ข้ามไปเนื้อหา

ผลต่างระหว่างรุ่นของ "พระราชวังสนามจันทร์"

พิกัด: 13°49′07″N 100°02′46″E / 13.8184839°N 100.0460422°E / 13.8184839; 100.0460422
จากวิกิพีเดีย สารานุกรมเสรี
เนื้อหาที่ลบ เนื้อหาที่เพิ่ม
ย้อนการแก้ไขของ 49.48.249.67 (พูดคุย) ไปยังรุ่นก่อนหน้าโดย Good dharma
ป้ายระบุ: ย้อนรวดเดียว
ไม่มีความย่อการแก้ไข
ป้ายระบุ: การแก้ไขแบบเห็นภาพ แก้ไขจากอุปกรณ์เคลื่อนที่ แก้ไขจากเว็บสำหรับอุปกรณ์เคลื่อนที่
บรรทัด 29: บรรทัด 29:
}}
}}


'''พระราชวังสนามจันทร์''' ตั้งอยู่ในตำบลพระปฐมเจดีย์ [[อำเภอเมืองนครปฐม]] [[จังหวัดนครปฐม]] ห่างจาก[[วัดพระปฐมเจดีย์ราชวรมหาวิหาร|พระปฐมเจดีย์]]ประมาณ 2 กิโลเมตร มีเนื้อที่ประมาณ 888 ไร่ 3 งาน 24 ตารางวา สร้างขึ้นโดย[[พระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว]] หลังจากพระองค์สวรรคต พระราชวังสนามจันทร์ใช้เป็นที่ทำการของส่วนราชการต่าง ๆ ของจังหวัดนครปฐม รวมทั้งเป็นวิทยาเขตหนึ่งของ[[มหาวิทยาลัยศิลปากร]] ปัจจุบัน พระราชวังสนามจันทร์อยู่ภายใต้การดูแลของ[[สำนักพระราชวัง]]
'''พระราชวังสนามจันทร์''' ตั้งอยู่ในตำบลพระปฐมเจดีย์ [[อำเภอเมืองนครปฐม]] [[จังหวัดนครปฐม]] ห่างจาก[[วัดพระปฐมเจดีย์ราชวรมหาวิหาร|พระปฐมเจดีย์]]ประมาณ 2 กิโลเมตร มีเนื้อที่ประมาณ 888 ไร่ 3 งาน 24 ตารางวา สร้างขึ้นโดย[[พระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว]] หลังจากพระองค์สวรรคต พระราชวังสนามจันทร์ใช้เป็นที่ทำการของส่วนราชการต่าง ๆ ของจังหวัดนครปฐม รวมทั้งเป็นวิทยาเขตหนึ่งของ[[มหาวิทยาลัยศิลปากร]] แต่เดิมพระราชวังสนามจันทร์ อยู่ภายใต้การดูแลของสำนักพระราชวัง ต่อมา สมเด็จพระเจ้าอยู่หัวมหาวชิราลงกรณ บดินทรเทพยวรางกูร ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าโปรดกระหม่อมพระราชทานโฉนดที่ดินพระราชวังสนามจันทร์ แก่กระทรวงมหาดไทย แล้วทางจังหวัดนครปฐม รับมอบต่อจากกระทรวงมหาดไทย เมื่อวันที่1 เมษายน 2561 เพื่อนำมาดำเนินการรับผิดชอบเอง

ตั้งแต่วันที่ 1 ตุลาคม พ.ศ. 2560 พระราชวังสนามจันทร์ ประกาศปิดปรับปรุงโดยไม่มีกำหนดเปิด มีการติดป้ายประกาศบริเวณด้านหน้าทางเข้าโดยมีข้อความว่า ''"พระราชวังสนามจันทร์ของดการเข้าชม ออกกำลังกาย และสักการะเพื่อทำการปรับปรุง ตั้งแต่วันที่ 1 ต.ค. 2560"''<ref>[https://travel.kapook.com/view180132.html พระราชวังสนามจันทร์ เปิดให้ชมวันสุดท้าย 30 ก.ย. นี้ ก่อนปิดปรับปรุงยาว], Kapook.com</ref><ref>[http://www2.manager.co.th/Election48/ViewNews.aspx?NewsID=9600000098110 ปิดปรับปรุง ‘พระราชวังสนามจันทร์’ 1 ต.ค. นี้ ยังไม่มีกำหนดเปิด], MGR Online 25 กันยายน 2560 14:27 น. (แก้ไขล่าสุด 25 กันยายน 2560 14:34 น.)</ref><ref>[http://www.amarintv.com/news-update/news-3228/89674/ โอกาสสุดท้าย!! เข้าชมพระราชวังสนามจันทร์ ก่อนเริ่ม ‘ปิดปรับปรุง’ ตั้งแต่วันที่ 1 ตุลาคม], Happy Three Time - 2017-09-25</ref>


== ประวัติ ==
== ประวัติ ==

รุ่นแก้ไขเมื่อ 07:31, 20 ตุลาคม 2561

พระราชวังสนามจันทร์
พระตำหนักชาลีมงคลอาสน์ ในพระราชวังสนามจันทร์
แผนที่
ข้อมูลทั่วไป
ประเภทพระราชวัง
เมืองตำบลพระปฐมเจดีย์ อำเภอเมืองนครปฐม จังหวัดนครปฐม 73000
ประเทศประเทศไทย
เริ่มสร้างพ.ศ. 2450
ปรับปรุงพ.ศ. 2533
ผู้สร้างพระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว

