรรณบุรี ลานที่ ๑) อายุทธิยา หรือ โยธิยา (ตำนานพระธาตุดอยสุเทพ) ศรีโยทญา (สมุดภาพไตรภูมิ ฉบับกรุงศรีอยุธยา) สรียุทธยา (จารึกพระราชมุนี หลักที่ 314) หมายถึง เมืองที่ศัตรูไม่อาจรบชนะได้ เป็นชื่อมาจากชื่อเมืองของพระรามในนิทานอินเดียเรื่อง รามายณะ ต่อมา ประเสริฐ ณ นคร ได้เสนอแก้เป็น อยุธยา จึงใช้คำว่า อยุธยา มาโดยตลอด[7]: 13 ส่วนนักประวัติศาสตร์รุ่นต่อมาสันนิษฐานว่า อโยธยา มาจากจารึกเขากบ จังหวัดนครสวรรค์ คำจารึกปรากฏชื่อว่า อโยธยาศรีรามเทพนคร[8]: 125 ส่วนชื่ออาณาจักรอยุธยาในพระราชพงศาวดารกรุงศรีอยุธยา และพระราชพงศาวดารพม่าในการรับรู้ของชาวพม่าปรากฏชื่อ โยเดีย โยธยา (พม่า: ယိုးဒယား, อักษรโรมัน: Yodayá, Yòdəyá, แปลตรงตัว 'ชาวสยาม (Siamese), ชาวไทย ประเทศไทย (Thai, Thailand)')[9] อโยชะ (Ayoja)[10] หรือ คฺยวม (Gywan)[10] กร่อนมาจากคำว่า อโยธยา หมายถึง ชาวไทยจากภาคกลาง และภาคใต้ของไทย (ไม่รวมไทใหญ่ และล้านนา) และยังหมายถึง ราชธานีและอาณาจักรทวารวดีศรีอยุธยาซึ่งสถาปนาขึ้นใน พ.ศ. 1893[11]: 122
ศาสตราจารย์ยอร์ช เซเดส์ กล่าวว่า Arawsa หรือ Ayoja ใน มหาราชวงศ์ ฉบับหอแก้ว หมายถึง อยุธยา (Ayudhya) = สยาม[12]
ชื่ออาณาจักรอยุธยาในบันทึกต่างชาติฝั่งเอเชียตะวันตกเฉียงใต้ พบในบันทึกของราชทูตเปอร์เซียชื่อ The Ship of Sulaiman ที่เข้ามาในรัชกาลสมเด็จพระนารายณ์มหาราชว่า ชะฮฺริ เนาว์[13]: 118 [14]: 118 (เปอร์เซีย: شهر نو[15]: 168 ; อังกฤษ: Shahr-i Nau[15]: 168 , shahr i nâv[16]: 132 [17], Shahr-i-Nao[8]: 125 ) ชะฮฺริ หรือ ชะฮฺร์ หมายถึง เมือง เนาว์ หมายถึง เมืองใหม่ หรือ เรือ[13]: 118:เชิงอรรถ ๑ เมื่อรวมกันจึงหมายถึง เมืองใหม่อันเป็นเมืองแห่งนาวา มีเรือ และแม่น้ำลำคลองมากมาย [13]: 146 นักประวัติศาสตร์ศิลป์และนักโบราณคดีของไทยมีความเห็นว่า บริเวณฝั่งตะวันออกของเกาะอยุธยาอาจเคยเป็นที่ตั้งของเมืองเก่ามาก่อนที่จะสถาปนาอาณาจักรอยุธยาขึ้นราว ค.ศ. 1350[8]: 74:เชิงอรรถ ๒
ชื่อของอาณาจักรอยุธยาในบันทึกของชาวตะวันตกอื่นๆ เพี้ยนมาจาก ชะฮฺริ เนาว์ ในภาษาเปอร์เซีย เช่น แชร์นอเนิม (Cernonem)[18] พบใน บันทึกการเดินทางของนิกโกโล เด คงติ (Niccolò de’ Giovanni Conti) ที่เดินมาเข้ามายังอุษาคเนย์ราว ค.ศ. 1425-1430 ชิแอร์โน (Scierno)[18] ในภาษาอิตาลีพบในแผนที่โลก Il Mappamondo di Fra Mauro เขียนโดย ฟรา เมาโร เมื่อ ค.ศ. 1450 ส่วนเอกสารโปรตุเกสชื่อ ซาร์เนาซ์ (Xarnauz)[18] เพี้ยนมาจากภาษาเปอร์เซียเช่นกัน พบใน จดหมายเหตุการเดินทางสู่อินเดียครั้งที่ 1 ของวาสโก ดา กามา ค.ศ. 1497-1499 (Roteiro da primeira viagem de Vasco da Gama à Índia, 1497-1499) เข้าใจว่าจดหมายเหตุนี้เขียนโดย เวลญู (Álvaro Velho) เป็นต้น ชื่ออื่นๆ ในเอกสารสเปนยังปรากฏว่า โอเดีย (Odia, Iudua, Iudiad, Iudia) หรือ ยูเดีย (Judia, Juthia, Yuthia)[8]: 125 หรือ พระมหานครโยเดีย[19] บันทึกของนีกอลา แฌร์แวซ ซึ่งเดินทางเข้ามาเมื่อปลายรัชกาลสมเด็จพระนารายณ์มหาราช มีชื่อว่า Meüang Sijouthia (Ayut'ia)[20]: 15 ส่วนชาวญี่ปุ่นเรียกอยุธยาว่า ชามโร (Shamro)[21]: 153
นามอาณาจักร
[แก้]พระราชสาส์นถึงพระเจ้าดอนฟิลิปแห่งโปรตุเกส พ.ศ. 2161 รัชกาลสมเด็จพระเจ้าทรงธรรม ต้นฉบับอักษรไทย ภาษาไทยสมัยอยุธยา ระบุนามว่า:–
- กรุงพระมหาณคอรทวารวดี ศรีอยุธยามหาดิลก ภพนพรัตนราชธานีบุรีรมย์ อุดมสวามีศรีสุพรรณคฤหรัตน[22] (คำปริวรรตโดย ประเสริฐ ณ นคร และวินัย พงศ์ศรีเพียร)
- เ - - - - - - - - - - ดี ศรีอยุธยามหาดิลก ภพนพรัตนราชธานีบุรีรมย์ อุดมสวามีศรีสุพรรณคฤหรัตน[23][24] (คำปริวรรตโดย ประสาร บุญประครอง)
- กรุงพระมหานครทวารวดีศรีอยุธยา[23] (คำปริวรรตโดย ประสาร บุญประครอง)
ที่ตั้ง
[แก้]กรุงศรีอยุธยาเป็นเกาะซึ่งมีแม่น้ำสามสายล้อมรอบอยู่ ได้แก่ แม่น้ำป่าสักทางทิศตะวันออก, แม่น้ำเจ้าพระยาทางทิศตะวันตกและทิศใต้ และแม่น้ำลพบุรีทางทิศเหนือ เดิมทีบริเวณนี้ไม่ได้มีสภาพเป็นเกาะ แต่สมเด็จพระเจ้าอู่ทองทรงดำริให้ขุดคูเชื่อมแม่น้ำทั้งสามสาย เพื่อให้เป็นปราการธรรมชาติป้องกันข้าศึก ที่ตั้งกรุงศรีอยุธยายังอยู่ห่างจากอ่าวไทยไม่มากนัก ทำให้กรุงศรีอยุธยาเป็นศูนย์กลางการค้ากับชาวต่างประเทศ และอาจถือว่าเป็น "เมืองท่าตอนใน" เนื่องจากเป็นศูนย์กลางเศรษฐกิจของภูมิภาค มีสินค้ากว่า 40 ชนิดจากสงครามและรัฐบรรณาการ แม้ว่าตัวเมืองจะไม่ติดทะเลก็ตาม
มีการประเมินว่า ราว พ.ศ. 2143 กรุงศรีอยุธยามีประชากรประมาณ 300,000 คน และอาจสูงถึง 1,000,000 คน ราว พ.ศ. 2243 [25] บางครั้งมีผู้เรียกกรุงศรีอยุธยาว่า "เวนิสแห่งตะวันออก"[26][27]
ปัจจุบันบริเวณนี้เป็นส่วนหนึ่งของอำเภอพระนครศรีอยุธยา จังหวัดพระนครศรีอยุธยา พื้นที่ที่เคยเป็นเมืองหลวงของไทยนั้น คือ อุทยานประวัติศาสตร์พระนครศรีอยุธยา[28]ตัวนครปัจจุบันถูกตั้งขึ้นใหม่ห่างจากกรุงเก่าไปเพียงไม่กี่กิโลเมตร
ประวัติ
[แก้]การกำเนิด
[แก้]ความเป็นมาก่อนการสถาปนากรุงศรีอยุธยาเป็นราชธานีของอาณาจักรอยุธยานั้นมีปรากฏว่าดินแดนแถบนี้เป็นที่ตั้งเมืองมาแต่โบราณมีมาอยู่ก่อน หรือมีอยู่ร่วมสมัยกับอาณาจักรสุโขทัย เพราะปรากฏว่ามีแหล่งชุมชนคับคั่งในดินแดนดังกล่าว[29] ปรากฏในพงศาวดารพม่าเรื่อง มหาราชวงศ์ ฉบับหอแก้ว (The Hmannan Yazawin) ฉบับแปลโดยหม่องทินและลูซ มีบันทึกเหตุการณ์ในรัชสมัยพระเจ้าอลองสิธู พ.ศ. 1632 กล่าวถึงดินแดนทิศตะวันออกเฉียงใต้ที่เป็นดินแดนของ คฺยวน (Gywans) ที่เคยยกทัพไปตีกรุงสะเทิม อาณาจักรสุธรรมวดีเมื่อ พ.ศ. 1599 จากบันทึกในศิลาจารึกพม่า ณ สักกาลัมปะเจดีย์[30] คือ ขอมจากแคว้นอโยธยา[31] มีชื่อว่า อโยชะ (Ayoja)[32] หรือ อะรอซา (Arawsa)[29] หมายถึง อโยชชะ ในรูปคำบาลีของชื่อ อโยธยา หรืออยุธยา ซึ่งจิตร ภูมิศักดิ์ตรวจสอบหลักฐานพบว่าเมืองอโยธยามีอายุเก่าแก่กว่ากรุงสุโขทัย[31] เรื่องราวของกองทัพคฺยวน (Gywans) ยกทัพไปตีเมืองมอญมีมาก่อนการสถาปนากรุงศรีอยุธยาถึง 295 ปี
กฎหมายเก่าชื่อ พระอัยการเบ็ดเสร็จ (อายการเบดเสรจ) มหาศักราช ๑๑๔๖ ปีมะแม (พ.ศ. 1768) ระบุพระนามกษัตริย์เมืองอโยธยาเดิมว่า "พระบาทสมเดจ์พระรามาธิบดีศรีวิสุทธิบุรุโสดมบรมจักรพรรดิธรรมิกกราชเดโชไชเทพาดิเทพตรีภูวนาธิเบศ บรมบพิตรพระพุทธิเจ้าอยู่หัว"[33]
ปรากฏใน กฎหมายตราสามดวง ฉบับตัวเขียนจากหอสมุดแห่งชาติ ชำระในสมัยรัชกาลที่ 1 ว่า:-
ศุภมัสดุ ๑๑๔๖ ศกมแมนักสัตวเจตมาศปัญจมีดิถีรวิวาร พระบาทสมเดจ์พระรามาธิบดีศรีสิทธิวิสุทธิบุรโสดมบรมจักรพรรดิธรรมิกกราช เดโชไชยาเทพาดิเทพตรีภูวนาธิเบศบรมบพิตร พระพุทธิเจ้าอยู่หัว เสด็จ ณ พระที่นั่งมังคลาพิเศกโดยบุรรพาภิมุขเบื้องไพชมะหาปราสาท มีพระราชโองการมานพระบันทูลสุรสิงหนาทพระราชประยัษคำนับไว้แก่ผู้รั้ง กรมการ ผู้พิจารณาความฉมบ จะกละ กระสือกระหาง ถ้าเป็นสัจแล้วอย่าให้เจ้าเมือง กรมการ เอา ฉะมบ จะกละ กระสือ กระหางไปฆ่าเสีย ให้บอกส่งเข้าไปยังกรุง ให้ไว้แต่นอกขนอน จะให้พิจารณาก่อนถ้าเจ้าเมือง กรมการ มิบอกส่งเข้าไปแลฆ่าเสียแล้ว จึ่งบอกเข้าไปยังกรุงต่อพายหลังให้มีโทษสิ้นชีวิตร[34]
จิตร ภูมิศักดิ์ และศาสตราภิชานล้อม เพ็งแก้ว ตรวจสอบคำนวณวันที่ตรากฎหมาย พระอัยการเบ็ดเสร็จ (อายการเบดเสรจ) มหาศักราช ๑๑๔๖ พบว่าตรงกับวันอาทิตย์ ขึ้น 5 ค่ำเดือนห้า ตรงกับสุริยคติวันที่ 25 มีนาคม พ.ศ. 1768 ตราขึ้นก่อนการสถาปนาอาณาจักรอยุธยา 125 ปี[35]
และใน พระราชพงศาวดารกรุงเก่า ฉบับหลวงประเสริฐอักษรนิติ์ มีความบันทึกกล่าวถึงการสร้างวัดพนัญเชิงวรวิหารว่า:-
จุลศักราช ๖๘๖ ชวดศก (พ.ศ. ๑๘๖๗) แรกสถาปนาพระพุทธเจ้า เจ้าพแนงเชิง[36]
ความในพระราชพงศาวดารกรุงเก่าข้างต้นหมายความว่า วัดพนัญเชิงวรวิหารสร้างเมื่อ พ.ศ. 1868 ก่อนการสถาปนากรุงศรีอยุธยาเป็นราชธานีถึง 26 ปี[37]
ส่วนเอกสารของทั้งฝ่ายไทยและต่างประเทศ อาทิ พงศาวดารเหนือในส่วนที่เกี่ยวกับพระเจ้าสายน้ำผึ้ง พงศาวดารล้านช้างที่ว่าขุนบรมได้ให้กำเนิดบุตรเจ็ดคนไปครองเมืองต่าง ๆ โดยคนที่ห้าคือ "งัวอิน" ได้ครองเมืองอโยธยา[38] และพงศาวดารราชวงศ์หยวนที่แม้ไม่ปรากฏชื่อ "อโยธยา" แต่ปรากฏชื่อแคว้น "เซียม" และ "หลอโว้ก" ที่อาจหมายถึงแคว้นสุพรรณบุรีและละโว้[39]
การกำเนิดอาณาจักรอยุธยาที่ได้รับการยอมรับกว้างขวางที่สุด คือ เป็นรัฐที่มีศูนย์กลางอยู่ที่กรุงศรีอยุธยาในที่ราบลุ่มแม่น้ำเจ้าพระยา โดยเป็นการรวมอำนาจกันระหว่างอาณาจักรละโว้และอาณาจักรสุพรรณภูมิ โดยช่วงปลายพุทธศตวรรษที่ 19 อาจจะเพราะภัยโรคระบาดคุกคาม สมเด็จพระเจ้าอู่ทองจึงทรงย้ายราชสำนักมายังที่ราบลุ่มน้ำท่วมถึงอันอุดมสมบูรณ์ของแม่น้ำเจ้าพระยา บริเวณหนองโสนบนเกาะที่ล้อมรอบด้วยแม่น้ำซึ่งในอดีตเคยเป็นนครท่าเรือเดินทะเล ชื่อ อโยธยา นครใหม่นี้ได้รับการขนานนามว่า กรุงพระนครศรีอยุธยา[40] หรือ กรุงเทพมหานครบวรทวาราวดีศรีอยุทธยา มหาดิลกภพนพรัตน ราชธานีบุรีรมย์[41] หรือ อโยธยาศรีรามเทพนคร[42] ซึ่งภายหลังมักเรียกว่า กรุงศรีอยุธยา แปลความหมายว่า นครที่ไม่อาจทำลายได้[43]
พระบริหารเทพธานี อธิบายว่า ชาวไทยเริ่มตั้งถิ่นฐานบริเวณตอนกลาง และตอนล่างของลุ่มแม่น้ำเจ้าพระยามาตั้งแต่พุทธศตวรรษที่ 18 แล้ว ทั้งยังเคยเป็นที่ตั้งของเมืองสังขบุรี อโยธยา เสนาราชนคร และกัมโพชนคร[44] ต่อมา ราวปลายพุทธศตวรรษที่ 19 อาณาจักรขอมและสุโขทัยเริ่มเสื่อมอำนาจลง พระเจ้าอู่ทองทรงดำริจะย้ายเมืองและก่อสร้างเมืองขึ้นมาใหม่โดยส่งคณะช่างก่อสร้างไปยังอินเดียและได้ลอกเลียนแบบผังเมืองอโยธยามาสร้างและสถาปนาให้มีชื่อว่า กรุงศรีอยุธยา[45]
ในส่วนวันสถาปนากรุงศรีอยุธยา ที่ผ่านมาได้มีการคำนวณปรับเทียบวันเดือนปีทางจันทรคติที่มีระบุในพระราชพงศาวดารกรุงเก่า ฉบับหลวงประเสริฐ ความว่า "ศักราช 712 ขาลศก วันศุกร์ ขึ้น 6 ค่ำ เดือนห้า....." ว่าตรงกับวันศุกร์ที่ "4 มีนาคม จ.ศ. 712" จากนั้นบวก 1181 เข้าไปเพื่อแปลงจุลศักราชให้เป็นพุทธศักราช จึงได้ว่า ตรงกับวันศุกร์ที่ "4 มีนาคม พ.ศ. 1893" และเผยแพร่กันโดยทั่วไปนั้น หากพิจารณาและปรับแก้ให้สอดคล้องกับปฏิทินไทยสากลที่ใช้กันอยู่ในปัจจุบันซึ่งขึ้นปีใหม่ในวันที่ 1 มกราคม วันสถาปนาจะตรงกับ วันศุกร์ที่ "12 มีนาคม พ.ศ. 1894 (ค.ศ. 1351)" [46][47]
