นครรัฐเชียงแสน

จากวิกิพีเดีย สารานุกรมเสรี
ไชยบุรีศรีเงินยางเชียงแสน

พ.ศ. 2157/2158–พ.ศ. 2347
สถานะประเทศราช
ของราชวงศ์ตองอูและราชวงศ์โก้นบอง
เมืองหลวงเชียงแสน
ภาษาทั่วไปไทยวน
การปกครองราชาธิปไตย
ประวัติศาสตร์ 
• พระเจ้าอะเนาะเพะลูนสถาปนาเจ้าฟ้ากาเผือก
พ.ศ. 2157/2158
• เจ้าฟ้าหลวงทิพเนตรปกครองล้านนา
พ.ศ. 2175
• พระเจ้าสเน่ห์มินแยกเชียงแสนออกจากเชียงใหม่
พ.ศ. 2247/2248
• ถูกทำลายในสงครามเชียงแสน
พ.ศ. 2347
ก่อนหน้า
ถัดไป
แคว้นเชียงใหม่
นครเชียงใหม่
นครน่าน
ปัจจุบันเป็นส่วนหนึ่งของเป็นส่วนหนึ่งของ
- ภาคเหนือของไทย
- บางส่วนของรัฐฉานและลาว

นครรัฐเชียงแสน เป็นประเทศราชของราชวงศ์ตองอูและราชวงศ์โก้นบอง โดยถูกแยกออกจากเมืองเชียงใหม่เพื่อเป็นศูนย์กลางการปกครองดินแดนล้านนาตอนบน[1] ภายหลังถูกผนวกเข้ากับนครเชียงใหม่และนครน่านภายใต้การปกครองของสยาม

ประวัติศาสตร์[แก้]

เมืองเชียงแสนถูกแยกออกจากเชียงใหม่ในปี พ.ศ. 2157/2158 (จ.ศ. 976) หลังจากพระเจ้าอะเนาะเพะลูนทรงตีเมืองเชียงใหม่แตก พระยาจ่าบ้านเจ้าเมืองเชียงแสนได้นำช้างไปถวายเพื่อสวามิภักดิ์ พระเจ้าอะเนาะเพะลูนจึงทรงสถาปนาเป็นเจ้าฟ้ากาเผือก ในเวลานั้นเชียงใหม่ยังไม่มีเจ้าเมือง เมืองเชียงแสนจึงได้ขึ้นตรงกับกรุงหงสาวดี

เมืองเชียงแสนถูกผนวกกลับเข้ามาเป็นส่วนหนึ่งของเชียงใหม่ระหว่างที่เจ้าพลศึกซ้ายไชยสงครามแข็งเมืองต่อพม่าและจับตัวเจ้าฟ้าหลวงทิพเนตรมาขังไว้ที่เชียงใหม่ หลังจากพระเจ้าตาลูนตีเมืองเชียงใหม่แตกในปี พ.ศ. 2175 จึงทรงให้เจ้าฟ้าหลวงทิพเนตรกลับไปครองเชียงแสนดังเดิม พร้อมทั้งให้ปกครองหัวเมืองทั้งหมดของล้านนายกเว้นเมืองเชียงใหม่

ความขัดแย้งระหว่างพม่า, ราชวงศ์หมิงใต้ และราชวงศ์ชิง[2] ทำให้เมืองเชียงแสนในรัชสมัยของเจ้าฟ้าแสนเมืองถูกรุกรานโดยอาณาจักรอยุธยาและจีนฮ่อ[3][4] ในสงครามตองอู–อยุธยา (ค.ศ. 1662–1664) จนทำให้ชาวเมืองเชียงแสนต้องทิ้งเมืองไปเป็นระยะหนึ่ง และทำให้เชียงแสนตัดขาดจากกรุงอังวะเป็นช่วงสั้นๆ ก่อนที่พม่าจะกลับเข้ามาควบคุมเมืองเชียงแสนอีกครั้งในเดือนกุมภาพันธ์ปี พ.ศ. 2216 โดยพระเจ้ามังกะยอดินทรงตั้งให้ฟ้าส่างกุ่งเป็นโป่ชุก (ตำแหน่งแม่ทัพของพม่า[1]) ปกครองเมืองเชียงแสน

