ชาวไทยในพม่า
ประชากรทั้งหมด | |
---|---|
ไม่ทราบ | |
ภูมิภาคที่มีประชากรอย่างสำคัญ | |
![]() | ไม่ทราบ |
เขตตะนาวศรี | 41,258 (พ.ศ. 2530)[1] |
รัฐกะเหรี่ยง | ราว 20,000 (พ.ศ. 2557)[2] |
ย่างกุ้ง | ไม่ทราบ[3] |
ท่าขี้เหล็ก | ไม่ทราบ[4][5] |
![]() | 28,000[6] |
ภาษา | |
ไทย (ถิ่นใต้ · ถิ่นเหนือ · ถิ่นอีสาน) · พม่า · มลายูไทรบุรี | |
ศาสนา | |
ศาสนาพุทธ ส่วนน้อยอิสลาม | |
กลุ่มชาติพันธุ์ที่เกี่ยวข้อง | |
ไทยสยาม · ไทยวน · พม่าเชื้อสายจีน · พม่าเชื้อสายมลายู |
ชาวไทยในพม่า พม่าเรียก ฉ่า หรือเป็นไทยมุสลิมจะเรียก ฉ่าปะซู คือกลุ่มชาติพันธุ์ที่มีเชื้อสายเดียวกับไทยสยามในประเทศไทย ซึ่งอาศัยอยู่ในประเทศพม่า แต่เป็นคนละกลุ่มกับชาวโยดายา โดยมากอาศัยอยู่บริเวณเขตตะนาวศรีทางตอนใต้ของประเทศพม่า มีประวัติการตั้งถิ่นฐานในบริเวณดังกล่าวมายาวนาน ก่อนที่ดินแดนจะกลายเป็นส่วนหนึ่งของประเทศพม่าในปัจจุบัน[7] พวกเขายังคงอัตลักษณ์ความเป็นไทยไว้ ทั้งภาษา, ศาสนา, การใช้สกุลเงินไทย และการใช้นามสกุลอย่างคนไทย[8][9]
ระยะหลังชาวไทยพลัดถิ่นจากประเทศพม่าจำนวนมากอพยพไปประเทศไทยในสถานะคนต่างด้าวไร้สัญชาติ อาศัยอยู่บริเวณสี่จังหวัดติดชายแดนได้แก่ จังหวัดตาก, จังหวัดประจวบคีรีขันธ์, จังหวัดชุมพร และจังหวัดระนอง[10] บางส่วนกระจายตัวไปยังจังหวัดพังงา[11] โดยให้เหตุผลว่าพวกเขาถูกกดขี่จากประเทศต้นทาง[1][12][13] และพยายามขอสัญชาติไทย[14][15]
นอกจากชาวไทยพื้นเมืองแล้ว ยังมีบุคคลสัญชาติไทยที่เข้าไปพำนักหรือไปประกอบอาชีพในประเทศพม่า มีจำนวน 1,307 คน เมื่อ พ.ศ. 2560[16]
เนื้อหา
ประวัติ[แก้]
เขตตะนาวศรี[แก้]
มีหลักฐานทางประวัติศาสตร์บ่งชี้ว่าชาวสยามได้ก่อตั้งเมืองตะนาวศรี และบริเวณดังกล่าวเป็นเขตอิทธิพลของกษัตริย์สยามมาช้านาน[17] จากเอกสาร สำเภากษัตริย์สุไลมาน ระบุว่าทั้งเมืองมะริดและตะนาวศรีเป็นหัวเมืองสำคัญของอยุธยา[18] และ พ.ศ. 2228 "ตะนาวศรีเป็นเมืองอุดมสมบูรณ์ มีพลเมืองเป็นชาวสยามประมาณ 5-6 พันครัว"[17] ช่วงคริสต์ศตวรรษที่ 17 มะริดยังเป็นของสยาม "ที่นั่นเต็มไปด้วยกลุ่มคนหลากหลายเชื้อชาติ ทั้งพม่า สยาม จีน อินเดีย มลายู และยุโรป"[19] หลังการเสียกรุงศรีอยุธยาครั้งที่สองและหลังการสถาปนากรุงรัตนโกสินทร์ มีความพยายามจากกษัตริย์สยามในการตีเมืองต่าง