เศรษฐกิจจีน

จากวิกิพีเดีย สารานุกรมเสรี
เศรษฐกิจจีน
เซี่ยงไฮ้ ศูนย์กลางการเงินของจีน
สกุลเงินหยวนเหรินหมินปี้ (CNY) = 0.148 USD[1]
ปีงบประมาณปีปฏิทิน
ภาคีการค้าWTO, APEC, G-20 เป็นต้น
สถิติ
จีดีพี12.40 ล้านล้านดอลลาร์ (ราคาตลาด; ปี 2560)[2]
23.57 ล้านล้านดอลลาร์ (PPP; 2017)[1]
จีดีพีเติบโต6.9% (2560)[3]
จีดีพีต่อหัว8,836 ดอลลาร์ (ราคาตลาด; 2560)[1]
17,002 ดอลลาร์ (PPP; 2560)[1]
ภาคจีดีพีเกษตรกรรม: 8.6%, อุตสาหกรรม: 39.8%, บริการ: 51.6% (2016)[4]
เงินเฟ้อ (CPI)positive decrease 1.4% (2558)[5]
ประชากรยากจน11.1% มีรายได้น้อยกว่า 3.10 ดอลลาร์/วัน[6]
(2556; ธนาคารโลก)
จีนี46.2 (2558)
แรงงาน803.6 ล้านคน (ที่ 1; 2560)[7]
ภาคแรงงานเกษตรกรรม: 29.5%, อุตสาหกรม: 29.9%, บริการ: 40.6% (2557)
ว่างงาน3.97% (Q1 ปี 2560)[8]
อุตสาหกรรมหลัก
อันดับความคล่องในการทำธุรกิจ78 (2560)[9]
การค้า
มูลค่าส่งออก2.26 ล้านล้านดอลลาร์ (2560)[10]
สินค้าส่งออก
ประเทศส่งออกหลัก
มูลค่านำเข้า1.84 ล้านล้านดอลลาร์ (2560)[10]
สินค้านำเข้า
ประเทศนำเข้าหลัก
FDIเพิ่มขึ้น 1.354 ล้านล้านดอลลาร์ (2559)[11]
หนี้ต่างประเทศ1.42 ล้านล้านดอลลาร์ (31 มี.ค. 2560)[12]
การคลังรัฐบาล
หนี้สาธารณะpositive decrease 16.1% ของจีดีพี (ประเมินปี 2559)[13]
รายรับ2.3 ล้านล้านดอลลาร์ (ประเมินปี 2559)
รายจ่าย2.7 ล้านล้านดอลลาร์ (ประเมินปี 2559)
อันดับความเชื่อมั่น
  • Standard & Poor's:[14]
    A+ (ในประเทศ)
    A+ (ต่างประเทศ)
    A+ (การประเมิน T&C)
    ภาพลักษณ์: เสถียร
  • Moody's:[15]
    A1
    ภาพลักษณ์: เสถียร
  • Fitch:[16]
    A+
    ภาพลักษณ์: เสถียร
ทุนสำรองลดลง 3 ล้านล้านดอลลาร์ (เม.ย. 2560)[17]
แหล่งข้อมูลหลัก: CIA World Fact Book
หน่วยทั้งหมด หากไม่ระบุ ถือว่าเป็นดอลลาร์สหรัฐ

