กรดแมนดีลิก

จากวิกิพีเดีย สารานุกรมเสรี
กรดแมนดีลิก[1]
Structural formula of mandelic acid
Structural formula of mandelic acid
Ball-and-stick model of the mandelic acid molecule
Ball-and-stick model of the mandelic acid molecule
ชื่อ
Preferred IUPAC name
Hydroxy (phenyl) acetic acid
ชื่ออื่น
2-Hydroxy-2-phenylacetic acid
Mandelic acid
Phenylglycolic acid
α-Hydroxyphenylacetic acid
เลขทะเบียน
3D model (JSmol)
ChEBI
ChEMBL
เคมสไปเดอร์
ECHA InfoCard 100.001.825 แก้ไขสิ่งนี้ที่วิกิสนเทศ
EC Number
  • 202-007-6
RTECS number
  • OO6300000
UNII
  • InChI=1S/C8H8O3/c9-7 (8 (10) 11) 6-4-2-1-3-5-6/h1-5,7,9H, (H,10,11) checkY
    Key: IWYDHOAUDWTVEP-UHFFFAOYSA-N checkY
  • InChI=1/C8H8O3/c9-7 (8 (10) 11) 6-4-2-1-3-5-6/h1-5,7,9H, (H,10,11)
    Key: IWYDHOAUDWTVEP-UHFFFAOYAD
  • O=C (O) C (O) c1ccccc1
คุณสมบัติ
C8H8O3
มวลโมเลกุล 152.149 g·mol−1
ลักษณะทางกายภาพ White crystalline powder
ความหนาแน่น 1.30 g/cm3
จุดหลอมเหลว 119 องศาเซลเซียส (246 องศาฟาเรนไฮต์; 392 เคลวิน) optically pure: 132 ถึง 135 องศาเซลเซียส (270 ถึง 275 องศาฟาเรนไฮต์; 405 ถึง 408 เคลวิน)
จุดเดือด 321.8 องศาเซลเซียส (611.2 องศาฟาเรนไฮต์; 595.0 เคลวิน)
15.87 g/100 mL
ความสามารถละลายได้ soluble in diethyl ether, ethanol, isopropanol
pKa 3.41[2]
1.5204
อุณหเคมี
0.1761 kJ/g
เภสัชวิทยา
B05CA06 (WHO) J01XX06
ความอันตราย
จุดวาบไฟ 162.6 องศาเซลเซียส (324.7 องศาฟาเรนไฮต์; 435.8 เคลวิน)
สารประกอบอื่นที่เกี่ยวข้องกัน
สารประกอบที่เกี่ยวข้อง
mandelonitrile, phenylacetic acid, vanillylmandelic acid
หากมิได้ระบุเป็นอื่น ข้อมูลข้างต้นนี้คือข้อมูลสาร ณ ภาวะมาตรฐานที่ 25 °C, 100 kPa

กรดแมนดีลิก (อังกฤษ: Mandelic acid) เป็นกรดอะโรมาติกอัลฟาไฮดรอกซี มีสูตรโครงสร้างโมเลกุลเป็น C6H5CH (OH) CO2H มีส่วนของโมเลกุลที่เป็นไครัลอะตอม โดยสารผสมราซิมิค (racemic mixture) ของกรดแมนดีลิกมีชื่อเรียกอีกอย่างหนึ่งว่า กรดพาราแมนดีลิก (paramandelic acid) ทั้งนี้ กรดแมนดีลิกบริสุทธิ์มีลักษณะเป็นผลึกของแข็งสีขาว ละลายได้ดีในน้ำและตัวทำละลายอินทรีย์ที่มีขั้ว กรดแมนดีลิกถือเป็นสารตั้งต้นที่สำคัญในการผลิตยาหลายชนิด

