ข้ามไปเนื้อหา

ประเทศซิมบับเว

พิกัด: 20°S 30°E / 20°S 30°E / -20; 30
จากวิกิพีเดีย สารานุกรมเสรี

20°S 30°E / 20°S 30°E / -20; 30

สาธารณรัฐซิมบับเว

Republic of Zimbabwe (อังกฤษ)
ตราแผ่นดินของซิมบับเว
ตราแผ่นดิน
คำขวัญ"Unity, Freedom, Work"
อังกฤษ: เอกภาพ, อิสรภาพ, การงาน[1]
เพลงชาติเพลงชาติซิมบับเว
Simudzai Mureza wedu WeZimbabwe หรือ Kalibusiswe Ilizwe leZimbabwe
("โปรดประทานพรแก่ดินแดนแห่งซิมบับเว")
ที่ตั้งของ ประเทศซิมบับเว  (เขียวเข้ม)
ที่ตั้งของ ประเทศซิมบับเว  (เขียวเข้ม)
เมืองหลวง
และเมืองใหญ่สุด
ฮาราเร
17°50′S 31°3′E / 17.833°S 31.050°E / -17.833; 31.050
ภาษาราชการภาษาอังกฤษ
การปกครองรัฐเดี่ยว ระบบพรรคเด่น ประธานาธิบดี สาธารณรัฐ
เอ็มเมอร์สัน อึมนังกากวา
Constantino Chiwenga
สภานิติบัญญัติรัฐสภา
วุฒิสภา
รัฐสภา
ประกาศเอกราชจากสหราชอาณาจักร
11 พฤศจิกายน 1965
2 มีนาคม 1970
1 มิถุนายน 1979
18 เมษายน 1980
15 พฤษภาคม 2013
พื้นที่
• รวม
390,757 ตารางกิโลเมตร (150,872 ตารางไมล์) (60)
1
ประชากร
• 2019 ประมาณ
15,092,171[2] (74)
• สำมะโนประชากร 2012
12,973,808[3]
26 ต่อตารางกิโลเมตร (67.3 ต่อตารางไมล์) (170)
จีดีพี (อำนาจซื้อ) 2019 (ประมาณ)
• รวม
$41.031 พันล้าน
$2,621[4]
จีดีพี (ราคาตลาด) 2019 (ประมาณ)
• รวม
$22.290 พันล้าน
$1,424[4]
จีนี (2017)Negative increase 44.3[5]
ปานกลาง
เอชดีไอ (2019)เพิ่มขึ้น 0.571[6]
ปานกลาง · 150
สกุลเงินดอลลาร์ซิมบับเว
ซิมบับเวโกลด์
เขตเวลาUTC+2 (CAT[7])
รูปแบบวันที่วว/ดด/ปปปป
ขับรถด้านซ้ายมือ
รหัสโทรศัพท์+263
โดเมนบนสุด.zw

ซิมบับเว (อังกฤษ: Zimbabwe) มีชื่อทางการคือ สาธารณรัฐซิมบับเว (อังกฤษ: Republic of Zimbabwe) เป็นประเทศที่ไม่มีทางออกสู่ทะเลที่ตั้งอยู่ทางตอนใต้ทวีปแอฟริกา อยู่ระหว่างแม่น้ำซัมเบซีและแม่น้ำลิมโปโป มีอาณาเขตทิศเหนือติดกับประเทศแซมเบีย ทิศตะวันออกติดกับประเทศโมซัมบิก ทิศตะวันตกติดกับประเทศบอตสวานา และทิศใต้ติดกับประเทศแอฟริกาใต้ มีพื้นที่ประเทศ 390,580 ตารางกิโลเมตร เมืองหลวงคือ กรุงฮาราเร

ชื่อประเทศ

[แก้]

ชื่อซิมบับเวมาจากคำว่า "Dzimba dza mabwe" ซึ่งแปลว่าบ้านหินใหญ่ในภาษาโชนา[8] ชื่อนี้ถูกนำมาจากเกรตซิมบับเวซึ่งเป็นอดีตเมืองหลวงของอาณาจักรเกรตซิมบับเว

ภูมิศาสตร์

[แก้]

