ผลต่างระหว่างรุ่นของ "จักรวรรดิออสเตรีย-ฮังการี"

จากวิกิพีเดีย สารานุกรมเสรี
เนื้อหาที่ลบ เนื้อหาที่เพิ่ม
Phaisit16207 (คุย | ส่วนร่วม)
ไม่มีความย่อการแก้ไข
Phaisit16207 (คุย | ส่วนร่วม)
ไม่มีความย่อการแก้ไข
บรรทัด 91: บรรทัด 91:
ราชวงศ์ฮาพส์บวร์คนั้นได้ปกครองประเทศในฐานะ[[รายพระนามจักรพรรดิแห่งออสเตรีย|จักรพรรดิแห่งออสเตรีย]] ''' (Emperor of Austria) ''' และ[[ราชอาณาจักรฮังการี]]ในฐานะ[[รายพระนามกษัตริย์แห่งฮังการี|กษัตริย์แห่งฮังการี]] ''' (Apostolic King of Hungary) ''' ผู้ทรงเปรียบเสมือนเบื้องขวาแห่งองค์พระผู้เป็นเจ้า นอกจากนั้นยังได้ปกครองทั่วทั้งทางตะวันตกและทางเหนือ รวมทั้งครึ่งหนึ่งของ[[ทวีปยุโรป]]เลยทีเดียว โดยทุกประเทศที่อยู่ภายใต้จักรวรรดินี้ มีรัฐบาลเป็นของตนเอง มิได้มีรัฐบาลและศูนย์กลางทางการเมืองหรือรัฐบาลที่ประเทศเดียว เมืองหลวงของจักรวรรดิออสเตรีย-ฮังการีนั้น มีอยู่ 2 เมืองด้วยกันคือ [[กรุงเวียนนา]] ที่[[ประเทศออสเตรีย]] และ[[กรุงบูดาเปสต์]]ที่[[ประเทศฮังการี]] จักรวรรดินี้มีพื้นที่ใหญ่เป็นอันดับสองรองจาก[[จักรวรรดิรัสเซีย]] และเป็นอาณาจักรที่มีประชากรหนาแน่นเป็นอันดับ 3 รองจากจักรวรรดิรัสเซียและ[[จักรวรรดิเยอรมัน]] ซึ่งปัจจุบันนี้ พื้นที่ที่เคยเป็นส่วนหนึ่งของจักรวรรดินั้นมีประชากรรวมทั้งหมดถึง 73 ล้านคน
ราชวงศ์ฮาพส์บวร์คนั้นได้ปกครองประเทศในฐานะ[[รายพระนามจักรพรรดิแห่งออสเตรีย|จักรพรรดิแห่งออสเตรีย]] ''' (Emperor of Austria) ''' และ[[ราชอาณาจักรฮังการี]]ในฐานะ[[รายพระนามกษัตริย์แห่งฮังการี|กษัตริย์แห่งฮังการี]] ''' (Apostolic King of Hungary) ''' ผู้ทรงเปรียบเสมือนเบื้องขวาแห่งองค์พระผู้เป็นเจ้า นอกจากนั้นยังได้ปกครองทั่วทั้งทางตะวันตกและทางเหนือ รวมทั้งครึ่งหนึ่งของ[[ทวีปยุโรป]]เลยทีเดียว โดยทุกประเทศที่อยู่ภายใต้จักรวรรดินี้ มีรัฐบาลเป็นของตนเอง มิได้มีรัฐบาลและศูนย์กลางทางการเมืองหรือรัฐบาลที่ประเทศเดียว เมืองหลวงของจักรวรรดิออสเตรีย-ฮังการีนั้น มีอยู่ 2 เมืองด้วยกันคือ [[กรุงเวียนนา]] ที่[[ประเทศออสเตรีย]] และ[[กรุงบูดาเปสต์]]ที่[[ประเทศฮังการี]] จักรวรรดินี้มีพื้นที่ใหญ่เป็นอันดับสองรองจาก[[จักรวรรดิรัสเซีย]] และเป็นอาณาจักรที่มีประชากรหนาแน่นเป็นอันดับ 3 รองจากจักรวรรดิรัสเซียและ[[จักรวรรดิเยอรมัน]] ซึ่งปัจจุบันนี้ พื้นที่ที่เคยเป็นส่วนหนึ่งของจักรวรรดินั้นมีประชากรรวมทั้งหมดถึง 73 ล้านคน


=== ชื่ออย่างเป็นทางการ ===
== ชื่อและศัพทบัญญัติ ==
[[File:5 corona Franz Joseph 1908.png|thumb|left|250px| [[Silver coin|เหรียญเงิน]]: ราคา 5 โคโรนา ใน ค.ศ. 1908 ประกอบไปด้วยพระบรมรูปปั้นครึ่งพระองค์ของจักรพรรดิฟรันซ์ โยเซ็ฟที่ 1 ทรงหันพระพักตร์ไปทางขวา ล้อมรอบด้วยคำจารึกว่า "ด้วยอำนาจแห่งองค์พระผู้เป็นเจ้า ฟรันซ์ โยเซ็ฟที่ 1 จักรพรรดิแห่งออสเตรีย พระมหากษัตริย์แห่งโบฮีเมีย กาลิเซีย อิลลีเรีย และอื่น ๆ และสมเด็จพระราชาธิบดีแห่งฮังการี" ({{lang|la|Franciscus Iosephus I, Dei gratia, imperator Austriae, rex Bohemiae, Galiciae, Illyriae et cetera et apostolicus rex Hungariae}})]]
[[ไฟล์:Pietzner, Carl (1853-1927) - Emperor Franz Josef I - ca 1885.jpg|thumb|right|[[จักรพรรดิฟรันซ์ โยเซฟที่ 1 แห่งออสเตรีย|ฟรันซ์ โยเซฟที่ 1]]]]
ชื่ออย่างเป็นทางการของราชาธิปไตยออสเตรีย–ฮังการีในภาษาเยอรมัน ('''{{lang|de|Österreichisch-Ungarische Monarchie}}''') และในภาษาฮังการี ('''{{lang|hu|Osztrák–Magyar Monarchia}}''') ล้วนแปลได้ว่า '''ราชาธิปไตยออสเตรีย-ฮังการี'''<ref>Manuscript of Franz Joseph I. – Stephan Vajda, Felix Austria. Eine Geschichte Österreichs, Ueberreuter 1980, Vienna, {{ISBN|3-8000-3168-X}}, in German</ref> ถึงแม้ว่าชื่อที่นิยมใช้ความสัมพันธ์ระหว่างประเทศจะใช้คำว่า ''ออสเตรีย–ฮังการี'' ก็ตาม ({{lang-de|Österreich-Ungarn}}; {{lang-hu|Ausztria-Magyarország}}) ออสเตรียเองก็ยังได้ใช้คำว่า ''คา. อู. คา. โมนาร์ชี'' ({{lang|de|k. u. k. Monarchie}})<ref>Eva Philippoff: ''Die Doppelmonarchie Österreich-Ungarn. Ein politisches Lesebuch (1867–1918)'', Presses Univ. Septentrion, 2002, Villeneuve d’Ascq, {{ISBN|2-85939-739-6}} ({{Google book|id=iJNlObrtF_cC|title=online|page=60}})</ref> (ความหมายเต็มในภาษา{{lang-de|Kaiserliche und königliche Monarchie Österreich-Ungarn}}; {{lang-hu|Császári és Királyi Osztrák–Magyar Monarchia}})<ref>{{Cite book|url=https://books.google.com/books?id=mfjijA5t9bUC&pg=PA485|archive-url=https://web.archive.org/web/20190327222938/https://books.google.de/books?id=mfjijA5t9bUC&pg=PA485|url-status=dead|title=Deutsche Verfassungsgeschichte|first=Michael|last=Kotulla|date=17 August 2008|archive-date=27 March 2019|publisher=Springer Berlin Heidelberg|isbn = 978-3-540-48707-4|via=Google Books}}</ref> และ ''ราชาธิปไตยโดเนา'' ({{lang-de|Donaumonarchie}}; {{lang-hu|Dunai Monarchia}}) หรือ ''ราชาธิปไตยคู่'' ({{lang-de|Doppel-Monarchie}}; {{lang-hu|Dual-Monarchia}}) และ ''นกอินทรีสองหัว'' ({{lang-de|Der Doppel-Adler}}; {{lang-hu|Kétsas}}) แต่คำเหล่านี้ก็ไม่ได้แพร่หลายทั้งในฮังการีและที่อื่นมากนัก
ชื่ออย่างเป็นทางการของจักรวรรดิออสเตรีย-ฮังการี ซึ่งรวมๆแล้วหมายถึงอาณาจักรอันศักดิ์สิทธิ์ภายใต้สภาอิมพีเรียลและ[[มงกุฎฮังการีอันศักดิ์สิทธิ์แห่งเซนต์สตีเฟน]]


โดยชื่ออย่างเต็มในการบริหารภายในของราชาธิปไตยคือ '''เหล่าราชอาณาจักรและดินแดนอันมีผู้แทนใน[[ราชสภา (ออสเตรีย)|ราชสภา]]และ[[ดินแดนแห่งมงกุฎนักบุญอิชต์วาน|ดินแดนแห่งมงกุฎฮังการีอันศักดิ์สิทธิ์แห่งนักบุญอิชต์วาน]]'''
ชื่อของจักรวรรดิออสเตรีย-ฮังการีในแต่ละภาษา ดังนี้:
* [[ภาษาเยอรมัน]]: Österreich-Ungarn
* [[ภาษาเยอรมัน|เยอรมัน]]: {{lang|de|Die im Reichsrat vertretenen Königreiche und Länder und die Länder der Heiligen Ungarischen Stephanskrone}}
* [[ภาษาฮังการี]]: Osztrák–Magyar Monarchia
* [[ภาษาฮังการี|ฮังการี]]: {{lang|hu|A Birodalmi Tanácsban képviselt királyságok és országok és a Magyar Szent Korona országai}}