การขยายอาณาเขต
[แก้]ในช่วงพุทธศตวรรษที่ 20 อาณาจักรอยุธยาได้รับการยอมรับว่าเป็นหนึ่งในชาติมหาอำนาจที่สุดแห่งหนึ่งในอุษาคเนย์แผ่นดินใหญ่ และได้เริ่มครองความเป็นใหญ่โดยเริ่มจากการพิชิตราชอาณาจักรและนครรัฐทางเหนือ อาทิ สุโขทัย กำแพงเพชรและพิษณุโลก มีการโจมตีเมืองพระนครแห่งอาณาจักรขอมซึ่งเป็นมหาอำนาจของภูมิภาคในขณะนั้น จนอิทธิพลของอาณาจักรขอมค่อย ๆ จางหายไปจากลุ่มแม่น้ำเจ้าพระยา และอยุธยากลายมาเป็นมหาอำนาจใหม่แทน
อย่างไรก็ดี อาณาจักรอยุธยามิได้เป็นรัฐที่รวมเป็นหน่วยเดียวกัน หากเป็นการปะติดปะต่อกันของอาณาเขต (principality) ที่ปกครองตนเอง และประเทศราชที่สวามิภักดิ์ต่อพระมหากษัตริย์กรุงศรีอยุธยาภายใต้ปริมณฑลแห่งอำนาจ (Circle of Power) หรือระบบมณฑล (mandala) ดังที่นักวิชาการบางฝ่ายเสนอ[48] อาณาเขตเหล่านี้อาจปกครองโดยพระบรมวงศานุวงศ์กรุงศรีอยุธยา หรือผู้ปกครองท้องถิ่นที่มีกองทัพอิสระของตนเอง ที่มีหน้าที่ให้การสนับสนุนแก่เมืองหลวงยามสงครามก็ได้ อย่างไรก็ดีมีหลักฐานว่า บางครั้งที่เกิดการกบฏท้องถิ่นที่นำโดยเจ้าหรือพระมหากษัตริย์ท้องถิ่นขึ้นเพื่อตั้งตนเป็นเอกราช อยุธยาก็จำต้องปราบปราม
ด้วยไร้ซึ่งกฎการสืบราชสันติวงศ์และมโนทัศน์คุณธรรมนิยม (ในบางสมัย) (meritocracy) อันรุนแรง ทำให้เมื่อใดก็ตามที่การสืบราชสันติวงศ์เป็นที่พิพาท เจ้าปกครองหัวเมืองหรือผู้สูงศักดิ์ (dignitary) ที่ทรงอำนาจจะอ้างคุณความดีของตนรวบรวมไพร่พลและยกทัพมายังเมืองหลวงเพื่อกดดันตามข้อเรียกร้อง จนลงเอยด้วยรัฐประหารอันนองเลือดหลายครั้ง[49]
ในช่วงพุทธศตวรรษที่ 21 อยุธยาแสดงความสนใจในคาบสมุทรมลายู ที่ซึ่งมะละกาเมืองท่าสำคัญ อยุธยาพยายามยกทัพไปตีมะละกาหลายครั้งแต่ไร้ผล มะละกามีความเข้มแข็งทั้งทางการทูตและทางเศรษฐกิจ ด้วยได้รับการสนับสนุนทางทหารจากราชวงศ์หมิงของจีน หนึ่งในนั้นคือการที่แม่ทัพเรือเจิ้งเหอแห่งราชวงศ์หมิงได้สถาปนาฐานปฏิบัติการแห่งหนึ่งขึ้นที่มะละกา เป็นเหตุให้จีนไม่อาจยอมสูญเสียตำแหน่งยุทธศาสตร์นี้แก่รัฐอื่น ๆ ภายใต้การคุ้มครองนี้ มะละกาจึงเจริญรุ่งเรืองขึ้นเป็นหนึ่งในคู่แข่งทางการค้าที่ยิ่งใหญ่ของอยุธยา กระทั่งถูกโปรตุเกสพิชิตเมื่อ พ.ศ. 2054[50]
เริ่มตั้งแต่ปลายพุทธศตวรรษที่ 21 อาณาจักรอยุธยาถูกราชวงศ์ตองอูโจมตีหลายครั้ง สงครามครั้งแรกคือ สงครามพระเจ้าตะเบ็งชเวตี้ เมื่อ พ.ศ. 2091-92 แต่ล้มเหลว การรุกรานครั้งที่สองของราชวงศ์ตองอู หรือเรียกว่า "สงครามช้างเผือก"สมัยพระมหาจักรพรรดิ เมื่อ พ.ศ. 2106 พระเจ้าบุเรงนองทรงให้สมเด็จพระมหาจักรพรรดิยอมจำนน พระบรมวงศานุวงศ์บางส่วนถูกพาไปยังกรุงหงสาวดี และสมเด็จพระมหินทราธิราช พระราชโอรสองค์โต ทรงได้รับแต่งตั้งเป็นเจ้าประเทศราช[51][52] เมื่อ พ.ศ. 2112 ราชวงศ์ตองอูรุกรานอีกเป็นครั้งที่สาม และสามารถยึดกรุงศรีอยุธยาได้ในปีต่อมา หนนี้พระเจ้าบุเรงนองทรงแต่งตั้งสมเด็จพระมหาธรรมราชาธิราชเป็นเจ้าประเทศราช[52]
การฟื้นตัว
[แก้]ภายหลังที่พระเจ้าบุเรงนองสวรรคตเมื่อ พ.ศ. 2124 สมเด็จพระนเรศวรมหาราชทรงประกาศเอกราชแก่กรุงศรีอยุธยาอีกสามปีให้หลัง อยุธยาต่อสู้ป้องกันการรุกรานของรัฐหงสาวดีหลายครั้ง จนในครั้งสุดท้าย สมเด็จพระนเรศวรมหาราชทรงปลงพระชนม์เมงจีสวา (Mingyi Swa) อุปราชาของราชวงศ์ตองอูได้ในสงครามยุทธหัตถีเมื่อ พ.ศ. 2135 จากนั้นอยุธยากลับเป็นฝ่ายบุกโดยยึดชายฝั่งตะนาวศรีทั้งหมดขึ้นไปจนถึงเมาะตะมะใน พ.ศ. 2138 และล้านนาใน พ.ศ. 2145 สมเด็จพระนเรศวรมหาราชทรงยกทัพเข้าไปในพม่าลึกถึงตองอูใน พ.ศ. 2143 แต่ทรงถูกขับกลับมา หลังสมเด็จพระนเรศวรมหาราชเสด็จสวรรคตเมื่อ พ.ศ. 2148 ตะนาวศรีตอนเหนือและล้านนาก็ตกเป็นของอาณาจักรตองอูอีกครั้งใน พ.ศ. 2157[53] อยุธยาพยายามยึครองล้านนาและตะนาวศรีตอนเหนือกลับคืนระหว่าง พ.ศ. 2205-07 แต่ล้มเหลว[54]
การค้าขายกับต่างชาติไม่เพียงแต่ให้อยุธยามีสินค้าฟุ่มเฟือยเท่านั้น แต่ยังได้รับอาวุธยุทโธปกรณ์ใหม่ ๆ ด้วย โดยเฉพาะในรัชสมัยสมเด็จพระนารายณ์มหาราช อยุธยามีความเจริญรุ่งเรืองมาก[55] แต่กลับสูญเสียการควบคุมเหนือหัวเมืองรอบนอก ผู้ปกครองท้องถิ่นใช้อำนาจของตนอย่างอิสระ และเริ่มกบฏต่อเมืองหลวงมากขึ้น
การล่มสลาย
[แก้]หลังจากยุคสมัยอันนองเลือดแห่งการต่อสู้ของราชวงศ์ กรุงศรีอยุธยาเข้าสู่ "ยุคทอง" เมื่อศิลปะ วรรณกรรมและการเรียนรู้เฟื่องฟู ยังมีสงครามกับต่างชาติ กรุงศรีอยุธยาสู้รบกับเจ้าเหงียน (Nguyễn Lords) ซึ่งเป็นผู้ปกครองเวียดนามใต้ เพื่อการควบคุมกัมพูชา เริ่มตั้งแต่ พ.ศ. 2258 แต่ภัยคุกคามที่ใหญ่กว่ามาจากราชวงศ์อลองพญาซึ่งได้ผนวกรัฐชานเข้ามาอยู่ในอำนาจ
ช่วง 50 ปีสุดท้ายของราชอาณาจักรมีการสู้รบอันนองเลือดระหว่างเจ้านาย โดยมีพระราชบัลลังก์เป็นเป้าหมายหลัก เกิดการกวาดล้างข้าราชสำนักและแม่ทัพนายกองที่มีความสามารถตามมา สมเด็จพระที่นั่งสุริยาศน์อัมรินทร์ (พระเจ้าเอกทัศ) พระมหากษัตริย์พระองค์สุดท้าย บังคับให้สมเด็จพระเจ้าอุทุมพร พระอนุชาธิราช ซึ่งเป็นพระมหากษัตริย์อยู่ขณะนั้นสละราชสมบัติและขึ้นครองราชย์แทน
พ.ศ. 2303 พระเจ้าอลองพญาทรงยกทัพรุกรานอาณาจักรอยุธยา หลังจากอยุธยาว่างเว้นศึกภายนอกมานานกว่า 150 ปี จะมีก็เพียงการนำไพร่พลเข้าต่อตีกันเองเพื่อแย่งชิงอำนาจเท่านั้น[56] ซึ่งในขณะนั้น อยุธยาเกิดการแย่งชิงบัลลังก์ระหว่างเจ้าฟ้าเอกทัศกับเจ้าฟ้าอุทุมพร อย่างไรก็ดี พระเจ้าอลองพญาไม่อาจหักเอากรุงศรีอยุธยาได้ในการทัพครั้งนั้น
แต่ใน พ.ศ. 2308 พระเจ้ามังระ พระราชโอรสแห่งพระเจ้าอลองพญา ทรงแบ่งกำลังออกเป็นสองส่วน และเตรียมการกว่าสามปี มุ่งเข้าตีอาณาจักรอยุธยาพร้อมกันทั้งสองด้าน ฝ่ายอยุธยาต้านทานการล้อมของทัพพม่าไว้ได้ 14 เดือน แต่ก็ไม่อาจหยุดยั้งการกองทัพรัฐอังวะได้ เนื่องจากมีกำลังมาก และต้องการทำลายศูนย์อำนาจอย่างอยุธยาลงเพื่อป้องกันการกลับมามีอำนาจ อีกทั้งกองทัพอังวะยังติดศึกกับจีนราชวงศ์ชิงอยู่เนือง ๆ หากปล่อยให้เกิดการสู้รบยืดเยื้อต่อไปอีก ก็จะเป็นภัยแก่อังวะ และมีสงครามไม่จบสิ้น ในที่สุดกองทัพอังวะสามารถเข้าพระนครได้ในวันที่ 7 เมษายน พ.ศ. 2310[57]
ในช่วงปี พ.ศ. 2303-2310 มีเหตุการณ์เผาทำลายเมืองและปล้นเมืองไปส่วนใหญ่ โดยในปี พ.ศ. 2310 พม่าได้เผาทำลายกรุงศรีอยุธยาตามพงศาวดารกรุงศรีอยุธยา ฉบับพันจันทุมาศ (เจิม) ฉบับสมเด็จพระพนรัตน์วัดพระเชตุพน หลักฐานอื่น ๆ เช่น คำให้การขุนหลวงหาวัด หนังสือสังคีติยวงศ์ และบันทึกของชาวต่างชาติเช่น โรแบรต์ โกสเต (Robert Goste), ฟร็องซัว-อ็องรี ตูร์แป็ง, และ คุณพ่อกอร์ ที่อาศัยอยู่ในราชอาณาจักรและได้บันทึกเหตุการณ์เอาไว้[58] โดยตูร์แป็งได้บันทึกไว้ว่า[58]: 149
วันที่ 28 เมษายน พ.ศ. 2310 บ้านเมืองถูกข้าศึกบุกเข้าโจมตีทรัพย์สมบัติในพระราชวังและวัดวาอารามต่าง ๆ แทบไม่เหลือสิ่งใดนอกจากซากปรักหักพังและเถ้าถ่าน พระพุทธรูปถูกข้าศึกเผาจนหลอมละลาย เปลวเพลิงที่ลุกลามทำให้ผู้ชนะที่ป่าเถื่อนต้องสูญเสียสิ่งของที่ปล้นชิงมา ซึ่งก่อนหน้านี้ได้กระตุ้นให้พวกเขาเกิดความละโมบ พวกพม่ายังได้ระบายความโกรธแค้นของพวกเขาจากการสูญเสียในครั้งนี้ไปยังหัวเมืองต่าง ๆ
รายพระนามพระมหากษัตริย์
[แก้]กรุงอโยธยา (ไม่ปรากฏ – พ.ศ. 1893)
[แก้]พระมหากษัตริย์แห่งกรุงอโยธยามีทั้งสิ้น 10 พระองค์ โดยมีรายพระนามดังต่อไปนี้[59]
พระมหากษัตริย์ | ครองราชย์ | |||
---|---|---|---|---|
รัชกาล | พระรูป | พระนาม | ระหว่าง | หมายเหตุ |
กรุงอโยธยา (ไม่ปรากฏ – พ.ศ. 1893) | ||||
1 | พระนารายณ์ | พ.ศ. 1625 – 1630 (5 ปี) |
||
2 | พระเจ้าหลวง | พ.ศ. 1632 – 1654 (22 ปี) |
||
3 | พระเจ้าสายน้ำผึ้ง | พ.ศ. 1654 – 1708 (54 ปี) |
||
4 | พระเจ้าธรรมิกราชา | พ.ศ. 1708 – 1748 (40 ปี) |
||
5 | พระเจ้าอู่ทอง | พ.ศ. 1748 – 1796 (48 ปี) |
หรือพระนาม พระบาทสมเดจ์พระรามาธิบดีศรีวิสุทธิบุรุโสดมบรมจักรพรรดิธรรมิกกราชเดโชไชเทพาดิเทพตรีภูวนาธิเบศ บรมบพิตรพระพุทธิเจ้าอยู่หัว ตามกฏหมาย พระอัยการเบ็ดเสร็จ (อายการเบดเสรจ) มหาศักราช ๑๑๔๖ ปีมะแม (พ.ศ. 1768)[60] | |
6 | พระเจ้าชัยเสน | พ.ศ. 1796 – 1823 (36 ปี) |
||
7 | สมเด็จพระเจ้าสุวรรณราชา | พ.ศ. 1823 – 1844 (21 ปี) |
||
8 | สมเด็จพระเจ้าธรรมราชา | พ.ศ. 1844 – 1853 (9 ปี) |
||
9 | สมเด็จพระเจ้าบรมราชา | พ.ศ. 1853 – 1887 (34 ปี) |
หรือพระนาม พระบาทสมเดจ์พระเจ้ารามาธิบดีศรีวิสุทธิสุริยวงษองคบุริโสดมบรมจักรพรรดิ ราชาธิราชตรีภูวะนาธิเบศบรมบพิตรพระพุทธิเจ้าอยู่หัว[61] ใน พระอายการเบดเสรจ มหาศักราช ๑๒๖๓ ปีมะแม (พ.ศ. 1886) | |
10 (1) |
สมเด็จพระรามาธิบดีที่ 1 (3 เมษายน พ.ศ. 1857 – พ.ศ. 1912; 55 พรรษา) |
พ.ศ. 1887 – พ.ศ. 1893 (6 ปี) |
หรือพระนาม พระเจ้าอู่ทอง หรือ สมเดจพระบรมบพิตรพระพุทธิเจ้าอยู่หัว[62] ใน พระไอยการทาษ มหาศักราช ๑๒๖๗ ปีกุน (พ.ศ. 1888) ครองราชย์ครั้งที่ 1 | |
กัมพูชาในช่วงการปฏิวัติขอม (พ.ศ. 1879) | ||||
สถาปนาอาณาจักรกรุงศรีอยุธยา (พ.ศ. 1893) |
หลังสถาปนาอาณาจักรอยุธยา (พ.ศ. 1893 – 2310)
[แก้]พระมหากษัตริย์แห่งอาณาจักรอยุธยา มีทั้งสิ้น 33 พระองค์ โดยมีรายพระนามดังต่อไปนี้
พระมหากษัตริย์ | ครองราชย์ | |||
---|---|---|---|---|
รัชกาล | พระรูป | พระนาม | ระหว่าง | หมายเหตุ |
กัมพูชาในช่วงการปฏิวัติขอม (พ.ศ. 1879) | ||||
อาณาจักรอยุธยา (พ.ศ. 1894 – 2310) | ||||
ราชวงศ์อู่ทอง ครั้งที่ 1 (พ.ศ. 1894 – 1913) | ||||
11 (2) |
สมเด็จพระรามาธิบดีที่ 1 (3 เมษายน พ.ศ. 1857 – พ.ศ. 1912; 55 พรรษา) |
12 มีนาคม พ.ศ. 1893[63] – พ.ศ. 1912 (20 ปี) |
