ผลต่างระหว่างรุ่นของ "เนติบัณฑิตยสภา ในพระบรมราชูปถัมภ์"
ไม่มีความย่อการแก้ไข |
Tiemianwusi (คุย | ส่วนร่วม) ตามตัวอักษรสิ จะได้ไม่ต้องแก่งแย่งกัน |
||
บรรทัด 25: | บรรทัด 25: | ||
{{บน}} |
{{บน}} |
||
* '''กลุ่มมหาวิทยาลัยรัฐบาล''' |
* '''กลุ่มมหาวิทยาลัยรัฐบาล''' |
||
<!--เรียงตามตัวอักษรไทย--> |
|||
⚫ | |||
⚫ | |||
⚫ | |||
* [[จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย]] |
* [[จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย]] |
||
* [[มหาวิทยาลัย |
* [[มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์]] |
||
⚫ | |||
* [[มหาวิทยาลัยเชียงใหม่]] |
* [[มหาวิทยาลัยเชียงใหม่]] |
||
⚫ | |||
⚫ | |||
* [[มหาวิทยาลัยทักษิณ]] |
* [[มหาวิทยาลัยทักษิณ]] |
||
* [[มหาวิทยาลัย |
* [[มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์]] |
||
* [[มหาวิทยาลัย |
* [[มหาวิทยาลัยนเรศวร]] |
||
⚫ | |||
* [[มหาวิทยาลัยบูรพา]] |
* [[มหาวิทยาลัยบูรพา]] |
||
* [[มหาวิทยาลัย |
* [[มหาวิทยาลัยพะเยา]] |
||
* [[มหาวิทยาลัยมหาสารคาม]] |
* [[มหาวิทยาลัยมหาสารคาม]] |
||
⚫ | |||
⚫ | |||
⚫ | |||
⚫ | |||
⚫ | |||
* '''กลุ่มมหาวิทยาลัยเอกชน''' |
* '''กลุ่มมหาวิทยาลัยเอกชน''' |
||
* [[มหาวิทยาลัยกรุงเทพธนบุรี]] |
* [[มหาวิทยาลัยกรุงเทพธนบุรี]] |
รุ่นแก้ไขเมื่อ 23:21, 26 พฤษภาคม 2555
บทความนี้ไม่มีการอ้างอิงจากแหล่งที่มาใด |
เนติบัณฑิตยสภา ในพระบรมราชูปภัมภ์ เป็นองค์การอิสระ ที่มีฐานะเป็นนิติบุคคล ตามพระราชบัญญัติเนติบัณฑิตยสภา พ.ศ. 2507 ซึ่งตราขึ้นโดยจอมพล ถนอม กิตติขจร โดยมีรัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรม เป็นสภานายกพิเศษ มีอำนาจหน้าที่ควบคุมกิจการทั้งปวงของสภา และยับยั้งมติของสภาด้วย กับทั้งมีประธานศาลฎีกา เป็นนายก ประธานศาลอุทธรณ์ เป็นอุปนายกคนที่ 1 และอัยการสูงสุด เป็นอุปนายกคนที่ 2
สภามีวัตถุประสงค์เพื่อส่งเสริมการศึกษานิติศาสตร์ และการประกอบอาชีพทางกฎหมาย รวมทั้งจัดหาทุนเพื่อการนั้น ตลอดจนส่งเสริมความสามัคคีและผดุงเกียรติของสมาชิก
ประวัติ
พระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว ได้มีพระราชดำริจัดตั้งเนติบัณฑิตยสภา เพื่อประสงค์บำรุงการศึกษาวิชากฎหมายทั้งการรักษาความประพฤติของทนายความ ให้ตั้งอยู่ในสัจธรรม ให้สาธารณชนได้อาศัยทนายความซึ่งมีความสามารถและสมควรที่จะเชื่อถือได้ดียิ่งขึ้น ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้เจ้าพระยาอภัยราชา เสนาบดีกระทรวงยุติธรรม และกรมหลวงสวัสดิวัดนวิศิษฎ์ อธิบดีศาลฎีกา พิจารณาร่างข้อบังคับเนติบัณฑิตยสภา ทรงรับเนติบัณฑิตยสภาไว้ในพระบรมราชูปถัมภ์ เมื่อวันที่ 1 มกราคม 2457 และถือเป็น "วันกำเนิดเนติบัณฑิตยสภา"
สำนักอบรมศึกษากฎหมายแห่งเนติบัณฑิตยสภา
เมื่อ พ.ศ. 2491 เนติบัณฑิตยสภาได้จัดตั้ง สำนักอบรมศึกษากฎหมายแห่งเนติบัณฑิตยสภา มีหลักสูตรตามแบบอย่างของ "สภาการศึกษากฎหมายแห่งเนติบัณฑิตยสภาประเทศอังกฤษ" และต้องตามมติของ "เนติบัณฑิตยสภาสากล" ซึ่งได้มีมติในการประชุมใหญ่ครั้งที่ 2 ณ กรุงเฮก ประเทศเนเธอร์แลนด์ เมื่อเดือนสิงหาคม พ.ศ. 2491 ว่า การจัดการศึกษาวิชากฎหมายนั้นจำเป็นต้องให้มีการศึกษาภาคปฏิบัติอย่างเพียงพอเสียก่อนที่จะอนุญาตเข้าปฏิบัติงานในวิชาชีพกฎหมาย
สำนักอบรมศึกษากฎหมายแห่งเนติบัณฑิตยสภา เริ่มเปิดการสอนและศึกษาขึ้นเป็นครั้งแรก ในเดือนพฤศจิกายน พ.ศ. 2491 ผู้ที่สอบไล่ได้ตามหลักสูตร และเนติบัณฑิตยสภาได้ยอมรับเข้าเป็นสามัญสมาชิกแล้ว ให้เป็นเนติบัณฑิต (Barrister-at-Law) เรียกว่า เนติบัณฑิตไทย ใช้อักษรย่อ น.บ.ท.
การสมัครเข้าเป็นนักศึกษา
ผู้เป็นนักศึกษาในสำนักอบรมศึกษากฎหมายแห่งเนติบัณฑิตยสภาต้องเป็น
(1) ผู้สอบไล่ได้ปริญญาตรีทางนิติศาสตร์จากมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย มหาวิทยาลัยรามคำแหง มหาวิทยาลัยสุโขทัยธรรมาธิราช และ มหาวิทยาลัยเชียงใหม่
(2) ผู้ที่ได้ศึกษาวิชานิติศาสตร์ในสถาบันอื่น ในหรือนอกประเทศไทย และสอบไล่ได้ตามมาตราฐานซึ่งคณะกรรมการอำนวยการอบรมศึกษากฎหมายแห่งเนติบัณฑิตยสภา เทียบให้ไม่ต่ำกว่าวิทยฐานะดังกล่าว ใน (1) ซึ่งในทางปฏิบัติ คณะกรรมการอำนวยการอบรมศึกษากฎหมายแห่งเนติบัณฑิตยสภา ได้เทียบระดับปริญญาตรีทางนิติศาสตร์ จากสถาบันการศึกษาที่ทบวงมหาวิทยาลัยได้รับรองมาตราฐานการศึกษาแล้ว
สถาบันอุดมศึกษาที่ผ่านการรับรองจากเนติบัณฑิตยสภา
คณะกรรมการอำนวยการอบรมศึกษากฎหมายแห่งเนติบัณฑิตยสภา อนุมัติสถาบันอุดมศึกษาที่สามารถสอบเนติบัณฑิตได้ ดังนี้[1]
...ข้อมูล เนติบัณฑิตยสภา ณ วันที่ ๒ พฤษภาคม พุทธศักราช ๒๕๕๕
หลักสูตรการเรียนการสอน
- ภาคเรียนที่หนึ่ง
