ข้ามไปเนื้อหา

ประเทศเวียดนามเหนือ

พิกัด: 21°01′42″N 105°51′15″E / 21.02833°N 105.85417°E / 21.02833; 105.85417
จากวิกิพีเดีย สารานุกรมเสรี
สาธารณรัฐประชาธิปไตยเวียดนาม

Việt Nam Dân chủ Cộng hòa (เวียดนาม)
2488–2519
ธงชาติเวียดนามเหนือ
ธงชาติ
(พ.ศ. 2498–2519)
ตราแผ่นดิน (พ.ศ. 2518–2519)ของเวียดนามเหนือ
ตราแผ่นดิน
(พ.ศ. 2518–2519)
คำขวัญ"อิสรภาพ – เสรีภาพ – ความสุข"
(เวียดนาม: Độc lập – Tự do – Hạnh phúc")
เขตปกครองของสาธารณรัฐประชาธิปไตยเวียดนามตาม การประชุมเจนีวา แสดงเป็นสีเขียวเข้ม ส่วนดินแดนที่อ้างสิทธิ์จะแสดงเป็นเขียวอ่อน
เขตปกครองของสาธารณรัฐประชาธิปไตยเวียดนามตาม การประชุมเจนีวา แสดงเป็นสีเขียวเข้ม ส่วนดินแดนที่อ้างสิทธิ์จะแสดงเป็นเขียวอ่อน
สถานะรัฐที่ไม่ได้รับการรับรอง (2488–2497)
รัฐเอกราช (2497–2519)
เมืองหลวง
และเมืองใหญ่สุด
ฮานอย
21°01′42″N 105°51′15″E / 21.02833°N 105.85417°E / 21.02833; 105.85417
ภาษาราชการเวียดนาม
ตัวอักษรทางการตัวอักษรเวียดนาม
ศาสนา
รัฐอเทวนิยม
เดมะนิม
การปกครองรัฐเดี่ยว ลัทธิมากซ์–เลนิน รัฐพรรคการเมืองเดียว สาธารณรัฐสังคมนิยม (หลัง พ.ศ. 2497)
หัวหน้าพรรคแรงงาน 
• 2488–2499
เจื่อง ชิญ
• 2499–2503
โฮจิมินห์
• 2503–2518
เล ด่วญ[a]
ประธานาธิบดี 
• 2488–2512
โฮจิมินห์
• 2512–2518
โตน ดึ๊ก ทัง
นายกรัฐมนตรี 
• 1945–1955
โฮจิมินห์
• 1955–1975
พัม วัน ด่ง
สภานิติบัญญัติสมัชชาแห่งชาติ
ยุคประวัติศาสตร์สมัยหลังสงครามโลกครั้งที่สอง/สงครามเย็น
19 สิงหาคม 2488
25 สิงหาคม 2488
2 กันยายน 2488
6 มกราคม 2489
6 มีนาคม 2489
19 ธันวาคม 2489
22 กรกฎาคม 2497
• เริ่มต้น สงครามเวียดนาม
1 พฤศจิกายน 2498
• โฮจิมินห์ ถึงแก่อสัญกรรม
2 กันยายน 2515
27 กรกฎาคม 2516
30 เมษายน 2518
2 กรกฎาคม 2519
พื้นที่
1945331,212 ตารางกิโลเมตร (127,882 ตารางไมล์)
1955157,880 ตารางกิโลเมตร (60,960 ตารางไมล์)
1968157,880 ตารางกิโลเมตร (60,960 ตารางไมล์)
ประชากร
• 1945
ป. 20 ล้าน[หมายเหตุ 1]
• 1955
16,100,000 [1]
• 1968
18,700,000 [2]
• 1974
23,800,000 [1]
จีดีพี (อำนาจซื้อ) 1960 (ประมาณ)
• รวม
4,113 ล้านดอลลาร์สหรัฐ[3]
$51[4]
สกุลเงินđồng
cash (until 1948)[5]
ก่อนหน้า
ถัดไป
2488:
จักรวรรดิเวียดนาม
2497:
อินโดจีนของฝรั่งเศส
2489:
อินโดจีนของฝรั่งเศส
2519:
เวียดนาม