ๆ ในบริเวณนี้คืนจากพม่าหลายครั้ง แต่ไม่ประสบความสำเร็จ[20] ตะนาวศรีถูกทำลายด้วยการยึดครองของพม่า แล้วตามด้วยการปกครองของสหราชอาณาจักรอีกทอดหนึ่ง ส่งผลให้เมืองท่าในแถบตะนาวศรีที่เคยมั่งคั่งจึงเสื่อมลง เพราะ "ถูกเทือกเขาตัดขาดจากพื้นที่ราบอันอุดมสมบูรณ์ของจีนและสยาม" ที่สุดจึงกลายเป็นดินแดนชายขอบอันล้าหลังของพม่า และกลายเป็นดินแดนของชนกลุ่มน้อย[21]
ในยุคอาณานิคม สหราชอาณาจักรได้ทำการสำรวจจำนวนประชากร เซอร์เจมส์ สกอตต์ระบุว่า มีชาวสยามอยู่ในเขตตะนาวศรี 19,631 คน อาศัยในเมืองทวาย, แอมเฮิสต์ และมะริด[22] ส่วน ราชอักขรานุกรมภูมิศาสตร์อินเดีย (Imperial Gazetteer of India) ระบุว่าในปี พ.ศ. 2444 มีชาวสยามในเมืองมะริด 9,000 คน แบ่งเป็นชาวสยามในตำบลบกเปี้ยนร้อยละ 53 ตำบลตะนาวศรีร้อยละ 40 และตำบลมะลิวัลย์มีชาวสยาม, มลายู และจีนทั้งตำบล ชาวพม่าหาไม่พบ[22] ส่วนเมืองทวาย มีประชากรเพียง 200 คนเท่านั้นที่ระบุตัวตนว่าเป็นชาวสยาม[22] ทั้ง ๆ ที่มีร่องรอยของชาวสยามอาศัยมายาวนาน ดังปรากฏหลักฐานตามศาสนสถาน[23]
หลังพม่าได้รับเอกราชเป็นต้นมาชาวไทยที่อาศัยในแถบตะนาวศรีอยู่อย่างสุขสงบมาตลอด จนกระทั่ง พ.ศ. 2535 พม่าได้ตั้งกระทรวงพัฒนาพื้นที่ชายแดนและเชื้อชาติแห่งชาติขึ้น ซึ่งดำเนินนโยบายพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานละการโยกย้ายประชาชนจากพื้นที่ที่ประชากรหนาแน่นไปยังพื้นที่ชายแดนต่าง ๆ ซึ่งรวมถึงชุมชนไทยด้วย หลังจากนั้นพม่าจึงเริ่มนโยบายกลืนคนไทย ได้แก่ การตั้งโรงเรียนพม่า การนำชาวพม่ามาแทรกซึมในชุมชนไทย และการนำพระสงฆ์พม่าเข้ามาประจำในวัดไทย[22] นอกจากนี้ยังมีการใช้แรงงานคนไทยไปเป็นลูกหาบให้กองทัพพม่าไปสู้รบกับกองกำลังชนกลุ่มน้อยช่วง พ.ศ. 2531-2534[22]
ปัจจุบันชาวไทยในเขตตะนาวศรีราว 3 ใน 4 ยอมมีสถานะเป็นคนต่างด้าวเข้าเมืองในไทย แบ่งเป็นสี่กลุ่มใหญ่ ๆ คือกลุ่มชาวไทยที่อพยพจากตะนาวศรี (Tanintharyi) – สิงขร (Theinkun) จะอาศัยอยู่ในอำเภอเมืองประจวบคีรีขันธ์, อำเภอบางสะพาน, อำเภอบางสะพานน้อย และอำเภอทับสะแก จังหวัดประจวบคีรีขันธ์ กลุ่มที่สองคือชาวไทยที่อพยพจากลังเคี๊ยะ (Lenya) อาศัยอยู่ในอำเภอท่าแซะ จังหวัดชุมพร กลุ่มที่สามคือชาวไทยที่อพยพจากบกเปี้ยน (Bokpyin) อาศัยอยู่ในอำเภอเมืองระนอง และอำเภอกะเปอร์ จังหวัดระนอง และกลุ่มที่สี่คือชาวไทยที่อพยพจากมะลิวัลย์ (Maliwan) – เกาะสอง (Kawthaung) – ตลาดสุหรี (Karathuri) อาศัยอยู่อำเภอกระบุรี, อำเภอเมืองระนอง และอำเภอละอุ่น จังหวัดระนอง[24] มีการประมาณการถึงผู้อพยพเข้าไทยจำนวนมากถึง 28,000 คน[6]