* [[ภาษาเช็ก]]: Rakousko-Uhersko
นับตั้งแต่ ค.ศ. 1867 เป็นต้นไป ชื่อย่อของหน่วยงานทางการของออสเตรีย–ฮังการีก็ได้สะท้อนถึงภาระหน้าที่และความรับผิดชอบของหน่วยงานต่าง ๆ ดังนี้:
* [[ภาษาอิตาลี]]: Austria-Ungheria
* ''คา. อู. คา'' ({{lang|de|k. u. k.}}; ''{{lang|de|kaiserlich und königlich}}'' หรือ [[Imperial and Royal|จักรวรรดิและราชอาณาจักร]]) เป็นคำนิยามสำหรับหน่วยงานต่าง ๆ ในทั้งสองส่วนของราชาธิปไตย เช่น ''คา. อู. คา. ครีคส์มารีเนอ'' (''{{lang|de|k.u.k. Kriegsmarine}}''; ทัพเรือศึกจักรวรรดิและราชอาณาจักร) และ ''คา. อู. คา. อาร์เม'' ({{lang|de|k.u.k. Armee}}; กองทัพจักรวรรดิและราชอาณาจักร) ภายในช่วงสงคราม กองทัพออสเตรีย–ฮังการีได้เปลี่ยนคำนิยามจาก ''คา. คา.'' เป็น ''คา. อู. คา.'' ซึ่งเป็นการเปลี่ยนคำนิยามตามคำร้องขอของรัฐบาลฮังการีใน ค.ศ. 1889
* [[ภาษาโปแลนด์]]: Austro-Węgry
* ''คา. คา.'' (''{{lang|de|K. k.}}''; ''{{lang|de|kaiserlich-königlich}}'') หรือ [[Imperial-Royal|จักรวรรดิ–ราชอาณาจักร]] เป็นคำศัพท์สำหรับหน่วยงานที่อยู่ภายในดินแดน[[ซิสไลทาเนีย]] (ออสเตรีย) ส่วนคำว่า "ราชอาณาจักร" ที่อยู่ในคำนิยามอาจหมายถึง[[ดินแดนแห่งราชบัลลังก์โบฮีเมีย|ราชบัลลังก์โบฮีเมีย]]
* [[ภาษาบอสเนีย]]: Austro-Ugarska
* ''คา. อู.'' (''{{lang|de|K. u.}}''; ''{{lang|de|königlich-ungarisch}}'') หรือ ''แอ็ม. กา.'' (''{{lang|de|M. k.}}''; ''{{lang|de|Magyar királyi}}'') ("ฮังการีหลวง") หมายถึงดินแดน[[ทรานไลทาเนีย]] หรือ ดินแดนแห่งพระมงกุฎฮังการี ในขณะที่หน่วยงานอิสระที่อยู่ภายใน[[ราชอาณาจักรโครเอเชียและสลาวอเนีย]] ก็ได้ใช้คำว่า ''เก'' (ย่อมาจาก ''{{lang|de|kraljevski}}''; ราชอาณาจักร) ตาม[[Croatian–Hungarian Settlement|ข้อตกลงโครเอเชีย–ฮังการี]] [[ภาษาโครเอเชีย]]ถือเป็นภาษาราชการเพียงภาษาเดียวภายในโครเอเชียและสลาวอเนีย และหน่วยงานเหล่านั้นก็ใช้ภาษาโครเอเชีย "เพียงภาษาเดียวเท่านั้น"
* [[ภาษาโรมาเนีย]]: Austro-Ungaria
{{anchor|Names}}
* [[ภาษาสโลวัก]]: Rakúsko-Uhorsko
ใน ค.ศ. 1868 หลังจากที่[[จักรพรรดิฟรันทซ์ โยเซ็ฟที่ 1 แห่งออสเตรีย|จักรพรรดิฟรันทซ์ โยเซ็ฟที่ 1]] ทรงตัดสินพระทัยแล้ว ราชาธิปไตยก็ได้ใช้ชื่ออย่างเป็นทางการว่า '''ราชาธิปไตยออสเตรีย–ฮังการี''' ({{lang-de|Österreichisch-Ungarische Monarchie/Reich}}; {{lang-hu|Osztrák–Magyar Monarchia/Birodalom}})
* [[ภาษาสโลวีเนีย]]: Avstro-Ogrska
หากมีการใช้คำในความสัมพันธ์ระหว่างประเทศ ชื่อของออสเตรีย–ฮังการีมักจะใช้คำในรูปแบบโดยย่อว่า '''ราชาธิปไตยคู่''' หรือเรียกโดยอย่างง่ายว่า '''ออสเตรีย'''<ref name=eb9>{{cite EB9|last=Kay|first=David|wstitle=Austria|volume=3|pages=116–141}}</ref>
* [[ภาษาเซอร์เบีย]]: Aустро-Угарска, Austro-Ugarska
* [[ภาษาโครเอเชีย]]: Austro-Ugarska
* [[ภาษายูเครน]]: Австро-Угорщина
* [[ภาษารูซึน]]: Австро-Магярщина


== การก่อตั้งจักรวรรดิออสเตรีย-ฮังการี ==
== การก่อตั้งจักรวรรดิออสเตรีย-ฮังการี ==

รุ่นแก้ไขเมื่อ 23:21, 30 พฤษภาคม 2565

ราชาธิปไตยออสเตรีย-ฮังการี

Österreich-Ungarn Monarchie  (เยอรมัน)
Osztrák–Magyar Monarchia  (ฮังการี)
ค.ศ. 1867–1918
เพลงชาติก็อทเอไฮล์ ก็อทเบชลุส์
("พระเจ้าจักปกปักษ์ พระเจ้าจักคุ้มครอง")
  ซิสไลทาเนีย หรือ “ออสเตรีย”
เมืองหลวงเวียนนา[1] (ออสเตรีย)
บูดาเปสต์ (ฮังการี)
เมืองใหญ่สุดเวียนนา
ภาษาราชการ
ภาษาอื่นๆ:
เช็ก, ฟรูเลียน, ลาดิน, โรมานี (สำเนียงคาร์เพเทียน), อิตาลี, อิสโตร-โรมาเนีย, โปแลนด์, โรมาเนีย, รูซึน, รูเทเนีย, เซอร์เบีย, สโลวัก, สโลวีเนีย, ยิดดิช[3]
ศาสนา
(การสำมโนประชากร ค.ศ. 1910[4])
การปกครองราชาธิปไตยคู่
จักรพรรดิ-กษัตริย์ 
• ค.ศ. 1867–1916
ฟรันทซ์ โยเซ็ฟที่ 1
• ค.ศ. 1916–1918
คาร์ลที่ 1 และ 4
มุขมนตรีออสเตรีย 
• ค.ศ. 1867 (คนแรก)
ฟรีดริช แฟร์ดีนันท์ ฟ็อน บ็อยซท์
• ค.ศ. 1918 (ตนสุดท้าย)
ไฮน์ริช ลัมมัช
นายกรัฐมนตรีฮังการี 
• ค.ศ. 1867–1871 (คนแรก)
ดยูเลาะ เนาะดราชี
• ค.ศ. 1918 (คนสุดท้าย)
ยานอช ฮาดิก
สภานิติบัญญัติสภานิติบัญญัติแห่งชาติ 2 แห่ง
สภาขุนนาง
สภาผู้แทนราษฎร
สภาผู้ทรงอิทธิพล
สภาผู้แทนราษฎร
ยุคประวัติศาสตร์
30 มีนาคม ค.ศ. 1867
7 ตุลาคม ค.ศ. 1879
6 ตุลาคม ค.ศ. 1908
28 กรกฎาคม ค.ศ. 1914
28 กรกฎาคม ค.ศ. 1914
31 ตุลคม ค.ศ. 1918
12 พฤศจิกายน ค.ศ. 1918
12 พฤศจิกายน ค.ศ. 1918
10 กันยายน ค.ศ. 1919
4 มิถุนายน ค.ศ. 1920
ประชากร
• ค.ศ. 1914
52,800,000
สกุลเงินกูลเด็น
โครน
ก่อนหน้า
ถัดไป
จักรวรรดิออสเตรีย
สาธารณรัฐออสเตรียที่หนึ่ง
(รัฐผู้สืบทอดโดยชอบธรรม)
ราชอาณาจักรฮังการี
(รัฐผู้สืบทอดโดยชอบธรรม)
สาธารณรัฐเชโกสโลวักที่หนึ่ง
(รัฐผู้สืบทอดทางดินแดน)
สาธารณรัฐโปแลนด์ที่สอง
(รัฐผู้สืบทอดทางดินแดน)
ราชอาณาจักรแห่งชาวเซิร์บ โครแอต และสโลวีน
(รัฐผู้สืบทอดทางดินแดน)
ราชอาณาจักรโรมาเนีย
(รัฐผู้สืบทอดทางดินแดน)
ราชอาณาจักรอิตาลี
(รัฐผู้สืบทอดทางดินแดน)

จักรวรรดิออสเตรีย-ฮังการี[a] รู้จักกันในนาม ออสเตรีย-ฮังการี (อังกฤษ: Austria-Hungary) เป็นรัฐราชาธิปไตยภายใต้รัฐธรรมนูญ และเป็นมหาอำนาจในยุโรปกลาง[b] ที่ดำรงอยู่ระหว่าง ค.ศ. 1867 ถึง ค.ศ. 1918[5][6] จักรวรรดิออสเตรีย-ฮังการีถูกสถาปนาขึ้นจากการประนีประนอมระหว่างออสเตรียและฮังการี ใน ค.ศ. 1867 และถูกยุบหลังจากที่จักรวรรดิออสเตรีย–ฮังการีพ่ายแพ้ในสงครามโลกครั้งที่หนึ่ง

จักรวรรดินี้ได้สืบทอดมาจากจักรวรรดิออสเตรีย (ค.ศ. 1804-ค.ศ. 1867) โดยมีอาณาเขตพื้นที่เดียวกัน โดยมีต้นกำเนิดจากการเจรจาต่อรองระหว่างออสเตรียและฮังการี เมื่อปีพ.ศ. 2410 ซึ่งทั้งสองประเทศนี้ถูกปกครองโดยราชวงศ์ฮาพส์บวร์คมาช้านาน โดยเจรจาให้มีการรวมอาณาจักรเป็นหนึ่งเดียว โดยจักรวรรดินี้เป็นอาณาจักรที่มีหลากหลายเชื้อชาติและมีความเจริญรุ่งเรืองขีดสุด ทั้งในด้านการเมือง เศรษฐกิจ และอุตสาหกรรม

ราชวงศ์ฮาพส์บวร์คนั้นได้ปกครองประเทศในฐานะจักรพรรดิแห่งออสเตรีย (Emperor of Austria) และราชอาณาจักรฮังการีในฐานะกษัตริย์แห่งฮังการี (Apostolic King of Hungary) ผู้ทรงเปรียบเสมือนเบื้องขวาแห่งองค์พระผู้เป็นเจ้า นอกจากนั้นยังได้ปกครองทั่วทั้งทางตะวันตกและทางเหนือ รวมทั้งครึ่งหนึ่งของทวีปยุโรปเลยทีเดียว โดยทุกประเทศที่อยู่ภายใต้จักรวรรดินี้ มีรัฐบาลเป็นของตนเอง มิได้มีรัฐบาลและศูนย์กลางทางการเมืองหรือรัฐบาลที่ประเทศเดียว เมืองหลวงของจักรวรรดิออสเตรีย-ฮังการีนั้น มีอยู่ 2 เมืองด้วยกันคือ กรุงเวียนนา ที่ประเทศออสเตรีย และกรุงบูดาเปสต์ที่ประเทศฮังการี จักรวรรดินี้มีพื้นที่ใหญ่เป็นอันดับสองรองจากจักรวรรดิรัสเซีย และเป็นอาณาจักรที่มีประชากรหนาแน่นเป็นอันดับ 3 รองจากจักรวรรดิรัสเซียและจักรวรรดิเยอรมัน ซึ่งปัจจุบันนี้ พื้นที่ที่เคยเป็นส่วนหนึ่งของจักรวรรดินั้นมีประชากรรวมทั้งหมดถึง 73 ล้านคน