ซิมบับเวเป็นประเทศที่ไม่มีทางออกสู่ทะเล ถูกล้อมรอบด้วยประเทศแอฟริกาใต้ทางใต้โดยมีแม่น้ำลิมโปโปกั้นอยู่ บอตสวานาทางตะวันตก แซมเบียทางตะวันตกเฉียงเหนือ และโมซัมบิคทางตะวันออกและตะวันออกเฉียงเหนือ ซิมบับเวยังมีจุดที่ติดต่อกับประเทศนามิเบียทางตะวันตกอีกด้วย จุดที่สูงที่สุดของประเทศคือภูเขาเนียนกานี ซึ่งสูง 2,592 เมตร[9]

ประวัติศาสตร์

[แก้]

ยุคก่อนประวัติศาสตร์

[แก้]

มีหลักฐานว่ามีผู้คนอาศัยอยู่ในของซิมบับเวตั้งแต่ห้าแสนปีก่อน ช่วงสองร้อยปีหลังคริสตกาล ชาวกอยเซียนได้เข้ามาตั้งรกรากที่พื้นที่แถบนี้ นอกจากนั้นมีชาวบันตู ชาวโชนา ชาวงูนี และชาวซูลู

อาณานิคมสหราชอาณาจักร

[แก้]

นักสำรวจชาวอังกฤษได้เข้ามาในซิมบับเวช่วงปลายศตวรรษที่ 19 และเริ่มการล่าอาณานิคมขึ้น ดินแดนแซมเบเซียต่อมาได้เป็นที่รู้จักกันในนามโรดีเซียในพ.ศ. 2435 หลังจากนั้นได้แบ่งเป็นโรดีเซียเหนือและในที่สุดได้กลายมาเป็นแซมเบีย ใน พ.ศ. 2441 ตอนใต้ของพื้นที่ แซมเบเซีย ถูกเรียกว่าโรดีเซียใต้ ต่อมาได้กลายมาเป็นซิมบับเวในอีกหลายปีหลังจากนั้น

หลังการประกาศเอกราช

[แก้]

หลังจากผ่านการขัดแย้งกันทางสีผิว รวมไปถึงบทบาทจากสหประชาชาติ และการต่อสู้ของกองโจรในช่วง พ.ศ. 2503 ในที่สุดซิมบับเวได้รับอิสรภาพในพ.ศ. 2523 ในปีเดียวกันนั้น รอเบิร์ต มูกาบี ได้รับเลือกเป็นนายกรัฐมนตรีของประเทศ และเป็นประธานาธิบดีใน พ.ศ. 2530 จนกระทั่งถูกกดดันให้ลาออกใน พ.ศ. 2560

การเมืองการปกครอง

[แก้]
รัฐสภาแห่งซิมบับเวในฮาราเร

ซิมบับเวเป็นสาธารณรัฐที่มีระบบประธานาธิบดี ระบบกึ่งประธานาธิบดีถูกยกเลิกพร้อมกับการนำรัฐธรรมนูญใหม่มาใช้หลังจากการลงประชามติในปี พ.ศ. 2556 ภายใต้การเปลี่ยนแปลงรัฐธรรมนูญในปี พ.ศ. 2548 สภาสูงซึ่งก็คือวุฒิสภาก็ได้รับการฟื้นฟู[10] สภาผู้แทนราษฎรเป็นสภาล่าง

ในปี พ.ศ. 2530 มูกาเบได้แก้ไขรัฐธรรมนูญ โดยยกเลิกตำแหน่งประธานาธิบดีในพิธีการและตำแหน่งนายกรัฐมนตรี เพื่อจัดตั้งประธานาธิบดีที่เป็นผู้บริหาร ซึ่งเป็นระบบประธานาธิบดี พรรค ZANU-PF ของเขาชนะการเลือกตั้งทุกครั้งนับตั้งแต่ได้รับเอกราช - ในการเลือกตั้งปี 1990 พรรคที่ได้อันดับสองคือ Zimbabwe Unity Movement (ZUM) ของ Edgar Tekere ได้รับคะแนนเสียง 20%[11][12]

การแบ่งเขตการปกครอง

[แก้]
เขตการปกครองในประเทศซิมบับเว

ซิมบับเวมีรัฐบาลแบบรวมศูนย์และแบ่งออกเป็นแปดจังหวัดและสองเมืองที่มีสถานะเป็นจังหวัดเพื่อวัตถุประสงค์ในการบริหาร แต่ละจังหวัดมีเมืองหลวงของจังหวัดซึ่งโดยปกติจะบริหารงานของรัฐ[13]