พระราชวังสนามจันทร์ ตั้งอยู่ในตำบลพระปฐมเจดีย์ อำเภอเมืองนครปฐม จังหวัดนครปฐม ห่างจากพระปฐมเจดีย์ประมาณ 2 กิโลเมตร มีเนื้อที่ประมาณ 888 ไร่ 3 งาน 24 ตารางวา สร้างขึ้นโดยพระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว หลังจากพระองค์สวรรคต พระราชวังสนามจันทร์ใช้เป็นที่ทำการของส่วนราชการต่าง ๆ ของจังหวัดนครปฐม รวมทั้งเป็นวิทยาเขตหนึ่งของมหาวิทยาลัยศิลปากร แต่เดิมพระราชวังสนามจันทร์ อยู่ภายใต้การดูแลของสำนักพระราชวัง ต่อมา สมเด็จพระเจ้าอยู่หัวมหาวชิราลงกรณ บดินทรเทพยวรางกูร ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าโปรดกระหม่อมพระราชทานโฉนดที่ดินพระราชวังสนามจันทร์ แก่กระทรวงมหาดไทย แล้วทางจังหวัดนครปฐม รับมอบต่อจากกระทรวงมหาดไทย เมื่อวันที่1 เมษายน 2561 เพื่อนำมาดำเนินการรับผิดชอบเอง

ประวัติ

พระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว

พระราชวังสนามจันทร์เป็นพระราชวังที่ พระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว โปรดเกล้าฯ ให้สร้างขึ้นบนบริเวณที่คาดว่าเป็นพระราชวังเก่าของกษัตริย์สมัยโบราณที่เรียกว่า"เนินปราสาท" เพื่อเป็นสถานที่ประทับครั้งมานมัสการพระปฐมเจดีย์ และเมื่อบ้านเมืองถึงยามวิกฤต

พระราชวังใช้เวลาก่อสร้างนาน 4 ปี โดยมี หลวงพิทักษ์มานพ (น้อย ศิลปี) ซึ่งต่อมาได้รับโปรดเกล้าฯ เลื่อนยศเป็นพระยาวิศุกรรมศิลปประสิทธิ์ (น้อย ศิลปี) เป็นแม่งาน และสร้างเสร็จเมื่อปี พ.ศ. 2450 เมื่อสร้างแล้วเสร็จจึงได้พระราชทานนามว่า "พระราชวังสนามจันทร์" ตามชื่อสระน้ำโบราณหน้าโบสถ์พราหมณ์ (ปัจจุบันไม่มีโบสถ์พราหมณ์เหลืออยู่แล้ว) "สระน้ำจันทร์" หรือ "สระบัว"

พระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว มีพระราชพินัยกรรมแสดงพระราชประสงค์ยกพระราชวังสนามจันทร์ให้เป็นสถานที่ตั้งของโรงเรียนนายร้อยทหารบก โดยมีใจความว่า

บรรดาที่ดินตึกรามทั้งใหญ่ น้อย ที่รวมอยู่ในเขตซึ่งเรียกว่า "พระราชวังสนามจันทร์" เป็นสมบัติส่วนตัวของข้าพเจ้าโดยแท้ไม่ได้รับมฤดกมาจากสมเด็จพระบรมชนกนารถมิได้ ข้าพเจ้าได้เก็บทุนในตำแหน่งหน้าที่พระยุพราชและทุนอื่น ๆ สร้างที่สนามจันทร์ และสร้างพระที่นั่งซึ่งเรียกว่า พระพิมานประฐม นั้นขึ้นก่อน ต่อมาเมื่อข้าพเจ้าได้ราชสมบัติแล้ว ข้าพเจ้าก็ได้เอาเงินพระคลังข้างที่ทำนุบำรุงที่นี้ตลอดมาเป็นส่วนตัวทั้งสิ้น เพราะฉะนั้นจะเอาที่พระราชวังสนามจันทร์ไปรวมเข้ากับกองมรดกใหญ่นั้นหาควรไม่ ข้าพเจ้ามีสิทธิ์ตามกฎหมายเหมือนสามัญชน ที่จะยกที่นี้ให้แก่ผู้ใดก็ได้ เพราะฉะนั้นเมื่อสิ้นตัวข้าพเจ้าไปแล้ว ข้าพเจ้าขอยกที่นี้ให้แก่รัฐบาลสยามเป็นสิทธิขาด เพื่อทำเป็นโรงเรียนนายร้อยทหารบก

กรมศิลปากรได้ประกาศในราชกิจจานุเบกษา ให้พระราชวังสนามจันทร์เป็นโบราณสถาน ประกาศในราชกิจจานุเบกษา เล่ม 98 ตอนที่ 177 วันที่ 27 ตุลาคม พ.ศ. 2524[2]

ไฟล์:เจ้าฟ้าเพชรรัตนราชสุดา สิริโสภาพัณณวดี.jpg
สมเด็จพระเจ้าภคินีเธอ เจ้าฟ้าเพชรรัตนราชสุดา สิริโสภาพัณณวดี

ในปัจจุบัน พระราชวังสนามจันทร์อยู่ในความดูแลของสำนักพระราชวัง โดยเมื่อวันที่ 1 ธันวาคม พ.ศ. 2546 คณะกรรมการอำนวยการบูรณะพระราชวังสนามจันทร์ ซึ่งมีสมเด็จพระเจ้าภคินีเธอ เจ้าฟ้าเพชรรัตนราชสุดา สิริโสภาพัณณวดี เป็นองค์ประธาน ร่วมกับกระทรวงมหาดไทย นายนาวิน ขันธหิรัญ อดีตผู้ว่าราชการจังหวัดนครปฐม และมหาวิทยาลัยศิลปากร โดยรองศาสตราจารย์ลิขิต กาญจนาภรณ์ รองอธิการบดีมหาวิทยาลัยศิลปากร วิทยาเขตพระราชวังสนามจันทร์ ได้น้อมเกล้าฯ ถวายคืนพระราชวังสนามจันทร์แก่สำนักพระราชวัง[3]