ชื่อและศัพทบัญญัติ

เหรียญเงิน: ราคา 5 โคโรนา ใน ค.ศ. 1908 ประกอบไปด้วยพระบรมรูปปั้นครึ่งพระองค์ของจักรพรรดิฟรันซ์ โยเซ็ฟที่ 1 ทรงหันพระพักตร์ไปทางขวา ล้อมรอบด้วยคำจารึกว่า "ด้วยอำนาจแห่งองค์พระผู้เป็นเจ้า ฟรันซ์ โยเซ็ฟที่ 1 จักรพรรดิแห่งออสเตรีย พระมหากษัตริย์แห่งโบฮีเมีย กาลิเซีย อิลลีเรีย และอื่น ๆ และสมเด็จพระราชาธิบดีแห่งฮังการี" (Franciscus Iosephus I, Dei gratia, imperator Austriae, rex Bohemiae, Galiciae, Illyriae et cetera et apostolicus rex Hungariae)

ชื่ออย่างเป็นทางการของราชาธิปไตยออสเตรีย–ฮังการีในภาษาเยอรมัน (Österreichisch-Ungarische Monarchie) และในภาษาฮังการี (Osztrák–Magyar Monarchia) ล้วนแปลได้ว่า ราชาธิปไตยออสเตรีย-ฮังการี[7] ถึงแม้ว่าชื่อที่นิยมใช้ความสัมพันธ์ระหว่างประเทศจะใช้คำว่า ออสเตรีย–ฮังการี ก็ตาม (เยอรมัน: Österreich-Ungarn; ฮังการี: Ausztria-Magyarország) ออสเตรียเองก็ยังได้ใช้คำว่า คา. อู. คา. โมนาร์ชี (k. u. k. Monarchie)[8] (ความหมายเต็มในภาษาเยอรมัน: Kaiserliche und königliche Monarchie Österreich-Ungarn; ฮังการี: Császári és Királyi Osztrák–Magyar Monarchia)[9] และ ราชาธิปไตยโดเนา (เยอรมัน: Donaumonarchie; ฮังการี: Dunai Monarchia) หรือ ราชาธิปไตยคู่ (เยอรมัน: Doppel-Monarchie; ฮังการี: Dual-Monarchia) และ นกอินทรีสองหัว (เยอรมัน: Der Doppel-Adler; ฮังการี: Kétsas) แต่คำเหล่านี้ก็ไม่ได้แพร่หลายทั้งในฮังการีและที่อื่นมากนัก

โดยชื่ออย่างเต็มในการบริหารภายในของราชาธิปไตยคือ เหล่าราชอาณาจักรและดินแดนอันมีผู้แทนในราชสภาและดินแดนแห่งมงกุฎฮังการีอันศักดิ์สิทธิ์แห่งนักบุญอิชต์วาน

  • เยอรมัน: Die im Reichsrat vertretenen Königreiche und Länder und die Länder der Heiligen Ungarischen Stephanskrone
  • ฮังการี: A Birodalmi Tanácsban képviselt királyságok és országok és a Magyar Szent Korona országai

นับตั้งแต่ ค.ศ. 1867 เป็นต้นไป ชื่อย่อของหน่วยงานทางการของออสเตรีย–ฮังการีก็ได้สะท้อนถึงภาระหน้าที่และความรับผิดชอบของหน่วยงานต่าง ๆ ดังนี้:

  • คา. อู. คา (k. u. k.; kaiserlich und königlich หรือ จักรวรรดิและราชอาณาจักร) เป็นคำนิยามสำหรับหน่วยงานต่าง ๆ ในทั้งสองส่วนของราชาธิปไตย เช่น คา. อู. คา. ครีคส์มารีเนอ (k.u.k. Kriegsmarine; ทัพเรือศึกจักรวรรดิและราชอาณาจักร) และ คา. อู. คา. อาร์เม (k.u.k. Armee; กองทัพจักรวรรดิและราชอาณาจักร) ภายในช่วงสงคราม กองทัพออสเตรีย–ฮังการีได้เปลี่ยนคำนิยามจาก คา. คา. เป็น คา. อู. คา. ซึ่งเป็นการเปลี่ยนคำนิยามตามคำร้องขอของรัฐบาลฮังการีใน ค.ศ. 1889
  • คา. คา. (K. k.; kaiserlich-königlich) หรือ จักรวรรดิ–ราชอาณาจักร เป็นคำศัพท์สำหรับหน่วยงานที่อยู่ภายในดินแดนซิสไลทาเนีย (ออสเตรีย) ส่วนคำว่า "ราชอาณาจักร" ที่อยู่ในคำนิยามอาจหมายถึงราชบัลลังก์โบฮีเมีย
  • คา. อู. (K. u.; königlich-ungarisch) หรือ แอ็ม. กา. (M. k.; Magyar királyi) ("ฮังการีหลวง") หมายถึงดินแดนทรานไลทาเนีย หรือ ดินแดนแห่งพระมงกุฎฮังการี ในขณะที่หน่วยงานอิสระที่อยู่ภายในราชอาณาจักรโครเอเชียและสลาวอเนีย ก็ได้ใช้คำว่า เก (ย่อมาจาก kraljevski; ราชอาณาจักร) ตามข้อตกลงโครเอเชีย–ฮังการี ภาษาโครเอเชียถือเป็นภาษาราชการเพียงภาษาเดียวภายในโครเอเชียและสลาวอเนีย และหน่วยงานเหล่านั้นก็ใช้ภาษาโครเอเชีย "เพียงภาษาเดียวเท่านั้น"

ใน ค.ศ. 1868 หลังจากที่จักรพรรดิฟรันทซ์ โยเซ็ฟที่ 1 ทรงตัดสินพระทัยแล้ว ราชาธิปไตยก็ได้ใช้ชื่ออย่างเป็นทางการว่า ราชาธิปไตยออสเตรีย–ฮังการี (เยอรมัน: Österreichisch-Ungarische Monarchie/Reich; ฮังการี: Osztrák–Magyar Monarchia/Birodalom) หากมีการใช้คำในความสัมพันธ์ระหว่างประเทศ ชื่อของออสเตรีย–ฮังการีมักจะใช้คำในรูปแบบโดยย่อว่า ราชาธิปไตยคู่ หรือเรียกโดยอย่างง่ายว่า ออสเตรีย[10]

การก่อตั้งจักรวรรดิออสเตรีย-ฮังการี

หลังจากเกิดเหตุการณ์การเจรจาต่อรองระหว่างออสเตรียและฮังการีเมื่อปี พ.ศ. 2410 ซึ่งดำเนินการการรวมชาติการเป็นจักรวรรดิที่ยิ่งใหญ่ และเป็นการสานต่อโครงสร้างของการปกครองที่คงตัวตั้งแต่เมื่อยังคงเป็นจักรวรรดิออสเตรีย ตั้งแต่ปีพ.ศ. 2347 ถึง พ.ศ. 2410 เพื่อปกป้องและขยายอำนาจของจักรวรรดิ ซึ่งรวมไปถึงคาบสมุทรอิตาลี (ซึ่งนำไปสู่สงครามออสเตรีย-ซาร์ดีเนียเมื่อปี พ.ศ. 2402 ท่ามกลางรัฐต่าง ๆ ของสมาพันธรัฐเยอรมัน ซึ่งถูกแทนที่โดยปรัสเซีย ซึ่งเป็นประเทศมหาอำนาจสูงสุดในกลุ่มประเทศเยอรมันทั้งมวล อันนำไปสู่สงครามออสเตรีย-ปรัสเซีย เมื่อปี พ.ศ. 2409 ทำให้ประเทศหลายประเทศต้องมีการเปลี่ยนแปลงการปกครอง รวมทั้งประเทศฮังการี ซึ่งมีการชุมนุมประท้วงที่ไม่พอใจที่ได้อยู่ภายใต้การปกครองของออสเตรีย รวมทั้งการรวมเชื้อชาติต่าง ๆ ของจักรวรรดิออสเตรีย ฮังการีไม่พอใจต่อการปราบปรามจลาจลของออสเตรีย ซึ่งมีจักรวรรดิรัสเซียสนับสนุนอีกแรง ซึ่งนำไปสู่การปฏิวัติเสรีนิยมในประเทศฮังการี เมื่อปี พ.ศ. 2391 อย่างไรก็ตาม ความไม่พอใจของฮังการีต่อการปกครองของทางออสเตรียได้เกิดขึ้นเป็นเวลาหลายปี

ส่วนทางด้านออสเตรียซึ่งสนับสนุนระบอบกษัตริย์หรือจักรพรรดิอย่างเต็มที่ จักรพรรดิฟรันซ์ โยเซฟ ทรงริเริ่มที่จะเจรจากับฮังการี โดยเฉพาะกับกลุ่มผู้นำปฏิวัติของชาวแม็กยาร์ (ฮังกาเรียน) ให้มั่นใจและรับรองต่อระบอบการปกครองของพระองค์ โดยในที่สุด ประเทศฮังการีก็ยอมรับพระองค์เป็นประมุข โดยในฐานะสมเด็จพระราชาธิบดีแห่งฮังการี โดยฮังการีได้ก่อตั้งรัฐสภาเป็นของตนเอง ณ กรุงบูดาเปสต์ เพื่อที่จะได้ออกกฎหมายเป็นของตนเอง ในนามของผืนแผ่นดินอันศักดิ์สิทธิ์แห่งเซนต์ สตีเฟน (The Holy Hungarian Land of St. Stephen)

การเมืองการปกครอง

รัฐสภาออสเตรีย
รัฐสภาฮังการี

โครงสร้างของการปกครองของจักรวรรดิออสเตรีย-ฮังการีนั้น มีอยู่ 3 ส่วนที่เด่น ๆ ด้วยกัน ดังนี้

บริหาร

สภาคณะรัฐมนตรีของจักรวรรดิเป็นตัวควบคุมรัฐสภาทั้งหมด ซึ่งประกอบด้วย 3 รัฐมนตรีที่มีส่วนร่วมในการควบคุมด้วย คือรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง รัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศ นอกจากนี้ยังมีผู้ส่วนร่วมคนอื่น ๆ อีก เช่นอาร์คดยุคและอาร์ชดัชเชส รวมทั้งพระราชวงศ์อิมพีเรียลบางพระองค์อีกด้วย โดยคณะผู้แทนจากออสเตรีย 1 คน และจากฮังการีอีก 1 คนจะเป็นผู้รับผิดชอบค่าใช้จ่ายของสภาสามัญของคณะรัฐมนตรีหรือการจัดการทรัพย์สินแผ่นดิน โดยให้ 2 รัฐบาลเป็นตัวกำหนดและควบคุมการบริหารและการจัดการทรัพย์สินแผ่นดิน อย่างไรก็ตาม ในขั้นตอนสุดท้ายของการประชุมทุกครั้ง คณะรัฐมนตรีจะต้องยื่นถวายฎีกาต่อจักรพรรดิ ซึ่งพระองค์ทรงเป็นผู้ตัดสินความทั้งหมด

