ข้ามไปเนื้อหา

สาธารณรัฐประชาธิปไตยคองโก

จากวิกิพีเดีย สารานุกรมเสรี
(เปลี่ยนทางจาก Zaire)
สาธารณรัฐประชาธิปไตยคองโก

République démocratique du Congo (ฝรั่งเศส)
Repubilika ya Kôngo ya Dimokalasi (กีตูบา)
Republíki ya Kongó Demokratíki (ลิงกาลา)
Jamhuri ya Kidemokrasia ya Kongo (สวาฮีลี)
Ditunga dia Kongu wa Mungalaata (ลูบา-กาซาย)
ตราแผ่นดินของสาธารณรัฐประชาธิปไตยคองโก
ตราแผ่นดิน
คำขวัญJustice - Paix - Travail  
(ภาษาฝรั่งเศส: "ยุติธรรม - สันติภาพ - งาน")
เมืองหลวง
และเมืองใหญ่สุด
กินชาซา
ภาษาราชการภาษาฝรั่งเศส
ภาษาลิงกาลา ภาษากีตูบา (กีกองโก) ภาษาสวาฮีลี และภาษาลูบา-กาซาย (ชีลูบา)
การปกครองรัฐเดี่ยว ระบบกึ่งประธานาธิบดี สาธารณรัฐรัฐธรรมนูญ
เฟลิกซ์ ชีเซเกดี
Judith Suminwa
การก่อตั้ง
17 พฤศจิกายน 1879
1 กรกฎาคม 1885
15 พฤศจิกายน 1908
30 มิถุนายน 1960[1]
20 กันยายน 1960
• เปลี่ยนชื่อเป็น สาธารณรัฐประชาธิปไตยคองโก
1 สิงหาคม 1964
27 ตุลาคม 1971
17 พฤษภาคม 1997
18 กุมภาพันธ์ 2006
พื้นที่
• รวม
2,344,858 ตารางกิโลเมตร (905,355 ตารางไมล์) (11)
4.3
ประชากร
• 2558 ประมาณ
79,375,136 คน[2] (20)
• สำมะโนประชากร 2527
29,673,000 คน
29.3 ต่อตารางกิโลเมตร (75.9 ต่อตารางไมล์) (182)
เอชดีไอ (2562)เพิ่มขึ้น 0.480[3]
ต่ำ · อันดับที่ 175
สกุลเงินฟรังก์คองโก (CDF)
เขตเวลาUTC+1 ถึง +2 (WAT, CAT)
ขับรถด้านขวา
รหัสโทรศัพท์243
รหัส ISO 3166CD
โดเมนบนสุด.cd

สาธารณรัฐประชาธิปไตยคองโก (ฝรั่งเศส: République Démocratique du Congo) หรือบางครั้งมีผู้เรียกว่า คองโก (Congo) และ คองโก-กินชาซา (Congo-Kinshasa) หรือ คองโกใหญ่ และ คองโกตะวันออก เป็นประเทศหนึ่งในภูมิภาคแอฟริกากลางและเป็นประเทศที่มีขนาดใหญ่อันดับที่ 2 ของทวีป สาธารณรัฐประชาธิปไตยคองโกมีอาณาเขตจรดสาธารณรัฐแอฟริกากลางและซูดานใต้ทางทิศเหนือ จรดยูกันดา รวันดา บุรุนดี และแทนซาเนียทางทิศตะวันออก จรดแซมเบียและแองโกลาทางทิศใต้ และจรดสาธารณรัฐคองโกทางทิศตะวันตก โดยมีทางออกสู่ทะเลตามแม่น้ำคองโกไปสู่อ่าวกินี

ชื่อ คองโก (หมายถึง "นักล่า") มาจากกลุ่มชาติพันธุ์บาคองโก (Bakongo) ซึ่งอาศัยอยู่บริเวณลุ่มน้ำคองโก ในอดีตสาธารณรัฐประชาธิปไตยคองโกเคยตกเป็นอาณานิคมของเบลเยียม โดยมีชื่อว่า เบลเจียนคองโก (Belgian Congo) ในปี พ.ศ. 2514 หลังจากได้รับเอกราช 11 ปี ก็ได้เปลี่ยนชื่อประเทศจากคองโก-กินชาซา (ใส่ชื่อเมืองหลวงไว้ข้างหลัง เพื่อแยกความแตกต่างระหว่างประเทศนี้กับ สาธารณรัฐคองโก หรือ คองโก-บราซาวีล) เป็นสาธารณรัฐซาอีร์ จนถึงปี พ.ศ. 2540 จึงได้เปลี่ยนชื่อกลับมาเป็น "สาธารณรัฐประชาธิปไตยคองโก" ตามเดิม

ดินแดนของคองโก เป็นที่อยู่อาศัยครั้งแรกโดยนักล่าจากแอฟริกากลางเมื่อประมาณ 90,000 ปีก่อน และเข้าถึงได้โดยการขยายอาณาเขตของชนเผ่าบันตูเมื่อประมาณ 3,000 ปีที่แล้ว ทางตะวันตก อาณาจักรกองโกปกครองบริเวณปากแม่น้ำคองโกตั้งแต่ศตวรรษที่ 14 ถึง 19 และในภาคตะวันออกเฉียงเหนือ ภาคกลาง และตะวันออก มีอาณาจักรอาซานเด ลูบา และลุนดา ปกครองดินแดนนี้ตั้งแต่ศตวรรษที่ 16 และ 17 จนถึงศตวรรษที่ 19 กษัตริย์เลออปอลที่ 2 แห่งเบลเยียม ทรงได้รับสิทธิในดินแดนคองโกอย่างเป็นทางการจากประเทศอาณานิคมของยุโรปในปี 1885 และประกาศให้เป็นดินแดนส่วนพระองค์ โดยตั้งชื่อเป็นเสรีรัฐคองโก ตั้งแต่ปี 1885 ถึง 1908 กองทัพอาณานิคมของเขาบังคับให้ประชากรในท้องถิ่นผลิตยางพาราและกระทำการโหดร้ายอย่างกว้างขวาง ในปี 1908 ทรงยกดินแดนเปลี่ยนสถานะกลายเป็นอาณานิคมของเบลเยียม

คองโกได้รับเอกราชจากเบลเยียมเมื่อวันที่ 30 มิถุนายน 1960 และต้องเผชิญกับขบวนการแบ่งแยกดินแดนหลายครั้ง การลอบสังหารนายกรัฐมนตรี ปาทริส ลูมูมบา และการยึดอำนาจโดย โมบูตู เซเซ เซโก ในการรัฐประหารปี 1965 โมบูตูเปลี่ยนชื่อประเทศเป็นซาอีร์ในปี 1971 และบังคับใช้เผด็จการส่วนตัวอันโหดร้าย จนกระทั่งเขาถูกโค่นล้มในปี 1997 โดยสงครามคองโกครั้งแรก จากนั้นประเทศก็เปลี่ยนชื่อกลับและต้องเผชิญกับสงครามคองโกครั้งที่สองระหว่างปี 1998 ถึง 2003 ซึ่งส่งผลให้มีผู้เสียชีวิต 5.4 ล้านคน[4][5][6][7] สงครามยุติลงภายใต้ประธานาธิบดีโฌเเซ็ฟ กาบีลา ซึ่งปกครองประเทศตั้งแต่ปี 2001 ถึง 2019 ซึ่งสิทธิมนุษยชนในประเทศยังคงย่ำแย่ และรวมถึงการละเมิดบ่อยครั้ง เช่น การบังคับบุคคลให้สูญหาย การทรมาน การจำคุกตามอำเภอใจ และการจำกัดเสรีภาพของพลเมือง[8] หลังจากการเลือกตั้งทั่วไปปี 2018 ในการเปลี่ยนแปลงอำนาจอย่างสันติครั้งแรกของประเทศนับตั้งแต่ได้รับเอกราช เฟลิกซ์ ซีเซเกดี สืบทอดตำแหน่งประธานาธิบดีต่อจากกาบีลา ซึ่งดำรงตำแหน่งประธานาธิบดีตั้งแต่นั้นมา[9] ตั้งแต่ปี 2015 คองโกบริเวณตะวันออกเป็นที่เกิดความขัดแย้งทางทหารอย่างต่อเนื่องในเมืองกีวู

สาธารณรัฐประชาธิปไตยคองโกมีทรัพยากรธรรมชาติอุดมสมบูรณ์อย่างมาก แต่ต้องทนทุกข์ทรมานจากความไม่มั่นคงทางการเมือง การขาดโครงสร้างพื้นฐาน การคอร์รัปชั่น และการขุดค้นและแสวงประโยชน์ทั้งในเชิงพาณิชย์และในอาณานิคมมานานหลายศตวรรษ ตามมาด้วยอิสรภาพที่ยาวนานกว่า 60 ปี โดยมีการพัฒนาเพียงเล็กน้อยเท่านั้น . นอกจากเมืองหลวงกินชาซาแล้ว เมืองที่ใหญ่ที่สุดสองแห่งรองลงมาคือเมืองลูบูมบาชีและเมืองอึมบูจีไมอี ต่างก็เป็นชุมชนเหมืองแร่ การส่งออกที่ใหญ่ที่สุดของคองโก คือแร่ธาตุดิบ โดยจีนยอมรับการส่งออกมากกว่า 50% ในปี 2019 ในปี 2021 ระดับการพัฒนามนุษย์ของคองโกอยู่ในอันดับที่ 179 จาก 191 ประเทศตามดัชนีการพัฒนามนุษย์[10] ใน ค.ศ. 2018 หลังจากสองทศวรรษของสงครามกลางเมือง และความขัดแย้งภายในที่ดำเนินไปอย่างต่อเนื่อง ผู้ลี้ภัยชาวคองโกประมาณ 600,000 คนยังคงอาศัยอยู่ในประเทศเพื่อนบ้าน[11] เด็กสองล้านคนเสี่ยงต่อภาวะอดอยาก และการสู้รบดังกล่าวทำให้ผู้คนต้องพลัดถิ่น 4.5 ล้านคน[12] ประเทศนี้เป็นสมาชิกของสหประชาชาติ ขบวนการไม่ฝักใฝ่ฝ่ายใด สหภาพแอฟริกา ชุมชนการพัฒนาแอฟริกาตอนใต้ และชุมชนเศรษฐกิจรัฐแอฟริกากลาง

นิรุกติศาสตร์

[แก้]

สาธารณรัฐประชาธิปไตยคองโก ตั้งชื่อตามแม่น้ำคองโกซึ่งไหลผ่านประเทศ แม่น้ำคองโกเป็นแม่น้ำที่ลึกที่สุดในโลกและเป็นแม่น้ำที่ใหญ่เป็นอันดับสามของโลกเมื่อปล่อยน้ำออก ซึ่ง Comité d'études du haut Congo ("คณะกรรมการเพื่อการศึกษาคองโกตอนบน") ซึ่งก่อตั้งโดยกษัตริย์เลออปอลที่ 2 แห่งเบลเยียมในปี 1876 และสมาคมระหว่างประเทศแห่งคองโก ซึ่งก่อตั้งโดยพระองค์ในปี 1879 ก็ได้รับการตั้งชื่อตามแม่น้ำ.[13]

แม่น้ำคองโกได้รับการตั้งชื่อโดยกะลาสีเรือชาวยุโรปยุคแรกตามอาณาจักรกองโก และชาวบันตู ซึ่งเป็นชาวกองโก เมื่อพวกเขาพบแม่น้ำเหล่านี้ในศตวรรษที่ 16[14][15] คำว่า กองโก มาจากภาษากองโก (เรียกอีกอย่างว่า กีคองโก) ตามที่นักเขียนชาวอเมริกัน ซามูเอล เฮนรี่ เนลสัน กล่าวไว้ว่า "เป็นไปได้ว่าคำว่า 'คองโก' นั้นหมายความถึงการชุมนุมในที่สาธารณะ และมีรากฐานมาจากรากศัพท์ของคองก้าที่แปลว่า 'การรวบรวม'[16] ชื่อปัจจุบันของชาวกองโก คือชาวบาคองโกที่ได้รับการแนะนำในต้นศตวรรษที่ 20

ในอดีตสาธารณรัฐประชาธิปไตยคองโกเป็นที่รู้จักตามลำดับเวลา ได้แก่ เสรีรัฐคองโก เบลเจียนคองโก สาธารณรัฐคองโก-เลออปอลวีล สาธารณรัฐประชาธิปไตยคองโก และสาธารณรัฐซาอีร์ ก่อนที่จะกลับคืนสู่ชื่อเดิม ชื่อปัจจุบันก็คือสาธารณรัฐประชาธิปไตยคองโก[1]

ในสมัยได้รับเอกราช ประเทศนี้ได้รับการตั้งชื่อว่า สาธารณรัฐคองโก-เลออปอลวีล เพื่อแยกความแตกต่างจากสาธารณรัฐคองโก-บราซซาวีล ซึ่งเป็นประเทศเพื่อนบ้าน ด้วยการประกาศใช้รัฐธรรมนูญลูลัวบูร์กเมื่อวันที่ 1 สิงหาคม 1964 ประเทศนี้จึงเปลี่ยนชื่อเป็นสาธารณรัฐประชาธิปไตยคองโก ต่อมาได้เปลี่ยนชื่อประเทศเป็น ซาอีร์ (ชื่อเดิมของแม่น้ำคองโก) เมื่อวันที่ 27 ตุลาคม 1971 โดยประธานาธิบดีโมบูตู เซเซ เซโก[17]

คำว่า ซาอีร์ มาจากภาษาโปรตุเกสที่ดัดแปลงมาจากคำว่า Kikongo nzadi ("แม่น้ำ") ซึ่งเป็นคำตัดทอนจากคำว่า nzadi o nzere ("แม่น้ำซึ่งดูดกลืนแม่น้ำ")[18][19][20]: 171  แม่น้ำนี้เป็นที่รู้จักในชื่อซาอีร์ในช่วงศตวรรษที่ 16 และ 17; ดูเหมือนว่าคองโกจะค่อยๆ เข้ามาแทนที่ซาอีร์ในการใช้ภาษาอังกฤษในช่วงศตวรรษที่ 18 และคองโกเป็นชื่อภาษาอังกฤษที่นิยมใช้ในวรรณคดีสมัยศตวรรษที่ 19 แม้ว่าการอ้างถึงซาอีร์เป็นชื่อที่คนพื้นเมืองใช้ (เช่น มาจากการใช้ภาษาโปรตุเกส) ยังคงเป็นเรื่องธรรมดา[21]

ในปี 1992 ที่ประชุมแห่งชาติอธิปไตยลงมติให้เปลี่ยนชื่อประเทศเป็น "สาธารณรัฐประชาธิปไตยคองโก" แต่ไม่มีการเปลี่ยนแปลง[22] จนกระทั่งประธานาธิบดีโลร็อง-เดซีเร กาบีลา ฟื้นชื่อประเทศในเวลาต่อมา เมื่อเขาโค่นล้มโมบูตูในปี 1997[23] และเพื่อแยกความแตกต่างจากสาธารณรัฐคองโกที่อยู่ใกล้เคียง บางครั้งจึงเรียกว่า คองโก (กินชาซา) คองโก-กินชาซา หรือ คองโกใหญ่[24] บางครั้งชื่อก็ย่อเป็นภาษาอังกฤษว่า DR Congo[25]DRC,[26] DROC[27] และ RDC (ในภาษาฝรั่งเศส)[26]

ประวัติศาสตร์

[แก้]

ก่อนการขยายตัวของชนเผ่าบันตู ดินแดนที่ประกอบด้วยสาธารณรัฐประชาธิปไตยคองโกเป็นถิ่นที่อยู่ของกลุ่มชาติพันธุ์มีบูตีที่เก่าแก่ที่สุดในแอฟริกากลาง ภูมิทัศน์ของป่าเขตร้อนและภูมิอากาศแบบเส้นศูนย์สูตรที่เปียกชื้นทำให้ประชากรในภูมิภาคมีน้อยและขัดขวางการจัดตั้งสังคมที่ก้าวหน้า วัฒนธรรมนักล่าสัตว์ที่หลงเหลืออยู่ส่วนใหญ่ยังคงอยู่ในยุคปัจจุบัน

ยุคก่อนอาณานิคม

[แก้]