กลุ่มวิชากฎหมายแพ่ง ได้แก่ วิชาทรัพย์-ที่ดิน l นิติกรรม-สัญญา l หนี้ l ละเมิด l ซื้อขาย-เช่าทรัพย์-เช่าซื้อ l ยืม-ค้ำประกัน-จำนอง-จำนำ l ตัวแทน-ประกันภัย-ตั๋วเงิน-บัญชีเดินสะพัด l หุ้นส่วน-บริษัท l ครอบครัว l มรดก l กฎหมายทรัพย์สินทางปัญญา l กฎหมายการค้าระหว่างประเทศ
การเรียนการสอนในกลุ่มวิชากฎหมายแพ่งนั้น จะใช้บทบัญญัติตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ทั้งหมด แต่ในส่วนของวิชาละเมิด ได้มีการนำหลักความรับผิดทางละเมิดของเจ้าหน้าที่ ตามพระราชบัญญัติความรับผิดทางละเมิดของเจ้าหน้าที่ พ.ศ. 2539 มาประกอบการเรียนการสอนด้วย
กลุ่มวิชากฎหมายอาญา ได้แก่ วิชากฎหมายอาญา l กฎหมายแรงงานและวิธีพิจารณาคดีในศาลแรงงาน l รัฐธรรมนูญ l กฎหมายปกครอง l กฎหมายภาษีอากร
ในส่วนของกฎหมายอาญานั้น จะมีการแบ่งออกไปเป็น 3 วิชา ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 59-106 1 วิชา 1-58,107-208 1 วิชา และ มาตรา 288-366 อีก 1วิชา
- ภาคเรียนที่สอง
กลุ่มวิชากฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง ได้แก่ กฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง l กฎหมายล้มละลายและการฟื้นฟูกิจการ l ระบบศาลและพระธรรมนูญศาลยุติธรรม l
กลุ่มวิชากฎหมายวิธิพิจารณาอาญา ได้แก่ กฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา l สิทธิมนุษยชนในกระบวนการยุติธรรม l กฎหมายลักษณะพยานหลักฐาน l วิชาว่าความและการถามพยาน l การจัดทำเอกสารทางกฎหมาย
การจบหลักสูตร
ผู้ที่จะถือว่าจบหลักสูตรเป็นเนติบัณฑิตได้นั้น จะต้องสอบผ่านการสอบข้อเขียนทั้งสองภาค โดยในการสอบแต่ละภาคจะต้องได้คะแนนไม่ต่ำกว่าร้อยละ 50 ขึ้นไป และผ่านการสอบปากเปล่า ผู้ที่สามารถสอบผ่านภาคหนึ่งภาคใดได้ ไม่ต้องสอบข้อเขียนของภาคนั้นอีก แม้ว่าจะสอบข้อเขียนอีกภาคหนึ่งตก เมื่อสอบได้ทั้งสองภาคจึงมีสิทธิสอบปากเปล่า
การสอบปากเปล่า กรรมการผู้สอบจะวินิจฉัยเพียงว่า "สอบได้" หรือ "สอบตก" เท่านั้น ถ้าผู้สอบปากเปล่าผู้ใดสอบตก ผู้นั้นมีสิทธิเข้าสอบปากเปล่ากับคณะกรรมการซึ่งตั้งขึ้นเพื่อการนั้นในวันเดียวกันอีกครั้งหนึ่ง ถ้าผู้สอบปากเปล่าตกในการเรียนสมัยใด (หรือปีใด) ผู้นั้นมีสิทธิสอบแก้ตัวอีกสามครั้ง หากยังสอบไม่ผ่านอีกเป็นครั้งที่สาม ให้ถือว่าการสอบข้อเขียนทั้งสองภาคที่ได้ไว้แล้วนั้นเป็นอันยกเลิก
ดูเพิ่ม
แหล่งข้อมูลอื่น
- เว็บไซต์ เนติบัณฑิตยสภา ในพระบรมราชูปถัมภ์
- เว็บไซต์ สำนักอบรมศึกษากฎหมายแห่งเนติบัณฑิตยสภา
- เว็บไซต์ เนติบัณฑิตยสภาสากล