ข้ามไปเนื้อหา

สงครามโซเวียต–อัฟกานิสถาน

จากวิกิพีเดีย สารานุกรมเสรี
สงครามโซเวียต–อัฟกานิสถาน
ส่วนหนึ่งของ สงครามเย็น, ความแตกแยกระหว่างจีน–โซเวียต และสงครามในอัฟกานิสถานที่ยังคงดำเนินอยู่


บน: นักรบมุญาฮิดีนในจังหวัดคูนาร์ ประเทศอัฟกานิสถาน ค.ศ. 1987
ล่าง: ทหารโซเวียตในอัฟกานิสถาน ค.ศ. 1988
วันที่24 ธันวาคม ค.ศ. 1979 – 15 กุมภาพันธ์ ค.ศ. 1989
(9 ปี 1 เดือน 3 สัปดาห์ 1 วัน)
สถานที่
ผล

มุญาฮิดีนอัฟกันชนะ

คู่สงคราม

 สหภาพโซเวียต
อัฟกานิสถาน สาธารณรัฐประชาธิปไตยอัฟกานิสถาน

กำลังกึ่งทหาร:
สนับสนุนโดย:

มุญาฮิดีนซุนนี:


มุญาฮิดีนชีอะฮ์:

กลุ่ม:
สนับสนุนโดย:

ลัทธิเหมา:

กลุ่ม:
สนับสนุนโดย:
ผู้บังคับบัญชาและผู้นำ

Mulavi Dawood โทษประหารชีวิต (AMFFF)
Faiz Ahmad โทษประหารชีวิต
Majid Kalakani (SAMA)
กำลัง

กองทัพโซเวียต:

เจ้าหน้าที่รวม 620,000 นาย [35]

  • กองกำลังสูงสุด 115,000 นาย[36]

กองทัพอัฟกัน:

  • ทหารประจำการสูงสุด 65,000 นาย[37]
มุญาฮิดีน:
200,000–250,000[38][39][40]
ความสูญเสีย

โซเวียต:

  • ถูกฆ่า 14,453 นาย (รวม) หรือ
    • ถูกฆ่าในสงคราม 9,500 นาย[41]
    • เสียชีวิตจากบาดแผล 4,000 นาย[41]
    • เสียชีวิตจากโรคและอุบัติเหตุ 1,000 นาย[41]
  • บาดเจ็บ 53,753 นาย[41]
  • หายตัว 264 นาย[ต้องการอ้างอิง]
  • อากาศยาน 451 อัน (รวมเฮลิคอปเตอร์ 333 เครื่อง)
  • รถถัง 147 คัน
  • 1,314 IFV/APCs
  • ปืนใหญ่และปืนครก 433 อัน
  • รถบรรทุกน้ำมันรถถังและสิ่งของ 11,369 คัน

(ประมาณการของโซเวียต)
ถูกฆ่า 26,000 คนรวมเจ้าหน้าที่ 3,000 นาย[42] (ข้อมูลอื่น)
อัฟกานิสถาน:

  • ถูกฆ่า 18,000 นาย[43]

มุญาฮิดีน:

อย่างน้อย 90,000 นาย รวมผู้เสียชีวิต 56,000 นายและผู้บาดเจ็บ 17,000 นาบ[44][45]
บาดเจ็บและเสียชีวิต 150,000–180,000 นาย (ประมาณการจากที่อื่น)[45]

ปากีสถาน:

  • ถูกฆ่า 5,775 นาย[46]
  • บาดเจ็บ 6,804 นาย[46]
  • F-16 1 เครื่องถูกยิงลงโดยพวกเดียวกันเอง[47]

อิหร่าน:

  • เฮลิคอปเตอร์ AH-1J 2 เครื่องถูกยิงตก
  • ไม่ทราบจำนวนผู้ที่ถูกฆ่า[48]

พลเมือง (อัฟกัน):

