ศูนย์อำนวยการแก้ไขสถานการณ์ฉุกเฉิน
บทความนี้อาจต้องการตรวจสอบต้นฉบับ ในด้านไวยากรณ์ รูปแบบการเขียน การเรียบเรียง คุณภาพ หรือการสะกด คุณสามารถช่วยพัฒนาบทความได้ |
ตรา | |
ภาพรวมหน่วยงาน | |
---|---|
ก่อตั้ง | 7 เมษายน พ.ศ. 2553 |
ยุบเลิก | 21 ธันวาคม พ.ศ. 2553 |
เขตอำนาจ | เฉพาะท้องที่ในประเทศไทย ที่ประกาศสถานการณ์ฉุกเฉิน |
สำนักงานใหญ่ | กองอำนวยการรักษาความมั่นคงภายในราชอาณาจักร ถนนราชสีมา เขตดุสิต กรุงเทพมหานคร |
ฝ่ายบริหารหน่วยงาน |
|
เว็บไซต์ | Capothai.org |
ศูนย์อำนวยการแก้ไขสถานการณ์ฉุกเฉิน (อังกฤษ: Centre for Resolution of Emergency Situation) หรือเรียกโดยย่อว่า ศอฉ. (อังกฤษ: CRES) เป็นหน่วยงานพิเศษของรัฐที่จัดตั้งขึ้นเมื่อวันที่ 7 เมษายน พ.ศ. 2553[1] ตามพระราชกำหนดการบริหารราชการแผ่นดินในสถานการณ์ฉุกเฉิน พ.ศ. 2548 เพื่อการควบคุมการชุมนุมของแนวร่วมประชาธิปไตยต่อต้านเผด็จการแห่งชาติ แดงทั้งแผ่นดิน ภายหลังจากที่ได้มีการประกาศ พ.ร.ก.ฉุกเฉินฯ โดยก่อนหน้านี้ได้ใช้ชื่อว่า ศูนย์อำนวยการรักษาความสงบเรียบร้อย (ศอ.รส.) ตามประกาศพ.ร.บ.ความมั่นคงภายในราชอาณาจักร คำสั่งกองอำนวยการรักษาความมั่นคงภายในราชอาณาจักร ที่ 103/2553 ลงวันที่ 11 มีนาคม 2553 โดยให้ สุเทพ เทือกสุบรรณ เป็น ผู้อำนวยการศูนย์อำนวยการรักษาความสงบเรียบร้อย
อนึ่งศูนย์อำนวยการรักษาความสงบเรียบร้อย (ศอ.รส.)นั้นมีการจัดตั้งและยุบเป็นช่วงๆ รัฐบาล อภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ จัดตั้งศอ.รส.ครั้งแรกเมื่อวันที่ 29 สิงหาคม 2552[2]ถึง 1 กันยายน 2552 ซึ่งเป็นการจัดตั้งตามกฎหมาย พ.ร.บ.ความมั่นคงภายในราชอาณาจักร ภายหลังประกาศพื้นที่ปรากฏเหตุการณ์อันส่งผลกระทบต่อความมั่นคงภายในราชอาณาจักรในพื้นที่เขตดุสิต ครั้งที่สองระหว่างวันที่ 18-22 กันยายน 2552[3]ครั้งที่สาม 15-25 ตุลาคม 2552[4]
รัฐบาล อภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ จัดตั้ง ศูนย์อำนวยการรักษาความสงบเรียบร้อยขึ้นเป็นครั้งสุดท้าย ในวันที่ 9 กุมภาพันธ์ 2554 คณะรัฐมนตรีมีมติแต่งตั้ง พลตำรวจเอก วิเชียร พจน์โพธิ์ศรี เป็น ผู้อำนวยการศูนย์อำนวยการรักษาความสงบเรียบร้อย และ พลตำรวจตรี ประวุฒิ ถาวรศิริ เป็นโฆษก ศอ.รส. พล.ต.ต.ปิยะ อุทาโย และ พล.ต.ต.พินิต มณีรัตน์ เป็นรองโฆษก ศอ.รส. เพื่อควบคุมการชุมนุมของแนวร่วมประชาธิปไตยต่อต้านเผด็จการแห่งชาติ ซึ่งชุมนุมประท้วงบริเวณศาลอาญา ถนนรัชดาภิเษก เรียกร้องให้ปล่อยตัวแกนนำ[5]และ กลุ่มพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย ตามประกาศพ.ร.บ.ความมั่นคงภายในราชอาณาจักร โดยในวันที่ 10 กุมภาพันธ์ 2554 ศอ. รส. ได้ออกประกาศ 2 ฉบับเรื่องการห้ามปิดถนนและออกหมายเรียกแกนนำมารับทราบข้อกล่าวหา[6]และในวันที่ 24 กุมภาพันธ์ ได้ออกประกาศห้ามเข้ากระทรวงศึกษาธิการเป็นฉบับที่ 3/2554
เมื่อวันที่ 21 ธันวาคม 2553 คณะรัฐมนตรีมีมติยกเลิกประกาศสถานการณ์ฉุกเฉินในเขตกรุงเทพมหานครและปริมณฑล รวม4จังหวัด โดยให้มีผลตั้งแต่วันที่ 22 ธันวาคม 2553 เป็นต้นไป ศอฉ.จึงสิ้นสุดอำนาจหน้าที่ตามมติคณะรัฐมนตรีดังกล่าวไปด้วย และได้มีการสั่งการให้โอนย้ายงานที่ยังค้างคาอยู่ไปอยู่ในความรับผิดชอบของหน่วยงานที่เกี่ยวข้องซึ่งมีอยู่หลายฝ่าย ทั้งทหาร ตำรวจ และข้าราชการการเมือง รวมทั้งหน่วยงานพิเศษเช่นกรมสอบสวนคดีพิเศษ
อำนาจหน้าที่
[แก้]ศูนย์อำนวยการแก้ไขสถานการณ์ฉุกเฉิน มีอำนาจหน้าที่ดังนี้
- ปฏิบัติหน้าที่ตามพระราชบัญญัติกำหนดการบริหารราชการในสถานการณ์ฉุกเฉิน พ.ศ. 2548 กฎหมายที่โอนมาเป็นอำนาจหน้าที่ของนายกรัฐมนตรี หรือกฎหมายที่นายกรัฐมนตรีรักษาการ และประกาศของนายกรัฐมนตรี ทั้งนี้ เท่าที่จำเป็นในการปฏิบัติงานให้สถานการณ์ฉุกเฉินยุติลง
- จัดโครงสร้างขององค์กรให้เหมาะสมแก่การปฏิบัติหน้าที่ และจัดให้มีหน่วยงานหรือศูนย์ปฏิบัติการ เพื่อเป็นองค์กรปฏิบัติการได้ตามที่เห็นสมควร
- ดำเนินการด้านการข่าวและต่อต้านข่าวกรองที่เกี่ยวกับสถานการณ์การก่อความไม่สงบและที่เป็นภัยต่อความมั่นคงของรัฐหรือการปกครองระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข
- ดำเนินการประชาสัมพันธ์เผยแพร่ข้อมูลข่าวสารที่ถูกต้องตามความเป็นจริงเพื่อเสริมสร้างความเข้าใจอันดีระหว่างรัฐบาล ประชาชน และกลุ่มผู้ก่อความไม่สงบ รวมทั้งปฏิบัติการจิตวิทยาที่เกี่ยวข้อง