หรือพระนาม พระเจ้าอู่ทอง เป็นปฐมกษัตริย์แห่งอาณาจักรอยุธยา[64] และเป็นปฐมกษัตริย์แห่งราชวงศ์อู่ทอง ครองราชย์ครั้งที่ 2 | |
12 (1) |
สมเด็จพระราเมศวร (พ.ศ. 1882 – 1938; 56 พรรษา) |
พ.ศ. 1912 – 1913 (1 ปี) |
ครองราชย์ครั้งที่ 1 | |
ราชวงศ์สุพรรณภูมิ ครั้งที่ 1 (พ.ศ. 1913 – 1931) | ||||
13 | สมเด็จพระบรมราชาธิราชที่ 1 (พ.ศ. 1853 – 1931; 78 พรรษา) |
พ.ศ. 1913 – 1931 (18 ปี) |
หรือพระนาม ขุนหลวงพะงั่ว เป็นปฐมกษัตริย์แห่งราชวงศ์สุพรรณภูมิ | |
14 | สมเด็จพระเจ้าทองลัน (พ.ศ. 1917 – 1931; 14 พรรษา) |
พ.ศ. 1931 (7 วัน) |
หรือพระนาม เจ้าทองจันทร์ หรือ เจ้าทองลั่น หรือ เจ้าทองจัน หรือ เจ้าทองลันทร์ | |
ราชวงศ์อู่ทอง ครั้งที่ 2 (พ.ศ. 1931 – 1952) | ||||
12 (2) |
สมเด็จพระราเมศวร (พ.ศ. 1882 – 1938; 56 พรรษา) |
พ.ศ. 1931 – 1938 (7 ปี) |
ครองราชย์ ครั้งที่ 2 | |
15 | สมเด็จพระเจ้ารามราชา (พ.ศ. 1899 – 1952; 53 พรรษา) |
พ.ศ. 1938 – 1952 (14 ปี) |
หรือพระนาม สมเด็จพญารามเจ้า หรือ สมเด็จพระเจ้ารามราชาธิราช | |
ราชวงศ์สุพรรณภูมิ ครั้งที่ 2 (พ.ศ. 1952 – 2112) | ||||
16 | สมเด็จพระอินทราชา (พ.ศ. 1902 – 1967; 65 พรรษา) |
พ.ศ. 1952 – 1967 (15 ปี) |
หรือพระนาม เจ้านครอินทร์ หรือ สมเด็จพระนครินทราธิราช | |
17 | สมเด็จพระบรมราชาธิราชที่ 2 (พ.ศ. 1929 – 1991; 62 พรรษา) |
พ.ศ. 1967 – 1991 (24 ปี) |
หรือพระนาม เจ้าสามพระยา | |
18 | สมเด็จพระบรมไตรโลกนาถ (พ.ศ. 1974 – 2031; 57 พรรษา) |
พ.ศ. 1991 – 2031 (40 ปี) |
หรือกฎมนเทียรบาล ออกพระนามว่า สมเด็จพระรามาธิบดีบรมไตรโลกนาถ มหามงกุฎเทพยมนุษย์ บริสุทธิสุริยวงศ์ องค์พุทธางกูรบรมบพิตร | |
ปฏิรูปการปกครองจตุสดมภ์ (พ.ศ. 2006) | ||||
19 | สมเด็จพระบรมราชาธิราชที่ 3 (พ.ศ. 2005 – 2034; 29 พรรษา) |
พ.ศ. 2031 – 2034 (3 ปี) |
หรือพระนาม พระบรมราชา | |
20 | สมเด็จพระรามาธิบดีที่ 2 (พ.ศ. 2015 – 10 ตุลาคม พ.ศ. 2072; 57 พรรษา) |
พ.ศ. 2034 – 10 ตุลาคม
พ.ศ. 2072 |
หรือพระนาม พระเชษฐา หรือครั้งทรงดำรงพระยศเป็นอุปราชทรงพระนามว่า พระเอกสัตราช[65] | |
21 | สมเด็จพระบรมราชาธิราชที่ 4 (พ.ศ. 2031 –2076; 45 พรรษา) |
พ.ศ. 2072 – 2076 (4 ปี) |
หรือพระนาม หน่อพุทธางกูร | |
22 | สมเด็จพระรัษฎาธิราช (พ.ศ. 2072 – 2077; 5 พรรษา) |
พ.ศ. 2077 (5 เดือน) |
||
23 | สมเด็จพระไชยราชาธิราช (พ.ศ. 2042 – 2089; 47 พรรษา) |
พ.ศ. 2077 – 2089 (13 ปี) |
||
24 | สมเด็จพระยอดฟ้า (พ.ศ. 2078 – 10 มิถุนายน พ.ศ. 2091; 13 พรรษา) |
พ.ศ. 2089 – 10 มิถุนายน
พ.ศ. 2091 |
หรือพระนาม พระแก้วฟ้า | |
– | ขุนวรวงศาธิราช (พ.ศ. 2046 – 2091; 45 พรรษา) |
พ.ศ. 2091 (42 วัน) |
นักประวัติศาสตร์ไทยบางท่านไม่นับว่าพระองค์เป็นพระมหากษัตริย์เพราะถือว่าเป็นกบฏสมคบกับนางพระยาแม่อยู่หัวศรีสุดาจันทร์แย่งชิงราชบัลลังก์จากสมเด็จพระยอดฟ้า อย่างไรก็ตาม ในพงศาวดารได้ระบุว่าพระองค์ได้ผ่านพระราชพิธีบรมราชาภิเษกแล้ว | |
25 | สมเด็จพระมหาจักรพรรดิ (พ.ศ. 2048 – 2111; 63 พรรษา) |
29 กรกฎาคม พ.ศ. 2091 – 2111 (20 ปี) |
หรือพระนาม พระเจ้าช้างเผือก | |
26 | สมเด็จพระมหินทราธิราช (พ.ศ. 2082 – 2112; 30 พรรษา) |
พ.ศ. 2111 – 7 สิงหาคม พ.ศ. 2112 (1 ปี) |
||
การเสียกรุงศรีอยุธยาครั้งที่หนึ่ง (พ.ศ. 2112) | ||||
ราชวงศ์สุโขทัย (พ.ศ. 2112 – 2172) | ||||
27 | สมเด็จพระมหาธรรมราชาธิราช (พ.ศ. 2057 – 29 กรกฎาคม พ.ศ. 2133; 76 พรรษา) |
7 สิงหาคม พ.ศ. 2112 – 29 กรกฎาคม พ.ศ. 2133 (21 ปี) |
หรือพระนาม สมเด็จพระสรรเพชญ์ที่ 1 | |
กอบกู้เอกราชหลุดพ้นจากการปกครองของอาณาจักรตองอู (พ.ศ. 2135) | ||||
28 | สมเด็จพระนเรศวรมหาราช (พ.ศ. 2098 – 25 เมษายน พ.ศ. 2148; 50 พรรษา) |
พ.ศ. 2133 – พ.ศ. 2148 (15 ปี) |
หรือพระนาม สมเด็จพระสรรเพชญ์ที่ 2 หรือ พระองค์ดำ | |
29 | สมเด็จพระเอกาทศรถ (พ.ศ. 2103 – 2153; 50 พรรษา) |
25 เมษายน พ.ศ. 2148 – 2153 (5 ปี) |
หรือพระนาม สมเด็จพระสรรเพชญ์ที่ 3 หรือ พระองค์ขาว | |
30 | สมเด็จพระศรีเสาวภาคย์ (พ.ศ. 2128 – 2154; 26 พรรษา) |
พ.ศ. 2153 (1 ปี 2 เดือน) |
หรือพระนาม สมเด็จพระสรรเพชญ์ที่ 4 | |
31 | สมเด็จพระเจ้าทรงธรรม (พ.ศ. 2135 – 12 ธันวาคม พ.ศ. 2171; 36 พรรษา) |
พ.ศ. 2153-พ.ศ. 2171 (17 ปี) |
หรือพระนาม สมเด็จพระบรมราชาที่ 1 | |
32 | สมเด็จพระเชษฐาธิราช (พ.ศ. 2155 – 2173; 18 พรรษา) |
พ.ศ. 2171 – 2172 (1 ปี 7 เดือน) |
หรือพระนาม สมเด็จพระบรมราชาที่ 2 | |
33 | สมเด็จพระอาทิตยวงศ์ (พ.ศ. 2161 – 2178; 17 พรรษา) |
พ.ศ. 2172 (36 วัน) |
||
ราชวงศ์ปราสาททอง (พ.ศ. 2172 – 2231) | ||||
34 | สมเด็จพระเจ้าปราสาททอง (พ.ศ. 2143 – 2199; 56 พรรษา) |
พ.ศ. 2172– 2199 (27ปี) |
หรือพระนาม สมเด็จพระสรรเพชญ์ที่ 5 | |
35 | สมเด็จเจ้าฟ้าไชย (พ.ศ. 2173 – 2199; 26 พรรษา) |
พ.ศ. 2199 (9 เดือน) |
หรือพระนาม สมเด็จพระสรรเพชญ์ที่ 6 | |
36 | สมเด็จพระศรีสุธรรมราชา (พ.ศ. 2143 – 26 ตุลาคม พ.ศ. 2199; 56 พรรษา) |
พ.ศ. 2199 – 26 ตุลาคม พ.ศ. 2199 (2 เดือน 20 วัน) |
หรือพระนาม สมเด็จพระสรรเพชญ์ที่ 7 | |
37 | สมเด็จพระนารายณ์มหาราช (16 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2175 – 11 กรกฎาคม พ.ศ. 2231; 56 พรรษา) |
26 ตุลาคม พ.ศ. 2199 – 11 กรกฎาคม พ.ศ. 2231 (32 ปี) |
หรือพระนาม สมเด็จพระรามาธิบดีที่ 3 | |
การปฏิวัติสยาม (พ.ศ. 2231) | ||||
ราชวงศ์บ้านพลูหลวง (พ.ศ. 2231 – 2310) | ||||
38 | สมเด็จพระเพทราชา (พ.ศ. 2175 – 6 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2246; 71 พรรษา) |
11 กรกฎาคม พ.ศ. 2231 – 6 กุมภาพันธ์
พ.ศ. 2246 |
หรือพระนาม สมเด็จพระมหาบุรุษ วิสุทธิเดชอุดม | |
39 | สมเด็จพระเจ้าสุริเยนทราธิบดี (พ.ศ. 2204 – 9 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2251; 47 พรรษา) |
6 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2246 – 9 กุมภาพันธ์
พ.ศ. 2251 |
หรือพระนาม สมเด็จพระสรรเพชญ์ที่ 8 หรือ พระเจ้าเสือ | |
40 | สมเด็จพระที่นั่งท้ายสระ (พ.ศ. 2221 – 2275; 54 พรรษา) |
9 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2251 – พ.ศ. 2275 (24 ปี) |
หรือพระนาม สมเด็จพระสรรเพชญ์ที่ 9 หรือ พระเจ้าท้ายสระ | |
41 | สมเด็จพระเจ้าอยู่หัวบรมโกศ (พ.ศ. 2223 – 26 เมษายน พ.ศ. 2301; 78 พรรษา) |
พ.ศ. 2275 – 26 เมษายน
พ.ศ. 2301 |
หรือพระนาม สมเด็จพระมหาธรรมราชาธิราชที่ 2 | |
42 | สมเด็จพระเจ้าอุทุมพร (พ.ศ. 2265 – 2339; 74 พรรษา) |
พ.ศ. 2301 (2 เดือน) |
หรือพระนาม สมเด็จพระมหาธรรมราชาธิราชที่ 3 หรือ ขุนหลวงหาวัด | |
43 | สมเด็จพระที่นั่งสุริยาศน์อมรินทร์ (พ.ศ. 2252 – 2310; 58 พรรษา) |
พ.ศ. 2301 – 7 เมษายน พ.ศ. 2310 (9 ปี) |
หรือพระนาม สมเด็จพระบรมราชาที่ 3 หรือ พระเจ้าเอกทัศ หรือ ขุนหลวงขี้เรื้อน | |
การเสียกรุงศรีอยุธยาครั้งที่สอง(พ.ศ. 2310) |
การปกครอง
[แก้]ประวัติศาสตร์ไทย |
---|
ตัวเลขในวงเล็บ หมายถึง ปีพุทธศักราช |
ช่วงแรกมีการปกครองคล้ายคลึงกับในสมัยสุโขทัย พระมหากษัตริย์มีสิทธิ์ปกครองโดยตรงในราชธานี หากทรงใช้อำนาจผ่านข้าราชการและขุนนางเช่นกัน นอกจากนี้ยังมีระบบการปกครองภายในราชธานีที่เรียกว่า จตุสดมภ์ ตามการเรียกของสมเด็จพระเจ้าบรมวงศ์เธอกรมพระยาดำรงราชานุภาพ[66] อันได้แก่ กรมเวียง กรมวัง กรมคลัง และกรมนา
การปกครองนอกราชธานี ประกอบด้วย เมืองหน้าด่าน เมืองชั้นใน เมืองพระยามหานคร และเมืองประเทศราช โดยมีรูปแบบกระจายอำนาจออกจากศูนย์กลางค่อนข้างมาก[67] เมืองหน้าด่าน ได้แก่ ลพบุรี นครนายก พระประแดง และสุพรรณบุรี ตั้งอยู่รอบราชธานีทั้งสี่ทิศ ระยะเดินทางจากราชธานีสองวัน พระมหากษัตริย์ทรงส่งเชื้อพระวงศ์ที่ไว้วางพระทัยไปปกครอง แต่รูปแบบนี้นำมาซึ่งปัญหาการแย่งชิงราชสมบัติอยู่บ่อยครั้ง เมืองชั้นในทรงปกครองโดยผู้รั้ง ถัดออกไปเป็นเมืองพระยามหานครหรือหัวเมืองชั้นนอก ปกครองโดยเจ้าเมืองที่สืบเชื้อสายมาแต่เดิม มีหน้าที่จ่ายภาษีและเกณฑ์ผู้คนในราชการสงคราม[67] และสุดท้ายคือเมืองประเทศราช พระมหากษัตริย์ปล่อยให้ปกครองกันเอง เพียงแต่ต้องส่งเครื่องบรรณาการมาให้ราชธานีทุกปี
ต่อมา สมเด็จพระบรมไตรโลกนาถ (ครองราชย์ พ.ศ. 1991–2031) ทรงยกเลิกระบบเมืองหน้าด่านเพื่อขจัดปัญหาการแย่งชิงราชสมบัติ และขยายอำนาจของราชธานีโดยการกลืนเมืองรอบข้างเข้าเป็นส่วนหนึ่งของราชธานี[68] สำหรับระบบจตุสดมภ์ ทรงแยกกิจการพลเรือนออกจากกิจการทหารอย่างชัดเจน ให้อยู่ภายใต้ความรับผิดชอบของสมุหนายกและสมุหกลาโหมตามลำดับ นอกจากนี้ยังมีการเปลี่ยนชื่อกรมและชื่อตำแหน่งเสนาบดี แต่ยังคงไว้ซึ่งหน้าที่ความรับผิดชอบเดิม
ส่วนการปกครองส่วนภูมิภาคมีลักษณะเปลี่ยนไปในทางการรวมอำนาจเข้าสู่ศูนย์กลางให้มากที่สุด โดยให้เมืองชั้นนอกเข้ามาอยู่ภายใต้อำนาจของราชธานี มีระบบการปกครองที่ลอกมาจากราชธานี[69] มีการลำดับความสำคัญของหัวเมืองออกเป็นชั้นเอก โท ตรี สำหรับหัวเมืองประเทศราชนั้นส่วนใหญ่ไม่ค่อยมีการเปลี่ยนแปลงการปกครองมากนัก หากแต่พระมหากษัตริย์จะมีวิธีการควบคุมความจงรักภักดีต่อราชธานีหลายวิธี เช่น การเรียกเจ้าเมืองประเทศราชมาปรึกษาราชการ หรือมาร่วมพระราชพิธีบรมราชาภิเษกหรือถวายพระเพลิงพระบรมศพในราชธานี การอภิเษกสมรสโดยการให้ส่งราชธิดามาเป็นสนม และการส่งข้าราชการไปปกครองเมืองใกล้เคียงกับเมืองประเทศราชเพื่อคอยส่งข่าว ซึ่งเมืองที่มีหน้าที่ดังกล่าว เช่น พิษณุโลกและนครศรีธรรมราช[70]
ในรัชสมัยสมเด็จพระเพทราชา (ครองราชย์ พ.ศ. 2231–2246) ทรงกระจายอำนาจทางทหารซึ่งเดิมขึ้นอยู่กับสมุหกลาโหมแต่ผู้เดียวออกเป็นสามส่วน โดยให้สมุหกลาโหมเปลี่ยนไปควบคุมกิจการทหารในราชธานี กิจการทหารและพลเรือนของหัวเมืองทางใต้ ให้สมุหนายกควบคุมกิจการพลเรือนในราชธานี กิจการทหารและพลเรือนของหัวเมืองทางเหนือ และพระโกษาธิบดี ให้ดูแลกิจการทหารและพลเรือนของหัวเมืองตะวันออก ต่อมา สมัยสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวบรมโกศ (2275-2301) ทรงลดอำนาจของสมุหกลาโหมเหลือเพียงที่ปรึกษาราชการ และให้หัวเมืองทางใต้ไปขึ้นกับพระโกษาธิบดีด้วย[71]