ประเทศเวียดนามเหนือ มีชื่ออย่างเป็นทางการคือ สาธารณรัฐประชาธิปไตยเวียดนาม (เวียดนาม: Việt Nam Dân chủ Cộng hòa, VNDCCH; จื๋อโนม: 越南民主共和) เป็นรัฐสังคมนิยมในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ที่ดำรงอยู่ตั้งแต่ปี พ.ศ. 2488 ถึง พ.ศ. 2519 โดยได้รับการยอมรับอย่างสมบูรณ์ในปี พ.ศ. 2497 เวียดนามเหนือเป็นสมาชิกของกลุ่มตะวันออก ซึ่งต่อต้านรัฐเวียดนามที่ได้รับการสนับสนุนจากฝรั่งเศส และต่อมาคือเวียดนามใต้ เวียดนามเหนือได้รับชัยชนะเหนือเวียดนามใต้ในปี พ.ศ. 2518 และได้สิ้นสุดลงในปีถัดมาเมื่อรวมประเทศเข้ากับเวียดนามใต้จนกลายเป็นสาธารณรัฐสังคมนิยมเวียดนามในปัจจุบัน

ระหว่างการปฏิวัติเดือนสิงหาคมหลังสงครามโลกครั้งที่สอง นักปฏิวัติคอมมิวนิสต์ โฮจิมินห์ ผู้นำเหวียตมิญ ได้ประกาศเอกราชเวียดนามเหนือเมื่อวันที่ 2 กันยายน พ.ศ. 2488 และประกาศสถาปนาสาธารณรัฐประชาธิปไตยเวียดนาม เหวียตมิญก่อตั้งขึ้นในปี พ.ศ. 2484 และออกแบบมาเพื่อเรียกร้องเอกราชในวงกว้าง[6]

ตั้งแต่แรกเริ่ม เหวียตมิญที่นำโดยคอมมิวนิสต์พยายามรวบรวมอำนาจโดยการกวาดล้างกลุ่มชาตินิยมอื่นๆ[7][8][9][10][11][12] ขณะเดียวกัน ฝรั่งเศสได้กลับเข้ามาเพื่อปกครองอาณานิคมเวียดนามอีกครั้งหลังสงครามโลกครั้งที่สอง และในที่สุดก็ทำให้เกิดสงครามอินโดจีนครั้งที่หนึ่งในเดือนธันวาคม พ.ศ. 2489 ระหว่างสงครามกองโจรครั้งนี้ เหวียตมิญยึดครองและควบคุมพื้นที่ชนบทส่วนใหญ่ในเวียดนาม ซึ่งนำไปสู่ความพ่ายแพ้ของฝรั่งเศสในปี พ.ศ. 2497 การเจรจาในการประชุมเจนีวาในปีนั้นยุติสงครามและยอมรับเอกราชของเวียดนาม สนธิสัญญาเจนีวาได้มีผลให้เกิดการแบ่งประเทศออกเป็นสองประเทศคือเวียดนามเหนือและเวียดนามใต้ใต้ชั่วคราวเส้นขนานที่ 17 โดยกำหนดให้มีการเลือกตั้งทั่วไปในเดือนกรกฎาคม พ.ศ. 2499 เพื่อ "นำมาซึ่งการรวมเวียดนามเป็นหนึ่งเดียว"[13] ดินแดนทางเหนือถูกควบคุมโดยสาธารณรัฐประชาธิปไตยเวียดนาม และโดยทั่วไปเรียกว่าเวียดนามเหนือ ในขณะที่ทางตอนใต้ใต้ซึ่งอยู่ภายใต้การควบคุมของรัฐที่ไม่ใช่คอมมิวนิสต์คือรัฐเวียดนาม และต่อมาคือสาธารณรัฐเวียดนาม