หน้าที่รับผิดชอบระหว่างคณะรัฐมนตรีฝ่ายหนึ่งกับคณะรัฐมนตรีอีกฝ่ายหนึ่ง ได้สร้างความไม่ลงรอยกันและไร้ประสิทธิภาพในการบริหารงาน การบริหารกองทัพบกนั้นได้อยู่ในภาวะลำบาก เป็นกองทัพที่ไร้ประสิทธิภาพ ถึงแม้ว่ารัฐสภากลางได้กำหนดทิศทางการบริหารงานของกองทัพบก และกระทรวงกลาโหมแล้ว แต่รัฐบาลออสเตรียและรัฐบาลฮังการีจะมีการกำหนดกฎหมายบังคับ การเกณฑ์ทหาร การจัดหาและการย้ายทหารไปออกรบ และกฎหมายบังคับเฉพาะเมือง ที่ไม่ใช่ทหารเกณฑ์แต่เป็นสมาชิกของกองทัพบก โดยบางส่วนให้กระแสว่า แต่ละรัฐบาลควรจะเข้มแข็ง ควรเข้มงวดต่อการบริหารตัวเองมากกว่านี้ แทนที่จะไปใส่ใจรับผิดชอบรัฐสภาสามัญ

ความสัมพันธ์ทางการเมืองในครึ่งศตวรรษแรก หลังปี พ.ศ. 2410 นั้น มีการขัดแย้งในเรื่องของการจัดการพิกัดอัตราภาษีศุลกากรหรือค่าธรรมเนียมภายนอก และการจัดการทางการเงินของคณะรัฐบาล ภายใต้ข้อกำหนดของการเจรจาต่อรองระหว่างออสเตรียและฮังการี รวมไปถึงข้อตกลงที่มีการเจรจาทุก ๆ 10 ปี โดยกำหนดสิ่งที่ต้องทำในคณะรัฐบาลต่าง ๆ โดยมีการออมเงินเพื่อให้ความสับสนอลหม่านทางการเมืองได้คืนสู่สภาพกลับมาเป็นเหมือนเดิม การโต้เถียงระหว่างรัฐบาลในจักรวรรดิในช่วงปี ค.ศ. 1900 ซึ่งทำให้ยืดระยะเวลาวิกฤติการเมืองการปกครองไปอีก ซึ่งมีความขัดแย้งกันในรัฐบาลรวมทั้งหน่วยรบและกองทัพของฮังการีเป็นตัวนำ ซึ่งเป็นการเพิ่มขยายอำนาจทางทหารของฮังการี เมื่อเดือนเมษายน พ.ศ. 2449 โดยมีนักชาตินิยมฮังการีมีส่วนเกี่ยวข้อง อย่างไรก็ตาม การกลับสู่สภาวะปกติในจักรวรรดิก็เป็นได้แค่เพียงชั่วคราว แต่ก็ได้จัดการให้กลับมาสู่สภาวะปกติเมื่อเดือนตุลาคม พ.ศ. 2450 และในเดือนพฤศจิกายน พ.ศ. 2460 ได้วางรากฐานใหม่และสถานะใหม่ของจักรวรรดิใหม่ แต่ด้วยเวลาเพียงน้อยนิดเท่านั้น จักรวรรดิก็นำไปสู่กาลอวสาน...

นิติบัญญัติ

ออสเตรียและฮังการีต่างมีรัฐสภาเป็นของตนเอง และมีนายกรัฐมนตรีเป็นของตนเอง แต่รัฐสภาทั้งหมดอยู่ภายใต้อำนาจของจักรพรรดิหรือสมเด็จพระราชาธิบดีแต่เพียงพระองค์เดียว ด้วยอำนาจเบ็ดเสร็จและสภาของสำนักอิมพีเรียลนั้น มีหน้าที่เกี่ยวกับกองทัพราชนาวี การต่างประเทศ และสหภาพต่างในจักรวรรดิ เป็นต้น

ตุลาการ

นโยบายต่างประเทศ

เมื่อการเจรจาต่อรองระหว่างออสเตรียและฮังการีเพื่อรวมอาณาจักรเป็นหนึ่งเดียวเมื่อปี พ.ศ. 2410 นั้น ทำให้ฮังการีได้ขาดสมดุลทางเสรีภาพและเกิดการหยิ่งทะนงในนักชาตินิยมแม็กยาร์ โดยมีชาวสลาฟเป็นแรงสนับสนุนอันเนื่องมาจากความเมตตาสงสารของสลาฟในตัวฮังการี ซึ่งช่วยกันพยายามที่จะปฏิรูประบอบประชาธิปไตย หลังจากทำการข้อตกลงเมื่อปี พ.ศ. 2410 แล้ว รัฐมนตรีว่าการกระทรวงต่างประเทศได้หารือกับนายกรัฐมนตรีของฮังการี ซึ่งหลังจากได้รับการข่มขู่การยึดอำนาจของกลุ่มแพน สลาฟ ซึ่งรัสเซียได้เข้าใจถึงสถานการณ์นี้ เพราะรัสเซียก็ได้รับการข่มขู่เช่นกัน รัสเซียจึงยื่นมือเข้าช่วยเหลือ โดยร่วมหารือกับรัฐมนตรีว่าการกระทรวงต่างประเทศและเค้านท์กิวล่า แอนดราสซี จูเนียร์ ผู้แทนและบุตรชายของนายกรัฐมนตรีฮังการี

ในช่วงปี ค.ศ. 1860 ความทะเยอะทะยานของออสเตรีย รวมทั้งอิตาลีและเยอรมนีทางต่างประเทศได้ถูกปิดกั้น โดยชาติมหาอำนาจอื่น ๆ มีแต่ประเทศในแถบบัลข่านเท่านั้นที่ได้ขยายตัวทางด้านการต่างประเทศ จักรวรรดิได้นำการเจริญสัมพันธไมตรีทางด้านการทูตแบบใหม่มาใช้ โดยเริ่มแรกใช้โดยเค้านท์แอนดราสซี ซึ่งตอนนั้นได้เจริญสัมพันธไมตรีกับเขตพื้นที่บอสเนียและเฮอร์เซโกวีนาซึ่งชาวสลาฟในเขตนั้นเห็นว่ายังมีบางส่วนที่ยังเป็นส่วนหนึ่งของจักรวรรดิออตโตมันอยู่ ซึ่งอาจนำไปสู่วิกฤติการณ์หลายอย่าง รวมทั้งการลอบปลงพระชนม์ที่เมืองซาราเยโว เมื่อปี พ.ศ. 2457 อีกด้วย

ในกรณีที่อยู่ภายใต้วิกฤติการณ์บัลข่านหรือสงครามรัสเซีย-ตุรกี ออสเตรีย-ฮังการีได้อาศัยช่วงสงครามนี้เข้ายึดครองบอสเนียและเฮอร์เซโกวีนาได้ในเดือนสิงหาคม พ.ศ. 2421 หลังจากมีการอนุมัติในสนธิสัญญาเบอร์ลิน ซึ่งทำให้ความสนใจในรัสเซียของบัลข่านมีความกระเตื้องตัวขึ้น โดยเกี่ยวข้องกับเยอรมนีในเดือนสิงหาคม พ.ศ. 2422 จักรวรรดิได้ผนวกบอสเนียและเฮอร์เซโกวีนาเข้าเป็นส่วนหนึ่งของจักรวรรดิเมื่อเดือนตุลาคม พ.ศ. 2451 และได้เข้าควบคุมกระทรวงการคลังของบอสเนียมากกว่าการจัดการบริหารรัฐบาลแผ่นดิน โดยกำหนดให้บอสเนียและเฮอร์เซโกวีนา รวมทั้งโครเอเชียเป็นส่วนที่ 3 ของจักรวรรดิ และให้ชาวสลาฟเป็นส่วนหนึ่งของโครเอเชีย

กองทัพ

กองทัพจักรวรรดิออสเตรีย-ฮังการีในสงครามโลกครั้งที่ 1

กองทัพออสเตรีย-ฮังการีอยู่ภายใต้พระมหากษัตริย์หรือจักรพรรดิเป็นองค์จอมทัพ

กองทัพบก

กองทัพบกของจักรวรรดิออสเตรีย-ฮังการีประกอบด้วยคนหลายเชื้อชาติในจักรวรรดิ ทำให้เกิดความยากลำบากด้านการสื่อสารทางภาษาและวัฒนธรรมที่แตกต่างหลากหลาย อีกทั้งขวัญกำลังใจของกองทัพยังถือว่าอยู่ในระดับต่ำ ทหารบกถือได้ว่าอ่อนแอไร้สรรมถภาพมาก แล้วยังมีความอ่อนแอในการคลังอาวุธกระสุนปืนใหญ่ ในสงครามก็แทบจะใช้หมดไปในปี 1914 ต่อจากนั้นก็ขาดแคลนอย่างรุนแรง

กองทัพอากาศ

กองทัพอากาศออสเตรีย-ฮังการีมีเครื่องบินเยอรมันรุ่นอบาสทรอน-เอ3 เป็นส่วนใหญ่ กองทัพอากาศของจักรวรรดิออสเตรียนั้นประสบ ปัญหาการขาดแคลนเครื่องบินรบและประสบความล้มเหลวในการรบ เช่น การป้องกันแคว้นกาลิเซียจากกรมอากาศยานจักรวรรดิรัสเซีย หรือการรบที่แนวรบบูซิลอฟ จนต้องพึ่งกรมอากาศยานหลวงเยอรมันในการรบ

