ฮฺว่า กั๋วเฟิง
ฮฺว่า กั๋วเฟิง | |||||||||||||||||||||
---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|
华国锋 | |||||||||||||||||||||
![]() | |||||||||||||||||||||
ประธานพรรคคอมมิวนิสต์จีน | |||||||||||||||||||||
ดำรงตำแหน่ง 7 ตุลาคม พ.ศ. 2519 – 28 มิถุนายน พ.ศ. 2524 (4 ปี 264 วัน) | |||||||||||||||||||||
รอง | เย่ เจี้ยนอิง | ||||||||||||||||||||
ก่อนหน้า | เหมา เจ๋อตง | ||||||||||||||||||||
ถัดไป | หู เย่าปัง | ||||||||||||||||||||
ประธานคณะกรรมาธิการการทหารส่วนกลาง แห่งพรรคคอมมิวนิสต์จีน คนที่ 9 | |||||||||||||||||||||
ดำรงตำแหน่ง 7 ตุลาคม พ.ศ. 2519 – 28 มิถุนายน พ.ศ. 2524 (4 ปี 263 วัน) | |||||||||||||||||||||
ก่อนหน้า | เหมา เจ๋อตง | ||||||||||||||||||||
ถัดไป | เติ้ง เสี่ยวผิง | ||||||||||||||||||||
นายกรัฐมนตรีสาธารณรัฐประชาชนจีน คนที่ 2 | |||||||||||||||||||||
ดำรงตำแหน่ง 4 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2519 – 10 กันยายน พ.ศ. 2523 (4 ปี 219 วัน) | |||||||||||||||||||||
รองหัวหน้ารัฐบาล | เติ้ง เสี่ยวผิง | ||||||||||||||||||||
ประมุขแห่งรัฐ | ซ่ง ชิ่งหลิง เย่ เจี้ยนอิง | ||||||||||||||||||||
ก่อนหน้า | โจว เอินไหล | ||||||||||||||||||||
ถัดไป | จ้าว จื่อหยาง | ||||||||||||||||||||
รองประธานลำดับที่ 1 ของพรรคคอมมิวนิสต์จีน | |||||||||||||||||||||
ดำรงตำแหน่ง 6 เมษายน พ.ศ. 2519 – 6 ตุลาคม พ.ศ. 2519 (0 ปี 183 วัน) | |||||||||||||||||||||
ประธาน | เหมา เจ๋อตง | ||||||||||||||||||||
ก่อนหน้า | โจว เอินไหล | ||||||||||||||||||||
ถัดไป | เย่ เจี้ยนอิง | ||||||||||||||||||||
รองประธานพรรคคอมมิวนิสต์จีน | |||||||||||||||||||||
ดำรงตำแหน่ง 28 มิถุนายน พ.ศ. 2524 – 12 กันยายน พ.ศ. 2525 (1 ปี 76 วัน) | |||||||||||||||||||||
ประธาน | หู เย่าปัง | ||||||||||||||||||||
ข้อมูลส่วนบุคคล | |||||||||||||||||||||
เกิด | ซู จู้ 16 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2464 เจียวเฉิง, มณฑลชานซี, สาธารณรัฐจีน | ||||||||||||||||||||
เสียชีวิต | 20 สิงหาคม พ.ศ. 2551 (87 ปี) ปักกิ่ง, สาธารณรัฐประชาชนจีน | ||||||||||||||||||||
พรรคการเมือง | พรรคคอมมิวนิสต์จีน (เข้าร่วมในปี พ.ศ. 2481) | ||||||||||||||||||||
คู่สมรส | หัน จือจฺวิ้น (สมรส พ.ศ. 2492) | ||||||||||||||||||||
บุตร | 4 | ||||||||||||||||||||
ลายมือชื่อ | ![]() | ||||||||||||||||||||
ชื่อภาษาจีน | |||||||||||||||||||||