- จัดกำลังตำรวจ ทหาร และพลเรือนดำเนินการตามแผนรักษาความปลอดภัยบุคคลสำคัญและสถานที่สำคัญต่างๆ รวมทั้งประสานให้ส่วนราชการหรือหน่วยงานของรัฐที่เกี่ยวข้องซึ่งเป็นเจ้าของสถานที่นั้นๆ ดำเนินการป้องกันตนเองตามความสามารถเป็นอันดับแรก
- จัดชุดปฏิบัติการจากตำรวจ ทหาร และฝ่ายพลเรือนเข้าระงับการก่อความไม่สงบและช่วยเหลือบรรเทาความเดือดร้อนของประชาชนที่เกี่ยวกับสถานการณ์ฉุกเฉิน
- มอบหมายให้ส่วนราชการและหน่วยงานของรัฐที่เกี่ยวข้อง สนับสนุนกำลังพล งบประมาณ วัสดุครุภัณฑ์ ยานพาหนะ และเครื่องมือเครื่องใช้ต่างๆ เพื่อดำเนินการแก้ไขสถานการณ์ฉุกเฉิน
- เรียกให้ส่วนราชการหรือหน่วยงานของรัฐ ข้าราชการ หรือเจ้าหน้าที่ของรัฐที่เกี่ยวข้องเข้าร่วมประชุม ชี้แจง ให้ข้อมูลข่าวสาร จัดส่งเอกสาร หรือดำเนินการอื่นใดตามที่เห็นสมควร
- แต่งตั้งคณะที่ปรึกษาหรือเจ้าหน้าที่เพื่อดำเนินการแก้ไขสถานการณ์ฉุกเฉินได้ตามความจำเป็น
- ดำเนินการอื่นๆ ตามที่นายกรัฐมนตรีหรือคณะรัฐมนตรีมอบหมาย
รายชื่อคณะกรรมการ
[แก้]คณะกรรมการในศูนย์อำนวยการแก้ไขสถานการณ์ฉุกเฉินประกอบด้วยคณะกรรมการที่แต่งตั้งโดยนายกรัฐมนตรีตามคำสั่งนายกรัฐมนตรีที่ พิเศษ1/2553[7] คำสั่งนายกรัฐมนตรีที่ พิเศษ94/2553[8] ที่ 2/2553[9] ดังรายนามดังต่อไปนี้
คณะกรรมการตามประกาศที่ พิเศษ 1/2553
- นาย สุเทพ เทือกสุบรรณ รองนายกรัฐมนตรีฝ่ายความมั่นคง ผู้อำนวยการ
- พลเอก ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองผู้อำนวยการ
- พลเอก อภิชาต เพ็ญกิตติ ผู้ช่วยผู้อำนวยการ 1
- พลเอก ทรงกิตติ จักกาบาตร์ ผู้ช่วยผู้อำนวยการ 2
- พลเอก อนุพงษ์ เผ่าจินดา ผู้ช่วยผู้อำนวยการ 3
- พลเรือเอก กำธร พุ่มหิรัญ ผู้ช่วยผู้อำนวยการ 4
- พลอากาศเอก อิทธพร ศุภวงศ์ ผู้ช่วยผู้อำนวยการ 5
- พลตำรวจเอก ปทีป ตันประเสริฐ ผู้ช่วยผู้อำนวยการ 6
- ดร. กิตติพงษ์ กิตยารักษ์ กรรมการ
- นาย มานิต วัฒนเสน กรรมการ
- นาย ธีรกุล นิยม กรรมการ
- นายแพทย์ ไพจิตร์ วราชิต กรรมการ
- นาย สือ ล้ออุทัย กรรมการ
- ดร.พรชัย รุจิประภา กรรมการ
- ศาสตราจารย์พิเศษ จุลสิงห์ วสันตสิงห์ กรรมการ
- คุณหญิง พรทิพย์ จาละ กรรมการ
- นาย สุวพันธุ์ ตันยุวรรธนะ กรรมการ
- ดร.กฤษณพร เสริมพานิช กรรมการ
- นางสาว วลัยรัตน์ ศรีอรุณ กรรมการ
- นาย อนุชา โมกขะเวส กรรมการ
- นาย ธาริต เพ็งดิษฐ์ กรรมการ
- นายแพทย์ ชาตรี เจริญชีวะกุล กรรมการ
- หม่อมราชวงศ์สุขุมพันธุ์ บริพัตร กรรมการ
- พลเอก พิรุณ แผ้วพลสง[10] กรรมการ
- พลเอก ธีระวัฒน์ บุณยะประดับ กรรมการ
- พลเอก วิชญ์ เทพหัสดิน ณ อยุธยา กรรมการ
- นาย ถวิล เปลี่ยนศรี กรรมการและเลขานุการ
- พลเอก ดาว์พงษ์ รัตนสุวรรณ กรรมการและผู้ช่วยเลขาธิการ
คณะกรรมการตามประกาศตามประกาศ2/2553
- พลเอก ประวิตร วงษ์สุวรรณ ผู้อำนวยการ
- พลเอก กิตติพงษ์ เกษโกวิท รองผู้อำนวยการคนที่ 1
- พลเอก ทรงกิตติ จักกาบาตร์ รองผู้อำนวยการคนที่ 2
- พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา ผู้ช่วยผู้อำนวยการ คนที่ 1
- พลเรือเอก กำธร พุ่มหิรัญ ผู้ช่วยผู้อำนวยการ คนที่ 2
- พลอากาศเอก อิทธพร ศุภวงศ์ ผู้ช่วยผู้อำนวยการ คนที่ 3
- พลตำรวจเอก วิเชียร พจน์โพธิ์ศรี ผู้ช่วยผู้อำนวยการ คนที่ 4
- ดร.กิตติพงษ์ กิตยารักษ์ กรรมการ
- นายกองเอก[11]วิเชียร ชวลิต กรรมการ
- นาย ธีรกุล นิยม กรรมการ
- นายแพทย์ ไพจิตร์ วราชิต กรรมการ
- นาง จีราวรรณ บุญเพิ่ม กรรมการ
- รศ.ดร.ณอคุณ สิทธิพงศ์ กรรมการ
- นาย เฉลียว อยู่สีมารักษ์ กรรมการ
- ศาสตราจารย์พิเศษ จุลสิงห์ วสันตสิงห์ กรรมการ
- นาย อัชพร จารุจินดา กรรมการ
- นาย สุวพันธุ์ ตันยุวรรธนะ กรรมการ
- ดร. กฤษณพร เสริมพานิช กรรมการ
- นางสาว วลัยรัตน์ ศรีอรุณ กรรมการ
- นายกองเอก วิบูลย์ สงวนพงศ์ กรรมการ
- นาย ธาริต เพ็งดิษฐ์ กรรมการ
- นายแพทย์ ชาตรี เจริญชีวะกุล กรรมการ
- หม่อมราชวงศ์สุขุมพันธุ์ บริพัตร กรรมการ
- คุณหญิง แพทย์หญิง พรทิพย์ โรจนสุนันท์ กรรมการ
- พลเอก พิรุณ แผ้วพลสง[12] กรรมการ
- พลโท พิเชษฐ์ วิสัยจร กรรมการ
- พลโท ทนงศักดิ์ อภิรักษ์โยธินกรรมการ
- นาย ถวิล เปลี่ยนศรี กรรมการและเลขานุการ
- พลเอก ดาว์พงษ์ รัตนสุวรรณ กรรมการและผู้ช่วยเลขาธิการ
คณะกรรมการตามประกาศตามประกาศพิเศคณะกรรมการตามประกาศตามประกาศพิเศษ 94/2553
- แพทย์หญิงคุณหญิงพรทิพย์ โรจนสุนันท์ กรรมการ
หัวหน้าผู้รับผิดชอบสถานการณ์ฉุกเฉินที่มีความร้ายแรง
- นายสุเทพ เทือกสุบรรณ 7 เมษายน 2553 ถึง 15 เมษายน 2553[13]
- พลเอกอนุพงษ์ เผ่าจินดา 16 เมษายน 2553 ถึง 4 ตุลาคม 2553[14]
- พลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา 5 ตุลาคม 2553 ถึง 21 ธันวาคม 2553