จังหวัด เมืองหลัก
บูลาวาโย บูลาวาโย
ฮาราเร ฮาราเร
มานิคาแลนด์ มูตาเร
มาโชนาแลนด์กลาง บินดูรา
มาโชนาแลนด์ตะวันออก มาโรนเดรา
มาโชนาแลนด์ตะวันตก ชิโนยิ
มาสวินโก เมืองมาสวินโก
มาทาเบเลแลนด์เหนือ ลูแปง
มาทาเบเลแลนด์ใต้ กวอนดา
มิดแลนด์ เกวรู

กองทัพ

[แก้]
ธงของกองกำลังป้องกันประเทศซิมบับเว

กองกำลังป้องกันซิมบับเวได้รับการจัดตั้งขึ้นโดยการรวมกองกำลังกบฏสามกองกำลังเข้าด้วยกัน ได้แก่ กองทัพปลดปล่อยแห่งชาติซิมบับเวแห่งแอฟริกา (ZANLA) กองทัพปฏิวัติประชาชนซิมบับเว (ZIPRA) และกองกำลังความมั่นคงโรดีเซียน (RSF) - ภายหลังได้รับเอกราชซิมบับเวในปี พ.ศ. 2523 ช่วงเวลาบูรณาการมีการจัดตั้งกองทัพแห่งชาติซิมบับเว (ZNA) และกองทัพอากาศซิมบับเว (AFZ) เป็นหน่วยงานที่แยกจากกันภายใต้การบังคับบัญชาของนายพลโซโลมอน มูจูรูและพลอากาศเอกนอร์มัน วอลช์ ซึ่งเกษียณอายุในปี พ.ศ. 2525 และถูกแทนที่โดยพลอากาศเอกอาซิม เดาโปตา ซึ่งส่งต่อคำสั่งให้กับพลอากาศเอก Josiah Tungamirai ในปี 1985 ในปี 2003 นายพล Constantine Chiwenga ได้รับการเลื่อนตำแหน่งและแต่งตั้งให้เป็นผู้บัญชาการกองกำลังป้องกันประเทศซิมบับเว พลโท พี.วี. ซีบันดา ดำรงตำแหน่งผู้บัญชาการทหารบกแทน[14]

ZNA มีกำลังประจำการอยู่ที่ 30,000 นาย กองทัพอากาศมีกำลังพลประจำการประมาณ 5,139 นายตำรวจสาธารณรัฐซิมบับเว (รวมถึงหน่วยสนับสนุนตำรวจ ตำรวจกึ่งทหาร) เป็นส่วนหนึ่งของกองกำลังป้องกันซิมบับเว[15]

เศรษฐกิจ

[แก้]

โครงสร้างเศรษฐกิจ

[แก้]
การส่งออกของประเทศซิมบับเวในปี 2549
ผลผลิตทางการเกษตรในซิมบับเวลดลงอย่างมาในระยะหลายปีที่ผ่านมา

การส่งออกแร่ธาตุ การเกษตร และการท่องเที่ยว เป็นธุรกิจที่นำเงินตราต่างประเทศเข้าสู่ซิมบับเว[16] การทำเหมืองแร่ยังคงเป็นธุรกิจที่ให้กำไรมาก ซิมบับเวมีแหล่งทรัพยากรแพลทินัมที่ใหญ่เป็นอันดับสองของโลก[17] ซิมบับเวเป็นประเทศคู่ค้าที่ใหญ่ที่สุดในทวีปของแอฟริกาใต้[18]