อักษรจีนตัวย่อ | 华国锋 | ||||||||||||||||||||
อักษรจีนตัวเต็ม | 華國鋒 | ||||||||||||||||||||
| |||||||||||||||||||||
ซู จู้ | |||||||||||||||||||||
อักษรจีนตัวย่อ | 苏铸 | ||||||||||||||||||||
อักษรจีนตัวเต็ม | 蘇鑄 | ||||||||||||||||||||
| |||||||||||||||||||||
สมาชิกสถาบันกลาง
| |||||||||||||||||||||
ฮฺว่า กั๋วเฟิง (/hwɑː/; จีนตัวย่อ: 华国锋; จีนตัวเต็ม: 華國鋒; พินอิน: Huà Guófēng; 16 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2464 – 20 สิงหาคม พ.ศ. 2551) เป็นนักการเมืองชาวจีน ซึ่งเคยดำรงตำแหน่งประธานพรรคคอมมิวนิสต์จีน และนายกรัฐมนตรีสาธารณรัฐประชาชนจีน เขาเริ่มดำรงตำแหน่งระดับสูงทั้งในรัฐบาล พรรค และกองทัพ ภายหลังการถึงแก่อสัญกรรมของเหมา เจ๋อตง และนายกรัฐมนตรีโจว เอินไหล แต่ต่อมาได้ถูกบีบให้ออกจากตำแหน่งโดยสมาชิกพรรคที่มีอิทธิพลมากกว่าในปี พ.ศ. 2524 และต่อมาก็ถอนตัวจากเวทีการเมือง แม้ว่าจะยังคงเป็นสมาชิกของคณะกรรมาธิการกลางจนถึงปี พ.ศ. 2545
เขามาจากมณฑลชานซี เริ่มดำรงตำแหน่งในภูมิภาคในหูหนานระหว่างปี พ.ศ. 2492–2514 แรกเริ่มเป็นเลขาธิการคณะกรรมการพรรคประจำจังหวัดเซียงถาน พื้นที่ภูมิลำเนาของเหมา ซึ่งขณะนั้นเป็นเลขาธิการพรรคในมณฑลระหว่างการปฏิวัติวัฒนธรรมช่วงท้าย ๆ เขาถูกยกขึ้นสู่ระดับชาติในต้นปี 2519 และขึ้นชื่อมากเรื่องความภักดีไม่สั่นคลอนต่อเหมา หลังโจว เอินไหลเสียชีวิต เหมายกให้เขาเป็นประธานสภาแห่งรัฐ คอยควบคุมดูแลงานรัฐบาล และรองประธานพรรคคอมมิวนิสต์ ซึ่งทำให้เขากลายเป็นทายาทของเหมา
วันที่ 6 ตุลาคม พ.ศ. 2519 หลังการเสียชีวิตของเหมาไม่นาน เขาได้ปลดแก๊งสี่คนอกจากอำนาจทางการเมืองโดยจัดการจับกุมพวกเขาในกรุงปักกิ่ง ต่อมาเขาดำรงตำแหน่งประธานพรรคและประธานคณะกรรมาธิการการทหารส่วนกลาง ฉะนั้นเขาจึงเป็นผู้นำเพียงคนเดียวที่เคยดำรงตำแหน่งหัวหน้าพรรค ประธานคณะมนตรีรัฐกิจ และประธานคณะกรรมาธิการการทหารส่วนกลางพร้อมกัน
ฮฺว่าพยายามปฏิรูปสายกลางและย้อนส่วนเกินบางส่วนของนโยบายสมัยการปฏิวัติทางวัฒนธรรม แต่ทว่าเพราะเขายืนกรานที่จะสืบทอดแนวทางของเหมาและปฏิเสธรับการปฏิรูปขนานใหญ่ จึงเผชิญกับการต่อต้านในหมู่ระดับสูงของพรรค
ในเดือนธันวาคม พ.ศ. 2521 กลุ่มสมาชิกพรรคซึ่งมีเติ้ง เสี่ยวผิงเป็นผู้นำ ซึ่งเป็นนักปฏิรูปปฏิบัตินิยม ได้บีบให้ฮฺว่าออกจากอำนาจแต่ยังให้เขามีตำแหน่งอยู่บ้าง เขาค่อย ๆ หลบออกจากวังวนการเมือง แต่ยังคงยืนยันความถูกต้องของหลักการของเหมา เขาถูกจดจำว่าเป็นบุคคลยุคเปลี่ยนผ่านในประวัติศาสตร์การเมืองจีนสมัยใหม่
วัยเยาว์[แก้]

