คลอร์เตตราไซคลีน
![]() | |
ข้อมูลทางคลินิก | |
---|---|
AHFS/Drugs.com | Micromedex Detailed Consumer Information |
ช่องทางการรับยา | By mouth, IV, topical |
รหัส ATC | |
ข้อมูลเภสัชจลนศาสตร์ | |
ชีวประสิทธิผล | 30% |
การจับกับโปรตีน | 50 to 55% |
การเปลี่ยนแปลงยา | Hepatic (75%) |
ครึ่งชีวิตทางชีวภาพ | 5.6 to 9 hours |
การขับออก | Renal and biliary |
ตัวบ่งชี้ | |
| |
เลขทะเบียน CAS | |
PubChem CID | |
ChemSpider | |
UNII | |
KEGG | |
ChEMBL | |
E number | E702 (antibiotics) |
ECHA InfoCard | 100.000.310 |
ข้อมูลทางกายภาพและเคมี | |
สูตร | C22H23ClN2O8 |
มวลต่อโมล | 478.882 g/mol[2] g·mol−1 |
แบบจำลอง 3D (JSmol) | |
จุดหลอมเหลว | 168 ถึง 169 องศาเซลเซียส (334 ถึง 336 องศาฟาเรนไฮต์) |
| |
| |
![]() ![]() | |
![]() |
คลอร์เตตราไซคลีน (อังกฤษ: Chlortetracycline ชื่อการค้า Aureomycin, Lederle) เป็นยาปฏิชีวนะชนิดแรกในกลุ่มเตตราไซคลีน คลอร์เตตราไซคลีนถูกค้นพบในปี ค.ศ. 1945 โดยเบนจามิน มิงก์ ดักการ์ (Benjamin Minge Duggar) ขณะที่เขาทำงานอยู่ที่เลเดอร์ลีแลบอทอรีส์ (Lederle Laboratories) ภายใต้การดูแลควบคุมของเยลลาปรากาดา ซุบบาโรว์ (Yellapragada Subbarow) โดยดักการ์ประสบผลสำเร็จในการคัดแยกยาปฏิชีวนะชนิดนี้จากแบคทีเรียแอคติโนมัยสีทที่เพาะเลี้ยงได้จากตัวอย่างดินที่เก็บมาจากทุ่งแซนบอร์นที่มหาวิทยาลัยมิสซูรี[3] โดยแบคทีเรียดังกล่าวถูกตั้งชื่อในภายหลังว่า Streptomyces aureofaciens และให้ชื่อการค้าแรกของยาดังกล่าวว่า Aureomycin ทั้งนี้เนื่องมาจากสีเหลืองทองของยาและแบคทีเรียที่ค้นพบดังกล่าว[2] ส่วนในวงการสัตวแพทย์ คลอร์เตตราไซคลีนมักถูกนำมาใช้เพื่อรักษาเยื่อตาอักเสบในแมวอยู่บ่อยครั้ง[4]
ทั้งนี้ การได้รับการรักษาด้วยคลอร์เตตราไซคลีนร่วมกับอะซีโนคูมารอลอาจเพิ่มฤทธิ์ต้านการแข็งตัวของเลือดของยาดังกล่าวได้ ดังนั้น ผู้ที่จำเป็นต้องได้รับการรักษาด้วยยาสองชนิดนี้ร่วมกัน ควรมีการติดตามค่าพารามิเตอร์ที่เกี่ยวเนื่องกับการแข็งตัวของเลือดอย่างใกล้ชิด นอกจากนี้ อาการไม่พึงประสงค์ที่รุนแรงจากคลอร์เตตราไซคลีนอาจเพิ่มขึ้นได้เมื่อได้รับการบริหารยานี้ร่วมกับแอซิเทรทิน, อะดาพาลีน, หรืออะลิเทรทิโนอิน ส่วนการรับประทานยาหรืออาหารที่มีส่วนผสมของอะลูมิเนียมฟอสเฟตและอะลูมิเนียมไฮดรอกไซด์จะทำให้การดูดซึมคลอร์เตตราไซคลีนในทางเดินอาหารลดลงได้ ส่งผลให้ความเข้นข้นในกระแสเลือดและประสิทธิภาพการรักษาของคลอร์เตตราไซคลีนน้อยลงตามไปด้วย ยิ่งไปกว่านั้น การใช้คลอร์เตตราไซคลีนร่วมกับยาปฏิชีวนะชนิดอื่นบางชนิดอาจทำให้ประสิทธิภาพในการรักษาของยาที่ใช้ร่วมลดลง เช่น มีซิลลินัม (แอมดิโนซิลลิน), อะม็อกซีซิลลิน, และแอมพิซิลลิน เป็นต้น ในบางกรณีคลอร์เตตราไซคลีนก็อาจเพิ่มอาการไม่พึงประสงค์ที่ร้ายแรงของยาอื่นที่ใช้ร่วมได้ เช่นในกรณีที่ใช้ร่วมกับอะทาคิวเรียมเบซิเลท (atracurium besilate) อาจทำให้ฤทธิ์หย่อนกล้ามเนื้อ (neuromuscular blocking effect) ของยานี้เพิ่มขึ้นได้[5]
อ้างอิง
[แก้]- ↑ "chlortetracycline | C22H23ClN2O8 - PubChem". Pubchem.ncbi.nlm.nih.gov. สืบค้นเมื่อ 2017-03-13.
- ↑ 2.0 2.1 "chlortetracycline | C22H23ClN2O8 - PubChem". Pubchem.ncbi.nlm.nih.gov. สืบค้นเมื่อ 2017-03-13.
- ↑ Jukes TH (1985). "Some historical notes on chlortetracycline". Reviews of Infectious Diseases. 7 (5): 702–7. doi:10.1093/clinids/7.5.702. PMID 3903946.
- ↑ Merck Veterinary Manual. Merckvetmanual.com. คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 2016-03-03. สืบค้นเมื่อ 2017-03-13.
- ↑ "Chlortetracycline - DrugBank". Drugbank.ca. สืบค้นเมื่อ 2017-03-13.