รัฐกะเหรี่ยง[แก้]
ตั้งถิ่นฐานที่บ้านห้วยส้าน, บ้านแม่แปป, บ้านปางกาน, บ้านหนองห้า, บ้านแม่กาใน, บ้านผาซอง, บ้านปะล้ำปะตี๋ และบ้านไฮ่ เมืองเมียวดี (Myawaddy) รัฐกะเหรี่ยง รวมทั้งหมด 7 หมู่บ้าน มีประชากรราว 20,000 คน[2] ชาวไทยกลุ่มนี้เรียกตนเองว่า ไต เป็นชาวไทยวนที่อพยพมาจากอำเภอแม่สอด อำเภอแม่ระมาด จังหวัดตาก อำเภอเถิน อำเภอแม่พริก อำเภองาว จังหวัดลำปาง บ้างก็มาจากจังหวัดลำพูน, เชียงใหม่หรือน่านก็มี โดยเข้าทำงานเป็นคนงานตัดไม้ของบริษัทอังกฤษราวร้อยปีก่อน[25] บ้างก็ว่าหนีการเสียภาษีจากรัฐบาลสยาม[2] จึงเข้าไปตั้งถิ่นฐานในบริเวณดังกล่าว ปัจจุบันพวกเขายังใช้ภาษาไทยถิ่นเหนือ และนับถือศาสนาพุทธ[2] รวมทั้งมีการอนุรักษ์ขนบธรรมเนียมประเพณีของไทยอย่างดี[26] ชาวไทยกลุ่มนี้ส่วนหนึ่งอพยพกลับประเทศไทยราว 30 ปีก่อน อาศัยอยู่อำเภอแม่สอดและอำเภอแม่ระมาด จังหวัดตาก โดยไม่มีสัญชาติไทย[26]
นอกจากเมืองเมียวดี ยังมีชาวไทยตั้งถิ่นฐานในเมืองพะย่าโต้นซู (Payathonzu) จำนวนหนึ่ง[27]
รัฐมอญ[แก้]
ใน ราชอักขรานุกรมภูมิศาสตร์อินเดีย (Imperial Gazetteer of India) ระบุว่าในปี พ.ศ. 2444 มีชาวสยามตั้งนิคมขนาดน้อยในเมืองแอมเฮิสต์ ส่วนเมืองสะเทิมซึ่งเป็นเมืองสำคัญแห่งหนึ่งของรัฐมอญ มีชาวสยามตั้งถิ่นฐาน 10,000 คน[22]
วัฒนธรรม[แก้]
ภาษา[แก้]
คริสต์ศตวรรษที่ 17 ภาษาไทยเป็นภาษาราชการและภาษาทางการของมะริดและตะนาวศรี ทั้ง ๆ ที่มีชุมชนไทยเป็นชนกลุ่มน้อยขนาดเล็กในนั้น แต่ประชากรส่วนใหญ่ล้วนเป็นพม่าหรือมอญ[19] ปัจจุบันชาวไทยในเขตตะนาวศรีเกือบทั้งหมดยังคงใช้ภาษาไทยถิ่นใต้สำหรับการสื่อสารในชีวิตประจำวันเช่นเดียวกับชาวไทยทางภาคใต้ของประเทศไทย[28] ยกเว้นที่บ้านท่าตะเยี๊ยะที่พูดภาษาไทยถิ่นอีสาน[1]และชาวไทยมุสลิมบางส่วนพูดภาษามลายูไทรบุรี[29] ส่วนชาวไทยในรัฐกะเหรี่ยงจะใช้ภาษาไทยถิ่นเหนือสำหรับการสื่อสารในชีวิตประจำวันเช่นเดียวกับชาวไทยวนในภาคเหนือของไทย[2] ชาวไทยทั้งสองกลุ่มมีการเล่าเรียนภาษาไทยมาตรฐาน