ประวัติศาสตร์สาธารณรัฐประชาชนจีน
| ประวัติศาสตร์สาธารณรัฐประชาชนจีน |
|---|
|
|
| เป็นส่วนหนึ่งของ |
| ประวัติศาสตร์จีน |
|---|
เมื่อวันที่ 1 ตุลาคม ค.ศ. 1949 ประธานพรรคคอมมิวนิสต์จีน เหมา เจ๋อตง ประกาศสถาปนาสาธารณรัฐประชาชนจีนจากด้านบนประตูเทียนอัน หลังพรรคคอมมิวนิสต์จีน ได้รับชัยชนะเกือบเบ็ดเสร็จ (1949) ในสงครามกลางเมืองจีน สาธารณรัฐประชาชนจีนเป็นหน่วยงานทางการเมืองล่าสุดที่ปกครองจีนแผ่นดินใหญ่ โดยมีสาธารณรัฐจีน ( 1912–1949) และราชวงศ์กษัตริย์ที่ปกครองมาหลายพันปีเป็นสมัยก่อนหน้า ผู้นำสูงสุดที่ผ่านมาได้แก่ เหมา เจ๋อตง (1949–1976); ฮฺว่า กั๋วเฟิง (1976–1978); เติ้ง เสี่ยวผิง (1978–1988); เจียง เจ๋อหมิน (1989–2002); หู จิ่นเทา (2002–2012); และสี จิ้นผิง (2012–ปัจจุบัน)[1]
จุดกำเนิดของสาธารณรัฐประชาชนสามารถสืบย้อนไปได้ถึงสาธารณรัฐโซเวียตจีนที่ประกาศสถาปนาขึ้นใน ค.ศ. 1931 ในรุ่ยจิน มณฑลเจียงซี โดยได้รับการสนับสนุนจากพรรคคอมมิวนิสต์แห่งสหภาพทั้งมวลในสหภาพโซเวียต[2][3] ท่ามกลางสงครามกลางเมืองจีนที่ต่อต้านรัฐบาลชาตินิยมก่อนจะล่มสลายไปใน ค.ศ. 1937[4]
ภายใต้การปกครองของเหมา จีนผ่านการเปลี่ยนแปลงทางสังคมนิยมจากสังคมเกษตรกรรมแบบดั้งเดิม โดยมุ่งเน้นไปที่อุตสาหกรรมหนักภายใต้เศรษฐกิจแบบวางแผน ขณะที่การรณรงค์ต่าง ๆ เช่น การก้าวกระโดดไกลไปข้างหน้าและการปฏิวัติวัฒนธรรมสร้างความเสียหายอย่างใหญ่หลวงทั่วทั้งประเทศ ตั้งแต่ปลาย ค.ศ. 1978 การปฏิรูปเศรษฐกิจที่นำโดยเติ้ง เสี่ยวผิงได้ทำให้จีนกลายเป็นประเทศที่มีเศรษฐกิจใหญ่เป็นอันดับสองของโลกและเป็นหนึ่งในประเทศที่มีการเติบโตทางเศรษฐกิจเร็วที่สุด โดยมีความเชี่ยวชาญด้านโรงงานที่มีผลิตภาพสูงและเป็นผู้นำในบางสาขาของเทคโนโลยีขั้นสูง ในระดับโลก หลังได้รับการสนับสนุนจากสหภาพโซเวียตในช่วงทศวรรษ 1950 จีนกลายเป็นศัตรูที่ขมขื่นของสหภาพโซเวียตทั่วโลกกระทั่งการเยือนจีนของมีฮาอิล กอร์บาชอฟในเดือนพฤษภาคม ค.ศ. 1989 ในศตวรรษที่ 21 ความมั่งคั่งและเทคโนโลยีใหม่นำไปสู่การแข่งขันเพื่อความเป็นหนึ่งในกิจการของเอเชียกับอินเดีย ญี่ปุ่นและสหรัฐ และตั้งแต่ ค.ศ. 2017 ได้เกิดสงครามการค้าที่ทวีความรุนแรงขึ้นกับสหรัฐ[5]
สมัยเหมา (ค.ศ. 1949–1976)
[แก้]การเปลี่ยนแปลงสังคมนิยม
[แก้]หลังสงครามกลางเมืองจีนและการได้รับชัยชนะของกองกำลังคอมมิวนิสต์ของเหมา เจ๋อตงเหนือกองกำลังก๊กมินตั๋งของจอมพลเจียง ไคเชก ซึ่งหนีไปยังไต้หวัน เหมา เจ๋อตงประกาศสถาปนาสาธารณรัฐประชาชนจีนในวันที่ 1 ตุลาคม 1949 เหมาให้ความสำคัญทางทฤษฎีอย่างมากต่อเศรษฐกิจแบบบังคับและการต่อสู้ระหว่างชนชั้น
หลังสงครามเกาหลีสิ้นสุดลงในปี 1953 เหมา เจ๋อตงริเริ่มโครงการเพื่อข่มเหงอดีตเจ้าของที่ดินและพ่อค้า ขณะเดียวกันก็เริ่มโครงการทำให้เป็นอุตสาหกรรม เป้าหมายแรกของเหมาคือการยกเครื่องระบบการถือกรรมสิทธิ์ที่ดินทั้งหมด และการปฏิรูปที่ดินอย่างกว้างขวาง รวมถึงการประหารชีวิตเจ้าของที่ดินที่มีอำนาจมากกว่า ระบบเก่าของจีนที่เป็นระบบเจ้าของที่ดินผู้ดีและการเช่าที่ดินของชาวนาถูกแทนที่ด้วยระบบการจัดสรรที่ดินแก่ชาวนาที่ยากจน/ไม่มีที่ดินซึ่งช่วยลดความไม่เท่าเทียมทางเศรษฐกิจได้อย่างมาก มีเจ้าของที่ดินกว่าหนึ่งล้านคนถูกประหารชีวิตในการปฏิรูปที่ดินจีน[6] ในหมู่บ้านจางจวง ซึ่งมีการปฏิรูปอย่างละเอียดกว่าในภาคเหนือของประเทศ "เจ้าของที่ดิน" และ "ชาวนาร่ำรวย" ส่วนใหญ่สูญเสียที่ดินทั้งหมดและมักเสียชีวิตหรือหลบหนีไป การรณรงค์ส่งผลให้ชาวนานับร้อยล้านคนได้รับที่ดินเป็นครั้งแรก[7] ผลที่ตามมาคือ "ชาวนาชนชั้นกลาง" ซึ่งปัจจุบันคิดเป็น 90% ของประชากรหมู่บ้าน ถือครองที่ดิน 91%[8] การค้ายาเสพติดและการใช้ฝิ่นส่วนใหญ่ถูกกำจัดไป การลงทุนจากต่างประเทศถูกยึดและชาวต่างชาติถูกขับไล่
ขณะเดียวกัน การเคลื่อนไหวทางการเมืองและการต่อสู้ระหว่าวชนชั้นก็เริ่มต้นขึ้นทั่วประเทศ การรณรงค์ต่อต้านฝ่ายขวา 1957–1958 สร้างความเสียหายอย่างมากต่อประชาธิปไตยในจีน ซึ่งในระหว่างนั้นมีผู้ถูกข่มเหงอย่างน้อย 550,000 คน ส่วนใหญ่เป็นปัญญาชนและผู้เห็นต่างทางการเมือง[9] หลังการรณรงค์ครั้งนี้ จีนเข้าสู่รัฐพรรคเดียวโดยพฤตินัยของพรรคคอมมิวนิสต์จีน การเคลื่อนไหวทางการเมืองสำคัญอื่น ๆ ในทศวรรษ 1950 รวมถึงการปราบปรามกลุ่มต่อต้านการปฏิวัติ การรณรงค์ต้านสามต้านห้าและขบวนการซู่ฝ่าน แต่ละขบวนการส่งผลให้มีผู้เสียชีวิตจำนวนมากทั่วประเทศ
ก้าวกระโดดไกลไปข้างหน้าและผลพวง
[แก้]
เหมา เจ๋อตงเชื่อว่าในที่สุดสังคมนิยมจะได้รับชัยชนะเหนืออุดมการณ์อื่น และภายหลังจากแผนห้าปีฉบับแรกซึ่งอิงตามระบบเศรษฐกิจควบคุมจากส่วนกลางแบบโซเวียต เหมาก็ริเริ่มโครงการก้าวกระโดดไกลไปข้างหน้าที่ทะเยอทะยานในปี 1958 โดยเริ่มกระบวนการรวมกลุ่มในพื้นที่ชนบทอย่างไม่เคยมีมาก่อน (คอมมูนประชาชน) เหมาสนับสนุนให้ใช้โรงถลุงเหล็กที่จัดตั้งขึ้นโดยคอมมูนเพื่อเพิ่มการผลิตเหล็กกล้า ดึงคนงานออกจากภาคเกษตรกรรมจนถึงจุดที่พืชผลจำนวนมากเน่าเสียและไม่ถูกเก็บเกี่ยว เหมาตัดสินใจสนับสนุนโรงถลุงเหล่านี้ต่อไปแม้จะเคยไปเยี่ยมโรงงานเหล็กกล้าที่พิสูจน์ให้เขาเห็นว่าเหล็กกล้าคุณภาพสูงสามารถผลิตได้ในโรงงานเท่านั้น เขามองว่าการยุติโครงการนี้จะบั่นทอนความกระตือรือร้นของชาวนาต่อการระดมพลทางการเมืองของเขา นั่นคือการก้าวกระโดดไกล
การนำความคิดลัทธิเหมาไปใช้ในจีนอาจเป็นสาเหตุของทุพภิกขภัยครั้งร้ายแรงที่สุดในประวัติศาสตร์มนุษยชาติ ซึ่งมีผู้เสียชีวิตจากความอดอยากและโรคระบาด 15–55 ล้านคน[10][11][12] ภายในสิ้นปี 1961 อัตราการเกิดลดลงเกือบครึ่งหนึ่งเนื่องจากภาวะขาดสารอาหาร[13] ในปี 1958 เกิดการก่อการกำเริบที่สฺวินฮฺว่าและในปี 1959 เกิดการก่อการกำเริบครั้งใหญ่ในทิเบต ส่งผลให้ชาวทิเบตเสียชีวิตหลายหมื่นคน และทะไลลามะต้องลี้ภัยหลังจากนั้น[14][15] เหมาเผชิญกับการวิพากษ์วิจารณ์จากจอมพลเผิง เต๋อหวยและคนอื่น ๆ ในการประชุมหลูชานเกี่ยวกับนโยบายสุดโต่ง เหมาเปิดฉาก "การต่อสู้ต่อต้านแนวคิดฝ่ายขวา" ครั้งใหญ่ในปี 1959[16] ซึ่งในระหว่างนั้นสมาชิกพรรคคอมมิวนิสต์จีนกว่า 3 ล้านคนถูกระบุว่าเป็น "ผู้มีแนวคิดฝ่ายขวา" หรือ "ผู้ฉวยโอกาสฝ่ายขวา" และถูกกวาดล้างหรือลงโทษในเวลาต่อมา[17] อย่างไรก็ตาม ความล้มเหลวของเหมาในการก้าวกระโดดได้ลดทอนอำนาจของเขาในรัฐบาล ซึ่งหน้าที่การบริหารตกเป็นของประธานาธิบดีหลิว เช่าฉีและเติ้ง เสี่ยวผิง โดยเฉพาะหลังจากการประชุมเจ็ดพันแกนนำในช่วงต้นปี 1962 การต่อสู้แย่งชิงอำนาจระหว่างเหมา เจ๋อตงและหลิว เช่าฉีกับเติ้ง เสี่ยวผิงเริ่มต้นขึ้นหลังปี 1962 และเป็นผลให้เหมาเปิดตัวขบวนการการศึกษาสังคมนิยมตั้งแต่ปี 1963 ถึง 1965
โครงการ "ระเบิดสองลูก หนึ่งดาวเทียม" ที่เปิดตัวในปี 1958 นั้นประสบความสำเร็จมากกว่ามาก โดยในตอนแรกได้รับความช่วยเหลือจากมอสโก[18] โครงการนี้ใช้นักวิทยาศาสตร์ชั้นนำที่เดินทางกลับมาจีนแผ่นดินใหญ่จากต่างประเทศ รวมถึงเฉียน เสฺวเซิน, เติ้ง เจี้ยเซียนและเฉียน ซานเฉียง[19] จีนสามารถพัฒนาทั้งระเบิดปรมาณู ขีปนาวุธนิวเคลียร์ ระเบิดไฮโดรเจนและดาวเทียมดวงแรกได้สำเร็จภายในปี 1970 อย่างไรก็ตาม โครงการได้รับผลกระทบอย่างรุนแรงจากการก้าวกระโดดไกลและการปฏิวัติวัฒนธรรม
แนวรบที่สาม
[แก้]หลังความล้มเหลวของการก้าวกระโดดไกลไปข้างหน้า ผู้นำของจีนชะลอความเร็วของการทำให้เป็นอุตสาหกรรม[20]: 3 พวกเขาลงทุนในภูมิภาคชายฝั่งทะเลของจีนมากขึ้นและมุ่งเน้นไปที่การผลิตสินค้าอุปโภคบริโภค[20]: 3 หลังรายงานของเสนาธิการใหญ่ในเดือนเมษายน 1964 สรุปว่าการกระจุกตัวของอุตสาหกรรมจีนในเมืองชายฝั่งหลักทำให้ประเทศเสี่ยงต่อการโจมตีจากต่างชาติ เหมาจึงสนับสนุนให้มีการพัฒนาอุตสาหกรรมพื้นฐานและอุตสาหกรรมป้องกันประเทศในพื้นที่ที่ได้รับการป้องกันในตอนกลางของจีน[20]: 4, 54 สิ่งนี้นำไปสู่การสร้างแนวรบที่สาม (Third Front) ซึ่งเกี่ยวข้องกับโครงการขนาดใหญ่รวมถึงโครงสร้างพื้นฐานทางรถไฟ[20]: 153–164 อุตสาหกรรมอวกาศรวมถึงสิ่งอำนวยความสะดวกในการส่งดาวเทียม[20]: 218–219 และอุตสาหกรรมผลิตเหล็กรวมถึงบริษัทเหล็กและเหล็กกล้าพานจือฮฺวา (Panzhihua Iron and Steel)[20]: 9
การพัฒนาแนวรบที่สามชะลอตัวลงในปี 1966 ระหว่างการปฏิวัติวัฒนธรรม แต่เร่งตัวขึ้นอีกครั้งหลังความขัดแย้งชายแดนจีน–โซเวียตที่เกาะเจินเป่า ซึ่งเพิ่มความเสี่ยงที่รับรู้ได้ของการรุกรานจากโซเวียต[20]: 12, 150 การก่อสร้างแนวรบที่สามลดลงอีกครั้งหลังการเยือนจีนของประธานาธิบดีสหรัฐ ริชาร์ด นิกสัน 1972 และการฟื้นฟูความสัมพันธ์ระหว่างสหรัฐและจีนที่เกิดขึ้น[20]: 225–229 เมื่อการปฏิรูปและเปิดประเทศเริ่มต้นขึ้นหลังอสัญกรรมของเหมา จีนเริ่มลดโครงการแนวรบที่สามลงทีละน้อย[21]: 180 โครงการแนวรบที่สามกระจายทั้งทุนทางกายภาพและทุนมนุษย์ไปทั่วประเทศ ซึ่งท้ายที่สุดได้ช่วยลดความเหลื่อมล้ำระดับภูมิภาคและสร้างเงื่อนไขที่เอื้ออำนวยต่อการพัฒนาตลาดในภายหลัง[21]: 177–182
การปฏิวัติวัฒนธรรม
[แก้]
ในปี 1963 เหมาได้เปิดฉากขบวนการการศึกษาสังคมนิยม ซึ่งถือเป็นจุดเริ่มต้นของการปฏิวัติวัฒนธรรม เพื่อบังคับใช้หลักการสังคมนิยมดั้งเดิมและกำจัด "สี่สิ่งเก่า" ออกจากจีน และในขณะเดียวกันก็เพื่อบรรลุเป้าหมายทางการเมืองบางประการ เหมาเริ่มการปฏิวัติวัฒนธรรมในเดือนพฤษภาคม 1966 โดยพยายามกลับคืนสู่ศูนย์กลางอำนาจทางการเมืองในจีน การรณรงค์นี้ส่งผลกระทบอย่างกว้างขวางต่อทุกแง่มุมของชีวิตชาวจีน ประมาณการจำนวนผู้เสียชีวิตมีตั้งแต่หลายล้านไปจนถึง 20,000,000 คน[22][23][24][25] การสังหารหมู่เกิดขึ้นทั่วประเทศในขณะที่มีการกินเนื้อคนจำนวนมากเกิดขึ้นด้วย[26][27] เริ่มตั้งแต่ "สิงหาแดง" ในปี 1966 ในปักกิ่ง ยุวชนแดง (Red Guards) สร้างความหวาดกลัวไปทั่วท้องถนนเนื่องจากพลเมืองทั่วไปจำนวนมากถูกมองว่าเป็นพวกต่อต้านปฏิวัติ การศึกษาและการขนส่งสาธารณะหยุดชะงักเกือบทั้งหมด[28]
ในปี 1967 กลุ่มกบฏเริ่มเข้ายึดอำนาจจากรัฐบาลท้องถิ่นและสาขาพรรค จัดตั้งคณะกรรมการปฏิวัติชุดใหม่ขึ้นมาแทนที่ในขณะเดียวกันก็ทำลายระบบตำรวจ อัยการและตุลาการ คณะกรรมการเหล่านี้มักแตกออกเป็นกลุ่มคู่แข่ง และเข้าสู่การต่อสู้อย่างรุนแรงถึงตาย[26] มีการกวาดล้างทางการเมืองครั้งใหญ่ เช่น การล้างชนชั้นและการรณรงค์หนึ่งโจมตีหนึ่ง-สามต่อต้านแพร่กระจายไปทั่วประเทศ ผู้นำทางการเมืองที่มีชื่อเสียงหลายคน รวมถึง หลิว เช่าฉีและเติ้ง เสี่ยวผิง ถูกกวาดล้างและถูกตราหน้าว่าเป็น "พวกเดินตามทุนนิยม" ผู้คนนับล้านถูกตราหน้าว่าเป็นสมาชิกของห้าจำพวกดำและถูกข่มเหง ขณะที่ปัญญาชนและนักวิทยาศาสตร์จำนวนมากถูกเรียกว่าค่านิยมเก่าทั้งเก้าที่เน่าเฟะและต้องเข้ารับการประชุมดูความดิ้นรน.[26][28] ในปี 1971 อุบัติการณ์หลิน เปียวสร้างความตกตะลึงแก่ปักกิ่ง ตามมาด้วยการขึ้นสู่อำนาจของแก๊งสี่คน การปฏิวัติจะไม่สิ้นสุดลงอย่างสมบูรณ์กระทั่งอสัญกรรมของเหมา เจ๋อตงและการจับกุมแก๊งสี่คนในปี 1976 รัฐธรรมนูญฉบับที่สองของจีน รู้จักในชื่อ "รัฐธรรมนูญ 1975" ได้รับการผ่านใน 1975 ระหว่างการปฏิวัติวัฒนธรรม
ในทางกลับกัน เมื่อถึงช่วงเวลาอสัญกรรมของเหมา เอกภาพและอำนาจอธิปไตยของจีนก็ได้รับการรับรองเป็นครั้งแรกในรอบหนึ่งศตวรรษ และมีการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐาน อุตสาหกรรม บริการสุขภาพ การศึกษา (มีประชากรเพียง 20% เท่านั้นที่อ่านออกเขียนได้ในปี 1949 เทียบกับ 65.5% ในอีกสามสิบปีต่อมา)[29] ซึ่งช่วยยกระดับมาตรฐานการครองชีพของชาวจีนโดยเฉลี่ย นอกจากนี้ยังมีข้อโต้แย้งว่าการรณรงค์ต่าง ๆ เช่น การก้าวกระโดดไกลไปข้างหน้า – ตัวอย่างของแนวคิดประชาธิปไตยใหม่ – และการปฏิวัติวัฒนธรรมล้วนมีความจำเป็นต่อการเริ่มต้นการพัฒนาของจีนและ "ชำระล้าง" วัฒนธรรมของตน: แม้ผลที่ตามมาของการรณรงค์ทั้งสองนี้จะส่งผลร้ายแรงทั้งทางเศรษฐกิจและต่อชีวิตมนุษย์ แต่ก็ทิ้ง "กระดานชนวนที่สะอาด" ไว้ให้สามารถสร้างความก้าวหน้าทางเศรษฐกิจในภายหลัง[30]
ความสัมพันธ์ต่างประเทศ
[แก้]ก่อนจะเกิดความแตกแยกระหว่างจีน–โซเวียตในช่วงทศวรรษ 1960 นโยบายต่างประเทศหลักของสาธารณรัฐประชาชนจีนคือการได้รับการรับรองทางทูตท่ามกลางการต่อต้านอย่างรุนแรงจากสหรัฐ[31] การประชุมบันดุงในปี 1955 ซึ่งนายกรัฐมนตรีโจว เอินไหลเป็นผู้นำคณะผู้แทนจีน ถือเป็นก้าวสำคัญสำหรับความสัมพันธ์ต่างประเทศของจีน[32]: 80 จีนพัฒนาความสัมพันธ์ต่างประเทศกับประเทศที่เพิ่งได้รับเอกราชและกำลังจะได้รับเอกราชหลายประเทศ[32]: 80 ห้าหลักการแห่งการอยู่ร่วมกันอย่างสันติของจีนถูกนำไปรวมอยู่ในสิบหลักการของบันดุง[32]: 80 ในปี 1964 ความตึงเครียดระหว่างวอชิงตันกับปารีสทำให้ฝรั่งเศสสามารถเปิดความสัมพันธ์ได้[33]
นอกจากนี้ยังมีการเผชิญหน้าทางทหารเกิดขึ้นประปรายระหว่างสาธารณรัฐประชาชนจีนและสาธารณรัฐจีนซึ่งตั้งอยู่ในไต้หวัน ตัวอย่างเช่น บริเวณเกาะตงชานในมณฑลฝูเจี้ยน เกิดยุทธการที่เกาะตงชานในปี 1950 และการรณรงค์เกาะตงชานในปี 1953 ระหว่างกองทัพปลดปล่อยประชาชนกับกองทัพสาธารณรัฐจีน ตามมาด้วยยุทธการที่ตงชานอีกครั้งในเดือนสิงหาคม 1965[34][35]