ก่อนที่ดินแดนคองโกจะตกอยู่ภายใต้การปกครองของชาติตะวันตก ดินแดนคองโกเป็นถิ่นที่อยู่อาศัยของชาวปิ๊กมี่ (Pygmy) จากนั้นชนเผ่าบันตู (Bantu) ได้เริ่มเข้ามายึดครองพื้นที่และตั้งถิ่นฐานในบริเวณนี้ และเริ่มมีการจัดระบบการปกครองโดยมีกษัตริย์เป็นประมุข มีการทำเกษตรกรรม และการใช้วัสดุอุปกรณ์ที่ทำจากเหล็ก ในศตวรรษที่ 16 ดินแดนคองโกแบ่งการปกครองออกเป็นหลายราชอาณาจักร โดยอาณาจักรที่มีความสำคัญ ได้แก่ ราชอาณาจักรลูบา (Luba Kingdom) และสหพันธรัฐคูบา (Kuba Federation) ซึ่งทั้งสองอาณาจักรได้เจริญรุ่งเรืองถึงที่สุดในศตวรรษที่ 18 เมื่อเข้าสู่ช่วงต้นศตวรรษที่ 19 ดินแดนคองโกเริ่มเสื่อมถอยลง เนื่องจากมีหลากหลายชนชาติ อาทิ อาหรับ สวาฮิลี นยัมเวซี เข้าไปทำการค้า และเข้าปล้นสะดมชนพื้นเมืองเพื่อบังคับให้เป็นทาส รวมทั้งฆ่าช้างเพื่อเอางา นอกจากนี้ ยังเริ่มแผ่ขยายอิทธิพลของตนจนแทรกซึมไปทั่วดินแดนคองโก ทำให้ดินแดนคองโกอ่อนแอลง[28]

ยุคอาณานิคม

[แก้]
ภาพวาดเมืองเลออปอลวีล ในปี 1884

ในช่วงปลายศตวรรษที่ 19 สมเด็จพระเจ้าเลออปอลที่ 2 แห่งเบลเยียมได้มอบหมายให้ เฮนรี มอร์ตัน สแตนลีย์ เดินทางสำรวจที่ลุ่มแม่น้ำคองโก ซึ่งเป็นดินแดนที่มีความอุดมสมบูรณ์เหมาะแก่การเพาะปลูก และแหล่งทรัพยากร ตลอดจนแร่ธาตุที่สำคัญมากมาย โดยเฉพาะเพชร จากนั้นเบลเยียมจึงเข้ายึดครองดินแดนคองโก โดยกำหนดให้คองโกมีสถานะเป็นดินแดนส่วนพระองค์ และเป็นแหล่งทรัพยากรของเบลเยียม และใน การประชุมเบอร์ลิน ปี 1884-1885 ชาติตะวันตกให้การรับรองว่าดินแดนคองโกเป็นของกษัตริย์เบลเยียม โดยมีชื่อว่า เสรีรัฐคองโก หลังจากนั้น เบลเยียมได้สร้างเส้นทางคมนาคมเพื่ออำนวยความสะดวกในการขนถ่ายสินค้า และได้นำทรัพยากรจากคองโกไปใช้เป็นจำนวนมาก นอกจากนี้ยังดัดแปลงรูปแบบเกษตรกรรมโดยให้ชาวคองโกเน้นการปลูกและแปรรูปยางพาราเพื่อส่งไปยังเบลเยียมที่อยู่ในช่วงพัฒนาประเทศ และเริ่มให้บริษัทเอกชนเบลเยี่ยมเข้ามาทำเหมืองแร่ อาทิ เพชร อัญมณี และแร่ธาตุที่สำคัญอื่นๆ[29][30]

การประกาศเอกราช

[แก้]
ปาทริส ลูมูมบา นายกรัฐมนตรีคนแรกของสาธารณรัฐประชาธิปไตยคองโก

ความต้องการบริโภคทรัพยากรธรรมชาติและการกดขี่แรงงานชาวคองโกอย่างหนัก ทำให้ในปี 1908 ชาติตะวันตกอื่นๆ ไม่พอใจ และกดดันให้เบลเยี่ยมเปลี่ยนสถานะของคองโกจากดินแดนส่วนพระมหากษัตริย์เบลเยียมมาเป็นอาณานิคมของรัฐบาลเบลเยียมโดยใช้ชื่อเป็น เบลเจียนคองโก แทนการเปลี่ยนสถานะประเทศส่งผลให้สภาพความเป็นอยู่ของชาวคองโกดีขึ้น โดยประชาชนได้รับการศึกษาและได้ใช้ประโยชน์จากระบบสาธารณูปโภคและโครงสร้างพื้นฐานต่างๆ ที่เบลเยียมสร้างไว้ ต่อมานาย โฌแซ็ฟ คาซะ-วูบู และนาย ปาทริส ลูมูมบา ได้มีบทบาทแข็งขันในการเรียกร้องเอกราชให้คองโก นอกจากนี้ ฝรั่งเศสยังสนับสนุนชาวคองโกให้ลงประชามติเพื่อกำหนดสถานะของชาติตนได้ การพยายามเรียกร้องเอกราชเป็นเหตุให้เกิดการจลาจลในกรุงกินชาซา ในปี 1959 ซึ่งเบลเยียมไม่สามารถควบคุมสถานการณ์ได้ ทำให้เบลเยียมได้มอบเอกราชให้แก่คองโกในวันที่ 30 มิถุนายน 1960[31][32]

หลังจากได้รับเอกราช คองโกได้จัดการเลือกตั้ง โดยนายลูมูมบาได้รับเลือกเป็นนายกรัฐมนตรีและนายคาซะวูบูเป็นประมุขของรัฐ อย่างไรก็ตาม สถานการณ์ภายในประเทศคองโกยังอยู่ในความไม่สงบ เนื่องจากยังคงมีการต่อสู้ระหว่างรัฐบาลกับกลุ่มกบฏต่างๆ และสถานการณ์ทวีความซับซ้อนมากขึ้นเมื่อกองกำลังทหารเบลเยี่ยมที่ถูกส่งเข้ามายังคองโกโดยให้เหตุผลว่า เพื่อปกป้องชาวเบลเยียมและภาคเอกชนที่ยังไม่สามารถกลับเบลเยียมได้

วิกฤตการณ์คองโก

[แก้]

ความไม่สงบได้แพร่ขยายไปยังหลายพื้นที่และเกิดการแย่งชิงอำนาจ ทำให้เมื่อวันที่ 14 กรกฎาคม 1960 คณะมนตรีความมั่นคงแห่งสหประชาชาติ (United Nations Security Council: UNSC) ได้รับรองข้อมติ UNSC ที่ 143 (1960) จัดตั้งภารกิจสหประชาชาติในคองโก (United Nations Operation in Congo: ONUC) เพื่อยืนยันการถอนกองกำลังเบลเยียมออกจากคองโก สนับสนุนรัฐบาลจัดระเบียบ ความเรียบร้อยภายในรัฐ และ รักษาบูรณภาพแห่งดินแดนคองโก อย่างไรก็ตาม โดยที่ภารกิจสหประชาชาติไม่สามารถละเมิดกิจการภายในประเทศได้ ความขัดแย้งระหว่างผู้นำประเทศได้ก่อตัวขึ้นส่งผลให้นายคาซะวูบู ปลดนายลูมูมบาออกจากตำแหน่งนายกรัฐมนตรี[33] ต่อมาเมื่อวันที่ 14 กันยายน โฌแซ็ฟ-เดซีเร โมบูตู (ภายหลังเปลี่ยนชื่อเป็น โมบูตู เซเซ เซโก) ผู้บัญชาการทหารคองโกได้ปลดนายคาซะวูบูออกจากตำแหน่ง

ความขัดแย้งในคองโกยังดำเนินต่อไปและมีการแบ่งดินแดนออกเป็นส่วนย่อย จนกระทั่งปี 1965 นายโมบูตูได้เข้าควบคุมพื้นที่ได้สำเร็จและขึ้นดำรงตำแหน่งประธานาธิบดี สังกัดพรรคขบวนการประชาชนปฏิวัติ (MPR) โดยมีวาระการดำรงตำแหน่ง 7 ปี[34]

ภายใต้การปกครองโดยโมบูตู

[แก้]
โมบูตู เซเซ เซโก และประธานาธิบดี ริชาร์ด นิกสัน ในกรุงวอชิงตัน ดีซี

หลังจากเข้ารับตำแหน่ง นายโมบูตูได้บริหารประเทศแบบรวมศูนย์ โดยได้ยกเลิกตำแหน่งนายกรัฐมนตรี ให้ประธานาธิบดีมีอำนาจจัดตั้งรัฐบาล วางนโยบายส่งเสริมความเป็นแอฟริกัน (African Authenticity) วางแผนฟื้นฟูเศรษฐกิจของประเทศด้วยการส่งเสริมให้ต่างชาติเข้ามาลงทุน รักษาความสัมพันธ์อันดีกับประเทศตะวันตก และสถาปนาความสัมพันธ์ทางการทูตกับจีน และได้เปลี่ยนชื่อประเทศเป็นซาอีร์ ในปี 1971 [35]อย่างไรก็ตาม การบริหารงานของโมบูตูเต็มไปด้วยความผิดพลาด ทำให้เกิดปัญหาการคอร์รัปชั่น การบริโภคทรัพยากรธรรมชาติอย่างสิ้นเปลือง การนำคนเผ่าเดียวกันกับตน (เผ่า Ngbanda) มาบริหารประเทศจนก่อให้เกิดความขัดแย้งระหว่างชนเผ่าภายในประเทศ จากเหตุผลดังกล่าวทำให้ฝ่ายต่อต้านรัฐบาลนายโมบูตู นำโดยกลุ่มต่อต้านที่ใหญ่ที่สุด คือ กลุ่มแนวร่วมปลดปล่อยแห่งชาติคองโก (FNLC) พยายามทำรัฐประหารเพื่อแยกดินแดนกาตันกา (อยู่ทางตอนใต้ของประเทศ) แต่ไม่สำเร็จ เนื่องจากรัฐบาลนายโมบูตูได้รับความช่วยเหลือจากกองกำลังทหารของฝรั่งเศส เบลเยียม และโมร็อกโก[36]

นายโมบูตูพยายามแก้ปัญหาที่เกิดขึ้นภายในประเทศโดยการวางนโยบายปฏิรูปทางการเมือง ทำให้ชาติตะวันตกเกิดความพอใจและเริ่มบริจาคเงินช่วยเหลือซาอีร์มากขึ้น แต่ประเทศกลับไม่พัฒนาอย่างที่ควรจะเป็น เนื่องจากนายโมบูตูได้ยกเลิกโครงการพัฒนาประเทศต่างๆ ส่งผลให้เศรษฐกิจของประเทศเลวร้ายลงเรื่อย และในปี 1990 นายโมบูตูอนุญาตให้จัดตั้งพรรคการเมืองอื่นในซาอีร์ได้ แต่นายโมบูตูมีอำนาจเหนือพรรคการเมืองทั้งหมด ทำให้กลุ่มผู้ต่อต้านนายโมบูตูมีจำนวนมากขึ้น และต้องการขับไล่นายโมบูตูให้พ้นจากตำแหน่ง

จากสถานการณ์ความรุนแรงต่างๆ ที่เกิดขึ้นในซาอีร์ นายโมบูตูตัดสินใจจัดตั้งพรรคร่วมรัฐบาลในปี 1991 แต่ยังคงกุมอำนาจการบริหาร ความมั่นคง ตลอดจนกระทรวงต่างๆ ที่สำคัญไว้ การบริหารงานที่ผิดพลาดของนายโมบูตูส่งผลให้ระบบการบริหารราชการแผ่นดิน และระบบเศรษฐกิจของซาอีร์ล้มเหลว นอกจากนี้ความรุนแรงในซาอีร์ทวีความรุนแรงขึ้น เนื่องจากปัญหาผู้อพยพชาวฮูตู ซึ่งหนีการฆ่าล้างเผ่าพันธ์ุรวันดาในปี 1994 ไหลทะลักเข้ามาในซาอีร์ ทำให้เกิดความขัดแย้งระหว่างชนเผ่าฮูตูและทุตซีในซาอีร์ และเริ่มบานปลายออกไปเป็นสงครามกลางเมืองเมื่อกองกำลังของซาอีร์ (Zairiam: FAZ) สนับสนุนชาวฮูตูให้ต่อต้านชาวคองโกที่มีเชื้อสายทุตซีที่อาศัยอยู่ทางทิศตะวันออกของซาอีร์ ในทางกลับกันกองกำลังร่วมระหว่างรวันดาและยูกันดาได้บุกรุกเข้าไปในซาอีร์ เพื่อเข้าไปช่วยเหลือชนเผ่าทุตซีต่อสู้กับฮูตูและพยายามล้มล้างอำนาจของนายโมบูตูและคาดหวังที่จะเข้าควบคุมทรัพยากรธรรมชาติในซาอีร์

สงครามคองโกทั้งสองครั้งและปัจจุบัน

[แก้]
แผนที่สงครามคองโกครั้งที่สอง

จนกระทั่งในปี 1997 นายโลร็อง เดซีเร กาบีลา ผู้นำกลุ่มต่อต้านรัฐบาลที่ได้รับการสนับสนุนจากกองกำลังทหารรวันดา ยูกันดา แซมเบีย และแองโกลา ได้เข้าควบคุมพื้นที่ทางตะวันออกของซาอีร์ และสามารถเข้ายึดกรุงกินซาชาได้ในวันที่ 17 พฤษภาคม 1998 และนายโมบูตู ถูกปลดออกจากตำแหน่งประธานาธิบดี และในวันที่ 29 พฤษภาคม นายกาบีลาได้สาบานตนเข้าดำรงตำแหน่งประธานาธิบดี และเปลี่ยนชื่อประเทศเป็น สาธารณรัฐประชาธิปไตยคองโก

ถึงแม้ว่านายกาบีลาเข้ามาดำรงตำแหน่งประธานาธิบดีแล้ว แต่กองกำลังทหารของรวันดาและยูกันดายังต้องการอยู่ภายในคองโกเพื่อเข้าควบคุมทรัพยากรจำนวนมากในประเทศ ดังนั้นกองกำลังทหารรวันดาจึงได้ถอนกำลังออกจากเมืองหลวง ไปตั้งมั่นที่เมืองโกมา และจัดตั้งกลุ่มกบฏขึ้นใช้ชื่อว่า ชุมนุมคองโกเพื่อประชาธิปไตย (RCD) นำโดยชนเผ่าทุตซี เพื่อต่อสู้กับรัฐบาลนายกาบีลา ในขณะเดียวกันยูกันดาได้จัดตั้งกลุ่มการเคลื่อนไหวเพื่อการปลดปล่อยคองโก (MLC) ขึ้น ซึ่งนำโดยผู้นำทางทหารของคองโกชื่อ ฌอง ปิแอร์ เบมบ้า เพื่อต่อต้านอิทธิพลของรวันดาในคองโก การต่อสู้ของกลุ่มกบฏทั้งสองนำมาสู่การเกิดสงครามคองโกครั้งที่สอง ในคองโก นอกจากนี้กลุ่มประเทศประชาคมพัฒนาแอฟริกาตอนใต้ (SADC) ประกอบด้วย แองโกลา ซิมบับเว และนามิเบีย ได้ส่งกำลังทหารเข้าช่วยเหลือรัฐบาล ในฐานะเป็นพันธมิตรกลุ่มชุมชนพัฒนาแอฟริกาตอนใต้ นอกจากนี้ ซูดาน, ลิเบีย และชาดได้ส่งกองกำลังเข้าช่วยเหลือรัฐบาลนายกาบีลาด้วย[37]

สหประชาชาติเริ่มเข้ามามีบทบาทแก้ไขความขัดแย้งในคองโกอีกครั้ง โดยเมื่อวันที่ 30 พฤศจิกายน 1999 คณะมนตรีความมั่นคงแห่งสหประชาชาติได้รับรองข้อมติคณะมนตรีความมั่นคงที่จัดตั้งภารกิจสหประชาชาติในคองโก (United Nations Organization Mission in DR Congo: MONUC) เพื่อเข้ามายุติสงคราม

