ประเทศมอนเตเนโกร
42°30′N 19°18′E / 42.500°N 19.300°E
มอนเตเนโกร | |
---|---|
ที่ตั้งของ ประเทศมอนเตเนโกร (เขียว) ในทวีปยุโรป (เทาเข้ม) — [คำอธิบายสัญลักษณ์] | |
เมืองหลวง และเมืองใหญ่สุด | พอดกอรีตซา 42°47′N 19°28′E / 42.783°N 19.467°E |
ภาษาราชการ | มอนเตเนโกร[1] |
ภาษาที่ใช้ในราชการ | |
กลุ่มชาติพันธุ์ (ค.ศ. 2011[3]) |
|
ศาสนา (ค.ศ. 2011) |
|
การปกครอง | รัฐเดี่ยว สาธารณรัฐระบบรัฐสภา |
ยาก็อฟ มิลาตอวิช | |
มิลอยกอ สปายิช | |
อันดริยา มันดิช | |
สภานิติบัญญัติ | สกุปชตินา |
ประวัติก่อตั้ง | |
ค.ศ. 625 | |
ค.ศ. 1077 | |
ค.ศ. 1356 | |
ค.ศ. 1516 | |
ค.ศ. 1852 | |
ค.ศ. 1878 | |
ค.ศ. 1910 | |
ค.ศ. 1918 | |
ค.ศ. 1945 | |
ค.ศ. 1992 | |
ค.ศ. 2006 | |
พื้นที่ | |
• รวม | 13,812 ตารางกิโลเมตร (5,333 ตารางไมล์) (อันดับที่ 156) |
2.6 | |
ประชากร | |
• ค.ศ. 2020 ประมาณ | 621,873[4] (อันดับที่ 169) |
45 ต่อตารางกิโลเมตร (116.5 ต่อตารางไมล์) (อันดับที่ 133) | |
จีดีพี (อำนาจซื้อ) | ค.ศ. 2020 (ประมาณ) |
• รวม | 11.994 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ[5] (อันดับที่ 149) |
• ต่อหัว | 19,252 ดอลลาร์สหรัฐ[5] (อันดับที่ 63) |
จีดีพี (ราคาตลาด) | ค.ศ. 2020 (ประมาณ) |
• รวม | 4.790 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ[5] (อันดับที่ 153) |
• ต่อหัว | 7,688 ดอลลาร์สหรัฐ[5] (อันดับที่ 73) |
จีนี (ค.ศ. 2019) | 34.1[6] ปานกลาง |
เอชดีไอ (ค.ศ. 2019) | 0.829[7] สูงมาก · อันดับที่ 48 |
สกุลเงิน | ยูโร (€)a (EUR) |
เขตเวลา | UTC+1 (เวลายุโรปกลาง) |
• ฤดูร้อน (เวลาออมแสง) | UTC+2 (เวลาออมแสงยุโรปกลาง) |
รูปแบบวันที่ | วว.ดด.ปปปป |
ขับรถด้าน | ขวามือ |
รหัสโทรศัพท์ | +382 |
โดเมนบนสุด | .me |
|
มอนเตเนโกร (อังกฤษ: Montenegro, ออกเสียง: /ˌmɒntɪˈniːɡroʊ, -ˈneɪɡroʊ, -ˈnɛɡroʊ/ ( ฟังเสียง);[8] มอนเตเนโกร: Crna Gora[a] / Црна Гора,[b] ออกเสียง: [tsr̩̂ːnaː ɡǒra], แปลว่า ภูเขาสีดำ; แอลเบเนีย: Mali i zi)[9][10] เป็นประเทศเอกราชซึ่งตั้งอยู่ในยุโรปตะวันออกเฉียงใต้[11] มีอาณาเขตจรดทะเลเอเดรียติกและโครเอเชียทางทิศตะวันตก จรดบอสเนียและเฮอร์เซโกวีนาทางทิศเหนือ จรดประเทศคอซอวอ[c] และเซอร์เบียทางทิศตะวันออก และจรดแอลเบเนียทางทิศใต้ มีพอดกอรีตซาเป็นเมืองหลวงและเมืองที่ใหญ่ที่สุดของประเทศ