ผู้ปฏิบัติงานโฆษก
- พันเอกสรรเสริญ แก้วกำเนิด ผู้ปฏิบัติการโฆษก
- รองศาสตราจารย์ ดร.ปณิธาน วัฒนายากร ผู้ปฏิบัติการโฆษก
- พลตำรวจตรีอำนวย นิ่มมะโน ผู้ปฏิบัติการโฆษก
- พลตำรวจโทสัณฐาน ชยนนท์ ผู้ปฏิบัติการโฆษก
- พันตำรวจโท พเยาว์ ทองเสน ผู้ปฏิบัติการโฆษก
- พันตำรวจเอก ทรงพล วัธนะชัย ผู้ปฏิบัติการโฆษก
- พลตรี ดิฏฐพร ศศะสมิต โฆษกกองอำนวยการรักษาความมั่นคงภายในราชอาณาจักร
ผู้ปฏิบัติงาน
[แก้]ศอฉ. ได้แต่งตั้งผู้ปฏิบัติงาน โดยมีพลเอกประวิตร วงษ์สุวรรณ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม เป็นผู้อำนวยการ และ พันเอกสรรเสริญ แก้วกำเนิด เป็นโฆษกประจำ ศอฉ. ซึ่งจะมีการแถลงข่าวอย่างต่อเนื่องผ่านทางโทรทัศน์รวมการเฉพาะกิจแห่งประเทศไทย ผู้ร่วมแถลงการณ์ อาทิ พ.ต.ท.พเยาว์ ทองเสน พนักงานสอบสวนคดีพิเศษ ชำนาญการพิเศษ[15]กรมสอบสวนคดีพิเศษ นาย สาทิตย์ วงศ์หนองเตย รัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี
ด้านการแก้ไขสถานการณ์ฉุกเฉินในท้องที่ตามประกาศสถานการณ์ฉุกเฉินที่มีความร้ายแรง มีพลเอกอนุพงษ์ เผ่าจินดา ผู้บัญชาการทหารบก เป็นหัวหน้าผู้รับผิดชอบในการแก้ไขสถานการณ์ฉุกเฉิน[16]ผู้กำกับกองกำลัง พลโท คณิต สาพิทักษ์ พลโท กัมปนาท รุดดิษฐ์ และ พลตรี สุรศักดิ์ บุญศิริ เป็นผู้ควบคุมกองกำลังโดยแบ่งพื้นที่ในการรับผิดชอบในสถานการณ์ฉุกเฉิน พลโท อักษรา เกิดผล เป็นหัวหน้าส่วนยุทธการ[17] พลโท ฉัตรเฉลิม เฉลิมสุข เป็น รองหัวหน้าฝ่ายยุทธการ
วันที่ 9 เมษายน 2553 พลตำรวจเอก ปทีป ตันประเสริฐ รักษาราชการการแทนผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ เรียกประชุมเจ้าหน้าที่ ที่รับผิดชอบปฏิบัติหน้าที่ในพื้นที่ตามประกาศ พ.ร.ก.ฉุกเฉิน ประกอบด้วย พล.ต.ท.วรพงษ์ ชิวปรีชา ผู้ช่วย ผบ.ตร. พล.ต.ท.ไถง ปราศจากศัตรู ผบช.ก. พล.ต.ท.สัณฐาน ชยนนท์ พ.ต.อ.สุพิศาล ภักดีนฤนาถ รักษาราชการแทนผบก.ป. พ.ต.อ.ศานิตย์ มหถาวร รองผบก.ป. พล.ต.ต.ปิยะ อุทาโย โฆษกกองบัญชาการตำรวจนครบาล[18][19]พลตำรวจตรี ภาณุ เกิดลาภผล รองผู้บัญชาการตำรวจนครบาล และ พ.ต.ท.จุมพล คณานุรักษ์ รองผู้กำกับการฝ่ายอำนวยการ 5 กองบังคับการอำนวยการกองบัญชาการตำรวจนครบาล
วันที่ 18 เมษายน 2553 พลเอก อนุพงษ์ เผ่าจินดา เรียกประชุม ผบ.หน่วย ที่รับผิดชอบปฏิบัติหน้าที่ในพื้นที่ตามประกาศ พ.ร.ก.ฉุกเฉิน เข้าร่วมประชุมรับนโยบาย โดยมี พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา รองผบ.ทบ. พล.อ.วิชญ์ เทพหัสดิน ณ อยุธยา ผช.ผบ.ทบ. พล.อ.พิรุณ แผ้วพลสง เสธ.ทบ. พล.ท.คณิต สาพิทักษ์ แม่ทัพภาคที่ 1 พล.ท.ดาว์พงษ์ รัตนสุวรรณ รองเสธ.ทบ. พล.ท.โปฎก บุนนาค ผบ.นสศ. พล.ท.ยุทธศิลป์ โดยชื่นงาม ผบ.นปอ. พล.ต.อุกฤษฎ์ ณรงค์วิทย์ ผบ.มทบ.11 พล.ต.กัมปนาท รุดดิษฐ์ ผบ.พล.1 รอ. พล.ต.สุรศักดิ์ บุญสิริ ผบ.พล.ม.2 รอ. พล.ต.อำพล ชูประทุม ผบ.พล.ปตอ. พล.ต.อุทิศ สุนทร ผบ.พล.ร.9 พ.อ. พ.อ.เทพพงศ์ ทิพยจันทร์ รองผบ.พล.ร.2 รอ. ปฏิบัติหน้าที่แทน พล.ต.วลิต โรจนภักดี ผบ.พล.ร.2 รอ.ที่บาดเจ็บจากการปะทะเมื่อวันที่ 10 เมษายน เข้าร่วมประชุม[20]
วันที่ 17 พฤษภาคม 2553 มีการแถลงผลการประชุมของศอฉ.โดย พล.ท.อักษรา เกิดผล ผู้ช่วยเสนาธิการทหารบก น.อ.ประชาชาติ ศิริสวัสดิ์ ผู้อำนวยการกองประชาสัมพันธ์ สำนักงานเลขานุการกองทัพเรือ นาวาอากาศเอก มณฑล สัชฌุกร รองเจ้ากรมกิจการพลเรือนทหารอากาศ และ พล.ต.ต.ประวุฒิ ถาวรศิริ โฆษกสำนักงานตำรวจแห่งชาติ[21]
วันที่ 29 พฤษภาคม 2553 พล.ต.ท.สัณฐาน ชยนนท์ ผบช.น. พล.ต.ต.สุเมธ เรืองสวัสดิ์ รอง ผบช.น. พล.ต.ต.สมวุฒิ วรรณพิรุณ ผบก.น.4 พ.ต.อ.อาณัติ เกล็ดมณี รอง ผบก.น.4 หมายค้นศาลอาญาเลขที่ 195-207/2553 ลงวันที่ 29 พ.ค.53 เข้าตรวจค้นภายในห้องพักชั้น 3 จำนวน 13 ห้อง ของโรงแรมเอสซีปาร์ค ถนนประชาอุทิส[22]
วันที่ 24 มิถุนายน 2553 พ.ต.อ.ทรงพล วัฒนะชัย รองผู้บังคับการอำนวยการกองบัญชาการตำรวจนครบาล และ พ.ต.ท.พเยาว์ ทองเสน พนักงานสอบสวนคดีพิเศษชำนาญการพิเศษดีเอสไอ[23]ร่วมกันแถลงการขยายพรก.ฉุกเฉิน
ในวันที่ 2 สิงหาคม 2553 นายสุเทพ มอบหมายให้ พล.ท.อักษรา เกิดผล หัวหน้าส่วนยุทธการศอฉ. และนาย สมเกียรติ ศรีประเสริฐ รักษาการผู้เชี่ยวชาญความมั่นคงระหว่างประเทศ สภาความมั่นคงเข้าชี้แจงสมาชิกวุฒิสภา[24]