และในปีเดียวกันทุกฝ่ายได้ร่วมลงนามข้อตกลงหยุดยิงลูซากา (Lusaka Ceasefire Agreement) โดยรัฐบาลนายกาบีลาสามารถยึดพื้นที่ทางตะวันออกและทางใต้ของคองโกได้สำเร็จ ส่วนกลุ่มกบฏยึดพื้นที่ทางเหนือและตะวันตก อย่างไรก็ตามในปีถัดมา การดำเนินการตามข้อตกลงหยุดยิงได้หยุดชะงักไป เนื่องจากความขัดแย้งระหว่างชนเผ่ากลับมาปะทุอีกครั้งทางตะวันออกเฉียงเหนือของประเทศ ทำให้ทั้งยูกันดาและรวันดาต่างส่งกองกำลังเข้ามาในคองโก และใน 2000 ความพยายามในการเจรจาสันติภาพระหว่างทั้งสามฝ่ายเกิดขึ้นอีกครั้ง โดยยูกันดาและคองโกได้ลงนามความตกลงรักษาสันติภาพลูอันดา (Luanda Agreement) ทำให้ยูกันดาถอนกำลังทหารออกจากคองโก และหลังจากนั้นกองกำลังรวันดาได้เริ่มถอนกำลังทหารเช่นกัน

ในปี 2001 นายกาบีลาถูกลอบสังหาร ทำให้นายโฌแซ็ฟ กาบีลา บุตรชายขึ้นดำรงตำแหน่งประธานาธิบดีแทน รัฐบาลนายโฌแซ็ฟ กาบีลา สนับสนุนให้จัดการเจรจาสันติภาพ เพื่อยุติสงคราม ในปี 2003 ทุกฝ่ายได้ลงนามในความตกลงสันติภาพพริทอเรีย (Pretoria Accord) ส่งผลให้ความขัดแย้งยุติลงชั่วระยะหนึ่ง ทำให้นายโฌแซ็ฟ กาบีลา สามารถจัดตั้งรัฐบาลผสม และรัฐสภาชั่วคราวได้สำเร็จ

ความขัดแย้งที่เกิดขึ้นในคองโกนี้ ได้รับการขนานนามว่าเป็น สงครามโลกแอฟริกา หรือ สงครามแอฟริกาครั้งใหญ่ เนื่องจากมีประเทศเข้าร่วมสงคราม 8 ประเทศ กลุ่มก่อความไม่สงบ 25 กลุ่ม และมีผู้เสียชีวิตจากสงคราม ความอดอยาก และโรคระบาดในขณะนั้นมากกว่า 5 ล้านคน

หลังจากนั้น ในเดือนมิถุนายน 2003 ความขัดแย้งระหว่างชนเผ่าได้กลับมาปะทุอีกครั้งบริเวณฝั่งตะวันออกของ DRC กองกำลังสหประชาชาติได้ส่งเจ้าหน้าที่รักษาสันติภาพเข้าไปควบคุมสถานการณ์ และในเดือนถัดมากลุ่มกบฏได้ร่วมกับรัฐบาลจัดตั้งคณะรัฐบาลชุดใหม่ และมีการจัดการเลือกตั้งอย่างเป็นทางการขึ้นในปลายปี 2006 ซึ่งเป็นการเลือกตั้งอย่างเป็นทางการครั้งแรกในรอบ 40 ปี ตั้งแต่ได้รับเอกราช ซึ่งนายโฌแซ็ฟ กาบีลา ได้รับเลือกให้เป็นประธานาธิบดี

ในปลายปี 2006 ความไม่สงบได้ปะทุขึ้นอีกครั้งทางตอนเหนือของเมืองกีวู ซึ่งตั้งอยู่ทางฝั่งตะวันออก และติดกับพรมแดนรวันดา โดยนายโลร็อง นัมดา ชาวคองโกเชื้อสายฮูตู อดีตนายทหารในรัฐบาลได้รวบรวมกลุ่มผู้ก่อความไม่สงบชาวคองโกเชื้อสายทุตซี และกลุ่มกองกำลังปลดปล่อยประชาธิปไตยแห่งรวันดา (FDLR) ซึ่งเป็นชนเผ่าฮูตูที่ได้รับการสนับสนุนจากรวันดา ได้บุกยึดบริเวณดังกล่าวจากรัฐบาล ส่งผลให้มีผู้หนีภัยจากการสู้รบมากกว่าหนึ่งหมื่นคน นอกจากนี้ สหรัฐฯ ตกลงให้ความช่วยเหลือทางกำลังทหารแก่รัฐบาลคองโก เพื่อต่อสู้กับนายนัมดา และกลุ่มกองกำลังปลดปล่อยประชาธิปไตยแห่งรวันดา (FDLR) ได้เข้าร่วมการสู้รบครั้งนี้ด้วย ต่อมาในปี 2007) รวันดาและคองโกได้ร่วมเจรจากันที่กรุงไนโรบี และในเดือนมกราคม 2008 คู่กรณีทุกฝ่ายได้เข้าร่วมการประชุมสันติภาพเพื่อเจรจาร่วมกัน โดยที่ประชุมตกลงให้มีการหยุดยิง แต่ในเดือนสิงหาคมและกันยายนปีเดียวกันความขัดแย้งกลับปะทุขึ้นอีกครั้งทางตอนเหนือของเมืองคิวู การสู้รบกับครั้งนี้ส่งผลให้มีผู้หนีภัยจากการสู้รบมากกว่าหนึ่งล้านคน และยังคงมีเหตุการณ์รุนแรงในบริเวณภาคตะวันออกของประเทศจนถึงปัจจุบัน

กองทหารของรัฐบาลใกล้กับโกมาระหว่างการกบฏ M23 ในเดือนพฤษภาคม 2556

สืบเนื่องจากความขัดแย้งข้างต้น คณะมนตรีความมั่นคงแห่งสหประชาชาติได้มีมติคว่ำบาตรคองโกอย่างต่อเนื่อง ตั้งแต่ปี 2004 จนถึงปัจจุบัน โดยมีมาตรการห้ามขายอาวุธ ห้ามเดินทางผ่านหรือเข้าไปในดินแดน และการอายัดทรัพย์สินของบุคคลและองค์กรที่มีส่วนเกี่ยวข้องกับสถานการณ์ความขัดแย้ง และการตรวจสอบแหล่งที่มาของสินค้าประเภทแร่ธาตุที่นำเข้าจากคองโกและในปี 2010 คณะมนตรีความมั่นคงฯ ได้จัดตั้งภารกิจสร้างเสถียรภาพของสหประชาชาติในสาธารณรัฐประชาธิปไตยคองโก (MONUSCO) เพื่อดำเนินงานต่อจาก MONUC

รัฐบาลคองโกยังต้องหามาตรการเพื่อแก้ไขปัญหาความไม่สงบทางด้านตะวันออกของประเทศซึ่งเป็นพื้นที่ที่กลุ่มก่อความไม่สงบหลายครั้ง

ปัจจุบัน (ตั้งแต่ปี 2018)

[แก้]
ประธานาธิบดีซีเซเกดี กับประธานาธิบดีของสาธารณรัฐคองโก เดอนี ซาซู อึงแกโซ ในปี 2020 ทั้งคู่สวมหน้ากากอนามัยเนื่องจากการแพร่ระบาดของโควิด-19 ที่กำลังดำเนินอยู่

วันที่ 30 ธันวาคม 2018 มีการเลือกตั้งทั่วไป เมื่อวันที่ 10 มกราคม 2019 คณะกรรมการการเลือกตั้งได้ประกาศให้ เฟลิกซ์ ซีเซเกดี ผู้สมัครฝ่ายค้านเป็นผู้ชนะการลงคะแนนเสียงเลือกตั้งประธานาธิบดี[38] และสาบานตนรับตำแหน่งประธานาธิบดีอย่างเป็นทางการเมื่อวันที่ 24 มกราคม[39] อย่างไรก็ตาม มีข้อกังขาอย่างกว้างขวางว่าผลลัพธ์ถูกหลอกลวงและมีการตกลงระหว่างซีเซเกดี และ กาบีลา คริสตจักรคาทอลิกกล่าวว่าผลอย่างเป็นทางการไม่สอดคล้องกับข้อมูลที่ผู้ตรวจสอบการเลือกตั้งรวบรวมไว้[40] นอกจากนี้ รัฐบาลยัง "เลื่อน" การลงคะแนนเสียงไปจนถึงเดือนมีนาคมในบางพื้นที่ โดยอ้างถึงการระบาดของอีโบลาในกีวู รวมถึงความขัดแย้งทางทหารที่กำลังดำเนินอยู่ สิ่งนี้ถูกวิพากษ์วิจารณ์เนื่องจากภูมิภาคเหล่านี้เป็นที่รู้จักในฐานะฐานที่มั่นของฝ่ายค้าน[41][42][43] ในเดือนสิงหาคม 2019 หกเดือนหลังจากการเข้ารับตำแหน่งของนายซีเซเกดี มีการประกาศจัดตั้งรัฐบาลผสม[44]

พันธมิตรทางการเมืองของกาบีลายังคงควบคุมกระทรวงสำคัญๆ สภานิติบัญญัติ ตุลาการ และบริการด้านความมั่นคง อย่างไรก็ตามซีเซเกดีประสบความสำเร็จในการเสริมความแข็งแกร่งให้กับอำนาจของเขา ในการเคลื่อนไหวหลายครั้ง เขาได้รับชัยชนะเหนือสมาชิกสภานิติบัญญัติมากขึ้น โดยได้รับการสนับสนุนจากสมาชิกสมัชชาแห่งชาติเกือบ 400 คนจากทั้งหมด 500 คน ผู้พูดที่สนับสนุนกาบีลาของรัฐสภาทั้งสองแห่งถูกบังคับให้ออกไป ในเดือนเมษายน 2021 รัฐบาลใหม่ได้จัดตั้งขึ้นโดยไม่มีผู้สนับสนุนของกาบีลา[45]

โรคหัดระบาดครั้งใหญ่ในประเทศทำให้มีผู้เสียชีวิตเกือบ 5,000 คนในปี 2019[46] การระบาดของโรคอีโบลาสิ้นสุดลงในเดือนมิถุนายน 2020 ซึ่งทำให้มีผู้เสียชีวิต 2,280 รายในช่วง 2 ปี[47] อีกการระบาดของอีโบลาที่เล็กกว่าในจังหวัดเอควาเทอร์เริ่มขึ้นในเดือนมิถุนายน 2020 ทำให้มีผู้เสียชีวิต 55 รายในท้ายที่สุด[48][49] การแพร่ระบาดของโควิด-19 ทั่วโลกได้มาถึงคองโกในเดือนมีนาคม 2020 โดยเริ่มรณรงค์ฉีดวัคซีนในวันที่ 19 เมษายน 2021[50][51]

ลูกา อัตตานาซิโอ เอกอัครราชทูตอิตาลีประจำคองโกและผู้คุ้มกันของเขาถูกสังหารในนอร์กิวู เมื่อวันที่ 22 กุมภาพันธ์ 2021[52] เมื่อวันที่ 22 เมษายน 2021 การประชุมระหว่างประธานาธิบดี ฮิรุ เคนยัตตา ของเคนยาและซีเซเกดีส่งผลให้เกิดข้อตกลงใหม่ที่เพิ่มการค้าระหว่างประเทศและความปลอดภัย (การต่อต้านการก่อการร้าย การย้ายถิ่นฐาน ความปลอดภัยทางไซเบอร์ และศุลกากร) ระหว่างทั้งสองประเทศ[53] ในเดือนกุมภาพันธ์ 2022 ข้อกล่าวหาเกี่ยวกับการรัฐประหารในประเทศทำให้เกิดความไม่แน่นอน[54] แต่ความพยายามก่อรัฐประหารล้มเหลว[55]

ภูมิศาสตร์

[แก้]

ที่ตั้ง ตั้งอยู่บริเวณตอนกลางของทวีปแอฟริกา มีอาณาเขต

พื้นที่

[แก้]

พื้นที่ 2,345,410 ตารางกิโลเมตร (ประกอบด้วยพื้นที่บนพื้นดิน 267,600 ตารางกิโลเมตร พื้นที่บนผืนน้ำ 77,810 ตารางกิโลเมตร) ซึ่งกว้างใหญ่เป็นอันดับที่สามของทวีปแอฟริการองลงมาจากซูดานและแอลจีเรีย ร้อยละ 50 ของพื้นที่เป็นป่าไม้เขตร้อน

ภูมิประเทศ

[แก้]
แผนที่สาธารณรัฐประชาธิปไตยคองโก
แผนที่สาธารณรัฐประชาธิปไตยคองโกของการจำแนกภูมิอากาศแบบเคิปเปน

ตั้งอยู่ในเขตซับซาฮาราตอนกลางของแอฟริกา ทิศตะวันตกเฉียงเหนือติดกับสาธารณรัฐคองโก ทางทิศเหนือติดกับสาธารณรัฐแอฟริกากลาง ทางทิศตะวันออกเฉียงเหนือติดกับซูดานใต้ ทิศตะวันออกติดกับยูกันดา รวันดา และบุรุนดี แทนซาเนีย (ข้ามทะเลสาบแทนกันยีกา) ไปทางทิศใต้และตะวันออกเฉียงใต้ติดกับแซมเบีย ไปทางทิศตะวันตกเฉียงใต้ติดกับแองโกลา และทางทิศตะวันตกติดกับมหาสมุทรแอตแลนติกใต้และเขตปกครองพิเศษของแองโกลา ประเทศนี้อยู่ระหว่างละติจูด 6°N ถึง 14°S และลองจิจูด 12°E และ 32°E มันคร่อมเส้นศูนย์สูตร โดยหนึ่งในสามอยู่ทางเหนือและสองในสามอยู่ทางใต้ ด้วยพื้นที่ 2,345,408 ตารางกิโลเมตร (905,567 ตารางไมล์) จึงเป็นประเทศที่ใหญ่เป็นอันดับสองในแอฟริกาตามพื้นที่ รองจากแอลจีเรีย

ด้วยตำแหน่งที่ตั้งที่เส้นศูนย์สูตร สาธารณรัฐประชาธิปไตยคองโกจึงมีฝนตกชุกและมีความถี่ของพายุฝนฟ้าคะนองสูงที่สุดในโลก ปริมาณน้ำฝนต่อปีอาจสูงถึง 2,000 กรรม (79 นิ้ว) ในบางพื้นที่ และพื้นที่ดังกล่าวยังเป็นป่าดงดิบคองโก ซึ่งเป็นป่าดิบชื้นที่ใหญ่เป็นอันดับสองของโลกรองจากป่าฝนอเมซอน พื้นที่กว้างใหญ่ของป่าเขียวขจีนี้ครอบคลุมส่วนใหญ่ของแอ่งน้ำกลางแม่น้ำที่กว้างใหญ่ ซึ่งลาดเอียงไปทางมหาสมุทรแอตแลนติกทางทิศตะวันตก พื้นที่นี้ล้อมรอบด้วยที่ราบสูงที่รวมกันเป็นทุ่งหญ้าสะวันนาทางทิศใต้และทิศตะวันตกเฉียงใต้ โดยมีลานภูเขาทางทิศตะวันตก และทุ่งหญ้าหนาทึบทอดยาวเลยแม่น้ำคองโกไปทางทิศเหนือ เทือกเขารเวนโซรี ที่มีธารน้ำแข็งพบได้ในภาคตะวันออกสุดขั้ว

ภูมิอากาศ

[แก้]
ป่าดิบชื้นในสาธารณรัฐประชาธิปไตยคองโก

ตั้งอยู่บริเวณเส้นศูนย์สูตร มีอากาศร้อนและฝนตกชุก ที่ราบสูงตอนใต้มีอากาศเย็นและแห้งแล้ง ส่วนที่ราบสูงทางภาคตะวันออกอากาศจะเย็นและเปียกชื้น สำหรับบริเวณด้านเหนือของเส้นศูนย์สูตร ฤดูฝนจะเริ่มขึ้นตั้งแต่เดือนเมษายน - ตุลาคม และฤดูแล้งเริ่มขึ้นตั้งแต่เดือนธันวาคม - กุมภาพันธ์ ส่วนบริเวณตอนใต้ของเส้นศูนย์สูตร ฤดูฝนจะเริ่มขึ้นตั้งแต่เดือนพฤศจิกายน - มีนาคมและฤดูแล้งระหว่างเดือนเมษายน - ตุลาคม ด้านตะวันตกซึ่งเป็นบริเวณที่ราบทั่วไป มีอุณหภูมิเฉลี่ยประมาณ 26 องศาเซลเซียส ส่วนอุณหภูมิแถบที่ราบสูงและภูเขาเฉลี่ยประมาณ 18 องศาเซลเซียส ภูมิอากาศของสาธารณรัฐประชาธิปไตยคองโกเหมาะสมกับการเกษตรกรรมและป่าไม้

การเมือง

[แก้]
โฌแซ็ฟ กาบีลา เป็นประธานาธิบดีของสาธารณรัฐประชาธิปไตยคองโกตั้งแต่มกราคม 2544 ถึงมกราคม 2562