ในอดีต มอนเตเนโกรมีสถานะเป็นสาธารณรัฐในสหพันธ์สาธารณรัฐสังคมนิยมยูโกสลาเวีย และต่อมาได้เป็นส่วนหนึ่งในสหภาพการเมืองของสหพันธ์สาธารณรัฐยูโกสลาเวีย ต่อมาคือเซอร์เบียและมอนเตเนโกร หลังจากมีการลงประชามติเมื่อวันที่ 21 พฤษภาคม พ.ศ. 2549 มอนเตเนโกรก็ได้ประกาศเอกราชในวันที่ 3 มิถุนายน พ.ศ. 2549 ตามรัฐธรรมนูญฉบับปัจจุบัน มอนเตเนโกรได้รับการกำหนดให้เป็น "รัฐประชาธิปไตย สวัสดิการ และสิ่งแวดล้อม"
ในช่วงต้นยุคกลาง มีราชรัฐสามแห่งตั้งอยู่ในอาณาเขตของมอนเตเนโกรในปัจจุบัน[12][13][14] ราชรัฐซีตาเกิดขึ้นในศตวรรษที่ 14 และ 15 ตั้งแต่ปลายศตวรรษที่ 14 ถึงปลายศตวรรษที่ 18 พื้นที่ส่วนใหญ่ทางตอนใต้ของมอนเตเนโกรถูกปกครองโดยสาธารณรัฐเวนิสและรวมอยู่ในเขตแอลเบเนีย[15]ชื่อมอนเตเนโกรถูกใช้เรียกประเทศนี้เป็นครั้งแรกในช่วงปลายศตวรรษที่ 15 หลังจากตกอยู่ภายใต้การปกครองของจักรวรรดิออตโตมัน มอนเตเนโกรได้รับการปกครองแบบกึ่งอิสระในปี 1696 ภายใต้การปกครองของสภาเปโตรวิช-นีเอกอช เริ่มแรกเป็นเทวาธิปไตยและต่อมาเป็นราชรัฐ ความเป็นอิสระของมอนเตเนโกรได้รับการยอมรับจากมหาอำนาจในรัฐสภาแห่งเบอร์ลินในปี 1878 ในปี 1910 ประเทศกลายเป็นราชอาณาจักร หลังสงครามโลกครั้งที่ 1 ราชอาณาจักรได้กลายเป็นส่วนหนึ่งของยูโกสลาเวีย หลังจากการล่มสลายของยูโกสลาเวีย สาธารณรัฐเซอร์เบียและมอนเตเนโกรร่วมกันประกาศเป็นสหพันธรัฐ ในเดือนมิถุนายน 2006 มอนเตเนโกรได้ประกาศเอกราชจากเซอร์เบียและมอนเตเนโกรหลังการลงประชามติแยกตัวเป็นเอกราช ทำให้มอนเตเนโกรและเซอร์เบียยังคงมีอยู่ในปัจจุบัน[16] มอนเตเนโกรจึงเป็นหนึ่งในประเทศใหม่ล่าสุดที่ได้รับการยอมรับในระดับสากลในโลก.[17]
มอนเตเนโกรมีเศรษฐกิจที่มีรายได้ปานกลางระดับบน[18] เป็นสมาชิกของสหประชาชาติ เนโท องค์การการค้าโลก องค์การว่าด้วยความมั่นคงและความร่วมมือในยุโรป สภายุโรป และข้อตกลงการค้าเสรียุโรปกลาง[19] มอนเตเนโกรยังเป็นสมาชิกผู้ก่อตั้งสหภาพเมดิเตอร์เรเนียน[20] และอยู่ในขั้นตอนการเข้าร่วมสหภาพยุโรปตั้งแต่ปี 2012[21]
ประวัติศาสตร์
[แก้]ประวัติศาสตร์ระยะแรกของชนเผ่ามอนเตเนโกรเริ่มปรากฏชัดเจนในคริสต์ศตวรรษที่ 10 ในฐานะเป็นรัฐกึ่งอิสระชื่อว่า ดูเคลีย (Duklija) ต่อมาจึงมีการสถาปนาระบอบกษัตริย์ขึ้น ซึ่ง สมเด็จพระสันตะปาปาเกรกอรีที่ 7 ได้ทรงมีประกาศรับรองความเป็นอิสระของดูเคลีย และยอมรับพระเจ้ามีไฮโลแห่งดูเคลียอย่างเป็นทางการ เมื่อปี ค.ศ. 1077
ในกลางคริสต์ศตวรรษที่ 15 มอนเตเนโกรได้ถูกจักรวรรดิออตโตมันเข้ายึดครอง แต่ด้วยเหตุที่ว่าเป็นรัฐชายแดนทางตะวันตกของคาบสมุทรบอลข่าน อำนาจและอิทธิพลของจักรวรรดิจึงแผ่ขยายเข้าไปได้ไม่มากนัก กษัตริย์ของมอนเตเนโกรตั้งแต่ปลางยุคกลางจนถึงคริสต์ศตวรรษที่ 19 จึงมีอำนาจปกครองประเทศด้วยความอิสระพอควร