เมื่อวันที่ 19 เมษายน พ.ศ. 2560 ได้มีประกาศปลดนายสัญชาติ วัชราภิรักษ์ ข้าราชการพลเรือนในพระองค์ ตำแหน่งผู้อำนวยการพระราชวังสนามจันทร์ออกจากตำแหน่ง[4]

สิ่งก่อสร้าง

พระที่นั่ง

  • พระที่นั่งพิมานปฐม
พระที่นั่งพิมานปฐม

พระที่นั่งพิมานปฐม เป็นพระที่นั่งองค์แรกที่สร้างขึ้นเมื่อราวปี พ.ศ. 2450 เป็นอาคารก่ออิฐถือปูน 2 ชั้น แบบตะวันตก แต่ดัดแปลงให้เหมาะกับเมืองร้อน ช่องระบายลมและระเบียงลูกกรงโดยรอบฉลุฉลักเป็นลวดลายตามแบบไทยอย่างประณีตงดงาม พระที่นั่งชั้นบนประกอบด้วยห้องต่าง ๆ ซึ่งยังมีป้ายชื่อปรากฏอยู่จวบจนปัจจุบัน คือห้องบรรทม ห้องสรง ห้องบรรณาคม ห้องภูษา ห้องเสวย และห้องพระเจ้า ซึ่งเป็นหอพระ มีพระพุทธรูปปางปฐมเทศนาอยู่องค์หนึ่ง และยังมีภาพเขียนจิตรกรรมฝาผนังฝีมือ พระยาอนุศาสน์จิตรกร (จันทร์ จิตรกร) ซึ่งงดงามน่าชมมาก

พระที่นั่งองค์นี้ใช้เป็นที่ประทับ (โดยเฉพาะก่อนเสด็จฯ ขึ้นเถลิงถวัลราชย์สมบัติ จนถึงปี พ.ศ. 2458) ที่ทรงพระอักษร ที่เสด็จออกขุนนาง ที่รับรองพระราชอาคันตุกะ และออกให้ราษฎรเข้าเฝ้าฯ มากกว่าพระที่นั่ง และพระตำหนักองค์อื่น ๆ ในปัจจุบันบนพระที่นั่งได้จัดนิทรรศการเฉลิมพระเกียรติพระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว

  • พระที่นั่งอภิรมย์ฤดี

พระที่นั่งอภิรมย์ฤดี ตั้งอยู่ด้านใต้ของพระที่นั่งพิมานปฐม เป็นอาคารก่ออิฐถือปูน 2 ชั้นแบบตะวันตก ประดับลวดลายไม้ฉลุเหมือนกับพระที่นั่งพิมานปฐมโดยมีทางเชื่อมกับพระที่นั่งพิมานปฐม ใช้เป็นที่ประทับเจ้านายฝ่ายในในสมัยนั้น ปัจจุบันพระที่นั่งอภิรมย์ฤดีชั้นบนจัดแสดงห้องพระบรรทม ห้องทรงงาน เพื่อให้เข้ากับบรรยากาศในสมัยก่อน ในปัจจุบันบนพระที่นั่งได้จัดนิทรรศการเฉลิมพระเกียรติพระนางเจ้าสุวัทนา พระวรราชเทวีและสมเด็จพระเจ้าภคินีเธอ เจ้าฟ้าเพชรรัตนราชสุดา สิริโสภาพัณณวดี

  • พระที่นั่งวัชรีรมยา

พระที่นั่งวัชรีรมยา เป็นอาคารก่ออิฐถือปูน 2 ชั้น สร้างขึ้นเมื่อปี พ.ศ. 2460 พระที่นั่งองค์นี้มีลักษณะสถาปัตยกรรมเป็นแบบไทยแท้วิจิตรงดงามตระการตา หลังคามุงด้วยกระเบื้องเคลือบเป็นหลังคา 2 ชั้นเหมือนกับหลังคาในพระบรมมหาราชวัง มีช่อฟ้า ใบระกา หางหงส์ นาคสะดุ้ง คันทวย มีมุขเด็จด้านทิศใต้ หน้าบันมุขเด็ดแกะสลักเป็นเข็มวชิราวุธอยู่ภายใต้วงรัศมีมีกรอบล้อมรอบ พร้อมด้วยลายกนกลงรักปิดทอง หน้าพระที่นั่งมีชานชาลาทอดยาวออกมาจรดกับพระที่นั่งพิมานปฐมด้วย พระทวารของบัญชรทั้ง 2 ชั้นของพระที่นั่งองค์นี้มีลักษณะคล้ายกับเรือนแก้ว เป็นบันแถลงเสียบไว้ด้วยยอดวชิราวุธภายในมีเลข 6 อยู่ในลายพิจิตรเลขาเป็นมหามงกุฎ มีลายกนกลงรักปิดทองล้อมรอบบนพื้นที่ประดับตกแต่งไปด้วยกระจกสีน้ำเงิน พื้นเพดานชั้นบนของพระที่นั่งองค์นี้ทาด้วยสีแดงสดเข้มมีดอกดวงประดับประดาละเอียดอ่อนทำด้วยไม้แกะสลักปิดทอง ส่วนชั้นล่างนอกจากจะทาสีแดงและปิดทองแล้วนั้นชั้นล่างมีความแตกต่างกันตรงที่ลายฉลุนั้นเป็นดาวประดับพระที่นั่งองค์นี้ พระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัวทรงใช้เป็นที่ประทับเป็นครั้งคราว โดยมากจะใช้เป็นห้องทรงพระอักษรในปี พ.ศ. 2462 พระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัวเสด็จไปทรงซ้อมรบเสือป่าที่อำเภอบ้านโป่ง อำเภอโพธาราม จังหวัดราชบุรี และพระองค์เสด็จกลับมาประทับ ณ พระที่นั่งองค์นี้เป็นเวลา 1 คืนก่อนจะเสด็จไปประทับ ณ พระราชวังนันทอุทยาน 1 เดือนและกลับมาที่พระราชวังสนามจันทร์เป็นเวลา 1 สัปดาห์ก่อนกลับพระบรมมหาราชวัง

