ลิต้าย
ลิต้าย (ลฺหวี่ ไต้) | |
---|---|
呂岱 | |
เสนาบดีกลาโหม (大司馬 ต้าซือหม่า) | |
ดำรงตำแหน่ง พฤษภาคม หรือ มิถุนายน ค.ศ. 252 – 21 ตุลาคม ค.ศ. 256 | |
กษัตริย์ | ซุนเหลียง |
ถัดไป | เตงอิ๋น |
มหาขุนพลอาวุโส (上大將軍 ช่างต้าเจียงจฺวิน) | |
ดำรงตำแหน่ง กันยายน หรือ ตุลาคม ค.ศ. 246 – 21 พฤษภาคม ค.ศ. 252 | |
กษัตริย์ | ซุนกวน |
ก่อนหน้า | ลกซุน |
เจ้ามณฑลเกาจิ๋ว (交州牧 เจียวโจวมู่) | |
ดำรงตำแหน่ง ค.ศ. 239 – ค.ศ. ? | |
กษัตริย์ | ซุนกวน |
ขุนพลพิทักษ์ภาคใต้ (鎮南將軍 เจิ้นหนานเจียงจฺวิน) | |
ดำรงตำแหน่ง ค.ศ. ? – กันยายน หรือ ตุลาคม ค.ศ. 246 | |
กษัตริย์ | ซุนกวน |
ขุนพลสงบภาคใต้ (安南將軍 อานหนานเจียงจฺวิน) | |
ดำรงตำแหน่ง ค.ศ. ? – ค.ศ. ? | |
กษัตริย์ | ซุนกวน |
ข้าหลวงมณฑลเกาจิ๋ว (交州刺史 เจียวโจวชื่อฉื่อ) | |
ดำรงตำแหน่ง ค.ศ. 220 – ค.ศ. ? | |
กษัตริย์ | ซุนกวน |
ก่อนหน้า | เปาจิด |
ถัดไป | ไต้ เหลียง |
เจ้าเมืองหลูหลิง (廬陵太守 หลูหนิงไท่โฉ่ว) | |
ดำรงตำแหน่ง ค.ศ. ? – ค.ศ. 220 | |
ข้อมูลส่วนบุคคล | |
เกิด | ค.ศ. 161[1] นครไท่โจว มณฑลเจียงซู |
เสียชีวิต | 21 ตุลาคม ค.ศ. 256 (95 ปี)[a][1] |
บุตร | ลฺหวี ข่าย[b] |
อาชีพ | ขุนพล |
ชื่อรอง | ติ้งกง (定公) |
บรรดาศักดิ์ | พาน-ยฺหวีโหว (番禺侯) |
ลิต้าย[3] (ค.ศ. 161 — 21 ตุลาคม ค.ศ. 256)[a] มีชื่อในภาษาจีนกลางว่า ลฺหวี่ ไต้ (จีน: 呂岱; พินอิน: Lǚ Dài) ชื่อรอง ติ้งกง (จีน: 定公; พินอิน: Dìnggōng) เป็นขุนพลของรัฐง่อก๊กในยุคสามก๊กของจีน เกิดในช่วงปลายยุคราชวงศ์ฮั่นตะวันออก ลิต้ายเริ่มรับราชการเป็นข้าราชการชั้นผู้น้อยในเมืองบ้านเกิดซึ่งอยู่ในนครไท่โจว มณฑลเจียงซูในปัจจุบัน ก่อนจะย้ายลงใต้ไปอยู่ภูมิภาคกังตั๋ง (หรือง่อ) ที่ซึ่งลิต้ายได้มาเป็นเจ้าหน้าที่ผู้ช่วย และภายหลังได้เป็นนายอำเภอภายใต้การปกครองของขุนศึกซุนกวน ลิต้ายขึ้นมามีชื่อเสียงภายหลังประสบความสำเร็จในการปราบปรามกบฏบางกลุ่มในอาณาเขตของซุนกวน ในช่วงต้นยุคสามก๊ก ซุนกวนผู้ซึ่งภายหลังขึ้นเป็นจักรพรรดิผู้ก่อตั้งรัฐง่อก๊กได้แต่งตั้งลิต้ายเป็นข้าหลวงมณฑลของมณฑลเกาจิ๋วทางใต้ ในช่วงที่ลิต้ายดำรงตำแหน่งในมณฑลเกาจิ๋วเป็นเวลาสิบปี ได้ปราบปรามการก่อการกำเริบหลายครั้ง รักษาความสงบสุขในพื้นที่ และติดต่อกับอาณาจักรต่างชาติบางอาณาจักรในคาบสมุทรอินโดจีน (ภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้แผ่นดินใหญ่) และทำให้อาณาจักรเหล่านี้ส่งบรรณาการมายังง่อก๊ก ในปี ค.ศ. 231 ลิต้ายถูกเรียกตัวไปยังบู๊เฉียงเพื่อดูแลราชการพลเรือนและการทหารในมณฑลเกงจิ๋ว (ปัจจุบันคือมณฑลหูเป่ย์และหูหนาน) ร่วมกับลกซุน ตลอดช่วงคริตส์ทศวรรษ 230 ลิต้ายปราบปรามกบฏจำนวนหนึ่งในอาณาเขตของง่อก๊ก ในปี ค.ศ. 240 ลิต้ายที่อายุใกล้จะครบ 80 ปียังคงมีสุขภาพดีและมีความสามารถเพียงพอในการปฏิบัติหน้าที่ ลิต้ายขึ้นมามีตำแหน่งเป็นมหาขุนพลอาวุโสในปี ค.ศ. 246 และต่อมาได้เป็นเสนาบดีกลาโหมในปี ค.ศ. 252 ในรัชสมัยของซุนเหลียงผู้สืบราชบัลลังก์ของซุนกวน ลิต้ายเสียชีวิตขณะมีอายุ 95 ปี[1] และเป็นหนึ่งในบุคคลสำคัญที่มีอายุยืนยาวที่สุดในยุคสามก๊ก[4]
การรับราชการช่วงต้น
[แก้]ลิต้ายเป็นชาวอำเภอไห่หลิง (海陵縣 ไห่หลิงเซี่ยน) เมืองกองเหลง (廣陵郡 กว่างหลิงจฺวิ้น) ซึ่งอยู่ในนครไท่โจว มณฑลเจียงซูในปัจจุบัน ลิต้ายเริ่มรับราชการในช่วงปลายยุคราชวงศ์ฮั่นตะวันออกเป็นข้าราชการชั้นผู้น้อยในที่ว่าการอำเภอและที่ว่าการเมือง เมื่อเกิดความวุ่นวายขึ้นทั่วแผ่นดินจีนในช่วงคริสต์ทศวรรษ 180 และ 190 ลิต้ายหนีลงใต้ไปยังภูมิภาคกังตั๋ง (หรือง่อ) เพื่อลี้ภัย[5]