ฮฺว่าเกิดเมื่อวันที่ 16 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2464 ในอำเภอเจียวเฉิง มณฑลชานซี ชื่อเดิมของเขาคือ ซู จู้ (จีนตัวย่อ: 苏铸; จีนตัวเต็ม: 蘇鑄; พินอิน: Sū Zhù) เป็นบุตรชายคนที่ 4 ของครอบครัวที่มีพื้นเพมาจากมณฑลเหอหนาน พ่อของฮฺว่าเสียชีวิตเมื่อเขาอายุได้ 7 ปี[1] เข้าศึกษาที่โรงเรียนพาณิชย์อำเภอเจียวเฉิง และเข้าร่วมกับพรรคคอมมิวนิสต์จีนในปี พ.ศ. 2481 ในช่วงสงครามจีน–ญี่ปุ่นครั้งที่สอง[2]
เขาได้เปลี่ยนชื่อเป็น ฮฺว่า กั๋วเฟิง เช่นเดียวกับคอมมิวนิสต์หลายคนในยุคนั้นที่จะใช้ชื่อใหม่ในการปฏิวัติ ชื่อใหม่ของเขาเป็นคำย่อของ "แนวหน้ากอบกู้ชาติต่อต้านญี่ปุ่นที่รุกรานจีน" (จีนตัวย่อ: 中华抗日救国先锋队; จีนตัวเต็ม: 中華抗日救國先鋒隊; พินอิน: Zhōnghuá kàngrì jiùguó xiānfēng duì) หลังจากเข้าเป็นทหารในกองทัพที่ 8 มาเป็นเวลา 12 ปี ภายใต้การบังคับบัญชาของจอมพลจู เต๋อ[2] เขาก็ได้รับแต่งตั้งให้เป็นหัวหน้าฝ่ายโฆษณาชวนเชื่อของคณะกรรมาธิการพรรคประจำอำเภอเจียวเฉิงในปี พ.ศ. 2490 ในช่วงสงครามกลางเมืองจีน
ฮฺว่าย้ายไปยังมณฑลหูหนานร่วมกับกองทัพปลดปล่อยประชาชนจีน (中国人民解放军) ที่ได้รับชัยชนะในปี พ.ศ. 2491 ต่อมาเขาแต่งงานกับหัน จือจฺวิ้น (韩芝俊) และอยู่ในมณฑลหูหนานจนถึงปี พ.ศ. 2514
ในเดือนสิงหาคม พ.ศ. 2492 เขาได้รับแต่งตั้งให้เป็นเลขาธิการพรรคประจำอำเภอเซียงยิน ก่อนการสถาปนาสาธารณรัฐประชาชนจีนในเดือนตุลาคมปีเดียวกัน ต่อมาในปี พ.ศ. 2495 เขาก็ได้รับแต่งตั้งให้เป็นเลขาธิการนครเซียงถาน อันเป็นภูมิลำเนาของเหมา ในขณะเดียวกันเขาก็ได้สร้างหอรำลึกให้กับเหมา เมื่อเหมาไปเยือนสถานที่นั้นในเดือนมิถุนายน พ.ศ. 2502 เหมารู้สึกประทับใจมาก[3]
เหมา เจ๋อตงได้พบกับฮฺว่าครั้งแรกในปี พ.ศ. 2498 และเหมารู้สึกประทับใจกับความเรียบง่ายของฮฺว่าอย่างเห็นได้ชัด[4]

เนื่องจากผู้ว่าการมณฑลหูหนาน นายพลเฉิง เฉียน (程潜) ไม่ใช่คอมมิวนิสต์แท้ เนื่องจากเคยอยู่กับพรรคก๊กมินตั๋งมาก่อน ฮฺว่าจึงค่อย ๆ มีอำนาจในมณฑลมากขึ้นเรื่อย ๆ จนได้รับการแต่งตั้งให้เป็นรองผู้ว่าการมณฑลในปี พ.ศ. 2501[1]
ในปี พ.ศ. 2502 ฮฺว่าได้เข้าร่วมการประชุมหลูชาน (庐山会议) ซึ่งเป็นการประชุมใหญ่ของคณะกรรมาธิการกลางพรรคคอมมิวนิสต์จีน ในฐานะสมาชิกคณะผู้แทนพรรคจากมณฑลหูหนาน และได้เขียนรายงานสองฉบับเพื่อปกป้องนโยบายทั้งหมดของเหมาอย่างเต็มที่
