ข้ามไปเนื้อหา

พระเจ้าคาร์ลที่ 14 โยฮัน แห่งสวีเดน

จากวิกิพีเดีย สารานุกรมเสรี
พระเจ้าคาร์ลที่ 14 และที่ 3 โยฮัน
พระเจ้าคาร์ลที่ 14
พระมหากษัตริย์แห่งสวีเดนและนอร์เวย์
ครองราชย์5 กุมภาพันธ์ ค.ศ. 1818 – 8 มีนาคม ค.ศ. 1844
ราชาภิเษก11 พฤษภาคม 1818 (สวีเดน)
7 กันยายน 1818 (นอร์เวย์)
ก่อนหน้าคาร์ลที่ 13 และ 2
ถัดไปออสการ์ที่ 1
พระราชสมภพ(1763-01-26)26 มกราคม 1763
โป ประเทศฝรั่งเศส
ณ็อง-ปาติสต์ แบร์นาด็อต
สวรรคต8 มีนาคม ค.ศ. 1844(1844-03-08) (81 ปี)
สตอกโฮล์ม สวีเดนและนอร์เวย์
ฝังพระศพ26 เมษายน ค.ศ. 1844
โบสถ์ริดดาร์โฮล์ม, สต็อกโฮล์ม, สวีเดนและนอร์เวย์
คู่อภิเษก เดซีเร คลารี (สมรส 1798)
พระราชบุตรออสการ์ที่ 1
พระรัชกาลนาม
ฝรั่งเศส: Jean-Baptiste Jules
สวีเดน: Karl Johan Baptist Julius
ราชวงศ์แบร์นาด็อต
พระบิดาอ็องรี แบร์นาด็อต
พระมารดาแฌน เดอ แซ็ง-ฌ็อง
ศาสนาลูเทอแรน
ก่อนหน้า. โรมันคาทอลิก
ลายพระอภิไธย

พระเจ้าคาร์ลที่ 14 โยฮันแห่งสวีเดน (สวีเดน: Karl XIV Johan) หรือ พระเจ้าคาร์ลที่ 3 โยฮันแห่งนอร์เวย์ (นอร์เวย์: Karl III Johan) หรือนามเดิมคือ ฌ็อง-บาติสต์ แบร์นาด็อต (ฝรั่งเศส: Jean-Baptiste Bernadotte) เป็นนายพลในช่วงการปฏิวัติฝรั่งเศส ต่อมาได้เป็นจอมพลแห่งจักรวรรดิฝรั่งเศสภายใต้จักรพรรดินโปเลียนที่ 1 และต่อมาได้สละสัญชาติฝรั่งเศสเพื่อขึ้นเป็นมกุฎราชกุมารสวีเดนผ่านการรับโอรสบุญธรรม เมื่อพระองค์ถูกนโปเลียนผู้เป็นนายเก่าแทงข้างหลัง ก็ทรงนำสวีเดนเข้าเป็นพันธมิตรกับฝ่ายต่อต้านนโปเลียน เมื่อปราบนโปเลียนได้แล้วก็ทรงได้ยึดนอร์เวย์มาจากเดนมาร์ก และได้ขึ้นสืบราชสมบัติเป็นกษัตริย์แห่งสวีเดนและนอร์เวย์ ถือเป็นองค์ปฐมวงศ์ของราชวงศ์แบร์นาด็อต ราชวงศ์ที่ปกครองสวีเดนในปัจจุบัน

พระประวัติ

[แก้]

ฌ็อง-บาติสต์ แบร์นาด็อต เกิดในครอบครัวสามัญชนที่เมืองโป (Pau) ทางภาคใต้ของประเทศฝรั่งเศส เป็นบุตรชายคนที่สองของนายฌ็อง อ็องรี แบร์นาด็อต (Jean Henri Bernadotte) อัยการเมือง กับนางแฌน เดอ แซ็ง-ฌ็อง (Jeanne de Saint-Jean) ในวัยเด็กเขาฝันจะเป็นอัยการตามรอยบิดา ขณะอายุ 14 เขาได้เป็นอัยการท้องถิ่นฝึกหัด แต่การเสียชีวิตของบิดาเมื่อเขาอายุ 17 ปีได้หยุดความฝันทั้งหมดลง[1]

