ข้ามไปเนื้อหา

พระแม่คงคา

จากวิกิพีเดีย สารานุกรมเสรี
พระแม่คงคา
บุคลาธิษฐานของแม่น้ำคงคา
เทวีแห่งสายน้ำและความบริสุทธิ์
จิตรกรรม พระแม่คงคาทรงเทพพาหนะ คือ ปลา ศิลปะไทยประยุกต์ โดยอาจารย์สนั่น ศิลากรณ์ ภาพประกอบหนังสือ เทวกำเนิด ของพระยาสัจจาภิรมย์ (สรวง ศรีเพ็ญ)[1]
ชื่ออื่น
  • ภาคีรถี
  • ศิวะปรียา
  • ชหนวี
  • นิติกา
  • มณฑากินี
ส่วนเกี่ยวข้อง
มนตร์โอม ศรี คังคาไย นะมะ
อาวุธหม้อปูรณฆฏะ
สัญลักษณ์แม่น้ำคงคา
พาหนะมกร ( จระเข้ และ ปลา ในศิลปะไทย )
เทศกาล
ข้อมูลส่วนบุคคล
บิดา-มารดาพระหิมาวัต และ นางไมนาวตี (ในบางพระคัมภีร์)
พี่น้องพระอุมาภควดี, ไมนกะ (ในบางพระคัมภีร์)
คู่ครอง
บุตร - ธิดาภีษมะ และบุตรชายทั้งเจ็ดจากพระเจ้าศานตนุ

ในศาสนาฮินดูนั้น แม่น้ำคงคาถือว่ามีความศักดิ์สิทธิ์ และมีรูปเป็นเทวีพระนามว่า พระแม่คงคา (สันสกฤต: गङ्गा Gaṅgā) พระนางได้รับการเคารพบูชาในศาสนาฮินดู ที่ซึ่งมีความเชื่อว่าการลงอาบน้ำในแม่น้ำคงคาจะเป็นการคลายบาปและช่วยหนุนไปสู่โมกษะ และเชื่อกันว่าน้ำในแม่น้ำคงคานั้นบริสุทธิ์มาก ผู้แสวงบุญที่เดินทางมานิยมนำเถ้าอัฐิของญาติผู้ล่วงลับมาลอยในแม่น้ำ เชื่อกันว่าจะช่วยนำพาดวงวิญญาณ ไปสู่โมกษะ เรื่องราวของพระนางพบได้ทั้งในฤคเวทและปุราณะต่าง ๆ

ศาสนสถานสำคัญของฮินดูหลายแห่งตั้งอยู่ริมแม่น้ำคงคา ตั้งแต่ที่ คงโคตริ, หฤทวาร, ปรยาคราช, พาราณสี และกาลีฆัตในกัลกัตตา นอกจากการเคารพบูชาในศาสนาฮินดูแล้ว ในประเทศไทยยังมีเทศกาลลอยกระทงที่ซึ่งมีการลอยกระทงบนทางน้ำไหลเพื่อระลึกถึงพระพุทธคุณและพระแม่คงคา เพื่อเป็นการสร้างบุญและล้างความชั่วร้ายตามความเชื่อว่าให้ลอยไปกับสายน้ำ

ในรูปเคารพพระแม่คงคาเป็นสตรีท่าทางใจดีมีผิวพระวรกายอ่อน ประทับบนจระเข้ ในพระหัตถ์ทรงดอกบัวในหัตถ์หนึ่ง และพิณอินเดียในอีกหัตถ์หนึ่ง หากเป็นรูปสี่พระหัตถ์อาจทรงหม้อกลัศ หรือหม้อใส่น้ำอมฤต, ประคำ, ดอกบัว, ศิวลึงค์, ตรีศูล หรือทรงวรทมุทราหรือมุทราอื่นขึ้นอยู่กับศิลปะ

ในศิลปะของเบงกอล มักแสดงพระองค์ทรงสังข์, จักร, ดอกบัว และทรงอภัยมุทรา พร้อมมั้งเทน้ำมนตร์จากหม้อกลัศ