โดยชาวไทยในรัฐกะเหรี่ยงจะมีการสอนภาษาไทยแก่บุตรหลานช่วงปิดเทอมโดยพระสงฆ์ บ้างก็เข้าเรียนในโรงเรียนไทยในจังหวัดตาก[26] ขณะที่ชาวไทยในเขตตะนาวศรีเล่าเรียนภาษาไทยจากพระสงฆ์ในวัด[28] สามารถพบการติดตั้งป้ายภาษาไทยอย่างโดดเด่นตามศาสนสถาน[30] รวมทั้งนิยมสิ่งพิมพ์ภาษาไทย และสื่อโทรทัศน์ภาษาไทย ด้วยมีจินตนาการร่วมกับรัฐไทยมากกว่าพม่า[31]
ส่วนภาษาพม่าเพิ่งมีการสอนตามโรงเรียนช่วงปี พ.ศ. 2508 เป็นต้นมา เพราะในอดีตเด็กไทยไม่เข้าใจภาษาพม่าเลย[32]
ศาสนา[แก้]
ในปี พ.ศ. 2530 ชาวไทยในเขตตะนาวศรี 41,258 คน ประกอบด้วยพุทธศาสนิกชน 22,978 คน และอิสลามิกชน 18,280 คน โดยชาวไทยพุทธตั้งถิ่นฐานในตำบลสิงขร, ตำบลบกเปี้ยน และตำบลมะลิวัลย์ ส่วนชาวไทยมุสลิมตั้งถิ่นฐานแถบเกาะสองจนถึงตลาดสุหรี[33]
พุทธศาสนิกชนชาวไทยในเขตตะนาวศรีจะทำการบวชอย่างไทยคือโกนคิ้วและห่มจีวรสีออกเหลือง[34] มีความเชื่อออกไปทางเวทมนตร์คาถา เชื่อในสิ่งลี้ลับ เช่น ภูติผี วิญญาณ เจ้าป่า เจ้าเขา โชคลาง และการบนบาน[28] พุทธศิลป์แบบไทยส่งอิทธิพลต่อศิลปวัฒนธรรมท้องถิ่นของตะนาวศรี ดังปรากฏในพุทธศิลป์ของพระประธานภายในวัดตะนาวศรีใหญ่ ซึ่งมีพระเกศาและพระพักตร์มีอิทธิพลศิลปะสุโขทัย ริ้วจีวรได้รับอิทธิพลศิลปะอยุธยา แต่มีพระกรรณยาวอย่างศิลปะพม่า จนเรียกว่าเป็นศิลปะตะนาวศรี และวัดตอจาง เคยมีเจ้าอาวาสเป็นชาวสยาม[35]
ส่วนชาวไทยจากเขตตะนาวศรีผู้เป็นอิสลามิกชนเข้ารับการอบรมจริยธรรมจากโรงเรียนสอนศาสนาอิสลามหรือจากมัสยิด[36]
ชาวไทยในรัฐกะเหรี่ยงนับถือศาสนาพุทธเช่นกัน มีวัดประจำชุมชน ได้แก่ วัดบัวสุวรรณ, วัดศรีบุญเรือง, วัดสว่างอารมณ์, วัดสุวรรณคีรี และวัดป่าเรไร[2] โดยมีพระสงฆ์เป็นผู้นำในการทำกิจกรรมต่าง ๆ[26]
ศิลปะ[แก้]
ชาวไทยในตะนาวศรีมักแสดงหรือชมหนังตะลุง, มโนราห์, มวยไทย และเพลงพื้นบ้านอย่างไทยภาคใต้ มีคณะหนังตะลุงที่มีชื่อเสียงอาทิ หนังสร้อย แสงวิโรจน์ หนังช่วย และหนังยอด ส่วนมโนราห์ที่มีชื่อเสียงได้แก่ มโนราห์อาบ เกตุแก้ว มโนราห์นุ้ย ขันศรี และมโนราห์เคี่ยม[28] ขณะที่ชาวไทยมุสลิมก็มีกาโหยง เป็นศิลปะการต่อสู้พื้นบ้าน[1][34]
อ้างอิง[แก้]
- เชิงอรรถ
- ↑ 1.0 1.1 1.2 1.3 "คนไทยพลัดถิ่น". เจ้าพระยา. 24 มกราคม 2554. สืบค้นเมื่อ 11 ตุลาคม 2561.