ในช่วงปลายคริสต์ศตวรรษที่ 19 กษัตริย์มอนเตเนโกร โดยพระเจ้านิโคลัสที่ 1 แห่งราชวงศ์นีเยกอช ทรงพยายามปลดแอกประเทศจากการอยู่ใต้อำนาจการปกครองของจักรวรรดิออตโตมันหลายครั้ง ซึ่งในที่สุดแล้วเมื่อปี พ.ศ. 2421 (ค.ศ. 1878) รัสเซียซึ่งได้ทำสงครามกับจักรวรรดิออตโตมันได้รับชัยชนะและส่งผลให้มีการตกลงสนธิสัญญาซานสเตฟาโน ซึ่งเป็นการเปิดโอกาสให้รัสเซียมีอิทธิพลมากขึ้นในกลุ่มรัฐบอลข่าน อังกฤษและออสเตรีย-ฮังการีจึงคัดค้านและนำไปสู่การประชุมใหญ่แห่งเบอร์ลิน เพื่อทบทวนสนธิสัญญาซานสเตฟาโนและจัดทำสนธิสัญญาเบอร์ลินขึ้นแทน ซึ่งสนธิสัญญฉบับนี้ส่งผลให้มอนเตเนโกรได้รับดินแดนเพิ่มเติมพร้อมเป็นเอกราชจากออตโตมัน
ความผันผวนทางการเมืองในคาบสมุทรบอลข่าน และกระแสชาตินิยมจากการเคลื่อนไหวของขบวนการอุดมการณ์รวมกลุ่มสลาฟ (Pan-Slavism) ได้นำไปสู่การเกิดสงครามบอลข่านสองครั้ง ระหว่างปี ค.ศ. 1912-1913 สงครามบอลข่านครั้งแรกเป็นสงครามระหว่างสันนิบาตบอลข่านซึ่งประกอบด้วยประเทศกรีซ บัลแกเรีย เซอร์เบีย และมอนเตเนโกร กับจักรวรรดิออตโตมันซึ่งผลที่ออกมาคือชัยชนะของสันนิบาต ส่งผลให้ทางออตโตมันต้องสูญเสียดินแดนในยุโรปเกือบทั้งหมด พร้อมยอมให้มีการจัดตั้งประเทศแอลเบเนียขึ้น แต่เนื่องด้วยความไม่พอใจของเซอร์เบียและมอนเตเนโกรเพราะต้องการผนวกดินแดนชายฝั่งของแอบเบเนียเพื่อเป็นทางออกทะเล และความไม่พอใจของบัลแกเรียที่ได้เห็นว่าเซอร์เบียได้รับผลประโยชน์มากกว่า บัลแกเรียจึงเปิดฉากสงครามบอลข่านครั้งที่ 2 ขึ้นในเดือนมิถุนายน ค.ศ. 1913 แต่ผลออกมาคือการพ่ายแพ้ของบัลแกเรีย ส่งผลให้เซอร์เบียและมอนเตเนโกรได้รับดินแดนเพิ่มเติมอีกประมาณหนึ่งเท่าของพื้นที่เดิมของประเทศ
ในช่วงสงครามโลกครั้งที่ 1 มอนเตเนโกรได้เข้าสนับสนุนฝ่ายสัมพันธมิตรในการทำสงครามกับฝ่ายมหาอำนาจกลาง แต่ด้วยกองกำลังที่เล็กเพียงประมาณ 5 พันคน กองกำลังมอนเตเนโกรจึงประสบความพ่ายแพ้ต่อกองทัพออสเตรีย-ฮังการี
เมื่อวันที่ 1 ธันวาคม พ.ศ. 2461 (ค.ศ. 1918) มอนเตเนโกรได้ตัดสินใจรวมประเทศเข้ากับราชอาณาจักรเซอร์เบีย ซึ่งในขณะนั้นเป็นแกนนำสำคัญในการรวมชนเชื้อสายสลาฟใต้เข้าด้วยกันหลังสงครามยุติและสถาปนา "ราชอาณาจักรแห่งชาวเซิร์บ โครแอต และสโลวีน" ขึ้น โดยมีสมเด็จพระราชาธิบดีอเล็กซานเดอร์ที่ 1 แห่งยูโกสลาเวีย แห่งราชวงศ์การาจอร์เจวิชเป็นประมุขแห่งรัฐ แต่ต่อมาในปี ค.ศ. 1924 พระเจ้าอเล็กซานเดอร์ที่ 1 ทรงประกาศยุบสภาและปกครองด้วยระบอบเผด็จการ พร้อมกับเปลี่ยนชื่อประเทศเป็น "ยูโกสลาเวีย" แต่ด้วยความไม่พอใจของชนชาติต่าง ๆ ในการปกครองแบบเผด็จการของพระองค์ พระเจ้าอเล็กซานเดอร์ที่ 1 จึงถูกลอบปลงพระชนม์โดยพวกโครแอตชาตินิยมในขณะที่เสด็จฯเยือน ประเทศฝรั่งเศสเมื่อปี ค.ศ. 1934 เจ้าชายปีเตอร์ที่ 2 พระราชโอรสวัย 11 ชันษาจึงเสด็จขึ้นครองบัลลังก์แทน