พระวาหนะ

[แก้]

ใน พรหมไววรรตปุราณะ พระแม่คงคานิยมสร้างรูปเคียงกับพระวาหนะ (พาหนะ) ของพระองค์คือมกร หรือสิ่งมีชีวิตคล้ายมังกรในศาสนาฮินดู ลักษณะการใช้มกรเปนพระวาหนะนี้ได้รับการตีความอย่างหลากหลาย บ้างว่าเป็นตัวแทนของความฉลาดเฉลียว การเอาชนะความดุร้าย เป็นต้น

ในคติความเชื่อต่าง ๆ

[แก้]

พระแม่คงคาทรงเป็นที่นิยมได้รับการบูชาอย่างมากในประเทศเนปาล โดยทรงได้รับการบูชาควบคู่กับพระแม่ยมุนา เทวรูปที่มีชื่อเสียงของพระนางคือองค์ที่ประดิษฐาน ณ จตุรัสพระราชวังปาฏัน[5][6] และโคกรรณมหาเทวมนเทียร (Gokarna Mahadev Temple) ในนครกาฐมาณฑุ[7]

ในประเทศศรีลังกา ทรงได้รับการบูชาร่วมกับเทวดาในศาสนาฮินดูองค์อื่น ๆ ในฐานะผู้รักษาพระพุทธศาสนา เทวรูปที่มีชื่อเสียงของพระนางคือที่เกลณียราชมหาวิหาร (Kelaniya Raja Maha Vihara)[8][9]

ในศาสนาฮินดูแบบบาหลี พระนางได้รับการบูชาร่วมกับพระแม่ดานู นอกจากนี้ยังเป็นที่รู้จักในฐานะมารดาของภีษมะในมหาภารตะ มีโบสถ์พราหมณ์หลายแห่งที่สร้างอุทิศถวายพระนาง เช่น ตีร์ตากังกา, ปูราตามันมุมบุลกันดาซารี (Pura Taman Mumbul Sangeh) และ โกงโจปูราตามันกันดาซารี (Kongco Pura Taman Gandasari)[10][11][12]

ทะเลสาบคังคาตลโอ ในประเทศมอริเชียสเป็นโบสถ์พราหมณ์อีกแห่งที่อุทิศถวายพระนางและได้มีการอัญเชิญน้ำจากแม่น้ำคงคามาผสมในทะเลสาบ และได้ทำพิธีเทวาภิเษกและเปลี่ยนชื่อเป็น ทะเลสาบคังคาตลโอ[13]

พระแม่คงคาได้รับการบูชาร่วมกับ พระอิศวร, พระภูมิเทวี, พระอาทิตย์ และ พระจันทร์ ในพระราชพิธีตรียัมพวาย ตรีปวายและแห่นางดานของศาสนาฮินดูในประเทศไทย โดยทั่วไปพระนางได้รับการสักการะบูชาร่วมกับพระแม่ธรณีของพุทธศาสนานิกายเถรวาทและแม่พระโพสพของศาสนาผี. สระศักดิ์สิทธิ์ทั้งสี่ของจังหวัดสุพรรณบุรีเป็นตัวแทนของน้ำศักดิ์สิทธิ์ของพระนางที่ใช้พิธีกรรมต่างๆของไทย[14][15][16]

ในประเทศกัมพูชาพระนางเป็นที่รู้จักและได้รับการบูชาตั้งแต่ในสมัยจักรวรรดิเขมร โดยเทวรูปที่มีชื่อเสียงของพระนาง คือ เทวรูป พระอุมาคงคาปติศวร (อังกฤษ: Uma-Gangapatisvarar:เขมร: ព្រះឧមាគង្គាបតិស្វរ),ในฐานะชายาของพระศิวะร่วมกับพระปารวตี ที่สำคัญเช่นปราสาทบากอง, และหน้าบันของปราสาทธมมานนท์ เป็นต้น[17][18][19]