- ↑ 2.0 2.1 2.2 2.3 2.4 2.5 "ข้ามฝั่งเมยตามรอยชุมชนไทย 200 ปี-สัมผัสวิถีล้านนาในพม่า". ผู้จัดการ. 18 กุมภาพันธ์ 2557. สืบค้นเมื่อ 11 ตุลาคม 2561.
- ↑ "เตือน! คนไทยในย่างกุ้ง ระวังตัว ชาวพม่าบุกสถานทูต ค้านตัดสินคดีเกาะเต่า". ไทยรัฐออนไลน์. สืบค้นเมื่อ 13 ตุลาคม 2561.
- ↑ อารีรักษ์ (4 พฤศจิกายน 2550). "รายงาน : แม่สาย-ท่าขี้เหล็ก...แผ่นดินที่มิอาจแบ่งแยกความสัมพันธ์ (1)". ประชาไท. สืบค้นเมื่อ 15 ตุลาคม 2561.
- ↑ "จนท.พม่า รวบชาวไทย 9 คน ซ่อนในหมู่บ้านฝั่งท่าขี้เหล็ก ยึดอุปกรณ์ เสพยาบ้า-ไอซ์ คุมสอบเข้ม". เชียงใหม่นิวส์. 2 เมษายน 2561. สืบค้นเมื่อ 15 ตุลาคม 2561.
- ↑ 6.0 6.1 "คนไทยพลัดถิ่น คนไร้สัญชาติ". มูลนิธิชุมชนไทย. สืบค้นเมื่อ 11 ตุลาคม 2561.
- ↑ ฐิรวุฒิ เสนาคำ. "ชาวไทยพลัดถิ่นในและจากมณฑลตะนาวศรีกับปัญหารัฐ-ชาติ". รัฐจากมุมมองของชีวิตประจำวัน 1, หน้า 164
- ↑ "อาสาสอนเด็กไทยพลัดถิ่น ณ หมู่บ้านสิงขรสุวรรณคีรี จ.มะริด พม่า". ธนาคารจิตอาสา. 15 ตุลาคม 2550. สืบค้นเมื่อ 11 ตุลาคม 2561.
- ↑ "แกะรอยเส้นทางการค้าโบราณ "สิงขร-ตะนาวศรี-มะริด"". ชายขอบ. 14 กันยายน 2559. สืบค้นเมื่อ 11 ตุลาคม 2561.
- ↑ รังสี ลิมปิโชติกุล (14 มีนาคม 2559). ""คนไทยพลัดถิ่น" รากเหง้าที่ยังไม่เท่าเทียม". เดลินิวส์. สืบค้นเมื่อ 11 ตุลาคม 2561.