เศรษฐกิจจีนเป็นเศรษฐกิจแบบตลาดสังคมนิยม เป็นเศรษฐกิจใหญ่สุดอันดับสองของโลกตามจีดีพีราคาตลาด และเศรษฐกิจใหญ่สุดของโลกตามความเท่าเทียมของอำนาจซื้อ (PPP) จากข้อมูลของกองทุนการเงินระหว่างประเทศ (IMF) ประเทศจีนเป็นเศรษฐกิจใหญ่เติบโตเร็วสุดของโลกก่อนปี 2558 โดยมีอัตราการเติบโตโดยเฉลี่ย 10% ในช่วงกว่า 30 ปี เนื่องจากข้อเท็จจริงทางประวัติศาสตร์และการเมืองของเศรษฐกิจกำลังพัฒนาของจีน ภาครัฐของจีนจึงมีสัดส่วนเศรษฐกิจของประเทศมากกว่าภาคเอกชนที่กำลังเฟื่องฟู สำหรับรายได้ต่อหัวนั้น ประเทศจีนอยู่ในอันดับที่ 71 ตามจีดีพี (ราคาตลาด) และที่ 78 ตามจีดีพี (PPP) ในปี 2559 จากข้อมูลของ IMF ประเทศจีนมีทรัพยากรธรรมชาติประเมินมูลค่า 23 ล้านล้านดอลลาร์สหรัฐ ซึ่งจำนวนนี้กว่า 90% เป็นถ่านหินและโลหะหายาก

ประเทศจีนเป็นเศรษฐกิจการผลิตและผู้ส่งสินค้าออกรายใหญ่สุดของโลก มักได้รับขนานนามเป็น "โรงงานของโลก" ประเทศจีนยังเป็นตลาดผู้บริโภคเติบโตเร็วสุดของโลก และผู้นำสินค้าเข้ารายใหญ่สุดอันดับสองของโลก ประเทศจีนเป็นผู้นำเข้าสุทธิซึ่งผลิตภัณฑ์บริการ ในปี 2559 ประเทศจีนเป็นประเทศการค้าใหญ่สุดอันดับสองของโลกและมีบทบาทเด่นในการค้าระหว่างประเทศ และเข้าร่วมองค์การและสนธิสัญญาการค้าเพิ่มขึ้นในปีหลัง ๆ ประเทศจีนเป็นสมาชิกองค์การการค้าโลกในปี 2544 ประเทศจีนยังมีความตกลงการค้าเสรีกับหลายชาติ รวมทั้งอาเซียน ออสเตรเลีย นิวซีแลนด์ ปากีสถาน เกาหลีใต้และสวิสเซอร์แลนด์ มณฑลในแถบชายฝั่งของจีนมีแนวโน้มกลายเป็นอุตสาหกรรมมากขึ้น ส่วนบริเวณในแผ่นดินยังด้อยพัฒนากว่า

เพื่อเลี่ยงค่าใช้จ่ายทางสังคมและเศรษฐกิจระยะยาวของมลภาวะสิ่งแวดล้อมในประเทศจีน นิโคลัส สเทิร์นและเฟอร์กัส กรีนแห่งสถาบันวิจัยแกรนแธมว่าด้วยการเปลี่ยนแปลงภูมิอากาศและสิ่งแวดล้อม (Grantham Research Institute on Climate Change and the Environment) แนะนำว่า เศรษฐกิจจีนควรเปลี่ยนเป็นการพัฒนาอุตสาหกรรมก้าวหน้าที่มีการปลดปล่อยคาร์บอนต่ำไฮเท็คที่มีการจัดสรรทรัพยากรของชาติไปยังนวัตกรรมและการวิจัยและพัฒนาสำหรับการเติบโตทางเศรษฐกิจอย่างยั่งยืนให้ดีขึ้นเพื่อผลกระทบของอุตสาหกรรมหนักของจีน ซึ่งสอดคล้องกับเป้าหมายการวางแผนของรัฐบาลกลาง ฝันจีนของสี จิ้นผิงอธิบายว่าบรรลุ "สองร้อย" คือ เป้าหมายของจีนทางวัตถุให้กลายเป็น "สังคมกินดีอยู่ดีปานกลาง" ภายในปี 2564 ซึ่งปีครบรอบ 100 ปีพรรคคอมมิวนิสต์จีน และเป้าหมายการทำให้จีนทันสมัยเป็นประเทศพัฒนาแล้วอย่างสมบูรณ์ในปี 2592 ซึ่งเป็นปีที่ 100 ของการก่อตั้งสาธารณรัฐประชาชน