กองทัพเรือ

กองกำลังกึ่งทหาร

เศรษฐกิจ

ธนบัตร 20 โครน ที่ใช้กันในจักรวรรดิออสเตรีย-ฮังการี

สภาพเศรษฐกิจในจักรวรรดิออสเตรีย-ฮังการีได้มีการเปลี่ยนแปลงตามการปกครอง ด้วยการที่มีระบอบการปกครองแบบพระมหากษัตริย์ควบคู่ (Dual Monarchy) ทางด้านเทคโนโลยีนั้นได้ขยายตัวทางด้านอุตสาหกรรมและการเปลี่ยนแปลงสภาพของเมืองต่าง ๆ ระบบเศรษฐกิจแบบทุนนิยมทางด้านการผลิตนั้นได้เติบโต และสามารถส่งออกไปต่างประเทศได้ในช่วงเวลา 50 ปีของการริเริ่มยุคกลางของการผลิตอุตสาหกรรม โดยในช่วงแรกนั้น ระบบเศรษฐกิจได้เจริญเติบโตเฉพาะในกรุงเวียนนา พื้นที่เขตอัลไพน์ และโบฮีเมีย แต่ต่อมา เมื่อถึงปลายศตวรรษที่ 19 ระบบเศรษฐกิจได้เจริญเติบโตในเขตพื้นที่ฮังการีตอนกลางและเขตพื้นที่คาร์พาเธียน ดังนั้น ระบบเศรษฐกิจได้พัฒนาขึ้นในเขตจักรวรรดิในระยะเริ่มต้น โดยระบบเศรษฐกิจในจักรวรรดิฝั่งตะวันตกจะพัฒนาได้ดีและมากกว่าระบบเศรษฐกิจในฝั่งตะวันออก เมื่อแรกเริ่มศตวรรษที่ 20 จักรวรรดิหลายจักรวรรดิส่วนใหญ่ได้ริเริ่มพัฒนาระบบเศรษฐกิจและเทคโนโลยีต้อนรับศตวรรษใหม่ มาตรวัดรายรับและผลผลิตของประเทศ (GNP) เจริญเติบโตร้อยละ 1.45% ต่อปีตั้งแต่ปี พ.ศ. 2413 ถึงพ.ศ. 2456 ซึ่งการเจริญเติบโตของรายรับและผลผลิตของจักรวรรดินี้ สามารถนำไปเปรียบเทียบกับระบบเศรษฐกิจชาติอื่น ๆ ได้ เช่น อังกฤษ (1.00%), ฝรั่งเศส (1.06%), และเยอรมนี (1.51%) เป็นต้น อย่างไรก็ตาม ระบบเศรษฐกิจของจักรวรรดิยังมีความล้าหลังกว่าชาติอื่น ๆ อยู่บ้าง เช่น อังกฤษมีรายรับและผลผลิตของประเทศเกือบ 3 เท่า ซึ่งมากกว่าจักรวรรดิถึงแม้ว่ามาตรวัดจะน้อยกว่า ในขณะเดียวกันที่เยอรมนี ได้มีรายรับและผลผลิตของประเทศ 2 เท่าซึ่งมากกว่าออสเตรีย-ฮังการีด้วยซ้ำ ทั้งในด้าน GNP และมาตรวัดรายรับและผลผลิตของประเทศ ถึงแม้ว่าทุกประเทศนั้นจะมียอดพัฒนาระบบเศรษฐกิจไม่เหมือนกัน

โครงสร้างพื้นฐาน

การคมนาคม และ โทรคมนาคม

คมนาคม

แผนที่การคมนาคมทางน้ำและทางรถไฟในจักรวรรดิออสเตรีย-ฮังการี
การสร้างทางใต้ดินในกรุงบูดาเปสต์ (1894–1896)
เจ้าหน้าที่กรมการสื่อสารฮังการี

ระบบคมนาคมทางรถไฟนั้น ได้ขยายอย่างรวดเร็ว โดยแรกเริ่มนั้น มีการสร้างทางรถไฟโดยเริ่มจากกรุงเวียนนาเมื่อปี พ.ศ. 2384 สมัยที่ออสเตรีย-ฮังการี ยังเป็นจักรวรรดิออสเตรียอยู่ ตรงจุดนั้นเองที่รัฐบาลได้ริเริ่มใช้ทางรถไฟเพื่อใช้ในด้านทหารและกองทัพบก โดยลงทุนเพื่อโครงสร้างทางทหารทั้งหมดให้ทางรถไฟเชื่อมต่อในเมืองต่าง ๆ เช่น เมืองโพสโซนี (ปัจจุบันคือเมืองบราติสลาวา เมืองหลวงของประเทศสโลวาเกีย), กรุงบูดาเปสต์ของฮังการี, กรุงปรากของโบฮีเมีย (ปัจจุบันคือสาธารณรัฐเช็ก), เมืองคราโคว์ (ปัจจุบันเป็นส่วนหนึ่งของประเทศโปแลนด์), เมืองกราซของออสเตรีย, เมืองไลบาช (ปัจจุบันคือเมืองลูบลิยานา เมืองหลวงของประเทศสโลวีเนีย) และเมืองเวนิสของประเทศอิตาลี โดยเมื่อปี พ.ศ. 2397 จักรวรรดิได้มีรางรถไฟเกือบ 2000 กิโลกรัม ประมาณ 60% ถึง 70% ของรัฐเลยทีเดียว โดยรัฐบาลเริ่มทำการซื้อรางรถไฟส่วนใหญ่เพื่อใช้ส่วนตัวสำหรับนักลงทุน และการกระทำโดยฉับพลันของการใช้เงินมากเกินไปโดยใช้ผลประโยชน์จากการปฏิวัติพ.ศ. 2391 และสงครามไครเมีย ซึ่งออสเตรีย-ฮังการีไม่ได้มีส่วนกี่ยวข้องในสงครามนี้เลยแม้แต่น้อย โดยตั้งแต่ปี พ.ศ. 2397 ถึง พ.ศ. 2422 มีดำเนินการ จัดการโครงสร้างการคมนาคมทางรถไฟเกือบทั้งหมด โดยพื้นที่ของจักรวรรดิในส่วนซิสเลอธาเนียได้รับรางรถไฟถึง 7,952 กิโลกรัม ส่วนฮังการีได้รับรางรถไฟ 5,839 กิโลกรัม ขณะที่พื้นที่อื่น ๆ ได้เข้าร่วมเชื่อมต่อการคมนาคมทางรถไฟ ดังนั้นระบบเศรษฐกิจด้านการคมนาคมรถไฟจึงเจริญเติบโตและขยายตัวอย่างรวดเร็ว

หลังจากปี พ.ศ. 2422 รัฐบาลกลางของออสเตรีย-ฮังการีได้โอนการคมนาคมรถไฟมาเป็นของรัฐ เนื่องจากอัตราการพัฒนาระบบเศรษฐกิจได้เริ่มอยู่ในภาวะซบเซา และเฉื่อยชาลงในช่วงปี ค.ศ. 1870 โดยระหว่างปี พ.ศ. 2422 ถึง พ.ศ. 2443 ระยะทางของรางรถไฟทั้งหมดทั้งในพื้นที่ซิสเลอธาเนียและฮังการีทั้งหมดมากกว่า 25,000 กิโลเมตร รัฐบาลจึงได้มีการเชื่อมต่อรางรถไฟไปยังนอกเขตจักรวรรดิเพื่อความสัมพันธ์ทางเศรษฐกิจระหว่างประเทศ โดยมีองค์การคมนาคมขนส่งทางรถไฟออสเตรีย (Imperial Austrian State Railways) เป็นบริษัทเดียวในการจัดการคมนาคมทางรถไฟทั้งหมดในจักรวรรดิ

โทรคมนาคม

วิทยาศาสตร์ และ เทคโนโลยี

การศึกษา

สาธารณสุข

ประชากรศาสตร์

ความสัมพันธ์ทางเชื้อชาติ

ภาษาต่างที่กระจัดกระจายในจักรวรรดิออสเตรีย-ฮังการี
ภาษาเยอรมัน: 24%

ภาษาฮังการี: 20%
ภาษาเช็ก: 13%

ภาษาโปแลนด์: 10%
ภาษารูเทเนียน: 8%

ภาษาโรมาเนีย: 6%
ภาษาโครเอเชีย: 5%

ภาษาสโลวักและเซิร์บ: 4%

ภาษาสโลวีเนียและอิตาลี: 3%

มีความขัดแย้งเรื่องภาษาและเชื้อชาติหลังจากทุกอย่างได้ขึ้นอยู่การตัดสินใจว่า จะให้ภาษาไหนเป็นภาษาราชการ หรือ landesüblich ชาวเยอรมันที่ยึดถือระบบราชการเดิม หรือที่เป็นกลุ่มคนที่ร่ำรวยกว่าคนอื่น ชาวเยอรมันพวกนี้ต้องการที่จะให้ภาษาเยอรมันเป็นภาษาราชการและใช้กันทั่วทั้งจักรวรรดิ ขณะที่ภาษาอิตาลีได้รับการพิจารณาว่าเป็นภาษาวัฒนธรรม (Kultursprache) โดยชาวเยอรมันที่ยินยอมให้ความทัดเทียมทางภาษา แต่อีกฝ่ายหนึ่งเห็นว่า จะให้ความทัดเทียมแก่ภาษาสลาฟให้ทัดเทียมภาษาเยอรมัน อีกด้านหนึ่งเห็นว่าควรจะให้ความทัดเทียมกันทุกภาษาในจักรวรรดิ

แต่อย่างไรก็ตาม หลายปีที่ผ่านมาได้เห็นถึง การปลดปล่อยให้เป็นอิสระจากข้อบังคับทางภาษาทุกภาษา ทั่วทุกพื้นที่ในจักรวรรดิ ตามกฎหมายที่บัญญัติไว้ ฉบับ พ.ศ. 2410 ว่าภาษาโครเอเชียได้รับความทัดเทียม ซึ่งจนกระทั่งเดี๋ยวนี้ เช่นเดียวกับภาษาอิตาลีซึ่งได้เป็นภาษารองของดาลมาเทีย ตั้งแต่ปี พ.ศ. 2425 ได้มีเสียงข้างมากจากชาวสโลวีเนีย ในคาร์นิโอล่า และในเมืองลูบลิยานา (ซึ่งปัจจุบันเป็นเมืองหลวงของประเทศสโลวีเนีย) ได้เสนอภาษาสโลวีเนียเป็นภาษาที่มีความสำคัญมากที่สุดในจักรวรรดิ แทนที่ภาษาเยอรมัน ส่วนภาษาโปแลนด์ได้ถูกนำเสนอให้แทนที่ภาษาเยอรมันเมื่อปี พ.ศ. 2412 และให้เป็นภาษาราชการของกาลิเซีย โดยชาวกาลิเซียหรือชาวโปแลนด์ได้ปฏิเสธการพิจารณาภาษายูเครนที่ถูกเสนอโดยชนกลุ่มน้อยชาวยูเครน ดังนั้นภาษายูเครนจูงไม่ได้รับการยินยอมให้เป็นภาษาราชการ

ส่วนภาษาเช็กที่มีการถกเถียงกันให้เป็นภาษาราชการนั้นไม่ได้มีการเรียกร้องหรือประท้วงกันในโบฮีเมียและโมราเวีย ซึ่งชาวเช็คต้องการที่จะก่อตั้งภาษาของเขาให้เป็นภาษาราชการไม่ว่าจะเป็นเขตแดนอาณาจักรที่ประชากรใช้ภาษาเยอรมันเป็นภาษาราชการ และมีการเรียกร้องให้ภาษาเยอรมันให้เป็นภาษาราชการเช่นกันในเมืองปราก นครหลวงของโบฮีเมีย (ซึ่งปัจจุบันเป็นเมืองหลวงของสาธารณรัฐเช็ก) เมืองพิสเซน และเมืองบรุนน์ ในที่สุด ภาษาเยอรมันก็มีการนำมาเป็นส่วนหนึ่งของส่วนพื้นที่ของเช็กเมื่อปี พ.ศ. 2425 หลังจากการลงประชามติในมหาวิทยาลัยชาร์ลส์ (Charles University in Prague)