ในวันที่ 5 ตุลาคม 2553 คณะรัฐมนตรีมีมติแต่งตั้ง พลเอกประวิตร วงษ์สุวรรณ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม เป็นผู้อำนวยการ ศอฉ. แทนนายสุเทพที่ลาออกจากตำแหน่งรองนายกรัฐมนตรี และพลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา ผู้บัญชาการทหารบก เป็นหัวหน้าผู้รับผิดชอบในการแก้ไขสถานการณ์ฉุกเฉิน แทนพลเอกอนุพงษ์ที่เกษียณอายุราชการเมื่อวันที่ 30 กันยายน[25]
มาตรการ
[แก้]การปิดเว็บไซต์และสถานีประชาชน
[แก้]วันที่ 8 เมษายน ภายหลังที่นายสุเทพ เทือกสุบรรณ รองนายกรัฐมนตรี ฝ่ายความมั่นคง มอบหมายให้กระทรวงเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสาร ไปแจ้งให้ไทยคมระงับการแพร่สัญญาณภาพและเสียงของสถานีประชาชน ทำให้กลุ่มผู้ชุมนุมปักหลักชุมนุมอยู่ที่บริเวณสถานีไทยคม ที่ตั้งอยู่ถนนรัตนาธิเบศร์ อำเภอเมืองนนทบุรี จังหวัดนนทบุรี และสถานีไทยคม ซึ่งตั้งอยู่ถนนสายลาดหลุมแก้ว-วัดเจดีย์หอย อำเภอลาดหลุมแก้ว จังหวัดปทุมธานี เพื่อเรียกร้องให้ยุติการระงับการเผยแพร่สัญญาณ[26]
วันที่ 9 เมษายน กลุ่มผู้ชุมนุมเคลื่อนขบวนไปยังสถานีไทยคม ซึ่งตั้งอยู่ถนนสายลาดหลุมแก้ว-วัดเจดีย์หอย อำเภอลาดหลุมแก้ว จังหวัดปทุมธานี เพื่อเรียกร้องให้ยุติการระงับการเผยแพร่สัญญาณการออกอากาศของสถานีประชาชน โดยได้มีการนำกองกำลังทหารเข้าสลายการชุมนุมด้วยแก๊สน้ำตา แต่ไม่บรรลุผล จากนั้นเหตุการณ์ได้สงบลงภายในเวลา 15 นาที โดยแกนนำพยายามควบคุมมวลชนไม่ให้บุกเข้าไปภายในตัวอาคาร จนกระทั่งมีการเจรจาให้ทหารถอนกำลังเดินแถวออกจากสถานีไทยคม ท่ามกลางเสียงโห่ร้องดีใจของผู้ชุมนุม
นอกจากนี้ได้มีการนำอาวุธที่ได้ยึดมาจากทหาร ที่ประกอบด้วยปืนเอ็ม 16, ปืนลูกซองยาว พร้อมลูกระเบิดแก๊สน้ำตา หมวกกันน็อค เสื้อเกราะ โล่ กระบอง มาให้สื่อมวลชนได้ถ่ายภาพเอาไว้ รวมทั้งยังมีผู้ที่ได้รับบาดเจ็บจากแก๊สน้ำตาอีกจำนวนหนึ่งจากเหตุการณ์การสลายการชุมนุม[27]
หลังจากที่มีการยืนยันว่าทางสถานีประชาชนจะมีการออกอากาศอย่างแน่นอน กลุ่มผู้ชุมนุมจึงเคลื่อนขบวนกลับไปยังที่ตั้ง[28] หลังจากนั้นในเวลาประมาณ 22.20 น.ได้มีการเข้าระงับการออกอากาศของทางสถานีอีกครั้ง
เมื่อวันที่ 5 มิถุนายน ศูนย์อำนวยการแก้ไขสถานการณ์ฉุกเฉิน เปิดเผยว่า หลังจากเกิดสถานการณ์ทางการเมืองขึ้น ศอฉ.มีคำสั่งให้กระทรวงเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสารปิดเว็บไซต์ที่เข้าข่ายปลุกระดมและปิดแล้ว 1,900 เว็บไซต์ จากสัปดาห์ที่ผ่านมามีเพียง 1,150 เว็บไซต์ ส่วนเว็บไซต์ทวิตเตอร์ส่วนตัวของ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร ที่ประชุม ศอฉ. มีมติว่า ทุกทวิตเตอร์ หากมีข้อความยั่วยุ ปลุกระดมให้เกิดความแตกแยก หรือหมิ่นสถาบันฯ ก็ต้องดำเนินการปิดกั้นทั้งหมด แม้จะอยู่ในกลุ่มของโซเชียลเน็ตเวิร์คก็ตาม เพราะอยู่ภายใต้อำนาจพรก.ฉุกเฉิน[29]
แผนปรองดอง
[แก้]วันที่ 3 พฤษภาคม นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นายกรัฐมนตรี แถลงผ่านโทรทัศน์รวมการเฉพาะกิจแห่งประเทศไทยว่าจะมาพูดถึงการคลี่คลายสถานการณ์ ความขัดแย้งทางการเมืองที่เกิดขึ้นจากหลายสาเหตุ เป็นการสะสมปัญหามาเป็นระยะเวลานานหลายปี ที่สะสมมาทั้งหมดทำให้เกิดความแตกแยกร้าวลึก คำตอบทางการเมืองที่อยากบอกประชาชนในวันนี้ คือการสร้างกระบวนการปรองดองขึ้นมา หากแผนการปรองดองและทำบ้านเมืองให้สงบสุข การจัดการเลือกตั้งครั้งใหม่ในวันที่ 14 พฤศจิกายน เป็นเป้าหมายที่รัฐบาลพร้อมดำเนินการ โดยแผนปรองดองดังกล่าวมีองค์ประกอบดังนี้
- ประเทศไทยเราโชคดีที่มีพระบาทสมเด็จพระมหาภูมิพลอดุลยเดชมหาราช บรมนาถบพิตร เป็นที่ยึดเหนี่ยวหลอมรวมคนไทยทั้งชาติ แต่น่าเสียดายที่มีคนกลุ่มหนึ่งดึงสถาบันกษัตริย์ลงมา มีความพยายามดึงสถาบันลงมาสู่ความขัดแย้งทางการเมือง การที่จะทำให้สังคมไทยเป็นปกติสุขต้องช่วยกัน ไม่ให้ดึงสถาบันกษัตริย์ลงมา แผนการ คือ ทุกฝ่ายต้องลงมาช่วยกันทำงานเทิดทูนสถาบันกษัตริย์ที่พระบาทสมเด็จพระมหาภูมิพลอดุลยเดชมหาราช บรมนาถบพิตรและสมเด็จพระนางเจ้าฯ พระบรมราชินีนาถ ได้พระราชทานแก่ประชาชน ไม่ว่าเรื่องรู้รักสามัคคี อยากเชิญชวนทุกฝ่ายมาทำความเข้าใจเกี่ยวกับสถาบันพระมหากษัตริย์ เพื่อไม่ให้ถูกดึงมาเป็นเครื่องมือความขัดแย้งทางการเมือง
- การปฏิรูปประเทศ เพื่อแก้ไขความขัดแย้งอาจจะถูกมองว่าเป็นการเมือง แต่สิ่งที่เกิดขึ้นจากความไม่เป็นธรรมของเรื่องเศรษฐกิจ หลายคนที่มาชุมนุมอาจจะสัมผัสโดยตรงว่าไม่ได้รับความเป็นธรรม ขาดโอกาส ถูกรังแก สิ่งที่เราจะช่วยกันทำ คือ ไม่ปล่อยให้เป็นเหมือนในอดีตที่รัฐบาลก่อนหน้านี้ที่ทำให้ระบบเกิดความไม่เป็นธรรม