หลังจากสี่ปีสลับสับเปลี่ยนระหว่างรัฐธรรมนูญสองฉบับ โดยมีการจัดตั้งสถาบันทางการเมืองขึ้นใหม่ในระดับต่างๆ ของรัฐบาล ตลอดจนการแบ่งเขตการปกครองใหม่สำหรับจังหวัดต่างๆ ทั่วประเทศ รัฐธรรมนูญฉบับใหม่มีผลบังคับใช้ในปี 2549 และการเมืองในสาธารณรัฐประชาธิปไตย ในที่สุดคองโกก็ตั้งรกรากเป็นสาธารณรัฐประชาธิปไตยประธานาธิบดีที่มั่นคง รัฐธรรมนูญเฉพาะกาล 2546[56] ได้จัดตั้งรัฐสภาโดยมีสภานิติบัญญัติสองสภา ประกอบด้วย วุฒิสภาและสมัชชาแห่งชาติ

วุฒิสภามีหน้าที่ร่างรัฐธรรมนูญฉบับใหม่ของประเทศ สาขาบริหารตกเป็นของคณะรัฐมนตรี 60 คน นำโดยประธานาธิบดี 1 คนและรองประธานาธิบดี 4 คน ประธานาธิบดียังเป็นผู้บัญชาการทหารสูงสุดของกองทัพ รัฐธรรมนูญเฉพาะกาลยังได้จัดตั้งองค์กรตุลาการที่ค่อนข้างเป็นอิสระ โดยมีศาลฎีกาที่มีอำนาจตีความตามรัฐธรรมนูญเป็นหัวหน้า[57]

รัฐธรรมนูญ พ.ศ. 2549 หรือที่เรียกว่ารัฐธรรมนูญแห่งสาธารณรัฐที่สาม มีผลบังคับใช้ในเดือนกุมภาพันธ์ พ.ศ. 2549 อย่างไรก็ตาม รัฐธรรมนูญมีอำนาจหน้าที่ควบคู่กันไปกับรัฐธรรมนูญเฉพาะกาลจนถึงการเข้ารับตำแหน่งของเจ้าหน้าที่ที่มาจากการเลือกตั้งในเดือนกรกฎาคม พ.ศ. 2549 ภายใต้รัฐธรรมนูญฉบับใหม่ สภานิติบัญญัติยังคงเป็นสองสภา ฝ่ายบริหารดำเนินการร่วมกันโดยประธานาธิบดีและรัฐบาล นำโดยนายกรัฐมนตรี ซึ่งได้รับการแต่งตั้งจากพรรคที่สามารถรักษาเสียงข้างมากในสภาแห่งชาติได้

รัฐบาลไม่ใช่ประธานาธิบดีมีหน้าที่รับผิดชอบต่อรัฐสภา รัฐธรรมนูญฉบับใหม่ยังให้อำนาจใหม่แก่รัฐบาลส่วนภูมิภาค โดยสร้างรัฐสภาประจำจังหวัดซึ่งมีผู้ว่าการและหัวหน้ารัฐบาลส่วนภูมิภาคเป็นผู้ควบคุมดูแล รัฐธรรมนูญใหม่ยังเห็นการหายไปของศาลฎีกาซึ่งแบ่งออกเป็นสามสถาบันใหม่ อำนาจตีความตามรัฐธรรมนูญของศาลฎีกาอยู่ในอำนาจของศาลรัฐธรรมนูญ[58]

แม้ว่าจะตั้งอยู่ในอนุภูมิภาคแอฟริกากลางของสหประชาชาติ แต่ประเทศนี้ก็มีความเกี่ยวข้องทางเศรษฐกิจและระดับภูมิภาคกับแอฟริกาตอนใต้ในฐานะสมาชิกของ Southern African Development Community (SADC)[59]

การแบ่งเขตการปกครอง

[แก้]
จังหวัดต่าง ๆ ในสาธารณรัฐประชาธิปไตยคองโก

สาธารณรัฐประชาธิปไตยคองโกแบ่งเขตการปกครองออกเป็น 25 จังหวัด (provinces) และ 1 นคร (city) ได้แก่

1. กินชาซา* (Kinshasa)
2. จังหวัดกองโกซองตราล (Kongo Central)
3. จังหวัดกวังโก (Kwango)
4. จังหวัดกวีลู (Kwilu)
5. จังหวัดไม-ดอมเบ (Mai-Ndombe)
6. จังหวัดกาซาอี (Kasaï)
7. จังหวัดลูลัว (Lulua)
8. จังหวัดกาซาอีออเรียงตาล (Kasaï Oriental)
9. จังหวัดโลมามี (Lomami)
10. จังหวัดซังกูรู (Sankuru)
11. จังหวัดมานีมา (Maniema)
12. จังหวัดซูด-กีวู (Sud-Kivu)
13. จังหวัดนอร์-กีวู (Nord-Kivu)
14. จังหวัดอีตูรี (Ituri)
15. จังหวัดโอ-อูแอล (Haut-Uele)
16. จังหวัดโชโป (Tshopo)
17. จังหวัดบา-อูแอล (Bas-Uele)
18. จังหวัดนอร์-อูบองชี (Nord-Ubangi)
19. จังหวัดมองกาลา (Mongala)
20. จังหวัดซูด-อูบองชี (Sud-Ubangi)
21. จังหวัดเอกาเตอร์ (Équateur)
22. จังหวัดชัวปา (Tshuapa)
23. จังหวัดแทนกันยีกา (Tanganyika)
24. จังหวัดโอ-โลมามี (Haut-Lomami)
25. จังหวัดลัวลาบา (Lualaba)
26. จังหวัดโอ-กาตองกา (Haut-Katanga)

ต่างประเทศ

[แก้]
ประธานาธิบดีโจเซฟ กาบีลา กับประธานาธิบดีสหรัฐฯ บารัก โอบามา ในเดือนสิงหาคม 2014

การเติบโตทั่วโลกในด้านความต้องการวัตถุดิบที่หายากและการเพิ่มขึ้นของอุตสาหกรรมในจีน อินเดีย รัสเซีย บราซิล และประเทศกำลังพัฒนาอื่น ๆ ทำให้ประเทศที่พัฒนาแล้วใช้กลยุทธ์ใหม่ที่บูรณาการและตอบสนองในการระบุและรับประกันอย่างต่อเนื่อง การจัดหาที่เพียงพอของ วัสดุเชิงกลยุทธ์และสำคัญที่จำเป็นสำหรับความต้องการด้านความปลอดภัย[60] การเน้นย้ำถึงความสำคัญของคองโกต่อความมั่นคงแห่งชาติของสหรัฐฯ ความพยายามในการจัดตั้งหน่วยรบชั้นนำของคองโกเป็นแรงผลักดันล่าสุดจากสหรัฐฯ ในการสร้างกองกำลังติดอาวุธให้เป็นมืออาชีพในภูมิภาคที่มีความสำคัญทางยุทธศาสตร์นี้[61]

โดยมีแรงจูงใจทางเศรษฐกิจและยุทธศาสตร์ในการเพิ่มความปลอดภัยให้กับคองโก ซึ่งอุดมไปด้วยทรัพยากรธรรมชาติ เช่น โคบอลต์ ซึ่งเป็นโลหะเชิงกลยุทธ์และมีความสำคัญอย่างยิ่งที่ใช้ในอุตสาหกรรมและการทหารจำนวนมาก[60] การใช้โคบอลต์มากที่สุดอยู่ในซูเปอร์อัลลอย ซึ่งใช้ทำชิ้นส่วนเครื่องยนต์ไอพ่น โคบอลต์ยังใช้ในโลหะผสมแม่เหล็กและในการตัดและวัสดุที่ทนทานต่อการสึกหรอ เช่น ซีเมนต์คาร์ไบด์ อุตสาหกรรมเคมีใช้โคบอลต์ในปริมาณมากในการใช้งานที่หลากหลาย รวมถึงตัวเร่งปฏิกิริยาสำหรับปิโตรเลียมและกระบวนการทางเคมี สารทำให้แห้งสำหรับสีและหมึกพิมพ์ เคลือบพื้นสำหรับเคลือบพอร์ซเลน สารลดสีสำหรับเซรามิกและแก้ว และเม็ดสีสำหรับเซรามิก สี และพลาสติก ประเทศนี้มีโคบอลต์สำรองถึง 80% ของโลก[62]

เป็นที่เชื่อกันว่าเนื่องจากความสำคัญของโคบอลต์สำหรับแบตเตอรี่สำหรับยานยนต์ไฟฟ้าและการทำให้โครงข่ายไฟฟ้ามีความเสถียรโดยมีสัดส่วนของพลังงานทดแทนที่ไม่ต่อเนื่องจำนวนมากในส่วนผสมไฟฟ้า คองโกอาจกลายเป็นเป้าหมายของการแข่งขันทางภูมิรัฐศาสตร์ที่เพิ่มขึ้น[60]

ในศตวรรษที่ 21 การลงทุนของจีนในคองโกและการส่งออกของคองโกไปยังจีนเติบโตอย่างรวดเร็ว ในเดือนกรกฎาคม 2019 ทูตสหประชาชาติจาก 37 ประเทศ รวมถึงคองโกได้ลงนามในจดหมายร่วมถึง UNHRC ปกป้องการปฏิบัติต่อชาวอุยกูร์และชนกลุ่มน้อยมุสลิมอื่นๆ ของจีน[63] ในปี 2021 ประธานาธิบดี เฟลิกซ์ ชีเซิกดี เรียกร้องให้มีการทบทวนสัญญาการขุดที่ลงนามกับจีนโดยโจเซฟ กาบีลา [64] โดยเฉพาะอย่างยิ่งข้อตกลง 'แร่ธาตุสำหรับโครงสร้างพื้นฐาน' มูลค่าหลายพันล้านของซิโคมีน[65][66]

กองทัพ

[แก้]
ทหาร FARDC ลาดตระเวนในจังหวัดอีตูรี

กองทัพสาธารณรัฐประชาธิปไตยคองโก (FARDC) ประกอบด้วยบุคลากรประมาณ 144,000 คน ซึ่งส่วนใหญ่เป็นส่วนหนึ่งของกองกำลังทางบก รวมถึงกองทัพอากาศขนาดเล็กและกองทัพเรือขนาดเล็ก FARDC ก่อตั้งขึ้นในปี 2546 หลังจากสิ้นสุดสงครามคองโกครั้งที่สองและรวมกลุ่มกบฏในอดีตหลายกลุ่มเข้าเป็นส่วนหนึ่งของกลุ่ม เนื่องจากการมีอยู่ของอดีตกลุ่มกบฏที่ขาดระเบียบวินัยและได้รับการฝึกฝนมาไม่ดี ตลอดจนการขาดเงินทุนและใช้เวลาหลายปีในการต่อสู้กับกลุ่มติดอาวุธต่างๆ FARDC จึงต้องทนทุกข์ทรมานจากการทุจริตและความไร้ประสิทธิภาพอย่างอาละวาด ข้อตกลงที่ลงนามเมื่อสิ้นสุดสงครามคองโกครั้งที่สองเรียกร้องให้มีกองทัพ "ระดับชาติ ปรับโครงสร้างใหม่และบูรณาการ" ซึ่งจะประกอบด้วยกองกำลังของรัฐบาลกาบีลา (FAC) RCD และ MLC มีข้อกำหนดด้วยว่ากลุ่มกบฏเช่น RCD-N, RCD-ML และ ไม-ไม จะกลายเป็นส่วนหนึ่งของกองกำลังติดอาวุธใหม่ นอกจากนี้ยังจัดให้มีการจัดตั้ง Conseil Supérieur de la Défense (สภากลาโหมระดับสูง) ซึ่งจะประกาศสถานะการปิดล้อมหรือสงครามและให้คำแนะนำเกี่ยวกับการปฏิรูปภาคความมั่นคง การลดอาวุธ/ถอนกำลัง และนโยบายการป้องกันประเทศ FARDC จัดขึ้นบนพื้นฐานของกลุ่มซึ่งกระจายไปทั่วจังหวัดของสาธารณรัฐประชาธิปไตยคองโก กองทหารคองโกต่อสู้กับความขัดแย้งกีวู ในภูมิภาค จังหวัดนอร์-กีวู ทางตะวันออก ความขัดแย้งอีตูรีในภูมิภาคอีตูรีและการกบฏอื่น ๆ นับตั้งแต่สงครามคองโกครั้งที่สอง นอกจาก FARDC แล้ว ภารกิจรักษาสันติภาพที่ใหญ่ที่สุดของสหประชาชาติ หรือที่เรียกว่า MONUSCO ยังมีเจ้าหน้าที่รักษาสันติภาพอยู่ในประเทศนี้ด้วยประมาณ 18,000 คน

สาธารณรัฐประชาธิปไตยคองโกลงนามในสนธิสัญญาสหประชาชาติว่าด้วยการห้ามอาวุธนิวเคลียร์[67]

การคอร์รัปชั่น

[แก้]

รัฐบาลโมบูตูเก็บรายได้อย่างผิดกฎหมายอย่างไรในระหว่างการปกครองของเขา[68] โมบูตูจัดตั้งสถาบันการคอรัปชั่นเพื่อป้องกันไม่ให้คู่แข่งทางการเมืองท้าทายการควบคุมของเขา ซึ่งนำไปสู่การล่มสลายทางเศรษฐกิจในปี 2539[69]

โมบูตูถูกกล่าวหาว่าขโมยเงินไปมากถึง 4-5 พันล้านเหรียญสหรัฐในขณะที่ดำรงตำแหน่ง[70] เขาไม่ใช่ผู้นำชาวคองโกคนแรกที่ฉ้อราษฎร์บังหลวงไม่ว่าด้วยวิธีใด "รัฐบาลในฐานะระบบการโจรกรรมที่เป็นระบบกลับไปสู่กษัตริย์เลออปอลที่ 2" อดัม ฮอชไชลด์กล่าวในปี 2552[71] ในเดือนกรกฎาคม พ.ศ. 2552 ศาลสวิสตัดสินว่าอายุความในคดีการเรียกคืนทรัพย์สินระหว่างประเทศมีเงินฝากประมาณ 6.7 ล้านดอลลาร์ของโมบูตูในธนาคารสวิสหมดลงแล้ว ดังนั้นทรัพย์สินควรถูกส่งคืนให้กับครอบครัวของโมบูตู[72]

ประธานาธิบดีกาบีลาได้จัดตั้งคณะกรรมาธิการปราบปรามอาชญากรรมทางเศรษฐกิจเมื่อเขาขึ้นสู่อำนาจในปี 2544[73] อย่างไรก็ตาม ในปี 2559 โครงการพอได้ออกรายงานโดยอ้างว่าคองโกดำเนินการในฐานะระบอบประชาธิปไตยแบบเผด็จการที่มีความรุนแรง.[74]

ในเดือนมิถุนายน 2020 ศาลในสาธารณรัฐประชาธิปไตยคองโกตัดสินว่า Vital Kamerhe หัวหน้าเจ้าหน้าที่ของประธานาธิบดีซีเซเกดี มีความผิดฐานทุจริต เขาถูกตัดสินให้ใช้แรงงานหนักเป็นเวลา 20 ปี หลังจากเผชิญกับข้อหายักยอกเงินสาธารณะเกือบ 50 ล้านดอลลาร์ (39 ล้านปอนด์) เขาเป็นบุคคลที่มีชื่อเสียงที่สุดที่ถูกตัดสินว่ามีความผิดในคดีทุจริตคอรัปชั่นในคอรัปชั่น[75]

ในเดือนพฤศจิกายน พ.ศ. 2564 การสืบสวนของศาลที่มุ่งเป้าไปที่กาบีลาและพรรคพวกของเขาได้เปิดขึ้นในกินชาซา หลังจากการเปิดเผยข้อกล่าวหายักยอกเงิน 138 ล้านดอลลาร์[76]