ราชการทหารฝรั่งเศส

[แก้]
แบร์นาด็อตในเครื่องแบบจอมพลแห่งจักรวรรดิฝรั่งเศส

เขาเข้ารับราชการในกองทัพหลวงฝรั่งเศสใน ค.ศ. 1780[2] ต่อมาเมื่อการปฏิวัติฝรั่งเศสปะทุขึ้น เขามีโอกาสแสดงฝีมีด้านการทหารที่ยอดเยี่ยม และได้เลื่อนยศอย่างรวดเร็วจนขึ้นเป็นพลจัตวาในปี 1794[1][1] เขาประจำการในอิตาลีและเยอรมนี และดำรงตำแหน่งรัฐมนตรีการสงครามช่วงสั้นๆ เขาเป็นผู้มีความใกล้ชิดนโปเลียนอย่างมาก แม้เขาจะมีส่วนช่วยนโปเลียนในการทำรัฐประหาร 18 บรูว์แมร์ในปี 1799 แต่เขากลับปฏิเสธตำแหน่งในคณะกงสุล[3] โดยยังคงทำหน้าที่ฝ่ายทหารต่อไป จนกระทั่งเมื่อนโปเลียนปราบดาตนขึ้นเป็นจักรพรรดิฝรั่งเศสในปี 1804 นโปเลียนได้ประกาศตั้งเขาเป็นจอมพลแห่งจักรวรรดิฝรั่งเศส จอมพลแบร์นาด็อตเป็นบุคคลสำคัญที่คว้าชัยชนะให้แก่ฝรั่งเศสในยุทธการที่เอาสเทอร์ลิทซ์ และได้รับอวยยศเป็นเจ้าชายแห่งปงเตคอร์โวเป็นบำเหน็จความชอบ[4][3]

มกุฎราชกุมารและผู้สำเร็จราชการสวีเดน

[แก้]

ในปี 1810 จอมพลแบร์นาด็อตกำลังจะเดินทางไปรับตำแหน่งข้าหลวงประจำกรุงโรม แต่แล้วก็ได้รับเลือกอย่างไม่คาดคิดให้เป็นโอรสบุญธรรมของพระเจ้าคาร์ลที่ 13 แห่งสวีเดน ผู้ไร้พระบุตร เขาจึงสละสัญชาติฝรั่งเศสเพื่อขึ้นเป็นทายาทโดยสันนิษฐานแห่งราชบัลลังก์สวีเดน การแต่งตั้งแบร์นาด็อตเป็นมกุฎราชกุมารนี้หมายความว่าสายเลือดของราชวงศ์ฮ็อลชไตน์-ก็อททรอพ (Holstein-Gottorp) แห่งสวีเดนจะสิ้นสุดลงที่พระเจ้าคาร์ลที่ 13 วัย 61 ปีซึ่งมีพระพลามัยย่ำแย่ ก่อนนี้เจ้าชายคาร์ลและพระชายาเคยให้กำเนิดพระโอรสสองพระองค์แต่ล้วนสิ้นพระชนม์ขณะเป็นทารก ด้วยไม่เห็นโอกาสให้กำเนิดพระบุตรอีก หลังขึ้นครองราชย์ได้ไม่นาน ทั้งคู่จึงรับเจ้าชายเดนมาร์กองค์หนึ่งไว้เป็นโอรสบุญธรรม แต่เจ้าชายก็สิ้นพระชนม์ไปอีกเพียงไม่กี่เดือนหลังเดินทางถึงสวีเดน[5]

ราชสำนักสวีเดนจึงทำจดหมายถามจักรพรรดินโปเลียนว่ามีผู้ใดเหมาะสมบ้าง ในตอนแรกนโปเลียนตั้งใจเสนอชื่อเออแฌน เดอ โบอาร์แน ลูกติดภรรยาคนแรก อย่างไรก็ตาม เออแฌนซึ่งมีตำแหน่งเป็นอุปราชแห่งอิตาลีไม่ต้องการหันมานับถือนิกายลูเทอแรน ญาติพี่น้องคนอื่นๆของนโปเลียนก็ไม่มีใครอยากไปสวีเดนเช่นกัน องคมนตรีคาร์ล อ็อทโท เมอร์เนอร์ (Karl Otto Mörner) บุตรชายของบารอนกุสตาฟ เมอร์เนอร์ (Gustav Mörner) แม่ทัพสวีเดนที่ถูกจอมพลแบร์นาด็อตกุมตัวที่นครลือเบ็ค ได้ยื่นข้อเสนอนี้ให้แก่จอมพลแบร์นาด็อต แบร์นาด็อตนำข้อเสนอนี้ไปถามนโปเลียน ในตอนแรกนโปเลียนคิดว่าเป็นเรื่องตลก แต่แล้วก็ตัดสินใจสนับสนุนแบร์นาด็อตให้เป็นรัชทายาทสวีเดน[6]