สหภาพโซเวียต
[แก้]ปักกิ่งพอใจเป็นอย่างมากที่ความสำเร็จของสหภาพโซเวียตในการแข่งขันทางอวกาศ – การส่งยานสปุตนิกชุดแรก – แสดงให้เห็นว่าขบวนการคอมมิวนิสต์ระหว่างประเทศได้ก้าวทันด้านเทคโนโลยีขั้นสูงกับชาวอเมริกัน เหมาสันนิษฐานว่าขณะนี้โซเวียตมีความได้เปรียบทางทหารและควรเร่งสงครามเย็นให้เข้มข้นขึ้น ขณะที่ครุชชอฟรู้ว่าอเมริกาเหนือกว่ามากในการใช้ประโยชน์ทางทหารจากอวกาศ[36] ความตึงเครียดเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว ทำให้พันธมิตร 1950 กลายเป็นโมฆะ ทำลายความเป็นเอกภาพของค่ายสังคมนิยม และส่งผลกระทบต่อดุลอำนาจโลก การแตกแยกเริ่มต้นด้วยโครงการล้มล้างอิทธิพลสตาลินของนีกีตา ครุชชอฟ ซึ่งทำให้เหมาไม่พอใจเนื่องจากเขาชื่นชมสตาลิน[37] นอกจากนี้ นโยบายสุดโต่งของการก้าวกระโดดไกลไปช้างหน้าตลอดจนคำกล่าวที่ถกเถียงกันของเหมาว่าด้วยสงครามนิวเคลียร์ทำให้มอสโกไม่สบายใจ[38] ตามบันทึกของจีน สหภาพโซเวียตถอนช่างเทคนิค 1390 คนออกไปอย่างกะทันหันและยกเลิกสัญญากับจีน 600 ฉบับในปี 1960[39]
มอสโกและปักกิ่งกลายเป็นคู่แข่งในระดับโลก บังคับให้พรรคคอมมิวนิสต์ทั่วโลกต้องเลือกข้าง พรรคจำนวนมากเกิดการแตกแยก ทำให้คอมมิวนิสต์ที่สนับสนุนโซเวียตต่อสู้กับคอมมิวนิสต์ที่สนับสนุนจีนเพื่อชิงการควบคุมกำลังฝ่ายซ้ายในหลายพื้นที่ทั่วโลก[40] ในการประชุมพรรคคอมมิวนิสต์และพรรคแรงงานนานาชาติ 1960 และต่อมาในการประชุมสภาพรรคคอมมิวนิสต์แห่งสหภาพโซเวียตครั้งที่ 22 ในปี 1961 ความขัดแย้งระหว่างจีน-โซเวียตก็ควบคุมไม่ได้และมีการต่อสู้อย่างดุเดือดใน 81 พรรคคอมมิวนิสต์ทั่วโลก ครุชชอฟโจมตีเหมาเป็นการส่วนตัวว่าเป็นพวกซ้ายจัด — นักแก้ไขฝ่ายซ้าย — และเปรียบเทียบเขากับสตาลินในเรื่องความหลงตัวเองจนเป็นอันตราย[41] จีนในภายหลังเย้ยหยันความไร้ความสามารถของรัสเซียในวิกฤตการณ์ขีปนาวุธคิวบา 1962 ว่าเป็นการผจญภัยที่เริ่มต้นอย่างประมาทและการยอมจำนนที่จบลงด้วยความพ่ายแพ้ มอสโกในตอนนี้ให้ความสำคัญกับความสัมพันธ์ที่เป็นมิตรและสนธิสัญญาห้ามทดลองนิวเคลียร์กับสหรัฐและสหราชอาณาจักรมากขึ้น[42][43][44][45]

วิกฤตการณ์เกิดขึ้นในปี 1962 เมื่อผู้ลี้ภัยกว่า 60,000 คนหลบหนีจากซินเจียงทางตะวันตกของจีนไปยังดินแดนโซเวียตเพื่อหนีการข่มเหง เป็นที่รู้จักในประวัติศาสตร์ในชื่อ "อุบัติการณ์อี–ถ่า"ขณะเดียวกัน ความขัดแย้งชายแดน เช่น อุบัติการณ์เถี่ยเลี่ยเค่อถี ก็บานปลายขึ้นอย่างรวดเร็วระหว่างสองประเทศ ความขัดแย้งจีน-โซเวียตถึงจุดสูงสุดหลังอุบัติการณ์เกาะเจินเป่าในปี 1969 เมื่อสหภาพโซเวียตภายใต้การนำของเลโอนิด เบรจเนฟวางแผนโจมตีจีนด้วยอาวุธนิวเคลียร์ขนาดใหญ่ รวมถึงเมืองสำคัญ ๆ เช่น ปักกิ่ง ฉางชุนและอานชาน ตลอดจนแหล่งนิวเคลียร์ของจีน เช่น จิ่วเฉวียน ซีชางและหลอปนูร์[47][48][49][50] วันที่ 14 ตุลาคม 1969 คณะกรรมการกลางพรรคคอมมิวนิสต์จีนออกคำสั่งอพยพเร่งด่วนแก่ผู้นำพรรคและรัฐในปักกิ่ง โดยกำหนดให้ผู้นำทั้งหมดต้องออกจากปักกิ่งภายในวันที่ 20 ตุลาคม โดยเหมาเดินทางไปยังอู่ฮั่นและหลิน เปียวเดินทางไปยังซูโจว[47][51] หลินยังออก "คำสั่งเลขที่หนึ่ง" ในวันที่ 18 ตุลาคม โดยให้กำลังพลของกองทัพปลดปล่อยประชาชนทั้งหมดเตรียมพร้อมสำหรับการโจมตีที่ใกล้จะเกิดขึ้นจากสหภาพโซเวียต[51][52] ท้ายที่สุด โซเวียตก็ยกเลิกการโจมตีเนื่องจากการแทรกแซงจากสหรัฐ[47][50] ปักกิ่งเริ่มพิจารณาสหภาพโซเวียต ซึ่งตนมองว่าเป็นจักรวรรดินิยมทางสังคม ว่าเป็นภัยคุกคามที่ยิ่งใหญ่ที่สุดที่เผชิญอยู่ ยิ่งกว่าแม้แต่ชาติมหาอำนาจทุนนิยมชั้นนำอย่างสหรัฐ ด้วยเหตุนี้ จึงมีการริเริ่มความสัมพันธ์ระหว่างสาธารณรัฐประชาชนจีนและสหรัฐอเมริกา เช่น การทูตปิงปอง, การทูตแพนด้าและการเยือนจีนของนิกสัน 1972[53]
การสถาปนาความสัมพันธ์ทางทูตครั้งสำคัญ
[แก้]ในปี 1950 อินเดียกลายเป็นหนึ่งในประเทศแรก ๆ ที่ให้การรับรองสาธารณรัฐประชาชนจีนและสถาปนาความสัมพันธ์ทางทูตอย่างเป็นทางการ อย่างไรก็ตาม อินเดียมีความสัมพันธ์ใกล้ชิดกับสหภาพโซเวียตและในปี 1962 สงครามจีน-อินเดียที่กินเวลานานหนึ่งเดือน รวมถึงสงครามจีน-อินเดียครั้งที่สองในปี 1967 ซึ่งกินเวลาหนึ่งเดือนเช่นกันได้ปะทุขึ้นตามแนวชายแดนที่ห่างไกลของทั้งสองประเทศ ความตึงเครียดบริเวณชายแดนก็ปะทุขึ้นเป็นครั้งคราวนับแต่นั้นมา[54]

จีนสถาปนาความสัมพันธ์อย่างเป็นทางการกับประเทศตะวันตกหลัก ๆ หลายประเทศและญี่ปุ่น ส่วนใหญ่เป็นหลังความแตกแยกระหว่างจีน-โซเวียตในทศวรรษ 1960 โดยทั่วไปแล้ว ฝ่ายอื่น ๆ จะยุติความสัมพันธ์อย่างเป็นทางการที่พวกเขามีกับรัฐบาลสาธารณรัฐจีนในไต้หวันเมื่อสถาปนาความสัมพันธ์ทางทูตกับสาธารณรัฐประชาชนจีน
- ในเดือนมกราคม 1964 สาธารณรัฐประชาชนจีนสถาปนาความสัมพันธ์ทางทูตกับประเทศฝรั่งเศสอย่างเป็นทางการ[55]
- ในเดือนตุลาคม 1970 สาธารณรัฐประชาชนจีนสถาปนาความสัมพันธ์ทางทูตกับประเทศแคนาดาอย่างเป็นทางการ[56]
- ในเดือนพฤศจิกายน 1970 สาธารณรัฐประชาชนจีนสถาปนาความสัมพันธ์ทางทูตกับประเทศอิตาลีอย่างเป็นทางการ[56]
- ใน 1971 ข้อเสนอของประเทศแอลเบเนียในองค์การสหประชาชาติเพื่อรับรองสาธารณรัฐประชาชนจีนในฐานะจีนที่ถูกต้องตามกฎหมายเพียงหนึ่งเดียว (แทนที่สาธารณรัฐจีน) ได้รับการผ่านเป็นข้อมติสมัชชาใหญ่แห่งสหประชาชาติที่ 2758
- ในเดือนมีนาคม 1972 จีนสถาปนาความสัมพันธ์ทางทูตกับสหราชอาณาจักรอย่างเป็นทางการ[57] สหราชอาณาจักรเป็นประเทศตะวันตกหลักประเทศแรกที่ให้การรับรองสาธารณรัฐประชาชนจีนในปี 1950
- ในเดือนกันยายน 1972 สาธารณรัฐประชาชนจีนสถาปนาความสัมพันธ์ทางทูตกับประเทศญี่ปุ่นอย่างเป็นทางการ[56]
- ในเดือนตุลาคม 1972 สาธารณรัฐประชาชนจีนสถาปนาความสัมพันธ์ทางทูตกับประเทศเยอรมนีตะวันตกอย่างเป็นทางการ[58]
- ในเดือนธันวาคม 1972 สาธารณรัฐประชาชนจีนสถาปนาความสัมพันธ์ทางทูตกับประเทศออสเตรเลียอย่างเป็นทางการ[56]
- ในเดือนมีนาคม 1973 สาธารณรัฐประชาชนจีนสถาปนาความสัมพันธ์ทางทูตกับประเทศสเปนอย่างเป็นทางการ[56]
ภัยพิบัติ
[แก้]เฉพาะภัยพิบัติครั้งใหญ่เท่านั้นที่นำเสนอไว้ด้านล่าง (คลิกเพื่อแสดง)
| ปี | ภัยพิบัติ | สถานที่ | ผู้เสียชีวิต | รายละเอียด |
|---|---|---|---|---|
| 1950 | แผ่นดินไหวอัสสัม–ทิเบต | ทิเบต | 4,000 | มีผู้เสียชีวิตประมาณ 4,000 คนในทิเบต ขณะที่มากกว่า 1,000 คนเสียชีวิตในอินเดีย |
| 1954 | อุทกภัยแยงซี | แม่น้ำแยงซี | 33,000 | ส่วนใหญ่ในมณฑลหูเป่ย์ |
| 1957–1958 | ไข้หวัดใหญ่เอเชีย | ทั่วโลก | การระบาดทั่วเริ่มต้นในกุ้ยโจวทางตอนใต้ของจีน และคร่าชีวิตผู้คนทั่วโลกไป 1–4 ล้านคน[59] | |
| 1959–1961 | ทุพภิกขภัยครั้งใหญ่ | ทั่วประเทศ | 15–55 ล้าน | สาเหตุหลักมาจากการก้าวกระโดดไกลไปข้างหน้า[60][61] |
| 1966 | แผ่นดินไหวสิงไถ | เหอเป่ย์ | 8,064 | ขนาด 6.8 Mw. |
| 1968–1969 | ไข้หวัดใหญ่ฮ่องกง | ทั่วโลก | การระบาดทั่วเริ่มต้นในบริติชฮ่องกง และคร่าชีวิตผู้คนทั่วโลกไป 1–4 ล้านคน[59] | |
| 1970 | แผ่นดินไหวทงไห่ | ยูนนาน | มากกว่า 10,000 | ขนาด 7.1 Mw[62] แผ่นดินไหวครั้งนี้เกิดขึ้นในช่วงสูงสุดของการปฏิวัติวัฒนธรรม และรัฐบาลจีนไม่ได้เผยแพร่ข่าวอย่างกว้างขวางเป็นเวลากว่าทศวรรษ |
| 1975 | แผ่นดินไหวไห่เฉิง | เหลียวหนิง | 1,328 | ขนาด 7.5 Ms[63] บางแหล่งอ้างว่ายอดผู้เสียชีวิตอยู่ที่ 2,041 คน |
| 1975 | เขื่อนป่านเฉียวพังทลาย | เหอหนาน | 85,600–240,000 | เขื่อน 62 แห่งรวมถึงเขื่อนป่านเฉียวที่ใหญ่ที่สุดในมณฑลเหอหนานพังทลายลงเนื่องจากพายุไต้ฝุ่นนีนา 1975 ก่อให้เกิดอุทกภัยครั้งใหญ่ที่สุดเป็นอันดับสามในประวัติศาสตร์ (ตามข้อมูลของรัฐบาลจีน ยอดผู้เสียชีวิตอยู่ที่ 26,000 คน)[64][65][66][67][68] ภัยพิบัติครั้งนี้ได้รับการจัดอันดับให้เป็นอันดับ 1 ใน "10 สุดยอดภัยพิบัติทางเทคโนโลยี" ของโลกโดยดิสคัฟเวอรีแชนแนลในเดือนพฤษภาคม 2005 (รายการ the Ultimate 10 show) แซงหน้าภัยพิบัตินิวเคลียร์เชียร์โนบีล[65][67][69] เขื่อนส่วนใหญ่ที่พังทลายในภัยพิบัติครั้งนี้สร้างขึ้นด้วยความช่วยเหลือจากผู้เชี่ยวชาญจากสหภาพโซเวียตหรือในช่วงการก้าวกระโดดไกลไปข้างหน้า[67][70][71][72] |
| 1976 | แผ่นดินไหวถังชาน | เหอเป่ย์ | อย่างน้อย 242,769 | ขนาด 7.6 Mw.[73][74] |
ข้อโต้แย้ง
[แก้]ในช่วงสมัยเหมา มีผู้เสียชีวิตหลายสิบล้านคนระหว่างการเคลื่อนไหวทางการเมืองต่าง ๆ ตลอดจนในช่วงทุพภิกขภัยครั้งใหญ่ของจีน ในขณะที่อีกหลายสิบล้านคนถูกประหัตประหารและพิการถาวร[11][12][26] จีนกลายเป็นรัฐพรรคเดียวโดยพฤตินัยหลังการรณรงค์ต่อต้านฝ่ายขวาที่เริ่มต้นในปี 1957 ในช่วงนั้นประชาธิปไตยและนิติธรรมได้รับความเสียหายขณะที่มีปัญญาชนและผู้เห็นต่างทางการเมืองอย่างน้อย 550,000 คนถูกข่มเหง[75] ยิ่งไปกว่านั้น การปฏิวัติวัฒนธรรมได้ทำลายนิติธรรมตลอดจนวัฒนธรรมจีนดั้งเดิมและค่านิยมทางศีลธรรมอย่างรุนแรง มีการสังหารหมู่เกิดขึ้นทั่วประเทศและการกระทำที่เป็นการกินเนื้อคนก็เกิดขึ้นในวงกว้างด้วย (เช่น การสังหารหมู่ที่กว่างซี[27])[26] การศึกษาระดับอุดมศึกษาหยุดชะงักลงในช่วงการปฏิวัติวัฒนธรรมและการวิจัยทางวิทยาศาสตร์ก็ได้รับผลกระทบอย่างรุนแรงเช่นกันเนื่องจากนักวิทยาศาสตร์จำนวนมากถูกข่มเหง ถูกสังหารหรือฆ่าตัวตาย บางคนตั้งข้อสงสัยเกี่ยวกับสถิติหรือเรื่องราวที่ระบุถึงจำนวนผู้เสียชีวิตหรือความเสียหายอื่น ๆ ที่เกิดจากการรณรงค์ของเหมา โดยอ้างว่าจำนวนผู้เสียชีวิตที่สูงนั้นเป็นผลมาจากภัยธรรมชาติ ทุพภิกขภัย หรือผลกระทบอื่น ๆ ของความวุ่นวายทางการเมืองในช่วงการปกครองของเจียง ไคเชก[76]
เหมา เจ๋อตงและพรรคคอมมิวนิสต์จีนยังส่งออกอุดมการณ์สังคมนิยมและการปฏิวัติสังคมนิยมไปยังส่วนอื่น ๆ ของโลก โดยเฉพาะเอเชียตะวันออกเฉียงใต้[77] ด้วยอิทธิพลและการสนับสนุนจากเหมาและพรรคคอมมิวนิสต์จีน พล พตและเขมรแดงทำการฆ่าล้างเผ่าพันธุ์ชาวกัมพูชาซึ่งมีผู้คน 1.5-2 ล้านคนถูกสังหารภายในเวลาเพียงสามปี[78]
การเปลี่ยนผ่านและสมัยเติ้ง (ค.ศ. 1976–1989)
[แก้]
ช่วงเปลี่ยนผ่าน
[แก้]อสัญกรรมของเหมา เจ๋อตงตามมาด้วยการต่อสู้แย่งชิงอำนาจระหว่างแก๊งสี่คน, ฮฺว่า กั๋วเฟิง และท้ายที่สุดก็คือเติ้ง เสี่ยวผิง รัฐธรรมนูญฉบับที่สามของจีน รู้จักในชื่อ "รัฐธรรมนูญ 1978" ได้รับการประกาศใช้ในปี 1978 ภายใต้นโยบาย "สองอะไรก็ตาม" ของฮฺว่า
ในเดือนธันวาคม 1978 ด้วยการสนับสนุนจากเย่ เจี้ยนอิงและเจ้าหน้าที่ระดับสูงคนอื่น ๆ ในท้ายที่สุดเติ้งก็เข้ามาแทนที่ฮฺว่าและกลายเป็นผู้นำสูงสุดของจีนในระหว่างการประชุมเต็มคณะครั้งที่ 3 ของคณะกรรมการกลางพรรคคอมมิวนิสต์จีนชุดที่ 11 พันธมิตรของเติ้ง เช่น หู เย่าปังและจ้าว จื่อหยาง ก็ได้รับการเลื่อนตำแหน่งเช่นกัน
การทำให้การปฏิวัติวัฒนธรรมเป็นโมฆะ
[แก้]ในเดือนกันยายน 1977 เติ้งเสนอแนวคิด ปัวล่วนฝ่านเจิ้ง เป็นครั้งแรก โดยพยายามรื้อถอนนโยบายเหมาอิสต์ซ้ายจัดที่เกี่ยวข้องกับการปฏิวัติวัฒนธรรม ในปีเดียวกันนั้น เขายังรื้อฟื้นการสอบคัดเลือกเข้ามหาวิทยาลัยแห่งชาติซึ่งถูกยกเลิกไปเป็นเวลาสิบปีด้วยการปฏิวัติวัฒนธรรม ขณะเดียวกัน "การโต้เถียงเรือเกณฑ์ความจริง 1978" ได้ประกายให้เกิดการเคลื่อนไหว "เรืองปัญญาใหม่" ที่ยาวนานทศวรรษในจีนแผ่นดินใหญ่ ซึ่งส่งเสริมประชาธิปไตย มนุษยนิยมและคุณค่าสากล เช่น เสรีภาพ สิทธิมนุษยชนและนิติธรรม พร้อมทั้งต่อต้านอุดมการณ์ของการปฏิวัติวัฒนธรรม[79]
ภายในเวลาหลายปีนับตั้งแต่ปี 1978 เหยื่อของ "คดีที่ไม่ยุติธรรม เป็นเท็จ และผิดพลาด" กว่า 3 ล้านคดีได้รับการกู้ฐานะโดยเติ้งและพันธมิตรของเขา เช่น หู เย่าปัง เลขาธิการใหญ่พรรคคอมมิวนิสต์จีนในขณะนั้น[80][81] อย่างไรก็ตาม ในประเด็นมรดกของเหมา เติ้งบัญญัติวลีอันโด่งดังที่ว่า "ดี 7 ส่วน ชั่ว 3 ส่วน" และเลี่ยงการประณามเหมาทั้งหมด เอกสารสำคัญที่นำเสนอในการประชุมเต็มคณะครั้งที่สี่ในเดือนกันยายน 1979 ให้ "การประเมินเบื้องต้น" ของช่วงเวลา 30 ปีแห่งการปกครองของคอมมิวนิสต์ ในการประชุมเต็มคณะนั้น เย่ เจี้ยนอิง รองประธานพรรคประกาศว่าการปฏิวัติวัฒนธรรมเป็น "มหันตภัยอันน่าสยดสยอง" และ "ความพ่ายแพ้อย่างรุนแรงที่สุดต่ออุดมการณ์สังคมนิยม [นับตั้งแต่ปี 1949]"[82]
ในเดือนมิถุนายน 1981 การประณามการปฏิวัติวัฒนธรรมของรัฐบาลจีนถึงจุดสูงสุดใน มติว่าด้วยบางประเด็นในประวัติศาสตร์พรรคเรานับตั้งแต่การก่อตั้งสาธารณรัฐประชาชนจีน ซึ่งได้รับการรับรองโดยการประชุมเต็มคณะครั้งที่หกของคณะกรรมการกลางพรรคคอมมิวนิสต์จีนชุดที่สิบเอ็ด[61][83] มตินี้ประกาศให้การปฏิวัติวัฒนธรรมเป็น "หายนะภายในประเทศ" แต่ก็ยังระบุว่า "สหายเหมา เจ๋อตงเป็นมาร์กซิสต์ผู้ยิ่งใหญ่และนักปฏิวัติชนกรรมาชีพ นักยุทธศาสตร์ และนักทฤษฎีผู้ยิ่งใหญ่ เป็นความจริงที่ท่านทำผิดพลาดร้ายแรงในระหว่าง 'การปฏิวัติวัฒนธรรม' แต่หากเราพิจารณากิจกรรมทั้งหมดของท่านแล้ว คุณูปการของท่านต่อการปฏิวัติจีนมีมากกว่าความผิดพลาดมาก คุณูปการของท่านเป็นหลัก ส่วนความผิดพลาดของท่านเป็นรอง"[84] ปัจจุบัน การรับรู้ของสาธารณชนต่อเหมาได้ดีขึ้นอย่างน้อยก็เพียงผิวเผิน ภาพลักษณ์ของเหมาและสิ่งของที่เกี่ยวข้องกับเหมาได้กลายเป็นที่นิยม ใช้กันทั่วไปกับของแปลกใหม่และแม้กระทั่งเป็นเครื่องราง