ระหว่างสงครามโลกครั้งที่ 2 ยูโกสลาเวียถูกนานาประเทศเข้ายึดครอง ยอซีป บรอซ (Josip Broz) หรือตีโต (Tito) ผู้นำพรรคคอมมิวนิสต์ยูโกสลาเวียจึงได้ก่อตั้งกองทัพปลดปล่อยแห่งชาติเพื่อปลดปล่อยประเทศออกจากการยึดครอง ซึ่งในที่สุดก็สามารถปลดแอกตนเองออกมาได้ ส่วนตีโตนั้นได้รับการสนับสนุนให้เป็นผู้นำประเทศ ซึ่งเขาก็ได้ประกาศเปลี่ยนแปลงระบอบการปกครองเป็นระบอบสังคมนิยมแบบสหภาพโซเวียตวันที่ 31 มกราคม พ.ศ. 2489 (ค.ศ. 1946) และเปลี่ยนชื่อประเทศใหม่เป็น “สาธารณรัฐสังคมนิยมยูโกสลาเวีย” ซึ่งประกอบด้วย 6 รัฐ กล่าวคือ สโลวีเนีย โครเอเชีย เซอร์เบีย บอสเนีย-เฮอร์เซโกวีนา มอนเตเนโกร และมาซิโดเนีย และอีก 2 จังหวัดปกครองตนเอง คือ คอซอวอและวอยวอดีนา และถึงแม้ว่ามอนเตเนโกรจะรวมตัวอยู่กับยูโกสลาเวียซึ่งมีการปกครองในระบอบสังคมนิยม แต่มอนเตเนโกรก็มีอำนาจการปกครองภายในอย่างสมบูรณ์
การล่มสลายของลัทธิคอมมิวนิสต์ในยุโรปตะวันออกตั้งแต่ปี พ.ศ. 2532 (ค.ศ. 1989) ส่งผลให้เกิดการเคลื่อนไหวเพื่อแยกตัวเป็นเอกราชของรัฐต่าง ๆ ที่รวมตัวกันอยู่ในยูโกสลาเวีย รัฐโครเอเชีย สโลวีเนีย มาซิโดเนีย และบอสเนีย-เฮอร์เซโกวีนา ได้ประกาศแยกตัวเป็นเอกราชเมื่อปี พ.ศ. 2534 (ค.ศ. 1991) แต่เซอร์เบียและมอนเตเนโกรกลับรวมตัวกันอยู่ดังเดิม พร้อมกับเปลี่ยนระบบการปกครองเป็นประชาธิปไตยแบบรัฐสภา เปลี่ยนชื่อประเทศเป็น "สหพันธ์สาธารณรัฐยูโกสลาเวีย" และมีนายสลอบอดัน มีโลเชวิช (Slobodan Milosevic) เป็นประธานาธิบดีคนแรก ซึ่งต่อมาในปี พ.ศ. 2546 (ค.ศ. 2003) ได้มีการเปลี่ยนชื่อประเทศอีกครั้งเป็นเซอร์เบียและมอนเตเนโกร แต่ละรัฐมีอำนาจปกครองตนเองสูงสุด มีเพียงการทหารและการต่างประเทศที่รวมกันเป็นหลัก
เมื่อวันที่ 21 พฤษภาคม พ.ศ. 2549 ได้มีการลงประชามติเพื่อแยกตัวเป็นเอกราชจากเซอร์เบีย โดยร้อยละ 55.4 ซึ่งเกินเกณฑ์ขั้นต่ำ (ร้อยละ 55) ที่สหภาพยุโรปกำหนดที่จะให้การรับรอง และด้วยเหตุนี้มอนเตเนโกรจึงประกาศแยกตัวเพื่อมาเป็นประเทศใหม่อย่างเป็นทางการเมื่อวันที่ 3 มิถุนายน ปีเดียวกัน ปัจจุบันมอนเตเนโกรได้รับการรับรองจากนานาประเทศและเป็นสมาชิกองค์การสหประชาชาติลำดับที่ 192 และองค์การระหว่างประเทศอื่น ๆ หลายองค์การแล้ว [22]
การแบ่งเขตการปกครอง
[แก้]มอนเตเนโกรแบ่งเขตการปกครองออกเป็น 21 เทศบาล (opština)
ประชากร