ในปี พ.ศ. 2221/2222 (จ.ศ. 1040) ฟ้าส่างกุงแต่งตั้งให้รถส่างหลาม[5]เป็นเมียวหวุ่น (ตำแหน่งผู้ปกครองเมือง[1]) แห่งเชียงแสน ซึ่งเป็นจุดเริ่มต้นของการปกครองเมืองเชียงแสนโดยระบบเมียวหวุ่นควบคู่ไปกับเจ้าฟ้าเชียงแสน ต่อมาการปกครองเมืองเชียงแสนถูกแทรกแซงจากเชียงใหม่ในปี พ.ศ. 2247/2248 (จ.ศ. 1066) โดยผู้ปกครองเมืองเชียงใหม่ให้จับกุมตัวเมียวหวุ่นเชียงแสนไปประหารที่เมืองเชียงใหม่ แล้วตั้งเมียวหวุ่นคนใหม่ขึ้นมาแทน ในปีเดียวกัน (ตำนานพื้นเมืองเชียงใหม่ระบุเป็นปี จ.ศ. 1063[5] หรือ 1064[6]) พระเจ้าสเน่ห์มินเสด็จมาประทับที่เมืองเชียงแสน ทรงยกให้เมืองเชียงแสนขึ้นกับกรุงอังวะโดยตรงเทียบเท่าเชียงใหม่อีกครั้ง

การโค่นล้มเมียวหวุ่นเชียงใหม่โดยกบฏตนบุญเทพสิงห์ทำให้ดินแดนล้านนาขาดเสถียรภาพทางการเมืองในปลายพุทธศตวรรษที่ 23 เมืองเชียงแสนกลายเป็นศูนย์กลางอำนาจสูงสุดในการปกครองล้านนาของพม่า และเป็นเป้าหมายในการโจมตีของเมืองอื่นๆที่ต่อต้านพม่า[7] เมื่อราชวงศ์ตองอูล่มสลายลงในปี พ.ศ. 2295 เมืองเชียงแสนได้รับอิสรภาพเป็นช่วงสั้นๆและถูกรุกรานโดยเมืองเชียงใหม่ ลื้อ แมน อาณาจักรล้านช้างหลวงพระบาง และเมืองลำพูนอย่างต่อเนื่อง[1] จนกระทั่งเมืองเชียงแสนและเมืองอื่นๆในล้านนาเข้าสวามิภักดิ์กับราชวงศ์โก้นบองที่สามารถรวบรวมอาณาจักรพม่าได้สำเร็จในปี พ.ศ. 2300[8]

สงครามเชียงใหม่ พ.ศ. 2317 ทำให้อิทธิพลของพม่าหมดไปจากดินแดนล้านนาตอนล่าง เมืองเชียงแสนกลายเป็นศูนย์กลางการปกครองเพียงแห่งเดียวและฐานทัพของพม่าในการทำสงครามกับสยาม จนกระทั่งถูกกองทัพสยาม นครเชียงใหม่ นครลำปาง นครน่าน และอาณาจักรล้านช้างเวียงจันทน์ผนึกกำลังร่วมกันเข้ายึดครองในปี พ.ศ. 2347 ในสงครามเชียงแสน เมืองเชียงแสนถูกเผาทำลายและเมืองในการปกครองถูกผนวกเข้ากับนครเชียงใหม่และนครน่าน[7]

อาณาเขต[แก้]

นครรัฐเชียงแสนมีพื้นที่ปกครองครอบคลุมเมืองต่างๆในดินแดนล้านนาตอนบน เช่น เมืองเชียงแสน เชียงราย พะเยา ฝาง เชียงของ และเทิง นอกจากนี้ ยังมีการจดบันทึกถึงการเปลี่ยนแปลงอาณาเขตจากหลักฐานต่างๆ ดังนี้

ในรัชสมัยของเจ้าฟ้ากาเผือก พระเจ้าอะเนาะเพะลูนได้พระราชทานเมืองละคร (ลำปาง) ให้เป็นเมืองขึ้นของเชียงแสน[3][4]