สิทธิมนุษยชน

[แก้]
กลุ่มทหารเด็กที่ได้ถูกปลดประจำการในสาธารณรัฐประชาธิปไตยคองโก

การไต่สวนของศาลอาญาระหว่างประเทศในสาธารณรัฐประชาธิปไตยคองโกเริ่มต้นโดยกาบีลา ในเดือนเมษายน 2547 อัยการศาลอาญาระหว่างประเทศเปิดคดีในเดือนมิถุนายน 2547 ทหารเด็กถูกใช้อย่างกว้างขวางในคองโก และในปี 2554 มีการประเมินว่า เด็ก 30,000 คนยังคงปฏิบัติการร่วมกับกลุ่มติดอาวุธ[77] ตัวอย่างการใช้แรงงานเด็กและแรงงานบังคับได้รับการสังเกตและรายงานในผลการวิจัยของกระทรวงแรงงานสหรัฐเกี่ยวกับรูปแบบที่เลวร้ายที่สุดของการใช้แรงงานเด็กในคองโก ในปี 2556[78] และสินค้าหกรายการที่ผลิตโดยอุตสาหกรรมเหมืองแร่ของประเทศปรากฏในรายชื่อสินค้าที่ผลิตโดยแรงงานเด็กหรือแรงงานบังคับในเดือนธันวาคม 2557

สาธารณรัฐประชาธิปไตยคองโกห้ามการแต่งงานของเพศเดียวกันตั้งแต่ปี 2549[79] และทัศนคติต่อชุมชน LGBT มักจะเป็นไปในทางลบทั่วประเทศ[80]

เศรษฐกิจ

[แก้]
สัดส่วนการส่งออกของสาธารณรัฐประชาธิปไตยคองโก ปี 2562
การเปลี่ยนแปลงใน GDP ต่อหัวของคองโก 2493-2561 ตัวเลขได้รับการปรับอัตราเงินเฟ้อเป็นสกุลเงินดอลลาร์ระหว่างประเทศในปี 2554

ธนาคารกลางคองโกมีหน้าที่รับผิดชอบในการพัฒนาและบำรุงรักษาฟรังก์คองโก ซึ่งทำหน้าที่เป็นสกุลเงินหลักในสาธารณรัฐประชาธิปไตยคองโก ในปี 2550 ธนาคารโลกตัดสินใจมอบเงินช่วยเหลือแก่สาธารณรัฐประชาธิปไตยคองโกมูลค่า 1.3 พันล้านดอลลาร์ในช่วง 3 ปีถัดมา[81] รัฐบาลคองโกเริ่มเจรจาการเป็นสมาชิกในองค์กรเพื่อการประสานกฎหมายธุรกิจในแอฟริกา (OHADA) ในปี 2552[82]

คองโกได้รับการพิจารณาอย่างกว้างขวางว่าเป็นหนึ่งในประเทศที่ร่ำรวยที่สุดในโลกในด้านทรัพยากรธรรมชาติ แหล่งแร่ดิบที่ยังไม่ได้ใช้ประโยชน์คาดว่าจะมีมูลค่าเกินกว่า 24 ล้านล้านเหรียญสหรัฐ.[83][84][85] คองโกมีแร่โคลแทน 70% ของโลก โคบอลต์หนึ่งในสาม เพชรสำรองมากกว่า 30% และทองแดง 1 ใน 10[86][87]

แม้จะมีความมั่งคั่งทางแร่มากมายเช่นนี้ แต่เศรษฐกิจของสาธารณรัฐประชาธิปไตยคองโกก็ตกต่ำลงอย่างมากตั้งแต่กลางทศวรรษที่ 1980 คองโกสร้างรายได้มากถึง 70% ของรายได้จากการส่งออกแร่ในช่วงปี 1970 และ 1980 และได้รับผลกระทบเป็นพิเศษเมื่อราคาทรัพยากรตกต่ำลงในเวลานั้น ภายในปี 2548 รายได้ 90% ของคองโกมาจากแร่ธาตุ.[88]ชาวคองโกเป็นหนึ่งในกลุ่มคนที่ยากจนที่สุดในโลก คองโกมี GDP ต่อหัวต่ำที่สุดหรือเกือบต่ำที่สุดเสมอมาในโลก คองโกยังเป็นหนึ่งในยี่สิบประเทศที่มีอันดับต่ำที่สุดในดัชนีภาพลักษณ์คอร์รัปชั่น

เหมืองแร่

[แก้]
เพชรหยาบ ขนาด 1 ถึง 1.5 มม. จากสาธารณรัฐประชาธิปไตยคองโก

คองโกเป็นผู้ผลิตแร่โคบอลต์รายใหญ่ที่สุดของโลก และเป็นผู้ผลิตทองแดงและเพชรรายใหญ่[89] ส่วนหลังมาจากจังหวัดคาไซทางตะวันตก จนถึงตอนนี้ เหมืองที่ใหญ่ที่สุดในคองโกตั้งอยู่ทางตอนใต้ของจังหวัดกาตังกา และมีการใช้เครื่องจักรสูง โดยมีกำลังการผลิตทองแดงและแร่โคบอลต์หลายล้านตันต่อปี และความสามารถในการกลั่นแร่โลหะ คองโกเป็นประเทศผู้ผลิตเพชรที่ใหญ่เป็นอันดับสองของโลก[a] และคนงานเหมืองฝีมือดีและคนงานเหมืองรายย่อยเป็นส่วนใหญ่ในการผลิต

เมื่อได้รับเอกราชในปี 1960 คองโกเป็นประเทศที่มีอุตสาหกรรมมากที่สุดเป็นอันดับสองในแอฟริการองจากแอฟริกาใต้ มันมีภาคเหมืองแร่ที่เจริญรุ่งเรืองและภาคเกษตรกรรมที่ค่อนข้างมีประสิทธิผล[90] ธุรกิจต่างประเทศได้ลดการดำเนินงานลงเนื่องจากความไม่แน่นอนเกี่ยวกับผลลัพธ์ของความขัดแย้งในระยะยาว การขาดโครงสร้างพื้นฐาน และสภาพแวดล้อมในการดำเนินงานที่ยากลำบาก สงครามทำให้เกิดผลกระทบรุนแรงขึ้นจากปัญหาพื้นฐาน เช่น กรอบกฎหมายที่ไม่แน่นอน การทุจริต อัตราเงินเฟ้อ และการขาดความเปิดกว้างในนโยบายเศรษฐกิจและการดำเนินงานทางการเงินของรัฐบาล

สภาพต่างๆ ดีขึ้นในปลายปี 2002 เมื่อกองทหารต่างชาติที่บุกรุกส่วนใหญ่ถอนตัวออกไป ภารกิจของกองทุนการเงินระหว่างประเทศและธนาคารโลกจำนวนหนึ่งได้พบกับรัฐบาลเพื่อช่วยพัฒนาแผนเศรษฐกิจที่สอดคล้องกัน และประธานาธิบดีคาบิลาก็เริ่มดำเนินการปฏิรูป กิจกรรมทางเศรษฐกิจส่วนใหญ่ยังคงอยู่นอกข้อมูล GDP จนถึงปี 2011 คองโกมีดัชนีการพัฒนามนุษย์ต่ำที่สุดจาก 187 ประเทศที่ได้รับการจัดอันดับ[91]

ดัชนีการพัฒนามนุษย์ของคองโก 1970-1990
การเก็บฟืนของคนในบาซันกูสู

เศรษฐกิจของคองโก อาศัยการขุดฝีมือเป็นอย่างมาก อย่างไรก็ตาม กิจกรรมทางเศรษฐกิจขนาดเล็กจากการขุดงานฝีมือเกิดขึ้นในภาคนอกระบบ และไม่สะท้อนอยู่ในข้อมูล GDP[92] เชื่อกันว่าเพชรหนึ่งในสามของคองโกถูกลักลอบนำออกนอกประเทศ ทำให้ยากต่อการระบุปริมาณการผลิตเพชร[93] ในปี 2002 มีการค้นพบดีบุกทางตะวันออกของประเทศ แต่จนถึงปัจจุบันมีการขุดเพียงเล็กน้อยเท่านั้น[94] การลักลอบขนแร่ที่มีข้อขัดแย้ง เช่น โคลตันและแคสซิเทอไรต์ แร่แทนทาลัมและดีบุก ตามลำดับ ช่วยจุดชนวนให้เกิดสงครามในคองโกตะวันออก[95]

บริษัทเหมืองแร่ในกาตันกาซึ่งเป็นบริษัทที่มีชาวสวิสเป็นเจ้าของ เป็นเจ้าของโรงงาน Luilu Metallurgical ซึ่งมีกำลังการผลิตทองแดง 175,000 ตันและโคบอลต์ 8,000 ตันต่อปี ทำให้ที่นี่เป็นโรงกลั่นโคบอลต์ที่ใหญ่ที่สุดในโลก หลังจากโครงการฟื้นฟูครั้งใหญ่ บริษัทกลับมาดำเนินการผลิตทองแดงอีกครั้งในเดือนธันวาคม 2007 และการผลิตโคบอลต์ในเดือนพฤษภาคม 2008[96]

ในเดือนเมษายน 2013 NGO เปิดเผยว่าหน่วยงานด้านภาษีของคองโกล้มเหลวในการบัญชีเงิน 88 ล้านดอลลาร์จากภาคเหมืองแร่ แม้ว่าการผลิตจะเฟื่องฟูและผลการดำเนินงานทางอุตสาหกรรมในเชิงบวกก็ตาม เงินทุนที่ขาดหายไปนั้นเกิดขึ้นตั้งแต่ปี 2010 และหน่วยงานภาษีควรจ่ายเงินให้กับธนาคารกลางแล้ว[97]ต่อมาในปี 2013 Extractive Industries Transparency Initiative ได้ระงับการลงสมัครเป็นสมาชิกของประเทศเนื่องจากการรายงาน การติดตาม และการตรวจสอบที่เป็นเสรีนั้นไม่เพียงพอ แต่ในเดือนกรกฎาคม 2013 ประเทศได้ปรับปรุงแนวทางปฏิบัติด้านการบัญชีและความโปร่งใสจนถึงจุดที่ EITI ให้ประเทศเป็นสมาชิกเต็มรูปแบบ

ในเดือนกุมภาพันธ์ 2018 บริษัทจัดการสินทรัพย์ระดับโลก AllianceBernstein[98] นิยามคองโกในเชิงเศรษฐกิจว่าเป็น "ซาอุดีอาระเบียแห่งยุครถยนต์ไฟฟ้า" เนื่องจากมีทรัพยากรโคบอลต์ ซึ่งจำเป็นต่อแบตเตอรี่ลิเธียมไอออนที่ขับเคลื่อนรถยนต์ไฟฟ้า[99]

การคมนาคม

[แก้]
รถไฟจากลูบูมบาซีมาถึงคีนดู ในสายที่ปรับปรุงใหม่

การขนส่งภาคพื้นดินในสาธารณรัฐประชาธิปไตยคองโกเป็นเรื่องยากมาโดยตลอด ภูมิประเทศและภูมิอากาศของแอ่งคองโกเป็นอุปสรรคอย่างร้ายแรงต่อการก่อสร้างถนนและทางรถไฟ อีกทั้งระยะทางทั่วประเทศอันกว้างใหญ่นี้ยังมีระยะทางที่ยาวไกล โดยคองโกมีแม่น้ำที่ใช้เดินเรือได้มากกว่าและเคลื่อนย้ายผู้โดยสารและสินค้าทางเรือและเรือข้ามฟากมากกว่าประเทศอื่นๆ ในแอฟริกา แต่การขนส่งทางอากาศยังคงเป็นวิธีเดียวที่มีประสิทธิภาพในการเคลื่อนย้ายสินค้าและผู้คนระหว่างสถานที่ต่างๆ ในประเทศ โดยเฉพาะอย่างยิ่งในพื้นที่ชนบท การบริหารเศรษฐกิจที่ผิดพลาดเรื้อรัง การคอรัปชั่นทางการเมือง และความขัดแย้งภายในได้นำไปสู่การลงทุนโครงสร้างพื้นฐานในระยะยาว

พลังงาน

[แก้]

ทั้งทรัพยากรถ่านหินและน้ำมันดิบส่วนใหญ่ใช้ในประเทศจนถึงปี 2008 คองโกมีโครงสร้างพื้นฐานสำหรับการผลิตไฟฟ้าพลังน้ำจากแม่น้ำคองโกที่เขื่อนอิงกา[100] ประเทศนี้ยังครอบครองป่าไม้และระบบแม่น้ำในแอฟริกาถึง 50% ที่สามารถจ่ายไฟฟ้าพลังน้ำให้กับทั้งทวีป ตามรายงานของสหประชาชาติเกี่ยวกับความสำคัญทางยุทธศาสตร์ของประเทศและบทบาทที่เป็นไปได้ในฐานะมหาอำนาจทางเศรษฐกิจในแอฟริกากลาง[101]

การผลิตและการจำหน่ายไฟฟ้าได้รับการควบคุมโดย Société nationale d'électricité แต่มีเพียง 15% ของประเทศเท่านั้นที่สามารถเข้าถึงไฟฟ้าได้[102] คองโกนั้นเป็นสมาชิกของกลุ่มแหล่งจ่ายกำลังไฟฟ้าสามแห่ง ได้แก่ แหล่งพลังงานแอฟริกาตอนใต้ แหล่งพลังงานแอฟริกาตะวันออก และแหล่งพลังงานแอฟริกากลาง

ประชากร

[แก้]

ความหนาแน่น

[แก้]
แผนผังประชากรของสาธารณรัฐประชาธิปไตยคองโกระหว่างปี 1960 ถึง 2017

เดอะเวิลด์แฟกต์บุ๊ก ประมาณการว่าในปี 2023 จำนวนประชากรจะมากกว่า 111 ล้านคน[103] ระหว่างปี 1950 ถึง 2000 ประชากรของประเทศเพิ่มขึ้นเกือบสี่เท่าจาก 12.2 ล้านคนเป็น 46.9 ล้านคน[104]

ศาสนา

[แก้]
เซนต์ส วิหารปีเตอร์และพอล ในเมืองลูบูมบาซี

ศาสนาคริสต์เป็นศาสนาหลักในคองโกการสำรวจในปี 2013–14 ซึ่งจัดทำโดยโปรแกรมการสำรวจประชากรและสุขภาพ ในปี 2013–2014 ระบุว่าชาวคริสต์คิดเป็น 93.7% ของประชากร (โดยมีชาวคาทอลิกคิดเป็น 29.7%, โปรเตสแตนต์ 26.8% และคริสเตียนอื่นๆ 37.2%) ขบวนการศาสนาคริสต์แนวใหม่ ลัทธิคิมบังกิมีความยึดมั่น 2.8% ในขณะที่ชาวมุสลิมคิดเป็น 1%[105] ประมาณการล่าสุดอื่น ๆ พบว่าศาสนาคริสต์เป็นศาสนาส่วนใหญ่ รองลงมาคือ 95.8% ของประชากร ตามรายงานของสำนักวิจัยพิวในปี 2010[106] ประมาณการ ในขณะที่ CIA World Factbook รายงานตัวเลขนี้เป็น 95.9%[107] สัดส่วนของผู้นับถือศาสนาอิสลามมีประมาณตั้งแต่ 1% ถึง 12%[108]

ภาษา

[แก้]
ภาษาบันตูทั้งสี่ที่มีสถานะ "ระดับชาติ" ที่ได้รับการยกระดับ

ภาษาฝรั่งเศสเป็นภาษาทางการของสาธารณรัฐประชาธิปไตยคองโก เป็นที่ยอมรับทางวัฒนธรรมว่าเป็นภาษากลางซึ่งอำนวยความสะดวกในการสื่อสารระหว่างกลุ่มชาติพันธุ์ต่างๆ ของคองโก จากรายงานของ OIF ในปี 2018 ชาวคองโก 49 ล้านคน (51% ของประชากร) สามารถอ่านและเขียนภาษาฝรั่งเศสได้[109] จากการสำรวจในปี 2021 พบว่า 74% ของประชากรสามารถพูดภาษาฝรั่งเศสได้ ทำให้เป็นภาษาที่ใช้กันอย่างแพร่หลายที่สุดในประเทศ[110]

ในกินชาซา 67% ของประชากรในปี 2014 สามารถอ่านและเขียนภาษาฝรั่งเศสได้ และ 68.5% สามารถพูดและเข้าใจภาษาฝรั่งเศสได้[111]

มีภาษาพูดประมาณ 242 ภาษาในประเทศ โดยสี่ภาษามีสถานะเป็นภาษาประจำชาติ ได้แก่ กีตูบา (กีคองโก) ลิงกาลา ชิลูบา และสวาฮิลี แม้ว่าจะมีผู้คนจำนวนจำกัดที่พูดภาษาเหล่านี้เป็นภาษาแรก แต่ประชากรส่วนใหญ่พูดเป็นภาษาที่สองรองจากภาษาพื้นเมืองของกลุ่มชาติพันธุ์ของตนเอง ลิงกาลาเป็นภาษาทางการของ Force Publique ภายใต้การปกครองอาณานิคมของเบลเยียม และยังคงเป็นภาษาหลักในกองทัพจนถึงทุกวันนี้ นับตั้งแต่การก่อจลาจลเมื่อเร็วๆ นี้ กองทัพส่วนหนึ่งที่ดีในภาคตะวันออกก็ใช้ภาษาสวาฮีลี ซึ่งใช้แข่งขันกันเพื่อชิงความเป็นกลางของภาษากลาง