นอกจากนี้ ในสมัยสมเด็จพระมหาธรรมราชาธิราช (ครองราชย์ พ.ศ. 2112–2133) ยังได้จัดกำลังป้องกันราชธานีออกเป็นสามวัง ได้แก่ วังหลวง มีหน้าที่ป้องกันพระนครทางเหนือ วังหน้า มีหน้าที่ป้องกันพระนครทางตะวันออก และวังหลัง มีหน้าที่ป้องกันพระนครทางตะวันตก ระบบดังกล่าวใช้มาจนถึงสมัยพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว[71]
พัฒนาการ
[แก้]คนไทยไม่เคยขาดแคลนเสบียงอาหารอันอุดมสมบูรณ์ ชาวนาปลูกข้าวเพื่อการบริโภคของตนเองและเพื่อจ่ายภาษี ผลผลิตส่วนที่เหลืออยู่ใช้สนับสนุนสถาบันศาสนา อย่างไรก็ดี ตั้งแต่คริสต์ศตวรรษที่ 13 ถึง 15 มีการเปลี่ยนแปลงที่น่าสังเกตในการปลูกข้าวของไทย บนที่สูง ซึ่งปริมาณฝนไม่เพียงพอ ต้องได้รับน้ำเพิ่มจากระบบชลประทานที่ควบคุมระดับน้ำในที่นาน้ำท่วม คนไทยหว่านเมล็ดข้าวเหนียวที่ยังเป็นสินค้าโภคภัณฑ์หลักในภาคเหนือและตะวันออกเฉียงเหนือปัจจุบัน แต่ในที่ราบน้ำท่วมถึงเจ้าพระยา ชาวนาหันมาปลูกข้าวหลายชนิด ที่เรียกว่า ข้าวขึ้นน้ำหรือข้าวนาเมือง (floating rice) ซึ่งเป็นสายพันธุ์ยาวเรียว ไม่เหนียวที่รับมาจากเบงกอล ซึ่งจะเติบโตอย่างรวดเร็วทันพร้อมกับการเพิ่มขึ้นของระดับน้ำในที่ลุ่ม[72]
สายพันธุ์ใหม่นี้เติบโตอย่างง่ายดายและอุดมสมบูรณ์ ทำให้มีผลผลิตส่วนเกินที่สามารถขายต่างประเทศได้ในราคาถูก ฉะนั้น กรุงศรีอยุธยา ซึ่งตั้งอยู่ใต้สุดของที่ราบน้ำท่วมถึง จึงกลายเป็นศูนย์กลางกิจกรรมทางเศรษฐกิจ ภายใต้การอุปถัมภ์ของพระมหากษัตริย์ แรงงานกอร์เวขุดคลองซึ่งจะมีการนำข้าวจากนาไปยังเรือของหลวงเพื่อส่งออกไปยังจีน ในขบวนการนี้ สามเหลี่ยมปากแม่น้ำเจ้าพระยา หาดโคลนระหว่างทะเลและดินแน่นซึ่งถูกมองว่าไม่เหมาะแก่การอยู่อาศัย ถูกถมและเตรียมดินสำหรับเพาะปลูก ตามประเพณี พระมหากษัตริย์มีหน้าที่ประกอบพิธีกรรมทางศาสนาเพื่อประสาทพรการปลูกข้าว[72]
แม้ข้าวจะอุดมสมบูรณ์ในกรุงศรีอยุธยา แต่การส่งออกข้าวก็ถูกห้ามเป็นบางครั้งเมื่อเกิดทุพภิกขภัย เพราะภัยพิบัติธรรมชาติหรือสงคราม โดยปกติขาวถูกแลกเปลี่ยนกับสินค้าฟุ่มเฟือยและอาวุธยุทธภัณฑ์จากชาวตะวันตก แต่การปลูกข้าวนั้นมีเพื่อตลาดภายในประเทศเป็นหลัก และการส่งออกข้าวนั้นเชื่อถือไม่ได้อย่างชัดเจน การค้ากับชาวยุโรปคึกคักในคริสต์ศตวรรษที่ 17 อันที่จริง พ่อค้ายุโรปขายสินค้าของตน ซึ่งเป็นอาวุธสมัยใหม่ เช่น ไรเฟิลและปืนใหญ่ เป็นหลัก กับผลิตภัณฑ์ท้องถิ่นจากป่าในแผ่นดิน เช่น ไม้สะพาน หนังกวางและข้าว โทเม ปิเรส นักเดินเรือชาวโปรตุเกส กล่าวถึงในคริสต์ศตวรรษที่ 16 ว่า กรุงศรีอยุธยานั้น "อุดมไปด้วยสินค้าดี ๆ" พ่อค้าต่างชาติส่วนมากที่มายังกรุงศรีอยุธยาเป็นชาวยุโรปและชาวจีน และถูกทางการเก็บภาษี ราชอาณาจักรมีข้าว เกลือ ปลาแห้ง เหล้าโรง (arrack) และพืชผักอยู่ดาษดื่น[73]
การค้ากับชาวต่างชาติ ซึ่งเป็นชาวฮอลันดาเป็นหลัก ถึงระดับสูงสุดในคริสต์ศตวรรษที่ 17 กรุงศรีอยุธยากลายมาเป็นจุดหมายปลายทางหลักสำหรับพ่อค้าจากจีนและญี่ปุ่น ชัดเจนว่า ชาวต่างชาติเริ่มเข้ามามีส่วนในการเมืองของราชอาณาจักร พระมหากษัตริย์กรุงศรีอยุธยาวางกำลังทหารรับจ้างต่างด้าวซึ่งบางครั้งก็เข้าร่วมรบกับอริราชศัตรูในศึกสงคราม อย่างไรก็ดี หลังจากการกวาดล้างชาวฝรั่งเศสในปลายคริสต์ศตวรรษที่ 17 ผู้ค้าหลักของกรุงศรีอยุธยาเป็นชาวจีน ฮอลันดาจากบริษัทอินเดียตะวันออกของเนเธอร์แลนด์ยังมีการค้าขายอยู่ เศรษฐกิจของอาณาจักรเสื่อมลงอย่างรวดเร็วในคริสต์ศตวรรษที่ 18[72]
พัฒนาการทางสังคมและการเมือง
[แก้]นับแต่การปฏิรูปของสมเด็จพระบรมไตรโลกนาถ พระมหากษัตริย์อยุธยาทรงอยู่ ณ ศูนย์กลางแห่งลำดับชั้นทางสังคมและการเมืองที่จัดช่วงชั้นอย่างสูง ซึ่งแผ่ไปทั่วราชอาณาจักร ด้วยขาดหลักฐาน จึงเชื่อกันว่า หน่วยพื้นฐานของการจัดระเบียบสังคมในราชอาณาจักรอยุธยา คือ ชุมชนหมู่บ้าน ที่ประกอบด้วยครัวเรือนครอบครัวขยาย กรรมสิทธิ์ในที่ดินอยู่กับผู้นำ ที่ถือไว้ในนามของชุมชน แม้ชาวนาเจ้าของทรัพย์สินจะพอใจการใช้ที่ดินเฉพาะเท่าที่ใช้เพาะปลูกเท่านั้น[74] ขุนนางค่อย ๆ กลายไปเป็นข้าราชสำนัก (หรืออำมาตย์) และผู้ปกครองบรรณาการ (tributary ruler) ในนครที่สำคัญรองลงมา ท้ายที่สุด พระมหากษัตริย์ทรงได้รับการยอมรับว่าเป็นพระศิวะ (หรือพระวิษณุ) ลงมาจุติบนโลก และทรงกลายมาเป็นสิ่งมงคลแก่พิธีปฏิบัติในทางการเมือง-ศาสนา ที่มีพราหมณ์เป็นผู้ประกอบพิธี ซึ่งเป็นข้าราชบริพารในราชสำนัก ในบริบทศาสนาพุทธ เทวราชาเป็นพระโพธิสัตว์ ความเชื่อในเทวราชย์ (divine kingship) คงอยู่ถึงคริสต์ศตวรรษที่ 18 แม้ถึงขณะนั้น นัยทางศาสนาของมันจะมีผลกระทบจำกัดก็ตาม
เมื่อมีที่ดินสำรองเพียงพอสำหรับการกสิกรรม ราชอาณาจักรจึงอาศัยการได้มาและการควบคุมกำลังคนอย่างพอเพียงเพื่อเป็นผู้ใช้แรงงานในไร่นาและการป้องกันประเทศ การเติบโตอย่างรวดเร็วของอยุธยานำมาซึ่งการสงครามอย่างต่อเนื่อง และเนื่องจากไม่มีแว่นแคว้นใดในภูมิภาคมีความได้เปรียบทางเทคโนโลยี ผลแห่งยุทธการจึงมักตัดสินด้วยขนาดของกองทัพ หลังจากการทัพที่ได้รับชัยชนะในแต่ละครั้ง อยุธยาได้กวาดต้อนผู้คนที่ถูกพิชิตกลับมายังราชอาณาจักรจำนวนหนึ่ง ที่ซึ่งพวกเขาจะถูกกลืนและเพิ่มเข้าไปในกำลังแรงงาน สมเด็จพระรามาธิบดีที่ 2 ทรงสถาปนาระบบกอร์เว (Corvée) แบบไทยขึ้น ซึ่งเสรีชนทุกคนจำต้องขึ้นทะเบียนเป็นข้า (หรือไพร่) กับเจ้านายท้องถิ่น เป็นการใช้แรงงานโดยไม่ได้รับค่าตอบแทนใด ๆ ไพร่ชายต้องถูกเกณฑ์ในยามเกิดศึกสงคราม เหนือกว่าไพร่คือนาย ผู้รับผิดชอบต่อราชการทหาร แรงงานกอร์เวในการโยธาสาธารณะ และบนที่ดินของข้าราชการที่เขาสังกัด ไพร่ส่วยจ่ายภาษีแทนการใช้แรงงาน หากเขาเกลียดการใช้แรงงานแบบบังคับภายใต้นาย เขาสามารถขายตัวเป็นทาสแก่นายหรือเจ้าที่น่าดึงดูดกว่า ผู้จะจ่ายค่าตอบแทนแก่การสูญเสียแรงงานกอร์เว จนถึงคริสต์ศตวรรษที่ 19 กำลังคนกว่าหนึ่งในสามเป็นไพร่[74]
ระบบไพร่เป็นการลิดรอนสิทธิเสรีภาพของประชาชนอย่างมากเมื่อเทียบกับสมัยสุโขทัย[75] โดยกำหนดให้ชายทุกคนที่สูงตั้งแต่ 1.25 เมตรขึ้นไปต้องลงทะเบียนไพร่[75] ระบบไพร่มีความสำคัญต่อการรักษาอำนาจทางการเมืองของพระมหากษัตริย์ เพราะหากเจ้านายหรือขุนนางเบียดบังไพร่ไว้เป็นจำนวนมากแล้ว ย่อมส่งผลต่อเสถียรภาพของราชบัลลังก์ ตลอดจนส่งผลให้กำลังในการป้องกันอาณาจักรอ่อนแอ ไม่เป็นปึกแผ่น นอกจากนี้ ระบบไพร่ยังเป็นการเกณฑ์แรงงานเพื่อใช้ประโยชน์ในโครงการก่อสร้างต่าง ๆ ซึ่งล้วนแต่เกี่ยวข้องกับมาตรฐานชีวิตและความมั่นคงของอาณาจักร[76]
ความมั่งคั่ง สถานภาพ และอิทธิพลทางการเมืองสัมพันธ์ร่วมกัน พระมหากษัตริย์ทรงแบ่งสรรนาข้าวให้แก่ข้าราชสำนัก ผู้ว่าราชการท้องถิ่น ผู้บัญชาการทหาร เป็นการตอบแทนความดีความชอบที่มีต่อพระองค์ ตามระบบศักดินา ขนาดของการแบ่งสรรแก่ข้าราชการแต่ละคนนั้นตัดสินจากจำนวนไพร่หรือสามัญชนที่เขาสามารถบัญชาให้ทำงานได้ จำนวนกำลังคนที่ผู้นำหรือข้าราชการสามารถบัญชาได้นั้น ขึ้นอยู่กับสถานภาพของผู้นั้นเทียบกับผู้อื่นในลำดับขั้นและความมั่งคั่งของเขา ที่ยอดของลำดับขั้น พระมหากษัตริย์เป็นเสมือนผู้ถือครองที่ดินรายใหญ่ที่สุดในราชอาณาจักร ตามทฤษฎีแล้วทรงบัญชาไพร่จำนวนมากที่สุด เรียกว่า ไพร่หลวง ที่มีหน้าที่จ่ายภาษี รับราชการในกองทัพ และทำงานบนที่ดินของพระมหากษัตริย์[74]
อย่างไรก็ดี การเกณฑ์กองทัพขึ้นอยู่กับมูลนาย ที่บังคับบัญชาไพร่สมของตนเอง มูลนายเหล่านี้จำต้องส่งไพร่สมให้อยู่ภายใต้บังคับบัญชาของพระมหากษัตริย์ในยามศึกสงคราม ฉะนั้น มูลนายจึงเป็นบุคคลสำคัญในการเมืองของอยุธยา มีมูลนายอย่างน้อยสองคนก่อรัฐประหารยึดราชบัลลังก์มาเป็นของตน ขณะที่การสู้รบนองเลือดระหว่างพระมหากษัตริย์กับมูลนายหลังจากการกวาดล้างข้าราชสำนัก พบเห็นได้บ่อยครั้ง[74]
สมเด็จพระบรมไตรโลกนาถทรงกำหนดการแบ่งสรรที่ดินและไพร่ที่แน่นอนให้แก่ข้าราชการแต่ละขั้นในลำดับชั้นบังคับบัญชา ซึ่งกำหนดโครงสร้างสังคมของประเทศกระทั่งมีการนำระบบเงินเดือนมาใช้แก่ข้าราชการในสมัยรัตนโกสินทร์[74]
พระสงฆ์อยู่นอกระบบนี้ ซึ่งชายไทยทุกชนชั้นสามารถเข้าสู่ชนชั้นนี้ได้ รวมถึงชาวจีนด้วย วัดกลายมาเป็นศูนย์กลางการศึกษาและวัฒนธรรม ระหว่างช่วงนี้ ชาวจีนเริ่มเข้ามาตั้งถิ่นฐานในอยุธยา และไม่นานก็เริ่มควบคุมชีวิตเศรษฐกิจของประเทศ อันเป็นปัญหาสังคมที่เกิดขึ้นช้านานอีกประการหนึ่ง[74]
สมเด็จพระรามาธิบดีที่ 1 ทรงเป็นผู้รวบรวมธรรมศาสตร์ (Dharmashastra) ประมวลกฎหมายที่อิงที่มาในภาษาฮินดูและธรรมเนียมไทยแต่โบราณ ธรรมศาสตรายังเป็นเครื่องมือสำหรับกฎหมายไทยกระทั่งปลายคริสต์ศตวรรษที่ 19 มีการนำระบบข้าราชการประจำที่อิงลำดับชั้นบังคับบัญชาของข้าราชการที่มีชั้นยศและบรรดาศักดิ์มาใช้ และมีการจัดระเบียบสังคมในแบบที่สอดคล้องกัน แต่ไม่มีการนำระบบวรรณะในศาสนาฮินดูมาใช้[77]
หลังสมเด็จพระนเรศวรมหาราชทรงประกาศอิสรภาพจากราชวงศ์ตองอู พระองค์ทรงจัดการรวมการปกครองประเทศอยู่ใต้ราชสำนักที่กรุงศรีอยุธยาโดยตรง เพื่อป้องกันมิให้ซ้ำรอยพระราชบิดาที่แปรพักตร์เข้ากับฝ่ายราชวงศ์ตองอูเมื่อครั้งการเสียกรุงศรีอยุธยาครั้งที่หนึ่ง พระองค์ทรงยุติการเสนอชื่อเจ้านายไปปกครองหัวเมืองของราชอาณาจักร แต่แต่งตั้งข้าราชสำนักที่คาดว่าจะดำเนินนโยบายที่พระมหากษัตริย์ส่งไป ฉะนั้น เจ้านายทั้งหลายจึงถูกจำกัดอยู่ในพระนคร การช่วงชิงอำนาจยังคงมีต่อไป แต่อยู่ใต้สายพระเนตรที่คอยระวังของพระมหากษัตริย์[78]