อิทธิพลของฮฺว่าเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่องในช่วงการปฏิวัติทางวัฒนธรรม (文化大革命) ในฐานะผู้สนับสนุนและเป็นผู้นำขบวนการปฏิวัติในมณฑลหูหนาน เขาจัดให้มีการจัดตั้งคณะกรรมการปฏิวัติ (革命委员会) ในท้องถิ่นในปี พ.ศ. 2510 โดยเขาดำรงตำแหน่งรองประธาน ในเดือนธันวาคม พ.ศ. 2513 เขาก็ได้รับเลือกให้เป็นประธานคณะกรรมการปฏิวัติและเลขาธิการพรรคประจำมณฑลหูหนาน
ฮฺว่าได้รับเลือกเป็นสมาชิกเต็มตัวของคณะกรรมาธิการกลางพรรคคอมมิวนิสต์จีนชุดที่ 9 ในปี พ.ศ. 2512[1]
เข้าสู่ศูนย์กลางอำนาจ[แก้]

ในปี พ.ศ. 2514 ฮฺว่าถูกเรียกตัวเข้ากรุงปักกิ่งเพื่อมาควบคุมสำนักงานเจ้าหน้าที่คณะมนตรีรัฐกิจของโจว เอินไหล แต่อยู่ได้ไม่กี่เดือนก่อนจะกลับไปดำรงตำแหน่งเดิมที่มณฑลหูหนาน[3] ต่อมาในปีเดียวกัน เขาได้รับการแต่งตั้งให้เป็นคณะกรรมาธิการสืบสวนคดีของจอมพลหลิน เปียว ซึ่งเป็นสัญลักษณ์ของความไว้วางใจอันแรงกล้าที่เหมามีต่อตัวเขา ต่อมาในปี พ.ศ. 2516 ฮฺว่าก็ได้รับเลือกอีกครั้งให้เป็นสมาชิกเต็มตัวของคณะกรรมาธิการกลางพรรคคอมมิวนิสต์จีนชุดที่ 10 และเลื่อนขั้นเป็นสมาชิกกรมการเมือง ในปีเดียวกันนั้น โจว เอินไหลได้มอบหมายเขาให้ดูแลด้านการพัฒนาการเกษตร
ในปี พ.ศ. 2516 เหมาได้แต่งตั้งฮฺว่าเป็นรัฐมนตรีว่าการกระทรวงความมั่นคงสาธารณะ และรองนายกรัฐมนตรี สิ่งนี้ทำให้เขาสามารถควบคุมตำรวจและกองกำลังรักษาความปลอดภัยได้ อิทธิพลที่เพิ่มขึ้นของฮฺว่าได้รับการยืนยันจากการที่เขาได้รับเลือกให้กล่าวสุนทรพจน์เรื่องการปรับปรุงการเกษตรให้ทันสมัยในเดือนตุลาคมปีเดียวกัน[5]
โจว เอินไหล ถึงแก่อสัญกรรมในวันที่ 8 มกราคม พ.ศ. 2519 ซึ่งเป็นช่วงเวลาที่พันธมิตรนักปฏิรูปของเติ้ง เสี่ยวผิง ยังไม่แข็งแกร่งพอที่จะยืนหยัดต่อสู้กับทั้งเหมา เจ๋อตงที่กำลังป่วย และแก๊งสี่คน (เจียง ชิง, จาง ชุนเฉียว, หวัง หงเหวิน, และเหยา เหวินหยวน) หนึ่งสัปดาห์หลังจากอ่านคำกล่าวสรรเสริญของนายกรัฐมนตรีผู้ล่วงลับ เติ้งก็ออกจากปักกิ่งพร้อมกับพันธมิตรใกล้ชิดหลายคนเพื่อความปลอดภัยไปยังกว่างโจว[6]
มีรายงานว่า เหมา เจ๋อตงต้องการจะแต่งตั้งจาง ชุนเฉียวเป็นผู้สืบทอดตำแหน่งของโจว เอินไหล แต่สุดท้ายเขาก็แต่งตั้งฮฺว่าเป็นรักษาการนายกรัฐมนตรีแทน โดยไม่ได้รับความเห็นชอบจากสภาประชาชนแห่งชาติ[7] ในเวลาเดียวกัน สื่อที่ถูกแก๊งสี่คนควบคุมก็ได้เริ่มประณามเติ้งอีกครั้ง (ซึ่งเคยถูกกำจัดในช่วงการปฏิวัติทางวัฒนธรรม และกลับสู่อำนาจอีกครั้งในปี พ.ศ. 2516)
อย่างไรก็ตาม ความรักที่ประชาชนมีต่อโจว เอินไหลถูกประเมินต่ำเกินไป อันนำไปสู่การเกิดเหตุการณ์กรณีเทียนอันเหมิน ซึ่งเป็นการเผชิญหน้ากันระหว่างทหารกับพลเมืองปักกิ่งที่ต้องการไว้อาลัยให้กับโจวในเทศกาลเช็งเม้งตามประเพณี ในเวลาเดียวกัน ฮฺว่าได้กล่าวสุนทรพจน์ "แถลงการณ์อย่างเป็นทางการสำหรับการวิพากษ์วิจารณ์เติ้ง เสี่ยวผิง" ซึ่งได้รับการอนุมัติจากเหมาและคณะกรรมาธิการกลางพรรค