แบร์นาด็อตสละสัญชาติฝรั่งเศส และเลือกใช้พระนาม คาร์ล โยฮัน[4] และเปลี่ยนจากนับถือนิกายโรมันคาทอลิกมาเป็นลูเทอแรน กฎหมายสวีเดนบัญญัติว่าสถาบันกษัตริย์จะต้องนับถือลูเทอแรนเท่านั้น[7] พระองค์กลายเป็นผู้สำเร็จราชการแผ่นดินสวีเดน มกุฎราชกุมารองค์ใหม่เป็นที่นิยมชมชอบในหมู่ราษฎรและเป็นบุคคลทรงอำนาจที่สุดในประเทศอย่างรวดเร็ว พระองค์สร้างความประทับใจแก่พระราชบิดาบุญธรรมเป็นอย่างมาก อาการประชวรของกษัตริย์และความไม่ลงรอยกันในคณะองคมนตรีทำให้อำนาจแทบทั้งหมดในรัฐบาลตกอยู่ในมือพระองค์ ประชาชนสวีเดนส่วนใหญ่ต้องการให้องค์มกุฎราชกุมารยึดฟินแลนด์คืนมาจากรัสเซีย แต่ทรงมองว่าชาวฟินแลนด์ไม่อยากกลับคืนสู่สวีเดน ต่อให้สวีเดนได้ฟินแลนด์คืนมาก็จะสร้างวัฎจักรความขัดแย้งใหม่กับมหาอำนาจเพื่อนบ้านและการต้านทานรัสเซียก็เป็นเรื่องลำบาก[8] พระองค์จึงหมายตาคาบสมุทรสแกนดิเนเวียแทนซึ่งสามารถป้องกันได้ง่ายกว่า โดยหวังจะยึดนอร์เวย์มาจากประเทศเดนมาร์กและผนวกรวมเข้ากับประเทศสวีเดน

สงครามนโปเลียน

[แก้]

ในปี 1810 นั้นเอง จักรพรรดินโปเลียนกดดันพระองค์ให้เข้าร่วมกับฝรั่งเศสและประกาศสงครามต่อบริเตนใหญ่ หาไม่แล้ว สวีเดนจะต้องรับมือกับพันธมิตรฝรั่งเศส-เดนมาร์ก-รัสเซีย พระองค์จำใจต้องทำตามข้อเรียกร้องดังกล่าวโดยทรงประกาศสงครามกับบริเตนใหญ่ อย่างไรก็ตาม การเข้าร่วมสงครามในครั้งนี้เป็นสร้างความเสียหายคิดเป็นตัวเงินต่อระบบเศรษฐกิจของบริเตนใหญ่และสวีเดนอย่างมหาศาล มูลค่านำเข้าสินค้าจากบริเตนลดลงเกือบร้อยละเก้าสิบในเวลาเพียงหนึ่งปี[9][10] อย่างไรก็ตาม แม้สวีเดนจะเข้าร่วมกับฝรั่งเศสแล้วแต่นโปเลียนกลับไม่ไว้ใจสวีเดนภายใต้อดีตลูกน้องเก่า ต้นปี 1812 ก่อนที่นโปเลียนจะยกทัพไปกรุงมอสโก นโปเลียนสั่งการให้กองทหารฝรั่งเศสเข้ายึดดินแดนพอเมอเรเนียและเกาะรือเกินของสวีเดน[11] และส่งสารว่า "เป็นของขวัญวันประสูติองค์มกุฎราชกุมารแห่งสวีเดน"[12]