ผลพวงจากการปฏิวัติวัฒนธรรม ทำให้ความปลอดภัยสาธารณะทั่วประเทศแย่ลงในช่วงปลายทศวรรษ 1970 และต้นทศวรรษ 1980 และด้วยเหตุนี้เติ้งจึงเปิดตัวการรณรงค์ปราบปรามอาชญากรรม "อย่างหนัก" ในปี 1983 ซึ่งดำเนินไปจนถึงต้นปี 1987 มีผู้ถูกจับกุมและได้รับบทลงโทษทางกฎหมายมากกว่า 1.7 ล้านคนในช่วงการรณรงค์ดังกล่าว[85]
การปฏิรูปและเปิดประเทศ
[แก้]


ในการประชุมเต็มคณะครั้งที่สามของคณะกรรมการกลางพรรคคอมมิวนิสต์ชุดที่ 11 เติ้งนำพาจีนเข้าสู่เส้นทางของการ ปฏิรูปและเปิดประเทศ (改革开放 ไก่เก๋อไคฟ่าง) นโยบายที่เริ่มต้นด้วยการเลิกระบบรวมกลุ่มในชนบท ตามมาด้วยการปฏิรูปอุตสาหกรรมที่มุ่งลดการควบคุมของรัฐบาลในภาคอุตสาหกรรม ในปี 1979 เติ้งเน้นย้ำถึงเป้าหมายของ "สี่ทันสมัย" และยังเสนอแนวคิด "เสี่ยวคัง" หรือ "สังคมมั่งคั่งปานกลาง"[88][89] เติ้งให้ความสำคัญกับอุตสาหกรรมเบาในฐานะก้าวแรกสู่การพัฒนาอุตสาหกรรมหนัก ความสำเร็จของลี กวนยูในการสร้างสิงคโปร์ให้เป็นมหาอำนาจทางเศรษฐกิจมีผลกระทบอย่างลึกซึ้งต่อผู้นำคอมมิวนิสต์ในจีน ผู้นำจีนพยายามอย่างมาก โดยเฉพาะภายใต้การนำของเติ้งเสี่ยวผิง ที่จะเลียนแบบนโยบายการเติบโตทางเศรษฐกิจ การประกอบการ และการปราบปรามการต่อต้านอย่างแยบยลของเขา ตลอดหลายปีที่ผ่านมา เจ้าหน้าที่จีนมากกว่า 22,000 คนถูกส่งไปสิงคโปร์เพื่อศึกษาแนวทางของสิงคโปร์[90]
เติ้งสนับสนุนแนวคิดเรื่องเขตเศรษฐกิจพิเศษ (SEZ) รวมถึงเชินเจิ้น จูไห่และเซี่ยเหมิน พื้นที่ที่อนุญาตให้มีการลงทุนจากต่างชาติหลั่งไหลเข้ามาได้โดยไม่มีข้อจำกัดและกฎระเบียบที่เข้มงวดจากรัฐบาล โดยดำเนินอยู่บนพื้นฐานของระบบทุนนิยม[91] วันที่ 31 มกราคม 1979 เขตอุตสาหกรรมเฉอโข่วของเชินเจิ้นถูกก่อตั้งขึ้น กลายเป็นพื้นที่ทดลองแห่งแรกในจีนที่ "เปิดออก"[92][93] ภายใต้การนำของยฺเหวียน เกิง "โมเดลเฉอโข่ว" ของการพัฒนาได้ก่อร่างสร้างตัวขึ้นทีละน้อย สะท้อนให้เห็นในคำขวัญอันโด่งดังที่ว่า "เวลาคือเงิน ประสิทธิภาพคือชีวิต" ซึ่งต่อมาได้แพร่หลายไปยังส่วนอื่น ๆ ของจีน[92][94] ในเดือนมกราคม 1984 เติ้ง เสี่ยวผิงเดินทางตรวจเยี่ยมเชินเจิ้นและจูไห่เป็นครั้งแรก โดยให้การยอมรับ "ความเร็วเชินเจิ้น" ของการพัฒนาตลอดจนความสำเร็จของเขตเศรษฐกิจพิเศษ[95][96] ด้วยความช่วยเหลือจากยฺเหวียน เกิง ธนาคารพาณิชย์ร่วมหุ้นแห่งแรกในจีน – ธนาคารไชนาเมอร์แชนส์ – และบริษัทประกันภัยร่วมหุ้นแห่งแรกในจีน – ผิงอันอินชัวรันส์ – ต่างก็ก่อตั้งขึ้นในเฉอโข่ว[97] ในเดือนพฤษภาคม 1984 เมืองชายฝั่งทะเลสิบสี่แห่งในจีนรวมถึงเซี่ยงไฮ้, กว่างโจวและเทียนจินได้รับการขนานนามว่าเป็น "เมืองชายฝั่งเปิด (沿海开放城市)"[98]
เติ้งตระหนักถึงความสำคัญของวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีใน "สี่ทันสมัย" โดยชี้ให้เห็นว่า "วิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีคือพลังการผลิตลำดับแรก"[99] ในเดือนธันวาคม 1981 เขาอนุมัติการก่อสร้าง "เครื่องชนอิเล็กตรอน-โพซิตรอนปักกิ่ง" เครื่องชนอนุภาคพลังงานสูงเครื่องแรกในจีน และได้พบปะหลายครั้งกับหลี่ เจิ้งเต้า ผู้ได้รับรางวัลโนเบลซึ่งสนับสนุนโครงการนี้[100] ในปี 1985 สถานีฉางเฉิง สถานีวิจัยแห่งแรกของจีนในทวีปแอนตาร์กติกาถูกจัดตั้งขึ้น ในปี 1986 เติ้งอนุมัติข้อเสนอจากนักวิทยาศาสตร์ชั้นนำของจีนสี่คนและเปิดตัว "โครงการ 863" ในปีเดียวกันนั้นเอง ระบบการศึกษาภาคบังคับเก้าปีก็ได้รับการจัดตั้งขึ้นตามกฎหมาย (กฎหมายว่าด้วยการศึกษาภาคบังคับเก้าปี)[101][102] ในทศวรรษ 1980 โรงไฟฟ้านิวเคลียร์ฉินชานในเจ้อเจียงและโรงไฟฟ้านิวเคลียร์ต้าหยาวานในเชินเจิ้นถูกสร้างขึ้น กลายเป็นโรงไฟฟ้านิวเคลียร์สองแห่งแรกในจีน[103] เติ้งยังอนุมัติการแต่งตั้งชาวต่างชาติให้ทำงานในจีน รวมถึงนักคณิตศาสตร์ชาวจีน-อเมริกันที่มีชื่อเสียงอย่างเฉิน สิ่งเชิน[104]
ผู้สนับสนุนการปฏิรูปเศรษฐกิจชี้ไปที่การพัฒนาอย่างรวดเร็วของภาคผู้บริโภคและการส่งออกของเศรษฐกิจ การก่อกำเนิดชนชั้นกลางในเมืองที่ปัจจุบันคิดเป็น 15% ของประชากร มาตรฐานการครองชีพที่สูงขึ้น (ซึ่งแสดงให้เห็นผ่านการเพิ่มขึ้นอย่างมากของ GDP ต่อหัว การใช้จ่ายของผู้บริโภค การคาดหมายคงชีพ อัตราการรู้หนังสือ และผลผลิตธัญพืชรวม) และสิทธิเสรีภาพส่วนบุคคลที่หลากหลายมากขึ้นสำหรับชาวจีนโดยเฉลี่ยเพื่อเป็นหลักฐานของความสำเร็จของการปฏิรูป นักวิจารณ์การปฏิรูปเศรษฐกิจ ทั้งในจีนและต่างประเทศ อ้างว่าการปฏิรูปก่อให้เกิดความเหลื่อมล้ำทางความมั่งคั่ง มลพิษทางสิ่งแวดล้อม การทุจริตที่แพร่หลาย การว่างงานในวงกว้างที่เกี่ยวข้องกับการเลิกจ้างพนักงานในรัฐวิสาหกิจที่ไม่มีประสิทธิภาพ และได้นำอิทธิพลทางวัฒนธรรมไม่พึงประสงค์เข้ามาบ่อยครั้ง ด้วยเหตุนี้ พวกเขาจึงเชื่อว่าวัฒนธรรมของจีนถูกบ่อนทำลาย ผู้ยากไร้ถูกลดฐานะให้เป็นชนชั้นล่างที่สิ้นหวัง และเสถียรภาพทางสังคมถูกคุกคาม พวกเขายังมีความเห็นว่าการปฏิรูปการเมืองต่าง ๆ เช่น การเคลื่อนไหวไปสู่การเลือกตั้งโดยประชาชน ถูกสกัดกั้นอย่างไม่เป็นธรรมตั้งแต่ต้น
ท้ายที่สุดแล้ว เส้นทางการทำให้ทันสมัยและการปฏิรูปเศรษฐกิจที่มุ่งเน้นตลาดที่จีนเริ่มต้นมาตั้งแต่ต้นทศวรรษ 1980 ดูเหมือนจะไม่ถูกท้าทายโดยพื้นฐาน เลย แม้แต่นักวิจารณ์การปฏิรูปตลาดของจีนก็ไม่ได้ต้องการให้ย้อนกลับการปฏิรูปตลอดสองทศวรรษนี้ แต่กลับเสนอมาตรการแก้ไขเพื่อชดเชยปัญหาทางสังคมบางอย่างที่เกิดจากการปฏิรูปที่มีอยู่ ในทางกลับกัน ในปี 1979 รัฐบาลจีนกำหนดนโยบายลูกคนเดียวเพื่อพยายามควบคุมประชากรที่เพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว นโยบายที่เป็นที่ถกเถียงนี้ส่งผลให้ความยากจนในเด็ก ลดลงอย่างมาก กฎหมายดังกล่าวถูกยกเลิกในปี 2015[105][106]
การปฏิรูปการเมือง
[แก้]
วันที่ 18 สิงหาคม 1980 เติ้ง เสี่ยวผิงกล่าวสุนทรพจน์ชื่อว่า "ว่าด้วยการปฏิรูปพรรคและระบบผู้นำรัฐ (党和国家领导制度改革)" ในการประชุมขยายของกรมการเมืองคณะกรรมการกลางพรรคคอมมิวนิสต์จีนในปักกิ่ง เป็นการเริ่มต้นการปฏิรูปการเมืองในจีน[107][108][109][110] เขาร้องขอให้ยุติระบบรัฐการ การรวมศูนย์อำนาจรวมถึงปิตาธิปไตย เสนอให้มีการจำกัดวาระการดำรงตำแหน่งผู้นำในจีนและสนับสนุน "ประชาธิปไตยแบบรวมศูนย์" ตลอดจน "การนำร่วม"[108][109][110] นอกจากนี้ เติ้งยังเสนอต่อสภาประชาชนแห่งชาติให้มีการแก้ไขรัฐธรรมนูญของจีนอย่างเป็นระบบ (รัฐธรรมนูญ 1978) และเน้นย้ำว่ารัฐธรรมนูญจะต้องสามารถปกป้องสิทธิพลเมืองของพลเมืองจีนและต้องสะท้อนหลักการแยกใช้อำนาจ; เขายังอธิบายแนวคิดของ "การนำร่วม" และสนับสนุนหลักการ "หนึ่งคน หนึ่งเสียง" ในหมู่ผู้นำเพื่อเลี่ยงเผด็จการของเลขาธิการใหญ่พรรคคอมมิวนิสต์จีน[107][110][111] ในเดือนธันวาคม 1982 รัฐธรรมนูญฉบับที่สี่ของสาธารณรัฐประชาชนจีน รู้จักในชื่อ "รัฐธรรมนูญ 1982" ได้รับการผ่านโดยสภาประชาชนแห่งชาติชุดที่ 5 สะท้อนรัฐธรรมนูญนิยมแบบจีนโดยที่เนื้อหาส่วนใหญ่ยังคงมีผลบังคับใช้มาจนถึงปัจจุบัน[112][113]
ในครึ่งแรกของปี 1986 เติ้งเรียกร้องให้มีการรื้อฟื้นการปฏิรูปการเมืองซ้ำแล้วซ้ำเล่า เนื่องจากมีการปฏิรูปเศรษฐกิจเพิ่มเติมถูกขัดขวางโดยระบบการเมืองแบบเดิมขณะที่ประเทศได้เห็นแนวโน้มการทุจริตและความไม่เท่าเทียมทางเศรษฐกิจที่เพิ่มขึ้น ซึ่งถูกทำให้รุนแรงขึ้นโดยสิทธิพิเศษทางสังคมมากมายที่เจ้าหน้าที่รัฐบาลและญาติได้รับ[114][115] หน่วยวิจัยห้าคนสำหรับการปฏิรูปการเมืองของจีนถูกจัดตั้งขึ้นในเดือนกันยายน 1986 และสมาชิกประกอบด้วยจ้าว จื่อหยาง, หู ฉี่ลี่, เถียน จี้ยฺหวิน, ปั๋ว อีปัวและเผิง ชง[116][117] เจตนาของการปฏิรูปการเมืองของเติ้งคือเพื่อเพิ่มประสิทธิภาพการบริหาร แยกความรับผิดชอบระหว่างพรรคคอมมิวนิสต์กับรัฐบาลให้ชัดเจนยิ่งขึ้น และเพื่อกำจัดระบบรัฐการ[118][119] แม้เขาจะกล่าวถึง "นิติธรรม" และ "ประชาธิปไตย" แต่เติ้งจำกัดการปฏิรูปให้อยู่ภายในระบบพรรคเดียวและคัดค้านการนำรัฐธรรมนูญแบบตะวันตกมาใช้[119][120] ในเดือนตุลาคม 1987 ที่การประชุมสภาแห่งชาติพรรคคอมมิวนิสต์จีนครั้งที่ 13 ซึ่งมีเติ้งเป็นประธาน จ้าว จื่อหยางกล่าวสุนทรพจน์สำคัญที่ร่างโดยเป้า ถงว่าด้วยการปฏิรูปการเมือง[121][122] ในสุนทรพจน์ของเขาที่ชื่อว่า "ก้าวหน้าไปตามเส้นทางของสังคมนิยมอัตลักษณ์จีน (沿着有中国特色的社会主义道路前进)" จ้าวโต้แย้งว่าสังคมนิยมในจีนยังคงอยู่ในขั้นต้นและโดยการใช้สุนทรพจน์ของเติ้งในปี 1980 เป็นแนวทาง จ้าวสรุปขั้นตอนต่าง ๆ ที่จะดำเนินการสำหรับการปฏิรูปการเมือง รวมถึงการส่งเสริมนิติธรรมและการแยกใช้อำนาจ การกระจายอำนาจ และการปรับปรุงระบบการเลือกตั้ง[118][121][122] ในการประชุมครั้งนี้ จ้าวได้รับเลือกเป็นเลขาธิการใหญ่คนใหม่ของพรรคคอมมิวนิสต์จีน[123]
อย่างไรก็ตาม หลังการประท้วงและการสังหารหมู่ที่จัตุรัสเทียนอันเหมิน 1989 นักปฏิรูปชั้นนำหลายคน รวมถึงจ้าวและเป้าถูกปลดจากตำแหน่ง และการปฏิรูปการเมืองส่วนใหญ่ที่วางแผนไว้ (หลังปี 1986) ก็ยุติลงอย่างรุนแรง[120][124][125] กลุ่มอนุรักษนิยมปีกซ้ายนำโดยเฉิน ยฺหวิน, ประธานาธิบดีหลี่ เซียนเนี่ยนและนายกรัฐมนตรีหลี่ เผิงเข้าควบคุมอำนาจกระทั่งเติ้ง เสี่ยวผิงเดินทางเยือนภาคใต้ในช่วงต้นปี 1992 ในทางกลับกัน นโยบายหลายอย่างอันเนื่องมาจากการปฏิรูปการเมืองที่เติ้งริเริ่มในช่วงต้นทศวรรษ 1980 ยังคงมีผลบังคับใช้หลังปี 1989 (เช่น รัฐธรรมนูญฉบับใหม่ การจำกัดวาระ และประชาธิปไตยรวมศูนย์) แม้บางส่วนจะถูกเลขาธิการใหญ่พรรคคอมมิวนิสต์จีน สี จิ้นผิง ยกเลิกไปหลังปี 2012[126][127][128]
ความวุ่นวายทางการเมือง
[แก้]
ในปี 1983 กลุ่มอนุรักษนิยมปีกซ้ายเริ่มต้น "การรณรงค์ต่อต้านมลพิษทางจิตวิญญาณ"[129]
ในปี 1986 การประท้วงของนักศึกษานำไปสู่การลาออกของหู เยาปัง เลขาธิการใหญ่พรรคคอมมิวนิสต์จีนในขณะนั้นและเป็นผู้นำสายปฏิรูปคนสำคัญ กลุ่มอนุรักษนิยมสายซ้ายยังคงเดินหน้าเปิดฉาก "การรณรงค์ต่อต้านการเปิดเสรีชนชั้นกระฎุมพี"[130] การรณรงค์นี้สิ้นสุดลงในช่วงกลางปี 1987 เนื่องจากจ้าว จื่อหยางชี้แจงให้เติ้ง เสี่ยวผิงเห็นว่ากลุ่มอนุรักษนิยมกำลังใช้ประโยชน์จากการรณรงค์นี้เพื่อต่อต้านโครงการปฏิรูปและเปิดประเทศ[130]
แม้มาตรฐานการครองชีพจะดีขึ้นอย่างมากในช่วงทศวรรษ 1980 แต่การปฏิรูปของเติ้งก็ไม่ได้ปราศจากการวิพากษ์วิจารณ์ กลุ่มหัวรุนแรงยืนยันว่าเติ้งเปิดประเทศจีนอีกครั้งสู่ความชั่วร้ายทางสังคมต่าง ๆ และความคิดวัตถุนิยมที่เพิ่มขึ้นโดยรวม ขณะที่กลุ่มเสรีนิยมโจมตีจุดยืนที่ไม่ผ่อนปรนของเติ้งต่อการปฏิรูปการเมืองที่กว้างขวางขึ้น พลังเสรีนิยมเริ่มรวมตัวกันในรูปแบบต่าง ๆ เพื่อประท้วงต่อต้านการนำที่เผด็จการของพรรค ในปี 1989 การเสียชีวิตของหู เย่าปัง นักเสรีนิยม กระตุ้นให้เกิดการประท้วงที่เกิดขึ้นเองหลายสัปดาห์ในจัตุรัสเทียนอันเหมิน รัฐบาลประกาศกฎอัยการศึกและส่งรถถังและทหารเข้าปราบปรามการประท้วง ประเทศตะวันตกและองค์การพหุภาคีระงับความสัมพันธ์อย่างเป็นทางการกับรัฐบาลจีนภายใต้การนำของนายกรัฐมนตรีหลี่ เผิง ซึ่งรับผิดชอบโดยตรงต่อการประกาศเคอร์ฟิวทางทหารและการปราบปรามที่นองเลือดเป็นการชั่วคราว[131]
การปรับปรุงกองทัพให้ทันสมัย
[แก้]ในช่วงต้นปี 1979 จีนเริ่มทำสงครามกับเวียดนามเป็นเวลาหนึ่งเดือน ยิ่งไปกว่านั้น จีนยังคงให้การสนับสนุนเขมรแดงในสมัยของเติ้ง เสี่ยวผิง ร่วมกับสหรัฐ, ประเทศไทยและอีกหลายประเทศเพื่อต่อต้านอิทธิพลในภูมิภาคของสหภาพโซเวียต[132]
ในเดือนมีนาคม 1991 เติ้ง เสี่ยวผิงวินิจฉัยว่ามีความจำเป็นต้องมีการซ้อมรบสำหรับกองทัพปลดปล่อยประชาชนและในเดือนกันยายน 1981 การซ้อมรบจีนตอนเหนือก็เกิดขึ้น กลายเป็นการซ้อมรบครั้งใหญ่ที่สุดที่ดำเนินการโดยกองทัพปลดปล่อยประชาชนนับตั้งแต่ก่อตั้งสาธารณรัฐประชาชน
ในปี 1985 เพื่อทำให้กองทัพปลดปล่อยประชาชนทันสมัยและเพื่อประหยัดเงิน เติ้งลดกำลังพลทหารลง 1 ล้านนาย (百万大裁军) และมีคำสั่งให้ปรับปรุงกองทัพให้ทันสมัยยิ่งขึ้น[133]
นโยบายต่างประเทศ
[แก้]
วันที่ 1 มกราคม 1979 สาธารณรัฐประชาชนจีนสถาปนาความสัมพันธ์ทางทูตกับสหรัฐอย่างเป็นทางการ[134] ในเดือนมกราคมปีเดียวกันนั้น เติ้ง เสี่ยวผิงเดินทางเยือนสหรัฐ ถือเป็นการเยือนอย่างเป็นทางการครั้งแรกของผู้นำสูงสุดของจีนไปยังสหรัฐ[135] ในปีเดียวกันนั้น คณะกรรมการโอลิมปิกจีนของสาธารณรัฐประชาชนจีนได้รับการยอมรับจากคณะกรรมการโอลิมปิกสากล ภายใต้คำแนะนำของลี กวนยู เติ้ง เสี่ยวผิงเห็นด้วยที่จะเปิดประเทศให้กว้างขึ้นและยุติการส่งออกอุดมการณ์คอมมิวนิสต์และการปฏิวัติไปยังประเทศอื่น ๆ เหมือนที่เหมาเคยทำ และการตัดสินใจเหล่านี้ได้ปรับปรุงความสัมพันธ์ระหว่างจีนกับหลายประเทศอย่างมีนัยสำคัญ โดยเฉพาะกับประเทศในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ [136][137]