สงครามโซเวียต–อัฟกานิสถาน เป็นการสู้รบด้วยอาวุธที่ยืดเยื้อในสาธารณรัฐประชาธิปไตยอัฟกานิสถานที่ควบคุมโดยสหภาพโซเวียตตั้งแต่ ค.ศ. 1979 ถึง ค.ศ. 1989 สงครามนี้เป็นความขัดแย้งที่สำคัญของสงครามเย็นเนื่องจากมีการสู้รบกันอย่างกว้างขวางระหว่างสหภาพโซเวียต สาธารณรัฐประชาธิปไตยอัฟกานิสถาน และ กลุ่มทหารพันธมิตรที่ต่อต้านมูจาฮิดีนอัฟกานิสถานและนักสู้ต่างชาติที่เป็นพันธมิตรของพวกเขา ในขณะที่มูจาฮิดีนได้รับการสนับสนุนจากประเทศและองค์กรต่าง ๆ การสนับสนุนส่วนใหญ่มาจากปากีสถาน สหรัฐ (ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของปฏิบัติการไซโคลน) สหราชอาณาจักร จีน อิหร่าน และรัฐอาหรับในอ่าวเปอร์เซีย การมีส่วนร่วมของมหาอำนาจต่างชาติทำให้สงครามนี้เป็นสงครามตัวแทนระหว่างสหรัฐและสหภาพโซเวียต การสู้รบเกิดขึ้นตลอดช่วงคริสต์ทศวรรษ 1980 ส่วนใหญ่เกิดขึ้นในชนบทของอัฟกานิสถาน สงครามนี้ส่งผลให้มีชาวอัฟกันเสียชีวิตประมาณ 3 ล้านคน ในขณะที่อีกหลายล้านคนหนีออกนอกประเทศในฐานะผู้ลี้ภัย ชาวอัฟกันผู้พลัดถิ่นภายนอกส่วนใหญ่ขอลี้ภัยในปากีสถานและอิหร่าน ประมาณร้อยละ 6.5 ถึงร้อยละ 11.5 ของประชากรอัฟกานิสถานในอดีตจำนวน 13.5 ล้านคน (ตามการสำรวจสำมะโนประชากรใน ค.ศ. 1979) คาดว่าจะถูกสังหารในช่วงความขัดแย้ง สงครามโซเวียต–อัฟกานิสถานก่อให้เกิดการทำลายล้างครั้งใหญ่ทั่วอัฟกานิสถาน และนักวิชาการยังอ้างว่าเป็นปัจจัยสำคัญที่มีส่วนในการล่มสลายของสหภาพโซเวียต ซึ่งถือเป็นการยุติสงครามเย็นอย่างเป็นทางการ สงครามนี้มักเรียกกันว่า "สงครามเวียดนามของสหภาพโซเวียต"

ในเดือนมีนาคม ค.ศ. 1979 เกิดการก่อการกำเริบอย่างรุนแรงในเมืองเฮราต ซึ่งที่ปรึกษาทางทหารโซเวียตจำนวนหนึ่งถูกประหารชีวิต พรรคประชาธิปไตยประชาชนอัฟกานิสถานซึ่งตัดสินใจว่าพวกเขาไม่สามารถปราบปรามการก่อการกำเริบได้ด้วยตนเองจึงได้ขอความช่วยเหลือทางทหารจากสหภาพโซเวียตอย่างเร่งด่วน ใน ค.ศ. 1979 ได้มีการส่งคำร้องมากกว่า 20 คำร้อง อะเลคเซย์ โคซีกิน ประธานสภารัฐมนตรีสหภาพโซเวียต ปฏิเสธที่จะส่งทหารและคำแนะนำในการเรียกร้องให้นูร์ มูฮัมหมัด ทารากี นายกรัฐมนตรีอัฟกานิสถาน ใช้แรงงานอุตสาหกรรมในท้องถิ่นในจังหวัดเฮราต เห็นได้ชัดว่านี่เกิดจากความเชื่อที่ว่าแรงงานเหล่านี้จะเป็นผู้สนับสนุนรัฐบาลโซเวียตอัฟกานิสถาน เรื่องนี้ได้รับการหารือเพิ่มเติมในสหภาพโซเวียตด้วยมุมมองที่หลากหลายทั้งที่ต้องการให้มั่นใจว่าอัฟกานิสถานยังคงเป็นคอมมิวนิสต์ และผู้ที่กังวลว่าสงครามจะทวีความรุนแรงขึ้น ในที่สุดก็สามารถประนีประนอมกันได้ในการส่งความช่วยเหลือทางทหาร แต่ไม่ใช่การส่งกองกำลัง