ภายใต้การปกครองของเบลเยียม ชาวเบลเยียมได้จัดตั้งการสอนและการใช้ภาษาประจำชาติสี่ภาษาในโรงเรียนประถมศึกษา ทำให้เป็นหนึ่งในไม่กี่ประเทศในแอฟริกาที่มีความรู้ในภาษาท้องถิ่นในช่วงยุคอาณานิคมของยุโรป แนวโน้มนี้กลับหลังจากได้รับเอกราช เมื่อภาษาฝรั่งเศสกลายเป็นภาษาเดียวของการศึกษาในทุกระดับ[112] ตั้งแต่ปี พ.ศ. 2518 ภาษาประจำชาติทั้งสี่ได้รับการแนะนำอีกครั้งในช่วงสองปีแรกของการศึกษาระดับประถมศึกษา โดยภาษาฝรั่งเศสกลายเป็นภาษาเดียวในการศึกษาตั้งแต่ปีที่สามเป็นต้นไป แต่ในทางปฏิบัติ โรงเรียนประถมศึกษาหลายแห่งในเขตเมืองใช้ภาษาฝรั่งเศสเพียงอย่างเดียวตั้งแต่แรก ปีการศึกษาไปข้างหน้า[112] ภาษาโปรตุเกสได้รับการสอนในโรงเรียนคองโกเป็นภาษาต่างประเทศ ความคล้ายคลึงกันของคำศัพท์และหน่วยเสียงกับภาษาฝรั่งเศสทำให้ภาษาโปรตุเกสเป็นภาษาที่ค่อนข้างง่ายสำหรับผู้คนในการเรียนรู้ ผู้พูดภาษาโปรตุเกสส่วนใหญ่ประมาณ 175,000 คนในคองโก เป็นชาวแองโกลาและชาวโมซัมบิก

สาธารณสุข

[แก้]
การพัฒนาอายุขัยในสาธารณรัฐประชาธิปไตยคองโก

โรงพยาบาลในคองโกรวมถึงโรงพยาบาลทั่วไปของกินชาซา คองโกมีอัตราการตายของทารกสูงเป็นอันดับสองของโลก (รองจากชาด) ในเดือนเมษายน พ.ศ. 2554 ด้วยความช่วยเหลือจากกาวี ได้มีการแนะนำวัคซีนใหม่เพื่อป้องกันโรคปอดบวมทั่วเมืองกินชาซา[113] ในปี 2012 ประมาณว่าประมาณ 1.1% ของผู้ใหญ่อายุ 15-49 ปีอาศัยเป็นโรคเอชไอวี/เอดส์[114] มาลาเรีย[115][116] และไข้เหลืองเป็นปัญหา.[117] ในเดือนพฤษภาคม 2019 ยอดผู้เสียชีวิตจากการระบาดของอีโบลาในคองโก ทะลุ 1,000 รายแล้ว[118]

อุบัติการณ์ของการเสียชีวิตที่เกี่ยวข้องกับไข้เหลืองในคองโกนั้นค่อนข้างต่ำ ตามรายงานขององค์การอนามัยโลก (WHO) ในปี 2564 มีเพียงสองคนเท่านั้นที่เสียชีวิตเนื่องจากไข้เหลืองในคองโก[119]

จากข้อมูลของกลุ่มธนาคารโลก ในปี 2016 มีผู้เสียชีวิต 26,529 รายบนท้องถนนในคองโก เนื่องจากอุบัติเหตุจราจร[120]

หน่วยงานบรรเทาทุกข์ด้านอาหารฉุกเฉินแห่งสหประชาชาติเตือนว่าท่ามกลางความขัดแย้งที่ทวีความรุนแรงขึ้นและสถานการณ์ที่ย่ำแย่ลงภายหลังการแพร่ระบาดของไวรัสโควิด-19 ในสาธารณรัฐประชาธิปไตยคองโก ชีวิตหลายล้านชีวิตตกอยู่ในความเสี่ยงเนื่องจากอาจเสียชีวิตจากความหิวโหย จากข้อมูลของโครงการอาหารโลก ในปี 2020 ประชาชนสี่ในสิบคนในคองโกขาดความมั่นคงทางอาหาร และประมาณ 15.6 ล้านคนกำลังเผชิญกับวิกฤตความหิวโหยที่อาจเกิดขึ้น[121]

ระดับมลพิษทางอากาศในสาธารณรัฐประชาธิปไตยคองโก (DRC) นั้นไม่ดีต่อสุขภาพอย่างมาก ในปี 2020 มลพิษทางอากาศเฉลี่ยต่อปีในสาธารณรัฐประชาธิปไตยคองโกอยู่ที่ 34.2 µg/m³ ซึ่งเกือบ 6.8 เท่าของแนวทาง PM2.5 ขององค์การอนามัยโลก (5 g/m³: กำหนดไว้ในเดือนกันยายน 2021)[122] ระดับมลพิษเหล่านี้คาดว่าจะลดอายุขัยของพลเมืองโดยเฉลี่ยของคองโก ลงได้เกือบ 2.9 ปี[122] ปัจจุบัน คองโกยังไม่มีมาตรฐานคุณภาพอากาศโดยรอบระดับชาติ[123]

การศึกษา

[แก้]
ห้องเรียนในสาธารณรัฐประชาธิปไตยคองโก

ในปี 2014 อัตราการรู้หนังสือของประชากรที่มีอายุระหว่าง 15 ถึง 49 ปีอยู่ที่ประมาณ 75.9% (ชาย 88.1% และหญิง 63.8%) ตามการสำรวจทั่วประเทศของ DHS ระบบการศึกษาอยู่ภายใต้การควบคุมของกระทรวง 3 แห่ง ได้แก่ กระทรวงประถมศึกษา มัธยมศึกษา และอาชีวศึกษา (MEPSP) กระทรวงอุดมศึกษาและอุดมศึกษา (MESU) และ กระทรวงกิจการสังคม (มส.) การศึกษาระดับประถมศึกษาไม่ฟรีและไม่บังคับ[124] ทั้งที่รัฐธรรมนูญคองโกบอกว่าควรจะเป็น (มาตรา 43 ของรัฐธรรมนูญคองโกปี 2005)[125]

ผลจากสงครามคองโกครั้งที่หนึ่งและครั้งที่สองในช่วงปลายทศวรรษที่ 1990 ถึงต้นทศวรรษที่ 2000 เด็กกว่า 5.2 ล้านคนในประเทศนี้ไม่ได้รับการศึกษาใดๆ[126] นับตั้งแต่สิ้นสุดสงครามกลางเมือง สถานการณ์ดีขึ้นอย่างมาก โดยจำนวนเด็กที่เข้าเรียนในโรงเรียนประถมศึกษาเพิ่มขึ้นจาก 5.5 ล้านคนในปี 2545 เป็น 16.8 ล้านคนในปี 2561 และจำนวนเด็กที่เข้าเรียนในโรงเรียนมัธยมศึกษาเพิ่มขึ้นจาก 2.8 ล้านคนในปี 2550 เป็น 4.6 ล้านคนในปี 2558 จากข้อมูลของ ยูเนสโก[127]

การเข้าเรียนในโรงเรียนจริงก็ดีขึ้นอย่างมากในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมา โดยนักเรียนประถมเข้าเรียนสุทธิประมาณ 82.4% ในปี 2014 (82.4% ของเด็กอายุ 6-11 ปีเข้าเรียน; 83.4% สำหรับเด็กผู้ชาย 80.6% สำหรับเด็กผู้หญิง)[128]

 
เมืองที่ใหญ่ที่สุดในสาธารณรัฐประชาธิปไตยคองโก
อันดับ ชื่อ จังหวัด ประชากร
กินชาซา
กินชาซา
ลูบูมบาชี
ลูบูมบาชี
1 กินชาซา จังหวัดกินชาซา 7 785 965 โกมา
โกมา
อึมบูจีไมอี
อึมบูจีไมอี
2 ลูบูมบาชี จังหวัดกาตันกา 1 373 770
3 โกมา จังหวัดกิวู 1 000 000
4 อึมบูจีไมอี จังหวัดกาซาอีออเรียงตาล 874 761
5 คีซานกานี จังหวัดออเรียงตาล 539 158
6 มาซินา จังหวัดกินชาซา 485 167
7 กาตันกา จังหวัดกาซาอีออเรียงตาล 463 546
8 ลิกาซิ จังหวัดกาตันกา 422 414
9 โกลเวซิ จังหวัดกาตันกา 418 000
10 ทชิกาปา จังหวัดกาซาอีออเรียงตาล 267 462

การอพยพ

[แก้]
การอพยพย้ายถิ่นฐานเข้าสู่สาธารณรัฐประชาธิปไตยคองโก

เมื่อพิจารณาจากสถานการณ์ที่ไม่แน่นอนในประเทศและสภาพโครงสร้างของรัฐ ทำให้การรับข้อมูลการย้ายถิ่นที่เชื่อถือได้เป็นเรื่องยากมาก อย่างไรก็ตาม มีหลักฐานบ่งชี้ว่าคองโกยังคงเป็นประเทศปลายทางสำหรับผู้อพยพ แม้ว่าจำนวนผู้อพยพในช่วงนี้จะลดลงก็ตาม การย้ายถิ่นฐานมีความหลากหลายมากโดยธรรมชาติ ผู้ลี้ภัยและผู้ขอลี้ภัย ซึ่งเป็นผลมาจากความขัดแย้งที่รุนแรงมากมายในภูมิภาคเกรตเลกส์ ถือเป็นกลุ่มย่อยที่สำคัญของประชากร นอกจากนี้ การดำเนินงานเหมืองขนาดใหญ่ของประเทศยังดึงดูดแรงงานอพยพจากแอฟริกาและที่อื่นๆ อีกด้วย นอกจากนี้ยังมีการโยกย้ายจำนวนมากสำหรับกิจกรรมเชิงพาณิชย์จากประเทศอื่นๆ ในแอฟริกาและส่วนอื่นๆ ของโลก แต่การเคลื่อนไหวเหล่านี้ยังไม่ได้รับการศึกษาอย่างดี[129] การอพยพย้ายถิ่นฐานไปยังแอฟริกาใต้และยุโรปก็มีบทบาทเช่นกัน

การย้ายถิ่นฐานไปยังคองโก ลดลงอย่างต่อเนื่องในช่วงสองทศวรรษที่ผ่านมา ซึ่งน่าจะเป็นผลมาจากความรุนแรงที่ใช้อาวุธในประเทศนี้ ตามที่องค์การระหว่างประเทศเพื่อการโยกย้ายถิ่นฐาน จำนวนผู้อพยพในคองโกลดลงจากเพียงหนึ่งล้านคนในปี 1960 เป็น 754,000 คน ปี 1990 เหลือ 480,000 คน ปี 2005 เหลือประมาณ 445,000 คน ปี 2010 ไม่มีตัวเลขอย่างเป็นทางการ ส่วนหนึ่งเนื่องมาจาก ความโดดเด่นของเศรษฐกิจนอกระบบในคองโกยังขาดข้อมูลเกี่ยวกับผู้อพยพผิดปกติ อย่างไรก็ตาม เนื่องจากการเชื่อมโยงทางชาติพันธุ์ของประเทศเพื่อนบ้านกับพลเมือง การอพยพย้ายถิ่นอย่างผิดปกติถือเป็นปรากฏการณ์ที่สำคัญ[129]

ตัวเลขของชาวคองโกในต่างประเทศมีความแตกต่างกันอย่างมากขึ้นอยู่กับแหล่งที่มา ตั้งแต่สามถึงหกล้านคน ความคลาดเคลื่อนนี้เกิดจากการขาดข้อมูลที่เป็นทางการและเชื่อถือได้ ผู้อพยพจากคองโกอยู่เหนือผู้อพยพระยะยาวทั้งหมด ซึ่งส่วนใหญ่อาศัยอยู่ในแอฟริกาและในยุโรปเพียงเล็กน้อย 79.7% และ 15.3% ตามลำดับ ตามข้อมูลประมาณปี 2000 ประเทศปลายทางใหม่ ได้แก่ แอฟริกาใต้ และจุดต่างๆ ระหว่างเส้นทางสู่ยุโรป คองโกได้มีผู้ลี้ภัยและผู้ขอลี้ภัยจำนวนมากที่ตั้งอยู่ในภูมิภาคและที่อื่นๆ ตัวเลขเหล่านี้พุ่งสูงสุดในปี 2004 ตามข้อมูลของ UNHCR มีผู้ลี้ภัยจากคองโกมากกว่า 460,000 คน; ในปี 2008 ผู้ลี้ภัยชาวคองโกมีจำนวนทั้งหมด 367,995 คน โดย 68% อาศัยอยู่ในประเทศอื่นในแอฟริกา[129]

ตั้งแต่ปี 2003 เป็นต้นมา ผู้อพยพชาวคองโกมากกว่า 400,000 คนถูกไล่ออกจากแองโกลา[130]

วัฒนธรรม

[แก้]
รูปปั้นชาย เฮมบา

วัฒนธรรมสะท้อนให้เห็นถึงความหลากหลายของกลุ่มชาติพันธุ์จำนวนมากและวิถีชีวิตที่แตกต่างกันไปทั่วประเทศ ตั้งแต่ปากแม่น้ำคองโกบนชายฝั่ง ต้นน้ำผ่านป่าดงดิบและทุ่งหญ้าสะวันนาในใจกลาง ไปจนถึงภูเขาที่มีประชากรหนาแน่นในระยะไกล ทิศตะวันออก. ตั้งแต่ช่วงปลายศตวรรษที่ 19 วิถีชีวิตแบบดั้งเดิมได้ผ่านการเปลี่ยนแปลงที่เกิดจากลัทธิล่าอาณานิคม การต่อสู้เพื่อเอกราช ความซบเซาของยุคโมบูตู และล่าสุดคือสงครามคองโกครั้งที่หนึ่งและครั้งที่สอง แม้จะมีแรงกดดันเหล่านี้ แต่ขนบธรรมเนียมและวัฒนธรรมของคองโกก็ยังคงรักษาความเป็นปัจเจกชนไว้ได้ ประชากร 81 ล้านคนของประเทศ (พ.ศ. 2559) ส่วนใหญ่เป็นชาวชนบท 30% ที่อาศัยอยู่ในเขตเมืองเปิดรับอิทธิพลตะวันตกมากที่สุด

กีฬา

[แก้]

กีฬาหลายชนิดที่เล่นในคองโกรวมถึงฟุตบอล บาสเก็ตบอล และรักบี้ กีฬานี้มีการเล่นในสนามกีฬาหลายแห่งทั่วประเทศ รวมถึงสนามกีฬาเฟรเดริก คิบาสซา มาลีบา[131] ขณะที่ซาอีร์ได้เข้าร่วมการแข่งขันฟุตบอลโลกปี 1974

ในระดับนานาชาติ ประเทศนี้มีชื่อเสียงเป็นพิเศษในด้านผู้เล่นบาสเกตบอลและฟุตบอล NBA มืออาชีพ ไดเคมเบ มูตอมโบ เป็นหนึ่งในนักบาสเก็ตบอลแอฟริกันที่เก่งที่สุดที่เคยเล่นเกมนี้มูตอมโบเป็นที่รู้จักกันดีในโครงการด้านมนุษยธรรมในประเทศบ้านเกิดของเขา บิสแมค บิยอมโบ, คริสเตียน เอเยนก้า, โจนาธาน คูมิงก้า และ เอ็มมานูเอล มูดิเอย์ เป็นคนอื่นๆ ที่ได้รับความสนใจในระดับนานาชาติอย่างมากในวงการบาสเก็ตบอล ผู้เล่นชาวคองโกหลายคนและผู้เล่นเชื้อสายคองโก รวมถึงกองหน้า โรเมลู ลูกากู ยานนิค โบลาซี และ ดิยูเมอร์ซี เอ็มโบกานี มีชื่อเสียงในวงการฟุตบอลโลก คองโกชนะการแข่งขันฟุตบอลแอฟริกันคัพออฟเนชันถึงสองครั้ง