ซิมบับเวมีอัตราการเจริญเติบโตทางเศรษฐกิจที่ดีตลอดคริสต์ทศวรรษ 1980 (อัตราการเติบโตของจีดีพีร้อยละ 5.0 ต่อปี) และ 1990 (ร้อยละ 4.3 ต่อปี) อย่างไรก็ตามเศรษฐกิจเริ่มถดถอยลงตั้งแต่ปี 2000 โดยลดลงร้อยละ 5 ในปี 2000, ร้อยละ 8 ในปี 2001, ร้อยละ 12 ในปี 2002, และร้อยละ 18 ในปี 2003[19] รัฐบาลซิมบับเวประสบปัญหาทางเศรษฐกิจหลายอย่างหลังจากล้มเลิกความตั้งใจที่จะพัฒนาเศรษฐกิจแบบตลาด เช่นปัญหาการขาดแคลนเงินตราต่างประเทศ อัตราเงินเฟ้อที่เพิ่มขึ้นสูงมาก และการขาดแคลนอุปทานของสินค้าต่าง ๆ การที่ซิมบับเวมีส่วนร่วมกับสงครามในสาธารณรัฐประชาธิปไตยคองโก ระหว่างปี 1998 ถึง 2002 ทำให้ต้องสูญเสียหลายร้อยล้านดอลลาร์ออกจากระบบเศรษฐกิจ[20]

เศรษฐกิจที่ดิ่งลงเหวนี้มีสาเหตุหลักมาจากการบริหารที่ล้มเหลวและการคอร์รัปชันของรัฐบาลมูกาเบ และการขับไล่ชาวไร่ผิวขาวกว่า 4,000 คนในระหว่างการจัดสรรที่ดินที่เต็มไปด้วยความขัดแย้งในปี 2000[21][22][23] ซึ่งทำให้ซิมบับเวซึ่งเคยเป็นผู้ส่งออกข้าวโพดกลับกลายเป็นผู้นำเข้าแทน[17] ปริมาณการส่งออกยาสูบก็ลดลงอย่างมาก จากรายงานในเดือนมิถุนายน 2007 ของหน่วยปฏิบัติการเพื่อการอนุรักษ์ซิมบับเว ประมาณว่าซิมบับเวสูญเสียสัตว์ป่าไปถึงร้อยละ 60 ตั้งแต่ปี 2000 ในรายงานยังได้กล่าวเตือนอีกว่าการสูญเสียพันธุ์สัตว์ป่าและการทำลายป่าไม้อย่างกว้างขวางนั้นเป็นอันตรายอย่างยิ่งต่อธุรกิจท่องเที่ยว[24]

ปลายปี 2006 ท่ามกลางสถานการณ์เศรษฐกิจที่เลวร้าย รัฐบาลเริ่มประกาศอนุญาตให้ชาวไร่ผิวขาวกลับมาสู่ที่ดินของตนอีกครั้ง[25] มีชาวไร่ผิวขาวเหลืออยู่ในประเทศประมาณ 400-600 คน แต่ที่ดินที่ถูกยึดคืนส่วนใหญ่นั้นกลายเป็นที่ดินเสื่อมสภาพและไม่สามารถทำการเพาะปลูกได้อีกต่อไป[25][26] ในเดือนมกราคม 2007 รัฐบาลยอมให้ชาวไร่ผิวขาวเซ็นสัญญาเช่าที่ดินระยะยาว[27] แต่แล้วในปีเดียวกันรัฐบาลก็กลับขับไล่ชาวไร่ผิวขาวออกจากประเทศอีกครั้ง[28][29]

อัตราเงินเฟ้อเพิ่มขึ้นจากร้อยละ 32 ต่อปีในปี 1998[30] จนถึงร้อยละ 231,000,000 ตามสถิติของทางการในเดือนกรกฎาคม 2008[30] ซึ่งแสดงให้เห็นถึงภาวะเงินเฟ้อรุนแรง และทำให้ธนาคารต้องออกธนบัตรใบละ 1 แสนล้านดอลลาร์มาใช้[31] [32] ในเดือนพฤศจิกายน 2008 ตัวเลขอย่างไม่เป็นทางการรายงานว่าอัตราเงินเฟ้อของซิมบับเวพุ่งขึ้นสูงถึงร้อยละ 516 ล้านล้านล้านต่อปี และราคาจะเพิ่มขึ้นเป็นสองเท่าทุก ๆ 1.3 วัน[33] และนับเป็นภาวะเงินเฟ้อรุนแรงที่เลวร้ายเป็นอันดับสองในประวัติศาสตร์โลก รองจากวิกฤติเงินเฟ้อในฮังการีในปี 1946 ซึ่งราคาจะเพิ่มขึ้นเป็นสองเท่าทุก ๆ 15.6 ชั่วโมง[33]

ประชากรศาสตร์

[แก้]