สงครามเริ่มขึ้นหลังจากที่โซเวียตภายใต้การบังคับบัญชาของเลโอนิด เบรจเนฟ เปิดฉากการรุกรานอัฟกานิสถานเพื่อสนับสนุนรัฐบาลท้องถิ่นที่นิยมโซเวียตซึ่งได้รับการจัดตั้งขึ้นในระหว่างปฏิบัติการพายุ-333 ประชาคมระหว่างประเทศได้กำหนดมาตรการคว่ำบาตรและห้ามส่งออกสินค้ามากมายต่อสหภาพโซเวียตเพื่อตอบโต้ กองทหารโซเวียตยึดครองเมืองใหญ่ ๆ ของอัฟกานิสถานและเส้นทางคมนาคมหลักทั้งหมด ในขณะที่มูจาฮิดีนเปิดฉากสงครามกองโจรเป็นกลุ่มเล็ก ๆ ในพื้นที่ร้อยละ 80 ของประเทศที่ไม่อยู่ภายใต้การควบคุมของโซเวียตโดยปราศจากการตอบโต้ ซึ่งครอบคลุมพื้นที่ชนบทที่เป็นภูเขาสูงชันเกือบทั้งหมด นอกเหนือจากการวางทุ่นระเบิดนับล้านลูกทั่วอัฟกานิสถานแล้ว โซเวียตยังใช้กำลังทางอากาศจัดการอย่างรุนแรงกับทั้งกลุ่มต่อต้านชาวอัฟกานิสถานและพลเรือน โดยทำลายหมู่บ้านเพื่อปฏิเสธความปลอดภัยของมูจาฮิดีน ทำลายคูชลประทานที่สำคัญ และกลยุทธ์ผลาญภพอื่น ๆ

ในตอนแรก รัฐบาลโซเวียตวางแผนที่จะรักษาความปลอดภัยของเมืองและเครือข่ายถนนของอัฟกานิสถานอย่างรวดเร็ว สร้างเสถียรภาพให้กับรัฐบาลของพรรคประชาธิปไตยประชาชนและถอนกำลังทหารทั้งหมดออกภายในระยะเวลาหกเดือนถึงหนึ่งปี อย่างไรก็ตาม พวกเขาต้องเผชิญกับการต่อต้านอย่างดุเดือดจากกองโจรอัฟกานิสถาน และประสบปัญหาในการปฏิบัติงานอย่างมากบนภูมิประเทศที่เป็นภูเขาที่ขรุขระ ในช่วงกลางคริสต์ทศวรรษ 1980 กองทัพโซเวียตในอัฟกานิสถานได้เพิ่มกำลังทหารเป็นประมาณ 115,000 นาย และการต่อสู้ทั่วประเทศก็เข้มข้นขึ้น ความซับซ้อนของความพยายามทำสงครามค่อย ๆ ก่อให้เกิดค่าใช้จ่ายสูงแก่สหภาพโซเวียต เนื่องจากทรัพยากรทางการทหาร เศรษฐกิจ และการเมืองเริ่มหมดลงมากขึ้น ภายในกลาง ต.ศ. 1987 มีฮาอิล กอร์บาชอฟ ผู้นำโซเวียตสายปฏิรูปประกาศว่ากองทัพโซเวียตจะเริ่มถอนกำลังออกจากอัฟกานิสถานโดยสมบูรณ์ คลื่นสุดท้ายของการถอนกำลังเริ่มต้นขึ้นในวันที่ 15 พฤษภาคม ค.ศ. 1988 และในวันที่ 15 กุมภาพันธ์ 1989 กองกำลังทหารโซเวียตชุดสุดท้ายที่ยึดครองอัฟกานิสถานได้ข้ามไปยังสาธารณรัฐสังคมนิยมโซเวียตอุซเบก ด้วยการสนับสนุนจากภายนอกอย่างต่อเนื่องจากสหภาพโซเวียต รัฐบาลงพรรคประชาธิปไตยประชาชนจึงได้ดำเนินการทำสงครามเดี่ยวกับกลุ่มมูจาฮิดีนและความขัดแย้งได้พัฒนาไปสู่สงครามกลางเมืองอัฟกานิสถาน อย่างไรก็ตาม หลังจากการล่มสลายของสหภาพโซเวียตในเดือนธันวาคม ค.ศ. 1991 การสนับสนุนสาธารณรัฐอัฟกานิสถานทั้งหมดก็ถูกถอนออก ส่งผลให้สาธารณรัฐโดดเดี่ยวของพรรคมาตุภูมิล่มสลายโดยฝีมือของมูจาฮิดีนใน ค.ศ. 1992 และสงครามกลางเมืองอัฟกานิสถานก็เริ่มต้นขึ้นอีกครั้ง

ชื่อ

[แก้]