  • พระที่นั่งสามัคคีมุขมาตย์
พระที่นั่งสามัคคีมุขมาตย์

พระที่นั่งสามัคคีมุขมาตย์ เป็นพระที่นั่งที่มีส่วนเชื่อมต่อกับใกล้เคียงคือพระที่นั่งวัชรีรมยา หน้าบันพระที่นั่งสามัคคีมุขมาตย์อยู่ทางทิศเหนือเป็นรูปหลักท้าวอมรินทราธิราชประทานพรประทับอยู่ในปราสาทสามยอด พระหัตถ์ขวาทรงวชิระ พระหัตถ์ซ้ายทรงประทานพร แวดล้อมด้วยบริวารซึ่งประกอบด้วยเทวดาและมนุษย์ 5 หมู่ ท้องพระโรงยกพื้นสูงจากพื้นดินประมาณ 1 เมตรมีอัฒจันทร์ 2 ข้างต่อกับพระที่นั่งวัชรีรมยา มีพระทวารเปิดถึงกัน 2 ข้าง ซุ้มพระทวารทั้ง 2 และซุ้มพระบัญชรใกล้ ๆ พระทวารทั้ง 2 ข้างแกะสลักเป็นรูปกีรติ มุขลงรักปิดทองภายในพระที่นั่งโดยรอบ มีเสานางจรัลแบ่งเขตท้องพระโรงกับเฉลียงส่วนที่เป็นเฉลียงลดต่ำลงมา 20 เซนติเมตร เสานางจรัลมีลักษณะเป็นเสาทรง 8 เหลี่ยมเช่นเดียวกับพระที่นั่งวัชรีรมยา ทำเป็นลายกลีบบัวจงกลโดยรอบเสาตลอดทั้งต้น เพดานพระที่นั่งมีลักษณะเช่นเดียวกับเพดานชั้นล่างพระที่นั่งวัชรีรมยา เพดานสีแดงเข้มปิดทองฉลุเป็นลายดาวประดับมีโคมขวดห้อยอย่างงดงาม

พระที่นั่งองค์นี้ พระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัวทรงใช้เป็นสถานที่จัดงานหลายอย่าง เช่น งานสโมสรสันนิบาต เสด็จฯ ออกพบปะขุนนาง เป็นสถานที่ฝึกอบรมกองเสือป่า และใช้เป็นที่แสดงโขนละครต่าง ๆ เนื่องจากพระที่นั่งองค์นี้กว้างขวางและสามารถจุคนเป็นจำนวนมาก จึงมีชื่อเรียกติดปากชาวบ้านว่า "โรงโขน" ซึ่งครั้งหนึ่งพระองค์ได้เคยทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้อัญเชิญพระมหาเศวตฉัตรมาประดิษฐานไว้ภายในนี้ด้วย

เมื่อวันที่ 21 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2456 พระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัวได้ทรงใช้พระที่นั่งองค์นี้ในพระราชพิธีพระราชทานเหรียญตราแก่นายทหาร และทรงประกอบพระราชพิธีถือน้ำพระพิพัฒน์สัตยาแก่ทหารรวมทั้งเสือป่า และวันที่ 10 มิถุนายน พ.ศ. 2465 มีงานพระราชทานเลี้ยงแก่พระอินทราณี เนื่องในวันเกิด และให้ร่วมประทับโต๊ะเสวยพร้อมด้วยเจ้านายและข้าราชการ มีพระราชดำรัสว่าวันนี้พระองค์จะทรงหลั่งพระมหาสังข์แก่พระอินทราณี และทรงมีพระบรมราชโองการให้สถาปนาขึ้นเป็น พระวรราชชายาเธอ พระอินทรศักดิศจี (พระยศในขณะนั้น)

  • พระที่นั่งปาฏิหาริย์ทัศไนย

พระที่นั่งปาฏิหาริย์ทัศไนย เป็นพระที่นั่งโถงทรงไทย สร้างขึ้นเมื่อ พ.ศ. 2457 หลังจากพระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัวทอดพระเนตรปาฏิหาริย์แห่งพระปฐมเจดีย์เมื่อครั้งเสด็จไปประทับ ณ พระราชวังสนามจันทร์ หลังจากนั้น พระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัว โปรดเกล้าฯ ให้กระทรวงวังย้ายพระที่นั่งปาฏิหาริย์ทัศไนยมาประดิษฐานบนชาลาด้านหน้าพระที่นั่งพุทไธสวรรย์ พิพิธภัณฑสถานแห่งชาติ พระนคร เมื่อปี พ.ศ. 2470 และกรมศิลปากรได้อัญเชิญพระที่นั่งปาฏิหาริย์ทัศไนยไปประดิษฐานยังสนามหญ้าด้านทิศเหนือของพระที่นั่งอิศราวินิจฉัย

ในปี พ.ศ. 2550 สมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี เสด็จพระราชดำเนินไปยังพระราชวังสนามจันทร์ โดยผู้ดูแลพระราชวังได้กราบบังคมทูลขอให้มีการอัญเชิญพระที่นั่งปาฏิหาริย์ทัศไนยกลับมาประดิษฐาน ณ พระราชวังสนามจันทร์ พระองค์จึงมีพระราชดำริให้สำนักพระราชวังส่งหนังสือมายังกรมศิลปากร ในการอัญเชิญพระที่นั่งปาฏิหาริย์ทัศไนยกลับมาประดิษฐาน ณ พระราชวังสนามจันทร์ดังเดิม หลังจากการบูรณะซ่อมแซมเป็นที่เรียบร้อยแล้ว[5][6]

