ประเทศเวียดนามเหนือ
สาธารณรัฐประชาธิปไตยเวียดนาม Việt Nam Dân chủ Cộng hòa (เวียดนาม) | |||||||||||||
---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|
2488–2519 | |||||||||||||
ธงชาติ
(พ.ศ. 2498–2519) | |||||||||||||
เขตปกครองของสาธารณรัฐประชาธิปไตยเวียดนามตาม การประชุมเจนีวา แสดงเป็นสีเขียวเข้ม ส่วนดินแดนที่อ้างสิทธิ์จะแสดงเป็นเขียวอ่อน | |||||||||||||
สถานะ | รัฐที่ไม่ได้รับการรับรอง (2488–2497) รัฐเอกราช (2497–2519) | ||||||||||||
เมืองหลวง และเมืองใหญ่สุด | ฮานอย 21°01′42″N 105°51′15″E / 21.02833°N 105.85417°E | ||||||||||||
ภาษาราชการ | เวียดนาม | ||||||||||||
ตัวอักษรทางการ | ตัวอักษรเวียดนาม | ||||||||||||
ศาสนา | รัฐอเทวนิยม | ||||||||||||
เดมะนิม |
| ||||||||||||
การปกครอง | รัฐเดี่ยว ลัทธิมากซ์–เลนิน รัฐพรรคการเมืองเดียว สาธารณรัฐสังคมนิยม (หลัง พ.ศ. 2497) | ||||||||||||
หัวหน้าพรรคแรงงาน | |||||||||||||
• 2488–2499 | เจื่อง ชิญ | ||||||||||||
• 2499–2503 | โฮจิมินห์ | ||||||||||||
• 2503–2518 | เล ด่วญ[a] | ||||||||||||
ประธานาธิบดี | |||||||||||||
• 2488–2512 | โฮจิมินห์ | ||||||||||||
• 2512–2518 | โตน ดึ๊ก ทัง | ||||||||||||
นายกรัฐมนตรี | |||||||||||||
• 1945–1955 | โฮจิมินห์ | ||||||||||||
• 1955–1975 | พัม วัน ด่ง | ||||||||||||
สภานิติบัญญัติ | สมัชชาแห่งชาติ | ||||||||||||
ยุคประวัติศาสตร์ | สมัยหลังสงครามโลกครั้งที่สอง/สงครามเย็น | ||||||||||||
19 สิงหาคม 2488 | |||||||||||||
25 สิงหาคม 2488 | |||||||||||||
2 กันยายน 2488 | |||||||||||||
6 มกราคม 2489 | |||||||||||||
6 มีนาคม 2489 | |||||||||||||
• เริ่มต้น สงครามอินโดจีนครั้งที่หนึ่ง | 19 ธันวาคม 2489 | ||||||||||||
22 กรกฎาคม 2497 | |||||||||||||
• เริ่มต้น สงครามเวียดนาม | 1 พฤศจิกายน 2498 | ||||||||||||
• โฮจิมินห์ ถึงแก่อสัญกรรม | 2 กันยายน 2515 | ||||||||||||
27 กรกฎาคม 2516 | |||||||||||||
30 เมษายน 2518 | |||||||||||||
2 กรกฎาคม 2519 | |||||||||||||
พื้นที่ | |||||||||||||
1945 | 331,212 ตารางกิโลเมตร (127,882 ตารางไมล์) | ||||||||||||
1955 | 157,880 ตารางกิโลเมตร (60,960 ตารางไมล์) | ||||||||||||
1968 | 157,880 ตารางกิโลเมตร (60,960 ตารางไมล์) | ||||||||||||
ประชากร | |||||||||||||
• 1945 | ป. 20 ล้าน[หมายเหตุ 1] | ||||||||||||
• 1955 | 16,100,000 [1] | ||||||||||||
• 1968 | 18,700,000 [2] | ||||||||||||
• 1974 | 23,800,000 [1] | ||||||||||||
จีดีพี (อำนาจซื้อ) | 1960 (ประมาณ) | ||||||||||||
• รวม | 4,113 ล้านดอลลาร์สหรัฐ[3] | ||||||||||||