การกำกับดูแลการดำเนินการตามสนธิสัญญาเจนีวาเป็นความรับผิดชอบของคณะกรรมาธิการระหว่างประเทศซึ่งประกอบด้วยอินเดีย แคนาดา และโปแลนด์ ซึ่งเป็นตัวแทนของขบวนการไม่ฝักใฝ่ฝ่ายใด กลุ่มทุนนิยม และคอมมิวนิสต์ตามลำดับ สหรัฐซึ่งไม่ได้ลงนามในสนธิสัญญาเจนีวา ระบุว่า "จะยังคงแสวงหาความสามัคคีผ่านการเลือกตั้งที่เสรีซึ่งอยู่ภายใต้การดูแลของสหประชาชาติ เพื่อให้แน่ใจว่าการเลือกตั้งเหล่านั้นจะดำเนินการอย่างยุติธรรม"[14] ขณะเดียวกันรัฐเวียดนามก็คัดค้านการแบ่งแยกประเทศอย่างรุนแรง[15]โดยนายกรัฐมนตรี โง ดิ่ญ เสี่ยม ได้ประกาศในเดือนกรกฎาคม พ.ศ. 2498 ว่ารัฐเวียดนามจะไม่เข้าร่วมการเลือกตั้ง โดยอ้างว่าไม่ได้ลงนามในสนธิสัญญาเจนีวาและดังนั้นจึงไม่มีความเกี่ยวข้อง[16] และทำให้เกิดความกังวลว่าการเลือกตั้งที่ไม่เสรีจะเกิดขึ้นภายใต้ระบอบการปกครองของเหวียตมิญในเวียดนามเหนือ[15] ในเดือนตุลาคม พ.ศ. 2498 รัฐบาลของนายเสี่ยมจัดการลงประชามติในรัฐเวียดนาม ซึ่งมีความเสียหายอย่างกว้างขวางจากการทุจริตการเลือกตั้ง เพื่อถอดถอนประมุขแห่งรัฐ บ๋าว ดั่ย และสถาปนาสาธารณรัฐเวียดนามโดยมีนายเสี่ยมเป็นประธานาธิบดีคนแรก[17][18]

ความล้มเหลวในการรวมประเทศโดยการลงประชามติทำให้เกิดสงครามเวียดนามในปี พ.ศ. 2498 กองทัพประชาชนเวียดนามของเวียดนามเหนือและเวียดกงซึ่งตั้งอยู่ในเวียดนามใต้ได้รับการสนับสนุนจากพันธมิตรคอมมิวนิสต์ ซึ่งส่วนใหญ่เป็นจีนและสหภาพโซเวียต ต่อสู้กับกองกำลังทหารของเวียดนามใต้.[19] ดังนั้นเพื่อป้องกันไม่ให้ประเทศอื่นๆ กลายเป็นคอมมิวนิสต์ในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ สหรัฐได้เข้าแทรกแซงความขัดแย้งดังกล่าวพร้อมกับกองกำลังกลุ่มตะวันตกจากเกาหลีใต้ ออสเตรเลีย และไทย ซึ่งให้การสนับสนุนทางทหารกับเวียดนามใต้ ความขัดแย้งแพร่กระจายไปยังประเทศเพื่อนบ้าน และเวียดนามเหนือสนับสนุนกลุ่มปะเทดลาวในลาวและเขมรแดงในกัมพูชาเพื่อต่อต้านรัฐบาลที่ได้รับการสนับสนุนจากสหรัฐฯ ภายในปี พ.ศ. 2516 สหรัฐอเมริกาและพันธมิตรถอนตัวออกจากสงคราม และเวียดนามใต้ที่ไม่ได้รับการสนับสนุนก็ถูกกองทัพเวียดนามเหนือเข้ายึดครองอย่างรวดเร็ว

สงครามเวียดนามสิ้นสุดลงในวันที่ 30 เมษายน พ.ศ. 2518 และเวียดนามใต้อยู่ภายใต้การควบคุมของรัฐบาลปฏิวัติชั่วคราวเวียดนามใต้ ซึ่งนำไปสู่การรวมเวียดนามอีกครั้งในวันที่ 2 กรกฎาคม พ.ศ. 2519 และการสถาปนาสาธารณรัฐสังคมนิยมเวียดนาม หลังสงครามเวียดนาม เวียดนามที่รวมเป็นหนึ่งได้ประสบปัญหาทางเศรษฐกิจตกต่ำ[20] วิกฤตผู้ลี้ภัยและความขัดแย้งกับเขมรแดงใน พ.ศ. 2520 และจีนใน พ.ศ. 2522 สาธารณรัฐสังคมนิยมเวียดนามยังคงรักษาวัฒนธรรมการเมือง ระบบเศรษฐกิจ ในรูปแบบของโซเวียต และการเป็นสมาชิกในกลุ่มตะวันออก เช่น คอมิคอน จนกระทั่งมีการปฏิรูปเศรษฐกิจใน พ.ศ. 2529 และการล่มสลายของสหภาพโซเวียตใน พ.ศ. 2534[21]

ประวัติ

[แก้]