แผนที่ออสเตรีย-ฮังการีแสดงถึงเชื้อชาติและภาษาที่ใช้กันในพื้นที่ต่าง แสดงเป็นสีต่าง ๆ ภาพโดยวิลเลียม อาร์. เช็พเพิร์ด (พ.ศ. 2454)

ขณะเดียวกันนั้นชาวแม็กยาร์หรือฮังการีได้เผชิญหน้ากับผู้ประท้วงหรือเรียกร้องของชาวโรมาเนียในแถบทรานซิลเวเนีย และเมืองบานัท (ซึ่งปัจจุบันเป็นส่วนหนึ่งของประเทศสโลวาเกีย) นอกจากนี้ยังมีการชุมนุมเรียกร้องเรื่องภาษาราชการอีกของชาวโครเอเชียและชาวเซิร์บ ในแถบโครเอเชีย และดาลมาเทีย (ซึ่งปัจจุบันเป็นส่วนหนึ่งของประเทศโครเอเชีย) นอกจากนี้ยังมีการชุมนุมประท้วงเรื่องการให้ความสำคัญของภาษาของตนในบอสเนียและเฮอร์เซโกวีนา และจังหวัดวอยโวดีนา (ซึ่งปัจจุบันเป็นส่วนหนึ่งของประเทศเซอร์เบีย) โดยต่อมา ชาวโรมาเนียและชาวเซิร์บได้ก่อตั้งกลุ่มชาตินิยม ในนามของรัฐโรมาเนียและเซอร์เบีย (พ.ศ. 2402 - พ.ศ. 2421) ถึงแม้ว่า ผู้นำฮังการีจะแสดงความไม่พออกพอใจมากกว่าตอนที่มีการเจรจาแบ่งปันอำนาจและแยกรัฐบาลและรัฐสภากับออสเตรียเมื่อปี พ.ศ. 2410 พวกเขาได้ยอมรับขอบเขตอิสรภาพในการก่อตั้งราชอาณาจักรโครเอเชียเมื่อปี พ.ศ. 2411 ก่อนที่จะถูกผนวกรวมเข้ากับจักรวรรดิในเวลาต่อมา ซึ่งอาจพ่วงไปถึงเศรษฐกิจและการบริหารทางทหารของฮังการีที่เข้ามามีบทบาทในโครเอเชีย

ภาษาเป็นสิ่งที่นำมาถกเถียงในวาระการประชุมสภาอยู่บ่อยครั้ง โดยทุกรัฐสภาจะต้องพบกับความยากลำบากในการแบ่งแยกภาษาต่าง ๆ ในโครงสร้างของการเมือง โดยมีเสียงส่วนน้อยเห็นว่าควรจะแยกการศึกษาภาษาของตนเอง และให้การศึกษาแก่ 2 ภาษาหลักในจักรวรรดิ คือ ภาษาเยอรมันและภาษาฮังการี โดยการถกเถียงอภิปรายไม่ไว้วางใจเรื่องภาษาในจักรวรรดินั้น มีการประชุมรัฐสภากลางที่มีการกล่าวขานมากที่สุดคือ การประชุมประกาศพระราชบัญญัติ กฤษฎีกาฉบับวันที่ 5 เมษายน พ.ศ. 2440 โดยนายกรัฐมนตรีของออสเตรีย คาซิเมียร์ เฟลิกซ์ กราฟ บาเดอนี ได้ให้ความเสมอภาคแก่ภาษาเช็กให้มีความสำคัญเท่ากับภาษาเยอรมันในรัฐสภาของโบฮีเมีย และให้มีการศึกษาภาษาเยอรมันเป็นภาษาหลักในโบฮีเมียอแกด้วย ทั้งนี้มีพวกอนุรักษ์ชาตินิยมเยอรมันได้ปลุกปั่นให้มีการพูดภาษาเยอรมันเท่านั้นในจักรวรรดิ เป็นเหตุให้เฟลิกซ์ บาเดอนี ถูกปลดออกจากตำแหน่งนายกรัฐมนตรี

ตั้งแต่เดือนมกราคม พ.ศ. 2450 โรงเรียนต่าง ๆ ในพื้นที่เขตสโลวักที่อยู่ในเขตของราชอาณาจักรฮังการี ซึ่งประชากรโดยประมาณ 2 ล้านคนได้ศึกษาภาษาฮังการีเพียงภาษาเดียว โดยสั่งห้ามทำสื่อที่เป็นภาษาสโลวัก และได้ทำลายหนังสือหรือหนังสือพิมพ์ที่ป็นภาษาสโลวักอีกด้วย โดยการกระทำนี้ได้มีการวิพากย์วิจารณ์เรื่องการไม่ให้ความเสมอภาคทางภาษา นำโดยบียอร์สเตียร์เน มาร์ตินุส บียอร์สัน นักเขียนชื่อดังชาวนอร์เวย์ ที่ได้รับรางวัลโนเบลสาขาวรรณกรรม นอกจากนี้ยังมีมิช่า เกล็นนี่ ผู้สื่อข่าวชาวอังกฤษได้วิพากย์วิจารณ์ถึงการเอารัดเอาเปรียบทางภาษาของออสเตรียที่กระทำต่อเช็ก

จักรพรรดิฟรันซ์ โยเซฟนั้น ในช่วงเวลาที่พระองค์ครองราชย์ พระองค์ทรงปกครองอาณาจักรที่มีหลายเชื้อชาติ หลายภาษา โดยพระองค์ทรงอักษรและทรงพูดภาษาอังกฤษ ภาษาเยอรมัน ภาษาฮังการี ภาษาเช็ก ภาษาโปแลนด์ รวมทั้งภาษาอิตาลี และภาษาอื่น ๆ อีกมากมาย ดังนั้นถือเป็นความยากลำบากอย่างหนึ่งของพระราชวงศ์ออสเตรียที่จะต้องศึกษาภาษาทุกภาษาที่มีอยู่ในจักรวรรดิ รวมทั้งภาษาอังกฤษด้วย

ภาษาต่างๆที่ใช้กันในจักรวรรดิ

พื้นที่ ภาษาราชการ ภาษาอื่นๆ (มากกว่า 2%)
โบฮีเมีย ภาษาเช็ก (63.3%) ภาษาเยอรมัน (36.7%)
ดาลมาเทีย ภาษาโครเอเชีย (96.2%) ภาษาอิตาลี (2.8%)
กาลิเซีย ภาษาโปแลนด์ (58.6%) ภาษายูเครน (40.2%)
โลเวอร์ ออสเตรีย ภาษาเยอรมัน (95.9%) ภาษาเช็ค (3.8%)
อัปเปอร์ ออสเตรีย ภาษาเยอรมัน (99.7%) -
บูโกวิน่า ภาษายูเครน (38.4%) ภาษาโรมาเนีย (34.4%), ภาษาเยอรมัน (21.2%), ภาษาโปแลนด์ (4.6%)
คารินเธีย ภาษาเยอรมัน (78.6%) ภาษาสโลวีเนีย (21.2%)
คาร์นิโอล่า ภาษาสโลวีเนีย (94.4%) ภาษาเยอรมัน (5.4%)
ซาร์สบูร์ก ภาษาเยอรมัน (99.7%) -
ซีลีเซีย ภาษาเยอรมัน (43.9%) ภาษาโปแลนด์ (31.7%), ภาษาเช็ก (24.3%)
สตีเรีย ภาษาเยอรมัน (70.5%) ภาษาสโลวีเนีย (29.4%)
โมราเวีย ภาษาเช็ก (71.8%) ภาษาเยอรมัน (27.6%)
ทีรอล ภาษาเยอรมัน (57.3%) ภาษาอิตาลี (42.1%)
คืสเตนแลนด์ ภาษาสโลวีเนีย (37.3%) ภาษาอิตาลี (34.5%), ภาษาโครเอเชีย (24.4%), ภาษาเยอรมัน (2.5%)
โวราร์ลเบิร์ก ภาษาเยอรมัน (95.4%) ภาษาอิตาลี (4.4%)

ศาสนาและนิกายต่างในจักรวรรดิ

ตารางแสดงการนับถือศาสนาและนิกายต่างในจักรวรรดิออสเตรีย-ฮังการี จากผลสำรวจเมื่อวันที่31 ธันวาคม พ.ศ. 2453 ตีพิมพ์ในหนังสือGeographischer Atlas zur Vaterlandskunde an der österreichischen Mittelschulen. K. u. k. Hof-Kartographische Anstalt G. Freytag & Berndt, Vienna, 1911.

ศาสนา/นิกาย พื้นที่ทั้งหมด พื้นที่ออสเตรีย พื้นที่ฮังการี บอสเนียและเฮอร์เซโกวีนา
ศาสนาคริสต์ นิกายโรมันคาทอลิก 76.6% 90.9% 61.8% 22.9%
ศาสนาคริสต์ นิกายโปรเตสแตนต์ 8.9% 2.1% 19.0% 0%
ศาสนาคริสต์ นิกายอีสเทิร์นออร์ทอดอกซ์ 8.7% 2.3% 14.3% 43.5%
ยิว 4.4% 4.7% 4.9% 0.6%
มุสลิม 1.3% 0% 0% 32.7%

เมืองสำคัญ

ข้อมูล: การสำรวจสำมะโนประชากร ใน ปี ค.ศ. 1910[11]