ในปี ค.ศ. 200[6] หลังจากซุนกวนขึ้นเป็นขุนศึกปกครองดินแดนกังตั๋ง ลิต้ายได้มารับราชการกับซุนกวนและได้รับการแต่งตั้งให้เป็นเจ้าหน้าที่ผู้ช่วยในเมืองง่อกุ๋น (吳郡 อู๋จฺวิ้น)[7] ระหว่างที่ซุนกวนเดินทางตรวจราชการในเมืองง่อกุ๋น ได้เรียกนายอำเภอและเจ้าหน้าที่ผู้ช่วยทั้งหมดเพื่อประเมินคลังและการจัดการกฎหมายของทุกอำเภอ ลิต้ายทำให้ซุนกวนรู้สึกประทับใจเมื่อลิต้ายตอบคำถามได้ดีและแสดงให้เห็นว่าทุกสิ่งที่ตนดูแลอยู่ในสภาพสมบูรณ์ ซุนกวนจึงมอบหมายให้ลิต้ายเป็นเสมียนในสำนักบริหารส่วนตัวของซุนกวน และภายหลังตั้งให้ลิต้ายเป็นนายอำเภอของอำเภออีเหี้ยว (餘姚縣 ยฺหวีเหยาเซี่ยน) ในช่วงที่ลิต้ายดำรงตำแหน่งได้เกณฑ์ชายฉกรรจ์มากกว่า 1,000 นายมารับราชการเป็นทหารในทัพของซุนกวน[8][1]
สยบกบฏในห้อยเข
[แก้]เมื่อลฺหวี่ เหอ (呂合) และฉิน หลาง (秦狼) นำการก่อการกำเริบในห้าอำเภอทางตะวันออกของเมืองห้อยเข (會稽 ไคว่จี; อยู่บริเวณนครเช่าซิง มณฑลเจ้อเจียงในปัจจุบัน) ซุนกวนตั้งให้ลิต้ายเป็นนายกองพันและมอบหมายให้ช่วยเหลือเจียวขิมในการจัดการกับกลุ่มกบฏ ลิต้ายและเจียวขิมทำภารกิจได้สำหรับและจัดการนำความสงบกลับสู่ห้าอำเภอและจับตัวผู้นำกบฏ 2 คน จากนั้นลิต้ายจึงได้เลื่อนยศเป็นขุนพลราชองครักษ์ผู้น่าเชื่อถือแจ่มแจ้ง (昭信中郎將 เจาซิ่นจงหลางเจี้ยง) เป็นบำเหน็จความชอบ[9][1]
การบุกฮันต๋งที่ล้มเหลว
[แก้]ในปี ค.ศ. 211 ลิต้ายและอิ่น อี้ (尹異) ที่เป็นรองแม่ทัพนำกองกำลัง 2,000 นายไปทางตะวันตกเพื่อล่วงให้เตียวฬ่อขุนศึกที่มีฐานกำลังในเมืองฮันต๋ง (漢中 ฮั่นจง) มายังจุดซุ่มโจมตีที่เมืองฮั่นซิง (漢興郡 ฮั่นซิงจฺวิ้น; อยู่บริเวณนครเป่าจี มณฑลฉ่านซีในปัจจุบัน) แต่เตียวฬ่อระแวงว่ามีบางอย่างน่าสงสัยจึงไม่ได้หลงกล จากนั้นซุนกวนจึงสั่งให้ลิต้ายและทหารถอยทัพกลับมากังตั๋ง[10][c]
ระหว่างเดินทางกลับ ลิต้ายผ่านมาทางเป๊กเต้เสีย (白帝城 ไป๋ตี้เฉิง; อยู่ในอำเภอเฟิ่งเจี๋ย นครฉงชิ่งในปัจจุบัน) และพบกับเล่าปี่พันธมิตรของซุนกวนซึ่งกำลังนำทัพเข้ายึดมณฑลเอ๊กจิ๋ว (ครอบคลุมพื้นที่ของมณฑลเสฉวนและนครฉงชิ่งในปัจจุบัน) จากเล่าเจี้ยงเจ้ามณฑลเอ๊กจิ้ว ลิต้ายเห็นว่าทัพเล่าปี่ไม่เป็นระเบียบและราวครึ่งหนึ่งของกำลังทหารหนีทัพหรือไม่ก็เสียชีวิต ลิต้ายจึงเชื่อว่าเล่าปี่จะยึดมณฑลเอ๊กจิ๋วไม่สำเร็จ เมื่อลิต้ายกลับมากังตั๋งได้แจ้งเรื่องนี้กับซุนกวน ซุนกวนจึงถามอู๋ ฟ่าน (吳範) ที่ปรึกษาที่เคยคาดการณ์ไว้ก่อนหน้านี้ว่าเล่าปี่จะยึดเอ๊กจิ๋วได้สำเร็จ อู๋ ฟ่านตอบว่า "การคาดการณ์ของข้าพเจ้าขึ้นกับเจตจำนงของฟ้า สิ่งที่ท่านลิต้ายเห็นเป็นการกระทำของคน" การคาดการณ์ของอู๋ ฟ่านกลายเป็นความจริงเมื่อเล่าปี่พิชิตมณฑลเอ๊กจิ๋วได้สำเร็จในที่สุดในปี ค.ศ. 214[11][12]
กรณีพิพาทเรื่องอาณาเขตซุน-เล่า
[แก้]ในปี ค.ศ. 215 ซุนกวนมีข้อพิพาทเรื่องอาณาเขตในมณฑลเกงจิ๋ว (ครอบคลุมพื้นที้มณฑลหูเป่ย์และมณฑลหูหนานในปัจจุบัน) กับเล่าปี่ที่เป็นพันธมิตร ซุนกวนมอบหมายลิต้ายพร้อมด้วยซุน เม่า (孫茂) และนายทหารคนอื่น 9 คนเป็นรองแม่ทัพ ให้นำกำลังทหารเข้ายึดครอง 3 เมืองคือเตียงสา (長沙 ฉางชา), เลงเหลง (零陵 หลิงหลิง; อยู่บริเวณนครหย่งโจว มณฑลหูหนานในปัจจุบัน) และฮุยเอี๋ยง (桂陽 กุ้ยหยาง; อยู่บริเวณนครเชินโจว มณฑลหูหนานในปัจจุบัน)[13] ข้าราชการใน 4 อำเภอคือ อานเฉิง (安成), โยว (攸), หย่งซิน (永新) และฉาหลิง (茶陵) ย้ายไปที่อำเภออินชาน (陰山縣 อินชานเซี่ยน; ทางตะวันออกเฉียงใต้ของอำเภอเหิงตง มณฑลหูหนานในปัจจุบัน) และประกาศความเป็นศัตรูกับลิต้ายที่นั่น ลิต้ายจึงนำกองกำลังเข้าล้อมโจมตีอำเภออินชานและบังคับให้เหล่าข้าราชการที่แข็งข้อยอมจำนนได้สำเร็จ สามเมืองทางใต้ของมณฑลเกงจิ๋วจึงตกอยู่ภายใต้การควบคุมของซุนกวน[14]
ซุนกวนให้ลิต้ายอยู่ดูแลเมืองเตียงสา เวลานั้นอู๋ ต้าง (吳碭) นายอำเภอของอำเภออานเฉิงสมคบคิดกับกับนายทหารยฺเหวียน หลง (袁龍) เพื่อก่อกบฏต่อซุนกวนและแปรพักตร์ไปเข้าด้วยกวนอูขุนพลผู้รักษาอาณาเขตของเล่าปี่ทางใต้ของมณฑลเกงจิ๋ว อู๋ ต้างจัดการยึดครองโยว ส่วนยฺเหวียน หลงตั้งมั่นอยู่ที่อำเภอหลี่หลิง (醴陵)[15] ซุนกวนส่งขุนพลโลซกเข้าโจมตีอู๋ ต้าง โลซกเอาชนะอู๋ ต้างได้สำเร็จและยึดอำเภอต่าง ๆ คืนมาได้ ส่วนอู๋ ต้างหลบหนีไปหลังแตกพ่าย ในช่วงเวลาเดียวกันนั้น ลิต้ายเข้าโจมตีอำเภอหลี่หลิง ยึดอำเภอคืนมาได้ และประหารชีวิตยฺเหวียน หลง จากนั้นลิต้ายจึงได้รับการแต่งตั้งเป็นเจ้าเมืองของเมืองหลูหลิง (廬陵郡 หลูหลิงจฺวิ้น; อยู่บริเวณนครจี๋อาน มณฑลเจียงซีในปัจจุบัน)[16][1]