หลังจากพระเจ้าตาลูนตีเมืองเชียงใหม่แตกในปี พ.ศ. 2175 ทรงตั้งให้เจ้าฟ้าหลวงทิพเนตร "เป็นใหญ่แก่ลานนาทั้งมวลคือว่า เชียงราย พะเยา เมืองฝาง หาง สาด ชะวาด น้อย ยาง มัน เมืองตวน ปุ เรง เมืองกก พู เพียง เชียงตุบ เมืองกาย สามท้าว เมืองม้า ท่าล่อ เมืองวะ เชียงขาน บ้านยู้ เมืองหลวย เมืองยอง เมืองสิง นอ เมืองหลวง ภูคา ภูคะทาง และเชียงชี เชียงของ เทิง เมืองล่อ น่าน แพร่ ละคร ทั้งมวล" [3][4] ต่อมาดินแดนล้านนาตอนล่างถูกยึดครองโดยอาณาจักรอยุธยาในสงครามตองอู–อยุธยา (ค.ศ. 1662–1664)

ในปี พ.ศ. 2258/2259 (จ.ศ. 1077) พระเจ้าตะนินกันเหว่มีพระราชโองการให้หัวเมืองไทใหญ่บางส่วนเข้ามาอยู่ใต้การปกครองของเชียงแสน ได้แก่ เมืองกาย เมืองไร เมืองเลน ภะยาก กะแลง เชียงลาบ เมืองหลวงปูคา[5][3]

ในปี พ.ศ. 2270/2271 (จ.ศ. 1089) จากการแยกตัวเป็นอิสระของเมืองเชียงใหม่ ราชสำนักพม่าจึงได้โอนเมืองแพร่ น่าน ละคร พะเยา เมืองฝาง เมืองสาด เชียงของ เมืองเทิง เข้ามาอยู่ภายใต้การปกครองของเชียงแสน[3] อย่างไรก็ตาม เชียงแสนไม่สามารถควบคุมเมืองในดินแดนล้านนาตอนล่างได้อย่างเบ็ดเสร็จ ทำให้นำไปสู่การก่อตั้งนครลำปางในปี พ.ศ. 2275/2276 (จ.ศ. 1094)[9]

การปกครอง[แก้]

โบราณสถานวัดเชตวัน ถูกสร้างขึ้นในรัชสมัยของเจ้าฟ้าหลวงทิพเนตร ตามพระราชโองการของพระเจ้าตาลูน[10]

นครรัฐเชียงแสนถูกปกครองโดยเจ้าฟ้าเชียงแสน และมีตำแหน่งขุนนางท้องถิ่นช่วยว่าราชการ เช่น นาซ้ายและนาขวา ซึ่งทั้งหมดถูกควบคุมโดยผู้ปกครองที่ถูกแต่งตั้งจากราชสำนักพม่า เช่น เมียวหวุ่น (ตำแหน่งผู้ปกครองเมือง), โป่ (ตำแหน่งแม่ทัพ), สิกเก (ตำแหน่งผู้ช่วยผู้ปกครองเมือง) หรือ นาขาม (ตำแหน่งผู้ตรวจการ) อย่างไรก็ตาม ในบางครั้งผู้ปกครองท้องถิ่นสามารถดำรงตำแหน่งขุนนางพม่าได้ เช่น เจ้าฟ้าหน่อเมืองและเจ้าฟ้าลมเสน ซึ่งทรงเคยดำรงตำแหน่งเมียวหวุ่นและสิกเกมาก่อน[3][5]

สาเหตุในการแยกการปกครองเมืองเชียงแสนออกจากเชียงใหม่คือ เพื่อป้องกันไม่ให้ผู้ปกครองเมืองเชียงใหม่มีอำนาจมากเกินไป และเพื่อควบคุมผลประโยชน์ทางการค้ากับเชียงตุง จีน และไทใหญ่ที่กำลังขยายตัว จากการเป็นศูนย์กลางทางการค้าทำให้ราชสำนักพม่าเรียกเก็บภาษีจากราษฎรในอัตราสูง ซึ่งมีการเรียกเก็บภาษีเป็นทอง ทองแดง และหอยเบี้ย[11] การเก็บภาษีของขุนนางพม่ามักถูกตีความว่าเป็นการปกครองชาวพื้นเมืองอย่างกดขี่ อย่างไรก็ตาม มีข้อโต้แย้งว่า สภาพการณ์เช่นนี้ไม่เป็นจริงทุกช่วงสมัย ดังที่ปรากฏในพื้นเมืองเชียงแสนว่า มีช่วงเวลาที่เมียวหวุ่นสามารถปกครองเมืองเชียงแสนได้อย่างปกติ มีการทำนุบำรุงพุทธศาสนาและจัดงานรื่นเริงหลายครั้ง[12]