เพื่อประกันการควบคุมของพระองค์เหนือชนชั้นผู้ว่าราชการใหม่นี้ สมเด็จพระนเรศวรมหาราชมีกฤษฎีกาให้เสรีชนทุกคนที่อยู่ในระบบไพร่มาเป็นไพร่หลวง ขึ้นตรงต่อพระมหากษัตริย์โดยตรง ซึ่งจะเป็นผู้แจกจ่ายการใช้งานแก่ข้าราชการ วิธีการนี้ให้พระมหากษัตริย์ผู้ขาดแรงงานทั้งหมดในทางทฤษฎี และเนื่องจากพระมหากษัตริย์ทรงเป็นเจ้าของกำลังของทุกคน พระองค์ก็ทรงครอบครองที่ดินทั้งหมดด้วย ตำแหน่งรัฐมนตรีและผู้ว่าราชการ และศักดินาที่อยู่กับพวกเขา โดยปกติเป็นตำแหน่งที่ตกทอดถึงทายาทในไม่กี่ตระกูลที่มักมีความสัมพันธ์กับพระมหากษัตริย์โดยการแต่งงาน อันที่จริง พระมหากษัตริย์ไทยใช้การแต่งงานบ่อยครั้งเพื่อเชื่อมพันธมิตรระหว่างพระองค์กับตระกูลที่ทรงอำนาจ ซึ่งเป็นธรรมเนียมที่ปฏิบัติสืบต่อมาถึงสมัยรัตนโกสินทร์ ผลของนโยบายนี้ทำให้พระมเหสีในพระมหากษัตริย์มักมีหลายสิบพระองค์[78]
หากแม้จะมีการปฏิรูปโดยสมเด็จพระนเรศวรมหาราชก็ตาม ประสิทธิภาพของรัฐบาลอีก 150 ปีถัดมาก็ยังไม่มั่นคง พระราชอำนาจนอกที่ดินของพระมหากษัตริย์ แม้จะเด็ดขาดในทางทฤษฎี แต่ในทางปฏิบัติถูกจำกัดโดยความหละหลวมของการปกครองพลเรือน อิทธิพลของรัฐบาลกลางและพระมหากษัตริย์อยู่ไม่เกินพระนคร เมื่อเกิดสงครามกับพม่า หัวเมืองต่าง ๆ ทิ้งพระนครอย่างง่ายดาย เนื่องจากกำลังที่บังคับใช้ไม่สามารถเกณฑ์มาป้องกันพระนครได้โดยง่าย กรุงศรีอยุธยาจึงไม่อาจต้านทานผู้รุกรานได้[78]
ศิลปะและวัฒนธรรม
[แก้]การแสดงโขน และศิลปะนาฏศิลป์สยามประเภทต่างๆนั้นมีหลักฐานอย่างชัดเจนว่า มีการให้จัดแสดงขึ้นในพระราชวังหลวงของกรุงศรีอยุธยาในลักษณะที่กล่าวได้ว่าเกือบจะเหมือนกับรูปแบบของนาฏศิลป์ไทยที่ปรากฏอยู่ในประเทศไทยในปัจจุบัน และที่แพร่หลายไปยังประเทศเพื่อนบ้าน ทำให้สันนิษฐานได้ว่าศิลปะการละครของไทยน่าจะต้องถูกพัฒนาขึ้นจนสมบูรณ์ มาตั้งแต่ศตวรรษที่ 17 ตามสมัยคริสตกาลเป็นอย่างน้อย โดยในระหว่างที่ราชอาณาจักรอยุธยายังมีสัมพันธ์ทางการทูตโดยตรงกับฝรั่งเศส พระเจ้าหลุยส์ที่ 14 สุริยะกษัตริย์ (Sun King) แห่งราชอาณาจักรฝรั่งเศส ได้ส่งราชทูต ชื่อ ซีมง เดอ ลาลูแบร์ มายังประเทศสยาม ในปี ค.ศ. 1687 และพำนักอยู่ในกรุงศรีอยุธยาเป็นเวลา 3 เดือน เพื่อให้จดบันทึกทุกอย่างเกี่ยวกับประเทศสยาม ตั้งแต่การปกครอง ภาษา ตลอดจนวัฒนธรรมประเพณี โดย ลา ลูแบร์ ได้มีโอกาสได้สังเกตการแสดงนาฏศิลป์ประเภทต่างๆในราชสำนักไทย และจดบันทึกไว้โดยละเอียดดังนี้:
"ชาวสยามมีศิลปะการเวทีอยู่สามประเภท: ประเภทที่เรียกว่า "โขน" นั้น เป็นการร่ายรำเข้า ๆ ออก ๆ หลายคำรบ ตามจังหวะซอและเครื่องดนตรีอย่างอื่นอีก ผู้แสดงนั้นสวมหน้ากาก และถืออาวุธ แสดงบทหนักไปในทางสู้รบกันมากกว่าจะเป็นการร่ายรำ และมาตรว่าการแสดงส่วนใหญ่จะหนักไปในทางโลดเต้นเผ่นโผนโจนทะยาน และวางท่าอย่างเกินสมควร แต่ก็มีการหยุดเจรจาออกมาสักคำสองคำอยู่ไม่ได้ขาด หน้ากาก (หัวโขน) ส่วนใหญ่นั้นน่าเกลียด เป็นหน้าสัตว์ที่มีรูปพรรณวิตถาร หรือไม่เป็นหน้าอสูรปีศาจ " ส่วนการแสดงประเภทที่เรียกว่า "ละคร" นั้นเป็นบทกวีที่ผสมผสานกัน ระหว่างมหากาพย์ และบทละครพูด ซึ่งแสดงกันยืดยาวไปสามวันเต็มๆ ตั้งแต่ ๘ โมงเช้า จนถึง ๑ ทุ่ม ละครเหล่านี้เป็น ประวัติศาสตร์ที่ร้อยเรียงเป็นบทกลอนที่เคร่งครึม และขับร้องโดยผู้แสดงหลายคนที่อยู่ในฉากพร้อมๆกัน และเพียงแต่ร้องโต้ตอบกันเท่านั้น โดยมีคนหนึ่งขับร้องในส่วนเนื้อเรื่อง ส่วนที่เหลือจะกล่าวบทพูด แต่ทั้งหมดที่ขับร้องล้วนเป็นผู้ชาย ไม่มีผู้หญิงเลย ... ส่วน "ระบำ" นั้นเป็นการรำคู่ของหญิงชาย ซึ่งแสดงออกอย่างอาจหาญ ... นักเต้นทั้งหญิงและชายจะสวมเล็บปลอมซึ่งยาวมาก และทำจากทองแดง นักแสดงจะขับร้องไปด้วยรำไปด้วย พวกเขาสามารถรำได้โดยไม่เข้าพัวพันกัน เพราะลักษณะการเต้นเป็นการเดินไปรอบๆ อย่างช้าๆ โดยไม่มีการเคลื่อนไหวที่รวดเร็ว แต่เต็มไปด้วยการบิดและดัดลำตัว และท่อนแขน"
— ซีมง เดอ ลาลูแบร์, จดหมายเหตุว่าด้วยราชอาณาจักรสยาม (ค.ศ. 1693), หน้า 49[79]
ในส่วนที่เกี่ยวกับการแต่งกายของนักแสดงโขน ลา ลูแบร์ ได้บันทึกไว้ว่า: "นักเต้นใน "ระบำ" และ "โขน" จะสวมชฎาปลายแหลมทำด้วยกระดาษมีลวดลายสีทอง ซึ่งดูคล้ายๆหมวกของพวกข้าราชการสยามที่ใส่ในงานพิธี แต่จะหุ้มตลอดศีรษะด้านข้างไปจนถึงใต้หู และตกแต่งด้วยหินอัญมณีเลียนแบบ โดยมีห้อยพู่สองข้างเป็นไม้ฉาบสีทอง"[80]
เนื่องจากในสมัยอยุธยามีการสร้างสรรค์วรรณคดีไว้มาก วัตถุดิบวรรณคดีเหล่านั้นส่งผลให้การนาฏศิลป์ และการละครของสยาม ได้รับพัฒนาขึ้นจนมีความสมบูรณ์แบบทั้งในการแต่งกาย และการแสดงออกในระดับสูง และมีอิทธิพลต่ออาณาจักรข้างเคียงมาก ดังที่ กัปตันเจมส์ โลว์ นักวิชาการอังกฤษผู้เชี่ยวชาญด้านวัฒนธรรมเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ได้บันทึกไว้ในช่วงต้นรัตนโกสินทร์:
"พวกชาวสยามได้พัฒนาศิลปะการแสดงละครของตนจนเข้าถึงความสมบูรณ์แบบในระดับสูง -- และในแง่นี้ศิลปะของสยามจึงเผยแพร่ไปสู่ประเทศเพื่อนบ้าน ทั้งในพม่า ลาว และกัมพูชา ซึ่งล้วนแต่เสาะหานักรำละครของสยามทั้งสิ้น"[81]
ประชากรศาสตร์
[แก้]กลุ่มชาติพันธุ์
[แก้]ในช่วงปลายพุทธศตวรรษที่ 20 อาณาจักรอยุธยามีประชากรประมาณ 1,900,000 คน ซึ่งนับชายหญิงและเด็กอย่างครบถ้วน[82] แต่ลาลูแบร์กล่าวว่า ตัวเลขดังกล่าวน่าจะไม่ถูกต้องเนื่องจากมีผู้หนีการเสียภาษีอากรไปอยู่ตามป่าตามดงอีกมาก[83] แอนโธนี เรด นักวิชาการด้านอุษาคเนย์เทียบหลักฐานจากคำบอกเล่าต่างๆ แล้วประมาณว่า กรุงศรีอยุธยามีประชากร ในช่วงคริสต์ศตวรรษ ที่ 17 ราว 200,000 ถึง 240,000 คน[84] มีกลุ่มชาติพันธุ์หลักคือไทยสยามซึ่งเป็นกลุ่มชาติพันธุ์หนึ่งที่ใช้ภาษาตระกูลขร้า-ไท ซึ่งบรรพบุรุษของไทยสยามปรากฏหลักแหล่งของกลุ่มคนที่ใช้ภาษาตระกูลขร้า-ไทเก่าแก่ที่สุดอายุกว่า 3,000 ปี ซึ่งมีหลักแหล่งแถบกว่างซี คาบเกี่ยวไปถึงกวางตุ้งและแถบลุ่มแม่น้ำดำ-แดงในเวียดนามตอนบน ซึ่งกลุ่มชนนี้มีความเคลื่อนไหวไปมากับดินแดนไทยในปัจจุบันทั้งทางบกและทางทะเลและมีการเคลื่อนไหวไปมาอย่างไม่ขาดสาย[85] ในยุคอาณาจักรทวารวดีในแถบลุ่มแม่น้ำเจ้าพระยาช่วงหลังปี พ.ศ. 1100 ก็มีประชากรตระกูลไทย-ลาว เป็นประชากรพื้นฐานรวมอยู่ด้วย[85] ซึ่งเป็นกลุ่มชนอพยพลงมาจากบริเวณสองฝั่งโขงลงทางลุ่มน้ำน่านแล้วลงสู่ลุ่มแม่น้ำเจ้าพระยาฟากตะวันตกแถบสุพรรณบุรี ราชบุรี ถึงเพชรบุรีและเกี่ยวข้องไปถึงเมืองนครศรีธรรมราช[86] ซึ่งในส่วนนี้ลาลูแบร์ เอกอัครราชทูตฝรั่งเศสในรัชสมัยของสมเด็จพระนารายณ์มหาราช ได้ให้ความเห็นส่วนตัวว่า ชาวลาวกับชาวสยามเกือบจะเป็นชาติเดียวกัน[87] นอกจากนี้ลาลูแบร์ยังอธิบายเพิ่มว่าตามธรรมเนียมแต่โบราณแล้ว ทั้งสองฝ่ายอ้างว่าตนรับกฎหมายของตนมาจากอีกฝ่าย กล่าวคือฝ่ายสยามเชื่อว่ากฎหมาย และเชื้อสายกษัตริย์ของตนมาจากลาว และฝ่ายลาวก็เชื่อว่ากฎหมาย และกษัตริย์ของตนมาจากสยาม[88] นอกจากนี้ลาลูแบร์สังเกตเห็นว่าสังคมอยุธยานั้นมีคนปะปนกันหลายชนชาติ และ "เป็นที่แน่ว่าสายเลือดสยามนั้นผสมกับของชาติอื่น"[89] เนื่องจากมีคนต่างชาติต่างภาษาจำนวนมากอพยบเข้ามาอยู่ในอยุธยาเพราะทราบถึงชื่อเสียงเรื่องเสรีภาพทางการค้า[90]
เอกสารจีนที่บันทึกโดยหม่าฮวนได้กล่าวไว้ว่า ชาวเมืองพระนครศรีอยุธยาพูดจาด้วยภาษาอย่างเดียวกับกลุ่มชนทางตะวันออกเฉียงใต้ของจีน[85] คือพวกที่อยู่ในมณฑลกวางตุ้งกับกว่างซี และด้วยความที่ดินแดนแถบอุษาคเนย์เป็นดินแดนที่อุดมสมบูรณ์จึงมีกลุ่มชาติพันธุ์หลากหลายตั้งหลักแหล่งอยู่ปะปนกันจึงเกิดการประสมประสานทางเผ่าพันธุ์ วัฒนธรรม และภาษาจนไม่อาจแยกออกจากกันได้อย่างชัดเจน[91] และด้วยการผลักดันของรัฐละโว้ ทำให้เกิดรัฐอโยธยาศรีรามเทพนคร ภายหลังปี พ.ศ. 1700 ก็ได้มีการเปลี่ยนแปลงทางสังคมและวัฒนธรรมหลายอย่าง[91]
ด้วยเหตุที่กรุงศรีอยุธยาเป็นอาณาจักรที่มีความเจริญรุ่งเรือง กลุ่มชาติพันธุ์กลุ่มอื่น ๆ ได้อพยพเข้ามาพึ่งพระบรมโพธิสมภาร เชลยที่ถูกกวาดต้อน ตลอดจนถึงชาวเอเชียและชาวตะวันตกที่เข้ามาเพื่อการค้าขาย ในกฎมนเทียรบาลยุคต้นกรุงศรีอยุธยาได้เรียกชื่อชนพื้นเมืองต่าง ๆ ได้แก่ "แขกขอมลาวพม่าเมงมอญมสุมแสงจีนจามชวา..."[92] ซึ่งมีการเรียกชนพื้นเมืองที่อาศัยปะปนกันโดยไม่จำแนกว่า ชาวสยาม[92] ในจำนวนนี้มีชาวมอญอพยพเข้ามาในสมัยสมเด็จพระมหาธรรมราชา, สมเด็จพระนเรศวรมหาราช, สมเด็จพระเจ้าปราสาททอง, สมเด็จพระนารายณ์มหาราช และสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวบรมโกศ เนื่องจากชาวมอญไม่สามารถทนการบีบคั้นจากการปกครองของพม่าในช่วงราชวงศ์ตองอู จนในปี พ.ศ. 2295 พม่าได้ปราบชาวมอญอย่างรุนแรง จึงมีการลี้ภัยเข้ามาในกรุงศรีอยุธยาจำนวนมาก[93] โดยชาวมอญในกรุงศรีอยุธยาตั้งถิ่นฐานอยู่ริมแม่น้ำ เช่น บ้านขมิ้นริมวัดขุนแสน ตำบลบ้านหลังวัดนก ตำบลสามโคก และวัดท่าหอย[94] ชาวเขมรอยู่วัดค้างคาว[95] ชาวพม่าอยู่ข้างวัดมณเฑียร[96] ส่วนชาวตังเกี๋ยและชาวโคชินไชน่า (ญวน) ก็มีหมู่บ้านเช่นกัน[97] เรียกว่าหมู่บ้านโคชินไชน่า[98] นอกจากนี้ชาวลาวและชาวไทยวนก็มีจำนวนมากเช่นกัน โดยในรัชสมัยของสมเด็จพระราเมศวรครองราชย์ครั้งที่สอง ได้กวาดต้อนครัวไทยวนจากเชียงใหม่ส่งไปไว้ยังจังหวัดพัทลุง, สงขลา, นครศรีธรรมราช และจันทบุรี[99] และในรัชสมัยของสมเด็จพระนารายณ์มหาราชที่ทรงยกทัพไปตีล้านนาในปี พ.ศ. 2204 ได้เมืองลำปาง, ลำพูน, เชียงใหม่, เชียงแสน และได้กวาดต้อนมาจำนวนหนึ่ง[100]เป็นต้น โดยเหตุผลที่กวาดต้อนเข้ามา ก็เพื่อวัตถุประสงค์ทางด้านเศรษฐกิจและการทหาร[101] และนอกจากกลุ่มประชาชนแล้วกลุ่มเชื้อพระวงศ์ที่เป็นเชลยสงครามและผู้ที่เข้ามาพึ่งพระบรมโพธิสมภาร มีทั้งเชื้อพระวงศ์ลาว, เชื้อพระวงศ์เชียงใหม่ (Chiamay), เชื้อพระวงศ์พะโค (Banca), และเชื้อพระวงศ์กัมพูชา[102]