หลังจากที่สงครามโลกครั้งที่สองได้ยุติลงในปี พ.ศ. 2488 เวียดนามได้ประกาศที่จะต่อสู้เพื่อให้เวียดนามหลุดพ้นจากสภาพการเป็นอาณานิคมของฝรั่งเศสอย่างเปิดเผย ด้วยความต้องการที่จะเป็นเอกราช จึงได้มีการสู้รบกันอย่างหนักเป็นเวลานานถึง 8 ปี จนกระทั่งกองกำลังเวียดมินห์ ของพรรคนิยมคอมมิวนิสต์เวียดนามสามารถโจมตีป้อมปราการสำคัญของฝรั่งเศสที่เดียนเบียนฟูแตกลงในวันที่ 4 พฤษภาคม พ.ศ. 2497 วิกฤตการณ์สงครามครั้งนั้นมีทางที่จะรุกรานจนกลายเป็นสงครามระหว่างประเทศ ฝรั่งเศสจึงยอมรับความปราชัยและสงบศึก ด้วยเหตุนี้จึงได้มีการลงนามในอนุสัญญาเจนีวา พ.ศ. 2497 ที่นครเจนีวา ประเทศสวิตเซอร์แลนด์ มีผลให้เวียดนามถูกแบ่งออกเป็น 2 ส่วน คือ เวียดนามเหนือ และเวียดนามใต้ โดยมีเส้นขนานที่ 17 องศาเหนือเป็นเส้นแบ่งเขตเวียดนามเหนือ ยึดถือการปกครองแบบสังคมนิยมคอมมิวนิสต์ ภายใต้การนำของนายโฮจิมินห์

ต่อมา เมื่อมีความพยายามที่จะรวมเวียดนามทั้งสองส่วนเข้าด้วยกัน เวียดนามเหนือจึงได้ส่งกำลังกองโจรเวียดกงเข้าก่อกวนและแทรกซึมเข้าไปในเวียดนามใต้อย่างต่อเนื่อง โดยแฝงเข้ามาในลักษณะผู้ลี้ภัยและผู้อพยพ ตั้งแต่ปี พ.ศ. 2498 เรื่อยมา จากนั้นได้มีการปฏิบัติรุกรานด้วยอาวุธ และกำลังทหารอย่างรุนแรง ตลอดจนโฆษณาชวนเชื่อชักจูงใจราษฎรเวียดนามใต้ซึ่งได้ผลเป็นอย่างดี ประกอบการดำเนินการนโยบายด้านการบริหารประเทศของรัฐบาลเเวียดนามใต้ประสบความล้มเหลว จึงไม่สามารถต่อต้านได้เพียงลำพังตนเอง และได้ร้องขอความช่วยเหลือจากมิตรประเทศฝ่ายโลกเสรี

เมื่อปี พ.ศ. 2508 เวียดนามใต้ตกอยู่ในจุดล่อแหลมที่สุดจนรัฐบาลสหรัฐอเมริกาต้องส่งกำลังทหารเข้าไปปฏิบัติการในเวียดนามใต้พร้อมด้วยกำลังทหารของพันธมิตรอีก 6 ประเทศ คือ ออสเตรเลีย นิวซีแลนด์ สเปน ฟิลิปปินส์ เกาหลีใต้ และประเทศไทย ซึ่งผลออกมาก็คือการพ่ายแพ้ของสหรัฐอเมริกา ทำให้เวียดนามเหนือและเวียดนามใต้รวมเข้าด้วยกันในนามของประเทศเวียดนามที่มีการปกครองระบอบสาธารณรัฐสังคมนิยมที่ปกครองด้วยพรรคคอมมิวนิสต์ดั่งเช่นการปกครองของเวียดนามเหนือมาจนถึงปัจจุบัน

ดูเพิ่ม

[แก้]