รายพระนามเจ้าฟ้าเชียงแสนและผู้ปกครองเมืองเชียงแสน[แก้]

พระนาม เริ่ม สิ้นสุด หมายเหตุ
เจ้าฟ้ากาเผือก พ.ศ. 2157/2158 พ.ศ. 2162/2163 เดิมเป็นเจ้าเมืองเชียงแสน
นางฟ้ากาเผือก พ.ศ. 2162/2163 พ.ศ. 2171 ราชเทวีในเจ้าฟ้ากาเผือก
เจ้าฟ้าหลวงทิพเนตร พ.ศ. 2171 พ.ศ. 2171 เดิมเป็นขุนนางเชียงแสน
เจ้าพลศึกซ้ายไชยสงครามประกาศเอกราชต่อพม่า เจ้าฟ้าหลวงทิพเนตรถูกจับตัวไปเชียงใหม่ (พ.ศ. 2171)
เชียงแสนตกอยู่ภายใต้การปกครองของเชียงใหม่ (พ.ศ. 2171)
พญาศรีสองเมืองวิไชยปราการ พ.ศ. 2171 พ.ศ. 2175 เดิมเป็นเจ้าเมืองลำปาง
พระเจ้าตาลูนตีเชียงใหม่แตก เชียงแสนกลับมาเป็นประเทศราชของพม่า (พ.ศ. 2175)
เจ้าฟ้าหลวงทิพเนตร พ.ศ. 2175 พ.ศ. 2193/2194 ครั้งที่ 2
เจ้าฟ้าหมวกคำ พ.ศ. 2193/2194 พ.ศ. 2198/2199 พระโอรสในเจ้าฟ้าหลวงทิพเนตร
เจ้าฟ้าแสนเมือง พ.ศ. 2198/2199 พ.ศ. 2205/2206 พระโอรสในเจ้าฟ้าหมวกคำ
เจ้าฟ้าแสนเมืองขาดราชการจากอังวะ เชียงแสนกลายเป็นรัฐอิสระ (พ.ศ. 2205/2206)
เจ้าฟ้าแสนเมือง พ.ศ. 2205/2206 พ.ศ. 2215/2216
พระเจ้ามังกะยอดินส่งแม่ทัพมาควบคุมเมืองเชียงแสน เชียงแสนกลับมาเป็นประเทศราชของพม่า (พ.ศ. 2215/2216)
เจ้าฟ้าอินทร์เมือง พ.ศ. 2215/2216 พ.ศ. 2221/2222 พระโอรสในเจ้าฟ้าแสนเมือง
เจ้าฟ้าเฉลิมเมือง พ.ศ. 2221/2222 พ.ศ. 2235/2236 พระโอรสในเจ้าฟ้าอินทร์เมือง
เจ้าฟ้าเมืองหลวง พ.ศ. 2235/2236 พ.ศ. 2238/2239
เจ้าฟ้าหน่อเมือง พ.ศ. 2238/2239 พ.ศ. 2243/2244 พระโอรสในเจ้าฟ้าเฉลิมเมือง
เจ้าฟ้าลมเสน พ.ศ. 2243/2244 พ.ศ. 2254/2255 พระอนุชาในเจ้าฟ้าหน่อเมือง
เจ้าฟ้าลักที พ.ศ. 2254/2255 กันยายน พ.ศ. 2267

(เดือน 12 แรม 7 ค่ำ)

พระโอรสในเจ้าฟ้าลมเสน
เจ้าฟ้ายอดงำเมือง พ.ศ. 2267 พ.ศ. 2271/2272 พระโอรสในเจ้าฟ้าลักที
พญาหาญ พ.ศ. 2271/2272 พฤษภาคม พ.ศ. 2284

(เดือน 8 ออก 2 ค่ำ วัน 3)

มาจากเมืองพง
เจ้าฟ้างาม พ.ศ. 2284 พ.ศ. 2295 พระโอรสในเจ้าฟ้ายอดงำเมือง
ราชวงศ์ตองอูล่มสลาย เชียงแสนกลายเป็นรัฐอิสระ (พ.ศ. 2295)
เจ้าฟ้างาม พ.ศ. 2295 พ.ศ. 2300
ราชวงศ์โก้นบองรวบรวมอาณาจักรพม่าได้สำเร็จ เชียงแสนกลับมาเป็นประเทศราชของพม่า (พ.ศ. 2300)
เจ้าฟ้างาม พ.ศ. 2300 มกราคม พ.ศ. 2304