ในช่วงเหตุการณ์กรณีเทียนอันเหมินในปี พ.ศ. 2519 ผู้คนหลายพันคนประท้วงการถอนพวงหรีดของทหารเพื่อเป็นเกียรติแก่โจวที่หน้าอนุสาวรีย์วีรชน ยานพาหนะถูกเผา สำนักงานถูกรื้อค้น และมีรายงานผู้บาดเจ็บและเสียชีวิตจำนวนมาก[8] ผลที่ตามมาคือ เติ้ง เสี่ยวผิงถูกกล่าวหาว่ายุยงให้เกิดการประท้วง และถูกถอดตำแหน่งในพรรคและรัฐบาลทั้งหมด แต่ยังคงเป็นสมาชิกพรรคอยู่ตามคำสั่งของเหมา หลังจากนั้นไม่นาน ฮฺว่าก็ได้รับการเลื่อนตำแหน่งเป็นรองประธานลำดับที่หนึ่งของคณะกรรมาธิการกลางพรรคคอมมิวนิสต์จีนและนายกรัฐมนตรี
หลังจากเกิดเหตุแผ่นดินไหวในถังชาน ในเดือนกรกฎาคม พ.ศ. 2519 ฮฺว่าได้ไปเยือนพื้นที่ที่ได้รับความเสียหายและได้ช่วยชี้แนะแนวทางการบรรเทาทุกข์
กำจัดแก๊งสี่คน[แก้]
เหมา เจ๋อตง ถึงแก่อสัญกรรมเมื่อวันที่ 9 กันยายน พ.ศ. 2519 และฮฺว่าในฐานะสมาชิกอันดับสองของพรรค และนายกรัฐมนตรีก็ได้เป็นผู้นำการจัดพิธีรำลึกระดับชาติในกรุงปักกิ่ง เพื่อเป็นเกียรติแก่เหมาในวันที่ 18 กันยายน และเป็นผู้กล่าวสุนทรพจน์ในการเฉลิมฉลองอนุสรณ์สถานของเหมาในจัตุรัสเทียนอันเหมิน ในขณะนั้น องค์กรที่มีอำนาจสูงสุดของประเทศคือคณะกรรมาธิการประจำกรมการเมือง ซึ่งประกอบด้วยฮฺว่า, เย่ เจี้ยนอิง, จาง ชุนเฉียว และหวัง หงเหวิน เย่อยู่ในช่วงใกล้จะเกษียณอายุ ส่วนจางและหวังเป็นส่วนหนึ่งของแก๊งสี่คน[9]
ฮฺว่ารู้ดีว่ามีสุญญากาศในอำนาจหลังการถึงแก่อสัญกรรมของเหมา และคิดว่าหากแก๊งสี่คนไม่ถูกกำจัดออกไปโดยใช้กำลัง แก๊งก็อาจจะพยายามกำจัดเขาออกไปเสียก่อน[9] ฮฺว่าจึงติดต่อกับเย่เป็นเวลาหลายวันหลังจากการถึงแก่อสัญกรรมของเหมา เพื่อหารือเกี่ยวกับแผนการกำจัดแก๊งสี่คน เย่เริ่มไม่แยแสแก๊งก่อนที่เหมาจะถึงแก่อสัญกรรม ดังนั้น เขาและฮฺว่าจึงตกลงกันอย่างรวดเร็วเพื่อจัดการกับแก๊งนี้ [9]
ฮฺว่ารู้สึกยินดีอย่างยิ่งที่ได้รับการสนับสนุนจากวัง ตงซิง หัวหน้าหน่วยรักษาความปลอดภัยที่ภักดีต่อเหมา ซึ่งเป็นผู้บังคับบัญชาหน่วยทหารพิเศษ 8341 รวมถึงบุคคลสำคัญในคณะกรรมาธิการกรมการเมืองคนอื่น ๆ อาทิ รองนายกรัฐมนตรีหลี่ เซียนเนี่ยน และนายพลเฉิน ซีเหลียน ผู้บัญชาการเขตการทหารปักกิ่ง และหลัว ชิงฉาง หัวหน้าหน่วยข่าวกรอง[9][1] กลุ่มของฮฺว่าได้หารือถึงแนวทางในการกำจัดแก๊งสี่คน รวมทั้งจัดประชุมคณะกรรมาธิการกรมการเมืองหรือคณะกรรมการกลางเพื่อกำจัดพวกเขาผ่านขั้นตอนของพรรคที่จัดตั้งขึ้น แต่แนวคิดดังกล่าวถูกล้มเลิกไปเพราะในขณะนั้นคณะกรรมการกลางประกอบด้วยผู้สนับสนุนแก๊งสี่คนเป็นจำนวนมาก ในที่สุดกลุ่มของฮฺว่าจึงตัดสินใจใช้กำลัง