ในปี 2008 ซิมบับเวมีประชากรประมาณ 11.4 ล้านคน[34] จากรายงานขององค์การอนามัยโลก อายุคาดหมายเฉลี่ยสำหรับผู้ชายชาวซิมบับเวคือ 37 ปี และสำหรับผู้หญิงคือ 34 ปี ซึ่งเป็นสถิติต่ำสุดของปี 2004[35] อัตราการติดเชื้อเอดส์ ในประชากรระหว่างอายุ 15-49 ปี ถูกประมาณไว้ที่ร้อยละ 20.1 ในปี 2006[36]

เชื้อชาติ

[แก้]

ประชากรประมาณร้อยละ 98 เป็นชาวพื้นเมืองผิวดำ ซึ่งส่วนใหญ่เป็นชาวโชนา (ประมาณร้อยละ 80-84) รองลงมาคือชาวเดเบเล (ประมาณร้อยละ 10-15)[37][38] ซึ่งสืบเชื้อสายมาจากซูลูที่อพยพมาตั้งแต่คริสต์ศตวรรษที่ 19 นอกจากนี้ยังมีคนผิวขาวซึ่งส่วนใหญ่สืบเชื้อสายมาจากชาวอังกฤษ

ภาษา

[แก้]

ภาษาทางการคือภาษาอังกฤษ[34] แต่ภาษาที่ใช้มากได้แก่ภาษาโชนา และภาษาเดเบเล[39]

วัฒนธรรม

[แก้]

ภาษาที่ใช้ ภาษาอังกฤษเป็นภาษาทางการ และมีภาษาพื้นเมืองอื่น ๆ คือ Shona Sindebele ศาสนา ลัทธิผสม (ระหว่างศาสนาคริสต์และความเชื่อดั้งเดิม) 50% ศาสนาคริสต์ 25% ความเชื่อดั้งเดิม 24% ศาสนาอิสลามและอื่น ๆ 1%