ทีมวอลเลย์บอลหญิงทีมชาติดีอาร์คองโกผ่านเข้ารอบสุดท้ายในการแข่งขันวอลเลย์บอลหญิงชิงแชมป์แห่งชาติแอฟริกาปี 2021[132] ประเทศนี้มีทีมชาติในวอลเลย์บอลชายหาดที่เข้าร่วมการแข่งขัน CAVB Beach Volleyball Continental Cup ปี 2018–2020 ทั้งในส่วนของหญิงและชาย[133]

ดนตรี

[แก้]

คองโกมีอิทธิพลต่อคิวบารัมบา แต่เดิมคัมบามาจากคองโกและเมอแรงค์ และต่อมาทั้งสองก็ให้กำเนิด soukous[134] ประเทศในแอฟริกาอื่น ๆ ผลิตแนวเพลงที่มาจากชาวคองโก วงดนตรีแอฟริกันบางวงร้องเพลงเป็นภาษาลิงกาลา ซึ่งเป็นหนึ่งในภาษาหลักในคองโก ปาปา เวมบา ชาวคองโกคนเดียวกันภายใต้การแนะนำของ "le sapeur" ได้สร้างบรรยากาศให้กับชายหนุ่มรุ่นใหม่ที่แต่งตัวด้วยเสื้อผ้าดีไซเนอร์ราคาแพง พวกเขาเป็นที่รู้จักในฐานะดนตรีคองโกรุ่นที่สี่และส่วนใหญ่มาจากวง Wenge Musica ที่มีชื่อเสียงในอดีต ศิลปินดนตรี เอลิโซ คิซองกา ซึ่งปัจจุบันอาศัยอยู่ในอังกฤษมีพื้นเพมาจากคองโก

วรรณกรรม

[แก้]

นักเขียนชาวคองโกใช้วรรณกรรมเป็นหนทางในการพัฒนาจิตสำนึกแห่งชาติในหมู่ประชาชนของคองโก เฟรเดอริก กัมเบมบา ยามูซานกี ได้เขียนวรรณกรรมสำหรับคนรุ่นต่อๆ ไปของผู้ที่เติบโตในคองโก ในช่วงเวลาที่พวกเขาตกเป็นอาณานิคม ต่อสู้เพื่อเอกราชและหลังจากนั้น ยามูซังกิให้สัมภาษณ์[135] กล่าวว่าเขารู้สึกถึงความห่างไกลในวรรณคดีและต้องการแก้ไขที่เขาเขียนนวนิยายเรื่อง Full Circle ซึ่งเป็นเรื่องราวของเด็กชายชื่อเอ็มมานูเอลซึ่งในตอนต้นของหนังสือรู้สึกถึงความแตกต่างในวัฒนธรรมระหว่างกลุ่มต่าง ๆ ในคองโกและที่อื่น ๆ[136] ไรส์ เนซ่า โบเนซ่า นักเขียนจากจังหวัดกาตันกา เขียนนวนิยายและบทกวีเพื่อส่งเสริมการแสดงออกทางศิลปะเพื่อเป็นแนวทางในการจัดการกับความขัดแย้ง[137]