นอกจากชุมชนชาวเอเชียที่ถูกกวาดต้อนมาแล้วก็ยังมีชุมชนของกลุ่มผู้ค้าขายและผู้เผยแผ่ศาสนาทั้งชาวเอเชียจากส่วนอื่นและชาวตะวันตก เช่น ชุมชนชาวฝรั่งเศสที่บ้านปลาเห็ด[103] ปัจจุบันอยู่ทางทิศใต้นอกเกาะอยุธยาใกล้กับวัดพุทไธสวรรย์ ซึ่งภายหลังบ้านปลาเห็ตได้เปลี่ยนชื่อเป็นบ้านเซนต์โยเซฟ[104] หมู่บ้านญี่ปุ่นอยู่ริมแม่น้ำระหว่างหมู่บ้านชาวมอญและโรงกลั่นสุราของชาวจีน ถัดไปเป็นชุมชนชาวฮอลันดา[105] ทางใต้ของชุมชนฮอลันดาเป็นถิ่นพำนักของชาวอังกฤษ, มลายู และมอญจากพะโค[106] นอกจากนี้ก็ยังมีชุมชนของชาวอาหรับ เปอร์เซีย และกลิงก์ (คนจากแคว้นกลิงคราษฎร์จากอินเดีย)[107] ส่วนชุมชนชาวโปรตุเกสตั้งอยู่ตรงข้ามชุมชนญี่ปุ่น ชาวโปรตุเกสส่วนใหญ่มักสมรสข้ามชาติพันธุ์กับชาวสยาม จีน และมอญ[108] ส่วนชุมชนชาวจาม มีหลักแหล่งแถบคลองตะเคียนทางใต้ของเกาะเมืองพระนครศรีอยุธยาเรียกว่า ปทาคูจาม มีบทบาทสำคัญด้านการค้าทางทะเล และตำแหน่งในกองทัพเรือ เรียกว่า อาษาจาม และเรียกตำแหน่งหัวหน้าว่า พระราชวังสัน[109]
นักวิชาการด้านอุษาเคนย์ ให้ข้อสังเกตว่า ในขณะที่อยุธยามีความหลายหลายทางเชื้อชาติสูงด้วยเหตุผลทางการค้าขาย และการเทครัวประชากรจากภูมิภาคอื่น แต่ประชากรทั้งในและรอบนอกอยุธยาก็แสดงออกว่ามีใจฝักใฝ่ และสวามิภักดิ์ต่ออยุธยาสูง[110] อยุธยาจึงมิได้มีปัญหาความขัดแย้งทางชาติพันธุ์เหมือนอย่างในแถบลุ่มแม่น้ำอิรวดี เอกสารจากฝั่งพม่าในคริสต์ ศ.ที่ 16 อ้างถึงผู้คนทางตอนใต้ลุ่มแม่น้ำเจ้าพระยารวม ๆ ว่า "ชาวอยุธยา" หรือ "ทหารอยุธยา"[111] นอกจากนี้สำนึกในความเป็นชาติ หรือความเป็นสยาม ก็ได้เริ่มปรากฏรูปร่างแล้วตั้งแต่สมัยอยุธยา ในบันทึกของ วันวลิต (ฟาน วลีต) พ่อค้าชาวเนเธอร์แลนด์ ที่เข้ามาค้าขายในรัชกาลสมเด็จพระเจ้าปราสาททองระบุว่า ชาวสยามมีความโดดเด่นในเรื่องความภาคภูมิใจในชาติของตน โดยชาวสยาม "เชื่อว่าไม่มีชาติอื่นที่จะเทียบกับตนได้ และเห็นว่ากฎหมาย ขนบธรรมเนียม และความรู้ของตนนั้นดีกว่าที่ไหนทุกแห่งในโลก"[112] วิกเตอร์ ลีเบอร์แมน เชื่อว่าสาเหตุที่ราชอาณาจักรอยุธยา มีความขัดแย้งระหว่างชาติพันธุ์ค่อนข้างน้อยนั้น ก็เนื่องมาจากมูลเหตุ 4 ประการ[113] ได้แก่
- สัดส่วนของจำนวนประชากรชาวสยาม ต่อประชากรชาติพันธุ์อื่นนั้นค่อนข้างต่ำ
- ชาวสยามมีชนชาติอื่นที่อพยพเข้ามาเพราะสงครามในพม่า เช่น ชาวมอญ และชาวไทยวนซึ่งมีใจฝักใฝ่สยามมากกว่าพม่า
- ความเป็นนานาชาติพันธุ์ของบรรยากาศการค้าขายในอยุธยา ทำให้การเลือกปฏิบัติทางชาติพันธุ์มีความเบาบางลง นอกจากนี้ยังมีคนต่างชาติรับราชการในกรุงศรีอยุธยาอยู่เป็นจำนวนมาก
- สงครามระหว่างสยามกับชาติเพื่อนบ้าน ไม่ยืดเยื้อยาวนานเท่าฝั่งพม่า ทำให้แนวคิดขัดแย้งทางชาติพันธุ์ไม่ฝังรากลึก ในสมัยพระเจ้าอลองพญาแม้จะตีเอาเมืองท่าสำคัญของมอญ เช่น นครย่างกุ้ง ได้ แต่ก็ปกครองเมืองท่าเหล่านี้อยู่ห่างๆ ไม่ย้ายเมืองหลวงลงมา เนื่องจากอาจเป็นจุดล่อแหลมต่อการถูกโจมตีจากทางทะเล[114]
ภาษา
[แก้]สำเนียงดั้งเดิมของกรุงศรีอยุธยามีความเชื่อมโยงกับชนพื้นเมืองตั้งแต่ลุ่มน้ำยมที่เมืองสุโขทัยลงมาทางลุ่มน้ำเจ้าพระยาฝั่งตะวันตกในแถบสุพรรณบุรี, ราชบุรี, เพชรบุรี ซึ่งสำเนียงดังกล่าวมีความใกล้ชิดกับสำเนียงหลวงพระบาง โดยเฉพาะสำเนียงเหน่อของสุพรรณบุรีมีความใกล้เคียงกับสำเนียงหลวงพระบาง[115] ซึ่งสำเนียงเหน่อดังกล่าวเป็นสำเนียงหลวงของกรุงศรีอยุธยา ประชาชนชาวกรุงศรีอยุธยาทั้งพระเจ้าแผ่นดินจนถึงไพร่ฟ้าราษฏรก็ล้วนตรัสและพูดจาในชีวิตประจำวัน ซึ่งปัจจุบันเป็นขนบอยู่ในการละเล่นโขนที่ต้องใช้สำเนียงเหน่อ โดยหากเปรียบเทียบกับสำเนียงกรุงเทพฯ ในปัจจุบันนี้ ที่ในสมัยนั้นถือว่าเป็นสำเนียงบ้านนอกถิ่นเล็ก ๆ ของราชธานีที่แปร่งและเยื้องจากสำเนียงมาตรฐานของกรุงศรีอยุธยา[116] และถือว่าผิดขนบ[115]
ภาษาดั้งเดิมของกรุงศรีอยุธยาปรากฏอยู่ในโองการแช่งน้ำ ซึ่งเป็นร้อยกรองที่เต็มไปด้วยฉันทลักษณ์ที่แพร่หลายแถบแว่นแคว้นสองฝั่งลุ่มแม่น้ำโขงมาแต่ดึกดำบรรพ์[117] และภายหลังได้พากันเรียกว่า โคลงมณฑกคติ เนื่องจากเข้าใจว่าได้รับแบบแผนมาจากอินเดีย[117] ซึ่งแท้จริงคือโคลงลาว หรือ โคลงห้า ที่เป็นต้นแบบของโคลงดั้นและโคลงสี่สุภาพ[115] โดยในโองการแช่งน้ำเต็มไปด้วยศัพท์แสงพื้นเมืองของไทย-ลาว ส่วนคำที่มาจากบาลี-สันสกฤต และเขมรอยู่น้อย[115] โดยหากอ่านเปรียบเทียบก็จะพบว่าสำนวนภาษาใกล้เคียงกับข้อความในจารึกสมัยสุโขทัย และพงศาวดารล้านช้าง[115]
ด้วยเหตุที่กรุงศรีอยุธยาตั้งอยู่ใกล้ทะเลและเป็นศูนย์กลางการค้านานาชาติทำให้สังคมและวัฒนธรรมเปลี่ยนไปอย่างรวดเร็ว ต่างกับบ้านเมืองแถบสองฝั่งโขงที่ห่างทะเล อันเป็นเหตุที่ทำให้มีลักษณะที่ล้าหลังกว่าจึงสืบทอดสำเนียงและระบบความเชื่อแบบดั้งเดิมไว้ได้เกือบทั้งหมด[116] ส่วนภาษาในกรุงศรีอยุธยาก็ได้รับอิทธิพลของภาษาจากต่างประเทศจึงรับคำในภาษาต่าง ๆ มาใช้ เช่นคำว่า กุหลาบ ที่ยืมมาจากคำว่า กุล้อบ ในภาษาเปอร์เซีย ที่มีความหมายเดิมว่า น้ำดอกไม้[118] และยืมคำว่า ปาดรื (Padre) จากภาษาโปรตุเกส แล้วออกเสียงเรียกเป็น บาทหลวง[119] เป็นต้น
ความสัมพันธ์กับต่างประเทศ
[แก้]อาณาจักรอยุธยามักส่งเครื่องราชบรรณาการไปถวายจักรพรรดิจีนเป็นประจำทุกสามปี เครื่องบรรณาการนี้เรียกว่า "จิ้มก้อง" นักประวัติศาสตร์เชื่อว่าการส่งเครื่องราชบรรณาการดังกล่าวแฝงจุดประสงค์ทางธุรกิจไว้ด้วย คือ เมื่ออาณาจักรอยุธยาได้ส่งเครื่องราชบรรณาการไปถวายแล้วก็จะได้เครื่องราชบรรณาการกลับมาเป็นมูลค่าสองเท่า[120] ทั้งยังเป็นธุรกิจที่ไม่มีความเสี่ยง จึงมักจะมีขุนนางและพ่อค้าเดินทางไปพร้อมกับการนำเครื่องราชบรรณาการไปถวายด้วย
พ.ศ. 2054 ทันทีหลังจากที่ยึดครองมะละกา โปรตุเกสได้ส่งผู้แทนทางการทูต นำโดย ดูอาร์เต เฟอร์นันเดส (Duarte Fernandes) มายังราชสำนักสมเด็จพระรามาธิบดีที่ 2 หลังได้มีการสถาปนาความสัมพันธ์ฉันท์มิตรระหว่างราชอาณาจักรโปรตุเกสและราชอาณาจักรอยุธยาแล้ว ผู้แทนทางการทูตโปรตุเกสก็ได้กลับประเทศแม่ไปพร้อมกับผู้แทนทางทูตของอยุธยา ซึ่งมีของกำนัลและพระราชสาส์นถึงพระเจ้าโปรตุเกสด้วย[121] ผู้แทนทางการทูตโปรตุเกสชุดนี้อาจเป็นชาวยุโรปกลุ่มแรกที่เดินทางเข้ามาในประเทศไทยก็เป็นได้ ห้าปีให้หลังการติดต่อครั้งแรก ทั้งสองได้บรรลุสนธิสัญญาซึ่งอนุญาตให้โปรตุเกสเข้ามาค้าขายในราชอาณาจักรอยุธยา สนธิสัญญาที่คล้ายกันใน พ.ศ. 2135 ได้ให้พวกดัตช์มีฐานะเอกสิทธิ์ในการค้าข้าว
ในรัชกาลสมเด็จพระเอกาทศรถ บันทึกของฮอลันดาระบุว่ามีการส่งคณะทูตานุทูตไปยังฮอลันดาจำนวน 20 คน ไปในเรือลำเดียวกันกับพ่อค้าชาวฮอลันดา ในแบบอย่างเต็มยศ คือมีพระราชสาส์น ตลอดจนเครื่องราชบรรณาการต่าง ๆ ที่มีค่าตามแบบแผนประเพณีของการเจริญพระราชไมตรีสมัยกรุงศรีอยุธยา โดยได้เดินทางไปถึงกรุงเฮก เมื่อวันที่ 10 กันยายน พ.ศ. 2151 ซึ่งคณะทูตานุทูตคณะนี้ถือเป็นการส่งคณะทูตครั้งแรกไปเจริญทางสัมพันธไมตรีกับประเทศในยุโรป อย่างไรก็ตามในบันทึกไม่ได้ระบุชื่อราชทูตหรือบุคคลใดๆ ในคณะทูต ทราบเพียงแต่จำนวนว่ามีหัวหน้าสองท่าน (ราชทูตและอุปทูต) พนักงานรักษาเครื่องราชบรรณาการ เจ้าพนักงานพระราชสาส์น และอื่นๆ ซึ่งได้เข้าเฝ้าเจ้าชายมอร์ริส เจ้าชายแห่งออเรนจ์ในวันถัดจากที่เดินทางมาถึง[122]
ชาวต่างชาติได้รับการต้อนรับอย่างอบอุ่นที่ราชสำนักสมเด็จพระนารายณ์มหาราช ผู้ทรงมีทัศนะสากลนิยม (cosmopolitan) และทรงตระหนักถึงอิทธิพลจากภายนอก ได้มีการสถาปนาความสัมพันธ์เชิงพาณิชย์ที่สำคัญกับญี่ปุ่น บริษัทการค้าของเนเธอร์แลนด์และอังกฤษได้รับอนุญาตให้จัดตั้งโรงงาน และมีการส่งคณะผู้แทนทางการทูตของอยุธยาไปยังกรุงปารีสและกรุงเฮก ด้วยการธำรงไว้ซึ่งความสัมพันธ์เหล่านี้ ราชสำนักอยุธยาได้ใช้เนเธอร์แลนด์คานอำนาจกับอังกฤษและฝรั่งเศสอย่างชำนาญ ทำให้สามารถเลี่ยงมิให้ชาติใดชาติหนึ่งเข้ามามีอิทธิพลมากเกินไป[123]
ในปี พ.ศ. 2207 เนเธอร์แลนด์ใช้กำลังบังคับเพื่อให้ได้สนธิสัญญาที่ให้สิทธิสภาพนอกอาณาเขต เช่นเดียวกับการเข้าถึงการค้าอย่างเสรี คอนสแตนติน ฟอลคอน นักผจญภัยชาวกรีกผู้เข้ามาเป็นเสนาบดีต่างประเทศในราชสำนักสมเด็จพระนารายณ์มหาราช กราบทูลให้พระองค์หันไปพึ่งความช่วยเหลือจากฝรั่งเศส วิศวกรฝรั่งเศสก่อสร้างป้อมค่ายแก่คนไทย และสร้างพระราชวังแห่งใหม่ที่ลพบุรี นอกเหนือจากนี้ มิชชันนารีชาวฝรั่งเศสเข้ามามีบทบาทในการศึกษาและการแพทย์ ตลอดจนนำแท่นพิมพ์เครื่องแรกเข้ามาในราชอาณาจักรด้วย พระเจ้าหลุยส์ที่ 14 ทรงสนพระราชหฤทัยในรายงานจากมิชชันนารีที่เสนอว่า สมเด็จพระนารายณ์อาจเปลี่ยนมานับถือศาสนาคริสต์ได้[124]
อาณาจักรอยุธยามีความสัมพันธ์กับชาติตะวันตกในด้านการค้าขายและการเผยแผ่ศาสนา โดยชาวตะวันตกได้นำเอาวิทยาการใหม่ ๆ เข้ามาด้วย ต่อมา คอนสแตนติน ฟอลคอนได้เข้ามามีอิทธิพลและยัง บรรดาขุนนางจึงประหารฟอลคอนเสีย และลดระดับความสำคัญกับชาติตะวันตกตลอดช่วงเวลาที่เหลือของอาณาจักรอยุธยา
อย่างไรก็ดี การเข้ามาของฝรั่งเศสกระตุ้นให้เกิดความแค้นและความหวาดระแวงแก่หมู่ชนชั้นสูงของไทยและนักบวชในศาสนาพุทธ ทั้งมีหลักฐานว่าคบคิดกับฝรั่งเศสจะยึดกรุงศรีอยุธยา[120] เมื่อข่าวสมเด็จพระนารายณ์กำลังจะเสด็จสวรรคตแพร่ออกไป พระเพทราชา ผู้สำเร็จราชการ ก็ได้สังหารรัชทายาทที่ทรงได้รับแต่งตั้ง คริสเตียนคนหนึ่ง และสั่งประหารชีวิตฟอลคอน และมิชชันนารีอีกจำนวนหนึ่ง การมาถึงของเรือรบอังกฤษยิ่งยั่วยุให้เกิดการสังหารหมู่ชาวยุโรปมากขึ้นไปอีก พระเพทราชาเมื่อปราบดาภิเษกเป็นพระมหากษัตริย์แล้ว ทรงขับชาวต่างชาติออกจากราชอาณาจักร รายงานการศึกษาบางส่วนระบุว่า อยุธยาเริ่มต้นสมัยแห่งการตีตัวออกห่างพ่อค้ายุโรป ขณะที่ต้อนรับวาณิชจีนมากขึ้น แต่ในการศึกษาปัจจุบันอื่น ๆ เสนอว่า สงครามและความขัดแย้งในยุโรปช่วงคริสต์ศตวรรษที่ 18 เป็นเหตุให้พ่อค้ายุโรปลดกิจกรรมในทางตะวันออก อย่างไรก็ดี เป็นที่ประจักษ์ว่า บริษัทอินเดียตะวันออกของเนเธอร์แลนด์ยังทำธุรกิจกับอยุธยาอยู่ แม้จะประสบกับความยากลำบากทางการเมือง[124]
ดูเพิ่ม
[แก้]อ้างอิง
[แก้]- ↑ หนังสือเจ้าพระยาศรีธรรมราชถึงเมอร์สิเออร์ ปองชาตแรง พุทธศักราช 2236. (คำปริวรรตโดย ภูธร ภูมะธน). ฐานข้อมูลจารึกในประเทศไทย ศูนย์มานุษยวิทยาสิรินธร, 2563. สืบค้นเมื่อ 18 กันยายน 2567.