อ้างอิง

[แก้]
  1. 1.0 1.1 Barbieri, Magali (1995). "La situation démographique du Viêt Nam". Magali Barbieri (ภาษาอังกฤษ). 50 (3): 625. doi:10.2307/1534398. JSTOR 1534398. สืบค้นเมื่อ 10 November 2021.
  2. "The Manpower Situation in North Vietnam" (PDF). Central Intelligence Agency. January 1968.
  3. A G Vinogradov (2015). Economic growth around the world from ancient times to the present day: Statistical Tables. Part 1. pp. 88–89.
  4. Vuong, Quan Hoang (2004). Fledgling Financial Markets in Vietnam's Transition Economy, 1986–2003. สืบค้นเมื่อ 3 November 2020.
  5. "Sapeque and Sapeque-Like Coins in Cochinchina and Indochina (交趾支那和印度支那穿孔錢幣)". Howard A. Daniel III (The Journal of East Asian Numismatics – Second issue) (ภาษาอังกฤษ). 20 April 2016. สืบค้นเมื่อ 10 December 2017.
  6. ' Ho Chi Minh and the Communist Movement in Indochina, A Study in the Exploitation of Nationalism เก็บถาวร 4 มีนาคม 2014 ที่ เวย์แบ็กแมชชีน (1953), Folder 11, Box 02, Douglas Pike Collection: Unit 13 – The Early History of Vietnam, The Vietnam Center and Archive, Texas Tech University.'
  7. Guillemot, François (2004). "Au coeur de la fracture vietnamienne : l'élimination de l'opposition nationaliste et anticolonialiste dans le Nord du Vietnam (1945–1946)". ใน Goscha, Christopher E.; de Tréglodé, Benoît (บ.ก.). Naissance d'un État-Parti: Le Viêt Nam depuis 1945. Paris: Les Indes savantes. pp. 175–216. ISBN 9782846540643.
  8. McHale, Shawn (2004). "Freedom, Violence, and the Struggle over the Public Arena in the Democratic Republic of Vietnam, 1945–1958". ใน Goscha, Christopher E.; de Tréglodé, Benoît (บ.ก.). Naissance d'un État-Parti: Le Viêt Nam depuis 1945. Paris: Les Indes savantes. pp. 81–99. ISBN 9782846540643.
  9. Hoang, Tuan (2009). "The Early South Vietnamese Critique of Communism". ใน Vu, Tuong; Wongsurawat, Wasana (บ.ก.). Dynamics of the Cold War in Asia: Ideology, Identity, and Culture. Palgrave Macmillan. pp. 17–32. doi:10.1057/9780230101999_2. ISBN 9780230101999.
  10. Marr (2013), pp. 383–441.
  11. Kort, Michael G. (2017). The Vietnam War Reexamined. Cambridge University Press. pp. 62–63, 81–85. ISBN 9781107110199.
  12. Tran, Nu-Anh (2022). Disunion: Anticommunist Nationalism and the Making of the Republic of Vietnam. University of Hawaiʻi Press. pp. 24–30. ISBN 9780824887865.
  13. "Agreement on the Cessation of Hostilities in Vietnam, 20 July 1954 เก็บถาวร 22 ตุลาคม 2015 ที่ เวย์แบ็กแมชชีน, accessed 15 October 2015
  14. "Agreement on the Cessation of Hostilities in Vietnam, July 20, 1954 เก็บถาวร 22 ตุลาคม 2015 ที่ เวย์แบ็กแมชชีน, accessed 15 October 2015; "Final Declaration of the Geneva Conference of the Problem of Restoring Peace in Indo-China, 21 July 1954 "สำเนาที่เก็บถาวร". คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 2015-10-18. สืบค้นเมื่อ 2024-02-16.{{cite web}}: CS1 maint: bot: original URL status unknown (ลิงก์), accessed 15 October 2015
  15. 15.0 15.1 "Lời tuyên bố truyền thanh của Thủ tướng Chánh phủ ngày 16-7-1955 về hiệp định Genève và vấn đề thống nhất đất nước". "Tuyên ngôn của Chánh phủ Quốc gia Việt Nam ngày 9-8-1954 về vấn đề thống nhất lãnh thổ". In Con đường Chính nghĩa: Độc lập, Dân chủ – Quyển II. Sở Báo chí Thông tin, Phủ Tổng thống. Saigon 1956. pp. 11–13
  16. Ang Cheng Guan (1997). Vietnamese Communists' Relations with China and the Second Indochina War (1956–62). Jefferson, North Carolina: McFarland. p. 11. ISBN 978-0-7864-0404-9. เก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 13 July 2017. สืบค้นเมื่อ 5 August 2016.
  17. Karnow, p. 223-224.
  18. Tucker, p.366.
  19. Julia Lovell, Maoism: A Global History (2019) pp 223–265.
  20. "Vietnam - The Economy". countrystudies.us. สืบค้นเมื่อ 2023-06-06.
  21. Diana Nelson Jones (November 3, 2018). "Author Tim O'Brien, voice of the Vietnam War experience, slated to speak in Peters". Pittsburgh Post-Gazette. เก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 4 August 2021. สืบค้นเมื่อ 14 October 2023.


  1. as First Secretary


อ้างอิงผิดพลาด: มีป้ายระบุ <ref> สำหรับกลุ่มชื่อ "หมายเหตุ" แต่ไม่พบป้ายระบุ <references group="หมายเหตุ"/> ที่สอดคล้องกัน