พระตำหนัก

พระตำหนักชาลีมงคลอาสน์ บริเวณด้านหน้าเป็นที่ตั้งของอนุสาวรีย์ย่าเหล
พระตำหนักชาลีมงคลอาสน์ ด้านหลัง

พระตำหนักชาลีมงคลอาสน์ เป็นพระตำหนักที่โดดเด่นที่สุดในหมู่พระตำหนักและพระที่นั่งในพระราชวังสนามจันทร์ ตั้งอยู่ทางทิศใต้ของสนามใหญ่ สร้างขึ้นราวปี พ.ศ. 2451 โดยมีหม่อมเจ้าอิทธิเทพสรรค์ กฤดากร เป็นสถาปนิกผู้ออกแบบ เป็นพระตำหนัก 2 ชั้น หลังคามุงกระเบื้องสีแดง ชั้นบนมีเพียง 2 ห้อง ชั้นล่างมี 2 ห้อง มีระเบียงล้อมรอบ 3 ด้านของตัวพระตำหนักทั้ง 2 ชั้น จุดเด่นของพระตำหนักองค์นี้คือสถาปัตยกรรมที่มีลักษณะคล้ายกับปราสาทซึ่งเป็นการผสมระหว่างศิลปะเรอแนซ็องส์ของประเทศฝรั่งเศส กับอาคารแบบฮาล์ฟ ทิมเบอร์ของประเทศอังกฤษ แต่ดัดแปลงให้เหมาะสมกับสภาพอากาศในประเทศไทย ผังอาคารเป็นรูปสี่เหลี่ยมผืนผ้าแบบสมมาตร เป็นอาคาร 2 ชั้น ชั้นล่างเป็นห้องบันได อีกด้านหนึ่งเป็นห้องเสวยและห้องส่งเครื่อง ชั้นบนประกอบด้วยทางเดินกลางแบ่งอาคารเป็น 2 ข้าง แต่ละข้างมีห้องใหญ่เป็นห้องบรรทม และห้องเล็กเป็นห้องทรงพระอักษร ล้อมด้วยระเบียงสามด้านยกเว้นด้านหลัง ทางด้านตะวันออกและตะวันตกมีเฉลียงเป็นรูปครึ่งวงกลมประกอบด้วยเสาขนาดใหญ่ หลังคามุงด้วยกระเบื้องสีแดง จุดเด่นของพระตำหนักอยู่ที่ป้อมหรือหอคอยที่มุมอาคาร ยอดหลังคาเป็นกรวยแหลม นอกจากนี้ทางเข้ากลางด้านหน้ายังทำเป็นมุขแบบชนบท ลายซุ้มหน้าบันเหนือระเบียงมีลายแบบยุคกลางของยุโรป ด้านใต้มีประตูเปิดไปสู่ฉนวนซึ่งทอดยาวไปพระตำหนักมารีราชรัตบัลลังก์

ในปี พ.ศ. 2458 พระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ พระราชทานนามพระตำหนักว่า "พระตำหนักชาลีมงคลอาสน์"[7] และโปรดเกล้าฯ ให้จัดการพระราชพิธีขึ้นพระตำหนัก เมื่อวันที่ 3 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2460

แต่เดิมพระตำหนักหลังนี้ชื่อว่า "พระตำหนักเหล" ซึ่งตั้งตามนามของย่าเหล สุนัขทรงเลี้ยงในรัชกาล

พระตำหนักมารีราชรัตบัลลังก์

พระตำหนักมารีราชรัตบัลลังก์ เป็นพระตำหนัก 2 ชั้น สร้างด้วยไม้สักทอง ทาสีแดง มีลักษณะทางสถาปัตยกรรมแบบนีโอคลาสสิกของประเทศทางตะวันตก แต่ได้มีการปรับปรุงองค์ประกอบบางส่วน ให้เหมาะกับภูมิอากาศแบบเมืองร้อน พระตำหนักองค์นี้สร้างขึ้นคู่กับพระตำหนักชาลีมงคลอาสน์ โดยมีฉนวนทางเดินทำเป็นสะพานจากชั้นบนด้านหลังของพระตำหนักชาลีมงคลอาสน์ ข้ามคูน้ำเชื่อมกับชั้นบนด้านหน้าของพระตำหนักมารีราชรัตบัลลังก์ สะพานดังกล่าวหลังคามุงกระเบื้องและติดหน้าต่างกระจกทั้งสองด้าน ตลอดความยาวของสะพานที่เชื่อมติดต่อถึงกัน พระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้สร้างพระตำหนักนี้ ในราวปี พ.ศ. 2459 โดยมีหม่อมเจ้าอิทธิเทพสรรค์ กฤดากร เป็นสถาปนิกออกแบบ รูปแบบสถาปัตยกรรมภายนอกคล้ายกระท่อมไม้ในชนบททาสีแดง หลังคาทรงปั้นหยายกจั่วสูง ผังอาคารเป็นรูปไม้กางเขนแต่แขนยาวไม่เท่ากัน ภายในแบ่งออกเป็น 2 ชั้น โดยชั้นล่างด้านตะวันออกเป็นโถงใหญ่โล่งถึงชั้นบน ส่วนแกนเหนือใต้เป็นห้องโถงทางเข้าด้านหนึ่ง และห้องนอนมหาดเล็กชั้นบนมี 4 ห้อง ได้แก่ ห้องโถงทางทิศเหนือมีประตูเปิดสู่ฉนวนน้ำที่เชื่อมกับพระตำหนักชาลีมงคลอาสน์ ห้องทรงพระอักษรอยู่ทางทิศเหนือ ห้องบรรทมอยู่ทางทิศใต้มีประตูออกสู่ระเบียง และห้องสรงอยู่ด้านตะวันตกของห้องพระบรรทม