กรดแมนดีลิกถูกค้นพบโดยเฟอร์ดินาน ลูดวิก วิงเคลอร์ เภสัชกรชาวเยอรมัน เมื่อปี 1831 จากการให้ความร้อนแก่สารสกัดที่ได้จากอัลมอนด์ขม[3] นอกจากนี้ยังพบการเกิดกรดแมนดีลิกขึ้นได้จากกระบวนการเมแทบอลิซึมของเอพิเนฟรีน และนอร์เอพิเนฟริน ในร่างกาย ปัจจุบันสามารถสังเคราะห์กรดแมนดีลิกขึ้นได้หลากหลายช่องทางภายในห้องปฏิบัติการ[4][5][6][7] โดยกรดแมนดีลิกนี้ถูกนำมาใช้ในทางการแพทย์เพื่อเป็นยาปฏิชีวนะในการรักษาโรคที่เกิดจากการติดเชื้อแบคทีเรียในระบบทางเดินปัสสาวะ[8] รวมไปถึงการใช้เพื่อช่วยในการผลัดเซลล์ผิว[9]

การค้นพบและการผลิต[แก้]

กรดแมนดีลิกถูกค้นพบเมื่อปี ค.ศ. 1831 โดยเภสัชกรชาวเยอรมัน เฟอร์ดินาน ลูดวิก วิงเคลอร์ (ค.ศ. 1801–1868) ในขณะที่เขากำลังให้ความร้อนแก่อะมิกดาลิน ซึ่งเป็นสารที่สกัดได้จากอัลมอนด์ชนิดขม ในสารละลายกรดไฮโดรคลอริก[3] เขาจึงได้ตั้งชื่อให้กับสารนี้ว่า กรดแมนดีลิก ซึ่งมีที่มาจากคำว่า "Mandel" ในภาษาเยอรมันที่หมายถึง "อัลมอนด์" นอกจากนี้ยังมีอนุพันธ์ของกรมแมนดีลิกที่สามารถเกิดขึ้นได้เองตามธรรมชาติจากการเมแทบอลิซึมของเอพิเนฟรีน และนอร์เอพิเนฟริน โดยเอนไซม์โมโนเอมีนออกซิเดสและ แคทีโคล-โอ-เมทิล ทรานส์เฟอเรส

โดยส่วนใหญ่แล้ว กรดแมนดีลิกมักถูกสังเคราะห์ขึ้นได้จากการเกิดปฏิกิริยาไฮโดรไลสิสของแมนดีโลไนไตรล์ โดยมีกรดเป็นตัวเร่งปฏิกิริยา (acid-catalysed hydrolysis),[10] ได้ผลิตภัณฑ์กลางปฏิกิริยาเป็นไซยาโนไฮดรินของเบนซอลดีไฮด์ ทั้งนี้ แมนดีโลไนไตรล์สามารถเตรียมขึ้นได้จากการทำปฏิกิริยาระหว่างเบนซอลดีไฮด์กับโซเดียมไบซัลไฟต์ เพื่อให้ได้ผลิตภัณฑ์กึ่งกลางที่จะต้องเข้าทำปฏิกิริยาไฮโดรไลสิสกับโซเดียมไซยาไนด์จนได้ผลิตภัณฑ์สุดท้ายเป็นแมนดีโลไนไตรล์[4]

ปฏิกิริยาการสังเคราะห์กรดกรดแมนดีลิกจากแมนดีโลไนไตรล์ ดังแสดงด้านล่าง:[4]

นอกจากนี้ ยังสามารถสังเคราะห์กรดแมนดีลิกจากการเกิดปฏิกิริยาไฮโดรไลสิสระหว่างกรดเฟนิลคลอโรอะเซติก (phenylchloroacetic acid) กับไดโบรมาซีโตฟีโนน (dibromacetophenone), [5] การให้ความร้อนแก่เฟนิลไกลออกซาลในสภาวะด่าง[6][11] รวมไปถึง พบการเกิดได้ในกระบวนการเสื่อมสลายของสไตรีน ซึ่งตรวจพบได้ในปัสสาวะ[7]

การใช้ประโยชน์[แก้]