จักรวรรดิออสเตรีย
อันดับ ชื่อในปัจจุบัน ชื่ออย่างเป็นทางการร่วมสมัย[12] อื่นๆ ประเทศในปัจจุบัน ประชากรใน ปี ค.ศ. 1910 ประชากรในปัจจุบัน
1. เวียนนา Wien Bécs, Beč, Dunaj ธงของประเทศออสเตรีย ออสเตรีย 2,083,630 (city without the suburb 1,481,970) 1,840,573 (Metro: 2,600,000)
2. ปราก Prag, Praha Praga ธงของประเทศเช็กเกีย เช็กเกีย 668,000 (city without the suburb 223,741) 1,267,449 (Metro: 2,156,097)
3. ตรีเยสเต Triest Trst ธงของประเทศอิตาลี อิตาลี 229,510 204,420
4. ลวีฟ Lemberg, Lwów Львів, Lvov ธงของประเทศยูเครน ยูเครน 206,113 728,545
5. กรากุฟ Krakau, Kraków Krakov ธงของประเทศโปแลนด์ โปแลนด์ 151,886 762,508
6. กราซ Gradec ธงของประเทศออสเตรีย ออสเตรีย 151,781 280,020
7. เบอร์โน Brünn, Brno ธงของประเทศเช็กเกีย เช็กเกีย 125,737 377,028
8. เชอร์นิฟซี Czernowitz Cernăuți, Чернівці ธงของประเทศยูเครน ยูเครน 87,100 242,300
9. เปิลเซน Pilsen, Plzeň ธงของประเทศเช็กเกีย เช็กเกีย 80,343 169,858
10. ลินซ์ Linec ธงของประเทศออสเตรีย ออสเตรีย 67,817 200,841
ราชอาณาจักรฮังการี
อันดับ ชื่อในปัจจุบัน ชื่อย่างเป็นทางการร่วมสมัย[12] อื่นๆ ประเทศในปัจจุบัน ประชากรใน ปี ค.ศ. 1910 ประชากรในปัจจุบัน
1. บูดาเปสต์ Budimpešta ธงของประเทศฮังการี ฮังการี 1,232,026 (city without the suburb 880,371) 1,735,711 (Metro: 3,303,786)
2. แซแก็ด Szegedin, Segedin ธงของประเทศฮังการี ฮังการี 118,328 170,285
3. ซูบอตีตซา Szabadka Суботица ธงของประเทศเซอร์เบีย เซอร์เบีย 94,610 105,681
4. แดแบร็ตแซ็น ธงของประเทศฮังการี ฮังการี 92,729 208,016
5. ซาเกร็บ Zágráb, Agram ธงของประเทศโครเอเชีย โครเอเชีย 79,038 790,017
6. บราติสลาวา Pozsony Pressburg, Prešporok ธงของประเทศสโลวาเกีย สโลวาเกีย 78,223 425,167
7. ทิมิโซอารา Temesvár Temeswar ธงของประเทศโรมาเนีย โรมาเนีย 72,555 319,279
8. ออราเดีย Nagyvárad Großwardein ธงของประเทศโรมาเนีย โรมาเนีย 64,169 196,367
9. อารัด Arad ธงของประเทศโรมาเนีย โรมาเนีย 63,166 159,074
10. คลูช-นาโปกา Kolozsvár Klausenburg ธงของประเทศโรมาเนีย โรมาเนีย 60,808 324,576

ภาวะสงคราม

หนุ่มชาวเซอร์เบียเข้าปลงพระชนม์อาร์ชดยุกฟรันซ์ แฟร์ดีนันด์

หลังจากการสิ้นพระชนม์ของจักรพรรดิแม็กซีมีเลียน พระราชอนุชาในจักรพรรดิฟรันซ์ โยเซฟ และพระราชโอรสองค์เดียวของพระองค์ อาร์คดยุครูดอล์ฟ มกุฎราชกุมารแห่งออสเตรีย-ฮังการี ทำให้พระราชนัดดาของพระองค์ อาร์คดยุคฟรันซ์ เฟอร์ดินานด์ ได้รับตำแหน่งองค์รัชทายาทสืบต่อจากอาร์คดยุครูดอล์ฟ แต่เมื่อวันที่28 มิถุนายน พ.ศ. 2457 เมื่อพระองค์เสด็จเยี่ยมราษฎรพร้อมด้วยพระชายาในเมืองซาราเยโว นครหลวงของเขตบอสเนียและเฮอร์เซโกวีนา ทั้งสองพระองค์ได้ถูกลอบปลงพระชนม์ด้วยกระสุนปืนโดยกาฟรีโล พรินซิป หนึ่งในสมาชิกกลุ่มแบล็คแฮนด์ นักชาตินิยมจากเซอร์เบีย เป็นเหตุให้ทั้งสองพระองค์สิ้นพระชนม์ทันที ซึ่งการลอบปลงพระชนม์ครั้งนี้เป็นสาเหตุสำคัญที่นำไปสู่สงครามโลกครั้งที่ 1

การบริหารทางการทหารไม่ได้รับการบริหารที่ดีตั้งแต่การประชุมที่เบอร์ลิน (พ.ศ. 2421) ขณะที่เยอรมัน อังกฤษ ฝรั่งเศส และรัสเซียได้ประกาศอำนาจในการประชุม โดยหลังจากการประชุมจักรวรรดิได้เสียดินแดนอิตาลีให้กับปิเอดมอนต์ รวมทั้งเสียเปรียบทางความเคลื่อนไหวทางชาตินิยม ซึ่งถูกอิตาลีจับตาดูอยู่ นอกจากนี้ออสเตรีย-ฮังการีได้สูญเสียพื้นที่ทางตอนใต้ซึ่งมีประชากรชาวสลาฟอาศัยอยู่ให้กับเซอร์เบีย ซึ่งเซอร์เบียเพิ่งจะได้รับสิทธิ์และผลประโยชน์เพิ่มเรื่องพื้นที่ หลังจากสงครามบอลข่านครั้งที่สอง เมื่อปีพ.ศ. 2455 จึงส่งผลต่อความยากลำบากภายในรัฐบาลของออสเตรียและฮังการี โดยมีสมาชิกรัฐสภาบางคน เช่น คอนราด วอน เฮิตเซนดอร์ฟ ต้องการที่จะเผชิญหน้ากับการฟื้นคืนอำนาจของการเมืองเซอร์เบียเป็นเวลาหลายปี โดยผู้นำออสเตรีย-ฮังการี เค้านท์ลีโอโพลด์ วอน เบิร์ชโทลด์ สามารถเอาคืนเซอร์เบียได้โดยมีสัมพันธมิตรอย่างเยอรมนีเข้าช่วยเหลือ โดยตัดสินใจเผชิญหน้ากับกองทัพเซอร์เบีย ก่อนที่จะกระตุ้นก่อให้เกิดการต่อต้านภายในจักรวรรดิ โดยใช้กรณีการลอบปลงพระชนม์เป็นข้ออ้างในการก่อสงครามกับเซอร์เบีย

เหตุการณ์นี้ได้นำจักรวรรดิไปสู่การพิพาทกับเซอร์เบียในเดือนกรกฎาคมและเดือนสิงหาคม พ.ศ. 2457 ซึ่งนำไปสู่สงครามโลกครั้งที่ 1 โดยความเคลื่อนไหวของเซอร์เบียนี้ มีรัสเซียเป็นตัวช่วยในการทำศึกสงคราม อิตาลีได้ประกาศวางตัวเป็นกลางตั้งแต่แรกเริ่งสงคราม ถึงแม้ว่าจะมีความสัมพันธไมตรีกับออสเตรีย-ฮังการี แต่ในปีพ.ศ. 2458 อิตาลีได้สร้างความเข้าใจอันดีกับออสเตรีย-ฮังการี โดยเข้าร่วมสงครามกับจักรวรรดิเผชิญหน้ากับเซอร์เบียและรัสเซีย เพื่อหวังจะได้รับแผ่นดินที่ออสเตรีย-ฮังการียึดครองไป กลับมาเหมือนเดิม ผู้บัญชาการของกองทัพคือ นายพลคอนราด วอน เฮิตเซนดอร์ฟ ซึ่งภายใต้การบังคับบัญชาของนายพลเฮิตเซนดอร์ฟนี้ ได้นำกองทัพไปสู่สมรภูมิรบในสงคราม

เมื่อเริ่มสงคราม กองทัพได้ถูกแยกออกเป็น 2 ส่วน ส่วนหนึ่งบุกโจมตีเซอร์เบีย ขณะที่อีกส่วนหนึ่งได้บุกโจมตีกองทัพของรัสเซีย ซึ่งสนับสนุนเซอร์เบียและได้ประกาศสงครามกับออสเตรีย-ฮังการีด้วย การบุกรุกเซอร์เบียนั้น หาได้ประสบความสำเร็จไม่ กองทัพออสเตรีย-ฮังการีได้สูญเสียทหาร 227,000 นาย จากทหารทั้งหมด 450,000 นาย ส่วนการโจมตีกองทัพรัสเซียนั้น กองทัพจักรวรรดิสามารถเอาชนะรัสเซียในสมรภูมิเล็มเบิร์ก และสามารถล้อมเมืองพริเซ็มมิวส์ได้ แต่ก็ต้องถอนกองทัพออกเมื่อเดือนมีนาคม พ.ศ. 2458

เมืองเดือนพฤษภาคม พ.ศ. 2458 อิตาลีได้ร่วมฝ่ายพันธมิตรเข้าโจมตีออสเตรีย-ฮังการี โดยตอนแรกนั้นอิตาลีได้เข้าร่วมทำสงครามกับออสเตรีย-ฮังการี แต่เป็นเพราะสนธิสัญญาเบอร์ลิน อิตาลีจึงยอมเข้าร่วมกับฝ่ายพันธมิตร โดยสมรภูมิแรกที่ออสเตรีย-ฮังการีต่อสู้กับอิตาลีนั้นอยู่ที่เทือกเขาแอลป์ โดยเมื่อตอนหน้าร้อน กองทัพได้รวมเข้ากับกองทัพเยอรมัน และกองทัพบัลแกเรีย พิชิตเซอร์เบีย

พ.ศ. 2459 กองทัพรัสเซียได้ถูกโจมตีอย่างหนักจากกองทัพจักรวรรดิ แต่ก็มีความสูญเสียพอๆกัน โดยกองทัพออสเตรียได้สูญเสียทหารประมาณ 1 ล้านคน การสูญเสียครั้งใหญ่หลวงนี้ ทำให้รัสเซียยอมถอนตัวจากสงคราม หลังจากรัสเซียถอนตัวจากสงครามแล้ว ก็ต้องเผชิญหน้ากับการปฏิวัติภายในจักรวรรดิรัสเซีย พ.ศ. 2460 กองทัพออสเตรีย-ฮังการีจึงอยู่ภายใต้บังคับบัญชาของเยอรมัน โดยให้กองทัพเยอรมันจัดการให้ทั้งหมด แต่ในขณะที่มีการจัดการกองทัพอยู่นั้น ฝ่ายพันธมิตรได้โจมตีเยอรมันอย่างหนัก เป็นเหตุให้เยอรมันแพ้และยอมถอนตัวออกจากสงคราม เมื่อเยอรมันแพ้สงคราม ออสเตรีย-ฮังการีก็แพ้สงครามด้วยเช่นกัน

การล้มล้างจักรวรรดิ

การประกาศยุบจักรวรรดิออสเตรีย-ฮังการีถูกตีพิมพ์และแจกจ่ายเมื่อ พ.ศ. 2461 ในคราโคว์ (ปัจจุบันเป็นส่วนหนึ่งของโปแลนด์)

ผลของสงครามโลกครั้งที่ 1 คือฝ่ายพันธมิตรซึ่งได้แก่จักรวรรดิอังกฤษ ฝรั่งเศส อิตาลี และสหรัฐอเมริกาได้รับชัยชนะ นักชาตินิยมได้รับกระแสนิยมในอิสรภาพมากขึ้น โดยประธานาธิบดีแห่งสหรัฐอเมริกา วูดโรว์ วิลสัน กล่าวในสุนทรพจน์ "ประเด็นทั้งสิบสี่" ว่า โอกาสแห่งอิสรภาพและเสรีภาพได้มาอยู่ในกำมือของเราแล้ว เราจะพัฒนาของเราเอง ในทางกลับกัน จักรพรรดิคาร์ล จักรพรรดิแห่งออสเตรีย-พระราชาธิบดีแห่งฮังการี ได้ทรงเปิดวาระประชุมในสภาอิมพีเรียล โดยมีพระบรมราชานุญาตให้มีการก่อตั้งสมาพันธรัฐพร้อมด้วยการตั้งสภาย่อยเป็นของตนเอง เพื่อรักษาความเป็นจักรวรรดิออสเตรีย-ฮังการี ขณะที่หลายฝ่ายเริ่มไม่ไว้วางใจในเสรีภาพหลังจากจบสงครามแล้ว