[แก้]- เชื้อชาติ มอนเตเนโกร 43.16% เซิร์บ 31.99% บอสเนีย 7.77% แอลเบเนีย 5.03% เชื้อชาติต่าง ๆ ที่เป็นชาวมุสลิม 3.97% โครแอต 1.1% ยิปซี (โรมา) อียิปต์ อิชคาลี 0.46%
- ศาสนา ศาสนาคริสต์นิกายออร์ทอดอกซ์ 74% ศาสนาอิสลาม 17.74%
อ้างอิง
[แก้]หมายเหตุ
[แก้]- ↑ 1.0 1.1 สะกดเหมือนกับภาษาอื่น ๆ ในกลุ่มภาษาบอสเนีย-โครเอเชีย-มอนเตเนโกร-เซอร์เบีย
- ↑ 2.0 2.1 สะกดเหมือนกับภาษาเซอร์เบียอักษรซีริลลิก
- ↑ คอซอวอเป็นดินแดนข้อพิพาทระหว่างสาธารณรัฐคอซอวอกับสาธารณรัฐเซอร์เบีย สาธารณรัฐคอซอวอประกาศเอกราชเมื่อวันที่ 17 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2551 แต่เซอร์เบียยังคงอ้างว่าคอซอวอเป็นดินแดนอธิปไตยของตน ใน พ.ศ. 2556 ทั้งสองรัฐบาลเริ่มกระชับความสัมพันธ์ให้เป็นปกติในฐานะส่วนหนึ่งของข้อตกลงบรัสเซลส์ ปัจจุบันคอซอวอได้รับการยอมรับว่าเป็นรัฐเอกราชจากประเทศสมาชิกสหประชาชาติ 98 ชาติจาก 193 ชาติ
อ้างอิง
[แก้]- ↑ "Language and alphabet Article 13". Constitution of Montenegro. WIPO. 19 October 2007.
The official language in Montenegro shall be Montenegrin. Cyrillic and Latin alphabet shall be equal.
- ↑ "Language and alphabet Article 13". Constitution of Montenegro. WIPO. 19 October 2007.
Serbian, Bosnian, Albanian and Croatian shall also be in the official use.
- ↑ "Census of Population, Households and Dwellings in Montenegro 2011" (PDF). Monstat. สืบค้นเมื่อ 12 July 2011.
- ↑ "Statistical Office of Montenegro – MONSTAT". www.monstat.org.
- ↑ 5.0 5.1 5.2 5.3 "Report for Selected Countries and Subjects". IMF.org. International Monetary Fund. April 2021. สืบค้นเมื่อ 19 September 2021.
- ↑ "Gini coefficient of equivalised disposable income – EU-SILC survey". ec.europa.eu. Eurostat. สืบค้นเมื่อ 24 August 2021.
- ↑ Human Development Report 2020 The Next Frontier: Human Development and the Anthropocene (PDF). United Nations Development Programme. 15 December 2020. pp. 343–346. ISBN 978-92-1-126442-5. สืบค้นเมื่อ 16 December 2020.
- ↑ แม่แบบ:Cite EPD
- ↑ "Влада Црне Горе". Vlada Crne Gore (ภาษาMontenegrin). คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 14 May 2021. สืบค้นเมื่อ 9 April 2021.
- ↑ "Vlada Crne Gore". Влада Црне Горе (ภาษาMontenegrin). คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 13 May 2021. สืบค้นเมื่อ 9 April 2021.
- ↑ "Montenegro – The World Factbook". www.cia.gov. 19 October 2021.