ในฐานะข้าหลวงมณฑลเกาจิ๋ว
[แก้]ในปี ค.ศ. 220 ลิต้ายได้รับการแต่งตั้งเป็นข้าหลวงมณฑล (刺史 ชื่อฉื่อ) ของมณฑลเกาจิ๋วทางใต้ (ครอบคลุมพื้นที่ของมณฑลกวางตุ้ง, เขตปกครองตนเองกว่างซีจ้วง และบางส่วนของภาคเหนือของประเทศเวียดนามในปัจจุบัน) แทนที่เปาจิด[1] หลังจากลิต้ายเข้ารับตำแหน่ง เฉฺวียน ปั๋ว (錢愽) หัวหน้ากลุ่มโจรในเมืองเกาเหลียง (高涼郡 เกาเหลียงจฺวิ้น; อยู่บริเวณนครหยางเจียง มณฑลกวางตุ้งในปัจจุบัน) นำผู้ติดตามมาสวามิภักดิ์ต่อลิต้าย ลิต้ายรับการสวามิภักดิ์ของเฉฺวียน ปั๋วและแต่งตั้งให้เป็นนายกองร้อยส่วนตะวันตกของเมืองเกาเหลียง[17] ต่อมาลิต้ายยังได้ปราบการก่อการกำเริบของชนเผ่าพื้นเมืองในเมืองยฺวี่หลิน (鬱林郡 ยฺวี่หลินจฺวิ้น; อยู่บริเวณนครกุ้ยก่าง เขตปกครองตนเองกว่างซีจ้วงในปัจจุบัน)[18]
ในช่วงเวลานั้นมีหัวหน้ากลุ่มโจรชื่อหวาง จิน (王金) จากอำเภอเจินหยาง (湞陽縣 เจินหยางเซี่ยน; ทางตะวันออกของนครอิงเต๋อ มณฑลกวางตุ้งในปัจจุบัน) ซึ่งมักนำผู้ติดตามไปปล้นบริเวณชายแดนของเมืองหนานไห่ (南海郡 หนานไห่จฺวิ้น; อยู่บริเวณนครกว่างโจว มณฑลกวางตุ้งในปัจจุบัน) ลิต้ายได้รับคำสั่งจากซุนกวนให้นำกองกำลังเข้าโจมตีกลุ่มโจรและจับเป็นหวาง จินได้สำเร็จ จากนั้นจึงส่งตัวหวาง จินไปยังเกี๋ยนเงียบ (建業 เจี้ยนเย่; ปัจจุบันคือนครหนานจิง มณฑลเจียงซู) นครหลวงของง่อก๊ก ตลอดการทัพ ลิต้ายสังหาร จับกุม และปล่อยตัวโจรไปทั้งหมดประมาณ 10,000 คน ซุนกวนให้เลื่อนยศลิต้ายเป็นขุนพลสงบภาคใต้ (安南將軍 อานหนานเจียงจฺวิน) มอบอาญาสิทธิ์ และยกให้มีบรรดาศักดิ์เป็นตูเซียงโหว (都鄉侯) เพื่อตอบแทนความดีความชอบของลิต้าย[19]
ปราบกบฏชื่อ ฮุย
[แก้]เมื่อชื่อ เซี่ย (士燮) เจ้าเมืองของเมืองเกาจี (交趾郡 เจียวจื่อจฺวิ้น) เสียชีวิตในปี ค.ศ. 226[20] ซุนกวนตั้งให้ชื่อ ฮุย (士徽) บุตรชายคนที่ 3 ของชื่อ เซี่ยเป็นขุนพลและตั้งให้เป็นเจ้าเมืองของเมืองจิ่วเจิน (九真郡 จิ่วเจินจฺวิ้น; อยู่บริเวณนครทัญฮว้า ประเทศเวียดนามในปัจจุบัน) ซุนกวนยังแต่งตั้งเฉิน ฉือ (陳時) เป็นเจ้าเมืองของเมืองเกาจีคนใหม่แทนที่ชื่อ เซี่ย[21] ในช่วงเวลานั้นซุนกวนต้องการแยกส่วนหนึ่งของมณฑลเกาจิ๋วมาจัดตั้งเป็นมณฑลใหม่ชื่อกว่างโจว (廣州) โดยเมืองเกาจี, จิ่วเจิน (九真) และรื่อหนาน (日南) จะยังคงอยู่ในมณฑลเกาจิ๋ว ส่วนซังงาว (蒼梧 ชางอู๋), หนานไห่ (南海), ยฺวี่หลิน (鬱林) และเหอผู่ (合浦) จะก่อตั้งใหม่เป็นมณฑลกว่างโจว จากนั้นซุนกวนจึงตั้งให้ไต้ เหลียง (戴良) และลิต้ายเป็นข้าหลวงของมณฑลเกาจิ๋วและกว่างโจวตามลำดับ[22]
เมื่อไต้ เหลียงและเฉิน ฉือมารับตำแหน่งใหม่ ชื่อ ฮุยไม่ยอมรับการแต่งตั้งใหม่นี้และเริ่มต้นก่อกบฏโดยส่งทัพเข้าสกัดไต้ เหลียงและเฉิน ฉือ[23] ลิต้ายได้รับการอนุมัติจากซุนกวนให้นำกำลังพล 3,000 นายเข้าโจมตีชื่อ ฮุยและปราบปรามกบฏ[24] มีคนเตือนลิต้ายให้ระมัดระวังเพราะตระกูลชื่ออาศัยอยู่ในมณฑลเกาจิ๋วมาหลายรุุ่นและได้รับการสนับสนุนอย่างดีจากคนในท้องถิ่น[25] ลิต้ายตอบว่า "แม้ว่าชื่อ ฮุยตัดสินใจก่อกบฏ แต่ก็ไม่ได้คาดการณ์ว่าข้าจะนำทหารยกมา หากข้าโจมตีอย่างฉับไว ก็จะสามารถจับตัวชื่อ ฮุยที่ไม่ทันตั้งตัวได้และเอาชนะได้อย่างง่ายดาย หากข้าไม่ดำเนินการอย่างรวดเร็ว คนอื่น ๆ ก็จะเริ่มคิดก่อกบฏเช่นกัน ส่วนชื่อ ฮุยก็จะมีเวลามากขึ้นในการเสริมการป้องกันของตน หากอนารยชนในทั้ง 7 เมืองประสานทัพเข้าร่วมกับชื่อ ฮุยในการก่อกบฏ ข้าเห็นว่าแม้แต่แม่ทัพที่เก่งที่สุดก็ไม่อาจจัดการกับพวกเขาได้"[26]