กรดแมนดีลิกได้ถูกนำมาใช้เชิงการแพทย์มาอย่างยาวนานในฐานะยาปฏิชีวนะชนิดหนึ่ง โดยเฉพาะอย่างยิ่งการใช้เพื่อรักษาการติดเชื้อแบคทีเรียในระบบทางเดินปัสสาวะ[8] ยานี้มีในรูปแบบยารับประทาน และเป็นส่วนผสมของสารเคมีขัดลอกหน้า (chemical face peels) บางสูตร เนื่องจากกรดแมนดีลิกเป็นสารในกลุ่มกลุ่มอัลฟาโฮดรอกซี (AHAs) ซึ่งมีสรรพคุณในการช่วยผลัดเซลล์ผิวได้ดี[9]

นอกจากนี้ กรดแมนดีลิกยังเป็นสารตั้งต้นที่สำคัญในการผลิตยาหลายๆชนิด อย่าง แอโมลาโนน หรือไซแคลนดีเลท และโฮมาโทรพีน ซึ่งเป็นเอสเทอร์ของกรดแมนดีลิก และ พีโมลีน ซึ่งสังเคราะห์ขึ้นจากการควบแน่นเอทิลเอสเทอร์ของกรดแมนดีลิกกับกวานิดีน

ดูเพิ่ม[แก้]

อ้างอิง[แก้]

  •  บทความนี้ ประกอบด้วยข้อความจากสิ่งพิมพ์ซึ่งปัจจุบันเป็นสาธารณสมบัติChisholm, Hugh, บ.ก. (1911). "Mandelic Acid" . สารานุกรมบริตานิกา ค.ศ. 1911. Vol. 17 (11 ed.). สำนักพิมพ์มหาวิทยาลัยเคมบริดจ์. p. 559.
  1. Merck Index, 11th Edition, 5599.
  2. Bjerrum, J., et al. Stability Constants, Chemical Society, London, 1958.
  3. 3.0 3.1 See:
  4. 4.0 4.1 4.2 Corson, B. B.; Dodge, R. A.; Harris, S. A.; Yeaw, J. S. (1941). "Mandelic Acid". Organic Syntheses.{{cite journal}}: CS1 maint: multiple names: authors list (ลิงก์); Collective Volume, vol. 1, p. 336
  5. 5.0 5.1 J. G. Aston, J. D. Newkirk, D. M. Jenkins, and Julian Dorsky (1952). "Mandelic Acid". Organic Syntheses.{{cite journal}}: CS1 maint: multiple names: authors list (ลิงก์); Collective Volume, vol. 3, p. 538
  6. 6.0 6.1 Pechmann, H. von (1887). "Zur Spaltung der Isonitrosoverbindungen". Berichte der deutschen chemischen Gesellschaft. 20 (2): 2904–2906. doi:10.1002/cber.188702002156.
  7. 7.0 7.1 Engström K, Härkönen H, Kalliokoski P, Rantanen J. "Urinary mandelic acid concentration after occupational exposure to styrene and its use as a biological exposure test" Scand. J. Work Environ. Health. 1976, volume 2, pp. 21-6.
  8. 8.0 8.1 Putten, P. L. (1979). "Mandelic acid and urinary tract infections". Antonie van Leeuwenhoek. 45 (4): 622. doi:10.1007/BF00403669.
  9. 9.0 9.1 Derma Fix. "Mandelic acid and it's benefits" (ภาษาอังกฤษ). คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ August 9, 2017. สืบค้นเมื่อ March 28, 2018.
  10. Edwin Ritzer and Rudolf Sundermann "Hydroxycarboxylic Acids, Aromatic" in Ullmann's Encyclopedia of Industrial Chemistry 2002, Wiley-VCH, Weinheim. doi:10.1002/14356007.a13_519
  11. Pechmann, H. von; Muller, Hermann (1889). "Ueber α-Ketoaldehyde". Berichte der deutschen chemischen Gesellschaft. 22 (2): 2556–2561. doi:10.1002/cber.188902202145.