- ↑ "กสม.เร่งกรมการปกครอง ตรวจสอบสถานะคืนสัญชาติไทยให้กลุ่ม มะริดอิสลาม 248 ราย". มติชนออนไลน์. 20 พฤษภาคม 2560. สืบค้นเมื่อ 11 ตุลาคม 2561.
- ↑ องอาจ เดชา (15 ตุลาคม 2550). ""คนไทยพลัดถิ่น" ชะตากรรมที่ตนเองไม่ได้ก่อ ต้นตอปัญหาเกิดจากรัฐไทย - พม่า หรือนักล่าอาณานิคม!? (1)". ประชาไท. สืบค้นเมื่อ 11 ตุลาคม 2561.
- ↑ "ผู้มาจากแผ่นดินที่สาบสูญ (1)". พับลิกโพสต์. 4 เมษายน 2555. สืบค้นเมื่อ 11 ตุลาคม 2561.
- ↑ สุจิตรา สร้อยเพชร (14 มิถุนายน 2554). "เส้นทางการต่อสู้ "คนไทยพลัดถิ่น"". ไทยพีบีเอส. สืบค้นเมื่อ 11 ตุลาคม 2561.
- ↑ "คำถามจากคนไทยพลัดถิ่น "มุสลิมมะริด" เพราะแตกต่างจึงไร้สัญชาติ?". ชายขอบ. 24 สิงหาคม 2561. สืบค้นเมื่อ 11 ตุลาคม 2561.
- ↑ "ข้อมูลสถิติจำนวนคนไทยที่พำนักในต่างประเทศ ประจำปี พ.ศ. 2560 ประเทศเมียนมา" (PDF). กรมการกงสุล. 17 มกราคม 2561. สืบค้นเมื่อ 4 สิงหาคม 2560.
- ↑ 17.0 17.1 ฐิรวุฒิ เสนาคำ. "ชาวไทยพลัดถิ่นในและจากมณฑลตะนาวศรีกับปัญหารัฐ-ชาติ". รัฐจากมุมมองของชีวิตประจำวัน 1, หน้า 159
- ↑ "สำเภาแห่งกษัตริย์สุไลมาน". KOKOYADI. 28 กันยายน 2554. สืบค้นเมื่อ 11 ตุลาคม 2561.
- ↑ 19.0 19.1 แอนโทนี รีด. "คาบสมุทรแห่งความหลากหลาย". ไทยใต้ มลายูเหนือ : ปฏิสัมพันธ์ทางชาติพันธุ์บนคาบสมุทรแห่งความหลากหลาย, หน้า 43
- ↑ "หลงรัก "ทวาย" แบบเห็นความงาม..." อิศรา. 29 มกราคม 2560. สืบค้นเมื่อ 13 ตุลาคม 2561.
- ↑ แอนโทนี รีด. "คาบสมุทรแห่งความหลากหลาย". ไทยใต้ มลายูเหนือ : ปฏิสัมพันธ์ทางชาติพันธุ์บนคาบสมุทรแห่งความหลากหลาย, หน้า 47-48
- ↑ 22.0 22.1 22.2 22.3 22.4 22.5 ฐิรวุฒิ เสนาคำ. "ชาวไทยพลัดถิ่นในและจากมณฑลตะนาวศรีกับปัญหารัฐ-ชาติ". รัฐจากมุมมองของชีวิตประจำวัน 1, หน้า 160-161
- ↑ วลัยลักษณ์ ทรงศิริ (5 มกราคม 2559). ""ทวาย" บ้านเมืองที่เราไม่รู้จัก". มูลนิธิเล็ก-ประไพ วิริยะพันธุ์. สืบค้นเมื่อ 13 ตุลาคม 2561.
- ↑ ฐิรวุฒิ เสนาคำ. "ชาวไทยพลัดถิ่นในและจากมณฑลตะนาวศรีกับปัญหารัฐ-ชาติ". รัฐจากมุมมองของชีวิตประจำวัน 1, หน้า 164
- ↑ "ขี่จักรยาน...เยี่ยมคนไทยในเมียวดี". กรุงเทพธุรกิจ. 2 มีนาคม 2557. สืบค้นเมื่อ 11 ตุลาคม 2561.