จากนั้นลิต้ายก็นำกองกำลังไปยังจุดรวมพลที่อำเภอเหอผู่ รวมกำลังกับไต้ เหลียงและเตรียมโจมตีชื่อ ฮุย[27] เมื่อชื่อ ฮุยรู้ว่าลิต้ายนำทัพมาที่เมืองเกาจีก็ตกใจและหวาดหวั่นด้วยไม่คาดคิดว่าลิต้ายจะมาถึงเร็วเพียงนี้ ชื่อ ฮุยไม่มีทางเลือกอื่นนอกจากนำพี่น้องของตนออกจากเมืองและยอมจำนนต่อลิต้าย ลิต้ายสั่งให้ประหารชีวิตพี่น้องตระกูลชื่อทั้งหมดและส่งศีรษะไปให้ซุนกวน[28][1] กาน หลี่ (甘醴) และหฺวาน จื้อ (桓治) นายทหาร 2 คนที่เคยรับใช้ชื่อ ฮุยได้ระดมพลเข้าโจมตีลิต้ายเพื่อแก้แค้นให้นาย ลิต้ายเอาชนะทั้งสองได้และกำจัดทัพปฏิปักษ์ทั้งเหลืออยู่ทั้งหมด จากความชอบในการศึก ลิต้ายจึงได้เลื่อนบรรดาศักดิ์จากโหวระดับตำบลเป็นโหวระดับอำเภอชื่อบรรดาศักดิ์ว่า "พาน-ยฺหวีโหว" (番禺侯)[29]
หลังการก่อกบฏของชื่อ ฮุย ซุนกวนได้ยกเลิกมณฑลกว่างโจวที่จัดตั้งขึ้นใหม่และฟื้นฟูมณฑลเกาจิ๋วดั้งเดิม หลังลิต้ายทำให้เมืองเกาจีกลับมาสงับแล้ว ก็นำกองกำลังลงใต้ไปเมืองเมืองจิ่วเจินเพื่อโจมตีทัพฝ่ายตรงข้าม สังหารและจับกุมข้าศึกได้หลายหมื่นคน [30] ลิต้ายยังมอบหมายให้นายทหารใต้บังคับบัญชาของตนให้เผยแพร่วัฒนธรรมของชาวจีนฮั่นในดินแดนทางใต้โดยมีเป้าหมายเพื่อทำให้ผู้คนที่ไม่ใช่ชาวจีนฮั่นที่อาศัยที่นั่นให้มีวัฒนธรรมอย่างชาวจีนฮั่น เวลาช่วงเวลาเดียวกัน ลิต้ายส่งทูตไปติดต่อกับเจ้าผู้ปกครองของอาณาจักรต่างชาติ เช่น ฟูนาน, เลิมเอิ๊ป (Lâm Ấp) และถางหมิง (堂明) ในคาบสมุทรอินโดจีน (ภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้แผ่นดินใหญ่) และทำให้อาณาจักรเหล่านี้ส่งบรรณาการมายังง่อก๊ก[1] ซุนกวนยกย่องลิต้ายจากความดีความชอบเหล่านี้ และเลื่อนยศให้ลิต้ายเป็นขุนพลพิทักษ์ภาคใต้ (鎮南將軍 เจิ้นหนานเจียงจฺวิน)[31]
สยบกบฏในบุเหลง หลูหลิง ห้อยเข และหนานไห่
[แก้]ต้นปี ค.ศ. 231 หลังซุนกวนจักรพรรดิแห่งง่อก๊กทรงเห็นว่ามณฑลเกาจิ๋วกลับมาสงบแล้ว จึงมีรับสั่งให้ลิต้ายไปรับตำแหน่งใหม่ที่โอวโข่ว (漚口; อยู่ในนครฉางชา มณฑลหูหนานในปัจจุบัน)[32]
ราวเดือนมีนาคมหรือเมษายน ค.ศ. 231[33] ชนเผ่าพื้นเมืองที่อาศัยในเง้าเขเซีย (五谿 อู่ซี; แปลว่า "ห้าโตรกธาร"; หมายถึงพื้นที่บริเวณนครหฺวาย-ฮฺว่า มณฑลหูหนานในปัจจุบัน) ก่อกบฏต่อต้านการปกครองของง่อก๊ก ซุนกวนทรงมีรับสั่งให้ลิต้ายนำกำลังพล 50,000 นายไปปราบกบฏ พระองค์ยังมีรับสั่งให้พัวโยยช่วยเหลือลิต้ายในการปราบกบฏ พัวโยยปฏิบัติหน้าที่เป็นอย่างดี การมอบรางวัลและการลงโทษเป็นไปอย่างยุติธรรม ในเดือนธันวาคม ค.ศ. 234[33] การก่อกบฏสิ้นสุดลงโดยกบฏมากกว่า 10,000 คนถูกสังหารหรือถูกจับกุม ชนเผ่าพื้นเมืองอ่อนกำลังลงอย่างมากจนไม่สามารถก่อกบฏได้อีกเป็นเวลานาน[34][35]
ในปี ค.ศ. 233 ซุนกวนมีรับสั่งให้ลิต้ายและพัวเจี้ยงนำกำลังพลไปประจำการอยู่ที่ลกเค้า (陸口 ลู่โข่ว; ที่ทะเลสาบลู่ฉุ่ยใกล้กับนครชื่อปี้ มณฑลหูเป่ย์ในปัจจุบัน) ต่อมาซุนกวนมีรับสั่งให้ทั้งคู่ย้ายไปประจำการที่ผูฉี (蒲圻; ปัจจุบันคือนครชื่อปี้ มณฑลหูเป่ย์) ที่อยู่ใกล้เคียง[36]
ในปี ค.ศ. 235 เกิดการก่อกบฏขึ้นในเวลาไล่เลี่ยกันใน 3 เมือง ได้แก่ หลูหลิง (廬陵; อยู่บริเวณนครจี๋อาน มณฑลเจียงซีในปัจจุบัน), ห้อยเข (會稽 ไคว่จี; อยู่บริเวณนครเช่าซิง มณฑลเจ้อเจียงในปัจจุบัน) ทางด้านตะวันออก และหนานไห่ (南海郡 หนานไห่จฺวิ้น; อยู่บริเวณนครกว่างโจว มณฑลกวางตุ้งในปัจจุบัน) หลี่ หฺวาน (李桓) และลู่ เหอ (路合) นำการก่อกบฏในหลูหลิง สุย ชุน (隨春) นำการก่อกบฏในห้อยเข และหลัว ลี่ (羅厲) นำการก่อกบฏในหนานไห่[37] ซุนกวนจึงมีรับสั่งให้ลิต้ายพร้อมด้วยรองแม่ทัพหลิว จฺว่าน (劉纂) และต๋องจู (唐咨 ถาง จือ) นำกองกำลังแยกกันไปปราบกบฏแต่ละคร หลังจากสุย ชุนยอมจำนน ลิต้ายก็แต่งตั้งให้สุย ชุนเป็นขุนพลรองและรับเป็นผู้ใต้บังคับบัญชาของตน ลิต้ายยังเอาชนะกองกำลังกบฏกลุ่มอื่น ๆ สังหารผู้นำกบฏหลี่ หฺวาน, ลู่เหอ และหลัว ลี่ แล้วส่งศีรษะไปถวายซุนกวน[38] ซุนกวนออกพระราชโองการยกย่องลิต้ายจากความดีความชอบในการปราบกบฏและฟื้นฟูความสงบใน 3 เมือง[39]
หลังการเสียชีวิตของพัวโยยในปี ค.ศ. 239[40] ลิต้ายรับช่วงหน้าที่ของพัวโยยในการดูแลราชการพลเรือนและงานเอกสารทั้งหมดในมณฑลเกงจิ๋ว ลิต้ายยังได้ย้ายไปยังบู๊เฉียง (武昌 อู่ชาง; ปัจจุบันคือนครเอ้อโจว มณฑลหูเป่ย์) เพื่อทำงานร่วมกับลกซุน แต่ยังคงดูแลกองทหารรักษาการณ์ในผูฉี (蒲圻; ปัจจุบันคือนครชื่อปี้ มณฑลหูเป่ย์)[41]