ต่อมาหลังเที่ยงคืนของวันที่ 6 ตุลาคม พ.ศ. 2519[10] ฮฺว่าได้เชิญจาง ชุนเฉียว, หวัง หงเหวิน และเหยา เหวินหยวน มาประชุมที่จวนจงหนานไห่เพื่อหารือเกี่ยวกับนโยบายของเหมา และพวกเขาถูกจับกุมขณะกำลังเดินไปเข้าร่วมการประชุมที่ห้องประชุมหฺวายเหริน
ตามความทรงจำของฮฺว่า เขากล่าวว่า มีเพียงเขาและจอมพลเย่ เจี้ยนอิง เท่านั้นที่เข้าร่วมการประชุมเพื่อรอการมาถึงของสมาชิกของแก๊ง เมื่อจับกุมทั้งสามคนได้แล้ว เขาได้อ่านแถลงการณ์จับกุมเป็นการส่วนตัวและกล่าวว่าพวกเขามีส่วนร่วมในการกระทำการ "ต่อต้านพรรคและสังคมนิยม" และ "สมรู้ร่วมคิดแย่งชิงอำนาจ" ส่วนเจียง ชิง และเหมา หย่วนซิน ถูกจับในบ้านพักของตน[11]
กองกำลังเฉพาะกิจที่นำโดยเกิ่ง เปียว ได้เข้ายึดสำนักงานใหญ่โฆษณาชวนเชื่อหลักของพรรค เชื่อกันว่าเป็นส่วนหนึ่งของแผนของแก๊งสี่คนในขณะนั้น อีกกลุ่มหนึ่งถูกส่งไปเพื่อรักษาเสถียรภาพในเซี่ยงไฮ้ซึ่งเป็นฐานอำนาจหลักของแก๊ง ในการประชุมฉุกเฉินของคณะกรรมาธิการกรมการเมืองในวันรุ่งขึ้น ฮฺว่า กั๋วเฟิง ได้รับการแต่งตั้งให้เป็นประธานพรรคคอมมิวนิสต์จีน และประธานคณะกรรมาธิการการทหารส่วนกลาง ซึ่งเป็นหน่วยงานกำกับดูแลกองทัพปลดปล่อยประชาชนจีน[12]
การขึ้นสู่ตำแหน่งผู้นำระดับสูงของฮฺว่านั้นถูกต้องตามกฎหมายโดยคำพูดของเหมาที่กล่าวว่า "เมื่อมีคุณรับผิดชอบ ฉันก็สบายใจ" ซึ่งตีพิมพ์หลังจากการกวาดล้างแก๊งสี่คน และใช้เป็นหลักฐานยืนยันความไว้วางใจของเหมาที่มีต่อฮฺว่า[13]
เถลิงอำนาจ[แก้]

ฮฺว่า กั๋วเฟิงมีระยะเวลาครองอำนาจค่อนข้างสั้น ตั้งแต่เดือนตุลาคม พ.ศ. 2519 ถึงเดือนธันวาคม พ.ศ. 2521
ฮฺว่าได้กำจัดแก๊งสี่คนออกจากอำนาจทางการเมืองอย่างรวดเร็ว และด้วยเหตุนี้การขึ้นเป็นผู้นำของฮฺว่าจึงกลายเป็นจุดสิ้นสุดของการปฏิวัติทางวัฒนธรรม หลังจากการจำคุกแก๊งสี่คน และการสถาปนาผู้ปกครองสามฝ่ายใหม่ (ฮฺว่า กั๋วเฟิง, จอมพลเย่ เจี้ยนอิง และหัวหน้านักวางแผนเศรษฐกิจ หลี่ เซียนเนี่ยน) ก็ได้เริ่มการฟื้นฟูอำนาจของเติ้ง เสี่ยวผิง และเริ่มกำจัดอิทธิพลของแก๊งสี่คนทั่วทั้งระบบการเมือง อันนำไปสู่การต่อสู้แย่งชิงอำนาจกันระหว่างฮฺว่าและเติ้ง[14]
การเมืองภายในประเทศ[แก้]
![]() | ส่วนนี้รอเพิ่มเติมข้อมูล คุณสามารถช่วยเพิ่มข้อมูลส่วนนี้ได้ |
เศรษฐกิจ[แก้]
![]() | ส่วนนี้รอเพิ่มเติมข้อมูล คุณสามารถช่วยเพิ่มข้อมูลส่วนนี้ได้ |
นโยบายการต่างประเทศ[แก้]