• ต่อหัว | $51[4] | ||||||||||||
สกุลเงิน | đồng cash (until 1948)[5] | ||||||||||||
|
ประเทศเวียดนามเหนือ มีชื่ออย่างเป็นทางการคือ สาธารณรัฐประชาธิปไตยเวียดนาม (เวียดนาม: Việt Nam Dân chủ Cộng hòa, VNDCCH; จื๋อโนม: 越南民主共和) เป็นรัฐสังคมนิยมในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ที่ดำรงอยู่ตั้งแต่ปี พ.ศ. 2488 ถึง พ.ศ. 2519 โดยได้รับการยอมรับอย่างสมบูรณ์ในปี พ.ศ. 2497 เวียดนามเหนือเป็นสมาชิกของกลุ่มตะวันออก ซึ่งต่อต้านรัฐเวียดนามที่ได้รับการสนับสนุนจากฝรั่งเศส และต่อมาคือเวียดนามใต้ เวียดนามเหนือได้รับชัยชนะเหนือเวียดนามใต้ในปี พ.ศ. 2518 และได้สิ้นสุดลงในปีถัดมาเมื่อรวมประเทศเข้ากับเวียดนามใต้จนกลายเป็นสาธารณรัฐสังคมนิยมเวียดนามในปัจจุบัน
ระหว่างการปฏิวัติเดือนสิงหาคมหลังสงครามโลกครั้งที่สอง นักปฏิวัติคอมมิวนิสต์ โฮจิมินห์ ผู้นำเหวียตมิญ ได้ประกาศเอกราชเวียดนามเหนือเมื่อวันที่ 2 กันยายน พ.ศ. 2488 และประกาศสถาปนาสาธารณรัฐประชาธิปไตยเวียดนาม เหวียตมิญก่อตั้งขึ้นในปี พ.ศ. 2484 และออกแบบมาเพื่อเรียกร้องเอกราชในวงกว้าง[6]
ตั้งแต่แรกเริ่ม เหวียตมิญที่นำโดยคอมมิวนิสต์พยายามรวบรวมอำนาจโดยการกวาดล้างกลุ่มชาตินิยมอื่นๆ[7][8][9][10][11][12] ขณะเดียวกัน ฝรั่งเศสได้กลับเข้ามาเพื่อปกครองอาณานิคมเวียดนามอีกครั้งหลังสงครามโลกครั้งที่สอง และในที่สุดก็ทำให้เกิดสงครามอินโดจีนครั้งที่หนึ่งในเดือนธันวาคม พ.ศ. 2489 ระหว่างสงครามกองโจรครั้งนี้ เหวียตมิญยึดครองและควบคุมพื้นที่ชนบทส่วนใหญ่ในเวียดนาม ซึ่งนำไปสู่ความพ่ายแพ้ของฝรั่งเศสในปี พ.ศ. 2497 การเจรจาในการประชุมเจนีวาในปีนั้นยุติสงครามและยอมรับเอกราชของเวียดนาม สนธิสัญญาเจนีวาได้มีผลให้เกิดการแบ่งประเทศออกเป็นสองประเทศคือเวียดนามเหนือและเวียดนามใต้ใต้ชั่วคราวเส้นขนานที่ 17 โดยกำหนดให้มีการเลือกตั้งทั่วไปในเดือนกรกฎาคม พ.ศ. 2499 เพื่อ "นำมาซึ่งการรวมเวียดนามเป็นหนึ่งเดียว"[13] ดินแดนทางเหนือถูกควบคุมโดยสาธารณรัฐประชาธิปไตยเวียดนาม และโดยทั่วไปเรียกว่าเวียดนามเหนือ ในขณะที่ทางตอนใต้ใต้ซึ่งอยู่ภายใต้การควบคุมของรัฐที่ไม่ใช่คอมมิวนิสต์คือรัฐเวียดนาม และต่อมาคือสาธารณรัฐเวียดนาม
การกำกับดูแลการดำเนินการตามสนธิสัญญาเจนีวาเป็นความรับผิดชอบของคณะกรรมาธิการระหว่างประเทศซึ่งประกอบด้วยอินเดีย แคนาดา และโปแลนด์ ซึ่งเป็นตัวแทนของขบวนการไม่ฝักใฝ่ฝ่ายใด กลุ่มทุนนิยม และคอมมิวนิสต์ตามลำดับ สหรัฐซึ่งไม่ได้ลงนามในสนธิสัญญาเจนีวา ระบุว่า "จะยังคงแสวงหาความสามัคคีผ่านการเลือกตั้งที่เสรีซึ่งอยู่ภายใต้การดูแลของสหประชาชาติ เพื่อให้แน่ใจว่าการเลือกตั้งเหล่านั้นจะดำเนินการอย่างยุติธรรม"[14] ขณะเดียวกันรัฐเวียดนามก็คัดค้านการแบ่งแยกประเทศอย่างรุนแรง[15]โดยนายกรัฐมนตรี โง ดิ่ญ เสี่ยม ได้ประกาศในเดือนกรกฎาคม พ.