ในอัฟกานิสถาน สงครามนี้มักเรียกว่า สงครามโซเวียตในอัฟกานิสถาน (ปาทาน: په افغانستان کې شوروی جګړه, อักษรโรมัน: Pah Afghanistan ke Shuravi Jagera; ดารี: جنگ شوروی در افغانستان, อักษรโรมัน: Jang-e Shuravi dar Afghanestan) ในรัสเซียและประเทศอื่น ๆ ในอดีตสหภาพโซเวียต สงครามนี้มักเรียกว่า สงครามอัฟกานิสถาน (รัสเซีย: Афганская война; ยูเครน: Війна в Афганістані; เบลารุส: Афганская вайна; อุซเบก: Afgʻon urushi) บางครั้งมีการเรียกชื่อสงครามสั้นๆ ว่า “อัฟกัน” (รัสเซีย: Афган) โดยเข้าใจว่าหมายถึงสงคราม (เช่นเดียวกับที่สงครามเวียดนามมักเรียกว่า “เวียดนาม” หรือเพียงแค่ “'นาม” ในสหรัฐ)[53] สงครามยังรู้จักกันอีกชื่อหนึ่งว่า สงครามญิฮาดอัฟกานิสถาน โดยเฉพาะอย่างยิ่งโดยอาสาสมัครที่ไม่ใช่ชาวอัฟกานิสถานของมูจาฮิดีน