- ในยุคปัจจุบันสังคมไทยเป็นสังคมข้อมูลข่าวสาร จริงอยู่ที่เราต้องเคารพสิทธิเสรีภาพในการแสดงออก แต่คงปฏิเสธไม่ได้ว่าเทคโนโลยีที่ก้าวหน้า อำนาจของสื่อถูกนำไปใช้เป็นเครื่องมือทางการเมือง อาศัยช่องโหว่ทางกฎหมาย แม้กระทั่งสถานีของรัฐก็ถูกกล่าวหาว่านำไปเสนอให้เกิดความขัดแย้ง สื่อต้องมีเสรีภาพ แม้จะมีอิสระในการนำเสนอข้อมูลข่าวสารที่จะไม่สร้างความขัดแย้งภายในประเทศ สร้างความเกลียดชังและนำไปสู่ความรุนแรง
- หลังจากชุมนุมเคลื่อนไหว มีหลายเหตุการณ์ที่เกิดความรุนแรงและสูญเสีย เกิดข้อสงสัยต่างๆนาๆ ไม่ว่าการสูญเสียเหตุการณ์ 10 เมษายน เหตุการณ์ที่สีลม หรือที่ดอนเมือง กระทบกระเทือนจิตใจประชาชน ทุกเหตุการณ์จำเป็นต้องตรวจสอบข้อเท็จจริงถึงสาเหตุที่เกิดขึ้น ต้องมีคณะกรรมการอิสระเข้ามาตรวจสอบข้อเท็จจริงต่าง ๆและให้เกิดความเป็นจริงต่อสังคม
- เกี่ยวกับการเมืองโดยตรง แม้นักการเมืองจะเป็นคนกลุ่มเล็ก แต่เป็นตัวแทนของประชาชน ความขัดแย้งทางการเมืองที่ยาวนานกว่า 4-5 ปีที่ผ่านมา เกิดความรู้สึกไม่เป็นธรรมในหลายด้าน ทั้ง รัฐธรรมนูญ กฎหมายบางฉบับ การลิดรอนสิทธิไม่ว่าจะเป็นส่วนที่เกี่ยวข้องกับการลิดรอน หรือการตัด หรือการเพิกถอนสิทธิ ของผู้ที่เกี่ยวข้องกับวงการเมือง ถึงเวลาเอามาวาง และมีกลไกให้ความเป็นธรรมทุกฝ่าย เรื่องรัฐธรรมนูญ จนถึงความผิดการชุมนุมทางการเมือง ไม่ใช่เกิดความรู้สึกไม่ยอมรับ[30]
วันที่ 4 พฤษภาคม นายวีระ มุสิกพงศ์ ประธาน นปช.แดงทั้งแผ่นดิน แถลงผลการประชุมแกนนำ นปช.ที่เวทีการชุมนุมสี่แยกราชประสงค์ เกี่ยวกับข้อเสนอแผนการปรองดอง 5 ข้อของนายกรัฐมนตรี หลังใช้เวลาประชุมกว่า 2 ชั่วโมงว่า มีข้อสรุป 4 ข้อประกอบด้วย
- นปช.ยินดีรับข้อเสนอ แต่ขอให้รัฐบาลไปหาความชัดเจนมาก่อนว่าจะยุบสภาวันไหนคุยกันให้จบเสียก่อน
- นปช.ต้องการความจริงใจที่รัฐบาลสามารถแสดงออกได้ด้วยการยกเลิกการคุกตามทุกรูปแบบ
- นปช.ไม่ขอนิรโทษกรรมให้แก่ นปช.เองในข้อหาโค่นล้มสถาบันและการก่อการร้ายอย่างเด็ดขาดพร้อมสู้คดี
- ต้องยุติการนำสถาบันกษัตริย์ลงสู่ความขัดแย้งในทุกมิติ
ขณะที่นายณัฐวุฒิ ใสยเกื้อ เลขาธิการ นปช.แดงทั้งแผ่นดิน แถลงบนเวทีปราศรัยว่า ขอให้ทางรัฐบาลไปหาความความชัดเจนในการยุบสภาต้องระบุวันให้ชัดเจนมาก่อน และแกนนำคนเสื้อแดงไม่ปฏิเสธเข้าร่วมกับแผนโรดแมปเพื่อป้องกันการบาดเจ็บล้มตาย ทางกลุ่มคนเสื้อแดงยืนยันว่าเรื่องการนิรโทษกรรม เรื่องการกล่าวหาความผิดก่อนหน้านี้ทางเสื้อแดงไม่ได้กำหนดเป็นเงื่อนไข หากรัฐบาลกล่าวหาว่าคนเสื้อแดงเป็นการก่อการร้ายทางผู้ชุมนุมจะสู้ถึงที่สุด หากกล่าวหาว่าโค่นล้มสถาบันทางเสื้อแดงพร้อมที่จะสู้เช่นเดียวกัน และขอให้เรียกร้องมาตรฐานเดียวกันกับคดีสั่งสังหารประชาชนในเหตุการณ์เดือนเมษายนจะต้องไม่มีการนิรโทษกรรมใดๆเช่นเดียวกัน เพื่อให้เป็นมาตรฐานเดียวขอให้ดีเอสไอรับไปเป็นคดีพิเศษแล้วดำเนินการต่อไป[31]
เมื่อวันที่ 13 พฤษภาคม เวลา 12.00 น. ที่โรงแรมรามาการ์เดนส์ นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นายกรัฐมนตรี ออกมาระบุว่าแผนปรองดองนั้นถูกยกเลิกไปเรียบร้อยแล้ว เนื่องจากขณะนั้นกลุ่มแนวร่วมประชาธิปไตยต่อต้านเผด็จการแห่งชาติปฏิเสธข้อเสนอและปฏิเสธที่จะเจรจากับทางรัฐบาลและผู้อำนวยการโรงพยาบาลจุฬาที่ต้องการให้มีการถอยร่นออกจากโรงพยาบาลจุฬาลงกรณ์จนถึงแยกสารสิน[32]และเพิ่มข้อเรียกร้องให้สุเทพ เทือกสุบรรณ มอบตัวกับตำรวจ ทั้งที่สุเทพ เทือกสุบรรณมอบตัวกับกรมสอบสวนคดีพิเศษเป็นที่เรียบร้อยแล้ว[33]
การตัดระบบสาธารณูปโภค
[แก้]วันที่ 12 พฤษภาคม พ.อ.สรรเสริญ แก้วกำเนิด โฆษกศูนย์อำนวยการแก้ไขสถานการณ์ฉุกเฉิน (ศอฉ.) ระบุว่า การประชุม ศอฉ.ที่มีนายสุเทพ เทือกสุบรรณ รองนายกรัฐมนตรีด้านความมั่นคง ในฐานะผู้อำนวยการ ศอฉ. เป็นประธาน ได้ติดตามสถานการณ์และรายงานยอดผู้ชุมนุม โดย ศอฉ.จำเป็นต้องใช้มาตรการกดดันผู้ชุมนุมเต็มรูปแบบ เริ่มต้นจากการไม่ใช้กำลัง โดยกำหนดให้มีการตัดน้ำ ตัดไฟ สัญญาณโทรศัพท์ ระบบสาธาณูปโภค การเดินทางสาธารณะต่าง ๆ ทั้งรถโดยสารมวลชน รถไฟฟ้า และการเดินทางทางน้ำบริเวณคลองแสนแสบ เพื่อปิดการเข้าพื้นที่ชุมนุม 100%
อย่างไรก็ตาม ประชาชนที่อาศัยอยู่ในพื้นที่ใกล้เคียงอาจจะได้รับผลกระทบจากมาตรการนี้ โดยทหารที่อยู่ในพื้นที่จะช่วยอำนวยความสะดวกในการเข้า-ออก พื้นที่ดังกล่าว และมาตรการต่าง ๆ จะเริ่มได้ตั้งแต่เที่ยงคืนวันที่ 12 พฤษภาคม พ.ศ. 2553 เป็นต้นไป และจะหารือหน่วยงานเกี่ยวข้องเพิ่มเติมในวันนี้ โดย ศอฉ.ต้องขออภัยประชาชนและทูตประเทศต่าง ๆ ที่อาศัยอยู่ในบริเวณดังกล่าว พร้อมย้ำว่า มาตรการกดดันการเข้าพื้นที่ชุมนุมเต็มรูปแบบเป็นมาตรการขั้นเบาที่สุดแล้ว รวมทั้งได้ประสานกับผู้ประกอบการบริเวณดังกล่าวในเบื้องต้น ส่วนมาตรการหลังจากนี้ยังไม่ขอเปิดเผย[34][35]