สากลวิวัฒน์ของเศรษฐกิจจีนยังมีผลกระทบต่อการพยากรณ์เศรษฐกิจปรับเป็นมาตรฐานซึ่งดัชนีผู้จัดการซื้อออกในประเทศจีนอย่างเป็นทางการในปี 2543 ต่อมาในปี 2549 ประเทศจีนเป็นประเทศในทวีปเอเชียประเทศเดียวที่มีจีดีพี (PPP) เกิน 10 ล้านล้านดอลลาร์สหรัฐ (ร่วมกับสหรัฐและสหภาพยุโรป) ในปี 2558 ประเทศจีนเป็นประเทศแรกที่มีจีดีพี (PPP) เกิน 20 ล้านล้านดอลลาร์สหรัฐ เมื่อเศรษฐกิจจีนเติบโต เงินตราเหรินหมินปี้ของจีนก็เติบโตด้วย ซึ่งผ่านกระบวนการที่จำเป็นสำหรับสากลวิวัฒน์ ประเทศจีนริเริ่มการก่อตั้งธนาคารเพื่อการลงทุนโครงสร้างพื้นฐานเอเชียในปี 2558 การพัฒนาเศรษฐกิจของเซินเจิ้นถูกเรียกว่าเป็นซิลิคอนแวลลีย์แห่งถัดไปของโลก

ดูเพิ่ม[แก้]

อ้างอิง[แก้]

  1. 1.0 1.1 1.2 1.3 "综述:中国2017年GDP破80万亿增6.9% 沪深港股收高". 新浪财经. 1 January 2018.
  2. http://www.stats.gov.cn/english/PressRelease/201801/t20180118_1574943.html).
  3. "World Bank raises China's 2017 growth forecast, maintains 2018 outlook". South China Morning Post. 19 December 2017.
  4. "GDP - Composition, by Sector of Origin". CIA World Factbook. คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 2018-10-11. สืบค้นเมื่อ 20 July 2017.
  5. "Inflation in China jumps to 6-month high". National Bureau of Statistics. สืบค้นเมื่อ 11 January 2013.
  6. "World Development Indicators". World Bank. 2015-12-04. สืบค้นเมื่อ 2015-12-04.
  7. "Labor force, total". World Bank. สืบค้นเมื่อ 2 September 2016.
  8. http://data.stats.gov.cn/english/easyquery.htm?cn=C01
  9. "Ease of Doing Business in China". Doingbusiness.org. สืบค้นเมื่อ 23 January 2017.
  10. 10.0 10.1 10.2 10.3 10.4 10.5 "China - WTO Statistics Database". World Trade Organization. คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 2018-02-04. สืบค้นเมื่อ 1 March 2017.
  11. "Foreign investment in China - Santandertrade.com". en.portal.santandertrade.com. สืบค้นเมื่อ 2018-01-20.
  12. China's external debt expected to grow, risks controllable. China Daily. 01 April 2017
  13. [1] เก็บถาวร 2007-06-13 ที่ เวย์แบ็กแมชชีน, CIA, accessed on 2015.
  14. "Sovereigns rating list". Standard & Poor's. January 26, 2017. สืบค้นเมื่อ 26 September 2017. On Jan. 26, 2017, S&P Global Ratings affirmed the 'AA-' long-term and 'A-1+' short-term sovereign credit ratings on China. The outlook on the long-term rating remains negative
  15. "Moody's downgrades China's rating to A1 from Aa3 and changes outlook to stable from negative". Moody's Investors Service. 2017-05-24. สืบค้นเมื่อ 2017-09-23.
  16. "Fitch - Complete Sovereign Rating History". สืบค้นเมื่อ 2013-02-25.
  17. "China FX reserves stay above $3 trillion after small March rise". Reuters. 7 April 2017.