  • พระตำหนักทับแก้ว
พระตำหนักทับแก้ว

พระตำหนักทับแก้ว เป็นอาคาร 2 ชั้น ตั้งอยู่ที่เชิงสะพานสุนทรถวาย เป็นที่ประทับในฤดูหนาวของพระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว และเป็นที่ตั้งของกองบัญชาการเสือป่า กองเสนารักษ์ราบเบารักษาพระองค์ระหว่างที่มีการซ้อมรบเสือป่า รวมทั้งเป็นสถานที่พระราชทานสัญญาบัตรแก่ข้าราชการ และเป็นที่ประทับพักผ่อนพระอิริยาบถและเสวยพระสุธารส ลักษณะสถาปัตยกรรมเป็นแบบตะวันตก เป็นตึก 2 ชั้นขนาดเล็กทาสีเขียวอ่อน ภายในมีเตาผิงและหลังคาปล่องไฟตามบ้านของชาวตะวันตก ต่อมาพระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัว ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้เปนที่พักของปลัดจังหวัดนครปฐม จนกระทั่งได้รับการบูรณะในปี พ.ศ. 2546

พระตำหนักทับแก้ว เคยเป็นวิทยาลัยทับแก้วของมหาวิทยาลัยศิลปากร ทำให้มหาวิทยาลัยศิลปากร วิทยาเขตพระราชวังสนามจันทร์ ชื่อว่า "ม.ทับแก้ว"

ปัจจุบัน สำนักพระราชวังได้อนุญาตให้สมาคมประวัติศาสตร์ฟุตบอลแห่งประเทศไทย ดำเนินการจัดแสดงเป็น "พิพิธภัณฑ์คณะฟุตบอลแห่งสยาม" เพื่อน้อมรำลึกถึงพระมหากรุณาธิคุณ สมเด็จพระมหาธีรราชเจ้าในพระราชกรณียกิจด้านกีฬาฟุตบอลของชาติ

พระตำหนักทับขวัญ

พระตำหนักทับขวัญ เป็นหมู่เรือนไทย มีชานเชื่อมต่อกันหมด เช่นหอนอน 2 หอ เรือนโถง เรือนครัว หอนกอยู่ที่มุมของเรือน ใช้วิธีเข้าไม้แบบโบราณ ฝาเรือนทำเป็นฝาไม้ปะกนกรอบลูกฟังเชิงชายและไม้ค้ำยันสลักสวยงาม ออกแบบโดยพระยาวิศุกรรมศิลปประสิทธิ์ (น้อย ศิลปี) เป็นนายช่างผู้ออกแบบและควบคุมการก่อสร้างรอบ ๆ เรือนปลูกไม้ไทย เช่น นางแย้ม นมแมว ต้นจัน และจำปี และพระตำหนักหลังนี้ได้รับการบูรณะเมื่อครั้งพระราชพิธีสมโภชกรุงรัตนโกสินทร์ 200 ปี

พระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้สร้างขึ้นเพื่อรักษาศิลปะบ้านไทยแบบโบราณ และทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้จัดการพระราชพิธีขึ้นพระตำหนักใหม่ เมื่อวันที่ 25 มกราคม พ.ศ. 2454 พระองค์ได้ประทับแรม ณ พระตำหนักองค์นี้เป็นเวลา 1 คืน และเมื่อมีการซ้อมรบเสือป่า พระตำหนักองค์นี้ใช้เป็นที่ตั้งกองบัญชาการเสือป่าราบหนักรักษาพระองค์

เรือน

ในพระราชวังสนามจันทร์มีเรือนต่าง ๆ ดังนี้

  • เรือนพระนนทิการ

เดิมเป็นบ้านพักของเจ้าพระยาธรรมาธิกรณาธิบดี (หม่อมราชวงศ์ปุ้ม มาลากุล) เป็นเรือนไม้สักชั้นเดียวยกพื้นใต้ถุนสูง และเคยใช้เป็นบ้านพักของผู้ว่าราชการจังหวัด

  • เรือนพระธเนศวร

เดิมเป็นบ้านพักของพระยาอุดมราชภักดี (โถ สุจริตกุล) ในสมัยรัชกาลที่ 6 และใช้เป็นบ้านพักของ พระยาบุรุษรัตนราชพัลลภ อธิบดีผู้พิพากษาในสมัยรัชกาลที่ 7 เป็นเรือนไม้สักชั้นเดียวยกใต้ถุนสูง ตั้งอยู่บนเกาะในลำคูพระราชวังสนามจันทร์ด้านทิศเหนือ มีเนื้อที่ประมาณ 250 ตารางเมตร จัดเป็นเรือนไม้ขนาดใหญ่ปานกลาง มีศาลาริมน้ำซึ่งมีสะพานเชื่อมกับตัวเรือน มีลวดลายฉลุตกแต่งแบบเรือนขนมปังขิงที่งดงาม

  • เรือนทับเจริญ

เดิมเป็นบ้านพักของเจ้าพระยารามราฆพ (หม่อมหลวงเฟื้อ พึ่งบุญ) อธิบดีกรมมหาดเล็ก เป็นเรือนไม้ทรงปั้นหยายกพื้นใต้ถุนสูง

  • เรือนพระกรรมสักขี

เดิมเป็นบ้านพักที่ของพระยาอภัยภูเบศร (เลื่อม อภัยวงศ์) และบุตรี เครือแก้ว อภัยวงศ์ (ต่อมาเป็น พระนางเจ้าสุวัทนา พระวรราชเทวี) ครั้งยังทรงพระเยาว์ เป็นเรือนไม้สัก โดยในปัจจุบันทางมหาวิทยาลัยศิลปากร ได้ทำการบูรณะเรือนแห่งนี้ใหม่

  • เรือนพระสุรภี

เดิมเป็นบ้านพักของท้าวอินทรสุริยา (เชื้อ พึ่งบุญ) โดยในปัจจุบันทางมหาวิทยาลัยศิลปากร ได้ทำการบูรณะเรือนแห่งนี้ใหม่