ศ. 2498 ว่ารัฐเวียดนามจะไม่เข้าร่วมการเลือกตั้ง โดยอ้างว่าไม่ได้ลงนามในสนธิสัญญาเจนีวาและดังนั้นจึงไม่มีความเกี่ยวข้อง[16] และทำให้เกิดความกังวลว่าการเลือกตั้งที่ไม่เสรีจะเกิดขึ้นภายใต้ระบอบการปกครองของเหวียตมิญในเวียดนามเหนือ[15] ในเดือนตุลาคม พ.ศ. 2498 รัฐบาลของนายเสี่ยมจัดการลงประชามติในรัฐเวียดนาม ซึ่งมีความเสียหายอย่างกว้างขวางจากการทุจริตการเลือกตั้ง เพื่อถอดถอนประมุขแห่งรัฐ บ๋าว ดั่ย และสถาปนาสาธารณรัฐเวียดนามโดยมีนายเสี่ยมเป็นประธานาธิบดีคนแรก[17][18]
ความล้มเหลวในการรวมประเทศโดยการลงประชามติทำให้เกิดสงครามเวียดนามในปี พ.ศ. 2498 กองทัพประชาชนเวียดนามของเวียดนามเหนือและเวียดกงซึ่งตั้งอยู่ในเวียดนามใต้ได้รับการสนับสนุนจากพันธมิตรคอมมิวนิสต์ ซึ่งส่วนใหญ่เป็นจีนและสหภาพโซเวียต ต่อสู้กับกองกำลังทหารของเวียดนามใต้.[19] ดังนั้นเพื่อป้องกันไม่ให้ประเทศอื่นๆ กลายเป็นคอมมิวนิสต์ในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ สหรัฐได้เข้าแทรกแซงความขัดแย้งดังกล่าวพร้อมกับกองกำลังกลุ่มตะวันตกจากเกาหลีใต้ ออสเตรเลีย และไทย ซึ่งให้การสนับสนุนทางทหารกับเวียดนามใต้ ความขัดแย้งแพร่กระจายไปยังประเทศเพื่อนบ้าน และเวียดนามเหนือสนับสนุนกลุ่มปะเทดลาวในลาวและเขมรแดงในกัมพูชาเพื่อต่อต้านรัฐบาลที่ได้รับการสนับสนุนจากสหรัฐฯ ภายในปี พ.ศ. 2516 สหรัฐอเมริกาและพันธมิตรถอนตัวออกจากสงคราม และเวียดนามใต้ที่ไม่ได้รับการสนับสนุนก็ถูกกองทัพเวียดนามเหนือเข้ายึดครองอย่างรวดเร็ว
สงครามเวียดนามสิ้นสุดลงในวันที่ 30 เมษายน พ.ศ. 2518 และเวียดนามใต้อยู่ภายใต้การควบคุมของรัฐบาลปฏิวัติชั่วคราวเวียดนามใต้ ซึ่งนำไปสู่การรวมเวียดนามอีกครั้งในวันที่ 2 กรกฎาคม พ.ศ. 2519 และการสถาปนาสาธารณรัฐสังคมนิยมเวียดนาม หลังสงครามเวียดนาม เวียดนามที่รวมเป็นหนึ่งได้ประสบปัญหาทางเศรษฐกิจตกต่ำ[20] วิกฤตผู้ลี้ภัยและความขัดแย้งกับเขมรแดงใน พ.ศ. 2520 และจีนใน พ.ศ. 2522 สาธารณรัฐสังคมนิยมเวียดนามยังคงรักษาวัฒนธรรมการเมือง ระบบเศรษฐกิจ ในรูปแบบของโซเวียต และการเป็นสมาชิกในกลุ่มตะวันออก เช่น คอมิคอน จนกระทั่งมีการปฏิรูปเศรษฐกิจใน พ.ศ. 2529 และการล่มสลายของสหภาพโซเวียตใน พ.ศ. 2534[21]
ประวัติ
[แก้]บทความนี้เป็นส่วนหนึ่งของ |
---|
ประวัติศาสตร์เวียดนาม |