(เดือน 4 ออก 2 ค่ำ วัน 7)

ว่างตำแหน่ง มกราคม พ.ศ. 2304 - 2304/2305 (จ.ศ. 1123)
เจ้าฟ้าคำปิว พ.ศ. 2304/2305 พ.ศ. 2309/2310 พระโอรสในพญาหาญ
ว่างตำแหน่ง พ.ศ. 2309/2310 (จ.ศ. 1128) - 2310
เจ้าฟ้านาขวา พ.ศ. 2310 มิถุนายน พ.ศ. 2347

(เดือน 9 ออก 8 ค่ำ วัน 5)

พระนัดดาในเจ้าฟ้างาม
สงครามเชียงแสน (พ.ศ. 2347)

อ้างอิง[แก้]

  1. 1.0 1.1 1.2 1.3 แซ่เซียว, ลัดดาวัลย์ (2545). 200 ปี พม่าในล้านนา. กรุงเทพฯ: โครงการอาณาบริเวณศึกษา 5 ภูมิภาค. pp. 87–98. ISBN 9747206099.
  2. นราธิปประพันธ์พงศ์, พระเจ้าบรมวงศ์เธอ กรมพระ (2505). พระราชพงศาวดารพม่า เล่ม 2 (PDF). พระนคร: ศึกษาภัณฑ์พาณิชย์. p. 12.
  3. 3.0 3.1 3.2 3.3 3.4 3.5 อ๋องสกุล, สรัสวดี (2003). เอียวศรีวงศ์, นิธิ (บ.ก.). พื้นเมืองเชียงแสน. กรุงเทพฯ: อมรินทร์. pp. 111, 116–117, 122, 124, 169–170. ISBN 9742726612.
  4. 4.0 4.1 4.2 "ประชุมพงศาวดาร ภาคที่ ๖๑ - วิกิซอร์ซ". th.wikisource.org.
  5. 5.0 5.1 5.2 5.3 Minister, Office of the Prime, English: Fundamental History of the City of Chiang Mai (PDF), p. 82, สืบค้นเมื่อ 2023-12-10
  6. ประชากิจกรจักร, พระยา (2516). พงศาวดารโยนก. กรุงเทพฯ: บุรินทร์การพิมพ์.
  7. 7.0 7.1 อินปาต๊ะ, บริพัตร (2017). การฟื้นฟูรัฐน่านในสมัยราชวงศ์หลวงติ๋น พ.ศ. 2329-2442 (วิทยานิพนธ์). จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย. pp. 65–67. สืบค้นเมื่อ 9 April 2024.
  8. Harvey, Godfrey Eric (1925). History of Burma: from the Earliest Times to 10 March, 1824: The Beginning of the English Conquest. United Kingdom: Longmans, Green and Company. p. 241. สืบค้นเมื่อ 10 April 2024.
  9. ประชากิจกรจักร, พระยา (2516). พงศาวดารโยนก. กรุงเทพฯ: บุรินทร์การพิมพ์. p. 429.
  10. "วัดเชตวัน". ฐานข้อมูลแหล่งโบราณคดีที่สำคัญในประเทศไทย. ศูนย์มานุษยวิทยาสิรินธร (องค์การมหาชน). 13 กรกฎาคม 2020. สืบค้นเมื่อ 7 ธันวาคม 2023.{{cite web}}: CS1 maint: url-status (ลิงก์)
  11. อินทรีย์, สหภัส (October 2012). "ความสัมพันธ์ทางการค้าระหว่างเชียงตุงกับล้านนา พ.ศ. 2101-2317" (PDF). สารนิพนธ์ ศศ.ม. (ประวัติศาสตร์เอเชีย). กรุงเทพฯ: บัณฑิตวิทยาลัย มหาวิทยาลัยศรีนครินทรวิโรฒ: 68–69, 75. สืบค้นเมื่อ 9 April 2024.
  12. Kirigaya, Ken (2015). "Lan Na under Burma: A "Dark Age" in Northern Thailand?" (PDF). The Journal of the Siam Society. 103: 284, 287.