อ้างอิง

[แก้]
  1. Weymouth, Lally (14 October 1990). "East Germany's Dirty Secret". The Washington Post. เก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 5 January 2019.
  2. 2.0 2.1 2.2 2.3 2.4 "Troops of 5 Soviet Allies Reported Fighting Guerrillas in Afghanistan". The New York Times. Associated Press. 20 December 1982. คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 15 December 2018. สืบค้นเมื่อ 12 November 2021.
  3. "India to Provide Aid to Government in Afghanistan". Delfi.lv. 7 March 1989.
  4. 4.0 4.1 Goodson 2011, p. 190.
  5. 5.0 5.1 Goodson 2011, p. 61.
  6. 6.0 6.1 Goodson 2011, p. 189.
  7. 7.0 7.1 Goodson 2011, p. 62.
  8. Goodson 2011, p. 141.
  9. 9.0 9.1 Hegghammer, Thomas (2011). "The Rise of Muslim Foreign Fighters: Islam and the Globalization of Jihad". International Security. 35 (3): 62. doi:10.1162/ISEC_a_00023. S2CID 40379198. The United States and Saudi Arabia did provide considerable financial, logistical, and military support to the Afghan mujahideen.
  10. "Afghanistan War | History, Combatants, Facts, & Timeline". Encyclopedia Britannica.
  11. "Afghan War | History & Facts". Encyclopedia Britannica.
  12. 12.0 12.1 "Interview with Dr. Zbigniew Brzezinski-(13/6/97)". คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 29 August 2000. สืบค้นเมื่อ 2 October 2014.
  13. 13.0 13.1 13.2 Cornwell, Rupert (13 February 2010). "Charlie Wilson: Congressman whose support for the mujahideen helped force the Soviet Union out of Afghanistan". The Independent. London. สืบค้นเมื่อ 2 October 2014.
  14. "Saudi Arabia and the Future of Afghanistan". Council on Foreign Relations. คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 7 October 2014. สืบค้นเมื่อ 2 October 2014.
  15. [9][10][11][12][13][14]
  16. อ้างอิงผิดพลาด: ป้ายระบุ <ref> ไม่ถูกต้อง ไม่มีการกำหนดข้อความสำหรับอ้างอิงชื่อ Oily
  17. ""Reagan Doctrine, 1985," United States State Department". State.gov. สืบค้นเมื่อ 20 February 2011.
  18. [9][12][13][16][17]
  19. Sharma, Raghav (2011). "China's Afghanistan Policy: Slow Recalibration". China Report. 46 (3): 202. doi:10.1177/000944551104600303. S2CID 154028247. ...Beijing began to closely coordinate with Washington, Islamabad and Riyadh to covertly aid the mujahideen in carrying out the anti-Soviet jihad in Afghanistan.
  20. Szczudlik-Tatar, Justyna (October 2014). "China's Evolving Stance on Afghanistan: Towards More Robust Diplomacy with "Chinese Characteristics"" (PDF). Strategic File. Polish Institute of International Affairs (22): 2. Then, in the 1980s, Beijing acted in cooperation with Washington to provide Afghan anti-Soviet insurgents with arms, and trained Mujahidin.
  21. [19][20]
  22. Interview with Dr. Zbigniew Brzezinski – (13 June 1997). Part 2. Episode 17. Good Guys, Bad Guys. 13 June 1997.
  23. [13][22]
  24. "Sadat Says U.S. Buys Soviet Arms in Egypt for Afghan Rebels". The New York Times. 23 September 1981. สืบค้นเมื่อ 12 July 2019.
  25. "Egypt Says It Trains Afghan Rebels". The Washington Post. 14 February 1980. สืบค้นเมื่อ 8 January 2020.
  26. [24][25]
  27. Renz, Michael (6 October 2012). "Operation Sommerregen". Die Welt (ภาษาเยอรมัน). No. 40. Die Welt. สืบค้นเมื่อ 6 June 2015.
  28. "Relations with Israel: Interesting suggestions start pouring in for Pakistani govt". www.thenews.com.pk (ภาษาอังกฤษ). สืบค้นเมื่อ 7 February 2021.
  29. "How Pakistan's President Zia collaborated with Israel's Mossad to defeat Soviet forces in Afghanistan". WION (ภาษาอังกฤษ). สืบค้นเมื่อ 7 February 2021.
  30. "How Israel-Pakistan Relations Could Be Established By The End Of 2020?". Latest Asian, Middle-East, EurAsian, Indian News (ภาษาอังกฤษแบบอเมริกัน). 29 August 2019. สืบค้นเมื่อ 7 February 2021.
  31. Goodson 2011, p. 63.
  32. Goodson 2011, p. 139.
  33. Borer, Douglas A. (1999). Superpowers defeated: Vietnam and Afghanistan compared. London: Cass. p. 216. ISBN 978-0-7146-4851-4.
  34. "The top leader is believed to be Maulvi Mohammad Umar Amir, who was born in Nodeh (village) in Kandhar, and is now settled in Singesar. He was wounded four times in the battles against the Soviets and his right eye is permanently damaged. He took part in the "Jehad" under the late Hizb-e-Islami Khalis Commander Nek Mohammad". Indian Defence Review. 10: 33. 1995.
  35. Krivosheev, p. 365
  36. Nyrop, Richard F.; Seekins, Donald M. (January 1986). Afghanistan: A Country Study (PDF). Washington, DC: United States Government Printing Office. pp. xviii–xxv. คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิม (PDF)เมื่อ 3 November 2001.
  37. Katz, Mark N. (9 March 2011). "Middle East Policy Council | Lessons of the Soviet Withdrawal from Afghanistan". Mepc.org. สืบค้นเมื่อ 28 July 2011.
  38. Rischard, Maxime. "Al Qa'ida's American Connection". Global-Politics.co.uk. คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 21 November 2011. สืบค้นเมื่อ 28 July 2011.
  39. "Soviet or the USA the strongest" (ภาษานอร์เวย์). Translate.google.no. คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 2019-03-17. สืบค้นเมื่อ 28 July 2011.
  40. "Afghanistan hits Soviet milestone – Army News". Armytimes.com. คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 25 May 2012. สืบค้นเมื่อ 15 February 2012.
  41. 41.0 41.1 41.2 41.3 The Soviet-Afghan War: Breaking the Hammer & Sickle by Lester W. Grau and Ali Ahmad Jalali| vfw.org
  42. Grau & Gress 2002, p. 43.
  43. Isby, David C. (1986). Russia's War in Afghanistan. Osprey. ISBN 978-0-85045-691-2.[ต้องการเลขหน้า]
  44. (Pakistan Intelligence Approximation 1980–89)
  45. 45.0 45.1 Giustozzi, Antonio (2000). War, politics and society in Afghanistan, 1978–1992. Hurst. p. 115. ISBN 978-1-85065-396-7. A tentative estimate for total mujahideen losses in 1980-92 may be in the 150–180,000 range, with maybe half of them killed.
  46. 46.0 46.1 "Cost a& Benefits of the Afghan War for Pakistan" (PDF). A Z Halali. คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิม (PDF)เมื่อ 2021-04-17. สืบค้นเมื่อ 2021-11-14.
  47. Markovskiy, Victor (1997). "Жаркое небо Афганистана: Часть IX" [Hot Sky of Afghanistan: Part IX]. Авиация и время [Aviation and Time] (in Russian) p.28
  48. "Soviet Air-to-Air Victories of the Cold War". สืบค้นเมื่อ 2 October 2014.
  49. Lacina, Bethany; Gleditsch, Nils Petter (2005). "Monitoring Trends in Global Combat: A New Dataset of Battle Deaths" (PDF). European Journal of Population. 21 (2–3): 154. doi:10.1007/s10680-005-6851-6. S2CID 14344770. คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิม (PDF)เมื่อ 6 October 2014. สืบค้นเมื่อ 8 December 2018.
  50. Klass 2018, p. 129.
  51. Goodson 2011, p. 5.
  52. Hilali, A. (2005). US–Pakistan relationship: Soviet Intervention in Afghanistan. Burlington, VT: Ashgate Publishing Co. (p. 198)แม่แบบ:ISBN?
  53. ""Афган": война, о которой не принято говорить | Вне востока и запада". hromadske.ua. 11 February 2020.

บรรณานุกรม

[แก้]

แหล่งข้อมูลอื่น

[แก้]