หลังจากที่สงครามโลกครั้งที่สองได้ยุติลงในปี พ.ศ. 2488 เวียดนามได้ประกาศที่จะต่อสู้เพื่อให้เวียดนามหลุดพ้นจากสภาพการเป็นอาณานิคมของฝรั่งเศสอย่างเปิดเผย ด้วยความต้องการที่จะเป็นเอกราช จึงได้มีการสู้รบกันอย่างหนักเป็นเวลานานถึง 8 ปี จนกระทั่งกองกำลังเวียดมินห์ ของพรรคนิยมคอมมิวนิสต์เวียดนามสามารถโจมตีป้อมปราการสำคัญของฝรั่งเศสที่เดียนเบียนฟูแตกลงในวันที่ 4 พฤษภาคม พ.ศ. 2497 วิกฤตการณ์สงครามครั้งนั้นมีทางที่จะรุกรานจนกลายเป็นสงครามระหว่างประเทศ ฝรั่งเศสจึงยอมรับความปราชัยและสงบศึก ด้วยเหตุนี้จึงได้มีการลงนามในอนุสัญญาเจนีวา พ.ศ. 2497 ที่นครเจนีวา ประเทศสวิตเซอร์แลนด์ มีผลให้เวียดนามถูกแบ่งออกเป็น 2 ส่วน คือ เวียดนามเหนือ และเวียดนามใต้ โดยมีเส้นขนานที่ 17 องศาเหนือเป็นเส้นแบ่งเขตเวียดนามเหนือ ยึดถือการปกครองแบบสังคมนิยมคอมมิวนิสต์ ภายใต้การนำของนายโฮจิมินห์
ต่อมา เมื่อมีความพยายามที่จะรวมเวียดนามทั้งสองส่วนเข้าด้วยกัน เวียดนามเหนือจึงได้ส่งกำลังกองโจรเวียดกงเข้าก่อกวนและแทรกซึมเข้าไปในเวียดนามใต้อย่างต่อเนื่อง โดยแฝงเข้ามาในลักษณะผู้ลี้ภัยและผู้อพยพ ตั้งแต่ปี พ.ศ. 2498 เรื่อยมา จากนั้นได้มีการปฏิบัติรุกรานด้วยอาวุธ และกำลังทหารอย่างรุนแรง ตลอดจนโฆษณาชวนเชื่อชักจูงใจราษฎรเวียดนามใต้ซึ่งได้ผลเป็นอย่างดี ประกอบการดำเนินการนโยบายด้านการบริหารประเทศของรัฐบาลเเวียดนามใต้ประสบความล้มเหลว จึงไม่สามารถต่อต้านได้เพียงลำพังตนเอง และได้ร้องขอความช่วยเหลือจากมิตรประเทศฝ่ายโลกเสรี
เมื่อปี พ.ศ. 2508 เวียดนามใต้ตกอยู่ในจุดล่อแหลมที่สุดจนรัฐบาลสหรัฐอเมริกาต้องส่งกำลังทหารเข้าไปปฏิบัติการในเวียดนามใต้พร้อมด้วยกำลังทหารของพันธมิตรอีก 6 ประเทศ คือ ออสเตรเลีย นิวซีแลนด์ สเปน ฟิลิปปินส์ เกาหลีใต้ และประเทศไทย ซึ่งผลออกมาก็คือการพ่ายแพ้ของสหรัฐอเมริกา ทำให้เวียดนามเหนือและเวียดนามใต้รวมเข้าด้วยกันในนามของประเทศเวียดนามที่มีการปกครองระบอบสาธารณรัฐสังคมนิยมที่ปกครองด้วยพรรคคอมมิวนิสต์ดั่งเช่นการปกครองของเวียดนามเหนือมาจนถึงปัจจุบัน
ดูเพิ่ม
[แก้]อ้างอิง
[แก้]- ↑ 1.0 1.1 Barbieri, Magali (1995). "La situation démographique du Viêt Nam". Magali Barbieri (ภาษาอังกฤษ). 50 (3): 625. doi:10.2307/1534398. JSTOR 1534398. สืบค้นเมื่อ 10 November 2021.
- ↑ "The Manpower Situation in North Vietnam" (PDF). Central Intelligence Agency. January 1968.
- ↑ A G Vinogradov (2015). Economic growth around the world from ancient times to the present day: Statistical Tables. Part 1. pp. 88–89.
- ↑ Vuong, Quan Hoang (2004). Fledgling Financial Markets in Vietnam's Transition Economy, 1986–2003. สืบค้นเมื่อ 3 November 2020.
- ↑ "Sapeque and Sapeque-Like Coins in Cochinchina and Indochina (交趾支那和印度支那穿孔錢幣)". Howard A. Daniel III (The Journal of East Asian Numismatics – Second issue) (ภาษาอังกฤษ). 20 April 2016. สืบค้นเมื่อ 10 December 2017.