ใน 1984 สฺวี ไห่เฟิง นักยิงปืน ได้รับรางวัลเหรียญทองโอลิมปิกเหรียญแรกให้กับประเทศจีนระหว่างการแข่งขันกีฬาโอลิมปิกฤดูร้อน 1984 ในลอสแอนเจลิส ในปีเดียวกันนั้นเอง ปฏิญญาร่วมจีน-อังกฤษ ก็ถูกลงนามโดยจีนและสหราชอาณาจักร โดยระบุว่าอธิปไตยและการบริหารฮ่องกงจะถูกส่งมอบคืนแก่จีนในวันที่ 1 กรกฎาคม 1997 ภายใต้กรอบ "หนึ่งประเทศ สองระบบ" ต่อมาในปี 1987 ปฏิญญาร่วมว่าด้วยประเด็นมาเก๊า ก็ถูกลงนามโดยจีนและโปรตุเกส โดยระบุว่าอธิปไตยและการบริหารมาเก๊าจะถูกส่งมอบคืนแก่จีนในวันที่ 20 ธันวาคม 1999 ซึ่งอยู่ภายใต้กรอบ "หนึ่งประเทศ สองระบบ" เช่นกัน
ในปี 1989 ความสัมพันธ์ระหว่างจีนและสหภาพโซเวียตกลับคืนสู่ภาวะปกติเป็นครั้งแรกนับตั้งแต่ความแตกแยกระหว่างจีน-โซเวียตในช่วงทศวรรษ 1950 มีฮาอิล กอร์บาชอฟ เลขาธิการใหญ่พรรคคอมมิวนิสต์แห่งสหภาพโซเวียตในขณะนั้น เดินทางเยือนปักกิ่งและพบกับเติ้ง เสี่ยวผิงระหว่างการประชุมสุดยอดจีน-โซเวียต ซึ่งเกิดขึ้นท่ามกลางการประท้วงที่จัตุรัสเทียนอันเหมิน[138]
หลังการประท้วงและการสังหารหมู่ที่จัตุรัสเทียนอันเหมิน1989 จีนต้องเผชิญกับการตอบโต้อย่างรุนแรงจากประเทศตะวันตก[139] เติ้งจึงวางแผนกลยุทธ์ทางทูตชุดใหม่สำหรับจีน ซึ่งสรุปได้ว่า "ซ่อนเร้นกำลัง รอคอยเวลา อย่าเป็นผู้นำ"[140][141] ในช่วงทศวรรษ 1980 และต้นทศวรรษ 1990 สาธารณรัฐประชาชนจีนยังคงสถาปนาความสัมพันธ์ทางทูตอย่างเป็นทางการกับหลายประเทศ เช่น สหรัฐอาหรับเอมิเรตส์ (1984), กาตาร์ (1988), ซาอุดีอาระเบีย (1990), สิงคโปร์ (1990), อิสราเอล (1992) และเกาหลีใต้ (1992)[56]
ภัยพิบัติ
[แก้]เฉพาะภัยพิบัติครั้งใหญ่เท่านั้นที่นำเสนอไว้ด้านล่าง (คลิกเพื่อแสดง)
| ปี | ภัยพิบัติ | สถานที่ | ผู้เสียชีวิต | รายละเอียด |
|---|---|---|---|---|
| 1977 | ไข้หวัดใหญ่รัสเซีย | ทั่วโลก | โรคระบาดทั่วเริ่มต้นทางตอนเหนือของจีนและไซบีเรียในช่วงเปลี่ยนผ่าน (1976–78)[142] มีผู้เสียชีวิตทั่วโลกประมาณ 700,000 คน[143] เชื่อกันอย่างกว้างขวางว่าไวรัสรั่วไหลมาจากห้องปฏิบัติการ[144][145] | |
| 1981 | แผ่นดินไหวเต้าฝู | เสฉวน | 150 | มีผู้บาดเจ็บประมาณ 300 คน |
| 1982 | อุบัติเหตุเที่ยวบินที่ 3303 | กว่างซี | 112 | เครื่องบินของซีเอเอซีแอร์ไลน์ตก |
| 1987 | ไฟป่ามังกรดำ | จังหวัดต้าซิงอันหลิ่ง เฮย์หลงเจียง | มากกว่า 200 คน | ไฟยังลุกลามไปยังสหภาพโซเวียต เป็นหนึ่งในไฟป่าครั้งใหญ่ที่สุดในประวัติศาสตร์[146][147] |
| 1988 | อุบัติเหตุเที่ยวบินที่ 4146 | ฉงชิ่ง | 108 | เครื่องบินของไชนาเซาท์เวสต์แอร์ไลน์ตก |
| 1988 | แผ่นดินไหวหลานชาง | ยูนนาน | 748 | นอกจากนี้ มีผู้บาดเจ็บประมาณ 7,700 คน[148] |
ข้อโต้แย้ง
[แก้]หลังสิ้นสุดการปฏิวัติวัฒนธรรม เติ้งเริ่มต้นโครงการ ปัวล่วนฝ่านเจิ้ง เพื่อแก้ไขความผิดพลาดของลัทธิเหมา แต่ก็มีนโยบายและมุมมองบางอย่างของเขาที่ก่อให้เกิดข้อโต้แย้ง เติ้งยังคงยืนกรานชื่นชมเหมาว่าได้ทำความ "ดีเจ็ดส่วน ชั่วสามส่วน" ให้กับประชาชนจีน ขณะที่โยนความรับผิดชอบต่อภัยพิบัติมากมายในการปฏิวัติวัฒนธรรมให้กับหลิน เปียวและแก๊งสี่คน[149] นอกจากนี้ เพื่อธำรงไว้ซึ่งรัฐพรรคเดียวในประเทศจีนของพรรคคอมมิวนิสต์จีน เติ้งเสนอ "สี่หลักการสำคัญ" ในการประชุมทฤษฎีของพรรคคอมมิวนิสต์ในเดือนมีนาคม 1979 ซึ่งในไม่ช้าหลักการเหล่านี้กลายเป็นข้อจำกัดของการเปิดเสรีทางการเมืองในจีนแผ่นดินใหญ่และถูกบรรจุไว้ในรัฐธรรมนูญของจีน (1982)[150]
ยิ่งไปกว่านั้น บทบาทที่เติ้งมีต่อการประท้วงและการสังหารหมู่ที่จัตุรัสเทียนอันเหมิน 1989 ค่อนข้างเป็นที่ถกเถียง[151][152] อันที่จริง เขายังปราบปรามขบวนการกำแพงประชาธิปไตยตลอดจนปักกิ่งสปริงในช่วงต้นทศวรรษ 1980[153] ยังมีการรณรงค์ทางการเมือง เช่น การรณรงค์ต่อต้านมลพิษทางจิตวิญญาณในปี 1983 และการรณรงค์ต่อต้านการเปิดเสรีชนชั้นกระฎุมพีในปี 1986-1987 ซึ่งส่งผลให้เจ้าหน้าที่และปัญญาชนหัวเสรีหลายคนรวมถึงหู เย่าปังถูกกวาดล้างหรือลงโทษ[129][130]
เพื่อรับมือกับวิกฤตประชากรหลังสมัยเหมา เติ้ง เสี่ยวผิง พร้อมด้วยเจ้าหน้าที่อาวุโสคนอื่น ๆ เช่น เฉิน ยฺหวินและหลี่ เซียนเนี่ยน สนับสนุนการนำ "นโยบายลูกคนเดียว" มาใช้[154] มาตรการรุนแรงบางอย่างในการปฏิบัติจริงก่อให้เกิดข้อถกเถียงมากมาย เช่น การละเมิดสิทธิมนุษยชน[155]
เจียง เจ๋อหมินและรุ่นที่สาม (ค.ศ. 1989–2002)
[แก้]การเปลี่ยนผ่านอำนาจและการเยือนภาคใต้ของเติ้ง
[แก้]หลังการประท้วงและการสังหารหมู่ที่จัตุรัสเทียนอันเหมิน 1989 เติ้ง เสี่ยวผิงถอนตัวจากสายตาสาธารณะและเกษียณตัวเองอย่างสมบูรณ์ อำนาจถูกส่งผ่านไปยังผู้นำรุ่นที่สามนำโดยเจียง เจ๋อหมิน ผู้ซึ่งได้รับการยกย่องว่าเป็น "แกนหลัก" อย่างไรก็ตาม เนื่องจากการสังหารหมู่ที่เทียนอันเหมิน การปฏิรูปและเปิดประเทศจึงหยุดชะงักในช่วงต้นทศวรรษ 1990 และเจียง ซึ่งได้รับการสนับสนุนจากกลุ่มอนุรักษนิยมปีกซ้าย ไม่ได้ดำเนินการปฏิรูปอย่างเพียงพอ
ในฤดูใบไม้ผลิ 1992 เติ้งออกเดินทางเยือนภาคใต้ของจีนซึ่งเป็นที่รู้จักกันดี การเยือนครั้งนี้ถือเป็นจุดสำคัญในประวัติศาสตร์จีนสมัยใหม่เนื่องจากเป็นการกอบกู้การปฏิรูปเศรษฐกิจของจีนตลอดจนตลาดทุน (ตลาดหลักทรัพย์เซี่ยงไฮ้และตลาดหลักทรัพย์เชินเจิ้น) และรักษาเสถียรภาพของสังคมไว้ได้ ท้ายที่สุดเจียงก็เข้าข้างเติ้งและสนับสนุนโครงการปฏิรูปและเปิดประเทศต่อสาธารณะ หลี่ เผิง ผู้สนับสนุนอนุรักษนิยม ดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรีของจีนจนถึงปี 1998 เมื่อจู หรงจี ผู้สนับสนุนการปฏิรูป ได้รับตำแหน่งนายกรัฐมนตรีคนใหม่[156]
กิจการภายในประเทศ
[แก้]
เศรษฐกิจเติบโตในอัตราสูงอย่างต่อเนื่องในช่วงกลางทศวรรษ 1990 การปฏิรูปเศรษฐกิจมหภาคของเจียง เจ๋อหมินสานต่อวิสัยทัศน์ของเติ้งเรื่อง "สังคมนิยมอัตลักษณ์จีน" เจียงเน้นหนักไปที่ความก้าวหน้าทางวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีในด้านต่าง ๆ เช่น การสำรวจอวกาศ ขณะเดียวกัน ช่วงเวลาของเจียงก็พบว่าการทุจริตทางสังคมเพิ่มสูงขึ้นอย่างต่อเนื่องในทุกด้านของชีวิต การว่างงานพุ่งสูงขึ้นเนื่องจากรัฐวิสาหกิจ (SOE) ที่ไม่ทำกำไรถูกปิดตัวลงเพื่อเปิดทางให้กับการลงทุนที่มีการแข่งขันสูงขึ้นทั้งภายในและต่างประเทศ ระบบสวัสดิการสังคมที่ขาดแคลนได้รับการทดสอบอย่างหนัก[157] ในปี 2000 เจียงเสนอแนวคิด "สามตัวแทน" ของเขา ซึ่งได้รับการรับรองโดยพรรคคอมมิวนิสต์จีนในการประชุมสภาพรรคครั้งที่สิบหกในปี 2002
ขณะเดียวกัน นโยบายเศรษฐกิจของนายกรัฐมนตรีจู หรงจีทำให้เศรษฐกิจของจีนแข็งแกร่งในช่วงวิกฤตการณ์การเงินในเอเชีย 1997 อัตราการเติบโตทางเศรษฐกิจเฉลี่ยอยู่ที่ 8% ต่อปี ถูกชะลอลงเล็กน้อยจากเหตุอุทกภัยแม่น้ำแยงซี 1998 มาตรฐานการครองชีพดีขึ้นอย่างมีนัยสำคัญ แม้จะเกิดช่องว่างความมั่งคั่งระหว่างเมืองและชนบทที่กว้างขึ้นเนื่องจากการกลับมาของชนชั้นกลางในจีน ความเหลื่อมล้ำทางความมั่งคั่งระหว่างภูมิภาคชายฝั่งตะวันออกกับพื้นที่ห่างไกลทางตะวันตกยังคงขยายวงกว้างขึ้นทุกวัน ทำให้เกิดโครงการของรัฐบาลเพื่อ "พัฒนาภาคตะวันตก" โดยดำเนินโครงการทะเยอทะยาน เช่น ทางรถไฟสายชิงไห่–ทิเบต อย่างไรก็ตาม การทุจริตที่ระบาดหนักยังคงดำเนินต่อไป แม้จะมีโครงการรณรงค์ต่อต้านการทุจริตของนายกรัฐมนตรีจูที่สั่งประหารชีวิตเจ้าหน้าที่จำนวนมากก็ตาม คาดการณ์ว่าการทุจริตเพียงอย่างเดียวมีมูลค่าเทียบเท่ากับ 10 ถึง 20% ของ GDP ของจีน[158]
เพื่อรองรับการใช้ไฟฟ้าที่เพิ่มขึ้น จึงมีการสร้างเขื่อนสามผาขึ้น ดึงดูดทั้งผู้สนับสนุนและเสียงวิพากษ์วิจารณ์อย่างกว้างขวาง มลพิษทางสิ่งแวดล้อมกลายเป็นปัญหาร้ายแรงมาก เนื่องจากปักกิ่งมักถูกพายุทรายพัดถล่มอันเป็นผลมาจากการกลายเป็นทะเลทราย[159]
ในปี 1990 มีการเปิดตัวโครงการ 211 และโครงการ 985 สำหรับอุดมศึกษาในประเทศจีน
ความสัมพันธ์ต่างประเทศ
[แก้]
ในเดือนพฤศจิกายน 1991 จีนเข้าร่วมความร่วมมือทางเศรษฐกิจเอเชีย-แปซิฟิก (APEC) ทศวรรษ 1990 เป็นช่วงเวลาของการส่งมอบฮ่องกงและมาเก๊าคืนแก่จีนอย่างสันติโดยสหราชอาณาจักรและโปรตุเกสตามลำดับ[161] ฮ่องกงและมาเก๊าส่วนใหญ่ยังคงมีการปกครองตนเอง โดยคงความเป็นอิสระในระบบเศรษฐกิจ สังคม และตุลาการของตนเองจนกระทั่งปี 2019 เมื่อปักกิ่งพยายามขยายอำนาจของรัฐบาลกลาง ท่ามกลางการประท้วงขนาดใหญ่ในฮ่องกง[162][163]
เจียง เจ๋อหมินและบิล คลินตันแลกเปลี่ยนการเยือนรัฐต่อกัน แต่ความสัมพันธ์จีน–อเมริกากลับเลวร้ายลงอย่างมากในช่วงปลายทศวรรษ โดยเฉพาะหลังวิกฤตการณ์ช่องแคบไต้หวันครั้งที่สาม วันที่ 7 พฤษภาคม 1999 ระหว่างสงครามคอซอวอ เครื่องบินของสหรัฐทิ้งระเบิดใส่สถานทูตจีนในเบลเกรด รัฐบาลสหรัฐอ้างว่าการโจมตีดังกล่าวเกิดจากข่าวกรองและการระบุเป้าหมายผิดพลาด[164] ภายในสหรัฐ รายงานคอกซ์ระบุว่าจีนได้ขโมยความลับทางทหารระดับสูงต่าง ๆ ของสหรัฐ[165] ในปี 2001 เครื่องบินสอดแนมของสหรัฐชนกับเครื่องบินขับไล่ของจีนเหนือน่านน้ำสากลใกล้ไหหลำ ทำให้สาธารณชนจีนที่ไม่พอใจอย่างมากอยู่แล้วกับสหรัฐยิ่งโกรธแค้นมากขึ้นไปอีก[166]
หลังผ่านการเจรจามานานนับทศวรรษ จีนก็ได้รับการตอบรับให้เข้าร่วมองค์การการค้าโลกในที่สุดในปี 2001 ปีเดียวกับการก่อตั้งองค์การความร่วมมือเซี่ยงไฮ้[167] ในเดือนสิงหาคม 2002 ด้วยความพยายามของนักคณิตศาสตร์ผู้มีชื่อเสียงอย่างเฉิน สิ่งเชิน การประชุมนักคณิตศาสตร์นานาชาติซึ่งจัดขึ้นทุกสี่ปีถูกจัดขึ้นในปักกิ่งเป็นครั้งแรกในประเทศกำลังพัฒนา โดยมีเฉินเป็นประธานกิตติมศักดิ์ของการประชุมและอู๋ เหวินจฺวิ้นเป็นประธาน[168]
ภัยพิบัติ
[แก้]เฉพาะภัยพิบัติครั้งใหญ่เท่านั้นที่นำเสนอไว้ด้านล่าง (คลิกเพื่อแสดง)
| ปี | ภัยพิบัติ | สถานที่ | ผู้เสียชีวิต | รายละเอียด |
|---|---|---|---|---|
| 1990 | เหตุเครื่องบินชนกันที่สนามบินกว่างโจวไป๋-ยฺหวิน | กวางตุ้ง | 128 | การจี้เครื่องบินนำไปสู่การชนกันบนรันเวย์ |
| 1992 | อุทกภัยภาคตะวัน | ภาคตะวันออก | อย่างน้อย 431 | มีผู้เสียชีวิตอย่างน้อย 267 รายในอานฮุยและ 164 รายในเจียงซู[169] บางแหล่งข้อมูลอ้างว่ามีผู้เสียชีวิตมากกว่า 1,000 ราย[170][171] |
| 1992 | อุบัติเหตุเที่ยวบินที่ 7552 | เจียงซู | 106–109 | เครื่องบินของไชนาเจเนรัลเอวิเอชันตก |
| 1992 | อุบัติเหตุเที่ยวบินที่ 3943 | กว่างซี | 141 | เครื่องบินของไชนาเซาเทิร์นแอร์ไลน์ตก |
| 1994 | อุบัติเหตุเที่ยวบินที่ 2303 | ฉ่านซี | 160 | เครื่องบินของไชนานอร์ทเวสต์แอร์ไลน์ตก |
| 1994 | พายุหมุนเขตร้อนเฟรด | เจ้อเจียง | 1,426[172] | รู้จักในชื่อไต้ฝุ่น 9417 ในจีน[172] |
| 1994 | ไฟไหม้คาราไม | ซินเจียง | 325 | ข้อถกเถียงสำคัญคือนักเรียนได้รับคำสั่งให้นั่งอยู่กับที่เพื่อให้เจ้าหน้าที่รัฐบาลหนีไฟไปก่อน[173] เด็กนักเรียนเสียชีวิต 288 คน |
| 1996 | แผ่นดินไหวลี่เจียง | ยูนนาน | 309 | ขนาด 6.6 Mw. |
| 1996 | พายุหมุนเขตร้อนเฮิร์บ | ฝูเจี้ยน | 779[172] | รู้จักในชื่อไต้ฝุ่น 9608 ในจีน[172] |
| 1997 | วิกฤตการณ์การเงินเอเชีย | ทวีปเอเชีย | ส่งผลกระทบต่อเศรษฐกิจจีนในระดับหนึ่ง | |
| 1998 | อุทกภัยแม่น้ำแยงซี | แม่น้ำแยงซีและแม่น้ำอื่น ๆ | 3,000–4,150 | เหตุการณ์นี้ถือเป็นอุทกภัยทางตอนเหนือของจีนครั้งเลวร้ายที่สุดในรอบ 40 ปี[174][175] |
| 2001 | เหตุระเบิดฉือเจียจวง | เหอเป่ย์ | 108 | |
| 2002 | อุบัติเหตุเที่ยวบินที่ 6136 | เหลียวหนิง | 112 | เครื่องบินของไชนานอร์เทิร์นแอร์ไลน์ตก |
ข้อโต้แย้ง
[แก้]ในการประชุมวาระการเมือง จีนตกเป็นเป้าสายตาอีกครั้งจากการสั่งห้ามกิจกรรมในที่สาธารณะของฝ่าหลุนกงในปี 1999 ผู้ประท้วงอย่างสงบจากขบวนการทางจิตวิญญาณนั่งอยู่ด้านนอกจงหนานไห่ เพื่อขอเจรจากับผู้นำจีน เจียงมองว่านี่เป็นภัยคุกคามต่อสถานการณ์การเมืองและประกาศให้กลุ่มนี้เป็นสิ่งผิดกฎหมายโดยสิ้นเชิง พร้อมทั้งใช้โฆษณาชวนเชื่อจากสื่อมวลชน[176] ประณามว่าเป็น "ลัทธิชั่วร้าย"[177]
เจียง เจ๋อหมิน หลังเกษียณอย่างเป็นทางการจากการเป็นผู้นำสูงสุดของจีนในปี 2004 เชื่อกันว่ายังเคลื่อนไหวอยู่เบื้องหลังและควบคุมประเทศอยู่แม้กระทั่งหลังเขาลงจากตำแหน่งประธานคณะกรรมาธิการการทหารกลางล่าช้าในปี 2005[178][179][180] ฝ่ายเจียง รวมถึงโจว หย่งคัง, กัว ปั๋วสฺยงและสฺวี ไฉโฮ่ว ยังคงส่งผลกระทบต่อจีนอย่างมีนัยสำคัญหลังหู จิ่นเทาขึ้นเป็นผู้นำสูงสุดของจีนต่อจากเขา[179][180]
หู จิ่นเทา และรุ่นที่สี่ (ค.ศ. 2002–2012)
[แก้]การเปลี่ยนผ่านอำนาจ
[แก้]
หู จิ่นเทารับตำแหน่งเลขาธิการใหญ่พรรคคอมมิวนิสต์จีนในเดือนพฤศจิกายน 2002[181] ในเดือนมีนาคม 200 หู จิ่นเทาขึ้นเป็นประธานาธิบดีคนที่ 6 ของสาธารณรัฐประชาชนจีน โดยมีเวิน เจียเป่าเป็นนายกรัฐมนตรีจีน ในเดือนกันยายน 2004 หู จิ่นเทาเป็นประธานคณะกรรมาธิการการทหารกลาง