ปราบกบฏเลี่ยว ชื่อ
[แก้]ในเดือนธันวาคม ค.ศ. 239 หรือมกราคม ค.ศ. 240 เลี่ยว ชื่อ (廖式) นายทหารของง่อก๊กเริ่มต้นก่อกบฏในเมืองหลินเฮ่อ (臨賀郡 หลินเฮ่อจฺวิ้น; อยู่บริเวณนครเหอโจว เขตปกครองตนเองกว่างซีจ้วงในปัจจุบัน) และนำผู้ติดตามเข้าโจมตีเมืองใกล้เคียงอันได้แก่เลงเหลง (零陵 หลิงหลิง; อยู่บริเวณนครหย่งโจว มณฑลหูหนานในปัจจุบัน) และฮุยเอี๋ยง (桂陽 กุ้ยหยาง; อยู่บริเวณนครเชินโจว มณฑลหูหนานในปัจจุบัน)[40] การก่อการกำเริบของเลี่ยว ชื่อยังเป็นการกระตุ้นให้คนท้องถิ่นในเมืองในมณฑลเกาจิ๋วอันได้แก่ซังงาว (蒼梧 ชางอู๋; อยู่บริเวณนครอู๋โจว เขตปกครองตนเองกว่างซีจ้วงในปัจจุบัน) และยฺวี่หลิน (鬱林; อยู่บริเวณนครกุ้ยก่าง เขตปกครองตนเองกว่างซีจ้วงในปัจจุบัน) ให้ก่อกบฏต่อง่อก๊กด้วยเช่นกัน[42]
เมื่อลิต้ายได้รับรายงานเรื่องการก่อกบฏ จึงรวบรวมกำลังทหารและเข้าโจมตีกบฏทันที กองกำลังของลิต้ายเดินทัพทั้งหมดเพื่อจะไปถึงจุดหมายปลายทางโดยใช้เวลาอันสั้นที่สุด ซุนกวนทรงส่งผู้แทนพระองค์ไปพบลิต้ายและแต่งตั้งลิต้ายเป็นเจ้ามณฑลเกาจิ๋ว (交州牧 เจียวโจวมู่) อย่างเป็นทางการ ในช่วงเวลาเดียวกันนั้น ซุนกวนมีรับสั่งให้นายทหารคนอื่น ๆ เช่นต๋องจูให้นำกองกำลังของแต่ละคนไปยังมณฑลเกาจิ๋วเพื่อสนับสนุนลิต้าย หลังจากนั้นประมาณหนึ่งปี ลิต้ายปราบกบฏเป็นผลสำเร็จและฟื้นฟูความสงบในหลายเมือง ลิต้ายยังสั่งให้ประหารชีวิตผู้นำกบฏเลี่ยว ชื่อ, เฟ่ย์ หยาง (費楊) และผู้ติดตาม หลังเสร็จสิ้นภารกิจ ลิต้ายกลับไปดำรงตำแหน่งเดิมที่บู๊เฉียง (武昌 อู่ชาง; ปัจจุบันคือนครเอ้อโจว มณฑลหูเป่ย์)[43]
ดูแลราชการในบู๊เฉียง
[แก้]ในปี ค.ศ. 240 ลิต้ายมีอายุใกล้ครบ 80 ปีแล้ว แต่ยังคงมีสุขภาพดี มีความสามารถเพียงพอในการปฏิบัติหน้าที่ในฐานะขุนพล และยังคงดูแลราชการในแต่ละวันในบู๊เฉียง (武昌 อู่ชาง; ปัจจุบันคือนครเอ้อโจว มณฑลหูเป่ย์) ด้วยตนเอง[44]
ในช่วงเวลานั้น จาง เฉิง (張承) ขุนพลง่อก๊กเขียนจดหมายถึงลิต้ายดังต่อไปนี้: "ในอดีต เมื่อต้าน (旦) และชื่อ (奭) ดำรงตำแหน่งผู้สำเร็จราชการแทนพระองค์ของจิว (周 โจว) ผู้คนเขียนศังสกานท์แดนใต้เพื่อสรรเสริญทั้งคู่ ทุกวันนี้ท่านและท่านลก (ลกซุน) ก็เฉกเช่นทั้งสองท่านนั้น ท่านทั้งสองแสดงความจงรักภักดี ความขยันหมั่นเพียร ความทุ่มเทการงาน และความอ่อนน้อมถ่อมตน สร้างความสำเร็จและผลงานยิ่งใหญ่ ส่งเสริมวัฒนธรรมพลเรือนเข้มแข็ง เพลงของวิญญูชน (君子 จฺวินจื่อ) สรรเสริญคุณธรรมของพวกท่าน ส่วนราษฎรก็นิยมชมชอบในคุณค่าของพวกท่าน ข้าพเจ้าได้ยินว่าในทุก ๆ วัน ท่านมีเอกสารกองโตที่ต้องตรวจสอบและมีผู้คนต่อแถวเข้าพบไม่หมดสิ้น แต่ท่านไม่ละทิ้งงาน ไม่พร่ำบ่นว่าเหนื่อย ข้าพเจ้ายังได้ยินว่าท่านสามารถขึ้นหลังม้าได้โดยไม่ต้องเหยียบโกลน ดูเหมือนท่านได้เหนือกว่าเลียมเภา (廉頗 เหลียน พัว) ไปแล้ว ที่ท่านมีความสำเร็จทั้งหมดนี้ช่างน่าอัศจรรย์! อี้จิงกล่าวว่า 'เขาหวังให้คุณธรรมของตนสมบูรณ์ยิ่ง ๆ ขึ้นไป และปฏิสัมพันธ์กับผู้อื่นเป็นที่น่านับถือยิ่ง ๆ ขึ้นไป'[d] ท่านบรรลุความสมบูรณ์แบบเช่นนี้ได้อย่างไร!"[45]
ในปี ค.ศ. 243 ลิต้ายส่งจู อิง (朱應) และคาง ไท่ (康泰) ไปสำรวจดินแดนทางใต้ของมณฑลเกาจิ๋วซึ่งปัจจุบันคือคาบสมุทรอินโดจีน (ภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้แผ่นดินใหญ่) และเผยแพร่วัฒนธรรมจีนที่นั่น คาง ไท่เขียนอู๋ฉือไว่กั๋วจฺว้าน (吳時外國傳) ซึ่งบันทึกถึงสิ่งที่เห็นระหส่างการเดินทางในอินโดจีน[e]
หลังการเสียชีวิตของลกซุนในปี ค.ศ. 245 จูกัดเก๊กขึ้นมาแทนที่ลกซุนในฐานะผู้บัญชาการทหารดูแลบู๊เฉียงและดูแลราชการในมณฑลเกงจิ๋ว ซุนกวนจึงทรงแบ่งบู๊เฉียงออกเป็น 2 ส่วน และมอบหมายให้ลิต้ายรับผิดชอบส่วนขวา ดูแลพื้นที่ตั้งแต่ผูฉี (蒲圻; ปัจจุบันคือนครชื่อปี้ มณฑลหูเป่ย์) ถึงบู๊เฉียง[46] ในเดือนกันยายนหรือตุลาคม ค.ศ. 246[47] ซุนกวนทรงเลื่อนให้ลิต้ายเป็นมหาขุนพลอาวุโส (上大將軍 ช่างต้าเจียงจวิน) และทรงแต่งตั้งให้ลฺหวี ข่าย (呂凱)[b] บุตรชายของลิต้ายเป็นนายกองพันดูแลกองทหารรักษาการณ์ที่ผูฉี[48]