เมื่อวันที่14 ตุลาคม รัฐมนตรีว่าการกระทรวงต่างประเทศ บารอนสเตฟาน วอน ราเจ็คส์ ได้พยายามที่จะพิสูจน์ศรัทธาที่มีต่อจักรวรรดิ โดยจักรพรรดิคาร์ลได้ทรงประกาศเรื่องอนาคตของพระราชวงศ์อิมพีเรียล 2 วันหลังจากที่ออสเตรียกลายเป็นสหภาพ-สหพันธรัฐ ซึ่งประกอบด้วยอีก 4 ประเทศคือ เยอรมนี เช็ก สลาฟใต้ และยูเครน ส่วนประเทศโปแลนด์นั้นได้รับเอกราชอย่างเต็มตัว

ประเทศหลายประเทศที่เป็นส่วนหนึ่งของจักรวรรดิต่างก็ประกาศเอกราช ไม่ขึ้นตรงต่อจักรวรรดิอีกต่อไป โดยกลุ่มประเทศแรกที่ประกาศเอกราชนั้นคือ โบฮีเมีย โมราเวีย ซีลีเซีย กาลิเซีย และบูโกวินา โดยรวมประเทศทั้งหมดเป็นสาธารณรัฐเชโกสโลวักที่ 1 เมื่อวันที่28 ตุลาคม พ.ศ. 2461 ต่อมาวันที่29 ตุลาคม สลาฟใต้ได้ประกาศเอกราชและก่อตั้งรัฐแห่งชาวสโลวีน โครแอต และเซิร์บ ต่อมา รัฐบาลฮังการีได้ประกาศสิ้นสุดความสัมพันธ์ทางสหภาพกับออสเตรียเมื่อวันที่ 31 ตุลาคม ส่งผลให้ประเทศทุกประเทศที่เป็นของออสเตรีย-ฮังการี แตกแยกไปก่อตั้งประเทศเป็นของตนเอง จะมีอยู่ส่วนน้อยที่ยังขึ้นตรงต่อจักรวรรดิอยู่ เช่น เขตพื้นที่แถบอัลไพน์และดานูบ

การนำไปสู่จุดจบของจักรวรรดินี้ จักรพรรดิคาร์ล (ใช้พระนามคาร์ลที่ 4 ในฮังการี) ได้ถูกรัฐบาลของออสเตรียและฮังการีขับออกจากราชสมบัติ โดยพระองค์ไม่ทรงสละราชสมบัติ เมื่อวันที่11 - 13 พฤศจิกายน พ.ศ. 2461 ในความที่พระองค์ไม่ทรงสละราชสมบัตินั้น ก็ยังมีประชาชนส่วนหนึ่งที่ยังคงมีความจงรักภักดีต่อพระองค์และพระราชวงศ์อิมพีเรียลอยู่ ทำให้เกิดกระแสการฟื้นฟูสถาปนาระบอบพระมหากษัตริย์ในฮังการี เมื่อเดือนมีนาคม พ.ศ. 2463 โดยพระองค์ยังคงราชสมบัติอยู่ แต่จะมีผู้สำเร็จราชการแทนคือ มิกโลช โฮร์ตี ดูแลปกครองประเทศแทนพระองค์ ส่วนตัวพระองค์พร้อมด้วยพระราชวงศ์อพยพไปที่ประเทศสวิตเซอร์แลนด์ และเกาะมาไดร่า ประเทศโปรตุเกสและประทับอยู่ที่นั่น จนกระทั่งพระองค์เสด็จสวรรคตด้วยโรคปอดบวม

ประเทศใหม่

ประเทศที่ได้ก่อตั้งใหม่หลังจากสิ้นสุดจักรวรรดิออสเตรีย-ฮังการี มีดังนี้

พื้นที่บางส่วนของจักรวรรดิได้ผนวกเข้ากับราชอาณาจักรโรมาเนีย , ราชอาณาจักรอิตาลี และ ลิกเตนสไตน์ โดยมีเขตโวราร์ลเบิร์กนั้น ประชาชนได้ลงประชามติให้ผนวกเข้ากับสวิตเซอร์แลนด์

New hand-drawn borders of Austria-Hungary in the Treaty of Trianon and Saint Germain. (1919–1920)
ออสเตรีย-ฮังการีและประเทศใหม่ที่ก่อตั้งขึ้นเมื่อปี พ.ศ. 2461
.                     เขตพรมแดนออสเตรีย-ฮังการี เมื่อ พ.ศ. 2457

                     เขตพรมแดนเมื่อ พ.ศ. 2457                      เขตพรมแดนเมื่อ พ.ศ. 2463

  จักรวรรดิออสเตรีย เมื่อ พ.ศ. 2457
Sillouhette of Monarchy over postwar map of Europe (1929)

พื้นที่และอาณาเขตของจักรวรรดิ

พื้นที่ อาณาเขตและประเทศต่างๆในจักรวรรดิออสเตรีย-ฮังการีที่ประกาศเอกราช หลังจากที่ถูกล้มล้างหลังสงครามโลกครั้งที่ 1 ดังนี้:

พื้นที่เขตซิสเลอธาเนีย (พื้นที่ฝั่งซ้ายของจักรวรรดิ)
ออสเตรีย-ฮังการี

ประเทศต่างๆในจักรวรรดิออสเตรีย-ฮังการี:
ซิสเลอธาเนีย: 1. โบฮีเมีย, 2. บูโกวิน่า, 3. คารินเธีย, 4. คาร์นิโอล่า, 5. แดลเมเชีย, 6. กาลิเซีย, 7. คืสเตนแลนด์, 8. โลเวอร์ ออสเตรีย, 9. โมราเวีย, 10. ซาร์ซบูร์ก, 11. ซีลีเซีย, 12. สตีเรีย, 13. ทีรอล, 14. อัปเปอร์ ออสเตรีย, 15. โวราร์ลเบิร์ก; ทรานส์เลอธาเนีย: 16. ราชอาณาจักรฮังการี, 17. ราชอาณาจักรโครเอเชีย-สลาโวเนีย, 18. บอสเนียและเฮอร์เซโกวีนาในออสเตรีย-ฮังการี
พื้นที่เขตทรานส์เลอธาเนีย (พื้นที่ฝั่งขวาของจักรวรรดิ)
ดินแดนภายใต้การปกครองร่วมของออสเตรีย-ฮังการี

อาณานิคมของจักรวรรดิ

ธงและตราสัญลักษณ์

ดูเพิ่ม

หมายเหตุ

  1. เยอรมัน: Österreichisch-Ungarische Monarchie, ออกเสียง: [ˌøːstəʁaɪ̯çɪʃ ˌʊŋɡaʁɪʃə monaʁˈçiː] ( ฟังเสียง)
  2. The concept of Eastern Europe is not firmly defined, and depending on some interprertations, some territories may be included or excluded from it; this holds for parts of Austria–Hungary as well, although the historical interpretation clearly place the Monarchy into Central Europe.

อ้างอิง

  1. อ้างอิงผิดพลาด: ป้ายระบุ <ref> ไม่ถูกต้อง ไม่มีการกำหนดข้อความสำหรับอ้างอิงชื่อ wien-vienna
  2. Fisher, Gilman. The Essentials of Geography for School Year 1888–1889, p. 47. New England Publishing Company (Boston), 1888. Retrieved 20 August 2014.
  3. From the Encyclopædia Britannica (1878), although note that this "Romani" refers to the language of those described by the EB as "Gypsies"; the EB's "Romani or Wallachian" refers to what is today known as Romanian; Rusyn and Ukrainian correspond to dialects of what the EB refers to as "Ruthenian"; and Yiddish was the common language of the Austrian Jews, although Hebrew was also known by many.
  4. Geographischer Atlas zur Vaterlandskunde, 1911, Tabelle 3.
  5. McCarthy, Justin (1880). A History of Our Own Times, from 1880 to the Diamond Jubilee. New York, United States of America: Harper & Brothers, Publishers. pp. 475–476.
  6. Dallin, David (November 2006). The Rise of Russia in Asia. ISBN 978-1-4067-2919-1.
  7. Manuscript of Franz Joseph I. – Stephan Vajda, Felix Austria. Eine Geschichte Österreichs, Ueberreuter 1980, Vienna, ISBN 3-8000-3168-X, in German
  8. Eva Philippoff: Die Doppelmonarchie Österreich-Ungarn. Ein politisches Lesebuch (1867–1918), Presses Univ. Septentrion, 2002, Villeneuve d’Ascq, ISBN 2-85939-739-6 (แม่แบบ:Google book)
  9. Kotulla, Michael (17 August 2008). Deutsche Verfassungsgeschichte. Springer Berlin Heidelberg. ISBN 978-3-540-48707-4. คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 27 March 2019 – โดยทาง Google Books.
  10. Kay, David (1878). "Austria" . ใน Baynes, T. S. (บ.ก.). Encyclopædia Britannica. Vol. 3 (9th ed.). New York: Charles Scribner's Sons. pp. 116–141.
  11. Kogutowicz Károly, Hermann Győző: Zsebatlasz: Naptárral és statisztikai adatokkal az 1914. évre. Magyar Földrajzi Intézet R. T., Budapest 1913, S. 69, 105.
  12. 12.0 12.1 "Donaumonarchie Österreich-Ungarn". Donaumonarchie.com. สืบค้นเมื่อ 19 November 2013.
  • Oszkár Jászi The Dissolution of the Habsburg Monarchy, Chicago: University of Chicago Press, 1966.
  • Macartney, Carlile Aylmer The Habsburg Empire, 1790–1918, New York, Macmillan 1969.
  • Mark Cornwall (ed.) The Last Years of Austria–Hungary in Exeter Studies in History. University of Exeter Press, Exeter. 2002. ISBN 0-85989-563-7
  • Alan Sked The Decline And Fall of the Habsburg Empire, 1815–1918, London: Longman, 1989.
  • A.J.P. Taylor The Habsburg monarchy, 1809–1918 : a history of the Austrian Empire and Austria-Hungary, London: Penguin Books in assoc. with Hamish Hamilton, 1964, 1948
  • Geographischer Atlas zur Vaterlandskunde an der österreichischen Mittelschulen. (ed.: Rudolf Rothaug), K. u. k. Hof-Kartographische Anstalt G. Freytag & Berndt, Vienna, 1911.

แหล่งข้อมูลอื่น