ต่อมา พ.อ.สรรเสริญ ระบุว่า มาตรการกดดันผู้ชุมนุมแยกราชประสงค์เต็มรูปแบบ ในการตัดน้ำ ตัดไฟ ระบบสาธารณูปโภค และการเดินทางสาธารณะ ทั้งทางบกและทางน้ำ ยังไม่ได้ข้อยุติที่ชัดเจน และต้องหารือร่วมกันอีกครั้งในคืนวันที่ 12 พฤษภาคม พ.ศ. 2553 เพื่อกำหนดรายละเอียดว่าจะเป็นพื้นที่ใดบ้าง เพราะบริเวณดังกล่าวมีทั้งโรงพยาบาล และ สถานประกอบการต่างๆ รวมทั้งต้องมีการประเมินผลกระทบว่าระหว่างกลุ่มผู้ชุมนุมและประชาชนที่ไม่เกี่ยวข้อง กลุ่มใดจะได้รับผลกระทบ และความเดือดร้อนมากกว่า เนื่องจากพบว่ากลุ่มผู้ชุมนุมก็ได้เตรียมมาตรการรองรับในเรื่องการตัดน้ำ ตัดไฟ ส่วนเส้นทางเดินรถเมล์ ใกล้พื้นที่ชุมนุม คงจะมีการพิจารณาให้วิ่งในวงนอกต่อไป และรถแท็กซี่ อาจจะไม่ได้รับอนุญาตให้เข้าในบริเวณพื้นที่ชุมนุม
พ.อ.สรรเสริญ ระบุว่า มาตรการดังกล่าวของศอฉ.อาจจะไม่ได้ดำเนินการทันทีในเวลา 24.00 น. วันที่ 12 พฤษภาคม 2553 และอาจจะเลื่อนเป็นวัน13 พฤษภาคม พ.ศ. 2553 ขึ้นอยู่กับการหารือกำหนดรายละเอียดและข้อสรุปให้เกิดความชัดเจน เนื่องจากมีประชาชนทั่วไปโทรศัพท์เข้ามาสอบถามจำนวนมาก เพราะเกรงจะได้รับความเดือดร้อนจากมาตรการนี้[36]
วันที่ 13 พฤษภาคม เวลา 11.30 น. ที่กรมทหารราบที่ 11 รักษาพระองค์ พ.อ.สรรเสริญ แก้วกำเนิด โฆษกศูนย์อำนวยการแก้ไขสถานการณ์ฉุกเฉิน (ศอฉ.) แถลงผลการประชุม ศอฉ.ช่วงเช้าว่า การกำหนดมาตรการในการปิดล้อมสกัดกั้นพื้นที่บริเวณแยกราชประสงค์อย่างสมบูรณ์ซึ่งจะเริ่มตั้งแต่เวลา 18.00 น. พื้นที่ที่มีผลกระทบทางด้านเหนือเริ่มตั้งแต่ แยกราชเทวี ไปตาม ถนนเพชรบุรี จนถึงแยกขึ้นทางด่วนเพชรบุรี ทางทิศใต้ ตั้งแต่แยกทางขึ้นด่วนเพชรบุรี ตามถนนวิทยุ จนกระทั่งสี่แยกถนนวิทยุ เรื่อยมาจนถึงถนนพระรามที่ 4 จนถึงแยกสามย่าน และขึ้นเหนือไปบรรจบจุดเริ่มต้นตามถนนพญาไท จนกระทั่งถึงแยกราชเทวี ซึ่งเป็นลักษณะกรอบสี่เหลี่ยม การบริการสาธารณะทุกชนิดทั้ง ไฟฟ้า ประปา การจราจร รถประจำทาง เรือ รถไฟฟ้าบีทีเอส (ไม่จอดรับส่งผู้โดยสารใน 4 สถานี คือ สถานีสยาม สถานีชิดลม สถานีเพลินจิตและสถานีราชดำริ (ปิดให้บริการทุกสถานีเวลา 19.00 น.)) และรถไฟฟ้าใต้ดิน (ไม่จอดรับส่งผู้โดยสารใน 2 สถานี คือ สถานีสีลมและสถานีลุมพีนี (ปิดให้บริการทุกสถานีเวลา 22.00 น.)) จะมีการระงับเริ่มตั้งแต่ 18.00 น.เป็นต้นไป โดยเจ้าหน้าที่จำเป็นต้องดำเนินการตามขั้นตอนหลักสากลจากเบาไปหาหนัก 7 ขั้นตอน และมีการใช้อาวุธกระสุนจริงด้วย[37]
การประกาศห้ามออกนอกเคหสถาน
[แก้]เมื่อเวลา 16.05 น. ศูนย์อำนวยการแก้ไขสถานการณ์ฉุกเฉิน ออกประกาศห้ามออกนอกเคหสถานในเวลากลางคืน โดยนายกรัฐมนตรีได้ออกข้อกำหนดต่อไปนี้
- ห้ามมิให้บุคคลใดในเขตพื้นที่กรุงเทพมหานคร ออกนอกเคหสถานตั้งแต่เวลา 20.00 น. วันที่ 19 พฤษภาคม ถึงเวลา 06.00 น. วันที่ 20 พฤษภาคม[38]
- ให้พนักงาน และเจ้าหน้าที่ตาม พ.ร.ก.ฉุกเฉินฯ ปฏิบัติหน้าที่ในเขตพื้นที่ และระยะเวลาที่กำหนด# ให้ประชาชนที่อยู่ในเขตพื้นที่กลับเข้าสู่เคหสถาน และไม่ออกมายังพื้นที่ที่กำหนด เว้นแต่ได้รับอนุญาตจากเจ้าหน้าที่ และได้มอบหมายให้ผู้อำนวยการ ศอฉ.กำหนดพื้นที่ และรายละเอียดเพิ่มเติมตามสมควรแก่เหตุ และในเวลาต่อมา ศอฉ. ได้ประกาศห้ามออกนอกเคหสถานในพื้นที่ปริมณฑลและจังหวัดอื่นเพิ่มเติม
วันต่อมา ศอฉ. ได้ประกาศกฎหมายว่าด้วยการจำกัดสิทธิส่วนบุคคลเพิ่มเติม โดยขยายจำนวนวันประกาศใช้เพิ่มเป็น 3 วัน คือในวันที่ 20-22 พฤษภาคม แต่ลดระยะเวลาควบคุมเป็น 21.00-05.00 น. เพื่ออำนวยความสะดวกการเดินทางให้แก่ประชาชนมากขึ้น ผู้ใดฝ่าฝืนข้อกำหนดนี้ต้องระวางโทษจำคุก สองปี หรือทั้งจำทั้งปรับ[39]
การรักษาความปลอดภัยบริเวณโรงพยาบาลศิริราช
[แก้]กองทัพเรือจัดตั้ง ศูนย์ปฏิบัติการกองทัพเรือ จัดกำลังรักษาความสงบขึ้นควบคุมทางยุทธการกับกองกำลังรักษาความสงบเรียบร้อย (กกล.รส.) รักษาความปลอดภัยบริเวณโรงพยาบาลศิริราช แม่น้ำเจ้าพระยา และสนับสนุนการดำเนินการของศูนย์อำนวยการรักษาความสงบเรียบร้อย ในระหว่างวันที่ 11 มีนาคม 2553 ถึงวันที่ 15 กรกฎาคม 2553[40]
การจับกุมผู้ฝ่าฝืนข้อกำหนดห้ามออกนอกเคหสถาน
[แก้]รวมทั้งสิ้น 511 ราย[41]ศาลได้สั่งจำคุก 2 เดือนปรับสองพันบาทโดยให้รอลงอาญาโทษจำคุกไว้ 1 ปี เฉพาะในกรุงเทพมหานคร ส่วนเด็กและเยาวชนได้มีการจับกุมส่งสถานพินิจ