อ้างอิง

[แก้]
  1. "Zimbabwe". The Beaver County Times. 13 September 1981. สืบค้นเมื่อ 2 November 2011.
  2. https://www.macrotrends.net/countries/ZWE/zimbabwe/population
  3. "Census Results in Brief" (PDF). Zimbabwe National Statistical Agency. คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิม (PDF)เมื่อ 3 September 2013. สืบค้นเมื่อ 25 August 2013.
  4. 4.0 4.1 "Report for Selected Countries and Subjects".
  5. "GINI Index". World Bank. สืบค้นเมื่อ 21 July 2013.
  6. Human Development Report 2020 The Next Frontier: Human Development and the Anthropocene (PDF). United Nations Development Programme. 15 December 2020. pp. 343–346. ISBN 978-92-1-126442-5. สืบค้นเมื่อ 16 December 2020.
  7. "Zimbabwe Time". Greenwich Mean Time. Greenwich 2000. คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 19 กรกฎาคม 2011. สืบค้นเมื่อ 17 พฤศจิกายน 2017.
  8. "Zimbabwe - big house of stone". Somali Press. คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 2011-05-03. สืบค้นเมื่อ 2008-12-14.
  9. "Zimbabwe Parks and Wildlife Management Authority". สืบค้นเมื่อ 2007-11-13.
  10. "Constitution of Zimbabwe Amendment (No. 17) Act, 2005". kubatana.net. NGO Network Alliance Project. 16 September 2005. คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 27 September 2007.
  11. "Tekere says Mugabe 'insecure' in new book". คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 27 December 2007. สืบค้นเมื่อ 6 January 2008.
  12. Mugabe, Robert. (2007). Encyclopædia Britannica 2007 Ultimate Reference Suite, Chicago: Encyclopædia Britannica.
  13. อ้างอิงผิดพลาด: ป้ายระบุ <ref> ไม่ถูกต้อง ไม่มีการกำหนดข้อความสำหรับอ้างอิงชื่อ CIA-WF
  14. "Zimbabwe Ministry of Defence". คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 2 November 2007. สืบค้นเมื่อ 17 November 2007.
  15. Chari, Freeman Forward (24 December 2007). "MILITARISATION OF ZIMBABWE: Does the opposition stand a chance?". zimbabwejournalists.com. คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 5 January 2008.
  16. "Country Profile – Zimbabwe". Foreign Affairs and International Trade Canada. คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 2008-02-26. สืบค้นเมื่อ 2007-12-02. ประเทศมีทรัพยากรธรรมชาติมากมายเช่นแร่ธาตุ ที่ดิน และสัตว์ป่า ยังมีโอกาสมากมายที่ซ่อนอยู่ในธุรกิจที่มีทรัพยากรเป็นพื้นฐาน เช่นการทำเหมืองแร่ การเกษตร และการท่องเที่ยว และธุรกิจที่ต่อเนื่องจากธุรกิจเหล่านี้
  17. 17.0 17.1 "No quick fix for Zimbabwe's economy". BBC. 2008-04-14. สืบค้นเมื่อ 2009-03-01.
  18. "Zimbabwe-South Africa economic relations since 2000". Africa News. 2007-10-31. คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 2008-01-01. สืบค้นเมื่อ 2007-12-03.
  19. Richardson, C.J. 2005. The loss of property rights and the collapse of Zimbabwe. Cato Journal, 25, 541-565. [1] เก็บถาวร 2011-01-02 ที่ เวย์แบ็กแมชชีน
  20. Organised Violence and Torture in Zimbabwe in 1999 เก็บถาวร 2010-06-02 ที่ เวย์แบ็กแมชชีน, 1999. Zimbabwe Human Rights NGO Forum.
  21. Robinson, Simon. "A Tale of Two Countries" เก็บถาวร 2019-10-18 ที่ เวย์แบ็กแมชชีนTime Magazine — Monday, February 18, 2002
  22. "Zimbabwe forbids white farmers to harvest"USA Today — 06/24/2002
  23. "White farmers under siege in Zimbabwe"BBC — Thursday, 15 August, 2002
  24. Nick Wadhams (2007-08-01). "Zimbabwe's Wildlife Decimated by Economic Crisis". Nairobi: National Geographic News. สืบค้นเมื่อ 2007-08-05.
  25. 25.0 25.1 "Desperate Mugabe allows white farmers to come back". The Independent. 2006-12-17. สืบค้นเมื่อ 2009-03-08.
  26. Meldrum, Andrew (2005-05-21). "As country heads for disaster, Zimbabwe calls for return of white farmers". The Guardian. สืบค้นเมื่อ 2009-03-08.
  27. Timberg, Craig (2007-01-06). "White Farmers Given Leases In Zimbabwe". Washington Post. สืบค้นเมื่อ 2009-03-08.
  28. "Zimbabwe threatens white farmers". Washington Post. 2007-02-05.
  29. Chinaka, Cris (2007-08-08). "Zimbabwe threatens white farmers on evictions". Reuters. สืบค้นเมื่อ 2009-03-08.
  30. 30.0 30.1 "Zimbabwe inflation hits 11,200,000". CNN.com. 2008-08-19. สืบค้นเมื่อ 2008-08-19.
  31. "Zimbabwe introduces $100 billion banknotes". CNN.com. 2008-07-19. คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 2020-11-09. สืบค้นเมื่อ 2009-03-08.
  32. "A worthless currency". The Economist. 2008-07-17. สืบค้นเมื่อ 2008-09-05.
  33. 33.0 33.1 "Hyperinflation in Zimbabwe". Telegraph.co.uk. 2008-11-13.
  34. 34.0 34.1 "Zimbabwe". The World Factbook. Central Intelligence Agency. 2008-05-15. คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 2020-04-16. สืบค้นเมื่อ 2008-05-26.
  35. The World Health Organization. "Annex Table 1—Basic indicators for all Member States". The World Health Report 2006 (PDF). สืบค้นเมื่อ 2009-03-10.
  36. "Zimbabwe". UNAIDS. สืบค้นเมื่อ 2007-12-03.
  37. "The People of Zimbabwe". คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 2007-07-12. สืบค้นเมื่อ 2007-11-13.
  38. "Ethnicity/Race of Zimbabwe". สืบค้นเมื่อ 2008-01-06.
  39. "Languages of Zimbabwe". สืบค้นเมื่อ 2009-03-18.

แหล่งข้อมูลอื่น

[แก้]
ข้อมูลทั่วไป
รัฐบาล
ท่องเที่ยว
การศึกษา