อ้างอิง

[แก้]
  1. 1.0 1.1 Central Intelligence Agency (2014). "Democratic Republic of the Congo". The World Factbook. Langley, Virginia: Central Intelligence Agency. เก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 22 February 2021. สืบค้นเมื่อ 29 April 2014.
  2. Central Intelligence Agency (2015). "Democratic Republic of the Congo". The World Factbook. คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 27 กันยายน 2011. สืบค้นเมื่อ 9 มกราคม 2010.
  3. Human Development Report 2020 The Next Frontier: Human Development and the Anthropocene (PDF). United Nations Development Programme. 15 December 2020. pp. 343–346. ISBN 978-92-1-126442-5. สืบค้นเมื่อ 16 December 2020.
  4. Coghlan, Benjamin; และคณะ (2007). Mortality in the Democratic Republic of Congo: An ongoing crisis: Full 26-page report (PDF) (Report). p. 26. เก็บ (PDF)จากแหล่งเดิมเมื่อ 8 September 2013. สืบค้นเมื่อ 21 March 2013.
  5. Robinson, Simon (28 May 2006). "The deadliest war in the world". Time. เก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 11 September 2013. สืบค้นเมื่อ 2 May 2010.
  6. Bavier, Joe (22 January 2008). "Congo War driven crisis kills 45,000 a month". Reuters. เก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 14 April 2011. สืบค้นเมื่อ 2 May 2010.
  7. "Measuring Mortality in the Democratic Republic of Congo" (PDF). International Rescue Committee. 2007. เก็บ (PDF)จากแหล่งเดิมเมื่อ 11 สิงหาคม 2011. สืบค้นเมื่อ 2 กันยายน 2011.
  8. "Democratic Republic of Congo in Crisis | Human Rights Watch". เก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 13 พฤษภาคม 2021. สืบค้นเมื่อ 18 พฤษภาคม 2021.
  9. Mwanamilongo, Saleh; Anna, Cara (24 มกราคม 2019). "Congo's surprise new leader in 1st peaceful power transfer". Associated Press. เก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 18 พฤษภาคม 2021. สืบค้นเมื่อ 29 พฤษภาคม 2021.
  10. "Foreword by UNDP Administrator", Arab Human Development Report 2022, Arab Human Development Report, United Nations, pp. ii–iii, 2022-06-29, doi:10.18356/9789210019293c001, ISBN 978-92-1-001929-3, ISSN 1992-7622, สืบค้นเมื่อ 2023-01-16
  11. Samir Tounsi (6 June 2018). "DR Congo crisis stirs concerns in central Africa". AFP. เก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 13 June 2018. สืบค้นเมื่อ 6 June 2018.
  12. Robyn Dixon (12 April 2018). "Violence is roiling the Democratic Republic of Congo. Some say it's a strategy to keep the president in power". Los Angeles Times. เก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 8 June 2018. สืบค้นเมื่อ 8 June 2018.
  13. Bobineau, Julien; Gieg, Philipp (2016). The Democratic Republic of the Congo. La République Démocratique du Congo (ภาษาอังกฤษ). LIT Verlag Münster. p. 32. ISBN 978-3-643-13473-8.
  14. Kisangani, Emizet Francois (2016). Historical Dictionary of the Democratic Republic of the Congo (ภาษาอังกฤษ). Rowman & Littlefield. p. 158. ISBN 978-1-4422-7316-0.
  15. Anderson, David (2000). Africa's Urban Past. James Currey Publishers. ISBN 978-0-85255-761-7. เก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 1 December 2019. สืบค้นเมื่อ 26 August 2017.
  16. Nelson, Samuel Henry. Colonialism In The Congo Basin, 1880–1940. Athens, Ohio: Ohio University Press, 1994
  17. Emizet Francois Kisangani; Scott F. Bobb (2010). Historical Dictionary of the Democratic Republic of the Congo. Scarecrow Press. p. i. ISBN 978-0-8108-6325-5. เก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 11 March 2022. สืบค้นเมื่อ 29 April 2016.
  18. Forbath, Peter. The River Congo (1977), p. 19.
  19. Ghislain C. Kabwit, Zaïre: the Roots of the Continuing Crisis, Cambridge University Press, 1979
  20. Jean-Jacques Arthur Malu-Malu, Le Congo Kinshasa, KARTHALA Editions, 2014
  21. James Barbot, An Abstract of a Voyage to Congo River, Or the Zair and to Cabinde in the Year 1700 (1746). James Hingston Tuckey, Narrative of an Expedition to Explore the River Zaire, Usually Called the Congo, in South Africa, in 1816 (1818). "Congo River, called Zahir or Zaire by the natives" John Purdy, Memoir, Descriptive and Explanatory, to Accompany the New Chart of the Ethiopic or Southern Atlantic Ocean, 1822, p. 112.
  22. Nzongola-Ntalaja, Georges (2004). From Zaire to the Democratic Republic of the Congo. Nordic Africa Institute. pp. 5–. ISBN 978-91-7106-538-4. เก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 5 May 2016. สืบค้นเมื่อ 14 October 2015.
  23. Yusuf, A.A. (1998). African Yearbook of International Law, 1997. Martinus Nijhoff Publishers. ISBN 978-90-411-1055-8. เก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 10 May 2016. สืบค้นเมื่อ 14 October 2015.
  24. Gjelten, Tom (28 เมษายน 2007). "A Visit to the Other Congo, the Forgotten Congo". สืบค้นเมื่อ 8 สิงหาคม 2023.
  25. * "DR Congo: Rampant Intercommunal Violence in West". Human Rights Watch. 2023. สืบค้นเมื่อ 28 เมษายน 2023.
  26. 26.0 26.1 "5.1 Democratic Republic of Congo Acronyms and Abbreviations | Digital Logistics Capacity Assessments". คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 2023-05-10. สืบค้นเมื่อ 2023-09-01.
  27. * Weigert, Stephen L. (2011). Angola: A Modern Military History, 1961–2002 (electronic ed.). Palgrave Macmillan. pp. PT122, PT157. ISBN 9780230337831. เก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 15 มีนาคม 2021. สืบค้นเมื่อ 22 กรกฎาคม 2020.
  28. "Katanda Bone Harpoon Point | The Smithsonian Institution's Human Origins Program". web.archive.org. 2 มีนาคม 2015. เก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 2 มีนาคม 2015. สืบค้นเมื่อ 9 สิงหาคม 2023.
  29. "BBC World Service | The Story of Africa". www.bbc.co.uk.
  30. "Belgium's Heart of Darkness | History Today". www.historytoday.com.
  31. "Democratic Republic of the Congo (DRC) | Culture, History, & People | Britannica". www.britannica.com (ภาษาอังกฤษ). 23 กรกฎาคม 2023.
  32. "The United Nations and the Congo". History Learning Site (ภาษาอังกฤษแบบบริติช).
  33. "Patrice Lumumba: 50 Years Later, Remembering the U.S.-Backed Assassination of Congo's First Democratically Elected Leader". Democracy Now! (ภาษาอังกฤษ).
  34. "Belgians accused of war crimes in killing of Congo leader Lumumba". The Independent (ภาษาอังกฤษ). 22 มิถุนายน 2010.
  35. Young, Crawford; Turner, Thomas Edwin (1985). The Rise and Decline of the Zairian State (ภาษาอังกฤษ). University of Wisconsin Pres. ISBN 978-0-299-10113-8.
  36. "fdfsdfsd". www.cycad.com. คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 11 พฤษภาคม 2011. สืบค้นเมื่อ 9 สิงหาคม 2023.
  37. "Conflict Studies Journal at the University of New Brunswick". web.archive.org. 21 สิงหาคม 2006. เก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 21 สิงหาคม 2006. สืบค้นเมื่อ 9 สิงหาคม 2023.
  38. Gonzales, Richard; Schwartz, Matthew S. (9 January 2019). "Surprise Winner Of Congolese Election Is An Opposition Leader". NPR. เก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 10 January 2019. สืบค้นเมื่อ 11 January 2019.
  39. "REFILE-Opposition leader Felix Tshisekedi sworn in as Congo president". Reuters. 24 มกราคม 2019. คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 14 กุมภาพันธ์ 2019. สืบค้นเมื่อ 11 กุมภาพันธ์ 2019.
  40. "DR Congo presidential election: Outcry as Tshisekedi named winner". BBC. 10 January 2019. เก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 11 February 2019. สืบค้นเมื่อ 11 February 2019.
  41. Mohamed, Hamza (26 December 2018). DR Congo election board delays vote in three cities เก็บถาวร 10 กุมภาพันธ์ 2019 ที่ เวย์แบ็กแมชชีน. Al Jazeera.
  42. DR Congo: Nearly 900 killed in ethnic clashes last month, UN says เก็บถาวร 5 มีนาคม 2019 ที่ เวย์แบ็กแมชชีน. BBC. Published 16 มกราคม 2019. สืบค้นเมื่อ 21 มกราคม 2019.
  43. Nearly 900 killed in ethnic violence in Congo in mid-December -UN เก็บถาวร 22 มกราคม 2019 ที่ เวย์แบ็กแมชชีน. Reuters. Published 16 มกราคม 2019. สืบค้นเมื่อ 21 มกราคม 2019.
  44. "DR Congo announces new govt 7 months after president inaugurated". Journal du Cameroun (ภาษาฝรั่งเศส). 26 สิงหาคม 2019. คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 17 เมษายน 2020. สืบค้นเมื่อ 26 สิงหาคม 2019.
  45. "DR Congo names new cabinet, cements president's power". เก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 18 พฤษภาคม 2021. สืบค้นเมื่อ 18 พฤษภาคม 2021.
  46. "DR Congo measles: Nearly 5,000 dead in major outbreak" เก็บถาวร 11 กุมภาพันธ์ 2020 ที่ เวย์แบ็กแมชชีน (21 พฤศจิกายน 2019). BBC. สืบค้นเมื่อ 20 พฤศจิกายน 2020.
  47. Dahir, Abdi Latif (2020-06-25). "Congo's Deadliest Ebola Outbreak Is Declared Over". The New York Times (ภาษาอังกฤษแบบอเมริกัน). ISSN 0362-4331. เก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 2020-06-25. สืบค้นเมื่อ 2021-04-30.
  48. Maclean, Ruth (1 มิถุนายน 2020). "New Ebola Outbreak in Congo, Already Hit by Measles and Coronavirus". The New York Times (ภาษาอังกฤษแบบอเมริกัน). ISSN 0362-4331. เก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 1 มิถุนายน 2020. สืบค้นเมื่อ 30 เมษายน 2021.
  49. "Democratic Republic of the Congo (DRC) – Ebola Situation Report #40 – April 10, 2021". ReliefWeb (ภาษาอังกฤษ). 10 เมษายน 2021. เก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 30 เมษายน 2021. สืบค้นเมื่อ 30 เมษายน 2021.
  50. "Covid: DR Congo in race against time to vaccinate people". BBC News (ภาษาอังกฤษแบบบริติช). 10 พฤษภาคม 2021. เก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 5 กรกฎาคม 2021. สืบค้นเมื่อ 7 กรกฎาคม 2021.
  51. Dahir, Abdi Latif (2021-04-16). "Vaccine hesitancy runs high in some African countries, in some cases leaving unused doses to expire". The New York Times (ภาษาอังกฤษแบบอเมริกัน). ISSN 0362-4331. คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 2021-12-28. สืบค้นเมื่อ 2021-04-30.
  52. Pianigiani, Gaia (2021-02-23). "Italy Mourns an Ambassador and His Bodyguard, Killed in Congo". The New York Times (ภาษาอังกฤษแบบอเมริกัน). ISSN 0362-4331. คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 2021-12-28. สืบค้นเมื่อ 2021-04-30.
  53. "Kenya, DRC sign deals on security, trade and transport". The East African (ภาษาอังกฤษ). 22 เมษายน 2021. เก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 30 เมษายน 2021. สืบค้นเมื่อ 30 เมษายน 2021.
  54. AfricaNews (9 กุมภาพันธ์ 2022). "RDC failed coup plot: president's security adviser in detention". Africanews (ภาษาอังกฤษ). เก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 10 กุมภาพันธ์ 2022. สืบค้นเมื่อ 13 กุมภาพันธ์ 2022.
  55. "Combat troops patrol in Kinshasa after failed coup attempt". Africanews (ภาษาอังกฤษ). 13 February 2022. เก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 10 March 2022. สืบค้นเมื่อ 4 April 2022.
  56. Full text of constitution (in French)
  57. "Interim Constitution – Democratic Republic of the Congo (2003–2006)". ConstitutionNet (ภาษาอังกฤษ). เก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 2 กุมภาพันธ์ 2019. สืบค้นเมื่อ 2 กุมภาพันธ์ 2019.
  58. "Congo (Democratic Republic of the) 2005 (rev. 2011)". Constitute. เก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 5 กันยายน 2015. สืบค้นเมื่อ 23 เมษายน 2015.
  59. "Member States". Southern African Development Community: Towards a common future. เก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 22 เมษายน 2014. สืบค้นเมื่อ 25 เมษายน 2014.
  60. 60.0 60.1 60.2 Overland, Indra (1 March 2019). "The geopolitics of renewable energy: Debunking four emerging myths" (PDF). Energy Research & Social Science. 49: 36–40. doi:10.1016/j.erss.2018.10.018. ISSN 2214-6296. เก็บ (PDF)จากแหล่งเดิมเมื่อ 13 March 2021. สืบค้นเมื่อ 18 September 2019.
  61. Vandiver, John. "GIs retrain Congo troops known for being violent". Stars and Stripes. เก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 10 ตุลาคม 2017. สืบค้นเมื่อ 29 กันยายน 2017.
  62. Vandiver, John. "An April 2009 report to Congress by the National Defense Stockpile Center". Stripes.com. เก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 10 สิงหาคม 2010. สืบค้นเมื่อ 22 พฤศจิกายน 2010.
  63. "Which Countries Are For or Against China's Xinjiang Policies?". The Diplomat. 15 July 2019. เก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 16 July 2019. สืบค้นเมื่อ 16 July 2019.
  64. "DRC's Tshisekedi has secured his power base: now it's time to deliver". The Conversation. 27 October 2021. เก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 7 December 2021. สืบค้นเมื่อ 7 December 2021.
  65. "Congo Reviews $6.2 Billion China Mining Deal as Criticism Grows". Bloomberg. 28 September 2021. เก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 7 December 2021. สืบค้นเมื่อ 7 December 2021.
  66. "China Cash Flowed Through Congo Bank to Former President's Cronies". Bloomberg. 28 November 2021. เก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 7 December 2021. สืบค้นเมื่อ 7 December 2021.
  67. "Chapter XXVI: Disarmament – No. 9 Treaty on the Prohibition of Nuclear Weapons". United Nations Treaty Collection. 7 กรกฎาคม 2017. เก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 6 สิงหาคม 2019. สืบค้นเมื่อ 14 สิงหาคม 2019.
  68. Ludwig, Arnold M. (2002). King of the Mountain: The Nature of Political Leadership. University Press of Kentucky. p. 72. ISBN 978-0-8131-2233-5.
  69. Nafziger, E. Wayne; Raimo Frances Stewart (2000). War, Hunger, and Displacement: The Origins of Humanitarian Emergencies. Faculty of Philosophy Columbia University. p. 261. ISBN 978-0-19-829739-0.
  70. Mesquita, Bruce Bueno de (2003). The Logic of Political Survival. MIT Press. p. 167. ISBN 978-0-262-02546-1.
  71. Adam Hochschild (13 August 2009). "Rape of the Congo". New York Review of Books. เก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 1 March 2018. สืบค้นเมื่อ 1 March 2018.
  72. "Court agrees to release Mobutu assets" เก็บถาวร 23 กันยายน 2015 ที่ เวย์แบ็กแมชชีน. Swissinfo, Basel Institute of Governance, 14 July 2009.
  73. Werve, Jonathan (2006). The Corruption Notebooks 2006. p. 57.
  74. "New Study Shows Congo is Run as Violent Kleptocracy". enough. Enough Project. 27 ตุลาคม 2016. เก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 3 มีนาคม 2021. สืบค้นเมื่อ 6 พฤศจิกายน 2019.
  75. "Vital Kamerhe: DRC president's chief of staff found guilty of corruption". BBC News. 20 June 2020. เก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 7 December 2021. สืบค้นเมื่อ 7 December 2021.
  76. "DRC: Investigation opens on Joseph Kabila over $138 million embezzlement". Africanews (ภาษาอังกฤษ). 24 November 2021. เก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 7 December 2021. สืบค้นเมื่อ 7 December 2021.
  77. Drumbl, Mark A. (2012). Reimagining Child Soldiers in International Law and Policy. Oxford University Press. p. 32. ISBN 978-0199592654.
  78. "Findings on the Worst Forms of Child Labor – Democratic Republic of the Congo". United States Department of Labor. เก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 3 มีนาคม 2015. สืบค้นเมื่อ 10 มีนาคม 2015.
  79. "Constitution de la République Démocratique du Congo". คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 12 สิงหาคม 2006.
  80. "Foreign travel advice - Democratic Republic of the Congo". Gov.uk. สืบค้นเมื่อ 8 สิงหาคม 2023.
  81. "World Bank Pledges $1 Billion to Democratic Republic of Congo". VOA News. Voice of America. 10 March 2007. เก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 22 September 2013. สืบค้นเมื่อ 25 December 2008.
  82. "OHADA.com: The business law portal in Africa". เก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 26 มีนาคม 2009. สืบค้นเมื่อ 22 มีนาคม 2009.
  83. "DR Congo's $24 trillion fortune". Thefreelibrary.com. เก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 21 กุมภาพันธ์ 2014. สืบค้นเมื่อ 22 กรกฎาคม 2011.
  84. "Congo with $24 Trillion in Mineral Wealth BUT still Poor". News About Congo. 15 มีนาคม 2009. เก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 14 พฤษภาคม 2013. สืบค้นเมื่อ 22 กรกฎาคม 2011.
  85. Kuepper, Justin (26 ตุลาคม 2010). "Mining Companies Could See Big Profits in Congo". Theotcinvestor.com. เก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 17 กรกฎาคม 2011. สืบค้นเมื่อ 22 กรกฎาคม 2011.
  86. Coltan is a major source of tantalum which is used in the fabrication of electronic components in computers and mobile phones. The coltan mines are small, and non-mechanized. DR Congo poll crucial for Africa" เก็บถาวร 2 ธันวาคม 2010 ที่ เวย์แบ็กแมชชีน, BBC News. 16 November 2006.
  87. Bream, Rebecca (8 November 2007). "A bid for front-line command in Africa" เก็บถาวร 17 มีนาคม 2008 ที่ เวย์แบ็กแมชชีน. Financial Times.
  88. Exenberger, Andreas; Hartmann, Simon (2007). "The Dark Side of Globalization. The Vicious Cycle of Exploitation from World Market Integration: Lesson from the Congo" (PDF). Working Papers in Economics and Statistics. University of Innsbruck. เก็บ (PDF)จากแหล่งเดิมเมื่อ 15 สิงหาคม 2011. สืบค้นเมื่อ 11 พฤษภาคม 2011.
  89. "Cobalt: World Mine Production, By Country". เก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 27 March 2008. สืบค้นเมื่อ 30 June 2008.
  90. "Province orientale: le diamant et l'or quelle part dans la reconstruction socio – économique de la Province?". societecivile.cd (ภาษาฝรั่งเศส). 23 October 2009. คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 25 November 2009.
  91. "UN human development rankings place Norway at the top and DR Congo last". United Nations. 2 November 2011. เก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 3 December 2021. สืบค้นเมื่อ 3 December 2021.
  92. "Economic activity in DRC". Research and Markets. เก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 3 July 2010. สืบค้นเมื่อ 22 November 2010.
  93. "Ranking Of The World's Diamond Mines By Estimated 2013 Production" เก็บถาวร 21 กันยายน 2013 ที่ เวย์แบ็กแมชชีน, Kitco, 20 August 2013.
  94. Polgreen, Lydia (16 November 2008). "Congo's Riches, Looted by Renegade Troops". The New York Times. เก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 16 April 2009. สืบค้นเมื่อ 27 March 2010.
  95. "What is happening in the Congo". คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 30 September 2011.
  96. "Katanga Project Update and 2Q 2008 Financials, Katanga Mining Limited, 12 August 2008". เก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 22 June 2013. สืบค้นเมื่อ 11 March 2015.
  97. "Watchdog says $88m missing in Congolese mining taxes", Mining Weekly, South Africa, 2013, เก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 21 September 2013, สืบค้นเมื่อ 16 April 2013
  98. Bernstein เก็บถาวร 22 พฤศจิกายน 2018 ที่ เวย์แบ็กแมชชีน 10th Annual Pan-European Conference Strategic Decisions 2013, AllianceBernstein LP, Sanford C. Bernstein Ltd., 2013. Retrieved 21 November 2018.
  99. Mining Journal เก็บถาวร 22 พฤศจิกายน 2018 ที่ เวย์แบ็กแมชชีน "The [Ivanhoe] pullback investors have been waiting for", Aspermont Ltd., London, UK, 22 February 2018. Retrieved 21 November 2018.
  100. "Energie hydraulique des barrages d'Inga : Grands potentiels pour le développement de la République Démocratique du Congo et de l'Afrique" [Technical Study preparing lobby-work on energy-resources and conflict prevention – Hydroelectric power dams at Inga: Great potential for the development of the Democratic Republic of Congo and Africa] (PDF) (ภาษาฝรั่งเศส). suedwind-institut.de. คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิม (PDF)เมื่อ 21 September 2013. สืบค้นเมื่อ 27 February 2013.
  101. Vandiver, John. "DR Congo economic and strategic significance". Stripes.com. เก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 10 August 2010. สืบค้นเมื่อ 22 November 2010.
  102. Yee, Amy (30 August 2017). "The Power Plants That May Save a Park, and Aid a Country". The New York Times. เก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 4 September 2017. สืบค้นเมื่อ 4 September 2017.
  103. "Congo, Democratic Republic of the". 18 เมษายน 2022.
  104. "Democratic Republic of the Congo Demographic Trends". Open Data for Africa. UN, Department of Economic and Social Affairs, Population Division.
  105. "Enquête Démographique et de Santé (EDS-RDC) 2013–2014" (PDF) (ภาษาฝรั่งเศส). Ministère du Plan et Suivi de la Mise en œuvre de la Révolution de la Modernité, Ministère de la Santé Publique. p. 36. เก็บ (PDF)จากแหล่งเดิมเมื่อ 10 ตุลาคม 2017. สืบค้นเมื่อ 20 เมษายน 2018.
  106. "Global Religious Landscape". Pew Forum. 18 ธันวาคม 2012. เก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 18 พฤษภาคม 2014. สืบค้นเมื่อ 11 มีนาคม 2015.
  107. "The World Factbook — Central Intelligence Agency". Cia.gov. เก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 22 กุมภาพันธ์ 2021. สืบค้นเมื่อ 23 มิถุนายน 2018.
  108. "Pew Forum on Religion & Public Life / Islam and Christianity in Sub-Saharan Africa" (PDF). คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิม (PDF)เมื่อ 24 กันยายน 2015. สืบค้นเมื่อ 28 พฤษภาคม 2015.
  109. La langue française dans le monde, Éditions Gallimard, Organisation internationale de la Francophonie
  110. "Target Survey: French, the most spoken language in DRC, far ahead of Lingala". 10 กรกฎาคม 2021. คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 23 ตุลาคม 2022. สืบค้นเมื่อ 9 สิงหาคม 2023.
  111. Organisation internationale de la Francophonie (2014). La langue française dans le monde 2014. Paris: Éditions Nathan. p. 30. ISBN 978-2-09-882654-0. คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 2 July 2015. สืบค้นเมื่อ 16 May 2015.
  112. 112.0 112.1 Organisation internationale de la Francophonie (2014). La langue française dans le monde 2014. Paris: Éditions Nathan. p. 117. ISBN 978-2-09-882654-0. คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 2 July 2015. สืบค้นเมื่อ 16 May 2015.
  113. McNeil, Donald G. Jr. (11 April 2011). "Congo, With Donors' Help, Introduces New Vaccine for Pneumococcal Disease". The New York Times. เก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 22 July 2016. สืบค้นเมื่อ 21 February 2017.
  114. "The World Factbook – Field Listing : HIV/AIDS : adult prevalence rate". Cia.gov. 2012. คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 16 กุมภาพันธ์ 2015. สืบค้นเมื่อ 10 มีนาคม 2015.
  115. "DRC: Malaria still biggest killer". IRIN. 28 April 2008. เก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 12 November 2014. สืบค้นเมื่อ 10 March 2015.
  116. "Democratic Republic of the Congo, Epidemiological profile, World Malaria Report 2014" (PDF). World Health Organization. เก็บ (PDF)จากแหล่งเดิมเมื่อ 19 เมษายน 2015. สืบค้นเมื่อ 10 มีนาคม 2015.
  117. "Yellow fever in the Democratic Republic of Congo". World Health Organization. 24 เมษายน 2014. คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 5 มิถุนายน 2015. สืบค้นเมื่อ 10 มีนาคม 2015.
  118. "The Latest: Ebola deaths top 1,000 in Congo outbreak". The Washington Post. คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 2019-05-03.
  119. "Yellow Fever - West and Central Africa". www.who.int (ภาษาอังกฤษ). สืบค้นเมื่อ 20 เมษายน 2023.
  120. "Democratic Republic of Congo". www.roadsafetyfacility.org (ภาษาอังกฤษ). สืบค้นเมื่อ 20 เมษายน 2023.
  121. "Millions 'on the edge' in DR Congo, now in even greater danger of tipping over: WFP". UN News. 12 สิงหาคม 2020. เก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 1 ธันวาคม 2020. สืบค้นเมื่อ 14 สิงหาคม 2020.
  122. 122.0 122.1 "The Air Quality Life Index (AQLI)". AQLI (ภาษาอังกฤษ). สืบค้นเมื่อ 1 กันยายน 2022.
  123. Environment, U. N. (31 สิงหาคม 2021). "Regulating Air Quality: the First Global Assessment of Air Pollution Legislation". UNEP - UN Environment Programme (ภาษาอังกฤษ). สืบค้นเมื่อ 1 กันยายน 2022.
  124. "2005 Findings on the Worst Forms of Child Labor" (PDF) (ภาษาอังกฤษ). Bureau of International Labor Affairs, U.S. Department of Labor. 2006. คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิม (PDF)เมื่อ 31 กรกฎาคม 2012. สืบค้นเมื่อ 14 พฤษภาคม 2011.
  125. (ในภาษาฝรั่งเศส) Constitution de la République démocratique du Congo – Wikisource เก็บถาวร 25 ตุลาคม 2011 ที่ เวย์แบ็กแมชชีน. Fr.wikisource.org. Retrieved 27 February 2013.
  126. "Congo, Democratic Republic of the." www.dol.gov 2005 Findings on the Worst Forms of Child Labor, Bureau of International Labor Affairs, U.S. Department of Labor (2006). This article incorporates text from this source, which is in the public domain.
  127. UNESCO Institute for Statistics. "UIS.Stat (see: National Monitoring >> Number of students and enrolment rates by level of education >> Enrollment by level of education)". เก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 10 มิถุนายน 2017. สืบค้นเมื่อ 29 พฤศจิกายน 2020.
  128. Ministère du Plan et Suivi de la Mise en oeuvre de la Révolution de la Modernité (MPSMRM); Ministère de la Santé Publique (MSP); ICF International. Enquête Démographique et de Santé en République Démocratique du Congo 2013–2014 (PDF). p. XXV. เก็บ (PDF)จากแหล่งเดิมเมื่อ 26 December 2016. สืบค้นเมื่อ 16 May 2015.
  129. 129.0 129.1 129.2 Migration en République Démocratique du Congo: Profil national 2009 (ภาษาฝรั่งเศส). International Organization for Migration. 2010. ISBN 978-92-9068-567-8. เก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 11 May 2011. สืบค้นเมื่อ 17 August 2010.
  130. ""Calls for Angola to Investigate Abuse of Congolese Migrants" เก็บถาวร 25 พฤษภาคม 2013 ที่ เวย์แบ็กแมชชีน, Inter Press Service. 21 พฤษภาคม 2012.
  131. Stadiums in the Democratic Republic Congo เก็บถาวร 6 กุมภาพันธ์ 2013 ที่ เวย์แบ็กแมชชีน. World Stadiums. Retrieved 27 February 2013.
  132. "Rwanda Kicks Off Quest for Africa Women's Volleyball Championship Against Morocco". Damas Sikubwabo (AllAfrica). 12 September 2021. เก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 18 October 2021. สืบค้นเมื่อ 18 October 2021.
  133. "Continental Cup Finals start in Africa". FIVB. 22 June 2021. เก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 7 August 2021. สืบค้นเมื่อ 7 August 2021.
  134. Stone, Ruth M. (2010). The Garland Handbook of African Music. Routledge. p. 133. ISBN 978-1-135-90001-4. เก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 12 May 2016. สืบค้นเมื่อ 24 August 2014.
  135. Archived at Ghostarchive and the Wayback Machine: "Frederick Kambemba Yamusangie Interview". YouTube.
  136. Yamusangie, Frederick (2003). Full Circle. iUniverse. ISBN 978-0595282944.
  137. "Rais Neza Boneza's Baraza". 17 ตุลาคม 2018. เก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 5 ธันวาคม 2018.

แหล่งข้อมูลอื่น

[แก้]
รัฐบาล
ข้อมูลทั่วไป
การท่องเที่ยว
News coverage of the conflict
อื่น 



อ้างอิงผิดพลาด: มีป้ายระบุ <ref> สำหรับกลุ่มชื่อ "lower-alpha" แต่ไม่พบป้ายระบุ <references group="lower-alpha"/> ที่สอดคล้องกัน