การห้ามทำธุรกรรมทางการเงินของนิติบุคคลและบุคคลธรรมดา
[แก้]ศูนย์อำนวยการแก้ไขสถานการณ์ฉุกเฉินได้สั่งห้ามทำธุรกรรมทางการเงินของนิติบุคคลและบุคคลธรรมดาตามบัญชีรายชื่อแนบท้ายคำสั่งของ ศอฉ. ที่ 49/2553 ลงวันที่ 16 พฤษภาคม พ.ศ. 2553[42] ต่อมา ศอฉ. ได้ออกคำสั่งที่ 58/2553 เรื่องห้ามมิให้กระทำการใดๆ หรือสั่งให้กระทำการใดๆ เกี่ยวกับการทำธุรกรรมทางการเงินหรือการดำเนินการเกี่ยวกับทรัพย์สินของบุคคลหรือนิติบุคคลเท่าที่จำเป็นแก่การรักษาความมั่นคงของรัฐ ความปลอดภัยของประเทศและความปลอดภัยของประชาชน (ฉบับที่ 2) ลงวันที่ 18 พฤษภาคม พ.ศ. 2553[43]
ทางศูนย์อำนวยการแก้ไขสถานการณ์ฉุกเฉิน (ศอฉ.) ได้ออกคำสั่งศูนย์อำนวยการแก้ไขสถานการณ์ฉุกเฉินที่ 61/2553 เรื่องห้ามมิให้กระทำการใด ๆ หรือสั่งการให้กระทำการใด ๆ เกี่ยวกับการทำธุรกรรมทางการเงินหรือการดำเนินการเกี่ยวกับทรัพย์สินของ บุคคลหรือนิติบุคคลเท่าที่จำเป็นแก่การรักษาความมั่นคงของรัฐ ความปลอดภัยของประเทศและความปลอดภัยของประชาชน (ฉบับที่ 3) ลงวันที่ 20 พฤษภาคม พ.ศ. 2553[44]
ประกาศครั้งที่หนึ่ง
[แก้]คำสั่ง ศอฉ.ที่ 49/2553 ลงวันที่ 16 พฤษภาคม พ.ศ. 2553 ห้ามนิติบุคคล 13 ราย และบุคคล 93 ราย[45]
นิติบุคคล
|
|
|
บุคคล
|
|
|
|
ประกาศครั้งที่สอง
[แก้]คำสั่ง ศอฉ.ที่ 58/2553 (ฉบับที่ 2) ลงวันที่ 18 พฤษภาคม 2553 ห้ามนิติบุคคลเพิ่มอีก 6 ราย และห้ามบุคคลเพิ่มอีก 37 ราย[46]
นิติบุคคล
- บริษัท เวิร์ธซัพพลายส์ จำกัด
- บริษัท บี.บี.ดี. ดีเวลลอปเม้นท์ จำกัด
- บริษัท บี.บี.ดี.พร้อพเพอร์ตี้ จำกัด
- บริษัท เอสซีเอสเสท คอร์ปอเรชั่น จำกัด
- บริษัท รวยชัย อินเตอร์เนชั่นแนล กรุ๊ป จำกัด
- บริษัท รวยชัย เมอร์แซไดส์ จำกัด
บุคคล
|
|
|
ประกาศครั้งที่สาม
[แก้]คำสั่ง ศอฉ.ที่ 61/2553 (ฉบับที่ 3) ลงวันที่ 20 พฤษภาคม 2553 ห้ามบุคคลเพิ่มอีก 22 ราย นิติบุคคล 1 ราย[47]
นิติบุคคล บริษัท เอสซี แอสเสท คอร์ปอเรชั่นจำกัด (มหาชน)
บุคคล
|
|
|
ประกาศครั้งที่สี่
[แก้]คำสั่ง ศอฉ.ที่ 72/2553 (ฉบับที่ 4) ลงวันที่ 25 พฤษภาคม 2553 ห้ามบุคคล 5 ราย[48] บุคคล
การแถลงข่าวและปฏิกิริยาตอบรับ[แก้]กรณีการวางเพลิงและปล้นสะดมห้างร้าน[แก้]วันที่ 20 พฤษภาคม 2553 สำนักงานตำรวจแห่งชาติ ได้แถลงผลการจับกุมผู้ก่อการจราจลและปล้นสะดมร้านค้าในเขตที่มีการชุมนุม ของกลางที่ยึดได้ประกอบด้วย โทรศัพท์มือถือ เครื่องเล่นวิดีโอสุรา และวิทยุ นอกจากนี้ยังได้จับกุมผู้ลักทรัพย์เครื่องเพชรพลอย วันที่ 22 พฤษภาคม 2553 ศูนย์อำนวยการรักษาความสงบเรียบร้อย เผยแพร่คลิปวิดีโอ ที่แกนนำ นปช.ปราศรัยบนเวที โดยให้เหตุผลว่า มีเนื้อหาสั่งการให้ผู้ชุมนุม วางเพลิงตามสถานที่ต่างๆ[49] เมื่อวันที่ 1 มิถุนายน พ.ศ. 2553 นายจตุพร พรหมพันธุ์ ส.ส.สัดส่วน พรรคเพื่อไทย กล่าวถึงเหตุการณ์เผาสถานที่สำคัญต่าง ๆ ใจกลางกรุงเทพมหานคร ว่าอาคารต่างๆที่ถูกเผา ทั้งเซ็นทรัลเวิลด์ เซ็นเตอร์วัน อาคารมาลีนนท์ หรือธนาคารกรุงเทพ หลายสาขา หากรัฐบาลอ้างว่ากลุ่ม นปช. เผาจริง ทำไมไม่มีการจับกุมได้เลยแม้แต่คนเดียว ทั้งที่การเผาศาลากลางมีการจับกุมผู้ก่อเหตุได้หลายคน อีกทั้งห้างเกษรพลาซ่า ก็เป็นของลูกสาวและลูกเขยคนในพรรคประชาธิปัตย์ ทำไมพวกตนถึงไปเผาเซ็นทรัลเวิลด์ อีกทั้งเรื่องอาวุธที่ ศอฉ. นำมาแถลงนั้น ก็คือการยัดเยียดอาวุธ และทำไมไม่มีการชันสูตรพลิกศพทุกศพ จะได้รู้ว่าทั้งสองฝ่ายเสียชีวิตเพราะอะไร[50] กรณีขบวนการล้มเจ้า[แก้]ศอฉ. ได้ออกมาระบุถึง "ขบวนการล้มเจ้า" คือกลุ่มบุคคลที่ดำเนินการเพื่อล้มล้างสถาบันพระมหากษัตริย์ จากการเปิดเผยของสำนักข่าวทีนิวส์ ทางสถานีวิทยุโทรทัศน์แห่งประเทศไทยเป็นหลัก พร้อมทั้งอ้างว่า มีการเคลื่อนไหวโดยใช้สื่อสารมวลชน เช่น อินเทอร์เน็ต และสื่อสิ่งพิมพ์[51] ทั้งนี้ ณัฐวุฒิ ใสยเกื้อ แกนนำ นปช. ชี้แจงว่าแผนผัง ดังกล่าว ศอฉ. สร้างโครงข่ายที่เชื่อมโยงกับบุคคลจำนวนมากขึ้นเอง โดยอาศัยข้อมูลที่ไม่มีการตรวจสอบ ทางกลุ่มได้มอบให้ฝ่ายกฎหมายรวบรวมพยานหลักฐานทั้งหมดเพื่อดำเนินการฟ้องร้องกับนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นายกรัฐมนตรี นายสุเทพ เทือกสุบรรณ รองนายกรัฐมนตรี ฝ่ายความมั่นคง และ พ.อ.สรรเสริญ แก้วกำเนิด โฆษก ศอฉ. รวมถึงผู้ที่เกี่ยวข้องต่อไป[52][53] พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชาผู้บัญชาการทหารบก ได้แสดงจุดยืนที่ชัดเจนและเด็ดขาดในการที่จะจัดการกับขบวนการที่คิดล้มเจ้าจาบจ้วงต่อสถาบันเบื้องสูง และทำลายสถาบันหลักต่างๆ ของชาติโดยเฉพาะสถาบันองคมนตรี และสถาบันศาล ด้วยวลี ที่แข็งกร้าวว่า "ที่บ้านเมืองปั่นป่วนวุ่นวายก็เพราะยังมีคนชั่วเยอะ"[ต้องการอ้างอิง] ในขณะที่ พล.