![]() | ส่วนนี้รอเพิ่มเติมข้อมูล คุณสามารถช่วยเพิ่มข้อมูลส่วนนี้ได้ |
การแย่งชิงอำนาจและการลงจากตำแหน่ง[แก้]
![]() | ส่วนนี้รอเพิ่มเติมข้อมูล คุณสามารถช่วยเพิ่มข้อมูลส่วนนี้ได้ |
เกษียณอายุและถึงแก่อสัญกรรม[แก้]
ฮฺว่าสูญเสียที่นั่งในคณะกรรมาธิการกลางพรรคคอมมิวนิสต์จีนอย่างเป็นทางการ หลังจากการประชุมสมัชชาใหญ่ครั้งที่ 16 ของพรรคในเดือนพฤศจิกายน พ.ศ. 2545 มีรายงานว่าเขาสมัครใจที่จะถอนตัวเนื่องจากเหตุผลด้านสุขภาพ แต่ทางพรรคก็ไม่ได้ยืนยันในเรื่องนี้อย่างเป็นทางการ[15]
อย่างไรก็ตาม ในปี พ.ศ. 2550 เขาได้รับเชิญให้เข้าร่วมการประชุมสมัชชาใหญ่ครั้งที่ 17 ของพรรค ในฐานะผู้แทนพิเศษ และเขาก็ปรากฏตัวในพิธีรำลึกวันเกิดครบรอบ 115 ปีของเหมา เจ๋อตง ที่จัดขึ้นในเดือนธันวาคม พ.ศ. 2550[16] แม้จะมีตำแหน่งในพรรค แต่ฮฺว่าก็เริ่มตีตัวออกห่างจากการมีส่วนร่วมทางการเมือง งานอดิเรกหลักของเขาคือการเพาะปลูกองุ่น และติดตามสถานการณ์บ้านเมืองโดยการอ่านหนังสือพิมพ์[17]
สุขภาพของฮฺว่าเริ่มแย่ลงในปี พ.ศ. 2551 เขาเข้ารับการรักษาในโรงพยาบาลด้วยโรคแทรกซ้อนที่ไตและหัวใจ[17] และถึงแก่อสัญกรรมอย่างสงบในกรุงปักกิ่ง เมื่อวันที่ 20 สิงหาคม พ.ศ. 2551 โดยไม่ได้ระบุสาเหตุการถึงแก่อสัญกรรม[18]
เนื่องจากการถึงแก่อสัญกรรมของเขาเกิดขึ้นในช่วงกีฬาโอลิมปิกฤดูร้อน สื่อของรัฐจึงไม่ได้ให้ความสนใจมากนัก มีเพียงการออกอากาศในรายการข่าวระดับชาติ "ซินเหวินเหลียนปัว"(新闻联播) เพียง 30 วินาที[ต้องการอ้างอิง] และย่อหน้าสั้น ๆ ที่มุมหน้าหนึ่งของหนังสือพิมพ์พีเพิลส์เดลี (People's Daily) เพียงเท่านั้น[19]
พิธีศพของฮฺว่าถูกจัดขึ้นในวันที่ 30 สิงหาคม ที่สุสานปฏิวัติปาเป่าชาน (八宝山革命公墓) มีสมาชิกคณะกรรมาธิการประจำกรมการเมืองทุกคนเข้าร่วม อาทิเช่น อดีตประธานาธิบดีเจียง เจ๋อหมิน และอดีตนายกรัฐมนตรีจู หรงจี้[20]
มรดก[แก้]
![]() | ส่วนนี้รอเพิ่มเติมข้อมูล คุณสามารถช่วยเพิ่มข้อมูลส่วนนี้ได้ |
ชีวิตส่วนตัว[แก้]

ฮฺว่า กั๋วเฟิงแต่งงานกับหัน จือจฺวิ้น (韩芝俊) ในเดือนมกราคม พ.ศ. 2492 มีบุตรด้วยกันทั้งหมด 4 คน และทั้งหมดมีนามสกุลว่า "ซู" (苏) ตามนามสกุลเมื่อแรกเกิดของฮฺว่า:
- ซู หฺวา (苏华) เป็นนายทหารอากาศเกษียณอายุ
- ซู ปิน (苏斌) เป็นนักพัฒนาอสังหาริมทรัพย์
- ซู หลิง (苏玲) เป็นเจ้าหน้าที่พรรคและสหภาพแรงงานในสำนักงานการบินพลเรือนแห่งประเทศจีน
- ซู ลี่ (苏莉) ทำงานในคณะมนตรีรัฐกิจสาธารณรัฐประชาชนจีน
ดูเพิ่ม[แก้]
อ้างอิง[แก้]
- ↑ 1.0 1.1 1.2 1.3 อ้างอิงผิดพลาด: ป้ายระบุ
<ref>
ไม่ถูกต้อง ไม่มีการกำหนดข้อความสำหรับอ้างอิงชื่อbio1