การรับราชการช่วงปลายและเสียชีวิต
[แก้]หลังซุนกวนสวรรคตในเดือนพฤษภาคม ค.ศ. 252[49] ซุนเหลียงพระโอรสองค์สุดท้องขึ้นครองราชย์เป็นจักรพรรดิแห่งง่อก๊กองค์ใหม่[50] ต่อมาในเดือนพฤษภาคมหรือมิถุนายนปีเดียวกัน ซุนเหลียงทรงแต่งตั้งลิต้ายเป็นเสนาบดีกลาโหม (大司馬 ต้าซือหม่า)[51][1]
ลิต้ายเสียชีวิตในวันที่ 21 ตุลาคม ค.ศ. 256[a] ขณะอายุ 96 ปี (ตามการนับอายุแบบเอเชียตะวันออก)[1] ลฺหวี ข่าย (呂凱)[b] บุตรชายได้สืบทอดบรรดาศักดิ์พาน-ยฺหวีโหว (番禺侯)[52]
ก่อนลิต้ายเสียชีวิตได้สั่งเสียว่าตนต้องการให้ฝังศพของตนด้วยโลงศพที่ไม่มีการตกแต่ง ให้แต่งกายศพด้วยชุดเรียบ ๆ และจัดงานศพแบบเรียบง่าย ลฺหวี ข่ายปฏิบัติตามคำสั่งเสียอย่างเคร่งครัด[53]
เกร็ดประวัติ
[แก้]ปล่อยครอบครัวให้อยู่อย่างยากจน
[แก้]ลิต้ายขึ้นชื่อว่าใช้ชีวิตอย่างซื่อตรง มัธยัสถ์ และเรียบง่าย เมื่อลิต้ายดำรงตำแหน่งในมณฑลเกาจิ๋ว ไม่ได้ส่งรายได้กลับไปบ้านเป็นเวลาหลายปีและทำให้ครอบครัวใช้ชีวิตอย่างยากจนและหิวโหย[54]
ซุนกวนทรงถอนหายใจเมื่อได้ยินเรื่องนี้ จึงตรัสกับข้าราชบริพารว่า "ลิต้ายอยู่ห่างไกลจากบ้านไปหลายพันลี้ ปฏิบัติหน้าที่ต่อรัฐอย่างซื่อสัตย์ ในขณะที่ครอบครัวต้องทนทุกข์ด้วยความยากจน ข้าไม่รู้เรื่องนี้เลยจนกระทั่งบัดนี้ พวกท่านผู้ช่วยคนสนิทและผู้รวบรวมข้อมูลของข้าไปทำอะไรอยู่ตลอดมานี้"[55] จากนั้นซุนกวนจึงทรงมีรับสั่งให้จัดเตรียมเงิน ข้าว เสื้อผ้า และผ้าไหมจำนวนหนึ่งส่งไปให้ครอบครัวของลิต้ายทุก ๆ ปี[56]
มิตรภาพกับสฺวี ยฺเหวียน
[แก้]ลิต้ายเป็นเพื่อนสนิทกับสฺวี ยฺเหวียน (徐原) ชาวเมืองง่อกุ๋นซึ่งเป็นที่รู้จักในเรื่องความใจกว้างและทะเยอทะยาน ลิต้ายมองเห็นศักยภาพยิ่งใหญ่ในตัวสฺวี ยฺเหวียน จึงมักส่งเสื้อผ้าไปให้สฺวี ยฺเหวียน มักหารือในเรื่องสถานการณ์ปัจจุบันกับสฺวี ยฺเหวียน และเสนอชื่อสฺวี ยฺเหวียนให้ได้ดำรงตำแหน่งสูงขึ้น ในที่สุดสฺวี ยฺเหวียนก็ขึ้นมารับราชการในราชสำนักง่อก๊กในตำแหน่งผู้ตรวจการของราชสำนัก[57]
สฺวี ยฺเหวียนเป็นที่รู้จักในเรื่องความภักดี กล้าหาญ และพูดตรงไปตรงมา เมื่อใดที่สฺวี ยฺเหวียนเห็นลิต้ายทำผิดพลาด จะชี้ให้ลิต้ายเห็นจุดผิดพลาดเป็นการส่วนตัว และในขณะเดียวกันก็ยกประเด็นมาหารือในที่สาธารณะ เมื่อมีคนบอกลิต้ายเรื่องนี้ ลิต้ายก็กล่าวว่า "นี่จึงเป็นเหตุให้ข้านับถือเต๋อเยฺวียน (德淵; ชื่อรองของสฺวี ยฺเหวียน) อย่างสูง"[58]
เมื่อสฺวี ยฺเหวียนเสียชีวิต ลิต้ายร้องไห้ไม่หยุดและกล่าวว่า "เต๋อเยฺวียนเป็นเพื่อนที่ดีที่สุดของข้า บัดนี้จากไปแล้ว ข้าจะไปหาใครที่จะชี้ให้ข้าเห็นความผิดพลาดของตัวข้าเองได้ที่ไหนอีกเล่า" คนร่วมสมัยของลิต้ายและสฺวี ยฺเหวียนมองมิตรภาพของทั้งคู่ในแง่บวกอย่างมาก[59]
ดูเพิ่ม
[แก้]หมายเหตุ
[แก้]- ↑ 1.0 1.1 1.2 ชีวประวัติซุนเหลียงในจดหมายเหตุสามก๊กบันทึกว่าลิต้ายเสียชีวิตในวันจี๋โฉ่ว (己丑) ของเดือน 9 ในศักราชไท่ผิงปีที่ 1 ในรัชสมัยของซุนเหลียง[2] วันที่นี้เทียบได้กับวันที่ 21 ตุลาคม ค.ศ. 256 ในปฏิทินกริกอเรียน
- ↑ 2.0 2.1 2.2 ลฺหวี ข่ายคนนี้ไม่ได้เป็นบุคคลเดียวกันกับลิคี (呂凱 ลฺหวี ข่าย) ผู้รับราชการกับจ๊กก๊กที่เป็นรัฐพันธมิตรของง่อก๊ก
- ↑ เรฟ เดอ เครสพิกนีให้ข้อมูลผิดพลาดใน A Biographical Dictionary of Later Han to the Three Kingdoms 23-220 AD (พจนานุกรมชีวประวัติบุคคลในราชวงศ์ฮั่นยุคหลังถึงยุคสามก๊ก ค.ศ. 23-220) ว่าลิต้ายไปที่นั่นเพื่อติดต่อเป็นพันธมิตรกับเตียวฬ่อ[1]
- ↑ ข้อความจากบทแรกของส่วนซีฉือ (繫辭) ในอี้จิง ดูที่นี่เพื่ออ่านคำแปลภาษาอังกฤษโดยเจมส์ เล็กก์ (James Legge)
- ↑ ตำรานี้แม้ยังคงหลงเหลือในยุคราชวงศ์ถังและราชวงศ์ซ่ง แต่ก็สูญหายไปในเวลาต่อมา เหลือเพียงข้อความทีี่ตัดตอนมาบางส่วนเท่านั้นที่หลงรอด
อ้างอิง
[แก้]- ↑ 1.00 1.01 1.02 1.03 1.04 1.05 1.06 1.07 1.08 1.09 1.10 1.11 de Crespigny (2007), p. 626.