ท.วรรณทิพย์ ว่องไว แม่ทัพภาคที่ 3 ย้ำความมีอยู่จริงของขบวนการคิดล้มเจ้า ซึ่งสะท้อนให้เห็นจากพฤติกรรมอย่างกรณีนายจักรภพ เพ็ญแข และนายใจ อึ๊งภากรณ์ สองแกนนำคนเสื้อแดง ที่หลบหนีหมายจับไปใช้ชีวิตอยู่ในต่างแดน จากท่าทีดังกล่าวก่อให้เกิดปฏิกิริยาตอบโต้จากแกนนำคนเสื้อแดง โดย นายจตุพร พรหมพันธุ์ ตอบโต้ว่า อย่านำสถาบันเบื้องสูงมาเป็นเครื่องมือทำลายฝ่ายตรงข้าม และสิ่งสำคัญ พล.อ.ประยุทธ์ ควรหันไปจัดการพวกที่แอบอ้างสถาบันและนักการเมืองที่ทุจริตคอร์รัปชั่นกันอย่างมโหฬารในรัฐบาลชุดนี้มากกว่า[54] จากการเปิดเผยของนาย นายธาริต เพ็งดิษฐ์ อธิบดีกรมสอบสวนคดีพิเศษระบุว่ามีการเคลื่อนไหว 2 ช่องทางคือ
สุธาชัย ยิ้มประเสริฐ ผู้ช่วยศาสตราจารย์ประจำภาควิชาประวัติศาสตร์ คณะอักษรศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย เป็นโจทก์ยื่นฟ้อง อภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ, สุเทพ เทือกสุบรรณ ผู้อำนวยศูนย์อำนวยการแก้ไขสถานการณ์ฉุกเฉิน และ พ.อ.สรรเสริญ แก้วกำเนิด ในข้อหาเป็นเจ้าพนักงานปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบและหมิ่นประมาทด้วยการโฆษณา ละเมิด ใส่ชื่อ 'สุธาชัย' ในผังเครือข่ายล้มเจ้า ต่อมาศาลแพ่งตัดสินจำเลยมีอำนาจตาม พ.ร.ก.ฉุกเฉิน กระทำในฐานะเจ้าหน้าที่รัฐ พิพากษายกฟ้อง[56] ณัฐวุฒิ ใสยเกื้อ กล่าวถึงกรณีที่ พล.อ.เปรม ติณสูลานนท์ ประธานองคมนตรีและรัฐบุรุษ ให้สัมภาษณ์ในทำนองว่า การโจมตีและเคลื่อนไหวกดดันบุคคลที่ปฏิบัติงานใกล้ชิดพระบาทสมเด็จพระมหาภูมิพลอดุลยเดชมหาราช บรมนาถบพิตร ถือเป็นการบั่นทอนและกัดกร่อนสถาบัน ว่า เป็นการกล่าวหาอย่างร้ายแรง ฉกาจฉกรรจ์ต่อกลุ่มคนเสื้อแดง ขอยืนยันว่า กลุ่มคนเสื้อแดงจงรักภักดีต่อสถาบันและไม่เคยแม้แต่จะคิดดำเนินการใดๆ ที่จะเป็นการกระทบกระเทือนสถาบันเลยแม้แต่น้อย เป้าหมายสูงสุดของกลุ่มคนเสื้อแดง คือการโค่นล้มระบอบอำมาตยธิปไตยที่เรืองอำนาจอย่างสูงสุดในระยะ 3-4 ปีที่ผ่านมานี้ จนกระทั่งปัจจุบัน[57] พล.อ.ชวลิต ยงใจยุทธ กล่าวว่า นายกรัฐมนตรีต้องแก้ไขความขัดแย้งของคนในชาติ ทุกวันนี้สิ่งที่เจ็บปวดที่สุดคือการกล่าวหาคนเสื้อแดงว่าไม่จงรักภักดีต่อสถาบันพระมหากษัตริย์ ผมตัดสินใจมาทำงานในพรรค ภารกิจเรื่องแรกที่ตั้งเป้าคือการพิสูจน์ว่าพรรคนี้มีความจงรักภักดีหรือไม่ ซึ่งผมได้พิสูจน์แล้วว่าทุกคนมีความจงรักภักดี พรรคนี้มีอดีตนายกรัฐมนตรีที่ยังมีชีวิตอยู่ 3 คน อดีต ผบ.ทบ. 3 คน อีกไม่นานเกินรอพรรคจะมีเครื่องหมายความจงรักภักดี เข้ามาอยู่กับเรา แม้กระทั่งหม่อมเจ้า รุ่นสุดท้ายยังจะมาอยู่กับเรา ข้อกล่าวหาเรื่องงบประมาณ[แก้]ศอฉ.ถูกกล่าวหาจากฝ่ายที่อยู่ตรงข้ามว่าใช้งบประมาณสิ้นเปลืองกว่าหมื่นล้านบาท ซึ่งพลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา ได้แถลงตอบโต้กรณีดังกล่าวอย่างเกรี้ยวกราดเมื่อวันที่ 21 ธันวาคม 2553 ว่าไม่เป็นความจริง และงบประมาณของศอฉ.มีเฉพาะเบี้ยเลี้ยงของทหารเท่านั้น[ต้องการอ้างอิง] กรณีการออกหมายเรียก ตามพระราชกำหนดในสถานการณ์ฉุกเฉิน พ.ศ. 2548[แก้]หมายเรียก ศูนย์อำนวยการแก้ไขสถานการณ์ฉุกเฉิน มีทั้งหมด สอง ชุด 106 รายชื่อ ส่วนใหญ่เป็น กลุ่มวิทยุชุมชน แท็กซี่ จักรยานยนต์ และการ์ดนปช. รายชื่อเช่น [58] บุคคล
กรณีจับกุมฐานฝ่าฝืน พระราชกำหนดในสถานการณ์ฉุกเฉิน พ.ศ. 2548[แก้]การจับกุมฐานฝ่าฝืน พระราชกำหนดในสถานการณ์ฉุกเฉิน พ.ศ. 2548 โดยอาศัยอำนาจตามมาตรา 9 และมาตรา 11 กล่าวคือ การฝ่าฝืนข้อกำหนดในการออกนอกเคหะสถาน ในระยะเวลาที่กำหนด หรือ กระทำการเข้าไปในสถานที่ ๆ ห้ามเข้า การเสนอข่าว การจำหน่าย หรือทำให้แพร่หลายซึ่งหนังสือพิมพ์ สิ่งพิมพ์ หรือสื่ออื่นใด ที่มีข้อความอันอาจทำให้ประชาชนเกิดความหวาดกลัว หรือเจตนาบิดเบือนข้อมูลข่าวสาร ทำให้เกิดความเข้าใจผิดในสถานการณ์ฉุกเฉินจนกระทบต่อความมั่นคงของรัฐ หรือ ความสงบเรียบร้อยหรือศีลธรรมอันดีของประชาชน การทำร้ายร่างกายและทรัพย์สิน การออกมาชุมนุมมากว่า 5 คนขึ้นไป การมีอาวุธในครอบครอง การมีวัตถุยั่วยุเพื่อการขาย การแพร่สื่อสิ่งพิมพ์ที่อาจกระทบต่อความมั่นคงภายในราชอาณาจักร มีโทษจำคุกสองปี ปรับไม่เกิน สี่หมื่นบาทหรือทั้งจำทั้งปรับ รายนามที่น่าสนใจมีดังต่อไปนี้[59] จำนวนผู้ถูกกุมขังทั้งหมด 417 ราย[60]คนจากสำนักงานตำรวจแห่งชาติ บุคคล
|