- ↑ ' Ho Chi Minh and the Communist Movement in Indochina, A Study in the Exploitation of Nationalism เก็บถาวร 4 มีนาคม 2014 ที่ เวย์แบ็กแมชชีน (1953), Folder 11, Box 02, Douglas Pike Collection: Unit 13 – The Early History of Vietnam, The Vietnam Center and Archive, Texas Tech University.'
- ↑ Guillemot, François (2004). "Au coeur de la fracture vietnamienne : l'élimination de l'opposition nationaliste et anticolonialiste dans le Nord du Vietnam (1945–1946)". ใน Goscha, Christopher E.; de Tréglodé, Benoît (บ.ก.). Naissance d'un État-Parti: Le Viêt Nam depuis 1945. Paris: Les Indes savantes. pp. 175–216. ISBN 9782846540643.
- ↑ McHale, Shawn (2004). "Freedom, Violence, and the Struggle over the Public Arena in the Democratic Republic of Vietnam, 1945–1958". ใน Goscha, Christopher E.; de Tréglodé, Benoît (บ.ก.). Naissance d'un État-Parti: Le Viêt Nam depuis 1945. Paris: Les Indes savantes. pp. 81–99. ISBN 9782846540643.
- ↑ Hoang, Tuan (2009). "The Early South Vietnamese Critique of Communism". ใน Vu, Tuong; Wongsurawat, Wasana (บ.ก.). Dynamics of the Cold War in Asia: Ideology, Identity, and Culture. Palgrave Macmillan. pp. 17–32. doi:10.1057/9780230101999_2. ISBN 9780230101999.
- ↑ Marr (2013), pp. 383–441.
- ↑ Kort, Michael G. (2017). The Vietnam War Reexamined. Cambridge University Press. pp. 62–63, 81–85. ISBN 9781107110199.
- ↑ Tran, Nu-Anh (2022). Disunion: Anticommunist Nationalism and the Making of the Republic of Vietnam. University of Hawaiʻi Press. pp. 24–30. ISBN 9780824887865.
- ↑ "Agreement on the Cessation of Hostilities in Vietnam, 20 July 1954 เก็บถาวร 22 ตุลาคม 2015 ที่ เวย์แบ็กแมชชีน, accessed 15 October 2015
- ↑ "Agreement on the Cessation of Hostilities in Vietnam, July 20, 1954 เก็บถาวร 22 ตุลาคม 2015 ที่ เวย์แบ็กแมชชีน, accessed 15 October 2015; "Final Declaration of the Geneva Conference of the Problem of Restoring Peace in Indo-China, 21 July 1954 "สำเนาที่เก็บถาวร". คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 2015-10-18. สืบค้นเมื่อ 2024-02-16.
{{cite web}}
: CS1 maint: bot: original URL status unknown (ลิงก์), accessed 15 October 2015 - ↑ 15.0 15.1 "Lời tuyên bố truyền thanh của Thủ tướng Chánh phủ ngày 16-7-1955 về hiệp định Genève và vấn đề thống nhất đất nước". "Tuyên ngôn của Chánh phủ Quốc gia Việt Nam ngày 9-8-1954 về vấn đề thống nhất lãnh thổ". In Con đường Chính nghĩa: Độc lập, Dân chủ – Quyển II. Sở Báo chí Thông tin, Phủ Tổng thống. Saigon 1956. pp. 11–13
- ↑ Ang Cheng Guan (1997). Vietnamese Communists' Relations with China and the Second Indochina War (1956–62). Jefferson, North Carolina: McFarland. p. 11. ISBN 978-0-7864-0404-9. เก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 13 July 2017. สืบค้นเมื่อ 5 August 2016.
- ↑ Karnow, p. 223-224.
- ↑ Tucker, p.366.
- ↑ Julia Lovell, Maoism: A Global History (2019) pp 223–265.
- ↑ "Vietnam - The Economy". countrystudies.us. สืบค้นเมื่อ 2023-06-06.
- ↑ Diana Nelson Jones (November 3, 2018). "Author Tim O'Brien, voice of the Vietnam War experience, slated to speak in Peters". Pittsburgh Post-Gazette. เก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 4 August 2021. สืบค้นเมื่อ 14 October 2023.
- ↑ as First Secretary
อ้างอิงผิดพลาด: มีป้ายระบุ <ref>
สำหรับกลุ่มชื่อ "หมายเหตุ" แต่ไม่พบป้ายระบุ <references group="หมายเหตุ"/>
ที่สอดคล้องกัน