กิจการภายในประเทศ
[แก้]เศรษฐกิจยังคงเติบโตด้วยตัวเลขสองหลักเนื่องจากการพัฒนาพื้นที่ชนบทกลายเป็นจุดสนใจหลักของนโยบายรัฐบาล ในปี 2010 จีนแซงหน้าญี่ปุ่นขึ้นเป็นประเทศที่มีเศรษฐกิจใหญ่เป็นอันดับสองของโลก[182][183] การยืนยันทัศนะวิทยาศาสตร์เพื่อสร้างสังคมนิยมกลมกลืนเป็นจุดเน้นหู จิ่นเทา – เวิน เจียเป่า เนื่องจากความบกพร่องบางประการในสมัยเจียง เจ๋อหมินได้รับการแก้ไขอย่างช้า ๆ ในปลายปี 2002 โครงการผันน้ำใต้สู่เหนือก็เริ่มก่อสร้างขึ้น
ในการรวมอำนาจอย่างค่อยเป็นค่อยไป หู จิ่นเทาปลดเฉิน เหลียงยฺหวี่ เลขาธิการพรรคเซี่ยงไฮ้และคู่แข่งทางการเมืองคนอื่น ๆ ท่ามกลางการต่อสู้กับการทุจริต และการต่อสู้ที่กำลังดำเนินอยู่กับกลุ่มเซี่ยงไฮ้ที่เคยทรงอำนาจ โดยเฉพาะในปี 2012 อุบัติการณ์หวัง ลี่จฺวินและเรื่องอื้อฉาวของปั๋ว ซีไหลได้รับความสนใจและการรายงานข่าวจากสื่ออย่างกว้างขวาง[184][185]

การเติบโตทางเศรษฐกิจอย่างต่อเนื่องของประเทศ รวมถึงสถานะด้านพลังงานทางกีฬาที่ได้รับมาทำให้จีนได้รับสิทธิ์เป็นเจ้าภาพจัดการแข่งขันกีฬาโอลิมปิกฤดูร้อน 2008 อย่างไรก็ตาม สิ่งนี้ก็ทำให้คณะบริหารของหู จิ่นเทาตกอยู่ภายใต้ความสนใจอย่างมาก ขณะที่โอลิมปิก 2008 โดยทั่วไปถูกมองว่าเป็นงานเปิดตัวของสาธารณรัฐประชาชนจีน แต่จากเหตุประท้วงในทิเบตในเดือนมีนาคม 2008 รัฐบาลก็ได้รับการตรวจสอบอย่างหนัก คบเพลิงโอลิมปิกถูกประท้วงตลอดเส้นทาง ภายในประเทศ ปฏิกิริยาเหล่านี้ถูกตอบโต้ด้วยกระแสชาตินิยมรุนแรงพร้อมกับข้อกล่าวหาว่าตะวันตกมีอคติต่อจีน[ต้องการอ้างอิง]
การเติบโตทางเศรษฐกิจอย่างต่อเนื่องของจีนในช่วงวิกฤตการณ์การเงิน 2008 ซึ่งเริ่มต้นในสหรัฐและทำให้เศรษฐกิจโลกอ่อนแอลงช่วยเพิ่มความมั่นใจให้กับจีนในรูปแบบการพัฒนาของตนเองและทำให้ชนชั้นนำเชื่อมั่นว่าสมดุลอำนาจโลกกำลังเปลี่ยนแปลงไป[186] ในมุมมองของจีน สาเหตุของวิกฤตการณ์คือ "นโยบายเศรษฐกิจมหภาคที่ไม่เหมาะสม" และ "รูปแบบการพัฒนาที่ไม่ยั่งยืน" ของประเทศตะวันตก[187] ขณะที่ประเทศตะวันตกใกล้จะประสบกับหายนะทางการเงิน จีนสร้างสินเชื่อเพื่อใช้จ่ายในการลงทุนโครงสร้างพื้นฐาน[188] ซึ่งไม่เพียงแต่ช่วยให้เศรษฐกิจโลกมีเสถียรภาพ แต่ยังเป็นโอกาสให้จีนปรับปรุงโครงสร้างพื้นฐานของตนเองด้วย[188] จีนยกระดับสถานะของตนในฐานะผู้มีบทบาทระดับโลกที่มีความรับผิดชอบในช่วงวิกฤตการณ์นี้[188]
ณ เวลานั้น ความก้าวหน้าและความสำเร็จทางวิทยาศาสตร์จำนวนมากเกิดขึ้นระหว่างปี 2002 ถึง 2012 หลายโครงการมีต้นกำเนิดมาจากโครงการ 863 ในปี 2003 จีนประสบความสำเร็จในการส่งนักบินอวกาศ หยาง ลี่เหว่ย์ ขึ้นสู่อวกาศด้วยยานเฉินโจว 5 ทำให้กลายเป็นประเทศที่สามของโลกที่ทำได้สำเร็จด้วยตัวเองต่อจากสหรัฐและสหภาพโซเวียต[189] ในปี 2010 เจียวหลง ยานดำน้ำวิจัยใต้ทะเลลึกแบบมีคนขับของจีนถูกนำมาใช้งาน ในปี 2011–2012 เป๋ย์โต่ว-2 ระบบนำทางด้วยดาวเทียมของจีน เริ่มดำเนินการ ในปี 2011 เทียนกง-1 สถานีอวกาศต้นแบบแห่งแรกของจีน ถูกปล่อยขึ้นสู่อวกาศสำเร็จ[190] ในเดือนมีนาคม 2012 ผลการทดลองเครื่องปฏิกรณ์นิวตริโนต้าหยาวานในเชินเจิ้นได้รับความสนใจจากนานาชาติ[191] ในเดือนตุลาคม 2012 มั่วเหยียน กลายเป็นพลเมืองจีนคนแรก (จากแผ่นดินใหญ่) ที่ได้รับรางวัลโนเบลสาขาวรรณกรรม[192]
ความสัมพันธ์ต่างประเทศ
[แก้]บทบาทของจีนในสงครามต่อต้านการก่อการร้ายดึงให้ประเทศจีนมีความใกล้ชิดทางทูตกับสหรัฐมากขึ้น ในปี 2010 การแข่งขันเอเชียนเกมส์ถูกจัดขึ้นในกว่างโจว และในปี 2011 การแข่งขันกีฬามหาวิทยาลัยโลกภาคฤดูร้อนถูกจัดขึ้นในเชินเจิ้น ในปี 2010 งานอีเวนต์ระหว่างประเทศอีกงานหนึ่งถูกจัดขึ้นในประเทศจีน — เซี่ยงไฮ้จัดงานนิทรรศการโลกเป็นครั้งแรก
สถานะทางการเมืองและอนาคตของไต้หวันยังคงไม่แน่นอน แต่ได้มีการดำเนินการเพื่อปรับปรุงความสัมพันธ์ระหว่างพรรคคอมมิวนิสต์และพรรคการเมืองหลายพรรคของไต้หวันที่มีมุมมองเป็นปฏิปักษ์ต่อจีนน้อยกว่า โดยเฉพาะพรรคคู่แข่งเก่าอย่างก๊กมินตั๋ง
นักวิจารณ์ของหูกล่าวว่ารัฐบาลของเขาก้าวร้าวเกินไปในการยืนยันอำนาจใหม่ของตน ประเมินขีดความสามารถของตนสูงเกินไป และสร้างความไม่พอใจและความกังวลให้กับประเทศเพื่อนบ้านต่าง ๆ รวมถึงประเทศในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ อินเดีย และญี่ปุ่น นโยบายดังกล่าวถูกกล่าวหาว่ายั่วยุต่อสหรัฐด้วยเช่นกัน[193]
ภัยพิบัติ
[แก้]เฉพาะภัยพิบัติครั้งใหญ่เท่านั้นที่นำเสนอไว้ด้านล่าง (คลิกเพื่อแสดง)
| เวลา | ภัยพิบัติ | สถานที่ | ผู้เสียชีวิต | รายละเอียด |
|---|---|---|---|---|
| 2003 | การระบาดของโรคซาร์ส | ทั่วโลก | 349 (จีนแผ่นดินใหญ่) | โรคซาร์สคร่าชีวิตผู้คนทั่วโลก 774 คน โดย 349 คนอยู่ในจีนแผ่นดินใหญ่และ 299 คนอยู่ในฮ่องกง[194][195] |
| 2005 | ภัยพิบัติเหมืองซุนเจียวาน | เหลียวหนิง | 214 | |
| 2005 | อุทกภัยเมืองชาหลาน | เฮย์หลงเจียง | 117 | นักเรียน 105 คนเสียชีวิต |
| 2008 | วิกฤตการณ์การเงิน 2008 | ทั่วโลก | ส่งผลกระทบต่อเศรษฐกิจจีนในระดับหนึ่ง | |
| 2008 | พายุฤดูหนาว | ภาคใต้และภาคกลางของจีน | อย่างน้อย 129 | |
| 2008 | เหตุรถไฟชนกันที่จือปั๋ว | ชานตง | 72 | มีผู้บาดเจ็บ 416 คน |
| 2008 | แผ่นดินไหวเสฉวน | เสฉวน | 69,227 | ขนาด 8.0 Ms[196] |
| 2008 | อุทกภัยภาคใต้ | ภาคใต้ของจีน | มากกว่า 200 | น้ำท่วมรุนแรงในมณฑลอานฮุย, หูหนาน, เจียงซี, ฝูเจี้ยนและกวางตุ้ง มีผู้เสียชีวิตหลายสิบรายและผู้คนกว่าล้านคนถูกบังคับให้อพยพ |
| 2008 | โคลนถล่มชานซี | ชานซี | 277 | สูญหาย 4 คน |
| 2009 | เหมืองระเบิดเฮย์หลงเจียง | เฮย์หลงเจียง | 108 | |
| 2010 | แผ่นดินไหวยฺวี่ชู่ | ชิงไห่ | 2,698 | สูญหาย 270 คน |
| 2010 | อุทกภัยจีน | ทั่วโลก | 3,185 | สูญหาย 1060 คน[197] |
| 2010 | โคลนถล่มกานซู่ | กานซู่ | 1,557 | |
| 2012 | อุทกภัยปักกิ่ง | ปักกิ่ง | 79 |
ข้อโต้แย้ง
[แก้]ในช่วงหลายปีหลังหู จิ่นเทาขึ้นสู่อำนาจ การเคารพสิทธิมนุษยชนขั้นพื้นฐานในจีนยังคงเป็นข้อกังวล หลิว เสี่ยวปัว ผู้ได้รับรางวัลโนเบลสาขาสันติภาพและนักเคลื่อนไหวเพื่อสิทธิมนุษยชน ถูกจับกุมและตัดสินจำคุก 11 ปีในปี 2010[198][199] หลิว เสี่ยวปัส พร้อมด้วยคนอื่น ๆ ร่วมกันเขียนกฎบัตร 08 และได้รับรางวัลโนเบลสาขาสันติภาพในปี 2010[198][199] หลิว เสี่ยวปัวเสียชีวิตในปี 2017
ในช่วงสมัยของหู จิ่นเทา พรรคคอมมิวนิสต์จีนและรัฐบาลจีนก่อตั้ง "พรรค 50 เซนต์" โดยมีจุดประสงค์เพื่อ "ชี้นำ" ความเห็นของสาธารณชนบนโลกออนไลน์ให้เป็นไปในทิศทางสนับสนุนพรรคคอมมิวนิสต์และรัฐบาลจีน[200][201]
สี จิ้นผิงและรุ่นที่ห้า (ค.ศ. 2012–ปัจจุบัน)
[แก้]การเปลี่ยนผ่านอำนาจ
[แก้]
สี จิ้นผิงขึ้นดำรงตำแหน่งเลขาธิการใหญ่พรรคคอมมิวนิสต์จีนและประธานคณะกรรมาธิการการทหารกลาง สองตำแหน่งที่ทรงอำนาจที่สุดในวันที่ 15 พฤศจิกายน 2012[202] และในวันที่ 14 มีนาคม 2013 เขาก็ขึ้นเป็นประธานาธิบดีคนที่ 7 ของจีน[203] ส่วนหลี่ เค่อเฉียงขึ้นเป็นนายกรัฐมนตรีจีนในเดือนมีนาคม 2013
ในเดือนตุลาคม 2022 สี จิ้นผิงได้รับเลือกอีกครั้งให้ดำรงตำแหน่งเลขาธิการใหญ่พรรคคอมมิวนิสต์จีนเป็นสมัยที่สาม ถือเป็นการสร้างธรรมเนียมใหม่สำหรับผู้นำสูงสุดหลังอสัญกรรมของเหมา เจ๋อตง[204] ต่อมาในเดือนมีนาคม 2023 สียังคงดำรงตำแหน่งประธานาธิบดีจีนต่อเป็นสมัยที่สามเช่นกัน ขณะที่หลี่ เฉียงได้รับตำแหน่งนายกรัฐมนตรีจีนคนใหม่แทนที่หลี่ เค่อเฉียง
กิจการภายในประเทศ
[แก้]การรณรงค์ต่อต้านการทุจริตขนาดใหญ่และดำเนินมาอย่างยาวนานถูกดำเนินการภายใต้การนำของสี จิ้นผิงมาตั้งแต่ปี 2012 ส่วนใหญ่พุ่งเป้าไปที่คู่แข่งทางการเมืองของสี จิ้นผิง เช่น สมาชิกของฝ่ายเจียงรวมถึงผู้นำอาวุโสของพรรคอย่างโจว หย่งคัง, กัว ปั๋วสฺยงและสฺวี ไฉโฮ่ว[205][206]
ในเดือนมีนาคม 2018 สภาประชาชนแห่งชาติซึ่งอยู่ภายใต้การควบคุมของพรรคผ่านชุดการแก้ไขรัฐธรรมนูญรวมถึงการยกเลิกการจำกัดวาระของประธานาธิบดีและรองประธานาธิบดี การจัดตั้งคณะกรรมการกำกับดูแลแห่งชาติ ตลอดจนการเสริมสร้างบทบาทศูนย์กลางของพรรคคอมมิวนิสต์[207][208] วันที่ 17 มีนาคม 2018 สภานิติบัญญัติของจีนแต่งตั้งสี จิ้นผิงให้ดำรงตำแหน่งประธานาธิบดีอีกครั้ง โดยไม่มีการจำกัดวาระ[209][210] จากข้อมูลของ ไฟแนนเชียลไทมส์ สี จิ้นผิงแสดงความเห็นเกี่ยวกับการแก้ไขรัฐธรรมนูญในการประชุมกับเจ้าหน้าที่จีนและบุคคลสำคัญจากต่างประเทศ สี จิ้นผิงอธิบายการตัดสินใจนี้โดยอ้างถึงความจำเป็นในการจัดตำแหน่งสองตำแหน่งที่มีอำนาจมากกว่า – เลขาธิการใหญ่พรรคคอมมิวนิสต์จีนและประธานคณะกรรมาธิการการทหารกลาง – ซึ่งไม่มีการจำกัดวาระ อย่างไรก็ตาม สี จิ้นผิงไม่ได้กล่าวว่าเขาตั้งใจจะดำรงตำแหน่งเลขาธิการใหญ่พรรค ประธานคณะกรรมาธิการทหารและประธานาธิบดีแห่งรัฐ เป็นเวลาสามวาระหรือมากกว่าหรือไม่[211]
ในอีกด้านหนึ่ง ความก้าวหน้าทางวิทยาศาสตร์หลายอย่างได้เกิดขึ้น ในปี 2013 ยานสำรวจ ยฺวี่ทู่ ถูกส่งขึ้นไปประจำการบนดวงจันทร์ได้สำเร็จหลังยานลงจอดฉางเอ๋อ 3 ลงจอดบนดวงจันทร์[212] ในปี 2015 ถู โยวโยวกลายเป็นพลเมืองจีนคนแรก (จากแผ่นดินใหญ่) ที่ได้รับรางวัลโนเบลสาขาสรีรวิทยาหรือการแพทย์[213] ในเดือนธันวาคม 2015 เครื่องสำรวจอนุภาคสสารมืด หอดูดาวแห่งแรกของจีน ได้รับการส่งขึ้นไปโคจรได้สำเร็จ ห้องปฏิบัติการอวกาศเทียนกง-2 ถูกส่งขึ้นไปได้สำเร็จในปี 2016 และในปีเดียวกันนั้นเอง กล้องโทรทรรศน์วิทยุฟาสต์ (Five-hundred-meter Aperture Spherical Telescope - FAST) ก็ถูกสร้างขึ้นในกุ้ยโจว ในปี 2018 สะพานฮ่องกง–จูไห่–มาเก๊า สะพานข้ามทะเลที่ยาวที่สุดในโลก ได้เปิดใช้งานแก่สาธารณะ[214]
ความสัมพันธ์ต่างประเทศ
[แก้]ขณะที่สี จิ้นผิงยังคงรวบรวมอำนาจภายในประเทศ เขาก็ค่อย ๆ ทอดทิ้งหลักการทางทูต ("ซ่อนเร้นกำลัง รอคอยเวลา อย่าเป็นผู้นำ") ที่เติ้ง เสี่ยวผิงวางไว้และดูเหมือนจะปรากฏตัวในเวทีโลกในฐานะ "ผู้แข็งกร้าว" มากขึ้น[140][141][215][216] เขายังเปิดตัว "ข้อริเริ่มเข็มขัดและเส้นทาง" เพื่อลงทุนด้านโครงสร้างพื้นฐานในหลายสิบประเทศ ซึ่งได้รับความสนใจอย่างกว้างขวาง (ทั้งการตอบรับและคำวิจารณ์) จากทั่วโลก[217][218]
นับตั้งแต่สี จิ้นผิงก้าวขึ้นเป็นผู้นำของจีน เขาก็พยายามเปลี่ยน "การไม่แสดงออก" ของจีนให้เป็นกลยุทธ์แข็งกร้าวเพื่อปกป้องการอ้างสิทธิ์ของจีนเหนือข้อพิพาทชายแดนและดินแดน เช่นในทะเลจีนใต้และในไต้หวัน[219][220] ในปี 2018 สงครามการค้าจีน–สหรัฐเริ่มต้นขึ้นและส่งผลกระทบอย่างมีนัยสำคัญต่อเศรษฐกิจโลก[221][222] ในเดือนพฤษภาคม 2020 การต่อสู้อย่างประปรายจีน–อินเดียได้เกิดขึ้นและส่งผลให้มีผู้เสียชีวิต[223]
ในทางกลับกัน หลังสี จิ้นผิงขึ้นสู่อำนาจ การประชุมสุดยอดระหว่างประเทศจำนวนหนึ่งถูกจัดขึ้นในประเทศจีน ในปี 2014 การประชุมประจำปีครั้งที่ 22 ของผู้นำความร่วมมือทางเศรษฐกิจเอเชีย-แปซิฟิก (APEC) ถูกจัดขึ้นในปักกิ่ง; ในปี 2016 การประชุมสุดยอด G20 ถูกจัดขึ้นในหางโจว; และในปี 2017 การประชุมสุดยอดบริกส์ครั้งที่ 9 ถูกจัดขึ้นในเซี่ยเหมิน นอกจากนี้ ในปี 2015 การประชุมหม่า–สีในสิงคโปร์เป็นการประชุมครั้งแรกระหว่างผู้นำทางการเมืองของทั้งสองฝั่งช่องแคบไต้หวันนับตั้งแต่สิ้นสุดสงครามกลางเมืองจีนในปี 1950
จีนปฏิเสธจะประณามการรุกรานยูเครนของรัสเซีย ย้ำการเล่าเรื่องของรัสเซียเกี่ยวกับสงคราม คัดค้านมาตรการคว่ำบาตรทางเศรษฐกิจต่อรัสเซีย และงดออกเสียงหรือเข้าข้างรัสเซียในการลงคะแนนเสียงของสหประชาชาติว่าด้วยเรื่องสงครามในยูเครน[224][225]
ภัยพิบัติ
[แก้]เฉพาะภัยพิบัติครั้งใหญ่เท่านั้นที่นำเสนอไว้ด้านล่าง (คลิกเพื่อแสดง)
| ปี | ภัยพิบัติ | สถานที่ | ผู้เสียชีวิต | รายละเอียด |
|---|---|---|---|---|
| 2013 | แผ่นดินไหวหลูชาน | เสฉวน | มากกว่า 200 | ขนาด 7.0 Ms[196] |
| 2014 | เหตุระเบิดคุนชาน | เจียงซู | 146 | บาดเจ็บ 114 คน |
| 2014 | แผ่นดินไหวหลู่เตี้ยน | ยูนนาน | อย่างน้อย 617 | ขนาด 6.5 ML. |
| 2015 | เหตุเรือตงฟางจือซิงล่ม | หูเป่ย์ | อย่างน้อย 442 | เมื่อ 1 มิถุนายน 2015 เรือสำราญแม่น้ำชื่อ "ตงฟางจือซิง" พร้อมมีผู้โดยสาร 454 คนพลิกคว่ำในเจี้ยนลี่ หูเป่ย์ |
| 2015 | เหตุระเบิดเทียนจิน | เทียนจิน | 173 | บาดเจ็บ 798 คน |
| 2015 | โคลนถล่มเชินเจิ้น | กวางตุ้ง | อย่างน้อย 73 | สูญหาย 4 คน |
| 2016 | อุทกภัยจีน 2016 | แม่น้ำแยงซีและแม่น้ำอื่น ๆ | อย่างน้อย 449 | |
| 2016 | ทอร์นาโดเจียงซู | เจียงซู | 99 | บาดเจ็บ 846 คน |
| 2019 | เหตุระเบิดโรงงานเคมีเสียงฉุ่ย | เจียงซู | 78 | บาดเจ็บ 617 คน |
| 2019–2023 | การระบาดทั่วของโควิด-19 | ทั่วโลก | ยังคงดำเนินอยู่ | ในเดือนธันวาคม 2019 โรคระบาดทั่วที่เกิดจากไวรัสโคโรนาสายพันธุ์ใหม่ (ภายหลังระบุว่าเป็นสาเหตุของโควิด-19) เกิดขึ้นในอู่ฮั่น หูเป่ย์[226][227] เมื่อ 11 มีนาคม 2020 องค์การอนามัยโลกประกาศให้โควิด-19 เป็นโรคระบาดทั่ว[226][228] |