- ↑ Luscombe, David; Riley-Smith, Jonathan (2004). The New Cambridge Medieval History: Volume 4, c. 1024 – c. 1198. Cambridge University Press. pp. 266–. ISBN 9780521414111.
- ↑ Sedlar, Jean W. (2013). East Central Europe in the Middle Ages, 1000–1500. University of Washington Press. pp. 21–. ISBN 9780295800646.
- ↑ John Van Antwerp Fine (1983). The early medieval Balkans: a critical survey from the sixth to the late twelfth century. University of Michigan Press. p. 194. ISBN 9780472100255.
- ↑ อ้างอิงผิดพลาด: ป้ายระบุ
<ref>
ไม่ถูกต้อง ไม่มีการกำหนดข้อความสำหรับอ้างอิงชื่อ:0
- ↑ "Serbia ends union with Montenegro". The Irish Times. 5 June 2006. สืบค้นเมื่อ 2 September 2020.
- ↑ Taylor, Adam (14 September 2014). "The 9 newest countries in the world". Washington Post.
{{cite news}}
: CS1 maint: url-status (ลิงก์) - ↑ "Montenegro Economy: Population, GDP, Inflation, Business, Trade, FDI, Corruption". The Heritage Foundation. 9 March 2021. คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 2023-09-06. สืบค้นเมื่อ 16 April 2021.
- ↑ "Membership of Montenegro in International Organizations". mvp.gov.me. คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 16 April 2021. สืบค้นเมื่อ 16 April 2021.
- ↑ "Montenegro". European Western Balkans. 24 February 2020. สืบค้นเมื่อ 16 April 2021.
- ↑ "European Neighbourhood Policy And Enlargement Negotiations – European Commission". European Neighbourhood Policy And Enlargement Negotiations – European Commission. 6 December 2016. สืบค้นเมื่อ 16 April 2021.
- ↑ http://www.mfa.go.th/web/479.php?id=281 เก็บถาวร 2008-04-16 ที่ เวย์แบ็กแมชชีน กระทรวงการต่างประเทศ
ข้อมูล
[แก้]- Fine, John Van Antwerp (1991). The Early Medieval Balkans: A Critical Survey from the Sixth to the Late Twelfth Century. University of Michigan Press. ISBN 978-0-472-08149-3.
- — (1994). The Late Medieval Balkans: A Critical Survey from the Late Twelfth Century to the Ottoman Conquest. The University of Michigan Press. ISBN 0-472-08260-4.
- Pavlowitch, Stevan K. (2007). Hitler's New Disorder: The Second World War in Yugoslavia. New York: Columbia University Press. ISBN 978-1-85065-895-5.
- Schmitt, Oliver Jens (2001). Das venezianische Albanien (1392-1479). München: Oldenbourg Verlag. ISBN 978-3-486-56569-0.
อ่านเพิ่ม
[แก้]- Banac, Ivo. The National Question in Yugoslavia: Origins, History, Politics Cornell University Press, (1984) ISBN 0-8014-9493-1
- Fleming, Thomas. Montenegro: The Divided Land (2002) ISBN 0-9619364-9-5
- Longley, Norm. The Rough Guide to Montenegro (2009) ISBN 978-1-85828-771-3
- Morrison, Kenneth. Montenegro: A Modern History (2009) ISBN 978-1-84511-710-8
- Roberts, Elizabeth. Realm of the Black Mountain: A History of Montenegro (Cornell University Press, 2007) 521pp ISBN 978-1-85065-868-9
- Stevenson, Francis Seymour. A History of Montenegro 2002) ISBN 978-1-4212-5089-2
- Özcan, Uğur II. Abdulhamid Dönemi Osmanlı-Karadağ Siyasi İlişkileri [Political relations between the Ottoman Empire and Montenegro in the Abdul Hamid II era] (2013) Türk Tarih Kurumu Turkish Historical Society ISBN 978-975-16-2527-4
แหล่งข้อมูลอื่น
[แก้]- Official website of the Government of Montenegro (English)
- Montenegro. The World Factbook. Central Intelligence Agency.
- Montenegro from UCB Libraries GovPubs
- ประเทศมอนเตเนโกร ที่เว็บไซต์ Curlie
- Montenegro profile from the BBC News
- Culture Corner – leading Montenegrin web portal for culture
- Official Website National Parks Montenegro
- Wikimedia Atlas of Montenegro
- ดูข้อมูลทางภูมิศาสตร์ที่เกี่ยวข้องกับ ประเทศมอนเตเนโกร ที่โอเพินสตรีตแมป