- ↑ 26.0 26.1 26.2 26.3 สุรพงษ์ กองจันทึก (7 ธันวาคม 2559). "คนไทยพลัดถิ่นที่ห้วยส้าน : วิถีไทยในประเทศพม่า". ประชาไท. สืบค้นเมื่อ 11 ตุลาคม 2561.
- ↑ "ททท.ภูมิภาคภาคกลาง สำรวจเส้นทางท่องเที่ยวเชื่อมโยง". ขับรถเที่ยว. 22 เมษายน 2561. สืบค้นเมื่อ 13 ตุลาคม 2561.
- ↑ 28.0 28.1 28.2 28.3 ฐิรวุฒิ เสนาคำ. "ชาวไทยพลัดถิ่นในและจากมณฑลตะนาวศรีกับปัญหารัฐ-ชาติ". รัฐจากมุมมองของชีวิตประจำวัน 1, หน้า 165
- ↑ บทที่ 2 พัฒนาการทางสังคมมุสลิมในจังหวัดสตูล, หน้า 25
- ↑ ฐิรวุฒิ เสนาคำ. "ชาวไทยพลัดถิ่นในและจากมณฑลตะนาวศรีกับปัญหารัฐ-ชาติ". รัฐจากมุมมองของชีวิตประจำวัน 1, หน้า 167
- ↑ ฐิรวุฒิ เสนาคำ. "ชาวไทยพลัดถิ่นในและจากมณฑลตะนาวศรีกับปัญหารัฐ-ชาติ". รัฐจากมุมมองของชีวิตประจำวัน 1, หน้า 169
- ↑ "เรื่องเล่าชีวิต ลุงบุญเสริม ไทยพลัดถิ่นสิงขร หนีสงคราม-พม่าไม่ยอมรับ ใช้เวลาหลายสิบปี กว่าจะได้เป็นคนไทย". ข่าวสด. 15 สิงหาคม 2561. สืบค้นเมื่อ 11 ตุลาคม 2561.
- ↑ ฐิรวุฒิ เสนาคำ. "ชาวไทยพลัดถิ่นในและจากมณฑลตะนาวศรีกับปัญหารัฐ-ชาติ". รัฐจากมุมมองของชีวิตประจำวัน 1, หน้า 161-162
- ↑ 34.0 34.1 ศรีสุข อาชา (20 กุมภาพันธ์ 2556). "คนไทยพลัดถิ่นในเขตตะนาวศรีของพม่า". สำนักประชาสัมพันธ์เขต 3 เชียงใหม่. สืบค้นเมื่อ 11 ตุลาคม 2561.
- ↑ "แกะรอยเส้นทางการค้าโบราณ 'สิงขร-ตะนาวศรี-มะริด'". มติชนออนไลน์. 14 กันยายน 2559. สืบค้นเมื่อ 13 ตุลาคม 2561.
- ↑ วจนา วรรลยางกูร (8 กันยายน 2560). "กฎหมายแรงงานต่างด้าว เคราะห์ซ้ำ 'คนไทยพลัดถิ่น'". มติชนออนไลน์. สืบค้นเมื่อ 13 ตุลาคม 2561.
- บรรณานุกรม
- มอนซาติโน, ไมเคิล เจ. ไทยใต้ มลายูเหนือ : ปฏิสัมพันธ์ทางชาติพันธุ์บนคาบสมุทรแห่งความหลากหลาย. นครศรีธรรมราช : ศูนย์หลักสูตรอาเซียนศึกษา สำนักวิชาศิลปศาสตร์ มหาวิทยาลัยวลัยลักษณ์, 2560. 416 หน้า. ISBN 978-974-7557-60-2
- รัฐจากมุมมองของชีวิตประจำวัน 1. กรุงเทพฯ : ศูนย์มานุษยวิทยาสิรินธร (องค์กรมหาชน), 2551. 232 หน้า. ISBN 978-974-05-6898-8
|
|