| 2020 | อุทกภัยจีน 2020 | ภาคใต้ของจีน | 219 | มีผู้ได้รับผลกระทบ 63.46 ล้านคน |
| 2021 | อุทกภัยเหอหนาน | เหอหนาน | 398 | |
| 2022 | อุบัติเหตุเที่ยวบินที่ 5735 | กว่างซี | 132 | |
| 2023 | อุทกภัยจีน 2023 | ปักกิ่ง-เทียนจิน-เหอเป่ย์ | 81 | สูญหาย 34 คน |
| 2023 | แผ่นดินไหวจีฉือชาน | กานซู่ | 151 | บาดเจ็บ 982 คน |
| 2025 | แผ่นดินไหวทิเบต 2025 | ทิเบต | 126 | บาดเจ็บ 201 คน |
ข้อโต้แย้ง
[แก้]
ตั้งแต่ปี 2012 สี จิ้นผิงและพันธมิตรของเขาได้ยกเลิกนโยบายหลายอย่างจากช่วงปัวล่วนฝ่านเจิ้งของเติ้ง เสี่ยวผิงและส่งเสริมลัทธิบูชาบุคคลของตนเองเฉกเช่นที่เหมา เจ๋อตงเคยทำ ตัวอย่างเช่น ในปี 2018 สี จิ้นผิงยกเลิกการจำกัดวาระการดำรงตำแหน่งประธานาธิบดีจีนในรัฐธรรมนูญ ซึ่งเป็นการท้าทายมรดกทางการเมืองบางอย่างของเติ้ง เสี่ยวผิงและจุดชนวนความกังวลเกี่ยวกับการกลับไปสู่การปกครองแบบผู้นำคนเดียวที่คล้ายคลึงกับเหมา[229][230][231][232]
การละเมิดสิทธิมนุษยชนภายในประเทศเลวร้ายลง ในเดือนกรกฎาคม 2015 ทนายความและนักเคลื่อนไหวเพื่อสิทธิมนุษยชนหลายร้อยคนทั่วประเทศจีนถูกควบคุมตัวหรือจับกุมระหว่างการกวาดล้างครั้งใหญ่ที่เรียกว่าการปราบปราม 709[233][234] นอกจากนี้ ค่ายกักกันซินเจียงตั้งแต่ปี 2017 ซึ่งมีการควบคุมตัวชาวอุยกูร์และชนกลุ่มน้อยอื่น ๆ กว่าหนึ่งล้านคน และการประท้วงครั้งใหญ่ในฮ่องกงตั้งแต่ปี 2019 ได้รับความสนใจอย่างกว้างขวางและมีการรายงานข่าวอย่างครอบคลุมจากสื่อทั่วโลก[235][236][237][238] กฎหมายความมั่นคงแห่งชาติฮ่องกงที่ประกาศใช้เมื่อ 30 มิถุนายน 2020 ก็ได้รับความสนใจอย่างกว้างขวางและสร้างความกังวลอย่างมากทั่วโลกเกี่ยวกับการละเมิดหลักการ "หนึ่งประเทศ สองระบบ"[239][240][241]
หลังสี จิ้นผิงขึ้นสู่อำนาจในปี 2012 ทั้งพรรคคอมมิวนิสต์และรัฐบาลจีนได้เสริมสร้างการตรวจพิจารณาอินเทอร์เน็ตอย่างมีนัยสำคัญและกระชับการควบคุมสภาพแวดล้อมอินเทอร์เน็ตของจีนให้เข้มงวดยิ่งขึ้น โดยปิดกั้นการเข้าถึงเว็บไซต์ต่างประเทศและแอปพลิเคชันบนมือถือจำนวนมากจากพลเมืองจีน โดยใช้ "เกรตไฟร์วอลล์"[242][243][244] ขณะเดียวกัน สมาชิก "พรรค 50 เซ็นต์" จำนวนมากได้ถูกเกณฑ์มาเพื่อ "ชี้นำ" การเล่าเรื่องบนโลกออนไลน์ทั่วโลกให้เป็นไปในทางสนับสนุนพรรคและรัฐบาล[245][246] ตัวอย่างเช่น ในช่วงการประท้วงครั้งใหญ่ในฮ่องกง ทวิตเตอร์และเฟซบุ๊กอ้างว่าได้ลบหรือระงับบัญชีและเพจกว่า 200,000 บัญชีที่เชื่อมโยงกับรัฐบาลจีน[247][248] ณ ปี 2022 ระบบสอดแนมมวลชนยังคงจับตาดูประชากรทั้งหมดอย่างใกล้ชิด[5][249]
ทั่วโลก "การทูตนักรบหมาป่า" ที่ก้าวร้าวภายใต้การนำของเลขาธิการใหญ่สี จิ้นผิงได้ก่อให้เกิดความขัดแย้งและปฏิกิริยาเชิงลบมากมาย[250][251][252] ข้อถกเถียงยังแวดล้อมการรับมือกับการแพร่ระบาดของไวรัสโคโรนาสายพันธุ์ใหม่ (โควิด-19) ของจีน ตลอดจนความสัมพันธ์กับองค์การอนามัยโลก (WHO) ที่ค่อนข้างเป็นที่ถกเถียง[253][254][255] มีทฤษฎีสมคบคิดและข้อมูลบิดเบือนจำนวนมากเกี่ยวข้องกับโควิด-19 รวมถึงต้นกำเนิดของไวรัส[256] จีนยังเริ่มดำเนินแผนการบิดเบือนข้อมูลทั่วโลกในประเด็นการระบาดทั่ว ฮ่องกง และชาวอุยกูร์ และอื่น ๆ อีกมากมาย โดยส่งเสริมภาพลักษณ์ของจีนในฐานะผู้นำระดับโลกขณะที่โจมตีสหรัฐเป็นต้น[257][258][259] ยิ่งไปกว่านั้น การบิดเบือนข้อมูลทางเศรษฐกิจโดยรัฐบาลจีน เช่น การเผยแพร่ตัวเลข GDP ที่สูงเกินจริงตลอดหลายปีที่ผ่านมา ก็เป็นข้อกังวลสำคัญเช่นกัน[260][261][262]
ดูเพิ่ม
[แก้]อ้างอิง
[แก้]- ↑ Klaus Mühlhahn, Making China Modern: From the Great Qing to Xi Jinping (Harvard UP, 2019) pp 1–20.
- ↑ Qi'an, Zhang (张启安), Cradle of the Republic: The Chinese Soviet Republic (共和国摇篮: 中华苏维埃共和国), Xi'an: Shaanxi People's Press, 2003
- ↑ Shen, Zhihua, บ.ก. (2020). A Short History of Sino-Soviet Relations, 1917–1991. China Connections. doi:10.1007/978-981-13-8641-1. ISBN 978-981-13-8640-4. S2CID 241226106.
- ↑ "That time Mao declared independence from China". 28 March 2017.
- 1 2 Jonathan Fenby, The Penguin History of Modern China: The Fall and Rise of a Great Power 1850 to the Present (2019).
- ↑ Stephen Rosskamm Shalom. Deaths in China Due to Communism. Center for Asian Studies Arizona State University, 1984. ISBN 0-939252-11-2 p. 24
- ↑ Scheidel, Walter (2017). The Great Leveler: Violence and the History of Inequality from the Stone Age to the Twenty-First Century. Princeton University Press. pp. 223, 226. ISBN 978-0-691-16502-8.
- ↑ Walter Scheidel, The Great Leveler: Violence and the History of Inequality from the Stone Age to the Twenty-First Century (2017).
- ↑ Teiwes, Frederick C., and Warren Sun. 1999. China's road to disaster: Mao, central politicians, and provincial leaders in the unfolding of the great leap forward, 1955–1959. Contemporary China papers. Armonk, N.Y.: M.E. Sharpe. pp. 52–55.
- ↑ Modern China: The Fall and Rise of a Great Power, 1850 to the Present. Ecco Press. 2008. p. . ISBN 978-0-06-166116-7.
Mao's responsibility for the extinction of anywhere from 40 to 70,000,000 lives brands him as a mass killer greater than Hitler or Stalin, his indifference to the suffering and the loss of humans breathtaking
- 1 2 Meng, Xin; Qian, Nancy; Yared, Pierre (2015). "The Institutional Causes of China's Great Famine, 1959–1961". The Review of Economic Studies. 82 (4 (293)): 1568–1611. doi:10.1093/restud/rdv016. ISSN 0034-6527. JSTOR 43869477.
- 1 2 Wemheuer, Felix; Dikötter, Frank (2011-07-01). "Sites of Horror: Mao's Great Famine [with Response]". The China Journal. 66: 155–164. doi:10.1086/tcj.66.41262812. ISSN 1324-9347. S2CID 141874259.
- ↑ MacFarquhar, Roderick. 1974. The origins of the Cultural Revolution. London: Published for Royal Institute of International Affairs, East Asian Institute of Columbia University and Research Institute on Communist Affairs of Columbia by Oxford University Press. p. 4.
- ↑ "Tibetan Uprising Day: Statement of the Dalai Lama". fas.org. สืบค้นเมื่อ 2020-05-08.
- ↑ Bradsher, Henry S. (1969). "Tibet Struggles to Survive". Foreign Affairs. 47 (4): 750–762. doi:10.2307/20039413. ISSN 0015-7120. JSTOR 20039413.
- ↑ "An Illustrated History of the Communist Party of China". China Internet Information Center. เก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 2024-06-16. สืบค้นเมื่อ 2024-12-28.
- ↑ Wu, Shihong; Gao, Qi (2017-08-09). "邓小平与共和国重大历史事件(17)" [Deng Xiaoping and the major historical events of the People's Republic of China (17)]. People's Net. Guangan Daily. เก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 2024-06-06. สืบค้นเมื่อ 2024-12-28.
- ↑ .Brock, Darryl (2012). Mr. Science and Chairman Mao's Cultural Revolution : Science and Technology in Modern China. Lanham: Lexington Books. ISBN 978-0-7391-4974-4. OCLC 853360078.
- ↑ "毛泽东与两弹一星". Renmin Wang (ภาษาจีน). 2013-05-27. เก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 2020-08-01. สืบค้นเมื่อ 2020-07-14.
- 1 2 3 4 5 6 7 8 Meyskens, Covell F. (2020). Mao's Third Front: The Militarization of Cold War China. Cambridge, United Kingdom: Cambridge University Press. doi:10.1017/9781108784788. ISBN 978-1-108-78478-8. OCLC 1145096137. S2CID 218936313.
- 1 2 Marquis, Christopher; Qiao, Kunyuan (2022). Mao and Markets: The Communist Roots of Chinese Enterprise. New Haven: Yale University Press. doi:10.2307/j.ctv3006z6k. ISBN 978-0-300-26883-6. JSTOR j.ctv3006z6k. OCLC 1348572572. S2CID 253067190.
- ↑ Chirot, Daniel (1996). Modern Tyrants: The Power and Prevalence of Evil in Our Age. Princeton University Press. p. 198. ISBN 978-0-691-02777-7.
At least one million died, though some estimates of deaths go as high as 20 million
- ↑ Pye, Lucian W. (1986). "Reassessing the Cultural Revolution". The China Quarterly. 108 (108): 597–612. doi:10.1017/S0305741000037085. ISSN 0305-7410. JSTOR 653530. S2CID 153730706.
See, for example, Huo-cheng, Li, "Chinese Communists reveal for the first time the number 20 million deaths for the Cultural Revolution," Ming Bao (Daily News), 26 10 1981, p. 3
- ↑ "Remembering the dark days of China's Cultural Revolution". South China Morning Post. August 18, 2012. เก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ June 9, 2018. สืบค้นเมื่อ November 29, 2019.
According to a working conference of the Communist Party's Central Committee in 1978, 20 million Chinese died in the revolution, 100 million were persecuted and 800 billion yuan was wasted.
- ↑ Song, Yongyi (2011-10-11). 文革中到底"非正常死亡"了多少人?– 读苏扬的《文革中中国农村的集体屠杀》 [How many really died in the Cultural Revolution? – After reading Su Yang's Collective Killings in Rural China during the Cultural Revolution]. China News Digest (ภาษาจีน). เก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 2022-06-24.
- 1 2 3 4 5 Song, Yongyi (August 25, 2011). "Chronology of Mass Killings during the Chinese Cultural Revolution (1966–1976)". Sciences Po. เก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 2024-01-14. สืบค้นเมื่อ December 27, 2019.
- 1 2 Yan, Lebin. 我参与处理广西文革遗留问题 [The remaining issues I participated in handling regarding the Cultural Revolution in Guangxi]. Yanhuang Chunqiu (ภาษาจีน). คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 24 November 2020. สืบค้นเมื่อ 29 November 2019.
- 1 2 Wang, Youqin (2001). "Student Attacks Against Teachers: The Revolution of 1966" (PDF). The University of Chicago. เก็บ (PDF)จากแหล่งเดิมเมื่อ December 23, 2018.
- ↑ Galtung, Marte Kjær; Stenslie, Stig (2014). 49 Myths about China. Rowman & Littlefield. p. 189. ISBN 978-1442236226.
- ↑ Maurice Meisner, "China's communist revolution: A half-century perspective". Current History 98.629 (1999): 243+.
- ↑ Ovendale, R. (1983). "Britain, the United States, and the Recognition of Communist China". The Historical Journal. 26 (1): 139–158. doi:10.1017/S0018246X00019634. ISSN 0018-246X. JSTOR 2638852. S2CID 159605796.
- 1 2 3 Shinn, David H.; Eisenman, Joshua (2023). China's Relations with Africa: a New Era of Strategic Engagement. New York: Columbia University Press. ISBN 978-0-231-21001-0.
- ↑ Garret Martin, "Playing the China Card? Revisiting France's Recognition of Communist China, 1963–1964." Journal of Cold War Studies 10.1 (2008): 52–80,
- ↑ "Military Mobilization in Communist China". AUSA (ภาษาอังกฤษ). 2020-12-18. เก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 2024-07-18. สืบค้นเมื่อ 2025-01-04.
- ↑ "Mai Xiande: People's combat hero of iron will". China Military. 2022-07-29. เก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 2024-10-14. สืบค้นเมื่อ 2025-01-04.
- ↑ O. Edmund Clubb, China and Russia: The Great Game (1971) pp. 419–423.
- ↑ John W. Garver, China's Quest: The History of the Foreign Relations of the People's Republic (2016) pp. 113–145.
- ↑ Shen, Zhihua; Xia, Yafeng (2009). "Hidden Currents during the Honeymoon: Mao, Khrushchev, and the 1957 Moscow Conference". Journal of Cold War Studies. 11 (4): 111. doi:10.1162/jcws.2009.11.4.74. ISSN 1520-3972. JSTOR 26922964.
- ↑ Wang, Zhenyou (2015-01-12). "20世纪60年代初期苏联驻华商务机构撤销问题的历史考察". People's Net (ภาษาจีน). Contemporary China History Studies (当代中国史研究). เก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 2024-06-11. สืบค้นเมื่อ 2024-12-29.
- ↑ Julia Lovell, Maoism: a Global History (2019) pp. 88–150.