- เพิ่งอ้าง, หน้า 2 บรรทัดที่ 18-20:- "๑๘. ประการหนึ่ง ทหารฝรั่งเศสซึ่งเข้าไปอยู่ ณ กรุงไทยนั้นเป็นคน ๑๙. ใหม่ มิรู้ขนบ ณ กรุงไทย จึงเกิดวิวาทผิดหมองกันกับ ๒๐. ชาวไทย".
- เพิ่งอ้าง, หน้า 3 บรรทัดที่ 33:- "กระษัตรเจ้ากรุงฝรั่งเศสให้ปาตรีทสรร เข้าไป ณ กรุงไทย", บรรทัด 35-36:- "แลสมเด็จพระมหากระษัตราธิ ๓๖. ราชเจ้ากรุงไทย".
- ↑ Description du Royaume Thai ou Siam" (1854)
- ↑ สุจิตต์ วงษ์เทศ (25 กุมภาพันธ์ 2018). "คนไทยเป็นชาวสยาม ของชาวยุโรปยุคอยุธยา". มติชนสุดสัปดาห์. สืบค้นเมื่อ 14 มิถุนายน 2023.
- ↑ ดนัย ไชยโยธา. (2543). พัฒนาการของมนุษย์กับอารยธรรมในราชอาณาจักรไทย เล่ม ๑. โอ.เอส. พริ้นติ้ง เฮ้าส์. หน้า 305.
- ↑ ชนิดา ศักดิ์ศิริสัมพันธ์. (2542). ท่องเที่ยวไทย. สำนักพิมพ์หน้าต่างสู่โลกกว้าง. หน้า 40. ISBN 974-86261-9-9.
- ↑ Hooker, Virginia Matheson (2003). A Short History of Malaysia: Linking East and West. St Leonards, New South Wales, Australia: Allen and Unwin. p. 72. ISBN 1864489553.
- ↑ คริส เบเคอร์ และ ผาสุก พงษ์ไพจิตร. (2563). ประวัติศาสตร์อยุธยา: ห้าศตวรรษสู่โลกใหม่. กรุงเทพฯ: มติชน. 463 หน้า. ISBN 978-974-0-21721-3
- ↑ 8.0 8.1 8.2 8.3 ปรีดี พิศภูมิวิถี. (2553). กระดานทองสองแผ่นดิน. กรุงเทพฯ: มติชน. 231 หน้า. ISBN 978-974-0-20626-2
- ↑ Burma Department of Information and Broadcasting. (1971). Forward Volume 10. Yangoon: Dept. of Information and Broadcasting. p. 23. :– "Shin Maharatta Thara the eminent monk-scholar of Ava Period also mentions "ယိုးဒယား" i.e. Yun Thais in his "Tada-U Mingala-zedi Mawgun," a famous verse. For centuries the prefix "yun" was used with the word "Yodaya" (Thailand) which literally means the "Yun Thais.""
- BARNETT, L.D., British Museum. Department of Oriental Printed Books and Manuscripts. (1913). A Catalogue of the Burmese Books in the British Museum. London: William Clowes and Sons. p. 133. :– "[Pôn taẉ Rāma kakkhaņa yo:-dayá: zāt taẉ kyÏ:. A Dramatised version of the Rāmayana.]"
- San San Hnin Tun and McCormick, P. (2014). "ယ", Colloquial Burmese: The Complete Course for Beginners. New York: Taylor & Francis Group
- ↑ 10.0 10.1 The Text Publication Fund of the Burma Research Society. (1923). The Glass Palace Chronicle of the Kings of Burma. (Translated by Pe Maung Tin and G.H. Luce). LONDON: Oxford University Press. pp. 92, 106.
- ↑ ศานติ ภักดีคำ. (2561). "เชลยชาวโยเดีย", ขุนหลวงหาวัด กษัตริย์ผู้เสียสละราชย์. กรุงเทพฯ: มติชน. 166 หน้า. ISBN 978-974-0-21612-4
- ↑ Cœdès, George. "Documents sur l'Histoire Politique et Religieuse du Laos Occidental," Bulletin de l'École française d'Extrême-Orient 25(1925): 24. doi:10.3406/befeo.1925.3044 ISSN 1760-737X. "Le Hmannan Yazawin (trad. Maung Tin et Luce, pp. 99 et 106) place les Gywam au Sud-Est des Birmans et dit que leur contrée est aussie appelée Arawsa ou Ayoja,c'est-à-dire Ayudhya = le Siam."
- ↑ 13.0 13.1 13.2 ดิเรก กุลสิริสวัสดิ์. (2517). ความสัมพันธ์ของมุสลิมทางประวัติศาสตร์ และวรรณคดีไทย และสำเภากษัตริย์สุลัยมาน (ฉบับย่อ). กรุงเทพฯ: สมาคมภาษา และหนังสือแห่งประเทศไทย ในพระบรมราชูปถัมภ์. 201 หน้า.
- ↑ ศูนย์วัฒนธรรม สาธารณรัฐอิสลามแห่งอิหร่าน. (2538). การสัมมนาเรื่อง เจ้าพระยาบวรราชนายก (เชค อหมัด คูมี) กับประวัติศาสตร์สยาม (Sheikh Ahmad Qomi and the history of Siam) วันที่ 15 พฤษภาคม 2537 ห้องประชุมศูนย์ศึกษาประวัติศาสตร์ จังหวัดพระนครศรีอยุธยา: รวมคําบรรยายและบทความทางวิชาการ. แปลโดย กิติมา อมรทัต. กรุงเทพฯ: ศูนย์วัฒนธรรม สาธารณรัฐอิสลามแห่งอิหร่าน. 288 หน้า. ISBN 978-974-8-92697-1
- ↑ 15.0 15.1 Oliver Codrington. (1904). A MANUAL OF MUSALMAN NUMISMATICS, The Royal Asiatic Society Monographs Vol. VII. LONDONS: Stephen Austin and Sons. 239 pp.
- ↑ Kertas Kerja. (1997). Cultures in Contact: Kertas kerja Simposium antarabangsa mengenai hubungan antara kebudayaan, Kuala Lumpur, 2-3 April 1996. Kem. Kebudayaan, Kesenian & Pelancongan ; Ecole française d'Extrême-Orient (EFEO), Kuala Lumpur, Paris. 240 pp. ISBN 978-967-9-03018-1
- ↑ Academic and Cultural Publications Charitable Trust (Hyderabad, India), Islamic Culture Board, Marmaduke William Pickthall, Muhammad Asad. Islamic Culture, 77(1-2), (2003): p. 62, p.69.
- ↑ 18.0 18.1 18.2 ธวัชชัย ตั้งศิริวานิช. (2566, 5 มีนาคม). "จาก “แชร์นอเนิม” มาเป็น “ซาร์เนา” ชื่อเก่า อยุธยา ก่อนการเข้ามาของโปรตุเกส". ศิลปวัฒนธรรมออนไลน์. (14 กันยายน 2562). สืบค้นเมื่อ 19 พฤศจิกายน 2566.
- ↑ จันทร์ฉาย ภัคอธิคม. (2543). "ชะตากรรมพระยาละแวกถูกปฐมกรรมจริงหรือ?", ศิลปวัฒนธรรม 21(10-11), (กันยายน 2543): 31.
- ↑ Nicolas Gervaise and Herbert Stanley O'Neill. (1928). The Natural and Political History of the Kingdom of Siam A.D. 1688. Translated by Herbert Stanley O'Neill. Bangkok: Siam Observer Press. 150 pp.
- ↑ อาทร จันทรวิมล. (2546). ประวัติของแผ่นดินไทย. กรุงเทพฯ: อักษรไทย. 445 หน้า
- ↑ วินัย พงศ์ศรีเพียร และประเสริฐ ณ นคร. (2552). อาจารยบูชา: สรรพสาระ ประวัติศาสตร์ ภาษาและวรรณกรรมไทย (โครงการวิจัย ๑๐๐ เอกสารสําคัญเกี่ยวกับประวัติศาสตร์ไทย). กรุงเทพฯ: ศักดิ์โสภาการพิมพ์. หน้า 137. ISBN 978-974-6-42582-7
- ↑ 23.0 23.1 ประสาน บุญประครอง. "พระราชสาส์น อักษรไทย ภาษาไทย สมัยอยุธยา," ศิลปากร, 4(3)(กันยายน 2503): 45–54.
- ↑ พระราชสาส์นถึงพระเจ้าดอนฟิลิปแห่งโปรตุเกส. ศูนย์มานุษยวิทยาสิรินธร (องค์การมหาชน). สืบค้นเมื่อ 6 ตุลาคม 2567.
- ↑ George Modelski, World Cities: –3000 to 2000, Washington DC: FAROS 2000, 2003. ISBN 978-0-9676230-1-6. See also "Evolutionary World Politics Homepage". คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 28 ธันวาคม 2008.
- ↑ "Ayutthaya, Thailand's historic city". The Times Of India. 31 กรกฎาคม 2008.
- ↑ Derick Garnier (2004). Ayutthaya: Venice of the East. River books. ISBN 974-8225-60-7.
- ↑ "Ayutthaya Historical Park". Asia's World Publishing Limited. คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 5 ตุลาคม 2011. สืบค้นเมื่อ 22 กันยายน 2011.
- ↑ 29.0 29.1 ธนิต อยู่โพธิ์, กรมศิลปากร. (2503). "แคว้นอโยธยา," เรื่องเมืองไตรตรึงส์ อู่ทอง และอโยธยา และเมืองอู่ทอง. ที่ระลึกในการฌาปนกิจศพ นางรัตนา มานิตยกุล ณ เมรุวัดธาตุทอง อำเภอพระโขนง พระนคร วันที่ ๑๘ เมษายน ๒๕๐๓. พระนคร: รุ่งเรืองธรรม. หน้า 37–50.
- ↑ วินัย ผู้นำพล. (2552). วัฒนธรรมผสมในศิลปกรรมสยาม. นครปฐม: คณะอักษรศาสตร์ มหาวิทยาลัยศิลปากร. หน้า 458. ISBN 978-974-6-41261-2
- Archaeological Survey of Burma (ed.). (1897). Inscriptions copied from the stones collected by King Bodawpaya and placed near the Arakan Pagoda, Mandalay, Vol. II. Rangoon: SGP. p. 627.
- ↑ 31.0 31.1 "จิตร ภูมิศักดิ์ ตรวจสอบหลักฐาน พบเมืองอโยธยา เก่ากว่าสุโขทัย". มติชนสุดสัปดาห์ ฉบับวันที่ 19-25 พฤษภาคม 2566. สืบค้นเมื่อ 1 สิงหาคม 2567.
- ↑ The Text Publication Fund of the Burma Research Society. (1923). The Glass Palace Chronicle of the Kings of Burma. (Translated by Pe Maung Tin and G.H. Luce). LONDON: Oxford University Press. p 106.
- ↑ ธนโชติ เกียรติณภัทร. "อโยธยา ก่อน พ.ศ. ๑๘๙๓ ความทรงจำจากเอกสารและตำนาน (กฎหมาย ๔ ฉบับ และปีที่สร้างพระเจ้าแพนงเชิง)," ศิลปวัฒนธรรม 44(10)(สิงหาคม 2566):20. อ้างใน กฏหมายตราสามดวง เล่ม ๓. หน้า 173.
- ↑ กรมศิลปากร. (2521). เรื่องกฎหมายตราสามดวง. กรุงเทพฯ: กรมศิลปากร. หน้า 414.
- ↑ สุจิตต์ วงษ์เทศ. (2548). อักษรไทยมาจากไหน. กรุงเทพฯ: มติชน. หน้า 117. ISBN 974-323-547-7
- ณัฏฐพล ตันมิ่ง. (2551, 26 สิงหาคม). วรรณคดียุคอโยธยา เก่าแก่กว่าจารึกสุโขทัย เกือบ 100 ปี. GotoKnow. สืบค้นเมื่อ 29 กรกฎาคม 2567.
- ↑ กรมศิลปากร. (2498). พระราชพงศาวดารกรุงเก่า ฉบับหลวงประเสริฐอักษรนิติ์. จอมพลผิน ชุณหะวัณ และนางเพทาย พยุงเวชชศาสตร์ พิมพ์แจกในงานพระราชทานเพลิงศพ หลวงพยุงเวชชศาสตร์ (พยุง พยุงเวช) และแพทย์หญิงสุภาณี พยุงเวช วันที่ ๑๒ กุมภาพันธ์ ๒๔๙๘. พระนคร: โรงพิมพ์มหามกุฏราชวิทยาลัย. หน้า 129.
- ↑ อาทร จันทวิมล. (2546). ประวัติของแผ่นดินไทย. กรุงเทพฯ: อักษรไทย. หน้า 226.
- ↑ สุจิตต์ วงษ์เทศ. "พลังลาว" ชาวอีสาน มาจากไหน?. กรุงเทพฯ : มติชน. 2549, หน้า 95
- ↑ การปรับแก้เทียบศักราช และ อธิบายความ พระราชพงศาวดารกรุงเก่า ฉบับหลวงประเสริฐ, หน้า 13-14
- ↑ การปรับแก้เทียบศักราช และ อธิบายความ พระราชพงศาวดารกรุงเก่า ฉบับหลวงประเสริฐ, หน้า 14
- ↑ พระราชพงษาวดาร ฉบับพระราชหัดถเลขา (2455)/ภาค 1/แผ่นดินที่ 1 สมเด็จพระรามาธิบดีที่ 1
- ↑ "อโยธยาศรีรามเทพนคร". คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 21 กรกฎาคม 2021.
- ↑ "The Tai Kingdom of Ayutthaya". The Nation: Thailand's World. 2009. คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 21 กรกฎาคม 2008. สืบค้นเมื่อ 28 มิถุนายน 2009.
- ↑ พระบริหารเทพธานี. (2541). ประวัติศาสตร์ไทย เล่ม ๒. โสภณการพิมพ์. หน้า 67.
- ↑ อาณาจักรอยุธยา ตอนที่ 1 First Revision: July 18, 2015 Last Change: Jan.13, 2020 สืบค้น รวบรวม เรียบเรียง และปริวรรตโดย อภิรักษ์ กาญจนคงคา.
- ↑ การปรับแก้เทียบศักราช และ อธิบายความ พระราชพงศาวดารกรุงเก่า ฉบับหลวงประเสริฐ, หน้า 2
- ↑ ทั้งนี้ เมื่อปรับแก้ให้เป็นวันที่ตามระบบปฏิทินสุริยคติแบบจูเลียนแล้ว ตรงกับวันศุกร์ที่ 4 มีนาคม พ.ศ. 1894 (ค.ศ. 1351) และเมื่อปรับแก้เป็นปฏิทินสุริยคติแบบกริกอเรียนซึ่งเป็นปฏิทินสากลที่ใช้กันอยู่ปัจจุบัน ตรงกับวันศุกร์ที่ 12 มีนาคม พ.ศ. 1894 (ค.ศ. 1351) ; วันที่ 4 มีนาคม พ.ศ. 1893 เป็นวันสถาปนากรุงศรีอยุธยาจริงหรือ?
- ↑ Higham 1989, p. 355
- ↑ "The Aytthaya Era, 1350–1767". U. S. Library of Congress. สืบค้นเมื่อ 25 กรกฎาคม 2009.
- ↑ Jin, Shaoqing (2005). Office of the People's Goverernment of Fujian Province (บ.ก.). Zheng He's voyages down the western seas. Fujian, China: China Intercontinental Press. p. 58. สืบค้นเมื่อ 2 สิงหาคม 2009.