  • เรือนราชมนู

เดิมเป็นบ้านพักของราชองครักษ์

  • เรือนชานเล็ก

เดิมเป็นบ้านพักของข้าราชการกรมมหรสพ

  • เรือนพระนนทิเสน
  • เรือนสุภรักษ์
  • เรือนชาวที่
  • เรือนคฤหบดี
  • เรือนพระเอกทันต์
  • เรือนพระกรรติเกยะ
  • เรือนที่พักพระตำรวจหลวง
  • คลังแสง

สถานที่อื่น ๆ

  • เทวาลัยคเณศร์
เทวาลัยคเณศร์ สามารถเห็นพระปฐมเจดีย์อยู่ด้านหลัง

เทวาลัยคเณศร์ พระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้สร้างขึ้น ณ ที่อันเป็นศูนย์กลางของพระราชวังสนามจันทร์ สำหรับประดิษฐานพระพิฆเนศ ซึ่งนับถือว่าเป็นเทพเจ้าแห่งความรู้ เป็นผู้มีปัญญาเป็นเลิศ ปราดเปรื่องในศิลปวิทยาทุกแขนง และเพื่อความเป็นสิริมงคลแห่งพระราชวังสนามจันทร์ และเมื่อมองจากพระที่นั่งพิมานปฐม จะเห็นพระปฐมเจดีย์ เทวาลัยคเณศร์ และพระที่นั่งพิมานปฐมอยู่ในแนวเส้นตรงเดียวกัน

  • อนุสาวรีย์ย่าเหล

อนุสาวรีย์ย่าเหล เป็นอนุสาวรีย์ที่พระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้สร้างขึ้นเพื่อระลึกถึงย่าเหล สุนัขทรงเลี้ยง โดยประดิษฐานไว้หน้าพระตำหนักชาลีมงคลอาสน์

  • พระบรมราชานุสาวรีย์พระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว

พระบรมราชานุสาวรีย์พระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว เป็นพระบรมรูปอยู่ในพระอิริยาบถประทับนั่ง ฉลองพระองค์ชุดเสือป่าราบหลวงอย่างเก่าแบบทรงม้า เป็นฝีมือของช่างจากกรมศิลปากร ส่วนราชการจังหวัดฯ ได้อัญเชิญมาประดิษฐานไว้กลางพระราชวังสนามจันทร์ หลังเทวาลัยคเณศร์ เมื่อวันที่ 24 พฤศจิกายน พ.ศ. 2525

  • ศาลาธรรมมุเทศน์โอฬาร

ศาลาธรรมมุเทศน์โอฬาร ในราชกิจจานุเบกษาใช้ว่า "ศาลาธรรมเทศน์โอฬาร" คือ "ธรรมศาลาสำหรับพระราชวังสนามจันทร์" เป็นศาลาที่จะทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้สร้างขึ้นเพื่อใช้เป็นที่ประชุมใหญ่และอบรมเสือป่า เนื่องจากเสือป่ามีจำนวนมากขึ้นทุกปี เมื่อมีการประชุมใหญ่พระที่นั่งสามัคคีมุขมาตย์จุเสือป่าได้ไม่เพียงพอ แต่จนสิ้นรัชกาลก็ไม่มีการสร้างศาลานี้

  • ปราสาทศรีวิไชย

ปราสาทศรีวิไชย เป็นอนุสาวรีย์แห่งพระเจ้ากรุงศรีวิไชย ตั้งอยู่บนเนินปราสาทเก่า อย่างไรก็ดีตลอดจนสิ้นรัชกาลไม่ปรากฏว่าได้สร้างปราสาทศรีวิไชยขึ้น

ถนนในพระราชวัง

ในพระราชวังสนามจันทร์มีถนนที่สร้างขึ้นโดยพระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว โดยมีถนนสายใหญ่ ๆ 2 สาย ดังนี้

  • ถนนราชดำเนินใน
  • ถนนราชดำริห์ใน

และยังมีถนนสายเล็ก ๆ อีกดังต่อไปนี้

  • ถนนไก่ป่า
  • ถนนพญามังกร
  • ถนนฆรสรณี
  • ถนนสีมรกฏ
  • ถนนกลดหรูหรา
  • ถนนเมฆลาโยนมณี
  • ถนนปิติยาลัย
  • ถนนไวเวลา
  • ถนนฑีฆาภิรมย์
  • ถนนอาคมคเชนทร์
  • ถนนกระเวนสัญจร
  • ถนนกลอนสิบสอง
  • ถนนฆ้องปลาศ
  • ถนนระนาดประไลย
  • ถนนไฟสะดุ้ง
  • ถนนรุ่งสว่าง
  • ถนนส่างแสง
  • ถนนแย่งระบำ
  • ถนนดำนฤมิตร

สะพานในพระราชวัง

สะพานในพระราชวังมีสะพานต่าง ๆ ดังนี้

  • สะพานรามประเวศน์
  • สะพานนเรศวร์จรลี
  • สะพานจักรียาตรา
  • สะพานสุนทรถวาย

สิ่งก่อสร้างในอดีต

  • ศาลาลงสรง

เป็นศาลาทรงจตุรมุข สร้างขึ้นในรัชสมัยพระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัวสำหรับทรงลงสรงน้ำ ต่อมารัชสมัยพระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัวทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้รื้อศาลาลงสรงและพระที่นั่งปาฏิหารย์ทัศนัยมาประดิษฐานไว้ที่พิพิธภัณฑสถานแห่งชาติ พระนคร

  • โรงละคร

เป็นโรงละครที่สร้างขึ้นข้างพระที่นั่งสามัคคีมุขมาตย์ สร้างขึ้นในเดือนมกราคม พ.ศ. 2461 เป็นโรงละครที่พระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัวทรงสร้างขึ้น โดยโปรดที่จะมาซ้อมละครอยู่ทุกวันและมีการเล่นละครทุก ๆ คืน ปัจจุบันถูกรื้อไปสร้างเป็นโรงพยาบาลเรือนจำจังหวัดนครปฐม