อ้างอิง

[แก้]
  1. https://th.wikisource.org/wiki/%E0%B8%94%E0%B8%B1%E0%B8%8A%E0%B8%99%E0%B8%B5:%E0%B9%80%E0%B8%97%E0%B8%A7%E0%B8%81%E0%B8%B3%E0%B9%80%E0%B8%99%E0%B8%B4%E0%B8%94_-_%E0%B8%AA%E0%B8%A3%E0%B8%A7%E0%B8%87_%E0%B8%A8%E0%B8%A3%E0%B8%B5%E0%B9%80%E0%B8%9E%E0%B9%87%E0%B8%8D_-_%E0%B9%92%E0%B9%95%E0%B9%90%E0%B9%92.pdf
  2. Hawley, John Stratton; Wulff, Donna Marie (1984). The Divine Consort: Rādhā and the Goddesses of India (ภาษาอังกฤษ). Motilal Banarsidass Publishing House. ISBN 978-0-89581-441-8.
  3. Wangu, Madhu Bazaz (2003). Images of Indian Goddesses: Myths, Meanings, and Models (ภาษาอังกฤษ). Abhinav Publications. ISBN 978-81-7017-416-5.
  4. Sivaramamurti, C. (1976). Gaṅgā (ภาษาอังกฤษ). Orient Longman. ISBN 978-0-86125-084-4.
  5. "Statue of the River Goddess Ganga in Royal Palace in Patan, Kathmandu Valley, Nepal Stock Photo - Image of Nepalese, Asian: 89398650". คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 22 มิถุนายน 2020. สืบค้นเมื่อ 14 พฤษภาคม 2022.
  6. "Nepal Patan Ganga Statue High Resolution Stock Photography and Images - Alamy".
  7. "53 Kathmandu Gokarna Mahadev Temple Ganga Statue". Mountainsoftravelphotos.com. 10 ตุลาคม 2010. สืบค้นเมื่อ 12 สิงหาคม 2022.
  8. "Kelaniya Raja Maha Vihara".
  9. "The Goddess Ganga (Bas-relief depicting the goddess Ganga atop her crocodile (Makara) mount at Kelaniya Temple, Sri Lanka) | Mahavidya". คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 22 มิถุนายน 2020. สืบค้นเมื่อ 14 พฤษภาคม 2022.
  10. "Tirta Gangga Water Palace - A Complete Guide to Visiting". 13 มกราคม 2020.[ลิงก์เสีย]
  11. "Taman Mumbul dengan Panglukatan Pancoran Solas di Sangeh, Simbol Dewata Nawasanga".
  12. "SERBA SERBI TRIDHARMA: Kelenteng Kwan Kung Miau - Denpasar, Bali". 4 มกราคม 2015.
  13. "How a lake became the sacred Ganga Talao". สืบค้นเมื่อ 5 มีนาคม 2020.
  14. "พระราชพิธีตรียัมปวาย-ตรีปวาย".
  15. "อุทยานศาสนาพระโพธิสัตว์กวนอิม".
  16. ""พันปีไม่เคยแห้ง" น้ำศักดิ์สิทธิ์ ของพญานาค จากสระทั้งสี่ ที่เมืองสุพรรณบุรี". 4 มีนาคม 2019.
  17. "Vasudha Narayanan | Department of Religion".
  18. "Shiva with Uma and Ganga, sandstone, 101 x 53 x 13 cm".
  19. "May 2015".

แหล่งข้อมูล

[แก้]
  • Eck, Diana L. (1982), Banaras, city of light, Columbia University, ISBN 978-0231114479
  • Eck, Diana (1998), "Gangā: The Goddess Ganges in Hindu Sacred Geography", ใน Hawley, John Stratton; Wulff, Donna Marie (บ.ก.), Devī: Goddesses of India, University of California / Motilal Banarasidass, pp. 137–53, ISBN 8120814916
  • Vijay Singh: The River Goddess (Moonlight Publishing, London, 1994)

แหล่งข้อมูลอื่น

[แก้]