- ↑ Lt. Gen. Sir Arthur P. Phayre (1883). History of Burma (1967 ed.). London: Susil Gupta. p. 111.
- ↑ 52.0 52.1 GE Harvey (1925). History of Burma. London: Frank Cass & Co. Ltd. pp. 167–170.
- ↑ Phayre, pp. 127–130
- ↑ Phayre, p. 139
- ↑ Wyatt 2003, pp. 90–121
- ↑ Christopher John Baker; Pasuk Phongpaichit (14 เมษายน 2009). A history of Thailand. Cambridge University Press. p. 22. ISBN 978-0-521-76768-2. สืบค้นเมื่อ 25 มิถุนายน 2023.
- ↑ ประเสริฐ ณ นคร. วารสารราชบัณฑิตยสถาน. สืบค้นเมื่อ 14 ธันวาคม 2552.
- ↑ 58.0 58.1 "แถลงงานคณะกรรมการชำาระประวัติศาสตร์ไทย พุทธศักราช ๒๕๖๔" (PDF). กรมศิลปากร กระทรวงวัฒนธรรม. 2022. p. 145-150. สืบค้นเมื่อ 11 เมษายน 2023.
- ↑ คณะกรรมการจังหวัดพระนครศรีอยุธยา. (2513). สมเด็จพระเจ้าอู่ทองรามาธิบดีศรีสินทรบรมบพิตรพระเจ้าอยู่หัว. ที่ระลึกเนื่องในอภิลักขิตมงคลสมัยพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวภูมิพลอดุลยเดช เสด็จพระราชดำเนินทรงเปิดพระราชอนุสาวรีย์พระเจ้าอู่ทองรามาธิบดีที่ ๑ และอยุธยามหาปราสาท วันที่ ๒๔ มิถุนายน พุทธศักราช ๒๕๑๓. พระนคร: ศิริมิตรการพิมพ์. หน้า 121.
- ↑ กรมศิลปากร. (2521). เรื่องกฎหมายตราสามดวง. กรุงเทพฯ: กรมศิลปากร. หน้า 414.
- ↑ ธนโชติ เกียรติณภัทร."อโยธยาก่อน พ.ศ. ๑๘๙๓ ความทรงจำจากเอกสารและตำนาน," ศิลปวัฒนธรรม, 44(10)(สิงหาคม, 2566): 21. อ้างใน กฏหมายตราสามดวง.
- ↑ รุ่งโรจน์ ภิรมย์อนุกูล. (2560). พระศรีสรรเพชญ์ ไม่ถูกไฟเผาลอกทอง ตอนกรุงแตก. กรุงเทพฯ: มติชน. หน้า 133. ISBN 978-974-02-1543-1
- ↑ ตรงใจ หุตางกูร.(2561) ปรับแก้เทียบศักราช และ การอธิบายความ พระราชพงศาวดารกรุงเก่า ฉบับหลวงประเสริฐ. กรุงเทพฯ: ศูนย์มนุษย์วิทยาสิรินธร (องค์การมหาชน)
- ↑ Coedès, George (1968). Walter F. Vella (บ.ก.). The Indianized States of Southeast Asia. trans.Susan Brown Cowing. University of Hawaii Press. ISBN 978-0-8248-0368-1.
- ↑ พิเศษ เจียจันทร์พงษ์ (25 มีนาคม 2560). "อย่าลืม! ราชสำนักเมืองเหนือ ที่พิษณุโลก". ศิลปวัฒนธรรม. สืบค้นเมื่อ 20 ตุลาคม 2560.
{{cite web}}
: ตรวจสอบค่าวันที่ใน:|accessdate=
(help) - ↑ โกวิท วงศ์สุรวัฒน์. หน้า 5.
- ↑ 67.0 67.1 โกวิท วงศ์สุรวัฒน์. หน้า 6.
- ↑ โกวิท วงศ์สุรวัฒน์. หน้า 7.
- ↑ โกวิท วงศ์สุรวัฒน์. หน้า 9.
- ↑ โกวิท วงศ์สุรวัฒน์. หน้า 10.
- ↑ 71.0 71.1 โกวิท วงศ์สุรวัฒน์. หน้า 11.
- ↑ 72.0 72.1 72.2 "The Economy and Economic Changes". The Ayutthaya Administration. Department of Provincial Administration. คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 20 พฤศจิกายน 2010. สืบค้นเมื่อ 30 มกราคม 2010.
- ↑ Tome Pires. The Suma Oriental of Tome Pires. London, The Hakluyt Society,1944, p.107
- ↑ 74.0 74.1 74.2 74.3 74.4 74.5 "Ayutthaya". Mahidol University. 1 พฤศจิกายน 2002. คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 23 กุมภาพันธ์ 2010. สืบค้นเมื่อ 1 พฤศจิกายน 2009.
- ↑ 75.0 75.1 โกวิท วงศ์สุรวัฒน์. หน้า 12.
- ↑ โกวิท วงศ์สุรวัฒน์. หน้า 13.
- ↑ "Background Note: Thailand". U.S. Department of State. กรกฎาคม 2009. เก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 4 พฤศจิกายน 2009. สืบค้นเมื่อ 8 พฤศจิกายน 2009.
- ↑ 78.0 78.1 78.2 Sharon La Boda (1994). Trudy Ring; Robert M. Salkin (บ.ก.). International Dictionary of Historic Places: Asia and Oceania. Vol. 5. Taylor & Francis. p. 56. ISBN 1-884964-04-4. สืบค้นเมื่อ 10 ธันวาคม 2009.
- ↑ Simon de La Loubère, "The Kingdom of Siam" (Oxford Univ Press, 1986) (1693), p. 49
- ↑ La Loubère (1693), at 49
- ↑ James Low (1839). "On Siamese Literature" (PDF). p. 177. คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิม (PDF)เมื่อ 12 พฤศจิกายน 2022.
- ↑ มร.เดอะ ลาลูแบรฺ. จดหมายเหตุลาลูแบรฺฉบับสมบูรณ์, เล่มที่ 1, แปล สันต์ ท. โกมลบุตร. พระนคร:ก้าวหน้า. 2510, หน้า 46
- ↑ มร.เดอะ ลาลูแบรฺ. จดหมายเหตุลาลูแบรฺฉบับสมบูรณ์, หน้า 47
- ↑ Anthony Reid, South East Asia in the Age of Commerce: Expansion and Crisis (1988), p.71–73
- ↑ 85.0 85.1 85.2 สุจิตต์ วงษ์เทศ. อักษรไทยมาจากไหน?. หน้า 128
- ↑ สุจิตต์ วงษ์เทศ. อักษรไทยมาจากไหน?. หน้า 130
- ↑ มร.เดอะ ลาลูแบรฺ. จดหมายเหตุลาลูแบรฺฉบับสมบูรณ์, หน้า 45
- ↑ Simon de La Loubère, The Kingdom of Siam (Oxford Univ. Press 1986) (1693), at 9
- ↑ La Loubère (1693), p.10
- ↑ La Loubère (1693), p.10
- ↑ 91.0 91.1 สุจิตต์ วงษ์เทศ. อักษรไทยมาจากไหน?. หน้า 129
- ↑ 92.0 92.1 สุจิตต์ วงษ์เทศ. กรุงเทพฯ มาจากไหน?. หน้า 188
- ↑ สุภรณ์ โอเจริญ. ชาวมอญในประเทศไทย:วิเคราะห์ฐานะและบทบาทในสังคมไทยตั้งแต่สมัยอยุธยาตอนกลางจนถึงสมัยรัตนโกสินทร์ตอนต้น. (วิทยานิพนธ์ปริญญามหาบัณฑิตบัณฑิตวิทยาลัย จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย, พ.ศ. 2519), หน้า 48–68
- ↑ พระราชพงศาวดารกรุงศรีอยุธยาฉบับพันทานุมาศ (เจิม) กับพระจักรพรรดิพงศ์ (จาด) . พระนคร:คลังวิทยา, 2507, หน้า 145 และ 403
- ↑ พระราชพงศาวดารกรุงศรีอยุธยาฉบับพันทานุมาศ (เจิม) กับพระจักรพรรดิพงศ์ (จาด) , หน้า 446
- ↑ พระราชพงศาวดารกรุงศรีอยุธยาฉบับพันทานุมาศ (เจิม) กับพระจักรพรรดิพงศ์ (จาด) , หน้า 463
- ↑ นิโกลาส์ แชรแวส. ประวัติศาสตร์ธรรมชาติและการเมืองแห่งราชอาณาจักรสยาม (ในแผ่นดินสมเด็จพระนารายณ์มหาราช) . แปลโดย สันต์ ท. โกมลบุตร. พระนคร:ก้าวหน้า, 2506, หน้า 62
- ↑ ประชุมพงศาวดารภาคที่ 36 ฉบับหอสมุดแห่งชาติ, เล่ม 9. พระนคร:ก้าวหน้า, 2507, หน้า 150
- ↑ พระราชพงศาวดารกรุงศรีอยุธยาฉบับพันทานุมาศ (เจิม) กับพระจักรพรรดิพงศ์ (จาด), หน้า 507-508
- ↑ สมเด็จฯกรมพระยาดำรงราชานุภาพ. ไทยรบพม่า. พระนคร:คลังวิทยา, 2514. หน้า 235–237
- ↑ บังอร ปิยะพันธุ์, หน้า 11
- ↑ บาทหลวงตาชารด์, แปล สันต์ ท. โกมลบุตร. จดหมายเหตุการเดินทางสู่ประเทศสยามของบาทหลวงตาชาร์ด. กรุงเทพฯ:กรมศิลปากร, 2517, หน้า 46
- ↑ เซอร์จอห์น เบาริง แปล นันทนา ตันติเวสส์. หน้า 73
- ↑ พลับพลึง มูลศิลป์. ความสัมพันธ์ไทย-ฝรั่งเศสสมัยกรุงศรีอยุธยา, กรุงเทพฯ:บรรณกิจ, 2523. หน้า 72
- ↑ เซอร์จอห์น เบาริง แปล นันทนา ตันติเวสส์. หน้า 95–115
- ↑ สุภัตรา ภูมิประภาส. นางออสุต: เมียลับผู้ทรงอิทธิพลแห่งการค้าเมืองสยาม. ในศิลปวัฒนธรรม ปีที่ 30 ฉบับที่ 11 กันยายน 2552 กรุงเทพ: สำนักพิมพ์มติชน, 2552. หน้า 93.
- ↑ ภาสกร วงศ์ตาวัน. ไพร่ ขุนนาง เจ้า แย่งชิงบัลลังก์สมัยอยุธยา. กรุงเทพฯ: ยิปซี. หน้า 80.
- ↑ ไกรฤกษ์ นานา. 500 ปี สายสัมพันธ์สองแผ่นดินไทย-โปรตุเกส. กรุงเทพฯ: มติชน, 2553. หน้า 126.
- ↑ สุจิตต์ วงษ์เทศ. กรุงเทพฯ มาจากไหน?. หน้า 190.
- ↑ Liberman (2003), "Strange Parallel Southeast Asia in Global Context c. 800 - 1830, Vol. 1", at 313–314
- ↑ Liberman (2003), Strange Parallel Southeast Asia in Global Context, at 324
- ↑ Van Vliet (1692), "Description of the Kingdom of Siam" (L.F. Van Ravenswaay trans.), at 82
- ↑ Liberman (2003), "Strange Parallel Southeast Asia in Global Context", at 329–330
- ↑ "สุเนตร ชุตินธรานนท์: ไขคติ "เบิกยุค" ของพม่า เหตุย้ายเมืองหลวงไป "เนปิดอว์"". ประชาไท.
- ↑ 115.0 115.1 115.2 115.3 115.4 สุจิตต์ วงษ์เทศ. อักษรไทยมาจากไหน?. หน้า 132
- ↑ 116.0 116.1 สุจิตต์ วงษ์เทศ. อักษรไทยมาจากไหน?. หน้า 133
- ↑ 117.0 117.1 สุจิตต์ วงษ์เทศ. อักษรไทยมาจากไหน?. หน้า 130
- ↑ สุดารา สุจฉายา. ประวัติศาสตร์เก็บตกที่อิหร่านย้อนรอยสายสัมพันธ์ไทย-อิหร่าน. กรุ่นกลิ่นอารยธรรมเปอร์เซียในเมืองสยาม. กรุงเทพฯ : มติชน, 2550. หน้า 144
- ↑ อาทิตย์ ทรงกลด. เรื่องลับเขมรที่คนไทยควรรู้. กรุงเทพฯ:สยามบันทึก, 2552. หน้า 106
- ↑ 120.0 120.1 โกวิท วงศ์สุรวัฒน์. หน้า 14.
- ↑ Donald Frederick Lach, Edwin J. Van Kley, "Asia in the making of Europe", pp. 520–521, University of Chicago Press, 1994, ISBN 978-0-226-46731-3.
- ↑ "ประวัติสัมพันธไมตรีสยาม-เนเธอร์แลนด์ รัชกาลสมเด็จพระเอกาทศรถ (1)". คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 14 กรกฎาคม 2021. สืบค้นเมื่อ 25 พฤษภาคม 2018.
- ↑ "The Beginning of Relations with Buropean Nations and Japan (sic)". Thai Ministry of Foreign Affairs. 2006. คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 21 มิถุนายน 2009. สืบค้นเมื่อ 11 กุมภาพันธ์ 2010.
- ↑ 124.0 124.1 Smithies, Michael (2002). Three military accounts of the 1688 "Revolution" in Siam. Bangkok: Orchid Press. pp. 12, 100, 183. ISBN 974-524-005-2.
บรรณานุกรม
[แก้]- Van Vliet, Jeremias, "Description of the Kingdom of Siam" (L.F. Van Ravenswaay trans.) (1692).
- Higham, Charles (1989). The Archaeology of Mainland Southeast Asia. Cambridge, England: Cambridge University Press. ISBN 0-521-27525-3. สืบค้นเมื่อ 6 กันยายน 2009.
- Liberman, Victor, "Strange Parallel Southeast Asia in Global Context c. 800 - 1830, Vol. 1: Integration on the Mainland" (Cambridge Univ. Press, 2003).
- Wyatt, David K. (2003). Thailand: A Short History. New Haven, Connecticut: Yale University Press. ISBN 0-300-08475-7.
- โกวิท วงศ์สุรวัฒน์. การเมืองการปกครองไทย: หลายมิติ.
- นิโกลาส์ แชรแวส. ประวัติศาสตร์ธรรมชาติและการเมืองแห่งราชอาณาจักรสยาม (ในแผ่นดินสมเด็จพระนารายณ์มหาราช) , แปลโดย สันต์ ท. โกมลบุตร. พระนคร:ก้าวหน้า, 2506
- พระราชพงศาวดารกรุงศรีอยุธยาฉบับพันทานุมาศ (เจิม) กับพระจักรพรรดิพงศ์ (จาด).พระนคร: คลังวิทยา, 2507
- บาทหลวงตาชารด์, แปล สันต์ ท. โกมลบุตร. จดหมายเหตุการเดินทางสู่ประเทศสยามของบาทหลวงตาชาร์ด. กรุงเทพฯ: กรมศิลปากร, 2517
- ตรงใจ หุตางกูร. การปรับแก้เทียบศักราช และ อธิบายความ พระราชพงศาวดารกรุงเก่า ฉบับหลวงประเสริฐ. กรุงเทพฯ: ศูนย์มานุษยวิทยาสิรินธร (องค์การมหาชน), 2561. ISBN 978-616-7154-73-2
- สุจิตต์ วงษ์เทศ. อักษรไทยมาจากไหน?. กรุงเทพฯ: มติชน, 2548. ISBN 974-323-547-7
- เซอร์จอห์น เบาริง, แปล นันทนา ตันติเวสส์. ความสัมพันธ์ระหว่างประเทศสยามกับต่างประเทศสมัยกรุงศรีอยุธยา. กรุงเทพฯ: กรมศิลปากร, 2527
- บังอร ปิยะพันธุ์. ลาวในกรุงรัตนโกสินทร์. กรุงเทพฯ: มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์, 2541. ISBN 974-86304-7-1
- สุจิตต์ วงษ์เทศ. กรุงเทพฯ มาจากไหน?. กรุงเทพฯ: มติชน, 2548. ISBN 974-323-436-5
- Suthachai Yimprasert, "Portuguese Lancados in Asia in the Sixteenth and Seventeenth Centuries, " Ph.D. Dissertation, University of Bristol, 1998.
แหล่งข้อมูลอื่น
[แก้]- นเรศวรดอตคอม
- "พระราชพงศาวดารกรุงศรีอยุธยา เล่ม 1–2". คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 12 พฤษภาคม 2013.
- "รวมบทความประวัติศาสตร์ของกรุงศรีอยุธยา". คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 25 มีนาคม 2008.
- "ประวัติศาสตร์กรุงศรีอยุธยา". วิชาการ.คอม. คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 28 กันยายน 2007.
- "หอมรดกไทย". คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 12 กุมภาพันธ์ 2008.
- กรุงศรีอยุธยา
- "อยุธยาชาแนล.คอม". คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 16 กุมภาพันธ์ 2012.