  • สถานีรถไฟหลวงพระราชวังสนามจันทร์

ปัจจุบันย้ายไปประกอบใหม่ ตั้งอยู่ที่สถานีรถไฟหัวหิน

  • เก๋งรถไฟ

ปัจจุบันถูกรื้อไปสร้างเป็นกุฏิพระสงฆ์วัดเสนหาพระอารามหลวง

  • ศาลาเล็ก

ปัจจุบันถูกรื้อไปสร้างเป็นห้องสมุดที่วัดพระปฐมเจดีย์ราชวรมหาวิหาร

การเดินทาง

ทางรถยนต์

ให้ใช้แยกนครชัยศรีเป็นหลัก ซึ่งถ้าวิ่งมาจากกรุงเทพมหานครจะสามารถมาได้จากถนนเพชรเกษม และถนนบรมราชชนนี เพื่อมุ่งหน้าสู่จังหวัดนครปฐม ทั้งสองเส้นทางด้านบนจะต้องผ่านแยกนครชัยศรี

จากแยกนครชัยศรี ขับตรงไปประมาณ 8.5 กิโลเมตร จะถึงแยกบ้านแพ้ว (ถ้าเลี้ยวซ้ายจะไปบ้านแพ้ว ถ้าตรงไปจะไปนครปฐม) ให้ขับตรงไปอีกประมาณ 500 เมตร จะพบสะพานไปตัวเมืองนครปฐม ให้ขับขึ้นสะพาน (ถ้าตรงไปจะไปจังหวัดราชบุรี) จากนั้นขับตรงไปอีกประมาณ 3.4 กิโลเมตร จะพบ 4 แยกไฟแดง (ถ้าตรงไปก็คือพระปฐมเจดีย์ ถ้าเลี้ยวขวาจะเข้าไปยังตลาดนครปฐม ถ้าเลี้ยวซ้ายจะไปจังหวัดสุพรรณบุรี) เลี้ยวซ้าย แล้วขับตรงไปประมาณ 200 เมตร จากนั้นเลี้ยวขวา แล้วขับตรงไปประมาณ 1.9 กิโลเมตร จากนั้นเลี้ยวขวาที่ไฟแดง เลี้ยวขวาแล้วให้ขับตรงไปประมาณ 400 เมตร ก็จะถึงพระราชวังสนามจันทร์

ทางรถโดยสารประจำทาง

จากสถานีขนส่งผู้โดยสารกรุงเทพ (ถนนบรมราชชนนี) (สายใต้ใหม่) นั่งรถสายกรุงเทพฯ-สุพรรณบุรี (รถปรับอากาศชั้น 2 สายเก่า) / กรุงเทพฯ-ดำเนินสะดวก / กรุงเทพฯ-ราชบุรี (รถปรับอากาศชั้น 2) / กรุงเทพฯ-กาญจนบุรี (รถปรับอากาศชั้น 2) ไปลงที่ มหาวิทยาลัยศิลปากร วิทยาเขตพระราชวังสนามจันทร์ จากนั้นเดินเท้าประมาณ 400 เมตร จะถึงพระราชวังสนามจันทร์

ทางรถไฟ

มีขบวนรถไฟจากสถานีรถไฟกรุงเทพ / สถานีรถไฟธนบุรี ไปยังสถานีรถไฟนครปฐมวันละหลายขบวน จากนั้นต่อรถรถจักรยานยนต์รับจ้างไปพระราชวังสนามจันทร์ รถไฟจากสถานีรถไฟธนบุรีหลายขบวนหยุดที่ ที่หยุดรถไฟพระราชวังสนามจันทร์ สามารถเข้าพระราชวังสนามจันทร์ผ่านทางด้านมหาวิทยาลัยศิลปากร

อ้างอิง

  1. พจนานุกรมวิสามานยนามไทย : วัด วัง ถนน สะพาน ป้อม, เว็บไซต์สำนักงานราชบัณฑิตยสภา หน้า 352-353
  2. ประกาศกรมศิลปากร เรื่อง ขึ้นทะเบียนโบราณสถาน, ราชกิจจานุเบกษา เล่ม ๙๘ ตอนที่ ๑๗๗ หน้า ๓๖๗๑ ๒๗ ตุลาคม ๒๕๒๔
  3. http://www.palaces.thai.net/day/index_sc.htm สำนักพระราชวัง
  4. ประกาศสำนักนายกรัฐมนตรี เรื่อง พระราชทานพระราชานุญาตให้เรียกคืนเครื่องราชอิสริยาภรณ์, ราชกิจจานุเบกษา เล่ม ๑๓๔ ตอนที่ ๒๐ ข หน้า ๒ ๒๐ เมษายน ๒๕๖๐
  5. กรมศิลป์ฯเร่งบูรณะพระที่นั่ง'ปาฏิหาริย์ทัศไนย'สมัย ร.6, ไทยรัฐออนไลน์
  6. กรมศิลป์บูรณะพระที่นั่งปาฏิหาริย์ทัศไนยสมัย ร.6 อายุ 99 ปี, Manager Online - ผู้จัดการออนไลน์ ข่าวด่วนทันเหตุการณ์
  7. ประกาศพระราชทานนามพระตำหนัก ที่พระราชวังสนามจันทร์ เมืองนครปฐม, ราชกิจจานุเบกษา เล่ม ๓๒ หน้า ๔๑๕ วันที่ ๙ มกราคม ๒๔๕๘

ดูเพิ่ม

แหล่งข้อมูลอื่น

13°49′07″N 100°02′46″E / 13.8184839°N 100.0460422°E / 13.8184839; 100.0460422