- ↑ ([太平元年九月]己丑,大司馬呂岱卒。) จดหมายเหตุสามก๊ก เล่มที่ 48.
- ↑ ("พระเจ้าซุนกวนเห็นประหลาทดังนั้นหาแจ้งว่าจะดีหรือร้ายไม่ ก็เปนทุกข์พระทัย จึงประชวรมาช้านานประมาณขวบหนึ่ง โรคนั้นกำเริบขึ้นเห็นจะไม่รอดอยู่แล้ว จึงให้หาจูกัดเก๊กกับลิต้ายเปนขุนนางผู้ใหญ่สองคนเข้ามาถึงที่บันทม แล้วฝากฝังบ้านเมืองบุตรแลภรรยาประชาราษฎร") "สามก๊ก ตอนที่ ๘๐". วัชรญาณ. สืบค้นเมื่อ May 2, 2024.
- ↑ "Longest-living people of the Three Kingdoms ranked; at the top was a man who lived until the age of 105". GigCasa (ภาษาChinese). 3 May 2016. คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 2017-06-07. สืบค้นเมื่อ 6 May 2018.
{{cite web}}
: CS1 maint: unrecognized language (ลิงก์) - ↑ (呂岱字定公,廣陵海陵人也,為郡縣吏,避亂南渡。) จดหมายเหตุสามก๊ก เล่มที่ 60.
- ↑ Sima (1084), vol. 63.
- ↑ (孫權統事,岱詣幕府,出守吳丞。) จดหมายเหตุสามก๊ก เล่มที่ 60.
- ↑ (權親斷諸縣倉庫及囚繫,長丞皆見,岱處法應問,甚稱權意,召署錄事,出補餘姚長,召募精健,得千餘人。) จดหมายเหตุสามก๊ก เล่มที่ 60.
- ↑ (會稽東冶五縣賊呂合、秦狼等為亂,權以岱為督軍校尉,與將軍蔣欽等將兵討之,遂禽合、狼,五縣平定,拜昭信中郎將。) จดหมายเหตุสามก๊ก เล่มที่ 60.
- ↑ (吳書曰:建安十六年,岱督郎將尹異等,以兵二千人西誘漢中賊帥張魯到漢興寋城,魯嫌疑斷道,事計不立,權遂召岱還。) อรรถาธิบายจากอู๋ชูในจดหมายเหตุสามก๊ก เล่มที่ 60.
- ↑ Sima (1084), vol. 67.
- ↑ (及壬辰歲,範又白言:「歲在甲午,劉備當得益州。」後呂岱從蜀還,遇之白帝,說備部衆離落,死亡且半,事必不克。權以難範,範曰:「臣所言者天道也,而岱所見者人事耳。」備卒得蜀。) จดหมายเหตุสามก๊ก เล่มที่ 63.
- ↑ (建安二十年,督孫茂等十將從取長沙三郡。) จดหมายเหตุสามก๊ก เล่มที่ 60.
- ↑ (又安成、攸、永新、茶陵四縣吏共入陰山城,合衆拒岱,岱攻圍,即降,三郡克定。) จดหมายเหตุสามก๊ก เล่มที่ 60.
- ↑ (權留岱鎮長沙。安成長吳碭及中郎將袁龍等首尾關羽,復為反亂。碭據攸縣,龍在醴陵。) จดหมายเหตุสามก๊ก เล่มที่ 60.
- ↑ (權遣橫江將軍魯肅攻攸,碭得突走。岱攻醴陵,遂禽斬龍,遷廬陵太守。) จดหมายเหตุสามก๊ก เล่มที่ 60.
- ↑ (延康元年,代步隲為交州刺史。到州,高涼賊帥錢愽乞降,岱因承制,以愽為高涼西部都尉。) จดหมายเหตุสามก๊ก เล่มที่ 60.
- ↑ (又鬱林夷賊攻圍郡縣,岱討破之。) จดหมายเหตุสามก๊ก เล่มที่ 60.
- ↑ (是時桂陽湞陽賊王金合衆於南海界上,首亂為害,權又詔岱討之,生縛金,傳送詣都,斬首獲生凡萬餘人。遷安南將軍,假節,封都鄉侯。) จดหมายเหตุสามก๊ก เล่มที่ 60.
- ↑ Sima (1084), vol. 70.
- ↑ (交阯太守士燮卒,權以燮子徽為安遠將軍,領九真太守,以校尉陳時代燮。) จดหมายเหตุสามก๊ก เล่มที่ 60.
- ↑ (岱表分海南三郡為交州,以將軍戴良為刺史,海東四郡為廣州,岱自為刺史。) จดหมายเหตุสามก๊ก เล่มที่ 60.
- ↑ (遣良與時南入,而徽不承命,舉兵戍海口以拒良等。) จดหมายเหตุสามก๊ก เล่มที่ 60.
- ↑ (岱於是上疏請討徽罪,督兵三千人晨夜浮海。) จดหมายเหตุสามก๊ก เล่มที่ 60.
- ↑ (或謂岱曰:「徽藉累世之恩,為一州所附,未易輕也。」) จดหมายเหตุสามก๊ก เล่มที่ 60.
- ↑ (岱曰:「今徽雖懷逆計,未虞吾之卒至,若我潛軍輕舉,掩其無備,破之必也。稽留不速,使得生心,嬰城固守,七郡百蠻,雲合響應,雖有智者,誰能圖之?」) จดหมายเหตุสามก๊ก เล่มที่ 60.