- ↑ Dunayevskaya, Raya (2017-06-05), "The Sino-Soviet Split", Russia: From Proletarian Revolution to State-Capitalist Counter-Revolution (ภาษาอังกฤษ), Brill, pp. 378–397, ISBN 978-90-04-34761-8, สืบค้นเมื่อ 2025-01-04
- ↑ Richard Evans, Deng Xiaoping and the making of modern China (1997) pp. 155–161.
- ↑ William Taubman, Khrushchev: the man and his era (2003) pp. 389–395.
- ↑ Donald S. Zagoria, The Sino-Soviet Conflict, 1956–1961 (Princeton University Press, 1962), passim.
- ↑ Gordon H. Chang, Friends and enemies : the United States, China, and the Soviet Union, 1948–1972 (1990) online
- ↑ Lamb, Stefanie (December 2005). "Introduction to the Cultural Revolution". Stanford University (ภาษาอังกฤษ). เก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 2024-12-03. สืบค้นเมื่อ 2025-01-03.
- 1 2 3 O'Neill, Mark (May 12, 2010). "Nixon intervention saved China from Soviet nuclear attack". South China Morning Post. คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 2015-09-12.
- ↑ "MEMORANDUM FOR THE PRESIDENT: The Possibility of a Soviet Strike Against Chinese Nuclear Facilities" (PDF). The George Washington University. United States Department of State. 1969-09-10. เก็บ (PDF)จากแหล่งเดิมเมื่อ 2024-11-12.
- ↑ "63. Memorandum of Conversation". United States Department of State. 1969-08-18. เก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 2024-11-04.
- 1 2 Xu, Ni. "1969年, 中苏核危机始末" [The nuclear crisis between China and the Soviet Union in 1969]. People's Net (ภาษาจีน). คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 2022-03-03.
- 1 2 "中国共产党大事记·1969年" [Major events of the Chinese Communist Party (1969)]. People's Net (ภาษาจีน). เก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 2024-08-06. สืบค้นเมื่อ 2024-12-30.
- ↑ Xu, Jinzhou (2015-01-01), "9 Analysis of 1969's "Order Number One"", Selected Essays on the History of Contemporary China (ภาษาอังกฤษ), Brill, pp. 168–193, ISBN 978-90-04-29267-3, สืบค้นเมื่อ 2025-01-03
- ↑ Margaret MacMillan, Nixon and Mao: The Week That Changed the World (2007).
- ↑ Kanti Bajpai, Selina Ho, and Manjari Chatterjee Miller, eds. Routledge Handbook of China–India Relations (Routledge, 2020).
- ↑ étrangères, Ministère de l'Europe et des Affaires. "France and China". diplomatie.gouv.fr France Diplomacy – Ministry for Europe and Foreign Affairs (ภาษาอังกฤษ). สืบค้นเมื่อ 2020-05-27.
- 1 2 3 4 5 6 "建交国家一览表". Ministry of Foreign Affairs, the People's Republic of China. สืบค้นเมื่อ 2020-05-27.
- ↑ "UK Celebrates 45th Anniversary of Full Diplomatic Relations with China". gov.uk. สืบค้นเมื่อ 2020-05-27.
- ↑ "China and West Germany Establish Diplomatic Ties". The New York Times. 1972-10-11. ISSN 0362-4331. สืบค้นเมื่อ 2020-05-27.
- 1 2 "Pandemic Influenza Risk Management: WHO Interim Guidance" (PDF). World Health Organization. 2013. p. 19. เก็บ (PDF)จากแหล่งเดิมเมื่อ 2021-01-21.
- ↑ Smil, Vaclav (1999-12-18). "China's great famine: 40 years later". BMJ: British Medical Journal. 319 (7225): 1619–1621. doi:10.1136/bmj.319.7225.1619. ISSN 0959-8138. PMC 1127087. PMID 10600969.
- 1 2 "关于建国以来党的若干历史问题的决议". The Central People's Government of the People's Republic of China (ภาษาจีน). 23 June 2008. สืบค้นเมื่อ 2020-04-23.
- ↑ "Today in Earthquake History". earthquake.usgs.gov. สืบค้นเมื่อ 2020-05-08.
บทความนี้รวมเอาเนื้อความจากแหล่งอ้างอิงนี้ ซึ่งเป็นสาธารณสมบัติ - ↑ Alexander, David C. (1993). Natural Disasters. CRC Press. ISBN 978-1-85728-094-4.
- ↑ Xu, Y. (2008). "Lessons from catastrophic dam failures in August 1975 in Zhumadian, China". repository.ust.hk. สืบค้นเมื่อ 2020-03-25.
- 1 2 "1975年那个黑色八月(上)(史海钩沉)". Renmin Wang (ภาษาจีน). 2012-08-20. คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 2020-05-06. สืบค้นเมื่อ 2020-03-25.
- ↑ IChemE. "Reflections on Banqiao". thechemicalengineer.com. สืบค้นเมื่อ 2020-03-25.
- 1 2 3 "75年河南水灾:滔天人祸令十万人葬身鱼腹". Phoenix New Media (ภาษาจีน). 2008-08-10. เก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 2021-01-07. สืบค้นเมื่อ 2020-03-25.
- ↑ "The Catastrophic Dam Failures in China in August 1975". San Jose State University. คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 23 December 2019. สืบค้นเมื่อ 2020-03-25.
- ↑ "75·8板桥水库溃坝 20世纪最大人类技术灾难". Phoenix Television (ภาษาจีน). 2012-09-03. เก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 2021-01-07. สืบค้นเมื่อ 2020-03-25.
- ↑ "The Forgotten Legacy of the Banqiao Dam Collapse". internationalrivers.org. สืบค้นเมื่อ 2020-03-25.
- ↑ "1975年那个黑色八月(下)(史海钩沉)". Renmin Wang (ภาษาจีน). คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 2020-05-06. สืบค้นเมื่อ 2020-03-25.
- ↑ "230,000 Died in a Dam Collapse That China Kept Secret for Years". ozy.com. 2019-02-17. คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 25 March 2020. สืบค้นเมื่อ 2020-03-25.
- ↑ Huixian, Liu; Housner, George W.; Lili, Xie; Duxin, He (2002-01-01). "The Great Tangshan Earthquake of 1976". resolver.caltech.edu. สืบค้นเมื่อ 2020-05-05.
- ↑ "Story Map Journal". arcgis.com. สืบค้นเมื่อ 2020-05-07.
- ↑ King, Gilbert. "The Silence that Preceded China's Great Leap into Famine". Smithsonian (ภาษาอังกฤษ). เก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 2019-10-14. สืบค้นเมื่อ 2019-11-28.
- ↑ Yang, Songlin (2021), Yang, Songlin (บ.ก.), "There Were 2.6–4 Million Deaths in the Three Years of Difficulty in Excess of Normal Years", Telling the Truth: China’s Great Leap Forward, Household Registration and the Famine Death Tally (ภาษาอังกฤษ), Singapore: Springer, pp. 117–131, doi:10.1007/978-981-16-1661-7_7, ISBN 978-981-16-1661-7, S2CID 236692549, สืบค้นเมื่อ 2022-04-06
- ↑ "When Pol Pot lounged by Mao's pool: how China exported Maoism". South China Morning Post (ภาษาอังกฤษ). 2019-03-08. สืบค้นเมื่อ 2022-04-06.
- ↑ Wang, Chenyi (December 2018). "The Chinese Communist Party's Relationship with the Khmer Rouge in the 1970s: An Ideological Victory and a Strategic Failure". Wilson Center.
- ↑ Xu, Jilin (December 2000). "The fate of an enlightenment: twenty years in the Chinese intellectual sphere (1978-98)" (PDF). East Asian History (ภาษาอังกฤษ). Australian National University (20): 169–186. คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิม (PDF)เมื่อ 2024-05-30. สืบค้นเมื่อ 2025-06-30.
- ↑ Liu, Jintian (5 January 2015). "邓小平推动冤假错案的平反". Renmin Wang (ภาษาจีน). เก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 2021-01-03. สืบค้นเมื่อ 2020-04-30.
- ↑ "1989年6月1日 吴林泉、彭飞:胡耀邦同志领导平反"六十一人案"追记". www.hybsl.cn (ภาษาจีน). People's Daily. 23 January 2008. เก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 2021-01-03. สืบค้นเมื่อ 2020-04-29.
- ↑ Poon, Leon. "The People's Republic Of China: IV". The University of Maryland. สืบค้นเมื่อ April 4, 2010.
- ↑ "Resolution on Certain Questions in the History of Our Party since the Founding of the People's Republic of China" (PDF). Wilson Center. 1981-06-27.
- ↑ Sixth Plenary Session of the Eleventh Central Committee of the Communist Party of China (June 27, 1981). "Comrade Mao Zedong's Historical Role and Mao Zedong Thought – Resolution on Certain Questions in the History of Our Party Since the Founding of the People's Republic of China (abridged)". Communist Party of China. คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ April 15, 2010. สืบค้นเมื่อ April 14, 2010.
- ↑ Tao, Ying (2010-10-20). "1983年"严打":非常时期的非常手段". Renmin Wang (ภาษาจีน). คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 2020-06-22. สืบค้นเมื่อ 2020-06-21.
- ↑ The rise of China's 'Silicon Valley', 19 November 2018, สืบค้นเมื่อ 2020-05-25 – โดยทาง CNN Video
- ↑ "The rise of China's Silicon Valley". www.xinhuanet.com. คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 19 December 2019. สืบค้นเมื่อ 2020-05-25 – โดยทาง Xinhua | English.news.cn.
- ↑ "Meet "moderately prosperous" China". The Economist. คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 4 June 2020. สืบค้นเมื่อ 2020-05-26.
- ↑ "Commentary: Sprinting toward a moderately prosperous society". Xinhuanet. 2019-03-04. คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 2020-08-28. สืบค้นเมื่อ 2020-05-26.
- ↑ Chris Buckley, "In Lee Kuan Yew, China Saw a Leader to Emulate", New York Times March 23, 2015
- ↑ Holmes, Frank. "China's New Special Economic Zone Evokes Memories Of Shenzhen". Forbes. สืบค้นเมื่อ 2019-10-26.
- 1 2 "Unsung hero of China's opening up is star of Shenzhen museum". South China Morning Post. 2018-12-27. สืบค้นเมื่อ 2020-09-05.
- ↑ "Shekou Industrial Zone – firsts in reform and opening-up". China Daily. 9 October 2016. เก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 2020-03-18. สืบค้นเมื่อ 2020-09-05.
- ↑ Cheong, Danson (2018-12-07). "Shenzhen – from village to city of opportunities". The Straits Times. สืบค้นเมื่อ 2020-09-05.
- ↑ "January 24–29,1984: Deng Xiaoping visits Shenzhen and Zhuhai". China Daily. 2011-01-24. เก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 2020-11-26. สืบค้นเมื่อ 2020-06-17.
- ↑ Yuan, Yiming (2017). Studies on China's Special Economic Zones. Springer. ISBN 978-981-10-3704-7.
- ↑ "China bids farewell to a pioneer of reform". theaustralian.com.au. 2016-02-02. สืบค้นเมื่อ 2020-09-05.
- ↑ "Opening to the Outside World: Special Economic Zones and Open Coastal Cities". China Internet Information Center. เก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 2020-11-14. สืบค้นเมื่อ 2021-01-17.
- ↑ "'Science and technology are primary productive forces' in 1988". China Daily. 2008-10-30. เก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 2020-08-01. สืบค้นเมื่อ 2020-06-17.
- ↑ "邓小平与共和国重大历史事件(84)– 邓小平纪念网". Renmin Wang (ภาษาจีน). 18 January 2018. เก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 2020-08-01. สืบค้นเมื่อ 2020-06-17.
- ↑ Tao, Liqing; Berci, Margaret; He, Wayne. "Historical Background: Expansion of Public Education – New York Times". archive.nytimes.com. สืบค้นเมื่อ 2020-04-30.
- ↑ "中华人民共和国义务教育法(主席令第五十二号)". www.gov.cn (ภาษาจีน). 30 June 2006. สืบค้นเมื่อ 2020-04-30.
- ↑ "25 years on, Daya Bay NPP elevates Chinese nuclear power". en.cgnpc.com.cn. 2019-05-06. เก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 2020-08-01. สืบค้นเมื่อ 2020-06-17.
- ↑ "纪念邓小平"引进国外智力"重要谈话20周年(图)". Sina (ภาษาจีน). 8 August 2003. เก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 2020-12-19. สืบค้นเมื่อ 2020-06-17.
- ↑ Malcolm Moore (15 November 2013). "China to ease one-child policy". Telegraph. เก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 12 January 2022. สืบค้นเมื่อ 26 December 2013.
- ↑ "China's two-child policy will underwhelm". The Economist. 31 October 2015. สืบค้นเมื่อ 23 November 2015.
- 1 2 Deng, Xiaoping (1980-08-18). "On the Reform of the System of Party and State Leadership". Renmin Wang. เก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 2020-11-15. สืบค้นเมื่อ 2020-04-29.
- 1 2 "August 18, 1980: Deng Xiaoping calls for reform in leadership system". China Daily. 18 August 2011. เก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 2020-08-01. สืบค้นเมื่อ 2020-05-03.
- 1 2 Ng-Quinn, Michael (1982). "Deng Xiaoping's Political Reform and Political Order". Asian Survey. 22 (12): 1187–1205. doi:10.2307/2644047. ISSN 0004-4687. JSTOR 2644047.
- 1 2 3 Whyte, Martin King (1993). "Deng Xiaoping: The Social Reformer". The China Quarterly. 135 (135): 515–535. doi:10.1017/S0305741000013898. ISSN 0305-7410. JSTOR 654100. S2CID 135471151.
- ↑ "1. Rereading Deng Xiaoping's "On the Reform of the System of Party and State Leadership"". Chinese Law & Government. 20 (1): 15–20. 1987-04-01. doi:10.2753/CLG0009-4609200115. ISSN 0009-4609.
- ↑ Finch, George (2007). "Modern Chinese Constitutionalism: Reflections of Economic Change". Willamette Journal of International Law and Dispute Resolution. 15 (1): 75–110. ISSN 1521-0235. JSTOR 26211714.
- ↑ Shigong, Jiang (2014). "Chinese-Style Constitutionalism: On Backer's Chinese Party-State Constitutionalism". Modern China. 40 (2): 133–167. doi:10.1177/0097700413511313. ISSN 0097-7004. JSTOR 24575589. S2CID 144236160.
- ↑ Wu, Wei (2014-03-18). "邓小平为什么重提政治体制改革?". The New York Times (ภาษาจีน). สืบค้นเมื่อ 2020-05-03.
- ↑ Bao, Tong (2015-06-04). "鲍彤纪念六四,兼谈邓小平与中国的腐败". The New York Times (ภาษาจีน). สืบค้นเมื่อ 2020-05-03.
- ↑ Yan, Jiaqi (1992). Toward a Democratic China: The Intellectual Autobiography of Yan Jiaqi. University of Hawaii Press. ISBN 978-0-8248-1501-1.
- ↑ Ning, Lou (1993). Chinese Democracy and the Crisis of 1989: Chinese and American Reflections. SUNY Press. ISBN 978-0-7914-1269-5.
- 1 2 Wu, Wei (2014-12-15). "赵紫阳与邓小平的两条政改路线". The New York Times (ภาษาจีน). สืบค้นเมื่อ 2020-05-03.
- 1 2 Wu, Wei (2014-07-07). "邓小平谈不要照搬三权分立". The New York Times (ภาษาจีน). สืบค้นเมื่อ 2020-05-03.
- 1 2 hermes (2019-06-04). "Tiananmen 30 years on: A China that's averse to political reforms for now". The Straits Times. สืบค้นเมื่อ 2020-05-03.
- 1 2 Schram, Stuart R. (1988). "China after the 13th Congress". The China Quarterly. 114 (114): 177–197. doi:10.1017/S0305741000026758. ISSN 0305-7410. JSTOR 654441. S2CID 154818820.
- 1 2 Dirlik, Arif (2019). "Postsocialism? Reflections on "socialism with Chinese characteristics"". Bulletin of Concerned Asian Scholars. 21: 33–44. doi:10.1080/14672715.1989.10413190.
- ↑ "1987: 13th CPC National Congress starts". China Internet Information Center. 25 October 2012. เก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 2020-10-23. สืบค้นเมื่อ 2020-05-04.
- ↑ Wang, Yuhua (3 June 2019). "Analysis | How has Tiananmen changed China?". The Washington Post. สืบค้นเมื่อ 2020-05-03.
- ↑ "Why China's Political Reforms Failed". The Diplomat. June 2015. สืบค้นเมื่อ 2020-05-03.
- ↑ "Why Abolishing China's Presidential Term Limits Is Such A Big Deal". NPR. สืบค้นเมื่อ 2020-08-22.
- ↑ Lo, Carlos W. H. (1992). "Deng Xiaoping's Ideas on Law: China on the Threshold of a Legal Order". Asian Survey. 32 (7): 649–665. doi:10.2307/2644947. ISSN 0004-4687. JSTOR 2644947.
- ↑ Wang, Chuanzhi (2013-11-07). "Democratic Centralism: The Core Mechanism in China's Political System". Qiushi. เก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 2020-11-12. สืบค้นเมื่อ 2020-08-22.
- 1 2 LEVY, Richard (2016-08-18), "Anti-Spiritual Pollution Campaign", Berkshire Encyclopedia of China (ภาษาอังกฤษ), Berkshire Publishing Group, doi:10.1093/acref/9780190622671.001.0001, ISBN 978-0-9770159-4-8, สืบค้นเมื่อ 2025-01-09
- 1 2 3 Tong, James (1988-04-01). "Editors Introduction". Chinese Law & Government (ภาษาอังกฤษ). 21: 3–17. doi:10.2753/CLG0009-460921013.
- ↑ "The Impact of Tiananmen on China's Foreign Policy". 2014-04-04. คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 2014-04-04. สืบค้นเมื่อ 2019-10-26.
- ↑ "China-Cambodia Relations". www.rfa.org. สืบค้นเมื่อ 2020-07-05.
- ↑ "Troop Cut to Save Money, Deng Says". Los Angeles Times. 1985-05-06. สืบค้นเมื่อ 2020-06-20.
- ↑ "Milestones: 1977–1980 – Office of the Historian". history.state.gov. สืบค้นเมื่อ 2020-05-27.
บทความนี้รวมเอาเนื้อความจากแหล่งอ้างอิงนี้ ซึ่งเป็นสาธารณสมบัติ - ↑ "40 Years of Friendship". www.cartercenter.org. สืบค้นเมื่อ 2020-05-27.
- ↑ "面对现实, 实事求是, 邓小平认错感动李光耀". Renmin Wang (ภาษาจีน). เก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 2021-01-08. สืบค้นเมื่อ 2020-05-27.
- ↑ Ni, Anna; Wart, Montgomery Van (2015). Building Business-Government Relations: A Skills Approach. Routledge. ISBN 978-1-317-50327-9.
- ↑ Kristof, Nicholas D. (1989-05-16). "Gorbachev Meets Deng in Beijing; Protest Goes On". The New York Times. ISSN 0362-4331. สืบค้นเมื่อ 2020-05-27.
- ↑ McFadden, Robert D. (1989-06-05). "The West Condemns the Crackdown". The New York Times. ISSN 0362-4331. สืบค้นเมื่อ 2020-05-27.
- 1 2 "Emperor Xi's China Is Done Biding Its Time". Belfer Center for Science and International Affairs. สืบค้นเมื่อ 2020-05-27.
- 1 2 Heydarian, Richard Javad. "Hide your strength, bide your time". Al Jazeera. สืบค้นเมื่อ 2020-05-27.
- ↑ "Influenza Pandemic Plan. The Role of WHO and Guidelines for National and Regional Planning" (PDF). World Health Organization. April 1999. pp. 38, 41. เก็บ (PDF)จากแหล่งเดิมเมื่อ 2020-12-03.
- ↑ Michaelis M, Doerr HW, Cinatl J (August 2009). "Novel swine-origin influenza A virus in humans: another pandemic knocking at the door". Medical Microbiology and Immunology. 198 (3): 175–83. doi:10.1007/s00430-009-0118-5. PMID 19543913. S2CID 20496301.
- ↑ Wertheim JO (June 2010). "The re-emergence of H1N1 influenza virus in 1977: a cautionary tale for estimating divergence times using biologically unrealistic sampling dates". PLOS ONE. 5 (6): e11184. Bibcode:2010PLoSO...511184W. doi:10.1371/journal.pone.0011184. PMC 2887442. PMID 20567599.
- ↑ Rozo M, Gronvall GK (August 2015). "The Reemergent 1977 H1N1 Strain and the Gain-of-Function Debate". mBio. 6 (4). doi:10.1128/mBio.01013-15. PMC 4542197. PMID 26286690.
- ↑ Hamilton, John Maxwell (5 June 1989). "The Fiery Breath of Black Dragon". chicagotribune.com. สืบค้นเมื่อ 2020-05-08.