- ↑ 2.0 2.1 Palmowski, Jan: "Hua Guofeng" in A Dictionary of Contemporary World History. Oxford University Press, 2004.
- ↑ 3.0 3.1 Wang, James C.F., Contemporary Chinese Politics: An Introduction (Prentice-Hall, New Jersey: 1980), p. 36.
- ↑ Li, Xiaobing; Tian, Xiansheng (2013-11-21). Evolution of Power: China's Struggle, Survival, and Success (ภาษาอังกฤษ). Lexington Books. p. 67. ISBN 978-0-7391-8498-1.
- ↑ Wang, James C.F., Contemporary Chinese Politics: An Introduction (Prentice-Hall, New Jersey: 1980), p. 37.
- ↑ Hollingworth, Clare, Mao and the Men Against Him (Jonathan Cape, London: 1985), p. 291ff
- ↑ Fontana 1982, p. 245.
- ↑ Hollingworth, Clare, Mao and the Men Against Him (Jonathan Cape, London: 1985), pp. 297–298
- ↑ 9.0 9.1 9.2 9.3 华国锋口述:怀仁堂事变真实经过. Duowei. 3 November 2016.
- ↑ Hsü, Immanuel Chung-yueh (1990), China Without Mao: the Search for a New Order, Oxford University Press, p. 18, ISBN 0-19536-303-5
- ↑ Hsin, Chi. The Case of the Gang of Four. Revised ed. Hong Kong: Cosmo, 1978. Print.
- ↑ Li-Ogawa 2022, p. 126.
- ↑ Li-Ogawa 2022, p. 131.
- ↑ "Post-Mao Period, 1976-78". ibiblio.org. สืบค้นเมื่อ 1 May 2019.
- ↑ "Pakistan Daily Times Article". Daily Times. สืบค้นเมื่อ 10 February 2005.
- ↑ 十七大之后拜访华国锋 [Visiting Hua Guofeng after the 17th Congress]. Sohu. สืบค้นเมื่อ 22 September 2008.
- ↑ 17.0 17.1 简单的晚年生活 华国锋远离政治的日子 [A simple late life: Hua Guofeng's days away from politics]. China News Weekly (ภาษาChinese (China)). 21 September 2008. คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 7 June 2020. สืบค้นเมื่อ 21 September 2008.
- ↑ Keith Bradsher and William J. Wellman, "Hua Guofeng, 87, Who Led China After Mao, Dies", The New York Times, 20 August 2008.
- ↑ 华国锋在京病逝 曾经担任党和国家重要领导职务. Sohu via Xinhua. 21 August 2008. สืบค้นเมื่อ 31 December 2011.
- ↑ 华国锋同志遗体在京火化 胡锦涛等到革命公墓送别. People's Daily. 30 August 2008. คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 29 December 2011. สืบค้นเมื่อ 31 December 2011.
แหล่งข้อมูลอื่น[แก้]
- ประวัติอย่างเป็นทางการของฮฺว่า กั๋วเฟิง (ภาษาจีน), สำนักข่าวซินหัว 31 สิงหาคม 2551
- เอกสารเก่าของฮฺว่า กั๋วเฟิง ในเอกสารสำคัญทางอินเทอร์เน็ตของลัทธิมาร์กซิสต์