มกุฎราชกุมารคาร์ล โยฮัน ในยุทธการที่ไลพ์ซิช ค.ศ. 1813

การกระทำครั้งนี้ของนโปเลียนเป็นการละเมิดกฎหมายระหว่างประเทศและเป็นเหตุแห่งสงครามอย่างชัดแจ้ง มันได้ทำลายมิตรภาพเก่าแก่ระหว่างทั้งคู่ลงอย่างไม่มีชิ้นดี ชาวสวีเดนต่างพากันโกรธแค้นฝรั่งเศส แม้กระทั่งกลุ่มนิยมฝรั่งเศสในราชสำนักสวีเดนก็ต่างหันมาต้านฝรั่งเศส[13] ด้วยเหตุฉะนี้ มกุฎราชกุมารคาร์ลโยฮันจึงประกาศสถานะเป็นกลางและเปิดเจรจากับบริเตนใหญ่และรัสเซีย[14] ต่อมาในปี 1813 สวีเดนก็ประกาศเป็นพันธมิตรกับบริเตนใหญ่-รัสเซีย-ปรัสเซียในสงครามสหสัมพันธมิตรครั้งที่หก พระองค์เป็นแม่ทัพฝ่ายเหนือและสามารถป้องกันกรุงเบอร์ลินและได้รับชัยชนะเหนือกองพลของจอมพลอูดีโนในเดือนสิงหาคม และได้ชัยชนะเหนือกองพลของจอมพลแนในเดือนกันยายน จนสามารถโค่นล้มนโปเลียนได้สำเร็จ กองทัพของพระองค์ข้ามแม่น้ำเอ็ลเบอในวันที่ 19 ตุลาคม และเข้าสมทบกับพันธมิตรอื่นในยุทธการที่ไลพ์ซิช และสามารถมีชัยเหนือกองทัพผสมฝรั่งเศส-โปแลนด์-อิตาลี และโค่นล้มนโปเลียนได้สำเร็จ

การผนวกนอร์เวย์

[แก้]

ไม่ถึงสองเดือนหลังโค่นนโปเลียนลงได้ พระองค์นำทัพเข้าต่อสู้กับกองทหารเดนมาร์กเกิดเป็นยุทธการที่บอร์นเฮอเวิดและได้รับชัยชนะ ผลลัพธ์เกิดเป็นสนธิสัญญาคีลซึ่งเดนมาร์กตกลงมอบอำนาจเหนือนอร์เวย์แก่สวีเดน อย่างไรก็ตาม ชาวพื้นเมืองนอร์เวย์กลับไม่ยอมรับการปกครองของประเทศสวีเดน พวกเขาประกาศเอกราชพร้อมประกาศใช้รัฐธรรมนูญฉบับเสรี และประกาศเลือกมกุฎราชกุมารคริสเตียนแห่งเดนมาร์กเป็นกษัตริย์นอร์เวย์ และเกิดเป็นสงครามชิงราชบัลลังก์นอร์เวย์ในกลางปี 1814 พระอัจฉริยภาพด้านการทหารของมกุฎราชกุมารคาร์ลโยฮันทำให้ประเทศสวีเดนได้รับชัยชนะ ซึ่งสงครามครั้งนี้เป็นสงครามสุดท้ายของประเทศสวีเดนจวบจนถึงปัจจุบัน[15] แม้ชัยชนะจะทำให้พระองค์สามารถทำการบังคับใดๆต่อนอร์เวย์ได้ แต่พระองค์กลับยอมรับรัฐธรรมนูญใหม่และอำนาจปกครองตนเองของนอร์เวย์ ซึ่งทำให้นอร์เวย์ตัดสินใจเข้าเป็นสหภาพกับสวีเดนในปลายปีนั้น[4]

สวรรคต

[แก้]

วันคล้ายวันประสูติครบรอบ 81 ปีในวันที่ 26 มกราคม ค.ศ. 1844[4] พระองค์มีอาการโรคหลอดเลือดสมองและทรงหมดสติอยู่ในห้อง แม้ต่อมาจะทรงฟื้นองค์แต่อาการก็ไม่ดีขึ้น พระองค์สวรรคตยามบ่ายของวันที่ 8 มีนาคม[16] ขณะทรงครองสิริราชสมบัติ 26 ปี 32 วันทรงตรัสบนเตียงก่อนสวรรคตว่า:

ไม่มีใครชีวิตนี้ได้ทำงานแบบฉันอีกแล้ว ฉันตกลงผูกมิตรกับนโปเลียนก็จริง แต่เมื่อเขาโจมตีประเทศที่มีชะตากรรมอยู่ในมือฉัน ฉันก็มิอาจทำอย่างอื่นนอกจากต้องต่อต้าน ทั้งเหตุการณ์ที่สั่นสะเทือนยุโรป และเหตุการณ์ที่นำพาเสรีภาพคืนมาสู่ยุโรป เห็นชัดว่าฉันมีส่วนร่วมทั้งสิ้น [17]

พิธีฝังพระศพจัดขึ้นที่โบสถ์ริดดาร์ฮ็อล์มในกรุงสตอกโฮล์ม พระโอรสองค์เดียวได้ขึ้นสืบราชสมบัติต่อเป็นพระเจ้าออสการ์ที่ 1

พระเกียรติยศ

[แก้]

ฐานันดรศักดิ์

[แก้]
  • 1763 — 1794: นายฌ็อง-บาติสต์ แบร์นาด็อต
  • 1794 — 1804: นายพลฌ็อง-บาติสต์ แบร์นาด็อต
  • 1804 – 1806: ฌ็อง-บาติสต์ ฌูลส์ แบร์นาด็อต จอมพลแห่งฝรั่งเศส
  • 1806 – 1810: ฌ็อง-บาติสต์ ฌูลส์ แบร์นาด็อต เจ้าชายแห่งปงเตคอร์โว
  • 26 กันยายน 1810 – 5 พฤศจิกายน 1810: เจ้าชายโยฮัน บัพทิสต์ ยูลิอุส แห่งปงเตคอร์โว เจ้าชายแห่งสวีเดน[18]
  • 1810[4] – 1814: เจ้าชายคาร์ล โยฮัน มกุฎราชกุมารแห่งสวีเดน
  • 1814[4] – 1818: เจ้าชายคาร์ล โยฮัน มกุฎราชกุมารแห่งสวีเดนและนอร์เวย์
  • 1818 – 1844: กษัตริย์แห่งสวีเดนและนอร์เวย์
ธรรมเนียมพระยศของ
พระเจ้าคาร์ลที่ 14 โยฮัน แห่งสวีเดน
พระราชลัญจกร
ตราประจำพระองค์
การทูลHis Majesty
(ใต้ฝ่าละอองธุลีพระบาท)
การแทนตนข้าพระพุทธเจ้า
การขานรับYour Majesry
(พระพุทธเจ้าข้า/เพคะ)

อ้างอิง

[แก้]
  1. 1 2 3 Bain 1911, p. 931.
  2. Barton, Dunbar Plunket (1930). P.5
  3. 1 2 The American Cyclopædia 1879, p. 571.
  4. 1 2 3 4 5 6 Bain 1911, p. 932.
  5. "Charles XIII - king of Sweden".
  6. Ibid. Pp. 268-278.
  7. "Charles XIV John - king of Sweden and Norway".
  8. Palmer, Alan(1990). P.181
  9. Berdah, Jean-Francois (2009).P.40-41
  10. Barton, Sir Dunbar Plunket (1930). P.259
  11. Barton, Sir Dunbar Plunket (1930). P.265
  12. Palmer, Alan(1990). P.185-186
  13. Griffiths, Tony (2004). P.19
  14. Berdah, Jean-Francois (2009). P.45
  15. Hårdstedt, Martin 2016, p. 222.
  16. Palmer 1990, p. 248.
  17. Alm, Mikael;Johansson, Brittinger(Eds) (2008).p.12
  18. "Succession au trône de Suède: Acte d'élection du 21 août 1810, Loi de succession au trône du 26 septembre 1810 (in French)".
ก่อนหน้า พระเจ้าคาร์ลที่ 14 โยฮัน แห่งสวีเดน ถัดไป
พระเจ้าคาร์ลที่ 13 แห่งสวีเดน กษัตริย์แห่งสวีเดนและนอร์เวย์
(5 กุมภาพันธ์ 1818 – 8 มีนาคม 1844)
พระเจ้าออสการ์ที่ 1