- ↑ "The Black Dragon Fire of 1987". www.arcgis.com. สืบค้นเมื่อ 2020-05-08.
- ↑ Yang, Jideng; Wang, Shiqin. "1988年11月6日云南省澜沧-耿马7.6、7.2级地震". National Seismology Data Center (ภาษาจีน). คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 11 July 2021.
- ↑ "毛主席功过"七三开"". Sina (ภาษาจีน). 8 August 2004. เก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 2020-08-01. สืบค้นเมื่อ 2020-05-07.
- ↑ Dikötter, Frank (2024-02-26). "Red China Isn't 'Back' Under Xi Jinping. It Never Went Away". TIME (ภาษาอังกฤษ). สืบค้นเมื่อ 2024-10-18.
- ↑ "Why the real legacy of June 4 in China may be economic reform". South China Morning Post. 2019-06-03. สืบค้นเมื่อ 2020-05-07.
- ↑ Buckley, Chris (2019-05-30). "New Documents Show Power Games Behind China's Tiananmen Crackdown". The New York Times. ISSN 0362-4331. สืบค้นเมื่อ 2020-05-07.
- ↑ Brodsgaard, Kjeld Erik (1981). "The Democracy Movement in China, 1978–1979: Opposition Movements, Wall Poster Campaigns, and Underground Journals". Asian Survey. 21 (7): 747–774. doi:10.2307/2643619. ISSN 0004-4687. JSTOR 2643619.
- ↑ Greenhalgh, Susan (2005). "Missile Science, Population Science: The Origins of China's One-Child Policy". The China Quarterly. 182 (182): 253–276. doi:10.1017/S0305741005000184. ISSN 0305-7410. JSTOR 20192474. S2CID 144640139.
- ↑ "The End of China's One-Child Policy Isn't Enough". Time. สืบค้นเมื่อ 2020-10-09.
- ↑ "Zhu Rongji on the Record: The Road to Reform: 1998–2003". Brookings Institution. 2015-02-03. สืบค้นเมื่อ 2020-05-26.
- ↑ Fenby, The Penguin History of Modern China: The Fall and Rise of a Great Power 1850 to the Present (2019).
- ↑ Bruce Gilley, "China's Changing of the Guard: The Limits of Authoritarian Resilience". Journal of Democracy 14.1 (2003): 18–26.
- ↑ Jianguo Wu, et al. "The three gorges dam: an ecological perspective". Frontiers in Ecology and the Environment 2.5 (2004): pp. 241–248.
- ↑ "WTO Ministerial Conference approves China's accession – Press 252". World Trade Organization. สืบค้นเมื่อ 2021-06-13.
- ↑ David W. Chang, and Richard Y. Chuang, The politics of Hong Kong's reversion to China (1998).
- ↑ Pomfret, Greg Torode, James (2020-04-15). "Hong Kong judges battle Beijing over rule of law as pandemic chills protests". Reuters (ภาษาอังกฤษ). สืบค้นเมื่อ 2021-02-14.
- ↑ "China Poised To Expand Control Over Hong Kong". NPR.org (ภาษาอังกฤษ). สืบค้นเมื่อ 2021-02-14.
- ↑ Simon Shen, "Nationalism or nationalist foreign policy? Contemporary Chinese nationalism and its role in shaping Chinese foreign policy in response to the Belgrade embassy bombing". Politics 24.2 (2004): pp. 122–130.
- ↑ John M. Spratt Jr, "Keep the facts of the Cox Report in perspective". Arms Control Today 29.3 (1999): pp. 24+.
- ↑ John W. Garver, "Sino-American relations in 2001: the difficult accommodation of two great powers". International Journal 57.2 (2002): pp. 283–310. online
- ↑ "About SCO". eng.sectsco.org. สืบค้นเมื่อ 2020-05-07.
- ↑ "ICM 2002 in Beijing" (PDF). American Mathematical Society.
- ↑ "1991年的华东水灾". Phoenix New Media (ภาษาจีน). 2008-11-18. เก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 2020-12-19. สืบค้นเมื่อ 2020-06-16.
- ↑ "China – Floods June 1991 UNDRO Situation Reports 1–9 – China". ReliefWeb. 25 June 1991. สืบค้นเมื่อ 2020-06-16.
- ↑ Kristof, Nicholas D. (1992-01-27). "China's Floods of July: Misery Lingers". The New York Times. ISSN 0362-4331. สืบค้นเมื่อ 2020-06-16.
- 1 2 3 4 Lei, Xiaotu; Chen, Peiyan; Yang, Yuhua; Qian, Yanzhen (2009). "中国台风灾情特征及其灾害客观评估方法". Acta Metallurgica Sinica. 67. คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 2020-12-15.
- ↑ "China 1994 fire killed 288 pupils as officials fled-expose". Reuters. 2007-05-08. สืบค้นเมื่อ 2020-06-16.
- ↑ "China braces for "severe" flooding on Yangtze River". Reuters. 2016-04-02. สืบค้นเมื่อ 2020-05-08.
- ↑ "Why China's massive floods this year are different from 1998's catastrophic disaster that killed 3,000". South China Morning Post. 2016-07-06. สืบค้นเมื่อ 2020-05-08.
- ↑ "The Perfect Example of Political Propaganda: The Chinese Government's Persecution against Falun Gong". Globalmediajournal.com. สืบค้นเมื่อ 15 July 2020.
- ↑ Chiung Hwang Chen, "Framing Falun Gong: Xinhua news agency's coverage of the new religious movement in China." Asian Journal of Communication 15.1 (2005): 16–36.
- ↑ "Don't Forget About Hu Jintao". The Diplomat. สืบค้นเมื่อ 2020-05-06.
- 1 2 "Jiang Zemin faction wins in China's game of thrones". South China Morning Post. 16 November 2012. สืบค้นเมื่อ 2020-05-06.
- 1 2 Wong, Edward (2012-11-07). "Long Retired, Ex-Leader of China Asserts Sway Over Top Posts". The New York Times. ISSN 0362-4331. สืบค้นเมื่อ 2020-05-06.
- ↑ Kahn, Joseph (2002-11-15). "CHANGE IN CHINA: MAN IN THE NEWS; Mystery Man At the Helm Hu Jintao". The New York Times. ISSN 0362-4331. สืบค้นเมื่อ 2020-05-06.
- ↑ Barboza, David (2010-08-15). "China Passes Japan as Second-Largest Economy". The New York Times. ISSN 0362-4331. สืบค้นเมื่อ 2020-05-03.
- ↑ "China overtakes Japan as world's second-largest economy". The Guardian. Associated Press. 2010-08-16. ISSN 0261-3077. สืบค้นเมื่อ 2020-05-03.
- ↑ "Bo Xilai scandal: Timeline". BBC News. 2013-11-11. สืบค้นเมื่อ 2020-05-27.
- ↑ "Insight: China's Bo exits stage left in succession drama". Reuters. 2012-03-23. สืบค้นเมื่อ 2020-05-27.
- ↑ Zhao, Suisheng (2023). The dragon roars back : transformational leaders and dynamics of Chinese foreign policy. Stanford, California: Stanford University Press. pp. 78–79. ISBN 978-1-5036-3088-8. OCLC 1331741429.
- ↑ Zhao, Suisheng (2023). The dragon roars back : transformational leaders and dynamics of Chinese foreign policy. Stanford, California: Stanford University Press. p. 79. ISBN 978-1-5036-3088-8. OCLC 1331741429.
- 1 2 3 Mitter, Rana (2020). China's good war : how World War II is shaping a new nationalism. Cambridge, Massachusetts: The Belknap Press of Harvard University Press. p. 8. ISBN 978-0-674-98426-4. OCLC 1141442704.
- ↑ "Yang Liwei: China's first astronaut". China Internet Information Center. เก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 2020-08-01. สืบค้นเมื่อ 2020-05-25.
- ↑ Corum, Jonathan (2018-03-31). "The Rise and Fall of Tiangong-1, China's First Space Station". The New York Times. ISSN 0362-4331. สืบค้นเมื่อ 2020-05-25.
- ↑ Preuss, Paul (2012-03-07). "Announcing the First Results from Daya Bay: Discovery of a New Kind of Neutrino Transformation". Lawrence Berkeley National Laboratory. สืบค้นเมื่อ 2020-06-17.
- ↑ "Chinese author Mo Yan wins Nobel". BBC News. 2012-10-11. สืบค้นเมื่อ 2020-05-26.
- ↑ "America in the Asia-Pacific: We're back". The Economist. 19 November 2011. เก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 1 January 2012. สืบค้นเมื่อ 2 January 2012.
- ↑ "WHO | Summary of probable SARS cases with onset of illness from 1 November 2002 to 31 July 2003". WHO. สืบค้นเมื่อ 2020-05-06.
- ↑ "WHO | SARS (Severe Acute Respiratory Syndrome)". WHO. สืบค้นเมื่อ 2020-05-07.
- 1 2 Yang, Jun; Chen, Jinhong; Liu, Huiliang; Zheng, Jingchen (2014-09-01). "Comparison of two large earthquakes in China: the 2008 Sichuan Wenchuan Earthquake and the 2013 Sichuan Lushan Earthquake". Natural Hazards. 73 (2): 1127–1136. Bibcode:2014NatHa..73.1127Y. doi:10.1007/s11069-014-1121-8. ISSN 1573-0840.
- ↑ "Floods, landslides leave 3,185 dead in China this year: MCA – China.org.cn". www.china.org.cn. สืบค้นเมื่อ 2020-06-16.
- 1 2 Brown, Kerry (2010-10-15). "China's leader Hu Jintao leads a country in ferment". The Guardian. ISSN 0261-3077. สืบค้นเมื่อ 2020-05-05.
- 1 2 "Factbox: Who is Liu Xiaobo?". Reuters. 7 December 2010. สืบค้นเมื่อ 2020-05-05.
- ↑ "China's Fifty Cent Party". Harvard Political Review (ภาษาอังกฤษแบบอเมริกัน). 2012-02-07. คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 2020-08-01. สืบค้นเมื่อ 2020-05-05.
- ↑ Sterbenz, Christina. "China Banned The Term '50 Cents' To Stop Discussion Of An Orwellian Propaganda Program". Business Insider. สืบค้นเมื่อ 2020-05-05.
- ↑ Branigan, Tania (2012-11-15). "Xi Jinping takes reins of Communist party and Chinese military". The Guardian. ISSN 0261-3077. สืบค้นเมื่อ 2020-05-03.
- ↑ "Xi Jinping named China president". BBC News. 2013-03-14. สืบค้นเมื่อ 2020-05-03.
- ↑ "China's leader Xi Jinping secures third term and stacks inner circle with loyalists". The Guardian. 2022-10-23. สืบค้นเมื่อ 2022-10-23.
- ↑ Shih, Gerry. "In China, investigations and purges become the new normal". Washington Post. สืบค้นเมื่อ 2020-05-03.
- ↑ "Xi Jinping's anti-corruption campaign". South China Morning Post. สืบค้นเมื่อ 2020-05-03.
- ↑ Shi, Jiangtao; Huang, Kristin (26 February 2018). "End to term limits at top 'may be start of global backlash for China'". South China Morning Post. เก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 27 February 2018. สืบค้นเมื่อ 28 February 2018.
- ↑ Phillips, Tom (4 March 2018). "Xi Jinping's power play: from president to China's new dictator?". The Guardian. เก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 4 March 2018. สืบค้นเมื่อ 4 March 2018.
- ↑ Wen, Philip (17 March 2018). "China's parliament re-elects Xi Jinping as president". Reuters. เก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 17 March 2018. สืบค้นเมื่อ 17 March 2018.
- ↑ Bodeen, Christopher (17 March 2018). "Xi reappointed as China's president with no term limits". Associated Press. เก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 17 March 2018. สืบค้นเมื่อ 17 March 2018.
- ↑ Mitchell, Tom (7 September 2019). "China's Xi Jinping says he is opposed to life-long rule". Financial Times. เก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 17 April 2018. สืบค้นเมื่อ 17 April 2018.
President insists term extension is necessary to align government and party posts
- ↑ "In Depth | Yutu". NASA Solar System Exploration. คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 27 March 2019. สืบค้นเมื่อ 2020-05-25.
บทความนี้รวมเอาเนื้อความจากแหล่งอ้างอิงนี้ ซึ่งเป็นสาธารณสมบัติ - ↑ "TU YOUYOU, Nobel Prize in Physiology or Medicine in 2015". The Nobel Prize. สืบค้นเมื่อ 2020-05-26.
- ↑ Wong, Maggie Hiufu (30 October 2018). "How to cross the world's longest sea-spanning bridge". CNN. สืบค้นเมื่อ 2020-06-18.
- ↑ Perlez, Jane; Hernández, Javier C. (2018-02-25). "President Xi's Strongman Rule Raises New Fears of Hostility and Repression". The New York Times. ISSN 0362-4331. สืบค้นเมื่อ 2020-06-17.
- ↑ "What the 'Tough Guy' Era Means for Global Politics". Time. 3 May 2018. สืบค้นเมื่อ 2020-06-17.
- ↑ Huang, Zheping (15 May 2017). "Your guide to OBOR, China's plan to build a new Silk Road". Quartz. สืบค้นเมื่อ 2020-05-03.
- ↑ Greer, Tanner (6 December 2018). "One Belt, One Road, One Big Mistake". Foreign Policy. สืบค้นเมื่อ 2020-05-03.
- ↑ Chubb, Andrew (2019-01-22). "Xi Jinping and China's maritime policy". Brookings. สืบค้นเมื่อ 2020-06-17.
- ↑ Tharoor, Ishaan. "Analysis | The end of Xi Jinping's Taiwan dream". Washington Post. สืบค้นเมื่อ 2020-06-17.
- ↑ "US-China trade war in 300 words". BBC News. 2020-01-16. สืบค้นเมื่อ 2020-05-03.
- ↑ "What is the US-China trade war?". South China Morning Post. 2020-04-13. สืบค้นเมื่อ 2020-05-03.
- ↑ Panda, Ankit. "A Skirmish in Galwan Valley: India and China's Deadliest Clash in More Than 50 Years". The Diplomat. สืบค้นเมื่อ 2020-06-17.
- ↑ "China will not join sanctions on Russia, banking regulator says". Reuters. 2 March 2022.
- ↑ "China rejects 'pressure or coercion' over Russia relations". AP News. 14 April 2022.
- 1 2 "Coronavirus Disease (COVID-19) – events as they happen". www.who.int. WHO. สืบค้นเมื่อ 9 March 2020.
- ↑ "Coronavirus COVID-19 Global Cases by Johns Hopkins CSSE". Johns Hopkins University. สืบค้นเมื่อ 9 March 2020.
- ↑ "The WHO Just Declared Coronavirus COVID-19 a Pandemic". Time. 11 March 2020. สืบค้นเมื่อ 2020-05-03.
- ↑ Hong, Zhenkuai (2016-08-16). ""新文革"使中国人不安". The New York Times (ภาษาจีน). สืบค้นเมื่อ 2020-04-30.
- ↑ Yu, Kung (2018-08-23). "Xi Jinping's brand new Cultural Revolution". Taipei Times. สืบค้นเมื่อ 2020-04-30.
- ↑ Denyer, Simon (2018-02-26). "With a dash of Putin and an echo of Mao, China's Xi sets himself up to rule for life". The Washington Post. สืบค้นเมื่อ 2020-04-30.
- ↑ Lian, Yi-Zheng (2018-09-07). "Opinion | Could There Be Another Chinese Revolution?". The New York Times. ISSN 0362-4331. สืบค้นเมื่อ 2020-04-30.
- ↑ "China: On "709" Anniversary, Legal Crackdown Continues". Human Rights Watch. 2017-07-07. สืบค้นเมื่อ 2020-05-05.
- ↑ Christian Shepherd. "EU urges China to free activists on third anniversary of "709" crackdown". Reuters. สืบค้นเมื่อ 2020-05-05.
- ↑ "Hong Kong protests explained in 100 and 500 words". BBC News. 2019-11-28. สืบค้นเมื่อ 2020-05-03.
- ↑ Wu, Jin; Lai, K. K. Rebecca; Yuhas, Alan (October 2019). "Six Months of Hong Kong Protests. How Did We Get Here?". The New York Times. ISSN 0362-4331. สืบค้นเมื่อ 2020-05-03.
- ↑ "China's Xinjiang records revealed: Uyghurs thrown into detention for growing beards or bearing too many children, leaked Chinese document shows". CNN. สืบค้นเมื่อ 2020-05-03.
- ↑ Ramzy, Austin (2020-02-17). "How China Tracked Detainees and Their Families". The New York Times. ISSN 0362-4331. สืบค้นเมื่อ 2020-05-03.
- ↑ "Why Hong Kong's National Security Law Is Having Such a Chilling Effect". Time. 24 July 2020. สืบค้นเมื่อ 2020-08-08.
- ↑ "Hong Kong security law: What is it and is it worrying?". BBC News. 2020-06-30. สืบค้นเมื่อ 2020-08-08.
- ↑ "Anger as China passes controversial Hong Kong security law" (ภาษาอังกฤษ). France 24. 2020-06-30. สืบค้นเมื่อ 2020-08-08.
- ↑ Economy, Elizabeth C. (2018-06-29). "The great firewall of China: Xi Jinping's internet shutdown". The Guardian. ISSN 0261-3077. สืบค้นเมื่อ 2020-05-07.
- ↑ Ables, Kelsey (7 August 2019). "The forbidden images of the Chinese internet". CNN. สืบค้นเมื่อ 2020-05-07.
- ↑ "The Great Firewall of China". Bloomberg.com. สืบค้นเมื่อ 2020-05-07.
- ↑ Allen, Kerry (2018-02-26). "Why China is censoring Winnie the Pooh again". BBC News. สืบค้นเมื่อ 2020-05-07.
- ↑ King, Gary; Pan, Jennifer; Roberts, Margaret E. (2017). "How the Chinese Government Fabricates Social Media Posts for Strategic Distraction, not Engaged Argument" (PDF). Harvard University.
- ↑ "Facebook, Twitter remove accounts they say Chinese government was using to undermine in Hong Kong protests". ABC News. สืบค้นเมื่อ 2020-05-07.
- ↑ Paul, Kari (2019-08-20). "Twitter and Facebook crack down on accounts linked to Chinese campaign against Hong Kong". The Guardian. ISSN 0261-3077. สืบค้นเมื่อ 2020-05-07.
- ↑ Mozur, Paul; Xiao, Muyi; Liu, John (2022-06-26). "'An Invisible Cage': How China Is Policing the Future". The New York Times (ภาษาอังกฤษแบบอเมริกัน). ISSN 0362-4331. สืบค้นเมื่อ 2023-01-06.
- ↑ Westcott, Ben; Jiang, Steven (2020-05-29). "China is embracing a new brand of wolf warrior diplomacy". CNN. สืบค้นเมื่อ 2020-08-30.
- ↑ Cheng, Dean. "Challenging China's "Wolf Warrior" Diplomats". The Heritage Foundation. คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 8 July 2020. สืบค้นเมื่อ 2020-08-30.
{{cite web}}: CS1 maint: unfit URL (ลิงก์) - ↑ "Why China's wolf warrior diplomacy is a historic mistake". Australian Financial Review. 2020-07-12. สืบค้นเมื่อ 2020-08-30.
- ↑ Tan, Huileng (2020-04-24). "China 'owes us': Growing outrage over Beijing's handling of the coronavirus pandemic". CNBC. สืบค้นเมื่อ 2020-06-17.
- ↑ "Macron questions China's handling of coronavirus". BBC News. 2020-04-17. สืบค้นเมื่อ 2020-06-17.
- ↑ Griffiths, James (19 May 2020). "China's Xi plays the long game as he accepts WHO investigation". CNN. สืบค้นเมื่อ 2020-06-17.
- ↑ Cohen, Jon (2020-07-10). "A WHO-led mission may investigate the pandemic's origin. Here are the key questions to ask". Science. สืบค้นเมื่อ 2020-08-30.
- ↑ "The disinformation tactics used by China". BBC News (ภาษาอังกฤษแบบบริติช). 2021-03-12. สืบค้นเมื่อ 2021-06-05.
- ↑ "Beijing Is Getting Better at Disinformation on Global Social Media". thediplomat.com (ภาษาอังกฤษแบบอเมริกัน). สืบค้นเมื่อ 2021-06-05.
- ↑ "How China Ramped Up Disinformation Efforts During the Pandemic". Council on Foreign Relations (ภาษาอังกฤษ). สืบค้นเมื่อ 2021-06-05.
- ↑ "China's economic census uncovers more fake data". South China Morning Post (ภาษาอังกฤษ). 2019-06-20. สืบค้นเมื่อ 2021-05-20.
- ↑ "Study Suggests That Local Chinese Officials Manipulate GDP". Yale University (ภาษาอังกฤษ). 2020-02-11. สืบค้นเมื่อ 2021-05-20.
- ↑ "China's GDP Growth Pace Was Inflated for Nine Years, Study Finds". Bloomberg. 2019-03-07. สืบค้นเมื่อ 2021-05-20.