- ↑ (遂行,過合浦,與良俱進。) จดหมายเหตุสามก๊ก เล่มที่ 60.
- ↑ (徽聞岱至,果大震怖,不知所出,即率兄弟六人肉袒迎岱。岱皆斬送其首。) จดหมายเหตุสามก๊ก เล่มที่ 60.
- ↑ (徽大將甘醴、桓治等率吏民攻岱,岱奮擊,大破之,進封番禺侯。) จดหมายเหตุสามก๊ก เล่มที่ 60.
- ↑ (於是除廣州,復為交州如故。岱旣定交州,復進討九真,斬獲以萬數。) จดหมายเหตุสามก๊ก เล่มที่ 60.
- ↑ (又遣從事南宣國化,曁徼外扶南、林邑、堂明諸王,各遣使奉貢。權嘉其功,進拜鎮南將軍。) จดหมายเหตุสามก๊ก เล่มที่ 60.
- ↑ (黃龍三年,以南土清定,召岱還屯長沙漚口。) จดหมายเหตุสามก๊ก เล่มที่ 60.
- ↑ 33.0 33.1 Sima (1084), vol. 72.
- ↑ (... 遷太常。五谿蠻夷叛亂盤結,權假濬節,督諸軍討之。信賞必行,法不可干,斬首獲生,蓋以萬數,自是羣蠻衰弱,一方寧靜。) จดหมายเหตุสามก๊ก เล่มที่ 61.
- ↑ (會武陵蠻夷蠢動,岱與太常潘濬共討定之。) จดหมายเหตุสามก๊ก เล่มที่ 60.
- ↑ (嘉禾二年,權令岱領潘璋士衆,屯陸口,後徙蒲圻。) จดหมายเหตุสามก๊ก เล่มที่ 60.
- ↑ (四年,廬陵賊李桓、路合、會稽東冶賊隨春、南海賊羅厲等一時並起。) จดหมายเหตุสามก๊ก เล่มที่ 60.
- ↑ (權復詔岱督劉纂、唐咨等分部討擊,春即時首降,岱拜春偏將軍,使領其衆,遂為列將,桓、厲等皆見斬獲,傳首詣都。) จดหมายเหตุสามก๊ก เล่มที่ 60.
- ↑ (權詔岱曰:「厲負險作亂,自致梟首;桓凶狡反覆,已降復叛。前後討伐,歷年不禽,非君規略,誰能梟之?忠武之節,於是益著。元惡旣除,大小震懾,其餘細類,埽地族矣。自今已去,國家永無南顧之虞,三郡晏然,無怵惕之驚,又得惡民以供賦役,重自歎息。賞不踰月,國之常典,制度所宜,君其裁之。」) จดหมายเหตุสามก๊ก เล่มที่ 60.
- ↑ 40.0 40.1 Sima (1084), vol. 74.
- ↑ (潘濬卒,岱代濬領荊州文書,與陸遜並在武昌,故督蒲圻。) จดหมายเหตุสามก๊ก เล่มที่ 60.
- ↑ (頃之,廖式作亂,攻圍城邑,零陵、蒼梧、鬱林諸郡搔擾, ...) จดหมายเหตุสามก๊ก เล่มที่ 60.
- ↑ (... 岱自表輒行,星夜兼路。權遣使追拜岱交州牧,及遣諸將唐咨等駱驛相繼,攻討一年破之,斬式及遣諸所偽署臨賀太守費楊等,并其支黨,郡縣悉平,復還武昌。) จดหมายเหตุสามก๊ก เล่มที่ 60.
- ↑ (時年已八十,然體素精勤,躬親王事。) จดหมายเหตุสามก๊ก เล่มที่ 60.
- ↑ (奮威將軍張承與岱書曰:「昔旦奭翼周,二南作歌,今則足下與陸子也。忠勤相先,勞謙相讓,功以權成,化與道合,君子歎其德,小人悅其美。加以文書鞅掌,賔客終日,罷不舍事,勞不言倦,又知上馬輒自超乘,不由跨躡,如此足下過廉頗也,何其事事快也。周易有之,禮言恭,德言盛,足下何有盡此美耶!」) จดหมายเหตุสามก๊ก เล่มที่ 60.
- ↑ (及陸遜卒,諸葛恪代遜,權乃分武昌為兩部,岱督右部,自武昌上至蒲圻。) จดหมายเหตุสามก๊ก เล่มที่ 60.
- ↑ ([赤烏九年]秋九月, ... 鎮南呂岱為上大將軍, ...) จดหมายเหตุสามก๊ก เล่มที่ 47.
- ↑ (遷上大將軍,拜子凱副軍校尉,監兵蒲圻。) จดหมายเหตุสามก๊ก เล่มที่ 60.
- ↑ Sima (1084), vol. 75.
- ↑ (孫亮即位,拜大司馬。) จดหมายเหตุสามก๊ก เล่มที่ 60.
- ↑ ([太元二年]閏月, ... 上大將軍呂岱為大司馬, ...) จดหมายเหตุสามก๊ก เล่มที่ 48.
- ↑ (太平元年,年九十六卒,子凱嗣。) จดหมายเหตุสามก๊ก เล่มที่ 60.
- ↑ (遺令殯以素棺,疏巾布褠,葬送之制,務從約儉,凱皆奉行之。) จดหมายเหตุสามก๊ก เล่มที่ 60.
- ↑ (岱清身奉公,所在可述。初在交州,歷年不餉家,妻子飢乏。) จดหมายเหตุสามก๊ก เล่มที่ 60.
- ↑ (權聞之歎息,以讓羣臣曰:「呂岱出身萬里,為國勤事,家門內困,而孤不早知。股肱耳目,其責安在?」) จดหมายเหตุสามก๊ก เล่มที่ 60.
- ↑ (於是加賜錢米布絹,歲有常限。) จดหมายเหตุสามก๊ก เล่มที่ 60.
- ↑ (始,岱親近吳郡徐原,慷慨有才志,岱知其可成,賜巾褠,與共言論,後遂薦拔,官至侍御史。) จดหมายเหตุสามก๊ก เล่มที่ 60.
- ↑ (原性忠壯,好直言,岱時有得失,原輒諫諍,又公論之,人或以告岱,岱歎曰:「是我所以貴德淵者也。」) จดหมายเหตุสามก๊ก เล่มที่ 60.
- ↑ (及原死,岱哭之甚哀,曰:「德淵,呂岱之益友,今不幸,岱復於何聞過?」談者美之。) จดหมายเหตุสามก๊ก เล่มที่ 60.
บรรณานุกรม
[แก้]- ตันซิ่ว (ศตวรรษที่ 3). จดหมายเหตุสามก๊ก (ซานกั๋วจื้อ).
- เผย์ ซงจือ (ศตวรรษที่ 5). อรรถาธิบายจดหมายเหตุสามก๊ก (ซานกั๋วจื้อจู้).
- ซือหม่า กวาง (1084). จือจื้อทงเจี้ยน.
- de Crespigny, Rafe (2007). A Biographical Dictionary of Later Han to the Three Kingdoms 23-220 AD. Leiden: Brill. ISBN 9789004156050.